หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

การสร้างสรรค์ประชาธิปไตย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต)



การสร้างสรรค์
ประชาธิปไตย

พระพรหมคุณาภรณ์
(ป. อ. ปยุตฺโต)

















ประชาธิปไตย
ไม่ใช่แค่รูปร่าง แต่ต้องมีเนื้อใน

* บางส่วนธรรมกถาของ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระเทพเวที แสดงในพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศแก่ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศไทยเดือนพฤษภาคม 2535 ณ วัดวชิรธรรมปทีป นครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา 6 มิถุนายน 2535 (โดยเกลาสำนวนและแทรกเพิ่มความบางตอนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น)
- จากหนังสือ “ธรรมาลัย ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภาคผนวกการสร้างสรรค์ประชาธิปไตย” จัดพิมพ์โดย สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม(ประเทศไทย)

รูปแบบก็เหมาะ เนื้อในก็มี
จึงจะได้ประชาธิปไตยที่ดี

          ว่าที่จริงในเหตุการณ์ครั้งนี้ ที่มีการชุมนุมกันนั้นก็บอกว่าต้องการเรียกร้องประชาธิปไตย เราคงไม่ได้มีเจตนาว่าจะให้มีการเสียชีวิตกันขึ้น แต่เมื่อมีการเสียชีวิตขึ้นมาแล้ว ก็ควรจะคิดกันให้หนักยิ่งขึ้นว่า ทำอย่างไรเหตุการณ์ที่เป็นเรื่องสำคัญเป็นเรื่องใหญ่ถึงกับมีการเสียชีวิตนี้ จะไม่เป็นเหตุการณ์หรือความสูญเสียที่ว่างเปล่าเลื่อนลอย แต่ให้เป็นสิ่งที่มีค่ามีประโยชน์ ไม่ให้ท่านที่ล่วงลับเสียชีวิตไปเปล่า
          การเสียชีวิตของท่านเหล่านั้นจะไม่เป็นของว่างเปล่าไร้ค่า ก็ต่อเมื่อคนที่อยู่ข้างหลังผู้ยังมีชีวิตอยู่นี่ ได้สืบต่อสิ่งที่ดีงามที่จะทำให้ประชาธิปไตยได้รับการสร้างสรรค์และส่งเสริมสืบต่อไป ปัยหาอยู่ที่ว่าทำอย่างไรจะเกิดมีประชาธิปไตยสมตามวัตถุประสงค์ที่ดีแท้จริง
          ประชาธิปไตยที่เราพูดถึงกันนั้นโดยมากจะนึกถึงในเรื่องของรูปแบบ รูปแบบที่เป็นรูปธรรมหรือเป็นระบบ เช่น นึกกันว่า จะต้องมีรัฐสภา จะต้องมีคณะรัฐมนตรี จะต้องมีศาล อะไรต่างๆที่เราเรียกว่า อำนาจนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ นึกว่าต้องมีจำนวนผู้แทนเท่านั้นเท่านี้ ฯลฯ เรื่องรูปแบบนี่คิดกันมาก แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากซึ่งไม่ควรจะมองข้าม ก็คือ สิ่งที่เรียกว่าเป็นสารธรรม
          เนื้อหาสาระหรือสารธรรมของประชาธิปไตย ซึ่งเป็นตัวนามธรรมนี้ เป็นตัวเนื้อเป็นตัวแก่น ถ้าไม่มีเนื้อหาไม่มีแก่นสารอยู่แล้ว รูปแบบก็จะไม่มีความหมาย เพราะฉะนั้น ผู้ที่ต้องการประชาธิปไตย จะต้องคิดพิจารณาให้ลึกซึ้งลงไปถึงเนื้อหาสาระของประชาธิปไตยด้วย มิใช่จะนึกถึงเพียงแค่รูปแบบ ถ้าวนเวียนกันอยู่ตาในเรื่องรูปแบบแล้วประชาธิปไตยก็คงจะเจริญก้าวหน้าไปด้วยดีไม่ได้
          จริงอยู่ รูปแบบก็มีความสำคัญ สิ่งทั้งหลายต้องอาสัยรูปแบบเป็นเครื่องห่อหุ้มรองรับหรือบรรจุไว้ เนื้อมะม่วงก็ต้องมีเปลือกมะม่วง ถ้าไม่มีเปลือกมะม่วงเนื้อมะม่วงก็อยู่ให้เรารับประทานไม่ได้ น้ำถ้าไม่มีแก้วช่วยเราก็รับประทานได้ยาก จะเอามือกวักกินมันก็ได้นิดหน่อย หรือจะเอาปากไปดื่มเลยก็ยิ่งยุ่งยากลำบากมาก ก็ต้องอาศัยแก้วอาศัยขวดบรรจุน้ำ น้ำจะอยู่ในสภาพซึ่งสะดวกที่จะดื่มกินได้เต็มตามวัตถุประสงค์ เพราะฉะนั้นเปลือกหรือเครื่องห่อหุ้มก็มีความสำคัญ
          แต่ในเวลาเดียวกัน ถ้ามีแต่เปลือกไม่มีเนื้อก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่แก้วไม่มีน้ำ แล้วชื่นชมว่าเรามีแก้ว เสร็จแล้วไม่มีน้ำจะดื่มก้ไม่ได้ความ เพราะฉะนั้น เนื้อหากับเปลือกหรือว่าสาระกับรูปแบบต้องคู่กัน จะมีอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่สำเร็จความประสงค์ได้เต็มที่ แต่ตัวสิ่งที่เราประสงค์แท้จริงคือเนื้อหา ไม่ใช่รูปแบบ รูปแบบมีความหมายก็เพราะเป็นสิ่งที่ทรงหรือรักษาไว้ซึ่งเนื้อหา
          ในเรื่องประชาธิปไตยนี่ก็เหมือนกัน ต้องมทั้งรูปแบบและเนื้อหาสาระ สิ่งที่เราชอบพิจารณามองเห็นกันมากก็คือเรื่องรูปแบบ ซึ่งเรายอมรับว่าสำคัญเหมือนกัน แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือทำอย่างไรจะให้รูปแบบนี้ทรงไว้ซึ่งเนื้อหาสาระด้วย ให้เนื้อหามีอยู่ในรูปแบบ ไม่ใช่มีรูปแบบหรือเปลือกร่างที่ว่างเปล่า หรือแม้แต่มี แต่เป็นเนื้อเน่า เนื้อปลอม อันนี้คือเรื่องสำคัญที่จะต้องคิดกันให้หนัก ฉะนั้นการพัฒนาประชาธิปไตยนั้น จะมองเฉพาะรูปแบบไม่เพียงพอ เนื้อหาสาระเป็นเรื่องสำคัญมาก การปกครองประชาธิปไตยนั้นมีเนื้อหาสาระของมัน และเนื้อหาสาระนั้นก็มีส่วนประกอบหลายอย่างหลายประการ
          แม้ว่ารูปแบบจะมีความสำคัญเป็นรองจากเนื้อหา แต่ก็อย่ามองข้ามความสำคัญของมัน เพราะถ้ารูปแบบไม่ดีหรือไม่เหมาะ ก็จะใช้การไม่ได้ผล ไม่สะดวกไม่คล่อง หรือมีปัญหาได้ จึงจะต้องเลือกหาหรือจัดทำตลอดจนปรับแต่งรูปแบบให้มีคุณภาพ และพอเหมาะพอดีที่จะใช้การให้ได้ผลดีที่สุดตามวัตถุประสงค์ด้วย
          เมื่อมีน้ำแล้วภาชนะที่ใส่ก็ต้องดีต้องเหมาะด้วย ไม่ต้องพูดถึงภาชนะที่รั่วหรือที่น้ำซึมได้ หรือภาชนะที่ใหญ่ไปหรือเล้กเกินไป แก้วผอมก้นเล็กก็อาจจะล้มหกแตกได้ง่าย แก้วเตี้ยวงกว้างมากก็ยกถือยากคอยจะเอียง น้ำจะหกอยู่เรื่อย แก้วปากเล็กเกินไป หรือกว้างบานเกินไปก็จ่อปากดื่มไม่สะดวก แก้วปากเล็กก้นลึกก็ทำความสะอาดยาก แก้วใส่น้ำร้อนอาจต้องใช้แก้วเนื้อพิเศษ และอาจจะต้องทำหูถือด้วย แก้วใช้ในที่สาธารณะ ใช้ชั่วคราวกับคนมากๆอาจต้องใช้แก้วปลาสติกหรือแก้วกระดาษ จึงจะเหมาะก็ได้
          นอกจากมีเนื้อหาแล้ว จะต้องเลือกหาหรือจัดรูปแบบให้บรรจุเนื้อหาไว้ได้ดีและใช้ให้ได้ผล เหกมาะกับตนเองและวัตถุประสงค์ของตนด้วย ไม่ใช่เห็นเขามีอะไรดีตัวชอบใจ ก็จะตามอย่างเลียนแบบลอกระบบเขามาเรื่อยๆโดยจับไม่ถุกเนื้อหาสาระ และไม่รู้จักจัดปรับรูปแบบระบบให้เหมาะกับสภาพของตน
          อย่าว่าแต่จะเอาใจใส่เรื่องเนื้อหาสาระ และจัดปรับรูปแบบให้เหมาะกับเนื้อหาและการใช้ประโยชน์เลย บางทีไปเอารูปแบบของเขามาทั้งดุ้นเลียนแบบเขาแล้วยังเอารูปแบบนั้นมาใช้อย่างไม่สุจริต ใช้ผิดๆใช้ไม่เป็น หรือใช้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของมัน แก้วเขาทำสำหรับใส่น้ำกิน กลับเอามาใช้กินเหล้า ใส่น้ำโคลนสาดกัน หรือได้แค่เอามาใส่ตู้โชว์ หรือใช้ใส่น้ำกินนี่แหละ แต่ปล่อยให้สกปรกแช่ทิ้งหมักหมม ถ้าเป็นน้ำหวานหรือน้ำคั้นผลไม้ กินแล้วก็ท้องร่วงท้องเสียไปเลย
          เพียงแค่รูปแบบของเล็กน้อยอย่างแก้วน้ำ ก็ยังมีเรื่องที่ต้องคิดต้องทำมากมาย เพื่อให้ได้แก้วน้ำที่ดี ถ้าจะให้ได้รูปแบบที่ดีของประชาธิปไตยจะต้องพิจารณาและปฏิบัติด้วยการใช้สติปัญญาอย่างรอบคอบเพียงไหน

