ข้อสังเกตของ
ประทีปแห่งเอเซีย โดย เอ็ดวิน อาร์โนลด์
สองพันห้าร้อยปีมาแล้วมีเจ้าชายผู้หนึ่งอยู่ที่ทางตอนเหนือของอินเดีย,
นาม สิทธัตถะ,
ผู้สละทิ้งความมั่งคั่งและตำแหน่งราชบัลลังก์ของตนและออกอภิเนษกรมณ์ตระเวณไปในแดนดินเพื่อแสวงหาความเข้าใจและความลับของทุกข์โศก. หลังจากหลายประสบการณ์,
เมื่อพระองค์นั่งลงทำสมาธิในวันหนึ่ง,
แสงสว่างไสวได้มาสู่พระองค์และพระองค์ก็กลายเป็น พระพุทธเจ้า, ผู้ตรัสรู้.
และหลังจากนั้นมา, ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์, พระองค์ได้ตรัสสอนถึง กฏของธรรม,
ทางสายกลาง.
เซอร์เอ็ดวิน
อาร์โนลด์
ได้บรรจงประพันธ์กวีนิพนธ์อันลึกซึ้งขึ้นมาจากเรื่องราวการค้นหาของพระพุทธเจ้า,
การตรัสรู้, และการเทศน์สอน.
ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1879,
หนังสือได้กลายเป็นความคลาสสิคและได้ถูกตีพิมพ์อีกในหลายครั้งและในหลายภาษา.
ไม่เป็นแต่ความเป็นปรัชญาล้ำลึกในธรรมชาติของตนเท่านั้น,
แต่เพราะรูปแบบทางกวีของหนังสือและการพรรณาบรรยายในเหตุเรื่องอย่างซาบซึ้งใจในอัตถะประวัติชีวิตขององค์สิทธัตถะ,
ซึ่งสร้างความอิ่มเอมและซึมซาบใจของผู้อ่าน.
อารัมภกถา
ในกวีนิพนธ์ต่อไปนี้ที่ข้าพเจ้าได้ค้นคว้ามา,
โดยพุทธศาสนิกชนระดับกลางตามจินตนาการ, ที่จะพรรณาให้เห็นชีวิตและบุคคลิกลักษณะและชี้ถึงปรัชญาของวีรบุรุษและนักปฏิรูป,
เจ้าชายโคตมะแห่งอินเดีย, ผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธ.
ในยุคสมัยก่อนที่ล่วงมาน้อยคนนักหรือแทบไม่มีเลยในยุโรปที่จะได้ล่วงรู้กันถึงความเชื่อถือศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของเอเซีย,
ซึ่งจะอย่างไรก็ตามดำรงอยู่มาในระหว่างยี่สิบสี่ศตวรรษ,
และถึงทุกวันนี้ได้ล้ำหน้าไป,
ในจำนวนตัวเลขของผู้เป็นสาวกและพื้นที่ที่แพร่หลายออกไปของความเชื่อศรัทธานั้น,
ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างอื่นใดในแต่ละนิกาย.
สี่ร้อยกับอีกเจ็บสิบล้านของชาติพันธุ์ของเรามีชีวิตและตายไปกับคำสอนหลักธรรมของ
องค์โคตมะ, อาณาจักรทั้งหลายทางจิตวิญญาณของครูโบราณนี้ขยายออก, จวบจนปัจจุบัน,
จาก เนปาล และศรีลังกาข้ามคาบสมุทรตะวันออก (Eastern Peninsula) สู่
จีน, ญี่ปุ่น, ธิเบต, เอเซียกลาง, ไซบีเรีย, และกระทั่ง
ทุ่งแล็ปแลนด์ของชนสวีดิช. อินเดีย
ด้วยตนเองอาจจะแทบนับรวมเข้ามาด้วยไม่ได้กับอาณาจักรของศรัทธาอันสง่างามนี้,
เพราะมาตรว่าการนับถือของศาสนาพุทธนั้นส่วนใหญ่ได้ผ่านเลยไปจากสถานที่กำเนิดของตนเอง,
ร่องรอยของคำสอนอันพิสุทธิ์ยิ่งยวดขององค์โคตมะนั้นได้ถูกประทับไว้ไม่อาจหลบลี้หนรหน้าได้เหนือลัทธิพราหมณ์สมัยใหม่,
และลัทธิฮินดูอันมีธรรมเนียมอันโดดเด่นและเชื่อถือกันมาอย่างแรงกล้ามากที่สุดซึ่งปรากฏชัดต่อเกณฑ์อิทธิพลแห่งธรรมะของพุทธองค์. มากกว่าหนึ่งในสามของมนุษยชาติ, ดังนั้น,
เป็นหนี้ความคิดในจริยธรรมและธรรมะต่อองค์เจ้าชายที่เรืองนามนี้,
ผู้ซึ่งในส่วนตนแล้ว, ถึงแม้ว่าได้เปิดเผยไม่สมบูรณ์นักในแหล่งดำรงอยู่ของข้อมูล,
ไม่สามารถได้นอกจากปรากฏถึงสิ่งสูงที่สุด, เมตตาที่สุด, ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด,
และกรุณามากที่สุด, ด้วยยกเว้นพิเศษเพียงหนึ่งเดียว, ในประวัติของ ความคิด. ความไม่สอดคล้องในความถี่พิเศษนี้,
และความทุกข์อันทอดวางอยู่เหนือด้วย การไม่ซื่อสัตย์, การโกหก, และการหลงทางผิด,
คัมภีร์ของพุทธศาสนากระนั้นยังเห็นด้วยในจุดหนึ่งของการไม่บันทึกอะไร –
ไม่กระทำการใดหรืออักขระ – ซึ่งสร้างรอยตำหนิมลทินให้กับความพิสุทธิ์และอ่อนโยนของบรมครูอินเดียนผู้นี้,
ผู้ที่ได้รวมหลักธรรมอริยสัจซึ่งปัญญาของเหล่าโยคีปราชญ์และผู้เสียสละทรมานตนเพื่อปลดเปลื้องกิเลส.
กระทั่ง ม. บาร์เธเลมี ซท.ฮิลาอีร์,ได้ตีความตัดสินผิดเป็นที่สุด, เมื่อเขาทำ, ในหลายประเด็นของศาสนาพุทธ, ได้นำมากล่าวอ้างอย่างดีโดย ศาสตราจารย์แม็กซ์ มุลเลอร์ ที่ได้กล่าวถึงเจ้าชายสิทธัตถะว่า
"Sa vie n'a point de tache. Son constant heroisme egale sa
conviction ; et si la theorie qu'il preconise est fausse, les exemples
personnels qu'il donne sont irreprochables. Il est le modele acheve de toutes
les vertus qu'il preche; son abnegation, sa charite, son inalterable douceur ne
se dementent point un seul instant. . . . Il prepare silencieusement sa
doctrine par six annees de retraite et de meditation; il la propage par la
seule puissance de la parole et de la persuasion pendant plus d'un demi-siecle,
et quand il meurt entre les bras de ses disciples, c'est avec la serenite d'un
sage qui a pratique le bien toute sa vie, et qui est assure d'avoir trouve le
vrai." สำหรับ โคตมะ
นี้สืบเนื่องมาจากเหตุนั้นได้มอบให้ซึ่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ; และ – กระนั้น พระองค์ ได้ยหเลิกพิธีกรรมต่างๆ,
และประกาศตนเอง, ถึงแม้ว่าในตอนอยู่ที่ธรณีประตูของนิพพาน,
ที่จะเป็นแค่เพียงอะไรอื่นที่คนทั้งปวงอาจจะได้เป็น – ความรักและสำนึกบุญคุณแห่ง เอเซีย, ไม่เชื่อฟังในบัญญัติของพระองค์,
ได้ให้ซึ่งการบูชาสักการะศรัทธาแรงกล้าต่อพระองค์. ป่าไม้ทั้งหลายของบุปผชาติในทุกวันได้วางทอดถวายเหนือที่พานบูชาสเตน-เลสของพระองค์,
และริมฝีปากเป็นล้านๆนับไม่ถ้วนในแต่ละวันได้สวดท่องมนต์กันว่า,
"ข้าขอพุทธคุณทรงคุ้มครอง"
พุทธะของกวีนิพนธ์นี้ – ถ้า,
โดยที่ไม่จำเป็นต้องกังขาสงสัย, พระองค์ได้มีอยู่จริง – ประสูติที่ชายแดนของ
เนปาล, ราว 620 ปีก่อนคริสตศักราช, และสิ้นพระชนม์ราว 543 ก่อนคริสต์ศัก-ราช
ที่เมืองกุสินารา ในแคว้นมัลละ. ในจุดของยุคสมัยนั้น, ลัทธิความเชื่ออื่นๆส่วนมากถือว่าเยาว์วัยเมื่อเปรียบเทียบกับศาสนจารย์ชั้นบรมครูนี้,
ที่ซึ่งในตนเองมีถึงชั่วนิรันดร์ของความหวังแห่งเอกภพ,
ความรักอันเป็นอมตะไร้ขอบเขต,
องค์ประกอบอันไม่มีวันพังทะลายของศรัทธาในความดีสุดท้าย, และการยืนยันอันภาคภูมิใจที่สุดที่เคยทำกันมาของอิสรภาพมนุษย์.
