พัฒนาการบ้านเมืองก่อน แล้วจึงค่อยเห็นแก่ธรรมะ
คนเราเข้าใจผิดอยู่มากทีเดียว ว่าต้องเห็นแก่ปากท้องก่อนแล้วค่อยเห็นแก่ธรรมะ
: บางคนว่า ยังไม่มีอะไรจะกิน จะไปมัวไปวัดไปวา ไปเห็นแก่ธรรมะอย่างไรได้. นี้สรุปความว่า ให้เห็นแก่ปากแก่ท้องของตนก่อน แล้วจึงค่อยเห็นธรรมะทีหลัง.
แม้ว่าโดยหลักทั่วไป เราก็จะได้ฟังกันว่า คนทั้งโลกก็พากันถืออย่างนี้; บางทีผู้ที่เผยแผ่ธรรมะนั่นเอง กลับชักชวนให้ทำเรื่องการงาน ที่จะเป็นการเลี้ยงปากเลี้ยงท้องก่อน จึงค่อยเห็นแก่ธรรมะ. ข้อนี้เริ่มมีมากขึ้น โดยที่ชักชวนกัน ให้ประพฤติปฏิบัติ ที่เป็นการพัฒนาการบ้านการเมืองหรืออาชีพ ให้เจริญรุ่งเรืองก่อน แล้วจึงค่อยเห็นแก่ธรรมะ. หรือบางทีก็ชักจูงสั่งสอนว่า เรื่องสันโดษนั้นให้เก็บไว้ทีก่อน อย่าเพ่อเอามาใช้ เพราะว่าเราต้องการจะสร้างบ้านสร้างเรือน ต้องการจะหาเงินหาทอง ดังนี้เป็นต้น.
ทั้งหมดนี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง, สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นจะต้องมาก่อน, สิ่งที่เรียกธรรมะนั้น จะต้องมาก่อนปากก่อนท้อง หรือก่อนเรื่องปากเรื่องท้อง; แต่มันเป็นธรรมะอันละเอียด
จึงจะสามารถเอามาใช้ก่อนเรื่องปากเรื่องท้องได้ และที่ว่าสันโดษเก็บไว้ก่อนนั้น เป็นความผิด, เป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง.
ที่จริงสันโดษนั้น ต้องรีบเอามาใช้ ตั้งแต่ยังไม่อิ่มท้องทีเดียว; มีคนเข้าใจผิดในคำว่าสันโดษ คือกล่าวกันว่า สันโดษนั้นยินดี เท่าที่มีอยู่แล้ว, เท่าที่ได้อยู่แล้ว, เท่าที่เป็นอยู่แล้ว. สันโดษอย่างนี้ผิด. สันโดษอย่างนี้ เป็นความสันโดษของภูตผีป๊ศาจ คือเป็นความสันโดษของคนขี้เกียจ เป็นความสันโดษของขี้เกียจ เป็นความสันโดษของคนที่กิเลสครอบงำ จึงทำให้หยุดกระทำสิ่งต่างๆ เป็นบริวาร
หรือเป็นสาวกของกิเลสหรือของภูตผีปีศาจ.
ส่วนสันโดษของพระพุทธเจ้านั้น ไม่เป็นอย่างนั้น คือท่านสอนให้ยินดี ตามที่ได้มาอย่างไร, ให้เกิดความอิ่มอกอิ่มใจ ในการที่จะทำต่อไปให้มากขึ้น.
ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆที่เกี่ยวกับคนชาวบ้าน ที่ยังต้องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ก็คือว่า
ถ้าได้ทำอะไรเสร็จลงไปอย่างหนึ่ง
หรือว่าเพียงแต่ขั้นหนึ่ง
ก็จะต้องมีความยินดีพอใจ
ว่าเราได้ทำการงานเสร็จสิ้นไปขั้นหนึ่งหรือข้อหนึ่ง.