ถึงมีเสรีภาพ
ถ้าไม่มีดุลยภาพ ก็ไม่เป็นประชาธิปไตย
          ทีนี้ ในด้านเนื้อหา ขอพูดถึงหลักการอย่างหนึ่งของประชาธิปไตย แต่ก่อนโน้นเรามีการปกครองชนิดที่ว่ามีบุคคลผู้หนึ่งซึ่งมีอำนาจเต็ม อาจจะเป็นพระมหากษัตริย์ที่เรียกว่าพระราชา มีอำนาจปกครองตัดสินลงโทษทุกอย่าง ในสภาพอย่างนั้นเรามองคล้ายๆกับว่าคนทั่วไปหรือประชาชนนี้ยังปกครองตัวเองไม่ได้ ก็เลยต้องมีบุคคลคนหนึ่งที่มีความเก่งกล้าสามารถมาช่วยปกครองจัดการให้คนอยู่กันได้อย่างสงบเรียบร้อย ต่อมาเราเห็นว่าคนทั้งหลายน่าจะปกครองกันเองได้ โดยเฉพาะในเมื่อคนเหล่านั้นมีสติปัญญากันดีขึ้น มีความรู้ความเข้าใจสามารถคิดได้และควบคุมกันให้เว้นได้จากสิ่งที่ผิดและทำได้ในสิ่งที่ถุกต้องชอบธรรม ก็จึงคิดว่าควรจะปกครองกันเอง การที่ประชาชนปกครองกันเองนี้ก็คือหลักการของประชาธิปไตย
          ในการที่ประชาชนจะปกครองกันเองนี้ ข้อสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ แต่ละคนควรจะเป็นคนที่ปกครองตัวเองได้ ถ้าปกครองตัวเองไม่ได้ก็มาปกครองกันเองไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าจะพูดให้ได้ความชัดเจนก็ต้องให้ความหมายว่า การปกครองแบบประชาธิปไตย คือการปกครองของประชาชนที่แต่ละคนปกครองตัวเองได้ เมื่อแต่ละคนปกครองตัวเองได้ดีแล้ว ก็มาช่วยกันปกครองร่วมกัน ก็เป็นการปกครองของประชาชนที่ประชาชนปกครองกันเอง อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ คือเราจะต้องพัฒนาคนให้สามารถปกครองตนเองได้ ถ้าเขาไม่สามารถปกครองตนเองได้แล้ว การที่จะมาร่วมกันปกครองประเทศชาติที่รวมกันอยู่ก็เป็นไปด้วยดีไม่ได้
          จะยกตัวอย่างข้อหนึ่งที่ถือว่าเป็นหลักของการปกครองตนเอง ในการปกครองแบบประชาธิปไตยนี้ เรามีหลักการสำคัญอย่างหนึ่งที่เรียกว่าเสรีภาพ เสรีภาพนั้นก็มีความหมายของมันที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้องชัดเจน
          เสรีภาพ คืออะไร ความหมายเบื้องต้นตามตัวก็คือ ความเป็นอิสระ ไม่มีอะไรมากีดกั้นจำกัด ตามความหมายนี้คนจำนวนมากจะมองว่าเสรีภาพคือการทำได้ตามใจตัว หรือว่าเสรีภาพคือการทำได้ตามชอบใจ คนจำนวนมากเข้าใจว่าอย่างนี้ในเมืองไทยนั้นคิดว่าคนไม่น้อยเลยเข้าใจอย่างนี้ แต่ขอให้โยมญาติมิตรพิจารณาว่าเป็นความเข้าใจที่ถุกต้องหรือเปล่า เสรีภาพคือการทำได้อย่างที่ใจเราชอบ คนเราที่มีความเข้าใจแค่นี้แล้วจะปกครองตนเองได้ไหม
          คนที่คิดว่าเสรีภาพคือการทำได้ตามใจชอบ ปกครองตัวเองไม่ได้แน่ เพราะอะไร ก็จะเอาอย่างใจตัวเอง ถึงเวลาที่ควรจะเรียนหนังสือหรือทำงาน แต่ขี้เกียจอยากจะนอน ก็”ปนอนเสีย ก็พาชีวิตของตัวไปรอด วางกฏจราจรกันไว้ แต่จะทำตามใจ ไม่เอาตามกฏ เอาอะไรแน่ไม่ได้ ก็พาสังคมให้พัฒนาไปดีไม่ได้ อย่างนี้พอเห็นกันได้ง่ายว่า คนที่เข้าใจเสรีภาพในความหมายอย่างนี้จะปกครองกันเองให้ดีไม่ได้ ประชาธิปไตยไม่สำเร็จ
          ไม่ว่าประเทศไหกนๆแม้แต่ประเทศที่ว่ามีเสถียรภาพมากที่สุด ก็ยอมให้มีเสรีภาพแบบทำตามชอบใจไม่ได้ หลักทั่วไปอย่างหนึ่ง ก็คือ ให้เสรีภาพในทางสร้างสรรค์ ทำสิ่งที่ดี และห้ามเสรีภาพในทางทำลายทำความชั่วเสียหาย เช่น จะค้นคว้าหาความรู้ได้เสรี แต่จะกินเหล้าเสรีไม่ได้
          เพราะฉะนั้น ก็จึงมีคำจำกัดความหรือการให้ความหมายอีกอย่างหนึ่งของเสรีภาพ ซึ่งนิยมหรือชอบพูกันมาก คือบอกว่า เสรีภาพ หมายถึง ความมีสิทธิที่จะทำจะพูดได้ โดยไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น หรือว่า พูดได้ ทำได้ ภายใต้เงื่อนไข ข้อกำหนด หรือการคุ้มครองของกฎหมาย พูดง่ายๆว่า เสรีภาพในขอบเขต อย่างนี้ก็ไม่ใช่เป็นความหมายของตัวเสรีภาพเอง เพียงแต่บอกให้รู้ว่าเสรีภาพต้องมีขอบเขตเท่านั้นเอง ยังไม่ได้บอกให้รู้ถึงตัวเสรีภาพ คนที่พูดอย่างนี้บางทีก็ยังเข้าใจเสรีภาพในความหมายว่า เป็นการทำได้ตามชอบใจเหมือนกัน เพียงแต่ว่าให้การทำได้ตามชอบใจนั้นอยู่ในขอบเขต
          เมื่อมีขอบเขต ก็คือยังถูกจำกัด เมื่อยังถูกจำกัด ก็ยังไม่เสรีจริง เมื่อคิดกันอยู่แค่นั้น ก็ยังไม่เข้าใจถึงความหมายของเสรีภาพ เสรีภาพคืออะไร พิจารณาได้หลายชั้น เราลองมาดูเนื่อหาสาระในทางธรรมะ
          ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะของคนเสรีหรือคนที่มีเสรีภาพอย่างแท้จริง บุคคลที่บรรลุธรรมในพุทธศาสนาสูงสุดแล้ว ท่านเรียกว่าเป็นเสรีชนหรือคนเสรีที่แท้จริง ถ้ายังไม่บรรลุธรรมก็ยังไม่เสรี แต่จะเสรีได้เป็นขั้นๆถ้าเอาอย่างที่บอกว่าเมื่อกี้มาจัดด้วยก็คงจะเป็นทำนองนี้
          เสรีภาพอย่างต่ำที่สุดคือเสรีภาพของคนที่เข้าใจว่าทำอะไรๆได้ตามชอบใจ
          ต่อมาสูงขึ้นอีกหน่อย ก็คือคนที่บอกว่าทำได้ตามชอบใจ แต่ต้องมีขอบเขต แสดงว่ามีกรอบขึ้นมาหน่อย
          ต่อจากนั้น ความหมายที่สูงขึ้นไปซึ่งมีสาระในทางธรรมมากขึ้น จะเป็นความหมายแบบที่มีดุลยภาพหรือความสมดุลเกิดขึ้น กล่าวคือมองว่าตัวเองนั้นมีเสรีภาพโดยสัมพันธ์กับเสรีภาพของผู้อื่น ซึ่งก็ใกล้กับเสรีภาพในกรอบหรือในขอบเขต แต่เป็นการมองโดยมีปัญญาเห็นเหตุผล และทำให้ไม่รู้สึกว่าความมีขอบเขตนั้นเป็นการบีบคั้นตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก ที่จะทำให้เสรีภาพในความหมายที่ถูกต้องนั้นดำรงอยู่ได้
          เสรีภาพของตนเองสัมพันธ์กับเสรีภาพของผู้อื่น เสรีภาพของเรามีอยู่คู่กับเสรีภาพของเขา เราจะต้องไม่ใช้เสรีภาพของตนเองในลักษณะที่เป็นการลิดรอนหรือทำลายเสรีภาพของผู้อื่น เมื่อมีจิตสำนึกอย่างนี้ก็นำไปสู่การที่จะไม่ล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น โดยยอมรับสิทธิของผู้อื่นด้วย แต่อันนี้ก็ยังเป็นการมองอย่าง่ายๆยังไม่ลึกซึ้ง
          ความหมายอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ คือ ความมีเสรีภาพนั้นหมายถึงความพร้อมที่จะให้โอกาสแก่ผู้อื่นด้วย อันนี้สำคัญ คนที่จะปกครองตนเองได้จะต้องมีจิตสำนึกนี้ ความมีเสรีภาพนั้น หมายถึงความพร้อมที่จะให้โอกาสแก่คนอื่นด้วย มิฉะนั้นเสรีภาพจะมีความหมายเป็นของฉันแต่ผู้เดียว คนอื่นมีเสรีภาพไม่ได้ เสรีภาพของตนกับเสรีภาพของผู้อื่นจะต้องมีเป็นคู่กัน เรียกว่าดุลยภาพ โดยเป็นสิ่งที่คานกันอยู่ เมื่อมีเสรีภาพโดยมีการยอมให้โอกาสแก่ผู้อื่นด้วย ก็เกิดดุลยภาพขึ้น
          ถ้าพูดอีกสำนวนหนึ่ง เสรีภาพของตนที่มาเข้าคู่คานกันกับเสรีภาพของผู้อื่น โดยที่ต่างก็มีเสรีภาพเท่ากันนี้ จะทำให้เกิดความพอดีขึ้น เรียกว่าเสรีภาพที่ถูกจำกัดโดยสมภาพหรือความเสมอภาคกัน ซึ่งเป็นความสมดุลหรือดุลยภาพอย่างหนึ่ง และเป็นลักษณะของ ทางสายกลาง (middle way) หรือวิถีแห่งความพอดี ฝรั่งบางคนเรียกว่า จุดกลางสาย (midway point) ที่เสรีภาพถูกจำกัดด้วยสมภาพ และว่าประชาธิปไตยอยู่ที่ตรงนี้1
1          คำกล่าวของ Louis Wasserman อ้างใน Webster’s Third New International Dictionary 1986 (คำว่า democracy)
         
คนที่จะเอาเสรีภาพแบบทำได้ตามชอบใจเต็มที่นั้น จะหาเสรีภาพที่เขาต้องการไม่พบเลย ไม่ว่าจะในที่ไหนๆหรือถ้าเขาจะลองก็ไปไม่รอด ถ้าไม่ใช่ตัวเขาพับก็สังคมพัง กลายเป็นอนาธิปไตยไป
          แม้แต่ในสังคมที่ว่าชอบเสรีภาพที่สุด ภูมิใจตัวว่ามีเสรีภาพมากที่สุด พอมีเสรีภาพขึ้นมาก็มีเครื่องจำกัดขอบเขตของเสรีภาพตามขึ้นมาด้วยทันที โดยเป็นกติกาสังคม เช่น กฎหมายบ้าง โดยปฏิกิริยาจากคนด้วยกันเป็นกรอบทางวัฒนธรรมบ้าง อย่างในอเมริกานี้ว่ามีเสรีภาพมาก ก็มีกฎหมายจำกัดขอบเขตมาก แล้วก็มีวิธีแสดงปฏิกิริยาระหว่างคนด้วยกันไว้คอยยับยั้ง จะบอกว่านี่บ้านของฉันฉันจะต่อเติมตรงนั้นตรงนี้ จะต่อท่อน้ำ จะเดินสายไฟใหม่ สนามหน้าบ้านฉันยังไม่มีเวลาตัดจะปล่อยรกบ้าง ก็เรื่องของฉัน พูดอย่างนั้นได้ แต่กฎหมายไม่ยอมจะต้องถูกดำเนินการ จะทำอะไรปล่อยปละละเลย ไปกระทบกระทั่งทำให้คนอื่นเดือดร้อน แม้โดยไม่ตั้งใจ เขาก็จะ ซู(ฟ้องเรียกค่าเสียหาย)เอา จะทำอะไรๆก็กลายเป็นต้องระวังตัวมาก ถ้าปรับใจไม่ได้พัฒนาจิตใจขึ้นมาไม่ทัน ก็อยู่ไม่เป็นสุข
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเสรีภาพในความหมายที่พูดอยู่นี้จะมีเนื้อหาสาระมากขึ้น แต่ก็ยังถือว่ามีความหมายไม่สมบูรณ์อยู่นั่นแหละ จึงมาว่ากันเป็นขั้นๆลึกลงไปอีก

มีเสรีภาพในประชาธิปไตย
เพื่อให้ศักยภาพอวยผลมีเครื่องจกดขอบเขตของเสรภพตมขนมดวยทนท โดยเปนกตกสงคม เชน กฏหมยบง โดยปฏกรย
         
          มองต่อไป เสรีภาพมีความหมายที่แยกเป็น 2 ด้าน คือ เสรีภาพที่จะเอาอย่างหนึ่ง กับเสรีภาพที่จะให้อย่างหนึ่ง ทั้งการได้และการให้เป็นความหมายของเสรีภาพ โดยมากคนจะมองในแง่ที่จะเอาจะได้ ไม่มองเสรีภาพในการให้ คนเรามีเสรีภาพในการให้ด้วย อย่ามองเสรีภาพในแง่ที่จะเอาจะได้อย่างเดียว
          เสรีภาพที่เป็น 2 ด้าน คือ เสรีภาพในการได้กับเสรีภาพในการให้นี้เป็นอย่างไร มองในแง่ได้ก่อน เพราะคนเราชอบที่จะได้ สิ่งจะต้องให้เอาไว้ทีหลัง
          ที่ได้นั้นเป็นอย่างไร การมีเสรีภาพก็คือการที่เรามีโอกาสที่จะเข้าถึงผลประโยชน์ที่ตนจะพึงได้จากระบบการปกครองแบบนี้ ในการอยู่ร่วมกันของมนุษย์นี้มีประโยชน์อะไรที่เราจะพึงได้ เราอยู่ในสังคมนี้เราก็ควรเข้าถึงประโยชน์นั้นด้วยโดยสม่ำเสมอกับผู้อื่น ไม่ใช่ถูกกดไว้บีบไว้หรือถูกปิดกั้นไม่ให้ได้รับผลประโยชน์นั้น ถ้าบางคนหรือคนกลุ่มหนึ่งพวกหนึ่งเท่านั้นในสังคมนี้เข้าถึงประโยชน์นั้นได้ แต่คนอื่นเข้าถึงไม่ได้ อย่างนี้ก็เรียกว่าคนทั่วไปไม่มีเสรีภาพ การที่มีเสรีภาพก็คือแต่ละคนมีโอกาสทึ่จะเข้าถึงประโยชน์ที่เกิดขึ้นในสังคมนั้นร่วมกัน โอกาสอย่างนี้เรียกว่าโอกาสที่จะเสวยผล ซึ่งเป็นเรื่องของการได้
          ทีนี้ในแง่ที่จะให้ก็ต้องมีเสรีภาพด้วย การมีและการได้ใช้โอกาสในการที่จะให้นี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นเนื้อหาสาระของประชาธิปไตยในส่วนของเหตุ เสรีภาพในการได้นั้นเป็นส่วนผล ก่อนที่จะได้,เราต้องทำเหตุ ถ้าไม่มีเสรีภาพในการให้เสรีภาพในการได้ก็จะเป็นไปได้ยาก
          เสรีภาพในด้านเหตุที่เป็นการให้นี้เป็นอย่างไร หมายความว่า การปกครองแบบประชาธิปไตยนี้เป็นการปกครองที่พยายามเปิดโอกาสให้ศักยภาพของมนุษย์แต่ละคนออกไปเป็นส่วนร่วมที่เป็นประโยชน์แก่สังคมให้มากที่สุด การที่เรามีเสรีภาพก็คือการที่ว่าเราสามารถเอาศักยภาพของเราไปทำประโยชน์ให้แก่สังคมของเรา ไปเป็นส่วนร่วมที่มีประโยชน์
          แต่ละคนนี้มีความสามารถ แต่ละคนนี้มีสติปัญญา แต่ถ้าเขาไม่มีเสรีภาพ ไม่สามารถพูด ไม่สามารถแสดงออก ไม่สามารถให้ความคิดเห็น เขาก็ไม่สามารถเอาสติปัญญาของตนไปช่วยสังคมได้ สังคมก็ไม่ได้ประโยชน์จากศักยภาพที่บุคคลนั้นๆมีอยู่ การปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยไม่มีเสรีภาพ จะมีลักษณะปิดกั้นสตอปัญญาของมนุษย์ หรืออย่างน้อยก็ไม่ให้โอกาส ไม่รู้จักใช้ศักยภาพของมนุษย์ทำให้ความสามารถที่คนแต่ละคนมีอยู่ไม่เป็นประโยชน์แก่สังคมเท่าที่ควร พอมีเสรีภาพแล้วความสามารถและสติปัญญาของแต่ละคนนั้นก็มีโอกาสที่จะออกไปร่วมกันเอื้ออำนวยประโยชน์แก่สังคม การปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยมีสาระสำคัญอยู่ตรงนี้ มันเป็นส่วนเหตุเลยทีเดียว ถ้าไม่มีสาระนี้แล้วมัวแต่จะไปชื่นชมกับส่วนผลที่จะได้ก็จะไม่มั่นคงยั่งยืน
          ฉะนั้น ต้องมองเสรีภาพในส่วนเหตุนี้ให้หนัก คือ มองว่าทำอย่างไรจะให้ศักยภาพที่มีอยู่ของคนแต่ละคนออกไปเอื้ออำนวยประโยชน์แก่สังคมได้เต็มที่ อันนี้เป็นเสรีภาพในลักษณะของการให้ เสรีภาพส่วนนี้แหละที่คนมักจะมองข้าม การปกครองประชาธิปไตยมีเนื้อหาสาระสำคัญอยู่ที่เสรีภาพส่วนนี้ กล่าวคือสังคมที่พัฒนาดีแล้วในประชาธิปไตยจะพยายามเปิดช่องทางที่จะมาเอาศักยภาพของคนแต่ละคนออกไปใช้ประโยชน์แก่สังคมให้เต็มที่ ใครมีเท่าไรก็ทำประโยชน์ให้แก่สังคมได้เท่านั้น ถ้าได้อย่างนี้เมื่อไรสังคมประชาธิปไตยก็จะพัฒนาจะก้าวหน้า
          เวลาพูดถึงเสรีภาพ เรามักจะมองกันแค่ความหมายที่หนึ่ง คือเรื่องรูปแบบการแสดงออกที่เป็นการทำได้ตามชอบใจ
          ถ้ามิฉะนั้น ก็อย่างที่สอง คือมองในแง่จะได้หรือเอาผลเท่านั้นเอง ไม่ได้นึกถึงการที่จะให้ หรือทำเหตุขึ้นมา
          แม้แต่ความมีส่วนร่วม หรือการเข้าไปมีส่วนร่วม (participation) ซึ่งเป็นพฤติกรรมสำคัญอย่างหนึ่งในสังคมประชาธิปไตย บางคนก็มองแต่ในแง่ที่จะได้เอาคือมองว่าฉันจะต้องมีส่วนร่วมที่จะได้ หรือพูดให้สั้นว่า ฉันจะต้องมีส่วนได้ด้วย มีอะไรเกิดขึ้นก็บอกว่า ฉันจะต้องได้ด้วยนะ ถ้ามองอย่างนี้เรื่อย ประชาธิปไตยไปไม่รอด
          ที่จริงนั้น ความมีส่วนร่วมเขาเน้นที่การเข้าไปร่วมสร้างสรรค์ เอาส่วนที่ตนมี คือเอาศักยภาพของตนนั้นเองเข้าไปช่วยเข้าไปเสริมเข้าไปร่วมมือกับผู้อื่นในการสร้างสรรค์ทำสิ่งดีงามและประโยชน์สุขให้เกิดขึ้น คือเน้นที่การให้นั่นเอง
          การยอมให้โอกาสแก่ผู้อื่น ที่พูดถึงในตอนก่อน ก็เป็นลักษณะหนึ่งของเสรีภาพการให้นี้ด้วย ซึ่งจะต้องมีด้วยกันกับความมีส่วนร่วมและการร่วมมือ ถ้ามองความหมายของเสรีภาพมาถึงขั้นนี้ก็เรียกได้ว่า ก้าวหน้าหรือพัฒนามาได้ไม่น้อยในการที่จะเป็นประชาธิปไตย
          เสรีภาพในการได้ เมื่อมีเสรีภาพในการให้เป็นต้นทุน ก็จะเกิดความสมดุล คือมีความพอดี ที่เป็นลักษณะของทางสายกลาง ทำให้มีประชาธิปไตยได้อย่างสมบูรณ์