ความฟุ่มเฟือยซึ่งผิดรูปร่างให้กับบันทึกและการฝึกฝนของศาสนาพุทธนั้นเกี่ยวเนื่องมาจากการเสื่อมถอยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งเหล่านักบวชมักจะก่อความเสียหายต่อความคิดอันยิ่งใหญ่ผูกมัดเข้าไว้กับหน้าที่ของพวกเขา. อำนาจและความบริสุทธิ์ประเสริฐของหลักคำสอนดั้งเดิมของโคตมะควรจะถูกประเมินโดยอิทธิพลของพวกเขา,
ไม่ใช่ด้วยการตีความพวกเขา;
หรือไม่ใช่ด้วยความไร้เดียงสาแต่ขี้เกียจและพิธีกรรมในโบสถ์วิหารซึ่งได้มีมากขึ้นในรากฐานของสมาคมพุทธศาสนิกชนหรือ”คณะสงฆ์”.
ข้าพเจ้าได้จัดวางกวีนิพนธ์ของข้าพเจ้าใส่ในปากของพุทธมามกะ,
เพราะว่า, เพื่อที่จะชื่นชมในจิตวิญญาณของความคิดอย่างชนเอเซีย,
พวกเขาน่าจะคำนึงถึงจากมุมมองตะวันออก;
และไม่ว่าจะเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ถวายให้ในบันทึกนี้,
หรือไม่ก็ปรัชญาซึ่งเป็นตัวตน, จะสมารถอีกอย่างหนึ่งได้ผลิตซ้ำอย่างเป็นธรรมชาติเหลือเกิน. หลักคำสอนของย้ายผ่านจิตวิญญาณ (Transmigration-คำเดิมต้นฉบับ),
ตัวอย่างเช่น---ปลุกตื่นต่อจิตใจสมัยใหม่—ได้ถูกตั้งมั่นและยอมรับไปทั่วถ้วนโดยชนฮินดูในสมัยพุทธกาล; ช่วงเวลานั้นที่ กรุงเยรูซาเล็ม ถุกยึดครองไว้โดย เนบูคาดเนซซา, เมื่อ
เนเนเวห์ ล่มสลายลงสู่ เมเดส, และ มาร์เซยลิ์ส ถูค้นพบโดย โฟเซียนส์. การแสดงพรรณาใหญ่โตที่นี้
เสนอถึงความโบราณยิ่งของระบบเป็นสิ่งซึ่งจำเป็นให้ไม่สมบูรณ์, และ—ในการเชื่อฟังโอวาทต่อกฏของศิลปะกวี---ผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยสาระสำคัญมากมายเยี่ยงปรัชญา,
เช่นเดียวกับข้ามผ่านคณะสงฆ์ของโคตมะ.
แต่จุดประสงค์ของข้าพเจ้านั้นได้ถูกบรรจุไว้ว่าถ้าแนวความใดก็ตามที่นี่ได้ชักจูงคุณลักษณะอันน่าเคารพของเจ้าชายผู้สูงศักดิ์,
และของเนื้อหาใจความในหลักคำสอนของพระองค์.
และสำหรับสิ่งเหล่านี้นั้นได้ฟื้นลุกขึ้นการถกเถียงอย่างมหันต์ในท่ามกลางผู้คงแก่เรียน,
ผู้ที่จะระแวดระวังว่าข้าพเจ้าได้นำเอามากล่างอ้างอย่างไม่สมบูรณ์ของหลักพุทธศาสน์มากเท่าๆกับที่พวกเขายืนอยู่ในงานของ
สเปนซ์ ฮาร์ดี, และได้ยังปรับแต่งมากกว่าหนึ่งหนทางในบรรยายที่ได้รับ. ทัศนะเหล่านั้น, อย่างไรก็ตาม,นี่คือที่ได้บ่งชี้ถึง
“นิพพาน,” “ธรรมะ,” “กรรม,” และองค์ประกอบหลักนำอื่นๆของศาสนาพุทธ,
และอย่างน้อยเป็นผลไม้ของการศึกษาพิจารณา, และยังเป็นข้อตัดสินที่หนักแน่นว่าหนึ่งในสามของมนุษยชาติน่าจะไม่เคยได้นำไปสู่ความเชื่อในเรื่องนามธรรมว่างเปล่า,
หรือความว่างเปล่า (Nothingness-คำเดิมต้นฉบับ)
ที่เป็นเช่นเหตุและผลของการมีอยู่.
ในท้ายสุดนี้,
ด้วยความเคารพนับถือต่อความเรืองนามการตีพิมพ์ของ “ประทีปแห่งเอเซีย,”
และในคารวะต่อนักวิชาการผู้มีชื่อเสียงมากมายผู้ซึ่งได้อุทิศแรงงานอันสูงค่าต่อความทรงจำของพวกเขา,
ซึ่งเป็นทั้งใจจดจ่อและกระตือรือร้นอันเป็นที่ต้องการของข้าพเจ้ายิ่ง,
ข้าพเจ้าขอร้องว่าด้วยความรีบร้อนเร่งระยะสั้นของการศึกษาของข้าพเจ้าจะได้รับการให้อภัย.
สิ่งนี้ได้ถูกเรียบเรียงประกอบกันเข้าในวันเวลาช่วงสั้นโดยปราศจากการหยุดพักผ่อนหย่อนใจ,
แต่ได้แรงดาลใจโดยความปรารถนาอยู่ตลอดที่จะช่วยให้ความรู้ฉันท์มิตรได้ดีขึ้นในระหว่าง
ตะวันออก และ ตะวันตก.
วันเวลาน่าจะมาถึงได้สักวัน, ข้าพเจ้าหวังเช่นนั้น, เมื่อหนังสือนี้และ
“เพลงอินเดียนแห่งบทเพลง”ของข้าพเจ้าจะได้ช่วยรักษาความทรงจำของคนผู้หนึ่งซึ่งรักประเทศอินเดียและผู้คนอินเดียน.
เอ็ดวิน อาร์โนลด์, C.S.I.
ลอนดอน, กรกฎาคม, 1879.
ปณิเฉทที่หนึ่ง
จารึกของพระผู้ช่วยให้หลุดพ้นของโลก.
พระพุทธเจ้า
เจ้าชายสิทธัตถะ จารลงไว้บนโลก—
ในโลก,
สวรรค์ และนรกทั้งหลายอันหาเปรียบเปรยได้,
ทั้งปวงแห่งเกียรติยศ,
ที่สุดแห่งความฉลาด, ที่สุดแห่งควาดี, เวทนามากที่สุด;
ครูผู้สอนถึง
นิพพาน และ ธรรม.
แล้วก็มาถึงพระองค์ผู้กำเนิดอีกครั้งเพื่อมนุษย์.
ใต้วงวัฏจักรสูงสุดนั่งไว้ด้วยจาตุมหาราชท้าวทั้งสี่
ผู้ซึ่งปกครองโลกของเรา,
และภายใต้พวกเขาคือขอบเขตพื้นที่
ใกล้กว่า,
แต่สูงส่ง, ที่วิญญาณซึ่งไม่เป็นที่รักของเทพไท้วายชีวา
รอคอยสามคราหมื่นปี,
แล้วจึงมีชีวิตอีกครา;
และกับพระพุทธองค์,
รอคอยอยู่ที่ในนภากาศนั้น
มาเพื่อยังประโยชน์ของเราถึงห้าศุภนิมิตแน่นอนของการจุติ
แล้วดังนั้นปวงเทพล่วงรู้ถึงสัญญาณเหล่านั้น,
และกล่าวว่า,
“พุทธะ
จะลงไปช่วยโลกอีกคราแล้ว.”
“ใช่แล้ว!” พระองค์ตรัส, “บัดนี้เราจะลงไปช่วยโลก
สุดท้ายแห่งหลายครานี้; เพื่อการเกิดและการตาย
จงส่งเสริมให้เราและผู้ที่เรียนรู้หลักธรรมของเรา.
