บทที่ 4
พุทธศาสนา
สอนให้มองสิ่งทั้ง
ปวงแต่ด้านใน
การมองสิ่งทั้งปวงด้านใน
กล่าวคือด้านนามธรรม มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการที่จะเข้าใจธรรมะ หกรือเข้าใจพระพุทธศาสนา เพราะ พระพุทธเจ้าท่านมองสิ่งทั้งปวงด้านใน
และคำที่ท่านนำมากล่าวมาสอน ก็เป็นการบรรยายสิ่งทั้งปวงในด้านธรรมธิษฐาน
คือมองกันด้านใน เรื่องความทุกข์ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ
ที่กล่าวอยู่ในอริยสัจจ์ก็ดี ในเรื่องปฏิจจสมุปบาทหรือเรื่องอื่นๆก็ดี
มันเป้นเรื่องของความทุกข์ที่มองกันเฉพาะในด้านในทั้งนั้น ฉะนั้น
ถ้าเราไม่พยายามมองสิ่งทั้งปวงด้านในตามอย่างพระพุทธเจ้าแล้ว
ย่อมหวังไม่ได้เลยในการที่จะเข้าใจธรรมคำสอนของพระองค์
จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณากันถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดละออ แม้ในการอธิบาย 3
บทที่แล้วมา ก็เป็นการบรรยายแบบธรรมาธิษฐาน
การมองชีวิตด้านในหรือมองสิ่งต่างๆด้านในเท่านั้น
จึงจะสามารถเอาธรรมะมาใช้เป็นของคู่กับชีวิต หรือว่าเป็นอันเดียวกับชีวิตได้
แม้การชี้ให้เห็นความหมายอันแท้จริงของคำว่า”ชาติ” “โลก” “วัฏฏสงสาร” “โลกุตตระ”
“นิพพาน” ฯลฯ ในด้านนามธรรมหรือด้านใน ก็เพราะความจำเป็นข้อนี้
การมองด้านนอกคือด้านรูปธรรมหรือด้านวัตถุนั้น
มันทำให้เข้าใจธรรมะไม่ได้ แต่ว่าการมองด้านในหรือด้านนามธรรมนี้
ทำให้เข้าใจธรรมะได้ เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ นั้นเป็นเรื่องของด้านใน
มันเป็นส่วนลึกลับของด้านนอก เป็นความจริงที่มองเห็นได้ยาก การที่เรารู้กันแต่เรื่องด้านนอกไม่รู้ถึงด้านในซึ่งเป็นส่วนลึกลับของด้านนอก
ก็เพราะอวิชชาของเรา เรียกกันง่ายๆกือความโง่ ความหลง ความเป็นพาล ความเป็นคนเขลา
ความเป็นปุถุชนคนหนาในโวหารพุทธศาสนาเขาเรียกกันอย่างนั้น
ธรรมะเป็นความจริงที่ซ่อนเร้นอยู่ในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง การมองด้านนอกนั้น
มันดับ”ตัวตน-ของตน”ไม่ได้
แต่การมองด้านในนั้นมันดับได้
เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่า”ตัวตน-ของตน”นั้น
มันแสนจะลึกลับ มันอยู่ด้านในสุด
ชนิดไม่เห็นตัวคว้าไม่ถูก แต่ถ้าเราหัดมองด้านในตามวิธีที่พระพุทธเจ้าท่านสอนแล้ว
มันจะปรากฏแก่เราชัดเจนง่ายๆเหมือนของด้านนอกเหมือนกัน
การมองด้านนอกนี้ มันตกไปเป็นฝ่ายวัตถุนิยม
การมองด้านในทำให้เป็นไปในฝ่ายอุดมคตินิยม
ด้านนอกมันเป็นตัววัตถุอยู่ในตัวมันเอง
แล้วมันก่อผลเป็นวัตถุยิ่งขึ้นๆ
ฉะนั้นจะต้องเป็นทาสของวัตถุนิยม เกิดปัญหายุ่งยาก ไม่มีที่สิ้นสุด โลกเราสมัยนี้ยุ่งยากก็เพราะตัววัตถุนิยมนี้อย่างเดียวเท่านั้น
ไม่ว่าฝ่ายไหนหมดที่ทะเลาะกันนี้ก็เป็นวัตถุนิยมด้วยกันทั้งนั้น
แต่เป็นฝ่ายวัตถุนิยมคนละชื่อ เพราะฉะนั้นไม่มีทางแก้วิกฤติการณ์ของโลก
เว้นเสียแต่ว่าจะหายโง่หายยึดในเรื่องวัตถุนิยม และรู้จักอุดมคติสูงสุดที่เป็นด้านในขึ้นมาเท่านั้น
แล้วไม่ต้องมีใครห้ามเขา
เขาก็หยุดเบียดเบียนกันและแสวงหาความสุขที่แท้จริงได้โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อหรือเสียอะไรๆ จะอยู่กันอย่างผาสุกอย่างยิ่งที่เรียกว่า
สมัยพระศรีอารย์ก็ได้ นี่แหละลองพิจารณาดูกันเถิดว่า โทษของการมองกับคุณของการมองด้านในนั้น
มันมีอยู่อย่างไร ฉะนั้น จึงขอให้สนใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นหนทางเดียวเท่านั้น
ที่จะเข้าใจพระพุทธศาสนา ถ้าท่านผู้ใดเกลียดวัตถุนิยมและบูชาอุดมคตินิยม ก็ต้องหัดมองด้านนามธรรมตามแนวของพระพุทธศาสนา
ซึ่งอาตมารับรองได้ว่า ย่อมสำเร็จประโยชน์โดยแท้จริง
พุทธศาสนานั้นไม่เกี่ยวกับวัตถุนิยมเลย และยิ่งไปกว่านั้นอีก ก็คือเหนือวัตถุนิยม
สิ่งที่เรียกว่าโลกุตตระนั้น
หมายความว่าเป็นอยู่เหนือโลกอันเป็นที่ตั้งแห่งวัตถุนิยม
ความลุ่มหลงในโลกนั่นแหละเป็นตัววัตถุนิยม
เราต้องมองในลักษณะที่อยู่เหนือวัตถุนิยมเสมอไป
มีคำอีกคู่หนึ่งซึ่งพวกเราเกี่ยวข้องมากที่สุด คือเรื่อง ธรรมะ นี้แหละ มันมีวิธีพูดอยู่เป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งก็คือ
“บุคคลาธิษฐาน” คือกล่าวเป็นเรื่องของคน เป็นตัวสิ่งของ เป็นตัววัตถุไปเลย
แต่อีกฝ่ายหนึ่งกล่าวเป็นเรื่องนามธรรมล้วนไม่ใช่คน เป็นเรื่องธรรมะล้วนเขาเรียกว่า
“ธรรมาธิษฐาน” ยกตัวอย่างเช่นเรื่องพญามาร ถ้าถือว่าพญามารเป็นยักษ์ร้าย
ขี่ม้าขี่ช้างถือหอกถือดาบอย่างนี้ การพูดถึงพญามารแบบนี้เราเรียกว่าพูดอย่าง
“บุคคลาธิษฐาน” แต่ถ้าเล็งถึงสิ่งร้ายกาจที่สุดที่ทำลายมนุษย์อย่างยิ่ง
กล่าวคือกิเลส เช่นความโง่ ความโลภ ความโกรธ ความหลงงมงาย ทำนองนี้แล้ว
เขาเรียกพญามารในลักษณะของ “ธรรมาธิษฐาน”
คือกล่าวในแง่ของธรรมะหรือฝ่ายนามธรรม
ถ้าท่านไม่หัดมองด้านในแล้ว
จะไม่สามารถรู้จักธรรมะฝ่ายธรรมาธิษฐาน
จะรู้จักแต่ฝ่ายบุคคลาธิษฐานเสมอไป ถ้าโง่มากๆก็จะกลายเป็นเหยื่อของการโฆษณาชวนเชื่อ
เช่น ให้ทำบุญไปสวรรค์ได้วิมาน หรือทำบุญพ้นพญามารทำนองนี้ก็ได้ แต่ถ้าเราหัดมองให้ถุกตามที่เป็นจริง
ให้ลึกเข้าไปถึงความจริง คือเป็นธรรมาธิษฐานแล้ว เราจะเป็นผู้รู้ความจริง
ไม่มีใครหลอกเราได้อีกต่อไป
ทรัพย์มี
2 ประเภทคือ ทรัพย์ของปุถุชน และทรัพย์ของพระอริยเจ้า แก้วแหวน เงิน ทอง ที่ดิน ไร่ นา ช้าง ม้า
วัวควาย
กระทั่งเกียรติยศอำนาจวาสนาชื่อเสียงอะไรอย่างนี้ เป็นทรัพย์ภายนอกของปุถุชนทั้งนั้น ส่วนมทรัพย์ภายในนั้นเรียกอริยทรัพย์
แปลว่าทรัพย์ที่ประเสริฐ
หรือทรัพย์ของพระอริยเจ้านี้ เขาหมายถึงธรรมะที่ทำให้เกิดความดับทุกข์ได้
เพียงเท่าที่ท่านก็เห็นได้ทันทีว่า ทรัพย์ของปุถุชนคือทรัพย์ภายนอกนั้น มันเป็นสิ่งที่มองกันด้านนอก
คือไปลุ่มหลงอยู่ที่ทรัพย์ที่เป็นวัตถุรูปธรรม ส่วนอริยทรัพย์คือทรัพย์ภายในของพระอริยเจ้านั้น ต้องมองด้วยจิตใจที่ประณีต ละเอียด ที่มองลึกได้ถึงด้านในจึงจะพบอริยทรัพย์
ประโยชน์ของสิ่งนี้ท่านแสดงไว้มากมาย แต่จะยกมาเป็นตัวอย่างว่า
ทรัพย์ภายนอกนั้นไม่อยู่กับเราอย่างแท้จริง โจรขโมยไปก็ได้ ไฟไหม้ก็ได้
หรือเป็นอันตรายอย่างอื่นไปก้ได้ และเท่านั้นยังไม่พอ
มันยังเป็นพิษต่อเราอยู่บ่อยๆ หรือพูดง่ายๆว่า มันเล่นงานเราให้ลำบากใจไปตามๆกัน
ส่วนอริยทรัพย์ซึ่งเป็นภายใน
ไม่เป็นอย่างนั้นเลย ไม่เคยเป็นพิษ
ไม่เคยทำให้ใครน้ำตาไหล ไม่เคยทำให้ใครหัวเราะ
เพราะว่าการหัวเราะหรือร้องไห้นี้มันกระหืดกระหอบด้วยกันทั้งนั้น
สู้อยู่เป็นอิสระว่างๆเฉยๆไม่ได้
ฉะนั้น อริยทรัพย์ที่เป็นภายในนี้
จึงไม่ทำให้ใครหัวเราะหรือร้องไห้ ให้แต่ความสงบเย็นอย่างเดียว
เราจะต้องใช้สติปัญญามองทะลุด้านนอกเข้าไปถึงด้านใน
เราจึงจะได้ทรัพย์อย่างนี้มาเป็นทรัพย์ของเรา
ทีนี้
มองดูในแง่ของคนที่มองแต่ด้านนอกบ้าง เขาจะรู้จักแต่โรคภัยไข้เจ็บแต่เพียงด้านร่างกายเท่านั้น
แล้วก็ตกอกตกใจเป็นวักเป็นเวร นอนไม่หลับ แต่ส่วงนอันตรายด้วยโรคด้านในนั้น
เขาไม่รู้ว่ามีอยู่ เขาไม่รู้ว่าโรคภัยไข้เจ็บธรรมดาสามัญด้านนอกนี้
มันมีมูลเหตุอันแท้จริงมาจากโรคด้านใน ถ้าเป็นโรคด้านวิญญาณอยู่แล้ว
โรคภัยไข้เจ็บด้านร่างกายนี้มันจะเพิ่มขึ้น แม้ที่สุดแต่โรคลำไส้
หมอรับรองว่ามันมีมูลมาจากความเป็นผู้วิตกกังวลนานพอสมควร
เพราะทุกคราวที่วิตกกังวลนั้น เลือดไม่ได้หล่อเลี้ยงลำไส้อย่างพอเพียง
ไปหล่อเลี้ยงมันสมองที่กำลังเดือดพล่านเสียหมด เมื่อเป็นอย่างนี้ ทางลำไส้ก็เกิดพิษวิปริตขึ้นมา
ความวิตกกังวลนี้ก็มาจากที่คิดผิด หรือเห็นผิดในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
มันจึงเกิดความยึดมั่นถือมั่นชนิดที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล
เมื่อคนเรามีสภาพทางจิตใจเสื่อมทรามแล้ว
อำนาจที่ต้านทานโรคภัยไข้เจ็บในคตัวเราจะลดน้อยลงไปทันที ฉะนั้น
ถ้าเชื้อโรคอะไรเข้ามาทำให้เจ็บป่วยได้ ถ้าเราไม่เป็นโรคทางวิญญาณเลย จิตใจเข้มแข็งเหมือนพวกโยคีที่อยู่ตามป่า
เชื้อโรคเข้าไปก็ไม่เป็นอะไร มีความต้านทานดีไม่เป็นโรค ไม่ต้องกินยา หมายความว่า