สิทธิต้องมากับหน้าที่
          คำสำคัญคำหนึ่งที่เป็นคำสามัญในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมักพ่วงมาหรือมาด้วยกันกับคำว่า เสรีภาพ ก็คือคำว่า สิทธิ
          สิทธิ ท่านแปลว่า อำนาจอันชอบธรรม* โดยทั่วไปหมายถึง สิ่งที่บุคคลพึงมีพึงได้หรือควรจะทำได้ตามที่เขาต้องการ โดยที่เขามีอำนาจอันชอบธรรมที่จะอ้างหรือเรียกร้องเอาได้
*   พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, พ.ศ.2525
            การที่มีได้ทำได้ตามสิทธินั้น เป็นลักษณะสำคัญที่แสดงถึงความมีเสรีภาพ และเสรีภาพที่สำคัญก็คือ การมีได้ทำได้ตามสิทธินั้น ดังนั้น คำว่า สิทธิ และคำว่า เสรีภาพ จึงมักพ่วงมาด้วยกัน จนบางทีเราก็พูดควบกันว่า สิทธิเสรีภาพ และในบางกรณีคำทั้งสองนี้ถูกใช้ปนกัน หรือสับสนกัน หรือไม่ก็ใช้แทนกันได้ไปเลย อย่างคนอเมริกันทุกวันนี้ ที่ใช้คำว่า civil rights กับ civil liberties ปนๆหรือแทนๆกันไป โดยมีแง่ความหมายเฉียดๆกัน
          ด้วยเหตุที่สิทธิเป็นตัวบ่งชี้ถึงการมีเสรีภาพ จะดูว่าประชาชนมีเสรีภาพหรือไม่แค่ไหน ก็มักดูกันที่การปฏิบัติในเรื่องสิทธินี้แหละ ดังนั้น สิทธิจึงเป็นสิ่งสำคัญมากในระบอบประชาธิปไตย ถือกันเป็นเครื่องหมายหรือตราประทับของสังคมประชาธิปไตย จึงเป็นเรื่องที่ได้รับการเอาใจใส่มาก ต้องมีการบัญญัติกฎหมายต่างๆขึ้นมายืนยันเป็นหลักประกันสิทธิของประชาชน เริ่มตั้งแต่กฎหมายหลักหรือกฏหมายสูงสุด คือ รัฐธรรมนูญลงไปทีเดียว (ในกรณีอย่างนี้ คำว่า สิทธิ กับคำว่า เสรีภาพ ก็ถูกใช้ปนๆกันอีก บางที ตรงนี้ กฎหมายประเทศนี้ใช้ว่าสิทธิแต่ประเทศโน้นใช้ว่าเสรีภาพ ตรงนั้น ประเทศนี้ใช้ว่าเสรีภาพ ประเทศโน้นใช้ว่า สิทธิ) โดยเฉพาะจะต้องรับประกันให้มีสิทธิ/เสรีภาพพื้นฐานของพลเมือง เช่น สิทธิ/เสรีภาพในการพูดจาแสดงออก การเสนอข่าวสารข้อมูลและความคิดเห็นของหนังสือพิมพ์ การนับถือศษสนา การชุมนุม ตลอดจนสิทธิในการครอบครองทรัพย์สิน การได้รับโอกาสในการศึกษา การทำงาน การเดินทาง การดำรงชีวิต การใช้สิ่งสาธารณูปโภค และการปฏิบัติอย่างเสมอภาคกันตามกฎหมาย
          อย่างไรก็ตาม บางทีเราก็มัววุ่นวายกับเรื่องวสิทธิและการที่จะมีเสรีภาพกันมากมาย จนชักจะหลงเพลิดเพลินและลืมไปว่า นอกจากเราจะต้องได้ต้องมีสิทธิและเสรีภาพอย่างนั้นอย่างนี้ รัฐจะต้องรับประกันให้เราได้เรามีอย่างนั้นอย่างนี้แล้ว ตัวเราเองจะต้องทำอะไร เราจะต้องให้อะไรแก่รัฐ แก่ส่วนรวม แก่สังคมหรือแก่ประเทศชาติบ้าง และนี่ก็คือเรื่องของ หน้าที่ 
          สิทธินั้นคู่กันกับหน้าที่ พลเมืองของประเทศประชาธิปไตยนั้น เมื่อมีสิทธิก็มีหน้าที่ด้วย เมื่อได้ฟกสิทธิก็ต้องทำหน้าที่ด้วย สิทธิเป็นเรื่องของการที่จะได้ที่จะเอา ส่วนหน้าที่เป็นเรื่องของการที่จะให้ที่จสละออกไป พลเมืองทุกคนมีหน้าที่ที่จะทำการงาน ศึกษาเล่าเรียน หรือประกอบสัมมาอาชีพของตนๆ มีหน้าที่ที่จะต้องทำต่อครอบครัว ต่อชุมชน ต่อสังคม ต่อประเทศชาติของตน มีหน้าที่ที่จะต้องไปร่วมประชุมพิจารณาดำเนินกิจการของส่วนรวม ต้องบำรุงรักษาสิ่งสาธารณูปโภคและสาธารณสมบัติ ต้องบำรุงรักษาธรรมชาติแวดล้อม ต้องรักษาระเบียบวินัย ต้องเคารพกฎหมายและกฏเกณฑ์กติกาของสังคม ต้องสียภาษีอากร เป็นต้น
          เมื่อประชาชนพลเมืองทำหน้าที่ให้แก่สังคมหรือรัฐตามสถานะของตนๆ สังคมหรือรัฐประชาธิปไตยที่ดี ก็มีสิ่งที่จะนำมาสนองแก่สิทธิของประชาชนพลเมือง ถ้าประชาชนพลเมืองไม่ช่วยกันทำเหตุ แล้วสังคมหรือรัฐจะเอาผลอะไรมาสนองความต้องการของประชาชนพลเมืองได้
          ดังนั้น ถ้าจะเรียกร้องหรืออ้างสิทธิ ก็อย่าลืมถามหรือสำรวจตัวเองว่าได้ทำหน้าที่ของตนอยู่ด้วยดีหรือไม่ คือ ถ้าจะเรียกร้องสิทธิ ก็จะต้องทำหน้าที่ของตนให้ดีด้วย มองในทางย้อนกลับ ผู้ทำหน้าที่ของตนถูกต้องเป็นอย่างดีนั้นแหละ จึงเป็นผู้ที่สมควรจะเรียกร้องหรืออ้างสิทธิ และสิทธิที่อ้างหรือเรียกร้องนั้น จะต้องนำไปใช้อย่างถูกต้องด้วย ผู้ที่รู้จักหน้าที่พร้อมทั้งทำหกน้าที่ของตนอยู่อย่างถูกต้องนั่นแหละ คือผู้ที่จะนำสิทธิไปใช้อย่างถูกต้อง
           เพราะฉะนั้น สิทธิจะต้องมากับหน้าที่ และสิทธิเป็นสมบัติมีค่าอันน่าภูมิใจสำหรับผู้ที่ทำหน้าที่ พลเมืองในสังคมประชาธิปไตยควรสร้างจิตสำนึกในหน้าที่ถึงขั้นที่ยึดถือว่า สิทธิที่จะได้ทุกอย่าง มีมาพร้อมกับหน้าที่ที่จะต้องทำ ถามตนเองว่าการที่เราจะได้จะมีสิทธินี้นั้นเราจะต้องทำอะไร หรือนึกถึงสิ่งที่ตนจะต้องทำต้องให้มากกว่านึกถึงสิ่งที่ตนจะได้จะเอา
          ในประเทศอเมริกานี้ มีวาทะหรือคำคมประโยคหนึ่งที่รู้กันทั่วไป ซึ่งเข้ากับเรื่องสิทธิและหน้าที่นี้ดี ถือว่าเป็นวาทะสำคัญที่พึงรู้พึงจำ ถึงกับมีการจัดเข้าเป็นสิ่งหนึ่งที่คนอเมริกันทุกคน แม้แต่เด้กนักเรียนชั้นประถมจะต้องรู้ คือ คำกล่าวของประธานาธิบดีเคนเนดี้ที่ว่า “จงอย่าถามว่าประเทศชาติจะทำอะไรให้ท่าน – (แต่) จงถามว่าท่านจะทำอะไรให้แก่ประเทศชาติของท่าน”*นี่ ก็คือการเตือนให้มีจิตสำนึกในการที่จะทำหน้าที่ มิใช่มัวแต่คิดจะเรียกร้องสิทธิ
*   (‘Ask not what your country can do for you – ask what you can do for your country.’) คำกล่าวของจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ในพิธีปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกา พ.ศ.2504 (ค.ศ. 1961) เช่น ใน The Dictionary of Cultural Literacy, 1991 และ A First Dictionary of Cultural Literacy, 1991
          เมื่อสิทธิมาคู่กับหน้าที่ ก็เป็นความสมดุลอย่างหนึ่งระหว่างการได้กับการให้ หรือระหว่างการรับเอากับการสละออก เมื่อเกิดภาวะสมดุลหรือดุลยภาพนี้แล้ว ก็เข้าสู่ทางสายกลางที่จะนำไปสู่ประชาธิปไตยที่ดี
เสรีภาพต้องมากับความรับผิดชอบ
          อนึ่ง คำว่า หน้าที่ นั้น มักจะพ่วงมาหรือมาด้วยกันกับคำว่า ความรับผิดชอบ จนบางทีเราพูดควบไปด้วยกันว่า หน้าที่และความรับผิดชอบ หรือหน้าที่รับผิดชอบ คือนอกจากทำหน้าที่แล้ว ก็จะต้องมีความรับผิดชอบด้วย
          คำส่า สิทธิ มาด้วยกันกับเสรีภาพ คำว่า หน้าที่ มาด้วยกันกับความรับผิดชอบ สิทธิคู่กับหน้าที่ ฉันใด เสรีภาพก็คู่กับความรับผิดชอบ ฉันนั้น และเมื่อเราพูดสองคำแรกควบกันว่า สิทธิเสรีภาพ เราก็พูดสองคำหลังควบกันว่า หน้าที่รับผิดชอบ เพราะฉะนั้น สิทธิต้องมากับหน้าที่ ฉันใด เสรีภาพก็ต้องมากับความรับผิดชอบ ฉันนั้น
          เมื่อเสรีภาพมาคู่กับความรับผิดชอบ ก็หมายความว่า เราต้องใช้เสรีภาพอย่างมีความรับผิดชอบ และต้องรับผิดชอบต่อการใช้เสรีภาพนั้นด้วย
          ความรับผิดชอบในการใช้เสรีภาพนั้น อาจจะแบ่งอย่างคร่าวๆได้เป็น 2 ช่วงตอน คือ  คือความรับผิดชอบก่อนจะทำ ก่อนจะแสดงออก หรือแสดงออกอย่างมีความรับผิดชอบอยู่ในตัว
          อย่างแรกเป็นความรับผิดชอบตามหลังการกระทำ คือเมื่อได้ใช้เสรีภาพของตนออกไปแล้ว จะมีผลเกิดขึ้นอย่างไร ก็รับผิดชอบต่อผลนั้น ถ้าเป็นผลร้ายหรือมีความเสียหายเกิดขึ้น ก็กล้ารับผิด ไม่ปัดความรับผิดชอบ ความรับผิดชอบอย่างนี้ แม้จะดีกว่าไม่ยอมรับผิดชอบเสียเลย แต่ก็ยังไม่ดีจริง เพราะเป็นการรับผิดชอบในขั้นผล และผลของความรับผิดชอบก็จำกัดอยู่ที่ตนเอง ซึ่งอาจจะสายไปเสียแล้วสำหรับความหมายที่จะมีต่อส่วนรวมหรือสังคม แม้จะเป็นความรับผิดชอบที่แสดงถึงระดับของจิตใจที่มีคุณธรรม แต่ก็ยังไม่ใช่ความรับผิดชอบในระดับของความมีสติและการใช้ปัญญาอย่างแท้จริง
          เพราะฉะนั้นจึงจัดแบ่งออกได้ว่า พวกที่หนึ่ง คนที่เลวร้ายที่สุด ได้แก่คนพวกที่ไม่ยอมรับผิดชอบอะไรเลย สิ่งที่ตนจะต้องทำก็ไม่รับผิดชอบที่จะทำ และแม้ตนจะได้ใช้เสรีภาพอย่างผิดหรือพลาด และทำให้ผลเสียหายเกิดขึ้น ก็ปัดความรับผิดชอบ ไม่ยอมรับผลที่จะตกถึงตน พวกที่สอง คนที่ดีกว่านั้น ได้แก่ คนพวกที่ยอมรับผิดชอบต่อผลที่เกิดขึ้นจากการใช้เสรีภาพของตน
          ส่วนคนที่มีความรับผิดชอบอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นที่พึงปรารถนาในระบอบประชาธิปไตย ก็คือคนที่รับผิดชอบตั้งแต่เริ่มต้น ก่อนที่จะใช้เสรีภาพในการกระทำหรือแสดงอะไรออกไป เรียกว่า เป็นคนใช้เสรีภาพอย่างมีความรับผิดชอบ เขาใช้เสรีภาพด้วยความรู้ตระหนักว่าการแสดงออกหรือการกระทำนั้นเป็นไปอย่างถูกต้องก่อผลดีผลเสียอย่างไร และพยายามให้การแสดงออกหรือการกระทำนั้นเป็นไปอย่างถูกต้องก่อผลดีที่สุด ดังนั้นนอกจากความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานของเขาเอง ที่จะต้องทำให้ดีให้ถุกต้องเรียบร้อยสมบูรณ์ที่สุดแล้ว การแสดงออกหรือการกระทำใดๆ ก็ตามที่ปรากฏออกมาจากตัวบุคคลนั้น ย่อมเกิดจากการที่ได้ใช้ปัญญาใคร่ครวญพิจารณาข้อมูล ข้อเท็จจริง เหตุผล ความถูกต้องชอบธรรมผลดีผลเสียต่างๆ ด้วยความมุ่งหมายต่อความจริงความดีงาม และประโยชน์สุขเป็นอย่างดีแล้วว่าความคิดเห็น การตัดสินใจ การแสดงออก และการกระทำของตนจะไม่ก่อผลเสียหาย และจะเกิดผลสร้างสรรค์อย่างดีที่สุด
          ขอยกตัวอย่าง เช่น เมื่อมีการให้แสดงความคิดเห็นกันเกี่ยวกับกิจการบ้านเมือง ในฐานะที่เราเป็นคนหนึ่งในหมู่ประชาชน ซึ่งมีเสรีภาพที่จะพูดจาแสดงออกให้ความคิดเห็น ไม่ควรคิดเพียงว่าจะได้ใช้เสรีภาพในการแสดงออกไปๆเท่านั้น แต่ควรมีจิตสำนึกที่ระลึกว่า เรื่องที่เขาเอามาให้เราพูดจาวิจารณ์แสดงความเห็นกันนั้น เป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับความเจริญความเสื่อมของสังคม หรืออาจจะถึงเกี่ยวกับความเป็นความตายของประเทศชาติ เราจะต้องใช้ความคิดเห็นที่ประกอบด้วยความมีสติรอบคอบ และใช้ปัญญาอย่างดีที่สุด อย่าให้กลายเป็นการเอาความเป็นความตายของประเทศชาติมาเป็นของเล่นสนุก หรือเป็นเพียงเครื่องสนองความฮึกเหิม หรืออย่างที่เรียกว่า เฮฮากันมันๆไป
          บางครั้ง เรื่องที่นักการเมืองหรือสื่อมวลชนเป็นต้นเอามาถามพวกเราชาวบ้านนั้น ก็เป็นเรื่องใหญ่มาก ซึ่งตามปกติ กว่าจะวินิจฉัยหรือตัดสินใจได้ เขาจะต้องให้คณะผู้เชี่ยวชาญ หรือคณะทำงานหลายๆคนไปสืบค้นประมวลข้อมูลข้อเท็จจริง เหตุผล และข้อพิจารณาทางวิชาการกันก่อนนานเป็นเดือนเป็นปี การที่เขามาถามความคิดเห็นของเรานั้น เราอาจจะให้แง่มุมความรู้ความคิดเห็นที่ช่วยเสริมหรือประกอบเป็นประโยชน์ได้บ้าง แต่เราอย่าประมาท อย่าพูดพล่อยๆ เราจะต้องวิจารณ์ให้ความคิดเห็นด้วยความสำนึกตระหนักในความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะนี่อาจจะเป็นความตายของประเทศชาติหรือของสังคมของเราทีเดียว
          การมีความรับผิดชอบนั้น นอกจากทำให้การกระทำและการแสดงออกต่างๆเป็นไปอย่างดีและมีผลดีแล้ว ยังให้ผลดีทางจิตใจหรือความรู้สึกภายในและทำให้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมสังคมด้วย คือคนที่มีความรับผิดชอบนั้นจะไม่รู้สึกว่า เสรีภาพที่อยู่ในขอบเขตอันสมควรตามกฎหมายและกฏเกณฑ์ต่างๆเป็นความบีบคั้นจำกัดอึดอัดคับข้องใจ เขาจะอยู่อย่างสบายใจและพอใจที่จะปฏิบัติตามกฏระเบียบทั้งหลาย และการใช้เสรีภาพของเขาก็จะไม่เป็นไปอย่างก้าวก่ายรุกรานรบกวนเพื่อนบ้านหรือคนอื่นๆทำให้อยู่กันโดยสงบเรียบร้อย
          ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราไม่พัฒนาจิตสำนึกในความรับผิดชอบ แม้แต่จะไปอยู่ในประเทศที่ถือกันว่ามีเสรีภาพมากที่สุดอย่างอเมริกานี้ ก็จะรู้สึกว่าเราถูกจำกัดเสรีภาพมากเหลือเกิน จะทำอะไรแม้แต่กับของที่เป็นสมบัติของตัวเองก็ทำไม่ค่อยจะได้ มีกฎหมายห้ามและบังคับเต็มไปหมด ถ้าว่าเสรีภาพเป็นการทำได้ตามชอบใจ บางคนอาจรู้สึกว่าประเทศแบบอเมริกานี้ คนมีเสรีภาพ ถ้าไม่น้อยที่สุดก็ต้องว่าน้อยอย่างยิ่ง นอกจากนั้นจะทำอะไรๆที่เราชอบใจก็ต้องคอยระแวงระวัง เดี๋ยวเพื่อนบ้านจะร้องเรียน หรือคนอื่นเขาจะ “ซู” ฟ้องเรียกค่าเสียหายเอา รู้สึกวุ่นวายอึดอัดใจไปหมด
          เพราะฉะนั้น ยิ่งอยากได้อยากมีเสรีภาพเท่าไร ก็ยิ่งต้องพัฒนาความรู้สึกรับผิดชอบตามขึ้นไปเท่านั้น
          ถ้าการใช้เสรีภาพเป็นไปอย่างมีความรับผิดชอบเป็นตัวสมดุลแล้ว ก็จะมีความพอดีที่เป็นทางสายกลาง ซึ่งจะทำให้บรรลุจุดหมายของความเป็นประชาธิปไตยที่ดีได้