เราจะลงไปอยู่ในท่ามกล่างหมู่ศากยะ,
ข้างล่างของทางตอนใต้ของหิมะแห่งหิมาลัย,
ที่ซึ่งเหล่าผู้คนอันมีศรัทธาแก่กล้าอาศัยอยู่และราชาผู้นั้น.”
ราตรีนั้นมเหสีแห่งราชาสุทโธทนะ,
มายามหาราชินี,
บรรทมอยู่เคียงข้างท้าวไท้ของพระนาง
ได้ทรงสุบินอันเป็นนิมิตประหลาด; สุบินว่ามีดาราจากสรวงสวรรค์—
งามงด,
ฉัพพรรณรังสี, ในวรรณะไพฑูรย์กุหลาบ (rosy-pearl-คำเดิมต้นฉบับ),
และกระนั้นกลายกลับเป็นไอยรา
มีหกงาและขาวยิ่งไปกว่าน้ำนมของวาหุกะ
(Vahuka’s
milk-คำเดิมต้นฉบับ)—
พุ่งผ่านช่องบัญชรและ,
เจิดจรัสเข้าไปในพระนาง,
สู่ครรโภทของพระนางที่เผยรับ.
ทรงตื่นขึ้นมาจากบรรทม,
ปีติสุขจากสวรรค์ภพพ้นเลยจากของมารดามนุษย์
เต็มล้นทั่วพระอุระของพระนาง,
และครึ่งข้ามทั่วปฐพีก็สว่างไสวด้วยแสงอันงามงดจับใจ
นำมาก่อนอรุณ. ภูผาแกร่งตระหง่านสะท้านเสทือน; คลื่นน้ำ
จ่อมจมสงบนิ่ง; มวลบุปผาทั้งปวงที่โบกสะบัดในกลางวันโผล่ออกมา
ราวกับนั้นคือยามที่ยง; ไล่ลงไปสู่เหล่านรกภูมิอันแสนไกล
ความปีติของมหาราชินีได้ผ่านเลยไป,
ดังเมื่อแสงอาทิตย์สั่นซ่าน
ป่าพงไพรเรืองรองดุจทองคำ,
และเข้าไปในสู่ที่ลึกทั้งปวง
เสียงกระซิบละมุนสอดชอนไชขึ้นมา.
“โอ้ สูเจ้า,” มันว่า,
“ผู้ตายที่จะได้ยังชีวา,
ผู้อยู่ที่ได้สิ้นชีพ,
จงลุกขึ้น, และสดับ, และวาดหวัง! พุทธองค์ ทรงมาบังเกิดแล้ว!”
ในที่ขอบหุบเหวซึ่งนรกจำนวนนับไม่ถ้วนได้สันติสุขขึ้นมาก
แผ่กระจายออก,
และหทัยของโลกภูมิเต้นรัว, และสายลมพัดโบยโบก
ด้วยความสดชื่นไม่เป็นที่ได้รู้จักข้ามผ่านแดนดินและทะเลมหานทีทั้งหลาย
และเมื่อยามเช้าๆได้อรุณรุ่ง,
และเรื่องนี้ได้ถูกบอกกล่าวกันไป,
ผู้อ่านทำนายฝัน (grey
dream-reader-คำเดิมต้นฉบับ) ทั้งหลายต่างกล่าวว่า “พระสุบินนี้เป็นสิ่งดี!
ราศีกรกฏอยู่ในตำแหน่งสันธานกับ
อาทิตย์
มหาราชินี จะทรงให้กำเนิดพระโอรส,
ทารกศักดิ์สิทธิ์
ผู้มีความรอบรู้อันมหัศจรรย์,
เหนือผู้คนทั้งปวง,
ผู้ที่จะนำพามนุษย์ให้พ้นไปจากอวิชชา,
หรือปกครองโลกนี้,
ถ้าเขาจะทรงลดองค์ลงมาครอบครอง.”
ในเช่นนี้เองที่
พุทธะอันศักดิ์สิทธิ์ ได้กำเนิดขึ้นมา.
สิริมายามหาราชินี
ประทับเมื่อเที่ยงวัน, วันเวลาของพระนางได้เต็มเปี่ยมล้น,
ใต้ต้นสาละ (Palsa-คำเดิมต้นฉบับ) ในอุทยานของพระราชวัง
(Palace-grounds-คำเดิมต้นฉบับ),
ลำต้นตระหง่าน,
ตรงพุ่งขึ้นไปดุจปล่องวิหาร,
ด้วยมงกุฏของใบเหลือบมันและดอกหอมกรุ่นทั้งหลาย;
และ, ล่วงรู้ถึงเวลาได้มาถึงแล้ว—สำหรับสิ่งทั้งปวงที่รู้—
พฤกษานั้นตระหนักรู้ถึงได้ด้วยน้อมลงกิ่งก้านของตนลงเพื่อทำ
การคารวะต่อ
พระนางสิริมายามหาราชินี,
และปฐพีโลกก็ขับผุดมวลบุปผานับพันในทันใด
เพื่อที่จะแผ่พรมขยายที่ประทับเอนกาย,
ขณะ, พร้อมที่จะสรงสนาน,
ก้อนศิลาแข็งกล้ากลมมนก็ขับสายธารใสกระจ่างออกมา
ของการไหลดุจผลึกแก้ว.
เช่นนั้นเองที่พระนางได้ให้ประสูติการโอรสของพระนาง
ไร้ซึ่งเจ็บปวดทรมาน –
พระองค์ผู้นั้นสมบูรณ์ในรูปกาย
ด้วยปรุริสลักษณะ, สามสิบและสอง,
ของผู้ทรงพรศักดิ์สิทธิ์มาจุติ;
ซึ่งด้วยสาส์นอันยิ่งใหญ่ได้มาถึงพระราชวัง
และเมื่อพวกเขานำพระเสลี่ยงลงสีหลากสันมา
เพื่อนำพระองค์กลับราชฐาน,
ผู้แบกรับของเสาค้ำเสลี่ยงนั้น
คือจตุมหาราชท้าวทั้งสี่ของโลกภพ,
เสด็จทรงลงมา
จากยอดเขาพระสุเมรุ –
ท้าวเธอผู้จารึกในโองการมนุษย์
บนแผ่นขัดอร่ามเรือง – เทพแห่งทิศบูรพา,
ผู้ได้ครองร่างด้วยผ้าคลุมถักทอด้วยเงิน,
และขับประกาย
เลื่อมพรายดุจมุกข์: เทพแห่งทิศทักษิณ,
ซึ่งเหล่าพลของพระองค์, กุมภัณฑ์ (Kumbhandas-คำเดิมต้นฉบับ),
ทรงมาเหล่าอาชาสีฟ้า,
ด้วยโล่ห์บุษราคัม; เทพแห่งทิศประจิม,
โดย พลนาคา (Nâgas-คำเดิมต้นฉบับ)
ได้ติดตามมา, ทรงเหล่าม้าอาชา-สีแดง-โลหิต,
โดยโล่ห์ปะการัง; เทพแห่งทิศอุดร,
ห้อมล้อมด้วยเหล่าพลยักษา (Yakshas-คำเดิมต้นฉบับ),
ทั้งหมดในอาชาสีทอง,
และเหลืองอร่ามองค์,
ทรงโล่ห์ทองคำ.
เหล่านี้,
ด้วยการปรากฏอย่างเอิกเกริกของพวกเขา, ลงมา
และเข้ารับเสาเสลี่ยงทรงอันนั้น,
ด้วยลำดับชั้นวรรณะและผังภูมิเบื้องหน้า
เยี่ยงเหล่าผู้แบกหามทั้งหลาย,
กระนั้นเทพเทวาผู้ยิ่งใหญ่ทรงศักดิ์และเทวะทั้งหลาย
จรดลได้ด้วยกันกับมนุษย์สามัญในวันนั้น,
โดยที่มนุษย์ทั้งปวงหาได้ล่วงรู้ไม่;
เพราะสวรรค์นั้นได้เต็มไปด้วยปีติให้กับประโยชน์ของโลกภพ,
ที่ได้รับรู้การมาถึงอีกคราขององค์พุทธะ.