ความเข้มแข็งในทางวิญญาณ เป็นความต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บในทางร่างกายได้ด้วย
เมื่อมองเห็นอย่างนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรนอกจากธรรมะอันเป็นยาป้องกันโรคทางวิญญาณ
แล้วโรคทางภายนอกก็จะสูญหายไปเป็นส่วนมาก ดังเห็นได้ว่า ผู้ที่อยู่ตามแบบของธรรมะ
เป็นฤาษี มักแข็งกร้าว ไม่ค่อยเป็นโรคภัยไข้เจ็บ
ละถ้าเราอยากจะอายุยืนกันก็ต้องเป็นอยู่ในลักษณะอย่างนี้ด้วย
ในแง่ของความสุข ก็เป็นคู่ๆอย่างเดียวนี้อีก ในบาลีท่านเรียกว่า
“ความสุขที่ต้องอาศัยบ้านเรือน”
คือการครองเรือนนั่นเอง
นี่เป็นความสุขด้านนอก เรารู้จักกันดีมาก
ส่วนความสุขที่อยู่ตรงกันข้ามคือด้านในนั้นท่านเรียกว่า
“ความสุขที่เกิดมาจากการออกไปจากบ้านเรือน”
ในที่นี้กห็หมายถึงการออกโดยจิตใจ คือจิตใจอยู่เหนือความรู้สึกว่า
เรามีบ้านเรือนเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว
แม้คนแก่ที่คลานไปไหนไม่ไหว ต้องนอนอยู่ในเรือน แต่ถ้ารู้ธรรมะในระดับนี้แล้ว
เขาก็จะได้รับความสุขอย่างที่เรียกว่า ความสุขที่อาศัยการออกไปจากบ้านเรือน
มีจิตใจอยู่เหนือโลกเป็นโลกุตตระ เพราะว่าเขาสามารถมองสิ่งทั้งปวงด้านใน
อาศัยธรรมะเป็นเครื่องมือหรือเป็นวิธีที่จะมองให้เห็นด้านนามธรรม
จนไม่ยึดมั่นหรือมีจิตใจติดบ้านเรือน
ความสุขในบ้านเรือนเรียกว่า
“โลกียสุข” ความสุขเหนือบ้านเรือนเรียกว่า
“โลกุตตรสุข” เอาจิตใจเป็นเกณฑ์
ถ้าจิตใจอยู่ใต้วิสัยชาวโลกแล้ว
ต่อให้ไปอยู่ที่วัดหรือไปอยู่ในป่า
มันก็แสวงหาความสุขอย่างแบบบ้านเรือนนั่นเอง ลำพังวัดหรือป่าช่วยไม่ได้
จะช่วยได้ก็ต่อเมื่อใจมันรู้จักมองด้านใน
ถึงจะอยู่ที่ไหน ถ้าสามารถมองโลกลึกถึงด้านในได้ ก็เป็นการอยู่เหนือโลก เหนือบ้านเรือน
นี้เป็นกำไรอย่างยิ่ง
ได้ความสุขที่ประเสริฐเพิ่มเข้ามาโดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสของท่านไว้ว่า
นิพพานนี้ให้เปล่า หรือว่าเป็นสิ่งที่ได้มาเปล่าๆ ไม่ต้องลงทุน
มันมีแต่การทิ้งหรือโยนไปเสียให้หมด
หมายความว่ามีจิตใจอยู่สูงจนไม่ติดอยู่ในโลกโดยประการทั้งปวง
อยู่เฉยๆอยู่ว่างๆให้ถูกวิธีก็แล้วกัน
คนที่มองสิ่งทั้งปวงแต่ด้านนอก เขาจะหลงผิดชนิดที่เห็นงูเป็นปลา ส่วนคนที่มองสิ่งทั้งปวงด้านในอย่างถูกต้องนั้น
มันเห็นตามที่เป็นจริงไปหมด เห็นงูเป็นงู เห็นปลาเป็นปลา คนที่เห็นงูเป็นปลาแล้วไปถือเอาไว้นี้มันอันตรายเท่าไรก้พอจะเห็นได้
สำนวนอย่างอื่นก็ว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ก็มีความหมายเหมือนๆกัน มันเป็นความเห็นผิดเกี่ยวกับอารมณ์ทั้งปวง
แล้วตกเป็นทาสของอารมณ์นั้นๆ นี่แสดงให้เห็นว่า
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักมองด้านนามธรรม เพื่อให้จิตใจของเรานี้เอาตัวรอด
และอยู่เหนือสิ่งทั้งปวงได้
ทีนี้
เรามามองกันถึงคำว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นรก สวรรค์ นิพพาน ศาสนา ความงาม
ความดี ความจริง ความยุติธรรม ฯลฯ ว่าเป็นคำที่เราเข้าใจกันถุกต้องแล้วหรือ อย่าง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้
คนโง่ๆก็ถือว่าเป็นเรื่องหญ้าปากคอก คือมันง่ายเหมือนการปอกกล้วยใส่ปาก แต่ที่จริงนั้น คนโง่เข้าใจแต่เปลือกๆ
เขาไม่รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เลย
ถ้าเขามองด้านนอก เขาจะมองเห็นว่าพระพุทธรูปทั้งองค์ใหญ่องค์เล็ก
เป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ไหว้เอาๆ หรือแม้แต่ใครจะเห็นตัวท่านเดินโปรดสัตว์อยู่ในอินเดีย
เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้วว่าเป็นพระพุทธเจ้า นี้ก็ยังไม่ถูก
พระพุทธเจ้าท่านห้ามขาดไม่ให้เขลาไปถึงอย่างนั้น โดยตรัสว่า “เห็นธรรมะคือเห็นตถาคต
เห็นตถาคตคือเห็นธรรมะ” ฉะนั้น คนที่แม้เกิดในเมืองที่พระพุทธเจ้าเกิด ก็มีมากมายที่ไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริง เห็นแต่เปลือกของท่าน ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า
จึงมีคนที่ตั้งหน้าเป็นศัตรู นี่คือโทษของการที่ไม่มองให้ถุกต้อง
หรือไม่สามารถมองเห็นด้านในของสิ่งทั้งปวง ที่ถุกนั้น จะเห็นพระพุทธเจ้าที่ภาวะแห่งความว่างจาก
“ตัวตน-ของตน” ความสะอาด สว่าง สงบถึงที่สุด
ที่มีประจำอยู่ในจิตใจของพระพุทธองค์ ซึ่งท่านเรียกว่า”ธรรมะ”อย่างที่ท่านตรัสว่า
“เห็นธรรมะเห็นตถาคต เห็นตถาคตเห็นธรรมะ”
เกี่ยวกับพระธรรม
ถ้ามองด้านในก็จะถึงพระธรรมได้อย่างน่าชื่นอกชื่นใน
คนโง่มองด้านนอกก็ติดอยู่ที่เล่มหนังสือ ใบลานหรือเห็นพระไตรปิฎกเป็นพระธรรมไปหมด
อะไรๆก็อ้างว่ามีอยู่พระไตรปิฎก บางคนก็ติดอยู่ที่เสียงฉะฉานแสดงธรรมของพระเทศน์
หรือติดอยู่ที่พิธีรีตองทางศาสนา หรือปฏิบัติธรรมะเป็นท่าเป็นทาง
แม้แต่วิปัสสนาก็เกิดมีท่าทาง มันก็ไปติดที่ท่าทางนั้นหมด ไม่ถึงธรรมะ หัวใจของพระธรรมหรือพระธรรมแท้
ก็คือภาวะที่ว่างจาก “ตัวตน-ของตน” มีความสะอาด สว่าง สงบ อย่างยิ่ง อย่างที่มีอยู่ในกหัวใจของพระพุทธเจ้า อย่างเดียวกันนั้นเอง
ทีนี้พระสงฆ์
คนโง่มองด้านนอกที่บุคคล ก็จะถูกแต่ลูกคนนั้น
หลานคนนี้ บวชวัดนั้นวัดนี้
เป็นมหานั่นเป็นเจ้าคุณนี่ มากไปกว่านั้นเห็นใครเอาผ้าเหลืองมาคลุมตัว
เรียกว่าพระสงฆ์แล้ว ชายผ้าเหลืองก็ได้รับสมมติว่า เป็นเครื่องหมายของพระสงฆ์
อย่างนี้มันเปลือก การไปหลงเปลือกอย่างนี้มีอยู่มากที่สุด มันเป็นความเขลาที่สุด
และเป็นการไปหลงเปลือกอย่างนี้มีอยู่มากที่สุด มันเป็นความเขลาที่สุด
และเป็นการตู่พระสงฆ์อย่างยิ่ง เพราะว่าพระสงฆ์ไม่ได้อยู่ที่จีวรเหลืองๆ
หรือว่าอยู่ที่ตัวคนบวช พระสงฆ์ที่แท้จริง
คือธรรมะหรือภาวะแห่งความว่างจาก “ตัวตน-ของตน” เบาบางจาก ความเห็นแก่ตัว สะอาด
สว่าง สงบ อยู่อย่างเต็มที่หรือตามสัดส่วน
คือเป็นธรรมะอย่างเดียวกับเป็นหัวใจของธรรมะ
เป็นธรรมะที่มีอยู่ในหัวใจของพระพุทธเจ้าฉันนั้น
คนที่มองถึงความจริงถึงที่สุดแล้ว เขารู้ว่าไม่มีพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์หรอก แต่มีสิ่งเดียวเท่านั้น คือเป็นสิ่งเดียวกันเลย
เปลือกข้างนอกจะเป็นสามอย่างไรก้ได้ แต่เนื้อในเหมือนกันเอาเปลือกออก
มันก็เหลือแต่ของสิ่งเดียว คือภาวะที่ว่างจาก”ตัวตน” เป็นธรรมะที่เป็นความสะอาด
สว่าง สงบ อยู่ในตัวของมันเอง โดยที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับอะไร เช่นนี้เรียกว่า “ความว่าง”
เรื่องนรก คนโง่ของแต่ฝ่ายวัตถุ
ก็เห็นหรือเข้าใจนรกอย่างที่คนเขียนไว้ตามผนังโบสถ์ มีการทรมานกันอย่างนั้นอย่างนี้
ที่แท้ก็เป็นวิธีลงโทษคนกระทำผิดในสมัยครั้งพุทธกาล ที่มีอยู่ประมาณ 30 วิธีนั่นเอง ไปอ่านประวัติศาสตร์ แม้ในสมัยพระเจ้าอโศก
ก็ยังมีการทรมานลงโทษนักโทษในลักษณะอย่างนี้ คือเขาเอาอาการที่น่ากลัวที่สุดในการลงโทษนี้
มาวาดเป็นภาพนรก นี้เป็นนรกด้านนอก บางคนก็ฉลาดขึ้นมาอีกหน่อย
ว่าคุกตะรางก็คือนรก
แต่ก็ยังเรียกว่านรกด้านนอกอีก
มันยังไม่เผาหัวใจมากเหมือนนรกด้านใน คือ ความทุกข์ใจที่เกิดจากความโง่
ความโลภ ความโกรธ ความหลงงมงาย ความรัก ความเกลียด ความกลัว ความวิตกกังวล
นั่นแหละคือนรก และเป็นนรกที่ป้องกันยากที่สุด นรกอย่างที่เขาเขียนที่ผนังโบสถ์นั้น คนส่วนมากกล้าท้าเลยว่าไม่ตกแน่ แต่พอถึงนรกจริงๆอย่างที่ว่านี้ ใครบ้างกล้าท้า เพราะมันกำลังเผาอยู่โดยไม่แสดงอาการเผา มันกำลังผูกโดยไม่แสดงอาการผูก มันล่าม
มันมัดอยู่โดยไม่แสดงอาการล่ามอาการมัด นี้ คือนรกแท้จริง เห็นได้เมื่อมองในด้านใน
เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว ก็น่าจะขมีขมันกุลีกุจอหาที่พึ่ง แต่ถ้ามัวหลงเห็นนรกข้างนอกอยู่แล้ว ก็จะโลเลอยู่เรื่อยไป
และจับคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้
สวรรค์ก็เหมือนกัน สวรรค์ที่แท้จริงก็คือความพอใจ
รู้จักพอใจในสิ่งต่างๆทมี่เราได้มาหรือมีอยู่โดยชอบธรรม ความพอใจในสิ่งที่มีอยู่แล้ว
ก็เป็นสวรรค์ตามความหมายของพุทธศาสนา ส่วนสวรรค์อย่างที่เขียนไว้ที่ผนังโบสถ์ก็เหมือนกันอีก เป็นเรื่องของคนโ.