มีเสรีภาพทั้งภายนอกภายใน
ประชาธิปไตยจึงจะสมบูรณ์
          ทีนี้ต่อไป ยังมีเสรีภาพอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นเสรีภาพในความหมายขั้นรากฐาน คือการที่คนเราจะมีเสรีภาพแท้จริงภายนอกได้ เราจะต้องมีเสรีภาพภายในด้วย คือจิตใจจะต้องเสรี เสรีก็คือเป็นอิสระจากการครอบงำของอำนาจที่จะมาชักจูงให้ผิดไปจากธรรม อำนาจที่จะมาครอบงำจิตใจให้หันเหเขวออกไปจากธรรมก็คือกิเลส ได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือตัณหา มานะ ทิฐิ เมื่อกิเลสพวกนี้เข้ามาครอบงำจิตใจแล้ว ก็ทำให้เราไม่อยู่ในธรรม ทำให้เราเขวออกจากธรรม
          พอจิตใจเขวออกจากธรรมไปแล้ว การแสดงออกภายนอกก็เขวไปหมด คือจะทำการเพื่อประโยชน์ส่วนตัวด้วยความโลภบ้าง ทำการด้วยความเกลียดชังเคียดแค้นมุ่งจะทำลายเขาโดยโทสะบ้าง ทพการด้วยความลุ่มหลงมัวเมาโดยโมหะบ้าง พอเสรีภาพถุกเจ้ากิเลสเหล่านี้ครอบงำมันก็กลายเป็นการทำตามใจชอบอย่างที่ว่าเมื่อกี้ แล้วความถูกต้องชอบธรรมจะไม่เกิดขึ้น แต่จะกลายเป็นการทำลายความชอบธรรม เสรีภาพเป็นเครื่องมือที่จะก่อผลร้าย เพราะที่แท้จริงนั้นในใจของเขาไม่มีเสรีภาพ ใจของเขาเป็นทาสของกิเลส ก่อนที่เขาจะแสดงออกพูดออกมาว่า ฉันจะทำตามเสรีภาพของฉันนี่ เขาไม่รู้ตัวว่าที่จริงในใจของเขาเป็นทาสที่ถุกกิเลสครอบงำบัญชาแล้ว ในกรณีที่เป็นอย่างนี้ ถ้าเข้าไปมีส่วนร่วมที่จะให้ ก้กลายเป็นเอาโลภะ โทสะ โมหะเข้าไปร่วมกัน หรือให้แก่กัน แทนที่จะเป็นการสร้างสรรค์ ก็เลยกลายเป็นการช่วยกันทำลาย เพราะฉะนั้น ข้อสำคัญที่สุดนั้น ในใจจะต้องมีเสรีภาพ คือเสรีภาพจากกิเลส ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของโลภะ โทสะ โมหะ หรือตัณหา มานะ ทิฐิ
          ตัณหา คือ ความอยากได้อยากเอาเพื่อตัว ต้องการผลประโยชน์และสิ่งบำรุงบำเรอปรนเปรอตน ไม่ยอมเสียสละเพื่อใคร (ใฝ่เสพ ใฝ่บริโภค)
          มานะ คือ ความอยากให้ตัวยิ่งใหญ่ ต้องการอำนาจ ความเด่นดัง ความสำคัญหรือการครอบงำเหนือผู้อื่น ไม่ยอมใคร (ใฝ่อำนาจ ใฝ่อิทธิพล)
          ทิฐิ คือ ความยึดถือเอาแต่ความเห็นของตัว ต้องการให้เขารับเอาความเห็นของตน ยึดติดถือรั้นในความเชื่อ ลัทธิ อุดมการณ์ของตน จนสำคัญเหนือกว่าความจริง ไม่ยอมรับฟังใคร (คลั่งลัทธินิยม อุดมการณ์คับแคบ)
          เสรีภาพจะสัมฤทธิ์ผลให้เกิดประชาธิปไตยได้แท้จริง คนจะต้องใช้ปัญญาด้วยความเที่ยงธรรม ด้วยความสุจริตใจจริงๆ แต่ความสุจริตหรือความจริงใจในการใช้ปัญญานั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าใจถุกครอบงำด้วยกิเลส ถ้าคนมีโลภะ โทสะ โมหะ ใช้ปัญญาคิดการ มันก็คิดเอาประโยชน์ให้แก่ตนบ้าง คิดทำลายเขาบ้าง คิดด้วยความลุ่มหลงมัวเมาบ้าง แล้วผลดีจะเกิดขึ้นแก่สังคมได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะต้องมีเสรีภาพภายในด้วย
          เสรีภาพระดับนี้ไม่ค่อยมีคนคิดถึง มีแต่บอกว่าฉันคิดว่าอย่างนี้ฉันจะต้องทำให้ได้ นี่เป็นเสรีภาพ แต่ไม่ได้ถามตัวเองว่าใจของตัวเองมีเสรีภาพแล้วหรือยัง อันนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นก่อนที่จะมีเสรีภาพภายนอกได้อย่างแท้จริงนั้น จะต้องมีเสรีภาพทางจิตใจเสียก่อน อันนี้เป็นขั้นสุดท้าย
          ด้วยเหตุนี้ในทางธรรมจึงถือว่า คนที่เราจะเป็นเสรีอย่างแท้จริงก็คือคนที่บรรลุธรรม อย่างสูงสุดก็คือพระอรหันต์ ซึ่งไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่ทำอะไรเพื่อได้เพื่อเอาให้แก่ตัวเองเลย อย่างน้อยไม่ทำการแสดงออกเพื่อหาผลประโยชน์แก่ตน ไม่ได้ทำอะไรด้วยความเคียดแค้นชิงชังมุ่งเพื่อทำลายใคร ไม่ได้ทำอะไรด้วยความลุ่มหลงมัวเมา เพราะฉะนั้นการแสดงออกของท่านจึงเป็นเสรีภาพที่แท้จริง เพราะเสรีทั้งใน เสรีทั้งนอก สอดคล้องกัน เป็นเสรีภาพตลอดสายครบถ้วนเต็มความหมาย อันนี้แหละเป็นความหมายของเสรีภาพซึ่งมีหลายชั้น
          เป็นอันว่า เราจะมองความหมายของเสรีภาพแค่ทำได้ตามใจชอบเท่านั้นไม่ได้ การมองอย่างนั้นเรียกว่าเป็นขั้นที่มีสติปัญญาน้อยที่สุด คือไม่ได้เรื่องเลย ต้องมองกันให้หลายๆชั้น จนกระทั่งถึงเสรีภาพของจิตใจ อย่างที่ว่าพ้นจากอำนาจครอบงำกิเลสแล้ว จึงจะได้เสรีภาพที่แท้จริง
          ทีนี้เสรีภาพในขั้นเต็มความหมายถึงภายในจิตใจนี้ ที่มันมีความสำคัญมากก็เพราะมันเกี่ยวโยงไปถึงการใช้ปัญญา ที่ว่าพอเราพ้นจากอำนาจครอบงำของกิเลสแล้ว ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ เข้ามาครอบงำแล้ว ปัญญาของเราก็จะบริสุทธิ์ผ่องใส สามารถวินิจฉัย คิดการ และวางแผนเป็นต้นอย่างเที่ยงธรรม คนในสังคมประชาธิปไตยที่จะปกครองตนเองได้ และปกครองกันเองได้นั้น จะต้องใช้ปัญญาให้มาก จะต้องใช้ความคิดพิจารณาเหตุผล สิ่งที่จะทำหรือแสดงออกมาจะต้องเกิดจากปัญญา เป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจ เช่น รู้เข้าใจข้อมูลของเรื่องราวอย่างชัดเจน รู้เข้าใจในเหตุและสามารถหยั่งถึงผลในเรื่องนั้นๆ รู้เข้าใจเหตุปัจจัยว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นมาอย่างไร มีเหตุปัจจัยมาอย่างไร สืบสาวให้ได้ต้นตออย่างถูกต้อง ซี่งจะต้องมีการใช้ปัญญาอย่างจริงจัง
          การใช้ปัญญาอย่างจริงจังนี้ เป็นสิ่งที่จะต้องย้ำให้มาก เพราะการใช้หรือการแสดงออกของปัญญาที่บริสุทธิ์บริบูรณ์นี่แหละคือการใช้เสรีภาพอย่างสูงสุด และเสรีภาพที่แท้จริงจะมีได้ก็ต่อเมื่อมีการใช้ปัญญา คือการแสดงออกของเสรีภาพนั้นจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของปัญญา ซึ่งหมายถึงความรู้ความเข้าใจในตัวความจริง ความถูกต้องดีงาม และประโยชน์สุขที่แท้จริง ไม่ใช่รู้เห็นแต่ผลประโยชน์ของตน หรือรู้เห็นหนทางที่จะกีดกันคนอื่น หรือไม่รู้ไม่คิดไม่เข้าใจอะไรเลย
          เมื่อประชาชนจะปกครองตนเอง ประชาชนนั้นแต่ละคนมีเสรีภาพที่จะเลือกตัดสินใจ เขาจะต้องรับผิดชอบต่อผลการเลือกตัดสินใจของตน เขาจะต้องไม่เลือกตัดสินอะไร เพียงเพราะถูกใจไม่ถูกใจ หรือชอบใจไม่ชอบใจ หรือโดยปราศจากความรู้ไร้ความคิด แต่ต้องพิจารณาว่าสิ่งที่จะเลือกหรือตัดสินใจนั้น ถูกต้องหรือไม่ ชอบธรรมหรือไม่ เป็นไปเพื่อความดีงามความเจริญงอกงามและประโยชน์สุขร่วมกันหรือไม่ ซึ่งก็คือต้องมีปัญญาและใช้ปัญญา และปัญญานั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีการพัฒนา เพราะฉะนั้น ในสังคมประชาธิปไตยจึงย้ำเน้นเรื่องการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพื่อย้ำความสำคัญในเรื่องนี้ อาจจะต้องใช้คำว่า ต้องมีการใช้ปัญญาอย่างยิ่งยวด
          รูปแบบสำคัญในระบอบประชาธิปไตย คือการที่ประชาชนแต่ละคนมาบอกแจ้งการเลือกหรือตัดสินใจของตนด้วยการออกเสียง หรือลงคะแนนเสียงอย่างที่เรียกว่ามาโหวตกัน แล้วประชาธิปไตยก็ถือเอาตามเสียงข้างมากของคนที่มาลงคะแนนนั้น รุปแบบนี้จะมีความหมายและได้ผลจริง ขนทำให้เกิดประชาธิปไตยที่ดี ก็ต่อเมื่อมันมีเนื้อหาวสาระอยู่ข้างใน คือการที่คนผู้ออกเสียงนั้นมีสติปัญญาและเลือกตัดสินใจด้วยการใช้สติปัญญาอย่างแท้จริง ไม่อยู่ใต้การครอบงำของโลภะ โทสะ และโมหะ
          คนโง่ร้อยคนพันคนมาประชุมกันโหวตว่าโลกนี้แบน ทั้งที่ได้คะแนนเอกฉันท์ยิ่งกว่าเสียงข้างมาก โลกก้หาได้แบนไปตามนั้นไม่ วิศวกรคนเดียวใช้ความรู้คำนวณอย่างถูกต้องว่าเสาคอนกรีตต้นเท่านี้ใช้เหล็กขนาดเท่านี้ จะทานน้ำหนักอาคารใหญ่เท่าที่ต้องการไม่ได้ แต่คนหมู่นั้นต้องเอาให้ได้ ผลคืออาคารถล่มทลาย หรือเหมือนฝูงลิงจะข้ามแม่น้ำมีความเห็นร่วมกันว่า กระสอบนุ่นเบาดี ให้เอามามัดติดตัวจะได้ลอยน้ำข้ามไป เลยพากันตายทั้งหมด เข้าทำนองที่ปราชญ์ฝรั่งคนหนึ่งพูดไว้ว่า อวิชชามหาชน (ความไม่รู้ของมหาชน-ผู้พิมพ์) คือหนทางแห่งมหาวินาศ
          ครูคนหนึ่งอยากจะพักให้สบาย ไม่อยากสอน พอเข้าห้องเรียนก็บอกนักเรียนว่าเรามาใช้วิธีประชาธิปไตย มาโหวตกันนะว่าเรียนดีหรือเล่นดี นักเรียนเลยยกมือพรึ่บให้เล่น ชั่วโมงไหนอยากไปพัก ครูก็ใช้วิธีนี้ ได้ผลทุกที ครูก็สบาย นักเรียนก็สนุก แต่ผลการเรียนตกต่ำมาก
          กรรมการวัดหนึ่งจะจัดงานวัด ประชุมกันพิจารณาเรื่องหามหรสพ เกิดมีข้อเสนอให้เลือก ว่าจะมีหมอลำหรือระบำกึ่งโป๊ ตกลงกันไม่ได้ เลยบอกว่าให้ชาวบ้านมาออกเสียงกันดู พอได้ยินว่าเป็นเรื่องจะมีมหรสพ พวกผู้ใหญ่ก็ไม่สนใจไม่มาออกเสียง มีแต่หนุ่มๆมากันมาก พอขอคะแนนเสียง ระบำกึ่งโป๊ก็ชนะด้วยคะแนนท่วมท้น เรื่องถึงสมภารต้องแก้ปัยหาด้วยความลำบากใจมาก (ลองเทียบกับไปเลือกตั้งเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้าง!)
          ในอดีต ณ นครสีพีของพระเจ้าสญชัย พระราชโอรสพระนามว่าเวสสันดร มีช้างเผือกชื่อว่าปัจจัยนาค ซึ่งมีกิตติศัพท์เลื่อลลือว่าเป็นช้างมงคล ขับขี่ไปทางไหนก็ทำให้ฝนตกชุ่มฉ่ำอุดมสมบูรณ์ พระราชาแห่งแคว้นกลิงคะ ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจ ทรงส่งราชทูตมาขอพระราชทานช้างปัจจัยนาคนั้น โดยอ้างว่าแผ่นดินของพระองค์เกิดฝนแล้ง จะขอช้าสงนั้นไปทำให้ฝนตก เจ้าชายเวสสันดรได้พระราชทานช้างเผือกมงคลนั้นไป เป็นเหตุให้ประชาชนโกรธแค้นมาก ถึงกับมีมติให้พระเจ้าสญชัยเนรเทศเจ้าชายเวสสันดรเสีย พระเวสสันดรจึงต้องออกเดินป่าตามเรื่องในมหาเวสสันดรชาดก
          ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงยอมสละดินแดนไทยแถบตะวันออกของแม่น้ำโขง แคว้นหลวงพระบาง และจังหวัดพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภน ให้แก่ฝรั่งเศส และยกดินแดนไทยในแหลมมะลายูให้แก่อังกฤษที่มาคุกคาม เวลานั้นถ้าถามเสียงข้างมากซึ่งกำลังโกรธแค้นกันอย่างยิ่ง ก็ย่อมว่าให้รบกับฝรั่งเศสและอังกฤษ และถ้าเป็นเช่นนั้นย ประเทศไทยก็คงไม่พ้นตกเป็นอาณานิคมของสองชาติตะวันตกนั้น เช่นเดียวกับประเทสพม่าเป็นต้น
          มิใช่เฉพาะอวิชชา (ความไม่รู้ – ผู้จัดพิมพ์) หรือโมหะเท่านั้นที่จะนำมหาชนไปสู่ความพินาศ การเลือกตัดสินใจด้วยโลภะ และโทสะ ก็พาประชาชนไปสู่หายนะได้เช่นเดียวกัน