แต่ราชาสุทโธฑนะหาได้ทรงทราบในเรื่องนี้ด้วยไม่;
ลางยุ่งยากร้ายปรากฏ,
ในเมื่อโหราพยากรณ์ฝัน
ได้ทำนายทักว่าเจ้าชายผู้ครองแดนดินทั่วโลกานั้น,
เฉกเช่นจักรพรรดิ (Chakravartîn-คำเดิมต้นฉบับ),
เฉกเช่นจุติมาเพื่อปกครอง
หนเดียวในแต่แต่ละพันปี; เจ็ดสวรรค์สมบัติประทานที่พระองค์ทรงมี –
จักรา-รัตนะ (Chakra-ratna-คำเดิมต้นฉบับ), กงจักรสวรรค์; อัญมณีแก้ว;
ม้าแก้ว, อาศวะ-รัตนะ (Aswa-ratna-คำเดิมต้นฉบับ), อาชาอันสูงสง่า
ที่เหินเหยียบเมฆา; ช้างเผือก-ขาวหิมะ,
หัสดี-รัตนะ (Hasti-ratna-คำเดิมต้นฉบับ), กำเนิดมาเพื่อองค์ราชาของตน;
เสนาบดีชาญศึก, ขุนพล
ไร้พ่าย,
และมเหสีผู้งามสง่าไร้ที่เปรียบทั่วหล้า,
อิสตรี-รัตนะ (Istrî-ratna-คำเดิมต้นฉบับ), น่ารักยิ่งไปกว่าอรุณเทวี (the Dawn-คำเดิมต้นฉบับ).
สมบัติอื่นใดเล่าจะเป็นที่ให้มองหาด้วยต่อทารกมหัศจรรย์นี้,
พระราชาได้บัญชาว่านคราของพระองค์นั้นจักได้
เฉลิมฉลองการใหญ่;
ดั่งนั้นวิถีทางต่างกลาดเช็ดถุไปทั้งหมด,
กลีบกุหลาบโปรยปรายโชยกลิ่นพร่างไปทั่วมรรคา,
ต้นพฤกษาแขวนห้อมโคมประทีปและธงทิวประดับ,
ขณะที่ฝูงชนเริงร่า
อ้าปากของตนกลืนลงไปของนักเล่นดาบและเหล่านักดัดตน,
เหล่านักโยนกลของ, หมองู, นักไต่เชือก,
หญิงระบำในชุดกระโปรงและกระพรวน
ที่กังวานดุจเสียงหัวเราะเบาบางที่ข้อเท้าของนางยามขยับเท้าไปไม่หยุด;
เหล่าผู้สวมหน้ากากห่มตนอยู่ด้วยหนังของหมีและกวาง.
เหล่านักฝึกเสือเชื่อง,
เหล่านักมวยปล้ำ, นักแข่งตีนกกระทา,
เหล่านักตีกลองและนักดีดเส้นลวด,
เหล่าผู้สร้างความสุขแก่ผู้คนตามบัญชา.
มากมายไหลหลั่งมาจากแดนไกลด้วยพ่อค้าวาณิชย์,
นำเอามาซึ่ง,
เมื่อทราบข่าวการประสูตินี้, ของขวัญล้ำค่า
ในถาดทอง; ผ้าคลุมหนังแพะ,
และไม้หอมหิมาลัยและหยกมณี,
ผ้าเช็ดตัวเตอร์กิส,
สี”ฟ้าสายัณห์”, ถักทอใยละเอียด --
สิบสองพับไร้รอยย่นดุจใบหน้าอ่อนน้อมถ่อมตน
--
ผ้าแถบคาดเอวถักทอหนาด้วยมุกข์มณี,
และรองเท้ารัดสายไม้หอม;
เป็นคารยะบรรณาการจากนครทั้งหลาย; ดังที่พวกเขาขานนาม
เจ้าชายของพวกตนว่า
เจ้าชายสาวารธะสิทธ (Prince Savârthasiddh-คำเดิมต้นฉบับ), “สำเร็จผลทั้งปวง”
โดยย่อกว่าว่า,
สิทธัตถะ (Siddártha.-คำเดิมต้นฉบับ).
ในท่ามกลางนั้นเหล่าแขกต่างถิ่นได้มาเยือน
ดาบสเกศาเทา,
อชิตะ, ผู้มีหูทั้งสอง,
ยาวลงแทบถึงพื้นปฐพี,
ได้รับสำเนียงสวรรค์นี้,
และได้สดับยามภาวนาอยู่ใต้โพธิพฤกษ์ของตนนั้น
ถึงบทเพลงซึ่งปวงเทพไท้ได้ขับขานที่การประสูติของพุทธองค์.
มหัศจรรย์ในตำนานเล่าขานผ่านนานมาในวัยของตน;
พระองค์; ทรงบรรมนิ่งสงบ, ดูช่างน่าเคารพยิ่งนัก,
องค์ราชาทรงกระทำคารวะและมายามหาราชินีทรงได้
วางโอรสของพระนางทอดสู่แทบเท้าศักดิ์สิทธิ์นั้น;
แต่เมื่อดาบสเห็นซึ่งเจ้าชาย
ผู้เฒ่าก็รีบร้องออกมาว่า
“อ้า,
องค์ราชินี, เยี่ยงนี้หาได้ไม่!” และการนั้นเขาได้ก้มลงสัมผัส
แปดคราซึ่งธุลี,
วางใบหน้ายุ่งยากใจไว้ ณ ที่นั้น,
พลางกล่าวว่า,
“โอ ทารก! ข้าขอคารวะ! พระองค์ผู้สถิต!
ข้าเห็นซึ่งจุดสัญลักษณ์สีกุหลาบ,
ที่ส้นพระบาท,
โลมาอ่อนขนดเป็นรูปสวัสดิกะ
(Swastika-คำเดิมต้นฉบับ),
สัญลักษณ์ต้นกำเนิดศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามสิบและอีกสอง,
แปดสิบจุดเครื่องแสดงเล็ก.
ดังที่เป็นขององคืท่าน พุทธะ,
และองค์ท่านจะได้ทรงเทศนาสอนสั่งธรรมและช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งปวง
ผู้ได้เรียนรู้ซึ่งธรรม,
ที่กระนั้นข้าจะไม่มีวันได้ยินด้วย,
การสิ้นชีพเร็วเกินไป,
ผู้ที่ได้ล่วงลับไปก่อนการ;
อย่างไรก็ตามทีที่ข้ายังได้เห็น
องค์ท่าน. ได้รู้เช่นนั้น, โอ ราชา!
นี้คือดอกผลของพฤกษามนุษย์
ที่เผยผลิออกเพียงครั้งในหมื่นปี--
แต่ได้เผยออก,
เติมเต็มโลกภพด้วยกลิ่นอายแห่งปัญญา
และหยดหยาดน้ำผึ้งของความรัก; จากรากศักดิ์สิทธิ์ขององค์ท่าน
บัวแห่งสวรรค์ที่ผลิบาน; อ้า, สุขราชสำนัก!
กระนั้นยังมิได้มีความสุขกันไปทั้งหมด,
เพราะดาบย่อมต้องทิ่มแทง
ลำไส้ทั้งหลายเพื่อเด็กชายนี้
– เช่นนั้นเององค์ท่าน, มหาราชินี ที่รัก!
เป็นที่รักใคร่ต่อเทพและมนุษย์ทั้งปวงสำหรับมหาจุติการนี้,
นับแต่นี้ต่อไปองค์ท่านจะศักดิ์สิทธิ์เติบใหญ่เกินไปกว่าความโศกาใด,
และชีวิตนั้นก็คือความโศกเศร้า,
กระนั้นในเจ็ดเพลากาล
พระนางเจ้าจะไร้ความใกล้ชิดซึ่งความเจ็บปวดใดอีกต่อไป.”
ซึ่งล่วงเลยต่อมา; ในเจ็ดเพลาแห่งสายัณห์
พระนางสิริมายามหาราชินีบรรทมแย้มสรวล,
และมิได้ตื่นขึ้นมาอีกต่อไป,
ผ่านพ้นสังสารนี้ไปสู่สวรรค์ชั้น
ปรนิมมิตวสวัตดี (Trâyastrinshas-Heaven-คำเดืมต้นฉบับ),
ที่แห่งเทพเทวนับพ้นคณาสรรเสริญสักการะพระนางและรอ
เฝ้ารับด้วยรัศมีต่อพระมหามารดานั้น.
แต่สำหรับองค์ทารกนั้นพวกเขาได้ผู้เป็นพระพี่เลี้ยง
เจ้าหญิงมหาปชาบดี
(Princess Mahâprajâpati-คำเดิมต้นฉบับ) – พระอุระของพระนาง
บำรุงเลี้ยงด้วยน้ำนมทรงศักดิ์สู่โอษฐ์ขององค์ท่าน
ที่ริมพระโอษฐ์ของพระองค์ประโลมทั้งแดนไตร.