เหมือนอย่างว่าเราทำนา จะต้องฟันดินขุดดิน ตั้งหลายร้อยครั้งหลายพันครั้ง แต่ถ้าฟันลงไปครั้งเดียว ก็ควรจะอิ่มใจ
ว่ามันเสร็จไปครั้งเดียว, ฟัน 2 ครั้งก็อิ่มใจ ว่าเสร็จไป 2 ครั้ง; ยิ่งฟันเท่าไรก็ยังอิ่มใจ ว่ามันเสร็จไปเท่านั้น มันมีกำลังใจในการที่จะทำต่อไป
ให้ลุถึงจุดหมายปลายทางด้วยความร่าเริงเบิกบาน อิ่มอกอิ่มใจนั่นเอง.
ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว มันจะเกิดผลตรงกันข้าม คือคนที่ไม่สันโดษตามแบบพระพุทธเจ้านั้น พอขุดดินลงไปทีหนึ่ง ก็เหนื่อยทีหนึ่ง ก็โมโหทีหนึ่งก็พลุ่งพล่าน เป็นนรกเผาขึ้นในใจทีหนึ่ง. ขุดดิน 2 ที
ก็ตกนรกอย่างนั้น 2 ที, ขุดดิน 3 ที 4 ที 5 ที ก็ตกนรกทุกทุกที. ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ก็ทิ้งงานนั้น
ไปทำงานอื่น; ไปทำงานอื่น
ก็เป็นอย่างนั้นอีก, มันก็ทิ้งงานโดยประการทั้งปวงไปหาวิธีรวยลัด ทำชั่วด้วยประการต่างๆ มีการขโมยเขาเป็นต้น.
นั่นแหละคือผลของการไม่สันโดษ ให้ถุกต้องตามทำนองคลองธรรมของพระพุทธเจ้า; เพราะเหตุฉะนั้น จึงเป็นอันกล่าวได้ว่า เราต้องมีสันโดษในการงาน ที่ได้มาอย่างไร ทุกลำดับไปทีเดียว, จะเป็นกำลังใจให้เกิดความอิ่มเอิบ สำหรับให้ทำการงานต่อไป ได้อย่างเพลิดเพลิน. ถ้าหากว่าสันโดษ เป็นเรื่องสอนให้คนหยุดทำงานแล้ว
พึงเข้าใจเถิดว่าไม่ใช่สันโดษของพระพุทธเจ้า.
นี้เรื่องของโลกแท้ๆ
ก็ยังเป็นอย่างนี้.
ทีนี้เรื่องของธรรมะ
ของการปฏิบัติธรรม
ก็ยังสอนให้ก้าวหน้า,
ให้ทำความก้าวหน้าต่อไป. ถ้าหากว่าความสันโดษสอนให้หยุดเสีย เท่าที่มีที่ได้แล้ว คนเราก็ไม่ต้องปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุมรรคผล หรือว่าพระอริยเจ้าที่บรรลุมรรคผลขั้นต้นๆ
เช่นพระโสดาบันเป็นต้น
ถ้าสันโดษเสียแล้วก็จะไม่ปฏิบัติเพื่อให้ได้บรรลุมรรคผล ในขั้นที่สูงขึ้นไป ก็จะหยุดอยู่เสียแค่พระโสดาบัน ดังนี้เป็นต้น.
แต่สันโดษนั้น ไม่ได้มีความหมายให้หยุดกระทำ หรือให้หยุดอยู่เพียงแค่ที่ได้ที่มีอยู่ แต่ว่ายินดีในส่วนที่ได้มาแล้ว ให้เป็นปัจจัยใจสำหรับทำส่วนต่อไป; เพราะฉะนั้น
พระอริยเจ้าทั้งหลายแม้เป็นพระอริยเจ้าแล้ว
ก้หาได้สันโดษอยู่เพียงแค่มรรคผลในขั้นต้นๆไม่. ข้อนี้เองเป็นเหตุให้พระเสขบุคคลก้าวหน้าไปตามลำดับ จนกระทั่งถึงเป็นพระอเสขบุคคล.
จงพิจารณาดูเถิดว่า แม้แต่พระอริยเจ้า ท่านก็ยังไม่สันโดษตามแบบของคนพาล ที่กล่าวตู่พระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าสินให้สันโดษนั้นหมายถึงให้หยุด, ไม่ต้องทำอะไร, ให้ยินดีเท่าที่มีอยู่แล้ว,
หรือเท่าที่เป็นอยู่แล้ว
ดังนี้เป็นต้น.