เป็นเรื่องของการมัวเมาในทางรูป เสียง กลิ่น รสสัมผัส
ซึ่งเป็นทาสของกามารมณ์อยู่อย่างเต็มที่
พวกเทวดาเป็นมากกว่าพวกมนุษย์ยิ่งนัก พวกคนร่ำรวยก็เป็นมากกว่าคนยากจร
อย่างนี้คนโง่ทั่วไปคิดว่า มันเป็นสวรรค์ เป็นของดีของงาม เป็นสิ่งที่ปรารถนากันยิ่งนัก
สอนกันแต่ให้มุ่งไปสวรรค์ เพราะเขามีปัญญาเพียงเท่านั้นเอง เขาไม่รู้ว่ามันเป็นสวรรค์ที่เผาลน
มันเป็น”ความสุก” เช่น ต้มสุก เผาสุก ปิ้งสุก ทั้งนั้น มันไม่ใช่เรื่องของ”ความสงบสุข” ฉะนั้น
ความสันโดษ คือรู้จักพอใจยินดีในสิ่งที่มีอยู่ได้อยู่นี้ ทำให้มีความรู้สึกเป็นความดีใจสุขใจ เป็นสวรรค์
ถ้าใครไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ได้มาหรือมีอยู่แล้ว คนนั้นเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น
เป็นคนยากจนอยู่ตลอดกาล แม้เขาจะเป็นเศรษฐีมีเงินในธนาคารพันล้าน แต่เขาก็เป็นคนจน
เพราะเขามีแต่ความหิวกระหายคอแห้งเสมอ อยากอยู่เสมอ ฉะนั้น จึงหาสวรรค์ไม่ได้
จะหาสวรรค์ได้ก็ด้วยมีสัมมาทิฏฐิ คือความเข้าใจถูกเท่านั้น
ทีนี้
มาถึงคำว่า “นิพพาน” เราได้ยินคนแก่ๆพูดว่า ตายแล้วขอให้ไปเกิดในสวรรค์
และต่อไปถึงเมืองแก้วอมตะนคร มีปราการ 7 ชั้น อะไรทำนองนี้
เพราระมีคนสอนเขาอย่างนั้น
บางทีก็เอาไปปนกับสุขาวดีของฝ่ายฮินดูหรือฝ่ายมหายาน บางคนก็เข้าใจว่านิพพานก็คือสวรรค์นั่นเอง แต่ว่าคูณด้วย 10 ด้วย 100 ด้วย 1000
คูณให้มากๆเข้าไปเถิด แล้วก็จะเป็นนิพพาน อย่างนี้ก็มี
นี่คือความเห็นของพวกวัตถุนิยมที่มัวเมากามคุณ นี่คือโทษของการที่มองสวรรค์ด้านนอก
ในฐานะที่เป็นรูปธรรมเรื่อยไป ในทางถุกต้องนั้น
นิพพานก็คือ “ความว่าง” ความสะอาด สว่าง สงบที่สุด
เพราะมมีความรู้สึกเป็นกิเลสเป็นควาทุกข์เท่านั้นเอง
ส่วนที่คนมักจะเข้าใจผิดอยู่มาก
ก็คือคำว่าศาสนา คนแก่ๆก็หมายถึงที่วัตถุ เช่นที่วัด ที่ต้นโพธิ์ ที่เจดีย์
คือหมายถึงสถานที่หรือพิธีรีตรองต่างๆ ที่ทำในศาสนา ว่านั่นเป็นศาสนา กลายเป็นแบบ
เป็นชิ้น เป็นก้อนเป็นวัตถุไปหมด ไม่เป็นศาสนาที่แท้จริงอย่างพระพุทธเจ้า คำว่า”ศาสนา”ของพระองค์นั้น
ท่านก็เล็งถึงสิ่ง 3 สิ่ง ความรู้ การปฏิบัติตามความรู้ แล้วการได้ผลเป็นความสะอาด
ความสว่าง ความสงบขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง รวมทั้ง 3 อย่างนี้เรียกว่า ศาสนา เรียกเป็นบาลีก็ว่า ปริยัติธรรม
ปฏิบัติธรรมและปฏิเวทธรรม ฉะนั้น ท่านทั้งหลายจะต้องเข้าถึงหลักศาสนาอย่างนี้
เพื่อความรู้ก็ตาม เพื่อการปฏิบัติก็ตาม เพื่อเอาเป็นที่พึ่งก็ตาม
ต้องรู้ศาสนาทั้ง 3 สิ่ง ดังนี้ นี้เป็นคำกล่าวที่กว้างที่สุด
และใช้ได้แก่ศาสนาทั้งปวง
“ความงาม”
ทางฝ่ายด้านนอก ฝ่ายวัตถุ ก็คือรูปงาม บางคนถือเอาความร่ำรวย
บางคนก็เอาวิชาความรู้สูงว่าเป็นความงาม อย่างที่คนจะเลือกคู่ครอง เขาจะนึกถึงรูป
นึกถึงทรัพย์ นึกถึงวิทยฐานะ แต่ว่าความงามเหล่านี้มันเป็นเรื่องทางวัตถุ
และเป็นการมองกันด้านนอกเท่านั้น ส่วนความงามที่แท้จริงนั้น
เป็นเรื่องภายในด้านจิตใจ คือความงามทางธรรมะที่มีอยู่ในตัวตน
งามด้วยอำนาจของธรรมะที่มีอยู่ที่ใจของเขา
ไม่คำนึงถึงรูปทรัพย์สมบัติหรือวิทยฐานะเลย ถ้ามันมีครบ
ก็จะยิ่งงามทั้งข้างนอกและข้างใน แต่ถ้าจะเลือกเอาอย่างเดียวแล้ว
ใครจะมาเลือกเอาอย่างไหน ไปคิดดูกันเอาเอง
เมื่อพูดถึง”ความดี”
พวกวัตถุนิยมก็ต้องเอา “การได้”ว่าเป็นความดี ให้ได้มาเป็นของตัวแล้วนั่นแหละดี
ขอให้สังเกตดูคนทั้งเมืองว่า เขากำลังเอาอะเป็นความดี บางคนก็เอาตามที่โลกเขานิยมว่า”ดี” คือเขาว่าดีกันทั้งบ้านทั้งเมืองแล้ว
จะไปไม่ดีอยู่คนเดียวก็ไม่กล้า คนบ้าบออย่างนี้ก็มี
แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ว่าอย่างนั้น คนทั้งเมืองจะว่าอย่างไรฉันไม่รู้
ถ้ามันดีมันต้องดีจริง และดีจริงอย่างยิ่งก็ตรงที่มันไม่เศร้าหมอง มันไม่เร่าร้อน
มันไม่ทุกข์ร้อน มันไม่โง่เขลา มันต้องดีที่ความสะอาด สว่าง สงบ ความดีแท้จริงที่มนุษย์ควรจะได้ให้ทันในชาตินี้นั้น
ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าความสงบสุข เป็นชนิดที่หาจากทางอื่นไม่ได้
นอกจากธรรมะอย่างเดียว จึงจะเรียกว่าเป็น “ความดี”
ถ้าพูดถึง”ความจริง”
คนมันมีตาหูจมูกลิ้นกหาย เป็นเครื่องสัมผัส ฉะนั้น
มันก็จริงเท่าที่เขาสัมผัสได้ด้วย ตา จมูก ลิ้น กาย ของเขาเอง
คือเท่าที่เขาพิสูจน์ได้ ทดลองได้ทางวัตถุ ฉะนั้น สิ่งที่เรียกว่า
เป็นความจริงของชาวโลกที่ไม่เกี่ยวกับธรรมะนั้น
มันก็คือเท่าที่เขาเห็นหรือเขารู้สึกหรือเขาเชื่อว่ามันจริง มันจึงถูกหลอกด้วยอารมณ์
ถูกหลอกด้วยเหตุผลที่มันเปลี่ยนแปลงได้ เป็นความจริงในขณะหนึ่ง
และไม่เป็นความจริงในอีกลักษณะหนึ่ง อย่างนี้เป็นความจริงอย่างโลกๆทางภายนอก
ความจริงที่แท้ต้อง”จริง”อย่างชนิดที่ไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าทุกข์ก็ต้องทุกข์จริง
ถ้าไม่ทุกข์ก็ต้องไม่ทุกข์จริง ถ้าเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ก็ต้องให้เกิดทุกข์จริง
และถ้าดับทุกข์ได้ก็ต้องดับทุกข์ได้จริงๆ แล้วก็ไม่หลอกใคร อย่างนี้จึงเรียกว่า
ความจริงที่เประเสริฐของพระพุทธเจ้า หรือของพระอริยเจ้า
ขอให้เรามองความจริงหรือสิ่งที่จริงกันในลักษณะเช่นนี้
ความมุ่งหมายของการศึกษาทั่วไปทั้งหมดทั้งสิ้น ก็เพื่อเข้าถึงความจริง
ความมุ่งหมายของศาสนาทั้งหมดทั้งสิ้น ก็มุ่งหมายเพื่อจะเข้าถึงความจริง
แต่การศึกษามันไม่สมบูรณ์ มันครึ่งๆกลางๆหรือป้ำๆเป๋อ แล้วมันจะถึงความจริงได้อย่างไร
เรื่องทุกข์และเรื่องดับทุกข์ ถ้าเราค้นหาความจริงมันจึงจะพบของจริง
และมีประโยชน์ที่สุด ดีที่สุด ของจริงที่ไม่มีประโยชน์ ก็มีอยู่เยอะแยะ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงว่า
“ฉันบอกของจริงเธอกำมือเดียวเท่านั้น ที่ไม่บอกนั้นอีกเยอะแยะ ที่จำเป็นจะต้องบอกกันน่ะ
กำมือเดียว”
คำสุดท้ายที่จะพูดก็คือ”ความยุติธรรม”
อำนาจอาจจะเป็นความยุติธรรมขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ หรือว่า “ฉันได้ประโยชน์นั่นแหละ”
เป็นความยุติธรรม
หรือว่าวัตถุพยานที่หามาได้เท่านั้นแหละ ที่จะแสดงความยุติธรรม
ถ้าพยานมันเท็จแล้ว ความยุติธรรมนั้น มันก็หลอกโดยที่ไม่รู้ตัว ฉะนั้น ความยุติธรรมที่แท้จริงนั้น จึงหาไม่ได้
ถ้าไม่เกี่ยวกับธรรมะ ถ้ามันเป็นเรื่องโลกแล้ว มันก็เป็นความยุติธรรมไปตามแบบของโลก
เป็นเรื่องด้านนอกเสมอไป แต่ถ้าธรรมะแล้วมันไม่เข้าใครออกใคร เช่น กฏแห่งกรรมก็ดี
กฏแห่งความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาก้ดี เรื่องทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์
ความดับทุกข์ ทางแห่งความดับทุกขืก้ดี มันเป็นสิ่งที่เด็ดขาดและยุติธรรมอย่างยิ่ง
ไม่เห็นแก่หน้าใคร ฉะนั้น
เราควรรู้จักความยุติธรรมชนิดที่ไม่อาจจะเป็นที่พึ่งแก่เราได้
ให้มาเป็นที่พึ่งแก่เรา
อย่าได้มัวไปรักไปโกรธความยุติธรรมที่ลุ่มๆดอนๆของโลกสังคมเลย
ความยุติธรรมของโลกมันจะต้องเป็นอย่างว่า ถ้าเราไม่เห็นด้วย แล้วไปร้องคัดค้าน
บางคราวก็ไปดีใจด้วย บางคราวก็ไปแร้องไห้ด้วย
เพื่อความยุติธรรมอย่างนี้ไม่ไหว เราต้องไม่ยอมร้องไห้
ไม่ยอมดีใจ ไม่ยอมตื่นเต้นไปตามเรื่องของโลก คงยึดหลักของธรรมะเป็นหลัก
ที่ให้ความเป็นธรรมดีกว่า แล้วเราจะยิ้มอยู่ภายในได้เสมอไป คือไม่ทุกข์
ทีนี้
อยากจะกล่าวอีกสักนิดหนึ่ง ถึงเรื่องเครื่องรางข้างนอก และเครื่องรางข้างใน เครื่องรางข้างนอกก้แขวนไว้ที่คอบ้าง
ติดไว้ที่หน้าผากบ้าง ผูกไว้ที่สะเอวบ้าง แล้วแต่จะมีกัน มากมายจนไม่ต้องอธิบาย
แต่มันจะคุ้มกันอะไรได้ ไปดูที่ศพของผู้ร้ายที่ตาย จะเห็นมีเครื่องรางแขวนอยู่เสมอและมากเสียด้วย หรือแม้คนแขวนเครื่องรางที่ยังเป็นๆอยู่นี้ มันก็ยังมีทุกข์กลัดกลุ้มรุมตามเคย
เอาเครื่องรางมาแขวนมากขึ้น รดน้ำมนต์มากขึ้น ปลุกเสกมากขึ้น
มันก็ยิ่งร้อนมากขึ้นไปอีก แล้วมันก้ยิ่งโง่เง่าไปกว่าเดิมอีก
นี่แหละคืออานิสงส์ของเครื่องรางข้างนอกของคนบ้าคนบอ ส่วนอานิสงส์ของเครื่องรางด้านในของพระพุทธเจ้านั้นตรงกันข้าม
ถ้ามีใครมีไว้แล้วสะอาดสว่าง สงบ ขึ้นมาทันที
แต่ถ้าถึงที่สุดคือมีเครื่องรางชั้นสูงสุดแล้วว่างไปหมด
ไม่มีอะไรมาแผ้วพานให้ระคายขนได้แม้แต่สักเส้นเดียว เครื่องรางของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้
เท่าที่กล่าวมานี้
ล้วนแต่เป็นลักษณะอาการของการมองด้านนอกและมองด้านใน มองอย่างไร
และอันไหนมีความจำเป็นกว่า และเมื่อภักดีต่อพระพุทธศาสนา หรือต่อพระพุทธเจ้าแล้ว มันไม่มีทางอื่นนอกจากหัดมองด้านใน
ด้านนามธรรม ด้านธรรมาธิษฐานกันเท่านั้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็จะต้องหาความดับทุกข์ด้านใน
ความดับทุกข์ที่จะดับทุกข์ได้จริง ต้องเป็นเรื่องของความดับทุกข์ที่เป็นด้านภายใน
ฉะนั้นจึงไม่ใช่รูปธรรม ไม่ใช่วัตถุศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่พิธีรีตองศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่อำนาจศักดิ์สิทธิ์หรือบุคคลศักดิ์สิทธิ์
เป็นธรรมะที่แท้จริง เป็นสัจจธรรม และไม่ต้องพูดถึงการศักดิ์สิทธิ์
เพราะมันยิ่งกว่าศักดิ์สิทธิ์ คำว่าศักดิ์สิทธิ์มีค่านิดเดียวไปทันที
เมื่อเอาไปใช้กับคำว่าธรรมะ