เสรีภาพที่เป็นฐานของปัญญา
คือธงนำหน้าของประชาธิปไตย
          ในระบอบประชาธิปไตยนั้น ถือว่าเสียงประชาชนเป็นใหญ่ และเสียงประชาชนนั้นเป็นเสียงสวรรค์ ถ้าเราไม่ต้องการให้เสียงสวรรค์กลายเป็นเสียงนรก ก็ต้องพัฒนาประชาธิปไตยให้ดี โดยพัฒนาประชาชนให้มีคุณภาพ ด้วยการพัฒนาปัญญาให้สามารถเลือกตัดสินใจด้วยการใช้ปัญญาอย่างยิ่งยวด ให้เป็นปัญญาที่บริสุทธิ์อิสระ ไม่ตกอยู่ในอำนาจครอบงำของโลภะ โทสะ และโมหะ ไม่เลือกตัดสินใจหรือทำการใดเพราะเหก็นแก่จะได้ผลประโยชน์ส่วนตัว โดยมุ่งหาอำนาจความยิ่งใหญ่ หรือด้วยความเคียดแค้นชิงชัลมุ่งทำลายใคร หรือโดยไร้ความรู้ความคิดไม่มีวิจารณญาณ
          ก่อนจะใช้ปัญญาเลือกตัดสินใจหรือทำการใดให้ได้ผลดี ก็ต้องมีปัญญาที่จะใช้ จะมีปัญญาได้ก็ต้องรู้จักใช้และหมั่นพัฒนาปัญญา
          นอกจากแสวงหาความรู้อยู่เสมอแล้ว เมื่อได้เห็น ได้อ่านหรือได้ฟังข่าวสารข้อมูล ก็อย่าตื่นตูมเชื่อง่าย รู้จักพิจารณาว่าอะไรเป็นสาระ อะไรไม่เป็นสาระ และเลือกสนใจสิ่งที่เป็นสาระ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการป้องกันความเสื่อม และเกี่ยวกับการพัฒนาชีวิตพัฒนาชุมชนหรือสังคมของตน
          เมื่อรับข่าวสารข้อม฿ลใด จะได้ฟังได้อ่านก็ตาม ถ้าจะจับจุดสนใจ ก็ถือเพียงจุดเริ่มต้นรับกระทบ ที่จะไปสืบสาวหารายละเอียดที่แท้และวิเคราะห์หาความจริงต่อไป อย่างน้อยก็ไตร่ตรองพิจารณานานๆหลายๆแง่มุม อย่าด่วนตัดสินใจอะไรง่ายนัก โดยเฉพาะข่าวตื่นเต้น และเรื่องทำนองโฆษณา ควรตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน
          ว่ากันว่า คนไทยเรานี้ เป็นคนชอบสนุกสนาน ถ้าจะฟังอะไรชมรายการอะไร ก็ต้องเป็นเรื่องตื่นเต้น หรือเป็นประเภทเฮฮาวาทะ ฟังแล้วเฮฮาสนุกสนานได้สะใจหนำใจกันไป แต่ถ้าเป็นรายการประเภทความรู้เนื้อหาสาระจริงๆก็ไม่ชอบ ถ้าจะพัฒนาปัญญากัน ก็ต้องยอมฟังยอมชมรายการเนื้อหาสาระบ้าง
          ส่วนสำหรับเรื่องเฮฮาวาทะนั้นก็ชมได้ฟังได้ แต่อน่าเอาแค่เฮฮาสนุกสนานอย่างเดียว ถ้าได้แค่นั้นก็พัฒนาปัญญายาก จะต้องไม่ใช่แค่ฟังและคล้อยไปตามเขาว่าอย่างเดียว นอกจากสนุกสนานเฮฮาแล้ว ควรจะใช้ปัญญาของตนคิดพิจารณาเรื่องที่เขาว่านั้นไปด้วย คิดพิจารณาในแง่มุมอื่นๆบ้าง และถ้าเป็นเรื่องสำคัญอย่าหยุดแค่จบรายการเท่านั้น เอาไปคิดพิจารณาสืบสาวหาเหตุผลมองอีกทีให้รอบด้าน ถ้าทำบ่อยๆเป็นนิสัย ก็จะพัฒนาปัญญาขึ้นไปได้เรื่อยๆ
          คำพูดที่ดีนั้น ทางพระเรียกว่า วาจาสุภาษิต วาจาหรือคำพูดที่ดีนี้มีลักษณะสำคัญ คือ เป็นความจริง ไม่ใช่คำเท็จ ไม่โกหกหลอกลวง มีเหตุผล ไม่เลื่อนลอยเพ้อเจ้อ ไม่เหลวไหลไร้สาระ เป็นประโยชน์เป็นเชิงสร้างสรรค์ ไม่เป็นโทษก่อความเสียหาย สุภาพ ไม่หยาบคาย พูดอย่างมีน้ำใจหรือพูดด้วยน้ำใจปรารถนาดี เป็นคำสมานสามัคคีหรือส่งเสริมให้คนร่วมมือกัน ไม่ส่อเสียด ก่อความแตกแยกหรือชวนทะเลาะวิวาท นอกจากนั้นยังมีลักษณะปลีกย่อยอื่นๆประกอบอีก เช่น พูดถุกกาลถูกเวลา พูดพอประมาณ พอดีมีขอบเขต ไม่เรื่อยเปื่อย ไม่มากเกินไป เป็นต้น และในแง่ของความได้ผล ก็มีทำนองหรือลักษณะการพูดที่ทำให้เกิดความแจ่มแจ้งชัดเจน ซาบซึ้งจูงใจ ทำให้เกิดกำลังใจ และนำความร่าเริงเบิกบานใจ
          เมื่อไปฟังใครพูด ก็ใช้หลักเกณฑ์นี้พิจารณาดู เช่นว่า เขาพูดถูกต้อง เป็นความจริง เป็นเหตุเป็นผล มีประโยชน์หรือไม่ เป็นต้น และไม่ลืมมองดูในแง่แรงจูงใจด้วยว่าเขาพูดจากปัญญาบริสุทธิ์จริงใจ ไม่พูดด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง และไม่พูดโดยมุ่งปลุกเร้าผู้ฟังให้เกิดโลภะ โทสะ โมหะ แล้วจับเอาสาระมาคิดพิจารณาให้ได้ปัญญา และแนวทางทำสิ่งที่ดีงามให้เป็นคุณประโยชน์ยิ่งขึ้นไป
          ถ้าจะเลือกตัดสินใจเชื่ออะไร ก็ต้องรู้ความจริงในเรื่องนั้น และไม่ใช่ความรู้จริงเท่านั้น ต้องรู้จริงด้วย ควรจะถามตัวเองก่อนว่า เรื่องนี้และเหตุปัจจัยในเรื่องนี้เรารู้จริงหรือไม่ ถ้ายังไม่รู้จริง ก็อย่าเพิ่งดิ่งลงไป ควรเผื่อใจไว้ก่อนบ้าง
          คนจำนวยนมากยังติดเพลิน ตลอดจนหลงใหล ชื่นชอบกับการพูดแบบปลุกเร้ากิเลส ถ้าไม่ใช่เฮฮาวาทะ ก็ต้องเป็นประเภทปลุกเร้าอารมณ์ ระดมโทสะแล้วก็ตื่นเต้น ฮ์อฮาเกิดโลภะ โทสะ โมหะ คล้อยไปตาม เรื่องที่เป็นเหตุ เป็นผลเป็นสาระต้องใช้ความคิดพิจารณามาก ไม่เอา ถ้ายังชอบตื่นเต้น ตื่นง่ายนัก ก็แสดงว่ายังตื้น ประชาธิปไตยจะยังไปไม่ถึงไหน ถ้าจะพัฒนาประชาธิปไตยก็ต้องเข้าสู่วิถีแห่งปัญญา ต้องมุ่งความจริง มุ่งสาระ มุ่งประโยชน์ทีแท้ ดก้วยการใช้ปัญญาอย่างยิ่งยวด ไม่อ่อนแอท้อถอย เอาแต่ง่ายเข้าว่า
          การใช้ปัญญาอย่างจริงจังเป็นสาระสำคัญของประชาธิปไตย เพราะว่าเมื่อเราพ้นจากการครอบงำของกิเลสแล้วเราจึงจะสามารถใช้ปัญญาได้อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมและเต็มที่ การกระทำและการแสดงออกที่เกิดจากการใช้สติปัญญาอย่างรอบคอบจริงจังและโดยบริสุทธิ์ใจเท่านั้นจึงจะได้สิ่งที่ถูกต้อง และเป็นผลดี แล้วเราก็เอาปัญญาอย่างนี้แหละมาใช้ในการที่จะปกครองกันเอง ในการที่จะจัดสรรอะไรต่างๆให้เป็นไปโดยเรียบร้อย
          เพราะฉะนั้น ในที่สุดเสรีภาพก็หมุนมาบรรจบกับปัญญานี่เอง โดยจะต้องเป็นปัญญาของคนที่มีจิตใจเสรี คนที่ปกครองตนเองได้ก็คือคนที่มีปัญญา โดยเป็นปัญญาที่มีเสรีภาพ ที่ไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลส ปัญญาจะเป็นตัวสื่อโยงระหว่างพฤติกรรมเสรีภาพที่แสดงออกไปภายนอกกับจิตใจที่มีเสรีภาพอยู่ภายใน
          เมื่อพฤติกรรมเสรีภายนอก ออกไปจากจิตใจที่เสรีภายใน หรือถูกควบคุมโดยจิตใจที่เสรีภายในแล้ว ก็เกิดความสมดุล เป็นดุลยภาพระหว่างเสรีภาพภายนอกกับเสรีภาพภายใน นี่คือเสรีภาพที่พอดีโดยสมบูรณ์ เป็นการเข้าถึงทางสายกลางที่แท้จริง
          ดุลยภาพ ระหว่างพฤติกรรมเสรีภายนอก กับจิตใจเสรีภายในนี้ ไม่ใช่ภาวะหยุดนิ่ง แต่เป็นช่องทางสื่อสัมพันธ์ที่ปัญญาจะสามารถแล่นไหลทั้งไปและมา ทั้งเข้าและออกได้อย่างแคล่วคล่องโปร่งโล่ง คือจะใช้พฤติกรรมภายนอกในการแสวงหา หรือรับรู้ความเข้าใจเข้ามาสร้างสรรค์ปัญญา ก็จะได้ปัญญาที่บริสุทธิ์ปราศจากอคติ เข้าถึงความจริง หรือจะใช้ปัญญาคิดการใดที่จะแสดงออกไปในทางพฤติกรรมภายนอก ก็เป็นไปในทางสร้างสรรค์และดีงามชอบธรรม เรียกว่า เสรีภาพที่เป็นทางผ่านของปัญญาที่แท้และบริสุทธิ์
          ถ้าได้เพียงความหมายแค่นี้ ประชาธิปไตยก็ไปได้แล้ว อะไรๆอื่นก็เป็นส่วนประกอบ คนที่มีปัญญาอย่างนี้ มีเสรีภาพอย่างนี้ รู้จักปกครองตนเองได้อย่างนี้แล้ว ถ้าจะมาจัดสรรรูปแบบประชาธิปไตยมันก็จัดสรรได้รูปแบบที่ดีมีความเที่ยงธรรม เป็นรูปแบบที่เลือกสรรแล้วด้วยความเข้าใจเหตุเข้าใจผล จัดปรับให้เหมาะแก่สังคมของตนเองเป็นอย่างดี มิฉะนั้นก็จะได้แต่รูปแบบมาอย่างพร่าๆมัวๆ แล้วก็ทุ่มเถียงวุ่นวายกันอยู่กับเรื่องรูปแบบเรื่อยไป เพราะฉะนั้นเราจะต้องสร้างสาระของประชาธิปไตยนี้ให้ได้ คือว่า ในที่สุดแล้วประชาธิปไตยนั้นเป็นการปกครองกันด้วยปัญญาของคนที่มีจิตใจเป็นเสรี
          ปัญญาที่สำคัญคือปัญญาที่รู้ธรรม รู้ธรรมนั้นคืออะไร คือรู้ความจริง รู้ความถูกต้อง รู้ความดีงาม หยั่งถึงเหตุผลที่แท้จริงนั่นเอง
          หน้าที่ของปัญญาก็คือพาคนมาให้ถึงธรรม เมื่อปัญญาพาคนมาถึงธรรมให้คนเข้าถึงธรรม ปัญญาบรรจบกับธรรมแล้ว ก็ให้คนอยู่กับธรรมและทำการตามธรรมนั้นต่อไป นี่คือประชาธิปไตยที่บรรลุความมีแก่นสาร เพราะตั้งอยู่บนฐานของธรรมาธิปไตย ๏
          