เมื่ออัฐวรรษาได้ผ่านไป
พระราชาผู้เอาใจใส่ได้คิดที่จะสอนสั่งพระโอรสของตน
ในทั้งปวงสรรพวิชชาที่เจ้าชายพึงศึกษา,
เพราะองค์ราชายังคงเลี่ยงหลีก
ลางพยากรณ์ที่ใหญ่หลวงเกินไปของมหัศจรรย์เหล่านั้น,
ความปีติสุขและความทุกข์ทรมานขององค์พุทธะ.
ดังนั้น,
จึ่งในสภาเสนาบดีครบองค์ของราชา,
“ผู้ใดฤาที่ชาญฉลาดที่สุด,
ท่านเสนาบดีใหญ่ทั้งหลาย,” ราชะตรัสถาม,
“ที่จะมาสอนสั่งเจ้าชายของข้าในสิ่งที่เจ้าชายทั้งหลายควรได้รู้?”
ที่นั้นต่างได้ให้คำตอบในแต่ละเสนาบดีในทันทีนั้นว่า
“องค์ราชะ! วิศวามิตร
คือผู้ชาญฉลาดที่สุด,
ผู้มองได้เห็นไกลในพระคัมภีร์เวท,
และดีที่สุด
ในการศึกษา,
และสรรพศิลปศาสตร์, และทั้งปวง.”
ดั่งนั้นเองที่
วิศวามิตรได้มาและรับบัญชา;
และ, ในศุภวารนั้นเอง,
เจ้าชายนั้น
ได้ทรงสวมฉลองพระบาทหนังโคแดง-พื้นไม้,
ประดับงามงดด้วยอัณมณีที่ริมรอบขอบ,
และพรมพร่างด้วยละอองเนียนนุ่มของผงแร่สี,
เหล่าเช่นนี้ที่พระองค์ทรง,
และเครื่องเขียนขององค์ท่าน, และประทับยืน
ด้วยพระเนตรก้มลงต่ำต่อหน้าดาบส,
ผู้กล่าว,
“เด็กเอย, จงเขียนคำตามคัมภีร์นี้,”
เปล่งวาจาอย่างช้าในโศลก
“กายตรี” (Gâyatrî-คำเดิมต้นฉบับ) นามนั้น,
ซึ่งมีแต่ผู้กำเนิดชนชั้นสูงจึงจะได้สดับ: --
โอม, ตัสสะวิทุรวาเรนยัม
ภารโก เทวาสยะ ธิมาหิ
ธิโย โย นะ ปราโชฑยัต.
(Om, tatsaviturvarenyam
Bhargo devasya dhîmahi
Dhiyo yo na prachodayât.
Bhargo devasya dhîmahi
Dhiyo yo na prachodayât.
- คำเดิมต้นฉบับ)
“อาจารย์, ข้าเขียนแล้ว,”
เจ้าชายน้อย
ตอบอย่างนอบน้อม,
และขีดวาดลงฝุ่นไปในทันทีของพระองค์—
ไม่ใช่แต่เพียงหนึ่งลายอักขระ,
แต่ด้วยลักษณะมากมาย –
โศลกศักดิ์สิทธิ์; เทวนาครี (Nagri-คำเดิมต้นฉบับ)
และ ทักษิณ (Dakshin-คำเดิมต้นฉบับ), นี (Nî-คำเดิมต้นฉบับ),
มังกาล (Mangal-คำเดิมต้นฉบับ), ปารุชะ (Parusha-คำเดิมต้นฉบับ), ยาวะ (Yava-คำเดิมต้นฉบับ),
ตีรติ (Tirthi-คำเดิมต้นฉบับ), อุค (Uk-คำเดิมต้นฉบับ), ฑารัฑ (Darad-คำเดิมต้นฉบับ), สิกขยานิ (Sikhyani-คำเดิมต้นฉบับ), มานะ (Mana-คำเดิมต้นฉบับ), มัธยาจาร (Madhyachar-คำเดิมต้นฉบับ),
การเขียนเป็นภาพและคำพูดของสัญลักษณ์ทั้งหลาย,
เครื่องหมายแสดงทั้งหลายของพวกคนถ้ำและคนทะเล,
ของพวกที่บูชางู (นาค-ผู้แปล) ใต้ปฐพีโลก,
และพวกที่บูชาไฟและการโคจรของสุริยัน,
พวกขมังเวทย์ และ
ผู้อาศัยอยู่ตามเนินดิน;
ทุกบรรดาชนชาติผ่านอักขระแปลกๆที่พระองค์ทรงสืบเสาะมา
อักขระแล้วเล่าตามติดต่อกันไปด้วยไม้เขียนของพระองค์
ตามการอ่านมนต์ของพระอาจารย์ในทุกคำภาษา;
และ วิศวามิตร กล่าว,
“พอได้แล้ว,
เรามานับเลขกันเถิด.
จงเอ่ยตามต่อจากข้า
โดยจำนวนเลขของเจ้าจนกว่าเราจะไปถึง
ลักขะ-แสน (Lakh-คำเดิมต้นฉบับ),
หนึ่ง, สอง, สาม, สี่, ถึง
สิบ, และแล้วโดย สิบ
ถึง ร้อย, พัน.”
หลังจากที่เขากล่าว เด็กชายก็
บอกชื่อตัวเลขหน่วย, สิบ, ร้อย; โดยไม่หยุดพัก,
รอบของ ลักขะ-แสนไปถึง,
แต่พึมพัมแผ่วเบาต่อไปว่า
“แล้วก็เป็น โกฏิ (kôti-คำเดิมต้นฉบับ), นาฮัต (nahut-คำเดิมต้นฉบับ), นินนาฮัต
(ninnahut-คำเดิมต้นฉบับ),
กัมบะ (Khamba-คำเดิมต้นฉบับ), วิศกัมบะ (viskhamba-คำเดิมต้นฉบับ), อบับ (abab-คำเดิมต้นฉบับ),
อัตตะตา (attata-คำเดิมต้นฉบับ),
ถึง กุมุดส์ (kumuds-คำเดิมต้นฉบับ), กุนธิกะ (gundhikas-คำเดิมต้นฉบับ), และ อัตปาลาส
(utpalas-คำเดิมต้นฉบับ),
จาก ปันฑริกะ (pundarîkas-คำเดิมต้นฉบับ) ไปจนถึง ปาฑุมะ (padumas-คำเดิมต้นฉบับ),
ซึ่งท้ายสุดที่คนเราจะรับจำนวนมากที่สุดประหนึ่งยอดเขาหินหยาบแกร่ง
ของภูเขาหัสดาคีรี (Hastagiri-คำเดิมต้นฉบับ) ที่กลายลงมาเป็นฝุ่นละเอียด;
แต่พ้นเลยไปจากจำนวนนั้นคือ,
กถา (Kâtha-คำเดิมต้นฉบับ),
ที่ใช้นับดวงดาราในยามค่ำคืน;
โกฏิ-กถา (Kôti-Kâtha-คำเดิมต้นฉบับ), สำหรับหยดน้ำในมหาสมุทร;
อิงคะ (Ingga-คำเดิมต้นฉบับ), ระบบการคำนวณของวงกลม;
สารวนิกชีปะ (Sarvanikchepa-คำเดิมต้นฉบับ), ตามสิ่งที่เข้าไปเกี่ยวข้อง
กับทั้งหมดของเม็ดทรายของคงคามหานที,
จนกระทั่งมาถึง
อันตหะ-กัลป์ (Antah-Kalpas-คำเดิมต้นฉบับ), ที่หน่วยนับนี้คือ
เม็ดทรายของสิบโกฏิคงคามหานที. ถ้าผู้ใดเสาะหา
สัดส่วนขนาดที่ครอบคลุมมากกว่านี้,
คือจำนวนทางคณิต
เป็น อสงไขย (Asankya-คำเดิมต้นฉบับ), ซึ่งเป็นเรื่องเล่าขาน
ถึงหยดน้ำทั้งหมดในสิบพันปี
ที่จะตกลงมาบนโลกภูมิเป็นฝนทุกวัน;
นับจากนั้นไปก็เป็นถึง มหากัลปะ (Maha Kalpas-คำเดิมต้นฉบับ), ซึ่งคือ
เหล่าเทวะ
ใช้คำนวณอนาคตของพวกเขาและอดีตของพวกเขา.”