ขอให้พุทธบริษัททั้งหลายทั้งปวงเข้าใจคำว่าสันโดษของพระพุทธเจ้า ให้ถุกต้องตามที่เป็นจริง; แล้วไม่ต้องชักชวนกัน ให้สันโดษในทำนองนั้น คือไม่ต้องชักชวนกัน ให้หยุดเลิกสันโดษเสีย, แล้วไปขยันขันแข็ง ตามวิธีที่เข้าใจว่าเป็นประโยชน์.
โดยที่แท้จริงแล้ว การที่ทะเยอทะยานมากเกินไปนั้น ทำให้เกิดจิตใจที่ไม่สมประกอบ เป็นจิตใจที่บ้าคลั่ง เป็นจิตใจที่จะต้องเป็นโรคเส้นประสาทและวิกลจริตในที่สุด. แต่ถ้าเรารู้จักสันโดษให้ถุกทาง อาการของโรคร้ายเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้น จะมีความสดชื่นแจ่มใส ทั้งกายกายและทางใจ ทำให้เกิดความปีติปราโมทย์อยู่ตลอดเวลา สมตามที่ตรัสว่า สนฺตุฏฺ >ปรมํ ธนํ – สันโดษเป้นทรัพย์โดยแท้จริงดังนี้.
สันดาเป็นทรัพย์ ที่ทำความอิ่มอกอิ่มใจให้แก่บุคคล ตั้งแต่ระยะแรกไปทีเดียว
คือตั้งแต่ก่อนทำงาน ตั้งแต่ลงมือทำงาน ตั้งแต่กำลังอยู่ กระทั่งทำงานเสร็จแล้ว และได้ผลมาบริโภค สันโดษทุกๆระยะ
ทุกๆตอนจะทำให้มีความอิ่มอกอิ่มใจ มีปีติปราโมทย์
สมกับที่เป็นทรัพย์โดยแท้จริง.
หวังว่าท่านทั้งหลายทุกคน จะได้รู้จักใช้สันโดษของพระพุทธเจ้าให้ถูกต้อง ให้มาก
ให้สมบูรณ์ โดยนัยดังที่กล่าวมานี้.
ถ้าเป็นคนต้องทำงานหนักกลางแดดกลางฝน
กลางยุงกลางริ้น เป็นต้นแล้ว ก็จะยิ่งรู้จักสันโดษมากขึ้น คือยินดีในสิ่งที่ได้กระทำไปแล้ว เท่าไรนั้น
ให้มากขึ้น; จะได้มีความเข้มแข็ง กล้าหาญ
อดทนทำต่อไป
จนกว่าจะถึงที่สุด.
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุ มรรค ผล นิพพาน ก้เป็นอย่างเดือดร้อน.
นี้เรียกว่าเป้นผู้รู้จักธรรมของพระพุทธเจ้า เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า จะไม่กล่าวตู่พระพุทธเข้าอย่างผิดๆ ในเรื่องเช่นเรื่องสันโดษเป็นต้น.
ทีนี้ก็จะได้วินิจฉัยกันถึงข้อที่ว่า เรื่องปากเรื่องท้องจำเป็นก่อน เรื่องธรรมะไว้ทีหลัง นี้มันเรื่องเดียวกัน หรืออย่างเดียวกันกับเรื่องของสันโดษ. เราต้องมีสันโดษตั้งแต่ทีแรก จึงจะทำให้จิตใจปกติไม่เร่าร้อน; นั่นแหละคือธรรมะก่อน ธรรมะมาก่อนเรื่องปากเรื่องท้อง.
ถ้าสมมติว่ายากจนเข็ญใจ ไม่มีอะไรจะกินอยู่เดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีสันโดษแล้ว มันก็ต้องไปผูกคอตาย ไปกระโดดน้ำตาย หรือไปฆ่าตัวตาย โดยวิธีใดวิธีหนึ่งแน่นอน. แต่ถ้ามีสันโดษของพระพุทธเจ้าแล้ว
สันโดษนั่นแหละจะปลอบใจว่าการที่ได้เป็นอย่างนี้ ไม่ต้องตายเสียนี่ ก้เป็นการดี, ดีอยู่แล้ว.