เพราะว่าธรรมะนี้มันยิ่งกว่าศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้น เลิกวัตถุศักดิ์สิทธิ์
พิธีศักดิ์สิทธิ์ บุคคลศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรเหล่านั้นกันเสียบ้าง
เพราะเมื่อมัวไปสนใจที่นั่นแล้ว จะไม่พบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง คือสัจจธรรม
เพราะไปมัวหวังพึ่งหรือนอนใจไว้ใจอยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกๆ เปลือกๆ
เหลวไหลอย่างนี้ มันจึงเลยเข้าไปถึงเนื้อใน มันจึงต้องกินเปลือกมังคุดฝาดไปเรื่อยๆ
ไม่ได้กินเนื้อมังคุดหวาน คือไม่ได้รับผลที่น่าชื่นใจทั้งที่มันมีอยู่แล้วในโลก
ทั้งที่ธรรมชาติก็สร้างมันมาสำหรับเรา
และสร้างเรามาสำหรับให้มีความสามารถเพียงพอที่จะเข้าถึงให้ถึงสิ่งเหล่านี้
นี่คือประโยชน์หรืออานิสงส์ของสิ่งที่จะมองด้านในให้เข้าถึง “ความว่าง”
คือเข้าถึงศูนย์กลางของสิ่งทั้งปวง และในที่สุดก็จะเป็นอันเดียวกับ”ความว่าง”
ว่างจาก “ตัวตน-ของตน”
ทั้งหมดนี้เป็นผล
เป็นอานิสงส์ของการรู้จักมองในด้านนามธรรม เข้าถึงภาวะที่เป็นอุดมคตินิยม
คือเป็นภาวะที่ปรากฏต่อเมื่อมองกันด้านในและเป็นไปในลักษณะของฝ่ายที่ได้เปรียบ
ไม่ถูกเสียเปรียบ คือเป็นผู้ชนะตลอดกาลนั่นเอง สมกับที่เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า
ซึ่งมีนามว่าเป็นผู้ชนะ ถ้าเราอาศัยวิธีของท่าน เราก็เป็นผู้ชนะสิ่งทั้งปวงได้
แต่ทั้งหมดนี้จะสำเร็จได้ก็เนื่องจากความฉลาดสามารถมองด้านใน
ดังที่กล่าวแล้วนั่นเอง
บทที่ 5
ทางสายกลาง
ทางสายกลางคือตัวพุทธศาสนาแท้ หมายถึงทางในฝ่ายจิตใจในฝ่ายนามธรรม เป็นทางที่จิตใจเดิน
เป็นทางที่สติปัญญาหรือความคิดเห็นหรือความเชื่อ อาศัยเดิน
เป็นทางปฏิบัติทางกายวาจาใจ
เพิ่อถุงความสงบเย็น จึงเป็นตัวศาสนาหรือตัวพรหมจรรย์อันเป็นสิ่งที่ต้องศึกษาและเดินไปใหได้ คำว่า “สายกลาง” นั้น
ในชั้นลึกสุดหมายถึงการที่เราจะเข้าไปเกดี่ยวข้องกับสิ่งทั้งปวง
ด้วยจิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น การที่จิตเป็นอิสระ
ไม่เข้าไปยึดถือสิ่งใดว่าเป็นตัวตนหรือเป็นของตน ไม่ตกเป็นทาสของสิ่งใด
เรียกว่าผู้นั้น รุ้จักเดินอยู่ในทางสายกลาง
ไม่เข้าไปติดทั้งทางซ้ายทั้งทางขวา
นี่ คือความหมายของคำว่า “สายกลาง”
ในอันดับสูงหรืออันดับสุดท้าย
ขอยกตัวอย่างเรื่อง “มี” กับ “ไม่มี”
คำว่า”มี” เราก็ชอบกันโดยมาก
คำว่า”ไม่มี” เราไม่ชอบ แต่แล้วการมีก็ยังเป็นมูลเหตุของความทุกข์อยู่เหมือนกัน แล้วเราจะทำอย่างไร จึงจะเดินอยู่ในสายกลางได้ ฉะนั้น
ตามหลักของธรรมะ เราก็จะต้องมีโดยไม่ยึดถือว่าเรามี
คือไม่ต้องยึดถือว่าตัวเรามีหรือมีอะไรเป็นของเรา การมีโดยไม่ยึดมั่นถือมั่นว่ามีนี้
มันหมายความว่าถ้าเราจะมองกันในแง่มีกีมี
ถ้าจะมองกันในแง่ไม่มีก็ได้
เพราะว่าเราไม่ได้ยึดถือว่ามี
ซึ่งมันมีค่าเท่ากับไม่มีโดยทางความรู้สึกคิดนึก มันมีแต่ทางสมมติ
คือตามที่ทางขนบธรรมเนียมประเพณีหรือกฎหมายบอกว่าสิ่งนี้มันเป็นกรรมสิทธิ์ของคนนี้ คนนี้มีสิทธิครอบครอง มันก็มีตามกฎหมายสมมติ แต่ในใจจริงของคนที่เขารู้ธรรมะนั้น เขาไม่ยึดมั่นว่ามีอะไรๆเป็นของเขา
นี่เรียกว่ารู้จักปฏิบัติเป็นทางสายกลางต่อสิ่งต่างๆที่มี โดยคิดไปเสียว่ามันไม่มี คือไม่มีอย่างยึดมั่นถือมั่น มีตามสมมติอย่างนี้ต่างหาก จึงจะขอเรียกว่า รู้จักวางจิตเป็นกลาง เดินอยู่ในสายกลาง
ในบทก่อนได้ชี้ให้เห็นพระพุทธเจ้าในส่วนที่เป็นเปลือก
กับพระพุทธเจ้าในส่วนเนื้อ ธรรมะจริงหรือคุณธรรม เช่น ความสะอาด สว่าง สงบ
นั้น เป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ในส่วนในและส่วนเนื้อ ส่วนพระพุทธรูป
หรือร่างกายของพระองค์ที่เดินไปมาอยู่ในอินเดียเมื่อ 2500 กว่าปีนั้น
เป็นพระพุทธเจ้าส่วนนอกและเป็นเปลือกของท่าน เราต้องปฏิบัติให้ถูก เพื่อให้ได้ประโยชน์ทั้งส่วนเปลือกและส่วนเนื้อ เช่นว่าเราเมื่อมีพระพุทธรูป
ก็ต้องมีให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของพระพุทธรูป
คือมีไว้เพียงเป็นเครื่องเตือนให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าชั้นเนื้อใน ดังที่พระองค์ตรัสว่า “เห็นธรรมะคือเห็นตถาคต
เห็นตถาคตคือเห็นธรรมะ”
นี่ก็หมายความว่าเราทะลุเปลือกชั้นนอกเข้าไปถึงเนื้อธรรมะ
คือความหลุดพ้นความไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด เราอาศัยเปลือกชั้นนอกคือพระพุทธรูปเป็นจุดเป้าหมายในทางตาก่อน แล้วก็เข้าให้ถึงเนื้อชั้นใน อย่างนี้เรียกว่าเดินอยู่ในทางสายกลาง ถ้าใครไปติดอยู่ที่เปลือกชั้นนอก ถือเอาพระพุทธรูปเป็นพระพุทธเจ้า แล้วยังคิดว่าในรูปนั้นมีจิตมีวิญญาณแล้ว
เอารูปมาแขวนคอเป็นเครื่องราง มันก็เป็นความเห็นนอกลู่นอกทางไปหมด ไม่ใช่ความคิดของปัญญาชนเลย ก่ออันตรายมากขึ้นทุกทีๆฉะนั้น เราจะต้องมีสติปัญญา ลืมหู
ลืมตา ปฏิบัติให้ถูกต้องทั้งส่วนเปลือกชั้นนอกและเนื้อชั้นใน ถ้าเราดิ่งไปในทางนอกเกินไปหรือในเกินไป ก็เรียกว่า
เป็นการยึดมั่นถือมั่นเหมือนกัน
วัดอารามก็เป็นเปลือกชั้นนอก ที่เป็นชั้นในนั้นก็คือความมุ่งหมายที่จะทำให้เกิดแสงสว่างขึ้นมาในใจ นี่คือความมุ่งหมายของการสร้างวัดวาอาราม ฉะนั้น
ถ้าวัดใดทำให้เกิดแสงสว่างทางธรรมะขึ้นมาในจิตใจของคนได้ วัดนั้นก็เป็นวัดที่แท้จริง ธรรมะที่แท้จริง จึงเป็นเนื้อแท้ของวัดวาอาราม
ประเพณีก็เหมือนกัน
อาจทำให้เกิดการยึดมั่นถือมั่นจนเกิดโทษก็ได้
และอาจเป็นสื่อเป็นสะพานนำไปสู่ธรรมะจริงๆก็ได้ ส่วนมากปรากฏว่าคนปฏิบัติประเพณี
ไม่ตรงตามความมุ่งหมายอันฉลาดของผู้ที่บัญญัติลัทธิประเพณีขึ้น อย่างประเพณีทางพุทธศาสนานั้น เขามีความมุ่งหมายว่าถ้าเราประพฤติตามประเพณีนั้นแล้ว
ประเพณีนั้นๆจะช่วยบังคับหรือแวดล้อมเราให้เข้าถึงตัวแท้ คือธรรมะจริงของพุทธศาสนา
แต่ปรากฏว่า คนมีฝ้าในดวงตาหนามาก ฝ้าปิดตาเกินไป แลยหลงทำประเพณีนั้นให้มีเปลือกหุ้มห่อมากขึ้น ยึดมั่นมากขึ้นทุกทีๆ จนเชื่อว่าเป็นยประเพณีศักดิ์สิทธิ์
โดยไม่รู้ความหมายของการบัญญัติประเพณีนั้นขึ้น แล้วก็ทำไปอย่างที่เรียกกันว่า “เณรส่องบาตร”
หมายถึงการทำอะไรไปตามเคยชิน
หรือตามประเพณีโดยไม่รู้ความหมาย
ที่ถูกนั้น
ต้องรู้จักใช้ประเพณีให้เป็นการเริ่มต้นที่ดี นำไปสู่ความมุ่งหมายที่แท้จริงของประเพณี คือธรรมะที่แท้จริง
อย่างนี้ไม่ติดทั้งประเพณีไม่ติดทั้งธรรมะจริง รู้จักใช้ประเพณีให้สำเร็จประโยชน์เรียกว่าอยู่ในระหว่างกลาง พิธีรีตองต่างๆก็เหมือนกัน ธรรมะจริงเป็นเนื้อแท้ซ่อนอยู่ในส่วนใน แต่คนละเลยส่วนในนั้นเสีย ไปติดอยู่แต่ตัวพิธีรีตองล้วนๆ เลยกลายเป็นการติดประเพณีรีตรอง กลายเป็นความเชื่องมงาย กระทำไปด้วยความงมงาย
ธรรมะสอนไม่ให้ติดทั้งซ้ายหรือขวามันจึงจะอยู่ในทางสายกลาง
อีกคู่หนึ่งได้แก่ทรัพย์ข้างนอกและทรัพย์ข้างใน คือทรัพย์ไม่จริงกับทรัพย์จริง
ทรัพย์ข้างนอกได้แก่เงินทองทรัพย์สมบัติข้าวของ ทรัพย์ข้างในได้แก่ธรรมะสำหรับดับทุกข์ ใครหลงผิดก็จะติดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป
แม้จะติดทรัพย์ข้างในมันก็ยังเป็นการหลงอยู่นั่นเอง มันต้องไม่ติดทั้งสองฝ่าย อยู่ตรงกลาง
คือทำให้มันเกื้อกูลกันและกัน
ไม่เป็นทาสเงิน แต่ก็รู้จักใช้เงินให้เป็นประโยชน์ ไม่ยึดมั่นถือมั่นบูชาธรรมะที่เป็นทรัพย์ในอย่างวัตถุศักดิ์สิทธิ์
อาศัยทรำย์ข้างนอกเป็นเครื่องอำนวยชีวิตให้คงอยู่เพื่อการเข้าให้ถึงทรัพย์ข้างใน
อย่างนี้ก็เรียกว่าทางสายกลาง ซึ่งเป็นหลักของพระพุทธศาสนา
ในเรื่องได้กับเสีย
เรื่องดีกับชั่ว
ถ้าเดินสายกลางแล้วก็ต้องไม่ยึดไม่ติดทั้ง 2 ฝ่าย
ไม่ยึดมั่นถือมั่นเรื่องเสียจนนั่งร้องไห้หรือฆ่าตัวตาย ไม่ยึดมั่นในเรื่องได้จนดีใจงกเงิ่นไปหมด
ไม่เป็นโรคเส้นประสาทเพราะการเป็นห่วงวิตกกังวลซึ่งเป็นการยึดมั่นในเรื่องได้ฝ่ายหนึ่งกับเรื่องเสียฝ่ายหนึ่งจนเกินไป เลยไม่อยู่ในที่ทางสายกลาง ถึงแม้ดีกับชั่วก็เหมือนกัน
ต้องไม่คิดชั่วคิดดีด้วยความหลงข้างใดข้างหนึ่ง เพราะในแง่ของโลกุตตรธรรมแล้ว
มันเป็นเรื่องไม่ควรติดเหมือนกันหมด ความดีนั้นมันแปลก ถ้าไปหลงติดพันมันแล้ว
มันจะทำให้เราโง่จนถึงกับไม่รู้จักคำว่าดีนั้นว่าเป็นอย่างไร และจะไม่ได้สิ่งที่ดีจริง
ส่วนเรื่องชั่วนั้นไม่เป็นปัญหา มันเป็นอันตรายโดยตรง การไม่หลงยึดมั่นอย่างหลงใหลฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ก็เรียกว่าเดินอยู่ในทางสายกลาง
พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ละความยึดมั่นถือมั่นทั้งเรื่องชั่วและเรื่องดี
อย่างหลักพระพุทธศาสนาทั่วไปที่ว่า
ให้เว้นชั่วเสีย กระทำแต่ความดี แล้วก็ทำจิตให้บริสุทธิ์
กล่าวคืออย่าได้ไปหลงยึดถือทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว
จิตจึงบริสุทธิ์และอยู่เหนืออำนาจของสิ่งทั้งปวง
ข้อปฏิบัติที่ทำจิตให้บริสุทธิ์นั้นก็คือการเดินทางสายกลางแท้ๆอันจะไปสู่พระนิพพานได้
ทางสายกลางในความหมายต่างๆนั้น จะต้องรู้จักพิจารณาด้วยสติปัญญาของตัวเองบ้าง
อย่าหวังที่จะเอาคำอธิบายจากพระคัมภีร์หรือจากทางวัดนัก
คิดพิจารณาด้วยตนเองแล้วก็จะพบว่ากฏนี้ช่างสำคัญเสียจริงๆ ในขณะใดที่จิตไม่ยึดถืออะไร จิตก็ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง จิตกำลังว่าง ไม่วุ่นไม่ไปติด