“นี่ดีเลิศแท้,” ดาบสตอบกลับ,
“เจ้าชายผู้เลอศักดิ์,
ถ้าพระองค์ได้ทรงรู้แล้ว,
จำเป็นหรือที่ข้าควรจะสอน
การคำนวณของระยะวัดเช่นนี้?
เด็กชายตอบอย่างถ่อมตนว่า,
“พระอาจารย์ (Acharya-คำเดิมต้นฉบับ) !”
“ขอท่านจงกรุณาได้สดับข้า.
ปรมนัส (Paramânus-คำเดิมต้นฉบับ) สิบ
ที่ ปรสุกชมะ (parasukshma-คำเดิมต้นฉบับ) ทำ;
สิบเท่าของพวกนั้นสร้าง
ทราสะรินี (trasarene-คำเดิมต้นฉบับ), และเจ็ด ทราสะรินี (trasarene-คำเดิมต้นฉบับ)
หนึ่ง โมท (mote-คำเดิมต้นฉบับ) ยาวธุลี ลอยอยู่ในลำแสงไฟ,
เจ็ด โมท (mote-คำเดิมต้นฉบับ)
เป็นจุดของหนวดหนู,
สิบเท่าของสิ่งนี้
เป็นหนึ่ง ลิไขย (likhya-คำเดิมต้นฉบับ); ลิไขย สิบเท่าของ ยุค (yuka-คำเดิมต้นฉบับ), สิบ
ยุค (yuka-คำเดิมต้นฉบับ) คือหนึ่งหัวใจของข้าวสาลี, ซึ่งถือเอา
เป็นเจ็ดเท่าของเอว-แตน;
นั่นคือไปจนถึงเมล็ดของ
ถั่วเขียว (mung-คำเดิมต้นฉบับ)และมัสตาร์ดและข้าวบาร์เลย์,
ที่ซึ่ง สิบ เป็นข้อนิ้ว, สิบสองข้อนิ้ว
เป็น คืบ, ซึ่งจากที่เราไปถึง
คูบิท (cubit-คำเดิมต้นฉบับ/ประมาณ18-22
นิ้ว),
ไม้ค้ำ (staff-คำเดิมต้นฉบับ),
ความยาวของคันธนู (bow-length-คำเดิมต้นฉบับ);
ขณะที่ยี่สิบความยาวของ หลาว (lance-คำเดิมต้นฉบับ)
มีติ (Mete-คำเดิมต้นฉบับ) คืออะไรที่ตั้งชื่อ หนึ่ง”ลมหายใจ (breath-คำเดิมต้นฉบับ),” ซึ่งจะได้กล่าว
ว่าช่องว่างเช่นนั้นที่คนเราสามารถสูดเข้าไปได้เต็มปอดในหนึ่งครา,
ที่ซึ่ง กาว (gow-คำเดิมต้นฉบับ) นั้นคือ สี่สิบ,
สี่เท่านั้นคือ
โยชน์ (yôjana-คำเดิมต้นฉบับ); และ, ท่านอาจารย์! ถ้าจะกรุณา,
ข้าจะได้ท่องซ้ำว่ามีธุลี-อาทิตย์ทอดวาง
จากสุดถึงสุดภายในหนึ่ง โยชน์ (yôjana-คำเดิมต้นฉบับ)
นั้นเอง, ด้วยทักษะฉับพลัน,
เจ้าชายน้อย
เปล่งคำสะกดถึงสูงสุดของปรมาณู.
แต่ วิศวมิตร
ได้ยินมันบนใบหน้าของเขา
หมอบราบต่อเด็กชายนั้น; “สำหรับองค์ท่านแล้ว,”
เขาร้อง,
ผู้คือครูศิลปศาสตร์ของครูท่านทั้งปวง
– คือองค์ท่าน, หาใช่ข้าไม่,
คุรุแห่งศิลปศาสตร์. โอ ข้าขอคารวะต่อท่าน, เจ้าชายที่รัก!
ที่ได้มาสู่สำนักแห่งข้านี้เพียงเพื่อแสดง
ความรู้ขององค์ท่านทั้งปวงโดยปราศจากตำรา,
และความรู้ที่สุด
เหนือความเคารพใดทัดเทียม.”
ด้วยซึ่งความเคารพนับถือที่
องค์พุทธะ
ได้ยึดถือต่อสิกขาจารย์เหล่านั้น,
แม้ว่าพ้นเลยไปจากจากการสอนเรียนของพวกเขา; ในคำกล่าวซึ่ง
อ่อนน้อมถูกต้อง,
กระนั้นก็ช่างฉลาดล้ำ;
ด้วยจริยวัตรของเจ้าชาย,
กิริยา-นุ่มนวลกระนั้น; ถ่อมตน, เชื่อฟัง,
และจิตใจอ่อนโยน,
ถึงจะมีสายโลหิตซึ่งไร้ความกลัว;
ไม่มีนักขี่ม้าใดในกองทหารหนุ่มหาญกล้ากว่า
ที่ได้เคยขี่คะนองไล่ล่าต้อนละมั่งที่ตื่นอาย;
ไม่มีนักขับรถศึกใดชาญฉลาดกว่า
ในการแข่งขันจำลองศึกแห่งราชสำนัก;
กระนั้นในระหว่างการเล่นเด็กชายก็จะหยุดยั้งละเว้น
ปล่อยให้กวางนั้นหนีผ่านไปได้; การหยุดยั้งนั้นยินยอมต่อ
การแข่งขันที่พระองค์กึ่ง-ชนะเพราะเหล่าอาชาที่ออกแรงนั้น
สูดลมหายใจเข้าไปอย่างหนักหน่วงปวดร้าว,
หรือว่าเหล่าสหาเจ้าชายของพระองค์
เศร้าโศกใจที่พวกตนพ่ายแพ้,
หรือว่าเพราะบางความฝันอันโหยหา
กวาดเอาความคิดทั้งหลายของพระองค์ไป. และได้เป็นไปในหลายปีนั้น
เคลือบไขสีผึ้งลงในมหากรุณาธิคุณขององค์พุทธะเรานี้,
เป็นกระทั่งเฉกเช่นมหาพฤกษาเติบโตขึ้นมาจากสองใบนุ่มอ่อน
ที่จะแผ่ขยายร่มเงาของออกไปไกล; แต่ก็แทบยังมิอาจ
ตระหนักรู้ได้ถึงความโศกา,
เจ็บปวด, หรือน้ำตา, ของพระองค์
ที่ปรารถนาช่วยในทุกสรรพสิ่งหาใช่เพราะโดยราชาทั้งหลายใด,
หรือว่าจะได้รู้สึกได้.
แต่เป็นที่ตื่นตระหนก
ที่อุทยานหลวงในวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ
ฝูงหงส์ป่าบินผ่านมา,
เดินทางสู่ทางเหนือ
ยังที่ตั้งรังของพวกตนที่เชิงเขาหิมาลัย.
เปล่งเสียงแห่งรักร่อนไปเป็นแนวแถวของหิมะ
ที่วิหคเจิดจ้าบินมา,
ด้วยความรักใคร่นำทาง;
แล้ว เทวฑัต,
พระญาติของเจ้าชาย,
ชี้คันศรของเขาไปยัง,
และปล่อยลูกศรไปดั่งใจหมาย
ซึ่งประสบเข้ากับปีกกว้างของหงส์หัวหน้าฝูง
ที่นำขบวนแผ่กระจายออกไปอิสระในวิถีท้องฟ้า.
ดังนั้นมันจึงร่วงลง,
บิดกายปวดร้าวด้วยต้องศรฝัง,
เลือกสีแดงสดหลั่งทะลักเปื้อนพรมพร่างขนขาวพิสุทธิ์นั้น.
ด้วยเห็นเช่นนั้น,
เจ้าชายสิทธัตถะอุ้มนกหงส์นั้นขึ้นมา
อย่างอ่อนโยน,
วางลงบนตักของพระองค์ –
นั่งอยู่ไว้โดยไขว้เข่า,
ที่ พุทธองค์ ทรงนั่งนั้น—
และ,
ปลอบประโลมด้วยสัมผัสต่อสัตว์ป่าอันตื่นกลัวนั้น,
จัดเรียงขนที่ยุ่งเหยิงของมันให้,
ทำความสงบให้แก่หัวใจอันเต้นรัวของมัน,
ลูบไล้ให้มันคืนสู่สงบสันติด้วยฝ่าพระหัตถ์อันเบาแผ่วกรุณา
ดุจดังใบไม้อ่อนที่แรกผลิคลี่ม้วนคลายออกได้หนึ่งชั่วโมงมา;
และขณะเดียวกันด้วยพระหัตถ์ซ้ายกุมมั่น,
พระหัตถืดึงถอน
เหล็กแหลมโหดร้ายออกมาจากบาดแผลและวาง
ใบไม้เย็นฉ่ำและน้ำผึ้งรักษาบาดแผลลงไปอย่างประณีตนั้น.