ประชาธิปไตย
จะเป็นจริง
เมื่อผู้ใช้อำนาจเป็นธรรมาธิปไตย

ถ้าจะเป็นประชาธิปไตย
ถึงจะไม่ยอมใคร ก็ต้องยอมให้ธรรม
          เราต้องยอมรับความจริงว่า เป็นธรรมดาของคนทั่วๆไป ที่เรียกว่าปุถุชนซึ่งยังมีกิเลส ย่อมมีความถือตัว ถือศักดิ์ศรี ให้ความสำคัญแก่ตนเอง อยากให้เห็นตนเป็นคนที่มีความหมาย อยากให้ตัวเด่นเป็นที่ยอมรับเชิดชู หรือมีอะไรเหนือกว่าผู้อื่น อย่างน้อยก้ไม่ให้ด้อยหรือถุกลดความสำคัญ ซึ่งจะเรียกว่ากิเลสปกป้องตัวเพื่อให้อยู่รอด เมื่อมนุษย์ยังมีการศึกษาน้อย ยังพัฒนาไม่เต็มที่ คือยังพัฒนาไม่เพียงพอที่จะเป็นอยู่ด้วยปัญญา ก็ต้องอาศัยกิเลสอย่างนี้ ช่วยกระตุ้นเร้าที่จะรักษาตัวให้อยู่รอดไปก่อน
          อย่างไรก็ดี เมื่อมนุษย์มาอยู่ร่วมกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน ถ้าไม่มีหลักปฏิบัติและวิธีการที่ดี กิเลสพวกนี้ ก็จะทำให้คนปะทะกัน ไม่ยอมกัน ไม่ลงกัน ตลอดจนไม่ฟังกัน ทำให้ขัดแย้ง แตกแยก ทะเลาะวิวาท ทำงานร่วมกันไม่ได้ และอยู่ร่วมกันด้วยดีไม่ได้ กิจการของส่วนรวมก้ไม่ดำเนินไปด้วยดี เป็นอุปสรรคอย่างสำคัญต่อความเจริญก้าวหน้าของสังคมและการที่จะอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข
          ยกตัวอย่างเช่น ในการประชุมเพื่อกิจการของส่วนรวม เมื่อมีการแสดงความคิดเห็น ผู้ที่พูดก้แสดงออกเพียงด้วยมุ่งอวดตัวอวดภูมิว่าฉันเก่งฉันแน่ ผู้ที่ฟังก็ถือตัว ใครจะแสดงความเห็นกระทบถึงตัวหรือแย้งต่อความคิดเห็นของตัวไม่ได้ เมื่อประชุมกันไปก็กลายเป็นทุ่มเถียงขัดแย้งทะเลาะวิวาทหรือโกรธเคืองกัน เลยต้องเลี่ยงไปเป็นการประชุมแบบเฮฮาสนุกๆให้ผ่านๆไปบ้าง คอยฟังคอยรับตามหัวหน้าหรือประธานจะว่าอย่างไรบ้าง ก็เลยสักว่าเป็นการประชุม ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
          การประชุมเป็นกิจกรรมสำคัญในระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นช่องทางใหญ่ที่จะให้ศักยภาพของสมาชิกแต่ละคนออกมาเอื้ออำนวยผลแก่ส่วนรวม หรือเป็นที่สำหรับมาเก็บเกี่ยวผลิตผลแห่งปัญญาของสมาชิกแต่ละคนนั้นไปเสริมประโยชน์ของสังคม และเป็นที่ส่งเสริมการพัฒนาปัญญาของสมาชิกเองด้วย เมื่อการประชุมไม่เป็นไปตามความหมายของมัน ก็ไม่ได้ผลตามวัตถุประสงค์ เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย
          เมื่อเป็นอย่างนี้ จะแก้ไขอย่างไร หลักการแก้ไขปัญหาก็คือ ต้องให้มีอะไรอย่างหนึ่ง ที่สมาชิกทุกคนยอมรับนับถือร่วมกันให้ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขา หรือมีความสำคัญเหนือกว่าตัวเขา ซึ่งเมื่อมองหรืออ้างถึงสิ่งนั้นแล้ว ทุกคนจะยอมให้แก่สิ่งนั้นหรือยอมเพื่อเห็นแก่สิ่งนั้นได้
          ในระบอบเผด็จการ ทุกคนยอมหรือต้องยอมรับอำนาจของผู้ปกครอง ต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตาม ต้องอยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกัน รักษาความสงบเรียบร้อยหรือแม้แต่มีระเบียบวินัยอยู่ได้ เพราะเกรงกลัวต่ออำนาจที่ครอบงำพวกตนอยู่ แต่การยอมตัวให้แก่อำนาจที่เกรงกลัวแบบนี้ เราได้มองเห็นแล้วว่า เป็นระบอบที่ไม่ดี ไม่พึงปรารถนา
          ถ้าไม่ใช่ความเกรงกลัวต่ออำนาจของคนด้วยกันแอย่างนั้น จะให้ยอมตัวแก่ใคร ในบางสังคม เขามีสิ่งสักดิ์สิทธิ์หรือเทพเจ้าที่ทุกคนเคารพบูชาสูงสุด เมื่ออ้างเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ก็เป็นจุดรวมให้ทุกคนยอมตัวและยอมตามได้ แต่นั้นก็ยังไม่ใช่วิธีการที่สมควรแก่ประชาชนที่พัฒนาในระบอบประชาธิปไตย
          ในประเทศที่ถือชาตินิยมแรงกล้า ประชาชนทั้งหลายมุ่งมั่นจะให้ประเทศชาติของตนยิ่งใหญ่ พาสกันทำทุกอย่างเพื่อให้ชาติของตนยิ่งใหญ่ ทุกคนยอมตัวได้ยอมกันได้ และแม้แต่สละตัวได้ เพื่อเห็นแก่ชาติ แม้แต่จะแก่งแย่งขัดแย้งทะเลาะวิวาทกันอยู่ระหว่างบุคคล แต่พอมีเหตุให้อ้างว่าเพื่อชาติ ทุกคนหยุดเรื่องส่วนตัวหันมารวมใจกัน ยอมกัน สามัคคีกัน ยอมได้ทุกอย่างที่จะร่วมกันทำการเพื่อชาติ แต่วิธีนี้ก็ไม่เข้ากับหลักการที่แท้ของประชาธิปไตย และมีโทษ เช่น เป็นเหตุให้ทำการเกินพอดีและคับแคบ เอาแต่ชาติของตัว โดยพร้อมที่จะเบียดเบียนข่มเหงรังแกหรือเอาเปรียบชาติอื่น
          นอกจากลัทธิชาตินิยมแล้ว ความยึดมั่นในอุดมการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ให้ผลแรงไม่แพ้กัน คนที่มีอุดมการณ์แรงกล้า ก็ยอมตัวให้แก่อุดมการณ์ได้ ทุกคนที่ยึดถืออุดมการณ์เดียวกันนั้น จะยอมได้ ทำได้ทุกอย่างเพื่ออุดมการณ์ สามารถร่วมมือกัน พร้อมเพรียงกัน เชื่อฟังกัน ทำการร่วมกัน เพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จตามอุดมการณ์ แต่วิธันี้ก็ไม่ปลอดภัย นอกจากคับแคมแล้ว พฤติกรรมในการเสียสละและทำการต่างๆอย่างเข้มแข็งจริงจัง มักเป็นไปเพียงเพราะแรงขับแรงพลุ่งของความยึดมั่นในอุดมการณ์ ขณะที่แรงส่งของอุดมการณ์ยังเข้มอยู่ ก็ทำการไปได้อย่างไม่ต้องคิดอะไร แม้แต่จะทำร้ายหรือทำลายใฝครๆอะไรๆอื่นก็ได้ และพอแรงพลุ่งเบาลง ก็เข้ารูปเดิม เพราะไม่ใช่ชีวิตจิตใจที่แท้ของตัวเขาเอง ยังประกอบด้วยโมหะ ไม่เป็นไปด้วยปัญญาอย่างแท้จริง ยังไม่เป็นที่พึงประสงค์ของประชาธิปไตย
          ส่วนคนที่ไม่ยึดถือในสิ่งต่างๆที่พูดมาแล้วข้างต้น ตัวตนก็จะเด่นมากโดยไม่มีอะไรมาลดแรง แต่คนพวกนี้ก็มีสิ่งที่เขาจะยอมตัวให้เหมือนกัน คือ ในเวลามีภัยอันตรายร้ายแรง มาคุกคามต่อชีวิตของตน หรือต่อกลุ่มต่อต้านหมู่คณะต่อประเทศชาติของตน เช่น ประเทศชาติถูกรุกรานจากศัตรูภายนอก ในเวลานั้นประชาชนในประเทศชาติของเขาจะยอมตัวและยอมกันได้ มาพร้อมเพรียงสามัคคีร่วมกันทำการเพื่อป้องกันรักษาประเทศชาติของตน แต่พอภัยอันตรายผ่านพ้นไปแล้ว ก็กลับแตกแยกกันออกไป ต่างคนต่างใหญ่ตามเดิม
          ถ้าอย่างนี้ ในสังคมประชาธิปไตยจะทำอย่างไร ได้พูดไว้แล้วว่า คนที่ร่วมอยู่ร่วมสร้างสรรค์พัฒนาประชาธิปไตยนั้น เป็นคนที่ใช้ปัญญา เขามุ่งที่จะสร้างสรรค์ประโยชน์สุขแก่ชีวิตและสังคมด้วยการใช้ปัญญาพิจารณาเลือกเฟ้นวินิจฉัยว่า อะไรเป็นความจริง ความถูกต้องดีงาม เป็นประโยชน์ที่แท้จริง เพื่อจะทำตามที่มองเห็นด้วยปัญญานั้น ให้บรรลุประโยชน์สูงสุขที่แท้จริง ความจริง ความถูกต้องดีงาม และประโยชน์ที่แท้นั้น เป็นเป้าหมาย เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดที่เขาใฝ่ปรารถนาจะเข้าถึง
          คนที่เป็นอย่างว่านี้ ถ้าเขาจะเข้าร่วมประชุมพิจารณาเรื่องอะไร ใจของเขาแต่ละคนก็ทุ่มก็พุ่งก็มุ่งตรงไปที่ตัวความจริง ความดีงาม ตัวประโยชน์ และสาระที่จะนำมาใช้แก้ปัญหาของชีวิตและสังคมให้สำเร็จ ด้วยความใฝ่ปรารถนาอย่างแรงกล้าต่อตัวความจริง ต่อสาระที่แท้อันนี้ เขาจะเสียสละเรี่ยวแรงกหำลังสติปัญญาความคิด และแสวงหารับฟังทุกสิ่งทุกอย่างที่จะช่วยให้เขาเข้าถึงตัวความจริงหรือสาระนั้น จนมองไม่ใส่ใจกับเรื่องจุกจิกปลีกย่อยที่ไม่เกี่ยวข้องกับการหาความจริง เช่น การขัดแย้งกระทบกระทั่งความรู้สึกต่างๆ เขามองข้ามไปได้หมด ถ้าไม่เข้าถึงสาระยังจับเอาตัวความจริงไม่ได้ เขาคงไม่ยอมหยุดเลิก ด้วยเหตุนี้เขาจึงยอมตัวและยอมกันได้ เพื่อเห็นแก่การที่จะเข้าถึงตัวความจริงและสาระนั้น แล้วก็จะเกิดบรรยากาศแห่งการแสวงหาความจริงและสารัตถะขึ้นในที่ประชุมนั้น ซึ่งเป็นบรรยากาศที่พึงประสงค์ในระบอบประชาธิปไตย