คิดอะไรก็คิดดีที่สุด จำอะไรก็จำเก่ง มันเป็นเรื่องของสติปัญญาไปหมด
ทางสายกลางของพระพุทธเจ้าท่านจำแนกไป
8 ประการ และความพอเหมาะพอดีทั้ง 8 ประการนี้
ต้องรวมกันเป็นสิ่งเดียว อย่าไปแยกกันเป็นอันขาด
ที่คนปฏิบัติธรรมะหรือปฏิบัติวิปัสสนาไม่สำเร็จก็เพราะไปแยกกัน ไม่รวมเป็นทางอันเดียวกัน คือไม่เป็นทางสายกลาง
บางคนก็ผิดทางไปเลย พวกคุณย่าคุณตาบางคนก็ทำบุญทำทานจนไม่รู้ว่าจะทำอะไรอีก สร้างโน่นสร้างนี่แล้วก็ไม่พ้นที่จะเป็นโรคเส้นประสาท
มัวเมาในการทำทานซึ่งมุ่งหมายถึงบุญหรือสวรรค์ของแก บางคนติดศีลหรือรักษาศีลอย่างงมงายที่สุด
หรือทำสมาธิจนต้องส่งโรงพยาบาลโรคจิตเพราะไม่รู้จักเดินทางสายกลางนั่นเอง
ขอให้สนใจในคำว่า “ทางสายกลาง”
ว่าจะต้องประกอบพร้อมกันไปด้วยความเหมาะสมหลายๆอย่าง เจือกันพอเหมาะพอดี
เกิดเป็นทางขึ้นมา อันแรกเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ แปลว่ามีความคิดความเชื่อถือความเข้าใจถูกต้อง
อันที่สองคือ สัมมาสังกัปโป มีความมุ่งหมายปรารถนาไปอย่างถูกต้อง อันที่สามคือ
สัมมาวาจา มีการพูดจาหรือคำพูดที่ถูกต้อง อันที่สี่คือ สัมมากัมมันโต
มีการกระทำมีวิธีการทางกายให้ถูกต้อง อันที่ห้า สัมมาอาชีโว ดำรงชีวิต คือหามาอย่างถูกต้องและบริโภคอย่างถูกต้อง
อันที่หกคือ สัมมาวายาโม ความพากเพียรขยันขันแข็ง กล้าหาญต่อสู้อดทน ดิ้นรนอยู่อย่างถูกต้อง
อันที่เจ็ดสัมมาสติ คือควบคุมตัวเองอยู่ด้วยสติอย่างถูกต้องเสมอ
อันที่แปดก็คือสัมมาสมาธิ ได้แก่การดำรงจิตมั่นอย่างถูกต้อง
ความเห็นชอบ
(สัมมาทิฏฐิ) นี้ รวมทั้งความเชื่อ
ความเข้าใจความรู้ทั้งหมดที่ถูกต้อง
เรื่องนี้มีพระบาลีกล่าวไว้ว่า “คนพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้
ก็เพราะสมาทานสัมมาทิฏฐิ” หมายความว่า เมื่อสัมมาทิฏฐิตัวนำนี้ถูกต้องเสียแล้ว
ความปรารถนาการพูดจา การกระทำ การเลี้ยงชีวิต ความเพียร สติ สมาธิ จะพลอยถูกไปหมด
พอมีความเหก็นถุกต้องแล้ว มันก็กระตุ้นเอง
เพราะว่าความเห็นถุกต้องนั้นมันบอกว่าขี้เกียจไม่ได้
มันต้องมีการกระทำแล้วมันก็เป็นไปอย่างถูกต้องทุกเรื่อง
เกิดเป็นทางไหลเลื่อนไปหาความดับทุกขือนิพพาน ฉะนั้น จงพยายามใช้ทางสายกลางนี้แหละ
แล้วจะเลื่อนไหลไปสู่ความไม่มีทุกข์ ความสะอาด สว่าง สงบ
ในลักษณะที่ง่ายเหมือนกับกลิ้งครกลงจากภูเขา ถ้าไปทำไม่ถุกวิธีของทางสายกลาง
ดังที่เขาทำกันอยู่ตามวัดวาอารามนั้น มันจะไม่ได้ผลเหมือนกลิ้งครกดขึ้นภูเขา
สมาทานสัมมาทิฏฐิ
หมายความว่า ถือสัมมาทิฏฐิเป็นอย่างดี แต่พวกเราเดี๋ยวนี้ไม่ได้ถือเป็นอย่างดี
ถือแต่ปาก ถือตามธรรมเนยียม ถือตามประเพณี ท่องๆบ่นๆไปเท่านั้นเอง
อย่างนี้ไม่เรียกสมาทาน สมาทานคือการรู้เรื่องนี้จริงแล้วปฏิบัติจริง
จึงได้ผลจริงๆ การสมาทานศีลแต่ปากถึงพระเจ้าพุทธเจ้า ถึงพระธณรมพระสงฆืแต่ปาก
อย่างนี้ไม่เรียกสมาทานศีล ก็หล่นเกลื่อนอยู่ตรงที่รับนั่นเอง
เพราะเราไม่ได้สมาทาน คือไม่ได้เอาไปกับเนื้อกับตัว ถ้าสมาทานจริงก็ต้องเอาศีลไปกับเนื้อกับตัว ไปอยู่กับผู้นั้นที่กายวาจาใจของเขา เขาก็เป็นคนมีศีลได้จริง สัมมาทิฏฐิก็คือปัญญา
ใครเอาปัญญานำทางสิ่งต่างๆจึงจะเป็นไปอย่างถูกทาง
ไม่ว่าศีล สมาธิ หรือการให้ทานจะถูกทางได้ก็เพราะปัญญานำหน้า ฉะนั้น
พระพุทธเจ้าท่านจึงกล่าวว่า “คนเราบริสุทธิ์ด้วยปัญญา” ไม่ใช่บริสุทธิ์ด้วยทาน ด้วยศีลหรือด้วยสมาธิ
จะบริสุทธิ์ด้วยปัญญาคือสัมมาทิฏฐินี้เท่านั้น
หมายความให้เอาปัญญาไปจูงทานจูงศีล จูงสมาธิ จูงข้อปฏิบัติทุกอย่าง
อย่าไปตกหลุมตกบ่อ หรือออกนอกลู่นอกทาง
จึงกล่าวว่า
ปัญญาประเสริฐกว่าธรรมทั้งปวงเหมือนกับดวงจันทร์ย่อมเด่นกว่าดาวทั้งหลายอย่างนี้
เป็นต้น
สัมมาทิฏฐิประเภทต่ำๆนั้น
ศาสนาไหนๆก็มักจะมีสอนกันทั้งนั้นเช่นว่า
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สัมมาทิฏฐิอย่างนี้ยังเป็นโลกีย์อยู่
มันแก้ปัญหาทางโลกได้ คือจะเป็นไปในทางดีได้ อยู่ในโลกอย่างดีได้
แต่ยังไม่พ้นจากวิสัยของชาวโลก ฉะนั้น จึงควรจะมีโลกุตตรสัมมาทิฏฐิ
คือความเห็นถุกต้องที่จะพาเราไปเหนือวิสัยโลกๆข้อนี้ได้แก่ ความรู้เรื่องอริยสัจ
เรื่องกรรมเรื่องไตรลักษณ์
เรื่องสุญญตาคือความรู้ว่าไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆนั่นแหละ
เป็นโลกุตตรสัมมามิฏฐิ สัมมาทิฏฐิอย่างนี้นำเราให้พ้นโลก
พ้นเกิด พ้นแก่ พ้นตาย พ้นอะไรๆทั้งปวง เช่น อย่างเรื่องอริยสัจนั้น ก็คือ
สัมมาทิฏฐิที่เห็นชัดถุกต้องว่าอะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
อะไรไม่มีทุกข์เลย
อะไรเป็นทางให้ไม่มีทุกข์เลย ไตรลักษณ์ก็คือ สัมมาทิฏฐิที่มองเห็นว่าสิ่งทั้งปวงมีลักษณะไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ ไม่เป้นตัวเราของเรา เราต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับมันด้วยความรู้อย่างนี้
อย่าหลงไปยึดมั่นเข้า
เกี่ยวข้องให้ถูกวิธี แล้วสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ทำอันตรายเราได้
ส่วนเรื่องกรรม ที่ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วนั้น ศาสนาไหนๆก็สอน
แต่สัมมาทิฏฏฐิในพุทธศาสนาที่เกี่ยวกับเรื่องกรรมนั้นบอกว่า ยังมีกรรมอีกอันหนึ่ง คือ กรรมที่สาม
กล่าวคือการทำกิเลสให้สิ้นไป หรือเรียกว่าอริยมรรค ถ้ากระทำอยู่อย่างนี้จะเป็นกรรมที่สามขึ้นมา ไม่ต้องเป็นไปตามอำนาจของกรรมดีกรรมชั่ว
ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดเป็นคนดีคนชั่ว แต่จะหยุด ดับ เป็นนิพพาน ฉะนั้น
กรรมนี้จึงเป็นไปเพื่อนิพพาน
รวมความว่า สัมมาทิฏฐินี้เป็นสิ่งที่คนจะเอาตัวรอดได้
ขอให้มีสัมมาทิฏฐิในระดับที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด สัมมาทิฏฐิอย่างโลกก็ต้องทำให้ถูกต้อง อย่างที่พ้นทุกข์จริงหรือโลกุตตร
ต้องสนใจตามควรปฏิบัติตามควร
เข้าใจไว้ตามควร มิฉะนั้นแล้ว
มันก็จะเอาชนะความทุกข์ไม่ได้
ถึงแม้ใครจะไม่ต้องร้องไห้ แต่ก็ยังจะต้องนั่งหัวเราะอยู่ ซึ่งเป็นการกระหืดหระหอบอย่างเดียวกัน ฉะนั้น
จะต้องมีปัญญาพอที่จะไม่ให้เราต้องร้องไห้หรือหัวเราะทั้งสองอย่าง ให้อยู่ว่างๆอย่างสงบสบาย
มุ่งหมายชอบ
(สัมมาสังกัปโป) คือมุ่งหมายที่จะไม่ให้มีความทุกข์
คนเรามุ่งหมายผิดดพราะไม่รู้ว่าทุกข์เป็นยังไง
อย่างเช่นว่านักศึกษาได้ลงทุนเรียนเป็นปีๆเสียเงินทองมากมายนี้
เขามุ่งหมายกันทมี่ตรงไหน นักศึกษาควรจะมุ่งหมายให้ถูกต้อง
อย่าได้มุ่งหมายแบบเห็นกงจักรเป็นดอกบัวหรือเห็นงูเป็นปลา ถ้าได้อาศัยความรู้ทางพุทธศาสนาแล้ว จะรู้จักมุ่งหมายถูกต้องทำให้ไม่เป็นทุกข์
ประกอบอาชีพสำเร็จมีผลมาบริโภคใช้สอยก็ไม่เป็นทุกข์
นั่นแหละจึงจะเรียกว่ารู้จักปรารถนาถูกต้อง
พูดจาถูกต้อง
(สัมมาวาจา) ทำการงานถูกต้อง (สัมมากัมมันโต) ตลอดจน ดำรงชีวิตถุกต้อง
(สัมมาอาชีโว) ก็อาศัยสัมมาทิฏฐิเป็นมูลฐานคุ้มครอง ควบคุมให้อยู่ในร่องในรอยของทางสายกลาง ฉะนั้นปัญหาจึงไปอยู่ที่ว่า
พยายามทำความเห็นชอบให้มากจนบังคับตัวเองได้
ให้ความคิดชอบมีอำนาจพอที่จะเหนี่ยวรั้งเอาให้เข้ามาในร่องในรอยของทางสายกลางนี้ให้จงได้ แล้ว ความเพียรชอบ (สัมมาวายาโม) การควบคุมตนด้วยสติอย่างถูกต้อง
(สัมมาสติ) การดำรงจิตมั่น (สัมมาสมาธิ) ก็จะเกิดขึ้นตามมาเอง และยังส่งเสริมสัมมาทิฏฐิในเรื่องความถูกต้อง
ความดี ความจริง และการทำจริง สัมมาสมาธิจะควบคุมให้ทุกข้อเป็นไปในทางถูกต้องเรื่อยไป
อาศัยสัมมาสมาธิเป็นกำลังดันไปอาศัยสัมมาทิฏฐิเป็นเครื่องจูงอยู่ข้างหน้า และอาศัยความถูกต้องข้ออื่นๆช่วยสนับสนุนและพร้อมกันหมด
มันจึงจึงมีอาการแล่นไปสู่ทิศทางที่เราไม่เคยไปถึงมาแต่ก่อน
พอเราเป็นอยู่ชอบด้วยองค์แปดประการของมรรคนี้แล้ว
กิเลสก็ถูกล้อมหมด มันไม่ได้กินอาหารทางหู
ทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายอีกต่อไป
มันก็ผอมลงและตายไปในที่สุด
นี่เป็นอุบายอย่างยิ่งของพระพุทธเจ้า ท่านจึงท้าว่าไม่มีสิ่งอะไรที่ดียิ่งไปกว่านี้ กล่าวโดยทั่วไปแล้วจะเห็นได้ว่า
การเป็นกลางนี้อยู่ที่ความพอเหมาะพอดี
ฉะนั้นจะจำ “ความพอเหมาะพอดี” ไว้ก็ได้ มันจะเป็นเครื่องช่วยเตือนให้เกิดความเป็นกลาง
การทำอะไรมากไปหรือน้อยไปนี้
ไม่เรียกว่าเป็นกลาง
ในการจะทำอะไรนั้น
พระพุทธเจ้าให้หัวข้อไว้ว่า
จะต้องรู้ความพอดี
คือรู้ในเหตุ รู้ในผล รู้ในตน
รู้ในประมาณ รู้ในกาล รู้ในสังคม
รู้ในบุคคล (สัตปุริสธรรม) เมื่อเราเข้าใจคว่มพอเหมาะพอดีแล้ว ถึงไม่มีใครบอกเรา เราก็รู้เองว่าตรงไหนกลาง ตรงไหนเป็นสุดโด่งทางซ้าย สุดโด่งทางขวา
ไม่มีการเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวากันต่อไป
ฉะนั้นมันไม่ระหกระเหิน
มันไม่ชอกช้ำ
ในเรื่องการหามาก็ดี ในเรื่องบริโภคใช้สอยก็ดี เรื่องศึกษาเล่าเรียนก็ดี เรียกว่าเป็นผู้เดินอยู่ในทางสายกลาง อย่างที่ได้บอกไว้แล้วว่า
ให้มีด้วยความไม่ยึดว่ามี
ซึ่งมีค่าเท่ากับไม่มี
นี่คือวิธีของพระพุทธเจ้าไม่ยึดมั่นในมี
และไม่ยึดมั่นในไม่มี
นี่เป็นการปฏิบัติอย่างถุกต้อง
ถ้าจะมีก็มีไปตามภาษาโลกๆ ส่วนในจติใจนั้น