กระนั้นเองที่ทั้งหมดนั้นจะล่วงรู้รู้ได้เพียงน้อยนิดในความปวดร้าวของเด้กชายนั้น
ถึงใจจดจ่อถ่ายลงสู่ข้อพระหัตถ์ของพระองค์ที่กดลงไป
ที่เงี่ยงลูกศร,
และสะดุ้งถดถอยเมื่อรู้สึกถึงการทิ่มแทงของมัน,
และหันกลับมาด้วยน้ำตาเพื่อปลอบโยนวิหคหงส์ของพระองค์อีกครา.
แล้วผู้หนึ่งก็เข้ามาถึงและกล่าวว่า,
“เจ้าชายของข้าองค์ท่านทรงได้ยิง
หงส์ตัวนี้,
ซึ่งร่วงมาท่ามกลางกลุ่มกุหลาบที่นี่,
องค์ท่านทรงให้ข้าน้อยมาขอให้พระองค์ส่งมันมา. พระองค์จะทรงมอบมันฤา?”
“ไม่หรอก,”
สิทธัตถะ ได้ตรัสตอบ, “ถ้าวิหคตัวนี้ได้เสียชีวิตลงแล้ว
การมอบมันให้กับผู้สังหารมันก็ควรจะเป็นการถูกต้อง.
แต่หงส์นี้ยังมีชีวิตอยู่; พระญาติของข้าองค์ท่านทรงเพียงแต่ฆ่าได้
แค่ด้วยความเร็วดุจเทวะที่ทะลวงเข้าในที่ปีกขาวนี้.”
และ เทวฑัต
กล่าวตอบว่า, “เจ้าสัตว์ป่านี้,
เป็นหรือตาย,
ก็ย่อมตกเป็นของผู้ที่เอามันลงมา;
ดังเมื่อไม่มีผู้ใดในเมฆาเหล่านั้น,
แต่ร่วงลงมานี้เพราะฝีมือของข้า,
จงคืนรางวัลนี้มาให้แก่ข้าเถิด,
พระญาติผู้เที่ยงธรรม.” แลล้วองค์ท่านของเรา
ก็ทรงวางคอของหงส์นั้นแนบข้างแก้มอันอ่อนนุ่มของพระองค์
และตรัสตอบอย่างจริงจังว่า,
“บอกได้เลยว่าไม่! วิหคนี้เป็นของข้า,
สิ่งแรกในหลายสรรพสิ่งที่จะเป็นของข้า
ด้วยสิทธิของความกรุณาและจริยะในรัก.
เพราะในบัดนี้ข้าได้รู้,
ถึงอะไรที่ก่อกวนของภายในตัวข้า,
ว่าข้านั้นจักสอนสั่งถึงความกรุณาต่อผู้คน
และเป็นผู้ถ่ายทอดความหมายต่อโลกไร้จำนรรจานี้,
วางสมอลงในมหานทีท่วมท้นอันน่าชิงชังนี้แห่งทุกข์นี้,
ไม่ใช่เพียงแค่ตามลำพัง,
แต่, ถ้าเจ้าชายนี้จะโต้แย้งอ้าง,
ขอจงให้เขานำเอาเหตุนี้ไปยังนักปราชญ์
และเราจะรอคำตอบนั้น.”
ดังนั้นจะเป็นเช่นที่ว่า;
ในมหาสภาของทั้งปวงที่การนี้ได้นำมาถกเถียง,
และหลายความคิดเช่นนี้และหลายความคิดเช่นนั้น,
จนกระทั่งมีนักบวชไร้ชื่อเสียงผู้หนึ่งได้ลุกขึ้นกล่าวว่า,
“ถ้าชีวิตจะเป็นเช่นไรก็ตามที,
ผู้ช่วยชีวิตนั้นเอาไว้
ย่อมควรเป็นเจ้าของได้ในสิ่งมีชีวิตนั้นมากกว่า
ผู้ที่เสาะหาที่จะประหาร
– ผู้สังหารนั้นทำลายและฆ่าให้เสียประโยชน์
ผู้รักและเมตตาจรรโลงไว้ให้ยั่งยืน,
จงให้วิหคนั้นแก่ผู้นั้นเถิด.”
ด้วยการพิจารณาตัดสินอันทั้งหมดได้ค้นพบซึ่งเที่ยงธรรม,
แต่เมื่อพระราชา
ทรงเสาะหาตัวนักบวชซึ่งทรงภูมินั้น,
เขาก็ได้จากไปแล้ว,
และมีบางคนเห็นงูแผ่พังพานเลื้อยคลานนำหน้าไป,
--
เทพทั้งหลายได้ทรงมาเยือน
กระนั้น! กิระนั้น องค์พุทธะ
ของเรา
ได้เริ่มต้นภารกิจแห่งมหากรุณาของพระองค์ขึ้นแล้ว.
ถึงเช่นนั้นก็ตามที่ไม่มีมากขึ้นนัก
ที่ได้ล่วงรู้ว่าพระองค์นั้นยังติดในบ่วงโศกเศร้ากว่าวิหคตัวนั้น,
ที่ซึ่ง, ถูกรักษา,
และจากไปอย่างร่าเริงต่อฝูงของมัน.
แต่ในอีกวันหนึ่งต่อมา
พระราชาได้ตรัสขึ้นว่า, “จงมาเถิด,
โอรสที่รัก!
และได้เห็นความงามน่ายินดีของฤดูใบไม้ผลิ,
และว่าแม่พระธรณีอันอิ่มสมบูรณ์ได้ถูกเว้าวอนให้จำนน
ส่งความอุดมสพรั่งแก่ผู้เก็บเกี่ยวเช่นไร; ว่าอณาจักรของข้านั้น –
ซึ่งจะตกเป็นของเจ้าเมื่อกองฟอนสุมไฟให้แก่ร่างของข้า
–
ให้อาหารเลี้ยงดูแก่ทุกปากและให้พระทัยเต็มตื้นตลอดมาในองค์ราชา.
งามสพร่งคือฤดูกาลนั้นด้วยใบไม้แรกผลิ,
ดอกไม้แรกแย้มสดใส,
หญ้าเขียวขจี,
และร่ำร้องถึงเวลาไถหว่าน.” ดังนั้นพวกเขาจึงได้ทรงเสด็จ
เข้าสู่ดินแดนของต้นน้ำและสวนทั้งหลาย,
ที่ซึ่ง,
ทั้งหมดอันขึ้นและลงไปตามดินอุดมอันแดงก่ำนั้น,
แอกไถ
หนักตึงรั้งอยู่บนบ่าหนอกของโคที่ไหวเคลื่อนกายา
ยามลากเอาผานใหญ่แหวกไป; ดินอุดมถูกดันขึ้นและม้วนลง
เป้นคลื่นดำอ่อนตัวตามผานไถ; ผู้ขี่คันไถ
ปักเท้าสองข้างหยั่งยันกระดานกระดกท้ายผานลงไป
เพื่อทำให้เกิดร่องคูลึก; ในท่ามกลางกลุ่มต้นปาล์มนั้น
เสียงกังวานใสของผิวน้ำเป็นระลอกไหลดังแผ่วขึ้นมา,
และที่ใดที่มันไปถึงผืนดินยินดีปรีดาและถักชุนรองรับด้วยในพลัน
ด้วยต้นเทียนและใบแหลมของตะไคร้ (lemon-grass
– คำเดิมต้นฉบับ).
ที่อื่นนั้นผู้หว่านเมล็ดที่เดินหน้าตามไปเพื่อหว่าน;
และบรรดาป่าทั้งปวงต่างหัวเราะด้วยเพลงรวงรัง,
และบรรดาหมู่ไม้พุ่มส่งเสียงเสียดใบด้วยชีวิตน้อย
ของกิ้งก่า, ผึ้ง, ด้วง
และสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย
ปรีดายิ่งในยามกาลใบไม้ผลิ. ในกลุ่มเกสรดอกมะม่วง
เหล่านกตัวน้อยนิดบินฉวัดเฉวียน; ตามลำพังยังมานะพยายาม
ทุ่มเทหนักดังคือนกตีทอง; นกจาบคา (bee-eater-คำเดิมต้นฉบับ) โฉบสูง
ไล่ตามเหล่าผีเสื้อม่วง; เบื้องล่างใต้นั้น,
กระเล็นหูสั้น (striped
squirrel-คำเดิมต้นฉบับ) ไล่แข่งขันกัน, นกขุนทองเชิดเงยและจิกกิน,
เหล่าเก้าสาวน้ำตาลตัวน้อยนั่งซุบซิบกันอยู่ในดงหนามไหน่,
ปลาเสือลายพร้อยสดใสลอยตัวขึ้นมาเหนือผิวสระน้ำ,
นกกระยางย่างตตามติดเหล่าฝูงกระบือ.