          เพราะฉะนั้น ในสังคมประชาธิปไตย คนจะยอมตัวได้และยอมกันได้เพื่อเห็นแก่ความจริง ความถุกต้องดีงาม เหตุผล ตัวประโยชน์ที่แท้ หรือสาระที่จะเป็นตัวแก้ไขปัญหาอันนี้ ขอให้ลองตรวจสอบดู ในสังคมที่เขาพัฒนาประชาธิปไตยไปได้อย่างนับว่าค่อนข้างดี จะต้องมีลักษณะอย่างนี้ ที่พัฒนาไปได้ไกลพอสมควร
          ความจริง ความถูกต้องดีงาม เหตุผล ตัวประโยชน์ที่แท้ และสาระที่จะเป็นตัวแก้ปัญหานี้ ถ้าใช้คำเรียกสั้นๆคำเดียว ก็คือ ธรรม นั่นเอง ดังนั้น จึงพูดสั้นๆว่า ในสังคมประชาธิปไตยนั้น คนจะยอมตัวและยอมกันได้เพื่อเห็นแก่ธรรม เพราะเขายอมรับนับถือธรรมนั้น ให้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าตัวตนของเขา ทุกคนถือธรรมเป็นใหญ่ และยอมได้เพื่อเห็นแก่ธรรม
          คนที่ถือธรรมเป็นใหญ่ และยอมให้แก่ธรรมนั้น เรียกเป็นคำศัพท์ว่า ธรรมาธิปไตย คนในสังคมประชาธิปไตย แต่ละคนจะต้องเป็นธรรมาธิปไตย ถือธรรมเป็นใหญ่ ยกธงธรรมขึ้นนำหน้า เอาธรรมเป็นตราชู
       แต่ละคนมีความถือตัว ต้องการให้ตัวใหญ่เด่นสำคัญ เรียกง่ายๆว่ามีมานะ แต่ถ้าการถือตัว ความปรารถนาความยิ่งใหญ่ หรือโดดเด่น การแสวงหาอำนาจแก่ตนหรือมานะนั้น จะเกินขอบเขตมาถึงระดับที่จะกลายเป็นอุปสรรคต่อการแสวงหาความจริง ความถูกต้องดีงาม หรือเป็นการเบียดเบียนข่มเหงผู้อื่น ก่อโทษทำลายประโยชน์สุขของสังคมแล้ว ก็เรียกว่า มานะนั้นมาขัดกับธรรม ถ้ามานะนั้นมาขัดกับธรรม มานะนั้นจะต้องถูกหยุดยั้ง มานะจะต้องยอมแก่ธรรม ธรรมจะต้องชนะ คือจะต้องปฏิบัติธรรมและเพื่อธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติตามมานะ การปฏิบัติได้อย่างนี้ เรียกว่าเป็นการถือธรรมเป็นใหญ่ คือเป็นธรรมาธิปไตย
          ไม่เฉพาะมานะเท่านั้น ตัณหาก็เช่นเดียวกัน ถ้าการแสวงหาความสุขสำราญหรือการแสวงหาผลประโยชน์เกินขอบเขตออกมา และจะกลายเป็นการเสียหายต่อธรรม เช่น เป็นการเอาเปรียบผู้อื่น ก่อความเดือดร้อนแก่สังคม เป็นต้น ตัรหาจะต้องหยุด ตัรหาจะต้องยอมแก่ธรรม ธรรมจะต้องเอาชนะ จะต้องปฏิบัติตามธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติตามตัณหา ถ้าทำได้อย่างนี้ก็เป็นการถือธรรมเป็นใหญ่ เป็นธรรมาธิปไตย
          ทิฐิก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าทุกคนจะยึดถือในความเห็นของตน แต่ก็จะต้องยอมตัวที่จะรับฟังข้อมูลและเหตุผลต่างๆ แม้ที่แปลกจากทิฐิของตน เพื่อมุ่งต่อธรรม และถ้าพิสูจน์ความจริงได้แล้ว กลายเป็นว่าทิฐิของตนผิดจากธรรม ก็จะต้องยอมสละวางทิฐิของตน แล้วยอมรับตามธรรม แม้จะยึดถืองนลัทธิอุดมการณ์ใดๆ ก็ต้องเปิดใจต่อความจริงและเหตุผลที่เป็นธรรมอยู่ตลอดเวลา และหากจะเผยแพร่ทิฐิ ลัทธิศาสนาหรืออุดมการณ์ของตนหรือพวกตน ก็ต้องทำตามเหตุผลอย่างเป็นธรรมและชอบธรรม ไม่ผูกขาด ไม่บีบคั้นบังคับคนอื่น ไม่หลอกลวงหรือใช้วิธีการที่ไม่ซื่อตรง คือจะต้องให้ธรรมเป็นใหญ่ ไม่ให้ทิฐิเหนือธรรม
          คนที่ถือธรรมเป็นใหญ่ แม้จะปฏิบัติตามหลักธรรมาธิปไตยได้เพียงในขั้นลบ คือไม่ให้ตัณหา มานะ ทิฐิ อยู่เหนือธณรม แต่ให้ตัรหา มานะ ทิฐินั้นหยุดยั้งอยู่ได้ในขอบเขตที่ไม่ละเมิดธรรม หรือไม่เสียธรรม แม้จะปฏิบัติได้เพียงในขั้นนี้ ก็เรียกได้ว่าเป็นคนที่ปกครองตนเองได้ เมื่อประชาชนปกครองตนเองได้ มีความสามารถในการปกครองตนอย่างนี้ การสร้างสรรค์ประชาธิปไตยก็สำเร็จ เพราะประชาธิปไตยคือการปกครองของประชาชนที่ปกครองตนเองได้
           ประชาชนที่ปกครองตนเองได้ ก็คือ ประชาชนที่เป็นธรรมาธิปไตยดังกล่าวแล้ว เพราะฉะนั้น ประชาธิปไตยก็คือ การปกครองของประชาชนที่(โดยทั่วไปหรือส่วนใหญ่) เป็นธรรมาธิปไตย หรือการปกครองของประชาชนที่เมื่อตัณหา มานะ ทิฐิ มาถึงเส้นขีดของธรรม ตัรหา มานะ ทิฐินั้นจะต้องหยุด

ประชาธิปไตยจะสัมฤทธิ์
ประชาชนต้องเป็นธรรมาธิปไตย
          คำพูดที่ว่า รัฐบาลของประชาชน นั้น โดยมากก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่า เป็นวาทะของประธษนาธิบดีลินคอล์นของประเทศอเมริกานี้ คำเต็มของท่านว่า รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน”* เป็นวาทะที่นับถือกันมาก แทบว่าจะเป็นคำจำกัดความของประชาธิปไตยเลยทีเดียว คนอเมริกันนี้ภูมิใจ และจำได้ทั่วกัน ถึงกับมีการจัดว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่คนอเมริกันทุกคน แม้แต่เด็กนักเรียนชั้นประถมก็ต้องรู้ แม้แต่คนชาติอื่นๆก็รู้จักและใช้อ้างกันมาก
*   “...government of people, by people, for people…” (คำลงท้ายในการปราศรัยของประธษนาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น ณ สุสานสมรภูมิสงครามกลางเมือง ที่ Gettysburg วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ.2406 (ค.ศ.1863) เช่น ใน The Dictionary of Cultural Literacy, 1991 และ A First Dictionary of Cultural Literacy, 1991

          อย่างไรก็ดี ท่านผู้พูดคงไม่ได้มุ่งให้เข้าใจว่า เรื่องของประชาธิปไตยจะจบอยู่แค่เป็นการปกครองของประชาชนเท่านั้น คำพูดนั้นเป็นเพียงคำสรุปเริ่มต้นสำหรับพิจารณารายละเอียดอื่นๆกันต่อไป ข้อสำคัญ ก็คือ เป็นคำกล่าวที่โยงความสัมพันธ์เอาไว้ระหว่างประชาธิปไตยกับประชาชน ให้เห็นว่าเมื่อพูดถึงประชาธิปไตยก็ต้องเกี่ยวโยงไปถึงประชาชน หรือเมื่อจะพิจารณาอะไรที่เกี่ยวกับประชาธิปไตยก็ต้องพิจารณาถึงประชาชนด้วย
          อย่างน้อย สิ่งหนึ่งที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้นก็คือ คุณภาพของประชาธิปไตยเมื่อพูดว่าประชาธิปไตยเป็นการปกครองของประชาชน ก็แสดงว่า คุณภาพของประชาธิปไตย ขึ้นอยู่กับคุณภาพของประชาชน คือ ประชาธิปไตยที่ดี ก็ต้องเป็นการปกครองของบประชาชนที่ดี ประชาชนที่ดีคือประชาชนอย่างไร ก็คือที่ได้พูดมาก่อนนั้นแล้วว่า ประชาชนที่ปกครองตนเองได้ หรือประชาชนที่เป็นธรรมาธิปไตย
          สมัยก่อนโน้น ประเทศไทยก็ดี ประเทศอื่นๆทั่วๆไปก็ดี มีการปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตย และเราก็มีการปกครองแบบราชาธิปไตยที่ดีบ้าง ที่ไม่ดีบ้าง ซึ่งขึ้นต่อคุณภาพของผู้ปกครอง คือพระราชาหรือกัตริย์นั้นๆ มาถึงเวลานี้เมื่อเรามีการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นผู้ปกครอง การปกครองแบบประชาธิปไตยนั้น ก็อาจจะดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แล้วแต่คุรภาพของประชาชนที่เป็นผู้ปกครองนั้นเช่นเดียวกัน
          ผู้ปกครองดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในระบอบราชาธิปไตย เรียกว่า พระเจ้าจักรพรรดิ ในทางพระพุทธศาสนากำหนดคุณสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิไว้เป็นข้อแรกทีเดียวว่าพระเจ้าจักรพรรดิทรงเป็นธรรมาธิปไตย” * ถือธรรมเป็นใหญ่ เคารพธรรม ยำเกรงธรรม ยึดธรรมเป็นธงชัย
*   จักกวัตติสูตร, ที. ปา. 11/35/65

          ถ้าจักรพรรดิหรือราชาผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ถือธรรมเป็นใหญ่ ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ก็จะหาแต่ความสุขสำราญส่วนตัว เอาแต่ใจและใช้อำนาจตามอำเภอใจ ใช้อำนาจนั้นบีบคั้นข่มเหงประชาชน ก็จะมีแต่ความทุกข์ยากเดือดร้อนทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ถ้าพระเจ้าจักรพรรดิหรือองค์ราชา เป็นธรรมาธิปไตย ตั้งอยู่ในธรรม ก็จะทรงใช้ทรัพย์สมบัติและอำนาจในการสร้างสรรค์ประโยชน์สุข ทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ประชาชนอยู่ร่มเย็นไปทั่ว
          ในระบอบราชาธิปไตย อำนาจสูงสุดอยู่ที่องค์ราชาหรือพระมหากษัตริย์ผู้เดียว ดังนั้นการที่จะให้ได้การปกครองที่ดี ก็จึงต้องย้ำเน้นให้องค์ราชานั้นเป็นธรรมาธิปไตย แต่เมื่อเปลี่ยนมาเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้ว อำนาจสูงสุดก็เปลี่ยนมาอยู่ในมือของประชาชน เพราะฉะนั้น ความเป็นธรราธิปไตยก็ต้องกระจายไปอยู่ที่ประชาชนทุกคน หมายความว่า อำนาจอยู่ที่ใคร ใครเป็นผู้ใช้อำนาจ ผู้นั้นต้องเป็นธรรมาธิปไตย
          เพราะฉะนั้น ในเวลานี้เมื่อเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแล้ว และอำนาจอยู่กับประชาชน ประชาชนก็ต้องมีความรับผิดชอบที่จะทำตนให้เป็นธรรมาธิปไตย
          ถ้าประชาชนไม่ถือธรรมเป็นใหญ่ ไม่เป็นธรรมาธิปไตย ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ไม่ใช้ปัญญา เอาแต่ใจ ตามใจกิเลส และใช้อำนาจตามอำเภอใจ ก็จะปกครองตนเองไม่ได้ ประชาธิปไตยก็ไปดีไม่ได้ และประชาชนนั่นแหละจะเดือดร้อน เพราะเบียดเบียนข่มเหงเอารัดเอาเปรียบแย่งชิงกันเอง แล้วในที่สุดประชาชนนั่นเอง ก็อาจจะเป็นผู้เรียกร้องเชื้อเชิญผู้เผด็จการให้เข้ามารวบยึดอำนาจไปปกครอง (ดังที่เกิดขึ้นเมื่อ 19 กันยายน 2549 – ผู้จัดพิมพ์)
          เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้ประชาธิปไตยดำรงอยู่ได้และเป็นประชาธิปไตยที่ดี ประชาชนจะต้องพัฒนาตนให้เป็นธรรมาธิปไตย เมื่อตนเองแต่ละคนมีคุณสมบัติเป็นธรรมาธิปไตยแล้ว ก็ไปปฏิบัติการแสดงออกตามรูปแบบของระบอบประชาธิปไตย
          ในการถือธรรมเป็นใหญ่นั้น ธรรมที่จะต้องถือหรือเคารพยึดเป็นหลักเป็นมาตรฐาน อาจแบ่งคร่าวๆได้ 2 ระดับคือ
          ขั้นต้น ได้แก่ หลักการ กฏเกณฑ์ กติกาต่างๆอันชอบธรรม ที่ได้ตกลงกันวางไว้
          ขั้นสูงขึ้นไป ได้แก่ ความจริง ความถูกต้องดีงามและประโยชน์สุขที่เหนือกว่าขั้นต้นนั้นขึ้นไป จนสุดขีดแห่งปัญญาของตนจะมองเห็นได้
          อย่างน้อย ถ้ายังไม่มีสติปัญญาที่จะมองเห็นธรรมลึกซึ้งลงไป ก็ต้องทำได้ถือได้ในขั้นต้น ที่เป็นระดับรูปธรรม คือ เคารพหลักการ กฏ ระเบียบ กติกาอันชอบธรรมที่ได้ตกลงวางกันไว้
          เมื่อประชาชนเจ้าของอำนาจต้องเป็นธรรมาธิปไตย บุคคลที่ได้รับมอบอำนาจจากประชาชน หรือใช้อำนาจในนามประชาชน คือ ผู้แทนและนักการเมืองทั้งหลายก็จะต้องเป็นธรรมาธิปไตยด้วย
          สำหรับนักการเมืองและผู้แทนของประชาชนนั้น จะต้องเข้าใจว่าประชาธิปไตยไม่ใช่การตามใจประชาชน ไม่ใช่การเอาอกเอาใจ ตลอดจนไม่ใช่การประจบประชาชน
          เราเคยเห็นคนมีอำนาจหรือคนที่เป็นใหญ่ มีคนแวดล้อมคอยเอาอกเอาใจ เรารู้ว่าการประจบสอพลอผู้เป็นใหญ่หรือผู้มีอำนาจนั้น เป็นสิ่งเลวร้ายไม่ถูกต้องฉันใด เมื่อประชาชนเป็นใหญ่ เป็นเจ้าของอำนาจ แม้ว่าจะต้องยอมต่ออำนาจของประชาชน แต่การที่ผู้แทนหรือนักการเมืองจะประจบเอาใจประชาชน ก็เป็นการไม่ถุกต้อง ฉันนั้น ประชาชนจะต้องไม่หลงเพลิดเพลินไปกับการพะเน้าพะนอประจบประแจงเอาใจนั้น ประชาชนจะต้องคงอยู่ในหลักการที่ถือธรรมเป็นใหญ่ และนับถือนักการเมืองที่เป็นธรรมาธิปไตย มีความพอใจที่นักการเมืองหรือผู้แทนของตนถือธณรมเป็นใหญ่ แม้ว่าเขาจะมาว่ากล่าวคัดค้านตักเตือนโดยเหตุผล
          นักการเมืองที่ไม่เป็นธรรมาธิปไตย เป็นคนไม่คงที่ เช่น เมื่อยังไม่มีอำนาจยังไม่ได้ฐานะตำแหน่ง ก็เอาอกเอาใจประจบประแจงประชาชน แต่พอมีฐานะได้อำนาจแล้ว ก็ข่มขี่บังคับแสดงอำนาจต่อประชาชน ส่วนนักการเมืองที่ดีที่เป็นธรรมาธิปไตย เป็นผู้มีหลักการที่แน่นอน คงเส้นคงวา ไม่ข่มขี่ประชาชน แต่ก็ไม่พะเน้าพะนอประจบประชาชน ไม่ตามใจประชาชนในทางที่ผิด เขาจะยืนหยัดอยู่ในธรรม เพราะเขาทำหน้าที่ในนามของประชาชนที่เป็นธรรมาธิปไตย

จะเรียกร้องประชาธิปไตย
ต้องเรียกร้องอย่างสร้างสรรค์
          ตามที่กล่าวมานี้ จะมองเห็นลักษณะสำคัญ 2 อย่างของสังคมประชาธิปไตย คือ วิถีชีวิตแห่งความพอดีที่เป็นสายกลาง ซึ่งองค์ประกอบและปฏิบัติการทั้งหลายได้สัดส่วนสมดุลกัน ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนไป เป็นไปอย่างรู้จักประมาณ มีดุลยภาพ และอีกอย่างหนึ่งคือ การยอมรับศักยภาพของมนุษย์ ว่าบุคคลแต่ละคนมีความสามารถที่พัฒนาได้ ซึ่งจะทำให้สามารถดำเนินชีวิตที่ดีงาม และร่วมอยู่ร่วมสร้างสรรค์สังคมที่ดีงามด้วยกันได้
          แต่การยอมรับศักยภาพนั้น มองอีกแง่หนึ่งก็เป็นการบอกแจ้งเงื่อนไขไปด้วยพร้อมกันว่า ศักยภาพนั้นจะต้องได้รับการพัฒนา คือจะต้องมีการศึกษา เพื่อให้บุคคลมีสติปัญญา สามารถคิดวินิจฉัย เลือกตัดสินใจ และใช้เสรีภาพเป็นต้นได้อย่างถูกต้องพอดี ซึ่งจะต้องมีการพัฒนาปัญญากันเรื่อยไป และปัญญาที่พัฒนาดีแล้วนี่แหละที่จะบอกมให้รู้ว่าวิถีชีวิตแห่งความพอดี ที่เป็นดุลยภาพนั้นอยู่ที่ไหน การพัฒนาศักยภาพในที่สุดจึงได้ตัวปัญญาที่มาบรรจบกับวิถีแห่งความพอดีที่เป็นประชาธิปไตย คือกลายเป็นเรื่องเดียวกัน
          การที่จะสร้างสรรค์ประชาธิปไตยหรือพัฒนาประชาธิปไตยได้นี้ จะต้องมีการกระทำอย่างจริงจัง ซึ่งก็หมายถึงการใช้ปัญญาอย่างจริงจัง การทำจริงจังนี้ไม่ได้หมายความว่ารุนแรง แต่ความจริงจังหมายถึงความที่มีใจแน่วแน่มั่นคงที่จะทำสิ่งนั้นๆด้วยความยั่งยืน อดทน ไม่ใช่ทำผลีผลามร้อนแรงเพียงชั่ววูบแล้วก็ผ่านไป
          เพราะฉะนั้น จึงได้พูดไว้แต่ต้นว่า เพื่อจะให้คนที่สิ้นชีวิตไปนี้ไม่สิ้นชีวิตไปเปล่า คนที่อยู่เบื้องหลังจะต้องมีจิตสำนึกในประชาธิปไตยอย่างถูกต้อง ที่จะมีความจริงจัง ไม่ใช่ตื่นตูมไปกับเหตุการณ์ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็ล้มเลิกไป เราต้องการการกระทำที่เรียกว่าระยะยาวที่ทำด้วยความอดทนตั้งใจจริง และความตั้งใจทำจริงที่แท้ก็หมายถึงการใช้ปัญญาอย่างจริงจังโดยบริสุทธิ์ใจ ซึ่งจะต้องมาคิดกันอย่างพิจารณาเหตุผลให้ถ่องแท้ ว่าอะไรกันแน่เป็นเหตุเป็นผลในสังคมเรา เราจะจัดการอย่างไรที่จะจัดสร้างรูปแบบที่เหมาะสมกับสังคมเราขึ้นได้ คิดกันโดยใช้ปัญญาอย่างจริงจัง
          สาระเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จะสถาปนากันได้ในชั่ววันเดียววันพรุ่งเสร็จ มันไม่ใช่อย่างนั้น การสถาปนาประชาธิปไตยเป็นงานที่ต้องทำระยะยาว และความคิดที่จะทำอะไรที่เป็นเรื่องระยะยาวนี่เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะต้องมีความจริงจังและใช้ปัญญาอย่างแท้จริง
          ทั้งหมดที่พูดมานี้ ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่นำขึ้นมาเสนอ เพื่อให้เห็นว่าโดยแท้จริงแล้วเราจะต้องพัฒนาประชาธิปไตยให้ครบถ้วน ทั้งรูปแบบและเนื้อหาสาระ
          ในด้านเนื้อหาสาระ ได้ยกเอาหลักการสำคัญอย่างหนึ่งของประชาธิปไตยคือเสรีภาพ ขึ้นมาพูดไว้เป็นตัวอย่าง เพื่อให้เห็นว่า การจะมีประชาธิปไตยที่ดีนั้น ไม่ใช่เพียงแค่เอารูปแบบเขามาใช้ตามไปเท่านั้นก็สำเร็จ แต่มีสิ่งที่จะต้องเพียรพยายามทำด้วยความตั้งใจจริง เฉพาะอย่างยิ่ง ต้องมีการแสวงปัญญาและใช้ปัญญาอย่างจริงจัง โดยให้บุคคลมีเสรีภาพที่จะพัฒนาศักยภาพของตนและให้ศักยภาพนั้นอำนวยผลดีในการที่จะใช้เสรีภาพในทางที่เกื้อกูลต่อชีวิตและสังคม ทำให้เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยเป็นไปอย่างสมดุล โดยเป็นเสรีภาพของคนที่ปกครองตนเองได้ คือคนที่เป็นธรรมาธิปไตย
          พูดสั้นๆว่า การสร้างสรรค์ประชาธิปไตย ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะได้มาสำเร็จเพียงด้วยการเรียกร้อง คือไม่ใช่เป็นสิ่งสำเร็จรูปที่ใครจะหยิบยื่นให้ได้เพียงตามคำเรียกร้อง ถ้าไม่ทำความเข้าใจกันให้ดีอย่างชัดเจน การสร้างสรรค์ประชาธิปไตยนั้น อาจจะเป็นวิถีอันยาวไกลที่เดินไปไม่ถึง เพราะมัวเดินวนเวียนอยู่แค่ต้นทางที่จะไป (แต่ต้องไปให้ถึงและจะต้องถึง – ผู้จัดพิมพ์)
          การเรียกร้องประชาธิปไตยนั้น ควรมองให้ครบทั้ง 2 ชั้น คือ ทั้งระดับรูปแบบหรือระบบ และระดับเนื้อหาสาระ การเรียกร้องที่พูดถึงกันทั่วไปนั้น ถ้ามีสติระลึกดูก็จะเห็นว่า เราได้ทำกันอยู่ในระดับของรูปแบบเป็นสำคัญ หรือมองกันแค่รูปแบบเท่านั้น และบางทีที่เรียกร้องนั้นก็เป็นเพียงการที่จะให้เขาหยุดให้ เขาเลิกปิดกั้นขัดขวางการที่เราจะดำเนินการตามรูปแบบหรือระบบที่จะให้เขาหยุดให้เท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าใครจะเอาประชาธิปไตยมาหยิบยื่นให้เราได้
          แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การเรียกร้องประชาธิปไตยในระดับรูปแบบนั้น จะต้องมีความเพียรพยายามจริงจังที่จะเอามาโยงต่อเข้ากับการสร้างสรรค์ประชาธิปไตยในระดับเนื้อหาสาระ ถ้าไม่ทำอย่างนั้น เมื่ออะไรๆเงียบกันไปนานๆหันกลับมามองอีกครั้ง เราอาจจะต้องสลดใจหรือสมเพชตนเองว่า นี่หรือคือผลที่ได้มาจากการลงทุนถึงเพียงนั้น
          การเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้เป็นสิ่งที่จะต้องทำกันตลอดเวลาต่อไปอีกนาน เป็นการเรียกร้องที่ต้องทำต่อประชาชนทุกคน โดยเริ่มต้นที่ตัวเรานี่แหละ ที่จะต้องวสำรวจความรู้ความเข้าใจและความเป็นประชาธิปไตยในตนเอง และนี่ก็คือ การเตือนจิตสำนึกในการที่จะสร้างสรรค์ประชาธิปไตยในระดับเนื้อหกาสาระ หรือการเรียกร้องกันให้สร้างสรรค์สาระของประชาธิปไตยนั่นเอง ๏


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น