ไม่รู้สึกยึดมั่นว่ามีอย่างนี้มันไม่มีเรื่องทุกข์ใจ ไม่มีเรื่องดีใจ เมื่อจะมีเงินมีทอง มีสามีมีภรรยา มีอะไรก็ตามใจที่คนเขามีๆกันอยู่นี่ ก็ให้มีแต่ในเรื่องของฝ่ายที่เขาสมมติว่ามีตามเรื่องของโลก ส่วนเรื่องนึกของจิตของวิญญาณนั้น อย่าได้โง่จนกระทั่งรู้สึกว่าเรามีจริงๆ เพราะว่าทางธรรมะนั้นเราไม่อาจจะมีอะไรได้
ธรรมชาติสงวนสิทธิไม่ยอมให้เรามีอะไรเป็นกรรมสิทธิ์ของเราตลอดไป ธรรมชาติสงวนสิทธิของมันอยู่เสมอว่าเป็นของธรรมชาติ เราอย่าได้ไปหลงเอาอะไรมาเป็นของเราโดยเด็ดขาด ถ้าเราไม่คิดอย่างนั้น เป็นทุกข์ห่วงใยขึ้นมาทันที
แล้วต่อมาจะทุกข์ยิ่งขึ้น
เมื่อสิ่งนั้นมันแสดงอาการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ฉะนั้น
พระพุทธเจ้าจึงพูดว่า
ท่านไม่ยุ่งกับ “เรื่องมี” และ “เรื่องไม่มี”
ท่านไม่เข้าไปเกี่ยวข้องข้างไหนหมด
ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ท่านอยู่ในสายกลาง ท่านปฏิบัติถูกต้องต่อสิ่งทั้งปวง ในแง่ของโลกๆก็ปฏิบัติอย่างโลกๆ ในแง่ของธรรมะก็ปฏิบัติอย่างธรรมะ ไม่ให้มีอะไรฝืนกันทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม นั้นเรียกว่าเดินสายกลาง ตรงแน่วไปสู่ความดับทุกข์ โดยไม่มีอะไรจะต้านทานได้หรือป้องกันได้
ดังที่เขากล่าวสรรเสริญคุรของพระธรรมที่พระพุทธเจ้าประกาศนี้ว่า
เป้นธรรมที่ใครๆตีโต้ให้ถอยกลับไม่ได้
แม้ผู้นั้นจะเป็นเทวดา เป็นมาร เป็นพรหม เป็นอะไรก็ตาม ทั้งนี้หมายความว่า ไม่มีใครอาจจะพิสูจน์ว่า
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้ผิด
ฉะนั้น ขอให้รับเอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าประกาศไว้
ชนิดที่ว่าใครค้านไม่ได้นี้
ไปสู่ความดับทุกข์
นี่เป็นตัวแท้ของธรรมะ
เป็นตัวแท้ของพระพุทธศาสนา
เป็นตัวพรหมจรรย์ทั้งหมดที่รวมกันเข้าไว้ในทางสายกลาง
บทที่ 6
มรรค ผล นิพพาน
ในบทนนี้จะได้กล่าวถึง ผลของการเดินทางสายกลาง ซึ่งได้แก่สิ่ง
สิ่งที่เรียกว่า มรรค ผล นิพพาน
โดยที่แท้ก็คือการหมดความยึดมั่นถือมั่นว่า ตัวเราและของเรา ในการอธิบายครั้งนี้อาตมาก็พร้อมที่จะรับคำยิ้มเยาะของผู้ที่จะยิ้มเยาะว่าเอาเรื่องมรรค
ผล นิพพาน มาพูดแก่คนสมัยนี้ ซึ่งจะฟังเรื่องมรรคผลนิพพานให้เข้าใจได้อย่างไรกัน
นักสอนพุทธศาสนาทั้งหลายเห็นว่าเป็นเรื่องพ้นสมัยหรือเป็นเรื่องไร้สาระ
แต่อย่างไรก็ตาม
ขอให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายตั้งใจให้สมกับอาตมาเสียสละที่จะถูกเยาะเย้ย
และขอให้สนใจอ่านเป็นพิเศษกว่าบทอื่นๆ เพราะว่าเรากำลังจะพูดถึงเรื่องที่เขาประณามกันว่า
ไม่อาจจะเข้าใจได้สำหรับคนหนุ่มคนสาวหรือคนในยุคนี้ ส่วนสำหรับผู้ที่คงแก่เรียนนั้น ถ้าเห็นว่าในการอธิบายของอาตมานี้ มีคำอธิบายอะไรที่แปลกออกไป
ไม่เหมือนกับความรู้ชนิดที่เคยเล่าเรียนมาจากตำรา
หรือครูบาอาจารย์ทั้งหลายแล้ว
ก็ขอให้ช่วยรับไปคิดไปวิจารณ์ดูว่ามันจะเป็นไปได้ไหมในการที่จะเข้าใจเรื่อง
มรรค ผล นิพพาน ในลักษณะที่จะกล่าวต่อไปนี้
คำว่า มรรค ผล นิพพาน นั้น
คนแก่ๆโดยเฉพาะคนที่แก่วัดได้ยกเอาคำสามคำนี้เป็นคำศักดิ์สิทธิ์สูงสุด แสดงกิริยาอาการท่าทางให้คนทั้งหลายกลัว จนกระทั่งคนทั่วไปกลัวคำว่า “มรรคผลนิพพาน”
ไม่กล้าสนใจ
ความจริงตัวเองก็ไม่รู้สิ่งนั้น ไม่เข้าใจสิ่งนั้น แล้วก็แกล้งทำท่าทางกลัว
หรือยกขึ้นไว้ในฐานะเป็นสิ่งที่น่ากลัว
หรือในฐานะเป็นสิ่งที่จะถึงได้ก็ต่อเมื่อต้องตายแล้วตายอีก หลายสิบหลายร้อยชาติ บางคนก็เข้าใจว่าเป็นเมืองแก้ว
ทำนองเรื่องสวรรค์ชั้นสุขาวดีของฮินดู
หรือของลัทธิมหายานแบบกลางบ้านของพวกอาซิ้มทั้งหลาย มรรคผลนิพพาน ก็เลยเป็นเรื่องเข้าใจกันไม่ได้
และไม่ยอมสอนกัน ฉะนั้น ขอให้เรามาตั้งแนวอธิบายให้เข้าใจกันให้ได้
และให้ตรงอย่างยิ่งตามความมุ่งหมายของพระพุทธเจ้าหรือของพระพุทธศาสนา
คำว่า
“มรรค” แปลว่าทาง
และหมายถึงทางสายกลางดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
คำว่า “ผล” ก็แปลว่าผลที่เกิดขึ้นจากการเดินไปตามทางสายกลางนั่นเอง คำว่า “นิพพาน” แปลว่าสิ้นทุกข์ ดับทุกข์
เพราะว่าถ้าใครเดินตามทางสายกลางแล้ว ก็จะมีภาวะเป็นผู้สิ้นทุกข์ คือเสวยผลของการเดินในทางนั้น คำว่า มรรค
ถ้าจะเปรียบโดยความหมายทั่วไปก็คือการกระทำสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง ได้แก่การปฏิบัติธรรม
คำว่าผลก็แปลว่าทำถูกจนได้รับผลประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม นิพพานคือการได้รับผลของการที่กิเลสสิ้นไปแล้วใช้ชีวิตอยู่ด้วยความว่างจากกิเลส
นิพพาน ก็เป็นภาวะของการว่างจากกิเลสนั่นเอง
มรรคผลนิพพานย่อมเกี่ยวข้องอยู่กับการงาน
หรือการกระทำเป็นประจำวันของคนทุกคน
ไม่ยกเว้นแม้แต่นักเรียนในโรงเรียน ฉะนั้น เราอย่าได้กลัวคำว่ามรรคผลนิพพาน
และเราอย่าได้คิดว่าจะประสบสิ่งเหล่านี้ต่อเมื่อตายแล้วหรืออีกหลายสิบชาติ
ซึ่งคำกล่าวเช่นนี้จะเป็นจริงไปไม่ได้
เป็นคำกล่าวที่คนโง่ๆเขลาๆ กล่าวไปตามความเข้าใจผิดของเขาเอง ไม่ตรงตามที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้เลย
อาตมาขอยกเอาคำอุปมาของพระพุทธเจ้าที่เกี่ยวกับเรื่องของมรรคผลนิพพาน
ท่านเปรียบเหมือนการที่คนจะเอาตัวรอดจากการจมน้ำตาย
คนบางพวกตกน้ำลงไปแล้วหายเงียบไปเลย
หมายความว่าเขาตายไปโดยไม่ได้โผล่ให้ใครเห็น
คนบางพวกตกน้ำไปยังโผล่ขึ้นมาได้ครั้งหนึ่ง แต่แล้วก็จมลงหายไป คือตายเหมือนกัน คนบางพวกดีกว่านั้นนิดหน่อยคือโผล่ขึ้นมาสองสามครั้ง
แต่เมื่อไม่มีใครช่วยเขา
เขาจึงจมน้ำตายด้วยเหมือนกัน
เหล่านี้คือพวกที่ตาย
ทีนี้คนบางพวกตกน้ำจมลงไปแล้วสามารถโผล่ขึ้นมา และว่ายน้ำอยู่ได้ ชะเง้อคอมองหาทิศทาง จนกระทั่งเขาเห็นทิศทาง
แล้วจึงว่ายมุ่งเข้าไปหาฝั่ง อีกพวกหนึ่งนั้นคือพวกที่ว่ายใกล้ฝั่งเข้าไปทุกทีๆ บางพวกก็ว่ายเข้าไปถึงเขตน้ำตื้น จนกระทั่งเขายืนได้เดินได้ เขาก็เดินท่องน้ำขึ้นไปบนฝั่ง พวกที่ดีที่สุดก็คือพวกที่ขึ้นบกได้แล้ว เนื้อตัวแห้งสนิท
นั่งสบายนอนสบายอยู่บนบกด้วยความปลอดภัย
ในพวกที่จมน้ำตายไปนั้นเราไม่พูดถึง แต่ขอให้ดูคนที่ไม่ตาย 4 พวก
คือพวกที่โผล่ขึ้นมาได้และกำลังว่ายน้ำอยู่ เขามองเห็นฝั่งและมุ่งหน้าเข้าหาฝั่ง
พวกที่สองกำลังว่ายเข้าไปใกล้ฝั่งมากขึ้นๆ พวกที่สามถึงเขตน้ำตื้น
พวกที่สี่ก็คือพวกที่ขึ้นบกได้โดยสมบูรณ์
คน 4 พวกนี้ พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบกับพวกที่บรรลุมรรคผลสี่ขั้นคือ
พระโสดาบัน พระสกิทาคานี พระอนาคามี และพระอรหันต์
ชื่อทั้งสี่นี้บางคนฟังแล้วก็รู้สึกรำคาญ
เพราะเห็นว่ามันไกลสุดเอื้อมอีกเหมือนกัน
แต่ถ้าเขาจะเป็นคนมีบุญอยู่บ้าง
คือไม่โง่เขลาเกินไปแล้วก็จะเข้าใจได้ว่าพระพุทธเจ้าท่านเปรียบไว้อย่างไร คือ
เป็นเพียงแต่คนที่ว่ายน้ำอยู่
และมองเห็นฝั่งว่าอยู่ทางทิศไหนแล้วก็มุ่งหน้าไปหาฝั่ง เราจะเป็นคนพวกนี้ไม่ไดเหรืออย่างไร
ถ้าไม่ได้ก็ต้องจมน้ำตายและไม่ต้องสอนกัน พระโสดาบันก็คือคนพวกแรกนี้
พระสกิทาคามีก็คือพวกที่ว่ายใกล้ฝั่งเข้าไปทุกทีๆ พยายามว่ายอีกพักเดียว
แข็งใจอีกทีเดียวก้ถึงฝั่ง พระอนาคามีก็คือพวกที่ถึงเขตน้ำตื้นจนยืนถึง
ไม่ต้องว่ายกันอีก แต่ยังอยู่ในน้ำแค่อก
ส่วนพระอรหันต์ท่านเปรียบกับพวกที่ถึงฝั่งจนนั่งนอนสบายอยู่บนบกแห้งสนิทไม่ต้องเปียกปอนอะไรกันอีกแล้ว
คราวนี้มาถึงปัญหาต่อไปว่า ที่ว่าว่ายน้ำเป็นทะเลอะไรกัน ถ้าจะพูดให้เป็นภาษานักประพันธ์ ก็ว่าเป็นทะเลแห่งชีวิต
ทะเลแห่งสังขารวัฏฏ์
กล่าวคือทะเลของกสารเวียนว่ายตายเกิดของความรู้สึกที่มีตัวมีตน ของตัวของตน
แล้วประพฤติไปตามอำนาจของกิเลสได้รับผลมาอย่างไร ก็ก่อความอยากรูปใหม่ขึ้นมาอีก คิดเห็นแก่ตัวขึ้นมาอีกและพยายามกระทำไปตามความอยากนั้นอีก เป็นเรื่องการเวียนวนของสิ่ง 3 อย่าง
คือความอยากกระทำตามความอยากนั้น ได้รับผลหรือไม่ได้ผลก็ตาม ย่อมก่อเป็นความอยากขึ้นมาอีก กระทำอีก ได้ผลหรือไม่ได้อีก
วนเวียนเป็นวงกลมอยู่อย่างนี้หยุดไม่ได้ และเกิดความทุกข์ใจนานาประการในวงกลมนี้
เพราะเต็มไปด้วยความรู้สึกว่ามีตัวเรา – ของเรา
เต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นต่างๆนานา
หาความโล่งใจว่างใจมิได้
ไม่เคยสนใจที่จะแก้ไข ไม่เคยเห็นทางที่จะระงับดับทุกข์ จึงจมอยู่ในวงกลมแห่งกองทุกข์นี้ตลอดไปจนตาย ไม่มีโอกาสหลุดพ้น
นี่แหละคือทะเลที่พระพุทธเจ้าท่านทรงหมายถึง เพราะฉะนั้ยนปุถุชนคนที่หนามากไปด้วยกิเลส มีความหลงผิดหุ้มห่อดวงตาหนา
ก็ย่อมไม่รู้ทิศทางที่จะเอาชนะการเวียนว่ายอยู่ในวงกลมนี้
มันจึงต้องตายอยู่ร่ำไปภายในวงกลมนี้ มีกิเลส ก็ทำไปตามกิเลส
และได้รับผลของกิเลสไปตลอดชีวิตเลย ไม่เคยโผล่ขึ้นมาได้จากน้ำ (กิเลส) คือไม่เคยเห็นทิศทางหรือแสงสว่างของมรรคผลนิพพาน ไม่มีความเข้าใจอันถูกต้องที่เกี่ยวกับชีวิต
แม้แต่ว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไรก็ยังไม่รู้
ฉะนั้น จึงเหมือนกับจมน้ำตายไม่เคยโผล่ขึ้นมา หรือโผล่ขึ้นมาครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง แต่ก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนใจได้ ยังหลงผิดไปตามเดิม และยอมตายไปด้วยความหลงผิด บางทีก็เกิดสะกิดใจได้สักสามสี่ครั้ง
แต่แล้วก็ยังหลงไปตามเดิมอีกแล้วก็ตายไปด้วยความหลงเช่นกัน
ถ้าจะเป็นพวกที่รอด ก็ต้องมีความรู้ที่ถุกต้องตามความเป็นจริง
ว่าความทุกข์คืออะไร?