ว่าวหลากหลายลอยฟ่องวนอยู่บนทองนภาสีทอง;
ใกล้กับกลุ่มนกยูงรำแพนสีวาวแวว,
คือนกเขาน้ำเงินส่งเสียงคูขันมาในทุกที่,
ไกลออกไป
เสียงตีกลองจากหมู่บ้านบ่งถึงพิธีแต่งงานของใครบางคน;
ทุกสรรพสิ่งจำนรรจาด้วยสันติสุขและบริบูรณ์,
และเจ้าชายน้อย
ได้เห็นและได้ปีติสุข. แต่, เมื่อมองลึกลงไป, พระองค์ก็ได้เห็น
ซึ่งหนามไหน่ที่ได้เติบโตขึ้นมาในชีวิตดุจดอกกุหลาบนี้;
ว่าชาวนาผิวดำคล้ำเหงื่อท่วมกายจากการออกแรงของตน,
ตรากตรำหาหยุดพักเพื่อยังชีวาได้อย่างไร; และว่าเขากระตุ้นเตือน
โคตาโตใหญ่ให้ตลุยผ่านหลายวเพลาอันร้อนระอุไปอย่างไร,
หวดขนาบสีข้างขนอุยดุจกำมะหยี่ของพวกมัน; แล้วสร้างรอยแก่เขา, ด้วยเช่นกัน,
ว่ากิ้งก่าเลี้ยงตนเอาจากมดกินมดอย่างไร,
และงูใหญ่กว่ากระทำกับมันเช่นกัน,
และนกเหยี่ยวน้อยจัดการทั้งคู่ต่อไปอย่างไร; ปลาเหยี่ยวขโมย
ปลาเสือในสิ่งที่มันจับได้ไปอย่างไร;
นกเฉี่ยวบุ้งไล่ตามนกกางเขน,
ที่ก็ไล่จับ
ผีเสื้ออัญมณี: กระทั่งในทุกแห่งที่
แต่ละที่ได้เป็นผู้ฆ่าแล้วได้กลายมาเป็นผู้ถูกฆ่า,
ชีวิตที่ดำรงอยู่ได้ด้วยการตายของผู้อื่น. เช่นนั้นเองที่การแสดงละเล่นได้ปรากฏให้เห็น
บดบังขบวนการเชื่อมโยงกันอันป่าเถื่อน,
ขนาดใหญ่, มืดมน
แห่งฆาตกรรมซึ่งกันและกัน,
จากไส้เดือนหนอนถึงมนุษย์,
ผู้ที่ได้ฆ่าเพื่อนผองของตนเองด้วย; การได้เห็นเช่นนี้ –
ชาวนาไถหว่านที่หิวโหยและและโคกระบือที่ลงแรงของเขา,
หนอกของพวกมันเหงื่อท่วมเป็นประกายไปด้วยแอกอันหนักแสนเข็ญ,
ความดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต้องแข่งขันกัน
–
เจ้าชายสิทธัตถะถอนหายใจ,
“หรือนี่,” พระองค์ตรัสรำพึง,
“คือโลกอันแสนสุขที่พวกเขาพาข้าให้มาเห็น?
ช่างเค็มเช่นไรในเหงื่อไคลที่ผุดออกมาของชาวนา! ช่างหนักหนานัก
ที่พวกโคงานได้ออกแรงรับใช้! ในป่าละเมาะนั้นช่างดุร้าย
ในสงครามของผู้อ่อนแอและผู้แข็งแรงเต็มไปหมด! เต็มไปทั่วในอากาศด้วยเรื่องเช่นนี้!
ไม่มีผู้ใดหลบลี้ภัยได้แม้กระทั่งในน้ำ. หลีกไป
ให้ที่ว่าง,
และปล่อยให้ข้าได้ตรึกตรองในอะไรที่พวกเจ้าแสดงบ้างเถิด.”
เช่นนั้นเองที่กล่าวรำพึง,
พระพุทธองค์ทรงธรรมได้นั่งลง
ภายใต้ร่มชมพู่,
ด้วยการไขว้ขาสมาธิ –
เช่นเป็นท่านั่งของปฏิมากรรมศักดิ์สิทธิ์
– และอย่างแรกในการเริ่มต้น
ทำสมาธิกรรมฐานในโรคภัยอันลึกล้ำของชีวิต,
ว่าอะไรคือแหล่งไกลหลีกพ้นและที่ใดซึ่งมันจะเยียวยาได้.
ความเวทนาสงสารนั้นท่วมท้นในตัวพระองค์,
ช่างเป็นความรักกันไพศาล
ในสรรพชีวิตทั้งหลายนั้น,
ช่างเป็นมหากรุณาที่จะบำบัดความเจ็บปวด.
นั่นด้วยแรงผลักดันพวกนั้นเองที่จิตวิญญาณเจ้าชายผ่านไปสู่
ภวังค์ลึก, และ, ขจัดมลทินมนุษย์ออกไป
จากอารมณ์ความรู้สึกและตัวตน,
เด็กชายนั้นบรรลุ ณ ที่นั้นถึง
ญาณ (Dhyâna – คำเดิมต้นฉบับ),
ก้าวแรกของ “มรรคา (the path-คำเดิมต้นฉบับ).”
ในยามนั้นเองมีที่ลอยอยู่
สูงเหนือหัวคือผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้า,
ผู้ที่ปีกอิสระสะดุดยั้งลงเมื่อพวกเขาผ่านมาเหนือต้นไม้นั้น.
“อำนาจสูงสุดใดฤาที่ดึงรั้งเราเอาไว้จากการเหาะเหินของเรานี้?”
พวกเขาถาม,
เพราะจิตนั้นได้รู้สึกถึงพลังของเทวะ,
และรู้ถึงการสักการะปรากฏของสิ่งพิสุทธิ์.
ดังนั้น, จึ่งก้มลงดู, พวกเขาจึงได้เห็นองค์พุทธะ
มงกุฏล้อมอยู่ด้วยรัศมีสีดุจกุหลาบ,
ตั้งมั่นอยู่
ในจิตมีสมาธิมุ่งในการหาหนทางช่วยเหลือ; ขณะที่จากป่าละเมาะมีเสียงเปล่ง
ร้องว่า, “ริชิ (Rishisคำเดิมต้นฉบับ) ทั้งหลาย! นี่คือผู้นั้นที่จะช่วยเหลือโลกได้,
จงลงมาและสักการะท่านเถิด.” แล้วเหล่าผู้เจิดจรัสนั้นก็มา
และเปล่งเสียงเพลงสรรเสริญ,
หุบปีกของพวกเขา.
แล้วออกเดินทางต่อไป,
นำข่าวดีนี้ไปสู่เหล่าทวยเทพ.
แต่แน่นอนว่าพระราชานั้นได้ออกตามหาซึ่งเจ้าชาย
พบพระองค์ได้ดำลังยังคงนั่งครุ่นคิด,
ถึงแม้ว่าจะพ้นเลยเที่ยงวันไปแล้ว,
และพระอาทิตยืได้เคลื่อนคล้อยกุลีกุจอไปยังเนินเขาทางตะวันตก:
กระนั้น,
ขณะที่เงาทั้งหมดได้เคลื่อนไป, แต่เงาของร่มไม้ชมพู่นั้น
ก็ยังหยุดอยู่ในเสี้ยวหนึ่งนั้น,
แผ่คลุมนิ่งอยู่บนพระองค์,
มิได้มีแม้แต่น้อยนิดของลำแสงอาทิตย์ส่องเอียงมากระทบต่อเศียรศักดิสิทธิ์นั้น;
และเขาผู้ได้เห็นภาพเยี่ยงนี้ก้ได้ยินเสียงร้องกล่าว,
ในท่ามกลางหมู่ดอกผลใบผลิบานของพฤกษาชมพู่นั้นว่า
“ขอจงเป็นแต่โอรสของราชานี้เถิด! ที่จนกระทั่งเงาก็ยัง
ไปพ้นจากดวงใจของพระองค์ที่เงาของข้าจะไม่เคลื่อนคล้อย.”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น