การที่ได้เป็นอย่างนี้ ก็เชื่อว่าจะต้องมีบุญอยู่บ้าง; ถ้าไม่มีบุญอยู่บ้าง มันก็ต้องตายเสียแล้ว หรือมันจะต้องพิกลพิการ จนทำอะไรไม่ได้ หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไม่ได้. เดี๋ยวนี้มันยังไม่ตายเลย มือเท้าก็ยังดีอยู่, มีธรรมะซึ่งจะนึกถึงความสันโดษอย่างนี้ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ก็จะทำให้จิตใจปกติ ไม่ต้องฆ่าตัวตาย ไม่ต้องโดดน้ำตาย แต่จะมีความพออกพอใจ ในการที่จะประกอบการงานต่อไป จนกว่าจะหมดปัญหา เรื่องปากเรื่องท้อง.
คนที่ไม่มีใส่ปากใส่ท้องนั้น เดือดร้อนมาก
เร่าร้อนมาก
เป็นพิษมากเหมือนกับว่าไฟเผาเอาทีเดียว : แต่อะไรจะดับสิ่งนั้นได้
อาหารหรือว่าธรรมะขอให้คิดดู.
อาหารนั้นกินเข้าไปเดี๋ยวเดียวก็หิวอีก
และมันก็”ม่สามารถจะหยุดความร้อนได้
เพราะได้กินอาหาร.
แต่ส่วนธรรมะนั้น
ถ้ารู้จักพินิจพิจารณาให้เข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจนตามที่เป็นจริงแล้ว มันหยุดความร้อนมันหยุดความทุกข์หยุดความกระงวนกระวายได้โดยสิ้นเชิง; จะมีอาหารกินหรือไม่มีอาหารกินก็ไม่มีความกระวนกระวาย แต่ประการใดเลย.
นี่แหละคืออานิสงส์ของธรรมะ เป็นธรรมะพิเศษประเภทหนึ่ง ซึ่งเราจะต้องนำเอามาใช้ ตั้งแต่ก่อนมีใส่ปากใส่ท้อง; ตั้งแต่ก่อนหาใส่ปากใส่ท้อง
ทั้งนี้เพื่อว่าจะได้มีจิตใจที่ปกติเยือกเย็น แล้วทำการหาใส่ปากใส่ท้องนั่นเอง. ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ คนเราก็จะทนทุกข์ ตกนรกทั้งเป็นตลอดเวลา จะมีจิตใจวิปริตวิกลวิการ ถึงกับว่า
ไม่สามารถจะเป็นมนายืปกติได้
มีอันจะเป็นไปในลักษณะต่างๆกัน ซึ่งเป็นการสินาศฉิบหายไปในที่สุด.
นี้เท่าที่ยกมาพอเป็นตัวอย่างนี้ ก็เพื่อแสดงว่าธรรมะนั้นมีประโยชน์ไม่มีขอบเขตจำกัด และมีความจำเป็นยิ่งกว่าปากยิ่งกว่าท้อง ต้องเห็นแก่ธรรมะก่อนเห็นแก่ปากแก่ท้อง;
แล้วต้องเข้าใจธรรมะให้ถุกให้ตรง.
เช่นคำว่าสันโดษ
หรือธณรมะเรื่องสันโดษนี้
ล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลง; เพราะว่าเขาไม่เข้าใจตามที่เป็นจริง
ตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสสอนไว้นั่นเอง. เมื่อมีความแน่ใจว่าธรรมะมีประโยชน์อย่างยิ่ง; แต่คนเข้าใจผิดต่อธณรมะดังนี้แล้ว เราก็จะได้สนใจพิจารณากัน. ถึงประโยชน์ของธรรมะต่อไป.1
1 ธรรมโฆษณ์ของพุทธทาส เรื่อง
วิสาขบูชาเทศนา, ลำดับที่ 23 บนแถบพื้นสีเขียว, เรื่องที่ 3 โสภณโลกกรณธรรมกถา [ธรรมคือสิ่งทำโลกให้งดงาม],
แสดงที่ศาลาโรงธรรมกัณฑ์ค่ำ,
ในวันอังคารที่ 10 พฤษภาคม
2503, หน้า 85-90.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น