เหตุให้เกิดทุกข์นั้นคืออะไร?
ภาวะที่ไม่มีทุกข์เลยคืออะไร?
และปฏิบัติอย่างไรจึงจะได้ความไม่มีทุกข์มา อย่างนี้เรียกตามภาษาวัดว่าคนมีธรรมจักษุ ถ้าเรียกอย่างภาษาบ้าน
ก็คือคนมีสติปัญญาพอที่จะมองเห็นว่าความทุกข์อยู่ที่ไหน
และความดับทุกข์ไปทางไหน
หรือว่าเราเกิดมาเพื่อจะไปที่ไหนกัน เพื่อจะทำอะไรกัน
เพียงแต่เริ่มรู้หรือเข้าใจถูกต้องอย่างนี้ ก็อยู่ในพวกที่เปรียบได้กับพระโสดาบัน คือพวกที่โผล่จากน้ำมองเห็นทิศทางที่จะว่าย จากทะเลลึกเข้าไปหาฝั่งได้ ถ้าเขาได้ว่ายเข้าไปมากกว่านั้น ก็หมายความว่า
มนุษย์ผู้นั้นฉลาดมากในการที่จะประพฤติให้ผิดน้อยลงไปทุกที มีความประพฤติถูกต้องมากขึ้น การถูกต้องของเรื่องนี้หมายความว่า ทำให้เกิดการยึดมั่นถือมั่นว่าเราเบาบางลงไป มีความรู้สึกว่าตัวเรา-ของเราน้อยลงไปทุกทีๆ
จึงเปรียบกันได้กับผู้ที่ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกที
พวกนี้ได้แก่พระสกิทาคามี
ส่วนพระอนาคามีก็ได้แก่ผู้ที่ว่ายไป จนกระทั่งถึงเขตน้ำตื้นยืนได้
เมื่อถึงขั้นสุดท้ายคือพระอรหันต์ท่านก็หมดความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเราของเรามีความรู้สึกว่าว่างจากตัวเราของเรา
และเต็มไปด้วยสติปัญญาแจ่มใส เห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป้นจริงเรียกว่ามีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
ไม่มีชีวิตอยู่ด้วยกิเลสตัรหาอีกต่อไปเด็ดขาด มีความสะอาด สว่าง สงบเต็มที่โดยประการทั้งปวง เป็นพวกที่นั่งบนบกตัวแห้งสนิทแล้ว ไม่ถูกรบกวนด้วยความทุกข์ ซึ่งในที่นี้เปรียบเหมือนน้ำทะเล ซึ่งเต็มไปด้วยความเปียกปอนและสัตว์ร้าย ฉะนั้น
ขอให้กำหนดความหมายของคำว่ามรรคผลนิพพานไว้ในลักษณะอย่างนี้ ทุกคนจะต้องได้รับผลเป็นของตัวทุกคน แม้เพียงแต่แรกดห็นลู่ทางและเดินถุกทาง
ก็จะมีการรับผลของการเดินถุกทางอยู่ด้วยเหมือนกัน ฉะนั้น
ขอให้เข้าใจว่า แม้พระอริยบุคคลชั้นต้นๆเช่น
พระโสดาบันและพระสกิทาคามี
ท่านก็ได้รับผลอยู่แล้ว ท่านดับทุกข์ได้เท่าไร ก็เป็นนิพพานของท่านเท่านั้น
ท่านสามารถมีชีวิตอยู่ด้วยความผาสุกตามขั้นของท่าน
หมายความว่านิพพานได้ลดลงมาที่ระดับที่เหมาะกับพระโสดาบัน พระสกิทาคามี
พระอนาคามี และมีความหมายเต็มเปี่ยมในกรณีพระอรหันต์
อริยบุคคลทั้ง
4 ประเภทนี้ เป็นพวกที่รอดตายไม่จมน้ำอย่างปุถุชนทั่วไปที่กำลังหลงทางอยู่
โอกาสที่จะรอดตายนั้นก็มีอยู่ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน ใครที่ไม่หลงทาง ก็เห็นลู่ทางของชีวิตที่จะดำเนินไปโดยไม่ถูกต้อง เห็นสัจจธรรมแล้ว ก็เรียกว่าอยู่ในกระแสของพระอริยบุคคลทั้งนั้น ฉะนั้น
อย่าไปทำลายตัวเองด้วยการคิดว่าเหลือวิสัย หรือสมัครเป็นผู้ไม่รู้ไม่ชี้
คิดเอาแต่ความสะดวกหรือความพอใจของตนเป็นประมาณ คือสมัครใจยอมทุกข์ ซึ่งที่แท้คนเราไม่ควรจะต้องทุกข์มากถึงขนาดนั้น
ธรรมชาติไม่ได้สร้างเรามาให้ต้องเป็นทุกข์
แต่ความเข้าใจผิดของเราเองทำให้เราต้องเป็นทุกข์อย่างนั้น ฉะนั้น
เราเป็นผู้ขาดทุนในเรื่องนี้
ธรรมชาติได้สร้างเรามาให้มัสติปัญญาความสามารถที่จะดับทุกข์ได้เท่าไร
จะเป็นอยู่ด้วยความสงบเท่าไร เราจะต้องเอาให้ได้เต็มที่ อย่าให้ต้องขาดทุนเลย
คนเขลาบางคนอาจคิดไปว่าฉันไม่ได้ขาดทุน จึงไม่ต้องคิดข้อนี้
มุ่งแต่เอาความสนุกสนานโดยเห็นเป็นกำไรเรื่อยๆ ไม่เห็นเป็นการขาดทุน แต่ที่แท้มันก็คือความขาดทุนย่อยยับ
เพราะว่าเขาควรจะได้ของประเสริฐสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้ ถ้าคิดเปรียบเป็นราคาก็ตั้งร้อยล้านพันล้านบาท
เขากลับได้ไปเพียงความสนุกสนานไม่กี่สตางค์
แล้วก็ตายไปด้วยการได้ผลอันไม่เป็นแก่นสารเพียงเท่านั้น
อย่างนี้เรียกว่าความขาดทุนและคนเขลา
ทีนี้จะได้อธิบายถึงลักษณะของพระอริยบุคคล
ทั้ง 4 เหล่านั้นอีกครั้งหนึ่ง คือ มรรคผลระดับแรกคือการเป็นพระโสดาบัน คำว่า
“โสดาบัน” ตามตัวหนังสือแปลว่าถึงกระแส
คือก้าวลงสู่วิถีทางที่จะไปสู่ความดับทุกข์
ผู้ใดมองเห็นชัดเจนในเรื่องของชีวิต
ในเรื่องของความทุกข์จนไม่มีการเดินผิดอีกต่อไป
กล่าวคือเดินแต่ในทางสายกลาง เพียงกำลังตั้งต้นเดินริเริ่มเดินในทางที่ถุกต้องเท่านั้น
เรียกว่าผู้ถึงกระแสหรือก้าวเข้าสู่วิถีทางที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง คือมีพระนิพพานอยู่ในปลายทาง
อย่างนี้เรียกโสดาบัน
ถัดไปเป็นพระอริยบุคคลประเภทที่สอง
เรียกว่า สกิทาคามี แปลว่า ผู้มีอีกครั้งหนึ่ง
หมายความว่าโสดาบันเดินไปตามหนทางอันถุกต้องนั้นแล้ว
แต่เพราะกิเลสดั้งเดิมที่เหลือเชื้ออยู่บางอย่าง
ทำให้เกิดความระลึกนึกคิดหวนกลับไปเหมือนกัน แต่ไม่ใช่การกลับเลย
ย้อนกลับมาด้วยความอาลัยอาวรณ์ในภาพความเป็นอยู่เดิมๆ พอใจติดใจในความสุขเวทนาเดิมๆอย่างคนธรรมดาอีกครั้งหนึ่ง
แต่อีกไม่กี่มากน้อยก้หันกลับไปสู่ที่ตั้งใจไว้เดิม แน่วแน่ยิ่งไปกว่าเดิมมุ่งตามทางต่อไป
นี้เป็นกริยอาการธรรมดาที่มนุษย์เราต้องเป็นอย่างนั้น ในการที่ใครจะเดินไปในทางประเสริฐนั้น ยากนักที่จะไม่มีความลังเลใจ
ย้อนกลับมาสู่สภาพเดิมด้วยความอาลัยอาวรณ์ในกามารมณ์บ้าง
จึงมีอาการอย่างนี้อยู่ในพวกพระอริยเจ้าประเภทที่สอง
ซึ่งถือว่ามีความโลภความโกรธความหลงน้อยกว่าโสดาบัน
พระอริยบุคคลพวกที่สามได้แก่อนาคามี
แปลว่า ไม่กลับมาสู่โลกนี้อีก คือว่าไม่มีจิตใจหวนมาสู่วิสัยโลกที่มีกามนี้อีกเลย
จะได้เป็นพระอรหันต์โดยเที่ยงแท้ในเวลาต่อไป
พระอรหันต์ คือพวกที่ถึงปลายทางแล้วโดยสมบูรณ์
เป็นผู้ถึงความประเสริฐสุกในสิ่งที่มนุษย์เราจะถึงได้ หมายความว่า
ธรรมชาติสร้างเรามาให้เข้าถึงได้สูงสุดเพียงไร
มันก็สูงสุดอยู่เพียงแค่ความเป็นผู้ดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง กล่าวคือเป็นพระอรหันต์นั่นเอง
อย่าได้ถือว่าเป็นเรื่องนอกฟ้าป่าหิมพานต์
หรือเป็นเรื่องที่จะถึงได้ก็ต่อเมื่อตายแล้วหลายๆสิบชาติ
มันเป็นเรื่องภายในชีวิตนี้เอง ก่อนเข้าโลงนี้เอง ไม่ใช่อย่างเขาชอบโฆษณากันอยู่
ว่าทำบุญให้ทานกันมากๆเพื่อไปสวรรค์เสียก่อน
ไปเป็นพรหมเสียหลายหมื่นแสนปีก่อน
แล้วจึงจะมีหวังได้นิพพาน
พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยมุ่งหมายอย่างนั้นเลย
ท่านมุ่งสอนคนเพื่อให้เข้าถึงกระแสอันไม่มีการย้อนกลับไปสู่สภาพต่ำ
แม้แต่จะมีอาลัยอาวรณ์ก็ยังรุดไปข้างหน้าเรื่อยๆฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า
พระองค์เองเป็นผู้รับประกันว่า
พวกที่ก้าวลงสู่กระแสของทางสายกลาง คืออริยมรรคมีองค์แปดแล้วนั้น
จะไม่กลับมาสู่ทางต่ำแน่ๆ มีแต่รุดไปข้างหน้าเรื่อยๆ ฉะนั้น เราจึงควรสนใจคำว่า มรรค ผล นิพพาน
ไว้ในฐานะที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของคนในชาตินี้เอง กล่าวคือ ที่นี่และเดี๋ยวนี้
ปุถุชนที่ไม่ใช่พระอริยบุคคล
ยังเต็มอยู่ด้วยความรู้สึกว่าเป็นตัวตนของตนและเป็นตัวตนอย่างไม่ดี คือว่าเป็นอย่างบาปอย่างอกุศล ทำตัวเองให้ทุกข์และทำผู้อื่นให้ทุกข์ด้วย ส่วนพระอริยะเจ้าทั้งหลายนั้น มีความรู้สึกที่เป็นตัวตน-ของตนน้อยลงไป แม้ความรู้สึกที่เป็นตัวตนและของตนอย่างดี คือมีความประพฤติถูก และความยึดมั่นถือมั่นในความดีอย่างนี้ ก็ต้องน้อยลงๆตามลำดับๆ จนกระทั่งไม่มีความรู้สึกว่ามีตัวตนเลย ไม่มีตัวตนแล้ว ก็ไม่มีอะไรเป็นของตนโดยแน่นอน มันไม่มีที่ตั้งที่อาสัย
ในบางเวลาเราไม่มีความรู้สึกถึงตัวตนเลย จึงสบายใขในความว่างจากความเห็นแก่ตัว
ความว่างเกิดขึ้นเมื่อไร
เมื่อนั้นก็จสบายใจที่สุด
แต่พอเกิดความรู้สึกว่าเป็นตัวตนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือมีของนั้นของนี้เป็นของตน ที่ต้องรับผิดชอบขึ้นมาเมื่อไรแล้ว เมื่อนั้นก็จะเป็นทุกข์ใจทันที จะเป็นกี่นาทีกี่ชั่วโมงก็ตาม
มันจะต้องเป็นทุกข์ตลอดเวลาที่มีความรู้สึกว่าเป็นตัวเราหรือของเรา แม้สักนาทีเดียวก็เป็นทุกข์ ถ้าใจเราว่างจากความรู้สึกว่าเป็นตัวตนหรือของตนได้ เมื่อนั้นจะไม่มีความทุกข์ เหมือนกับพวกเราที่กำลังอ่านอยู่นี้ ระหว่างนี้แม้จะอ่านไปคิดไปก็ไม่นึกถึงตัวตน ไม่คำนึงว่าอะไรเป็นของตน
มันเพียงแต่เป็นการหายใจอยู่ด้วยสติปัญญาล้วนๆ ในขณะที่กำลังอ่านอยู่หรือคิดอยู่นี้ เป็นเวลาที่ว่างจากตัวตน
แต่เต็มไปด้วยสติปัญญาอย่างนี้ไม่มีทุกข์เลย เรียกโดยโวหารธรรมะว่าเวลานี้เรา
“ว่าง” อยู่ ว่างจากอะไร?
ก็ว่างจากความรู้สกว่าตัวตนและของตนนั่นเอง ทั้งๆที่เต็มปรี่อยู่ด้วยสติปัญญา คอยอ่าน
คอยคิด คอยนึกสงสัยไปตามนี้ ก็ยังเรียกว่า “ว่าง” อยู่ ภาษาธรรมเขาหมายถึงอย่างนั้น คำว่า “ว่าง”
ไม่ใช่ว่างชนิดไม่มีความรู้สึกตัวอะไรเลย ตัวแข็งเป็นท่อนไม้ ไม่มีสติสัมปชัญญะ แล้วไปเรียกว่าว่าง
นั่นเป็นเรื่องของนักสอนพวกหนึ่งที่ว่าเอาเอง ไม่ใช่พระพุทธเจ้าท่านว่า ถ้าว่างจากแบบ “สุญญตา”
ของพระพุทธเจ้าแล้ว
หมายถึงว่าว่างจากความรู้สึกว่ามีตัวตนมีอะไรเป็นของตน แม้ท่านที่กำลังอ่านหนังสืออยู่นี้ ก็ไม่ได้นึกถึงตัวตนหรือนึกว่ามีภาระอะไรเป็นของตน อย่างนี้ก็เรียกว่า “ว่าง” ได้ แต่ถ้าพอไปทำอะไรอย่างอื่นเข้า
นึกถึงตัวตนหรือของตนขึ้นมา หรือมีอะไรมากระทบตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ก็เกิดความรู้สึกไปในทางตัวตนและของตนอย่างนี้ไม่ว่างเสียแล้ว คือไม่มีสติปัญญาที่เป็นความว่าง
มีแต่ความหนักใจกลัดกลุ้มเพื่อความเห็นแก่ตัว ส่วนพระอริยเจ้า
ท่านทำใจของท่านให้ว่างได้มากกว่าพวกเรา
และว่างมากขึ้น
ชนิดที่จะไม่กลับวุ่นได้ง่ายๆ กระทั่งว่างไปเลย
เป็นอยู่ด้วยความว่างนั่นแหละคือนิพพาน
ฉะนั้น
เราทุกคนแม้ที่กำลังอ่านอยู่นี้
ก็กำลังได้รับรสของนิพพานนิดหน่อย
เป็นการชิมลองน้อยๆอยู่ในระดับหนึ่งทีเดียว คือได้รับผลหรือรสของ “ความว่าง”นั่นเอง อย่าได้เกลียดอย่าได้กลัวความว่างหรือนิพพาน อย่างที่คนเขลาทั้งหลายไม่เข้าใจ
แล้วยังพูดพล่ามให้คนอื่นเข้าใจเขวเข้าใจผิดไปด้วย ในขณะที่จิตว่างจากความรู้สึกเป็นตัวตน ก็เป็นนิพพานนั่นเอง
เป็นเวลาที่ประเสริฐสุดของเรามีสติปัญญาเต็มอัตราของตนทำอะไรได้ดีที่สุดจนเหมือนกับปาฏิหารย์ทีเดียว
ความว่างจึงเป็นสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องใช้ และบางทีเราก็ใช้อยู่แล้วโดยไม่รู้ตัว เช่นเราจะขว้างอะไรให้ถุกเป้าหมาย ถ้าเราฉลาดพอที่จะทำให้ใจเราอยู่กับ “ความว่าง”
ในขณะที่ขว้าง ก็จะขว้างได้แม่นอย่างผิดปกติ ตามปกตินั้น
เรามักจะขว้างด้วยจิตที่วุ่นไปด้วยความรู้สึกว่าเป็นตัวเราของเรา อย่างนี้ผลสู้ไม่ได้
เพราะทั้งมือทั้งใจมันสั่นไปหมด
ที่ว่าขว้างด้วยจิตที่ว่างนั้น
บางคนอาจไม่เข้าใจหรือฟังไม่ถูก คือหมายความว่า ในขณะที่เราตั้งท่าจะขว้าง
ขณะนั้นจิตต้องลืมความรู้สึกว่าตัวเราจะขว้าง
จะขว้างเพื่ออวด จะขว้างให้ชนะคนอื่นหรือเพื่อแข่งขัน จงลืมตัวเราเสีย มีแต่สติสัมปชัญญะ เต็มไปด้วยปัญญา
เพียงคิดว่าจะขว้างอย่างไรเท่านั้น มันเหลืออยู่แต่จิตกับร่างกาย ระบบประสาทและกล้ามเนื้อทั้งหลายจะทำหน้าที่ของมัน
ความคิดที่เป็นตัวเราหรือเป็นของเราต้องไม่เข้ามาเจือปน เพราะฉะนั้น
กำลังจิตของเราทั้งหมด จะรวมอยู่ที่การขว้างเท่านั้น ถ้าพูดตามภาษาธรรมะ
ก็เรียกว่าขว้างไปโดยไม่มีตัวตนผู้ขว้าง ขอให้จำสำนวนนี้ไว้บ้าง จะมีประโยชน์ในวันข้างหน้า
กินโดยไม่มีตัวผู้กิน นอนโดยไม่ต้องมีตัวผู้นอน
เดินทางไปโดยไม่ต้องมีตัวผู้เดินทาง เป็นการกิน การนอน การเดินทาง
ที่ไม่มีความทุกข์เลย อยู่เป็นสุขสบาย พวกพุทธศาสนามหายาน นิกายเซ็น
เขาสอนอย่างนี้ทั้งนั้น
เรามีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องมีตัวเรานี้ ฟังดูปล้วน่าขัน
กินโดยไม่ต้องมีตัวผู้กิน ทำโดยไม่ต้องมีผู้ทำ แต่ว่าสติปัญญาเป็นผู้ทำแทน
คือจิตที่ประกอบไปด้วยสติปัญญา
ไม่มีความรู้สึกเจือปนอยู่ว่าเป็นตัวเราของเรานั้น มันทำเสียเอง
เพราะฉะนั้น จึงไม่มีตัวเรา
แต่มีการกระทำทุกอย่างและกลับทำได้ผลดีที่สุด นี่คือค่าของนิพพาน มันมีมากกว่านี้ แต่ว่าจะใช้มันได้มากอย่างไรนั้น เอาไปพิจารณาดูเอาเองก็แล้วกัน
อย่างน้อยมันก็ทำให้เราไม่เป็นทุกข์อยู่เป็นประจำ
และทำให้เราสามารถทำงานได้ผลทุกอย่าง
แม้แต่งานฝีมือประณีตที่สุด เช่นช่างเขียนที่จะเป็นศิลปินเอกของโลก เขาจะต้องเขียนภาพโดยสักแต่มือป้ายสีไปด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยสติปัญญา
ลืมตัวตนโดยสิ้นเชิง หรือศิลปินที่แสดงละครก็ต้องลืมตัวตน
แล้วก็แสดงบทบาทซึ่งไม่ใช่เรื่องของตนเลย
จึงจะทำได้ดีนี่เรียกว่าค่าของ ความว่าง” หรือค่าของนิพพาน ถ้าเราว่างอย่างยิ่งเด้ดขาดไปไม่ได้ ก็ขอให้ว่างให้ได้ในขณะที่เราจะทำสิ่งที่ยากที่สุดที่ดีที่สุด
ถ้าพูดอย่างสำนวนธรรมะขั้นสูงสุด ก็พูดได้ว่า “จงตายเสียก่อนที่จะตาย”
ได้ยินอย่างนี้แล้วท่านคงจะงง ทุกคนควรตายเสียก่อนแต่ที่ตนจะตาย
เรียกว่าตายทางร่างกาย ให้ตายไปก่อนหน้านั้น คือตายเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ที่นี่ก็ยิ่งดี คือไม่มี “ตัวเรา”
เสียที่นี่และเดี๋ยวนี้สำหรับจะตายต่อไป
เป็นการดีวิเศษที่สุด
แต่นั้นเป็นการบรรลุพระอรหันต์ไม่ใช่เพียงพระโสดาบัน
พระสกิทาคามีหรืออนาคามี คนที่หมดความรู้สึกว่ามีตัวตนของตนโดยสิ้นเชิง มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น เพราะฉะนั้น พระอรหันต์จึงเป็นผู้ที่ไม่ตาย เพราะท่านได้ตายไปเสร็จแล้วก่อนแต่ที่จะตาย
นี่พูดโดยสมมติ เพราะเมื่อไม่มีความรู้สึกว่ามีตัวเราอยู่ตอนนั้นเราก็ไม่ตาย ไม่มีตัวเราที่จะตาย ฉะนั้น
ขอให้เป็นอย่างนี้ให้ได้ก่อนที่จะถุกจับใส่โลง
ก็เรียกว่าตายเสียตั้งแต่ก่อนแต่จะตายกลับเป็นคนที่ไม่มีความทุกข์เลย เพราะมันไม่คิดถึงความตายต่อไป ไม่มีตัวตนที่จะอยู่ ตัวตนที่จะตาย
มีแต่จิตที่ประกอบด้วยสติปัญญาล้วนๆทำไป พูดไป คิดไป
ทำอะไรทุกอย่างเหมือนอย่างที่เคยทำอยู่ทุกวันนี้
แต่โดยไม่ต้องมีความรู้สวึกว่าเราเป็นผู้กระทำ เรียกว่าทำโดยไม่ต้องมีผู้ทำ กินโดยไม่ต้องมีผู้กิน เป็นสุขโดยไม่ต้องมีผู้เป็นสุข นั่นแหละจึงจะเป็นสุขจริงๆ ถ้าผิดจากนั้นแล้ว
มันเต็มไปด้วยตัวเราและของเรา มันหนัก มันร้อน มันร้อยรัด พัวพัน เสียดแทง เผาลน
สารพัดอย่างแล้วแต่จะเรียก
เห็นได้หรือยังว่า
สิ่งที่เรียกว่ามรรคผลนิพพานนั้นมันเป็นของสำหรับคนทุกคน จริงหรือไม่
และเป็นของทุกคนอย่างจำเป็นที่สุดหรือไม่ เพราะว่าถ้าเขาไม่ได้สิ่งนี้มา
แทบกล่าวได้ว่าเขาไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่เกิดมาเป็นสัตว์นรกชนิดหนึ่ง
หรือสัตว์เดรัจฉาน ที่หลงใหลในความเป็นอยู่ง่ายๆตามธรรมชาติของสัตว์ชนิดหนึ่งเท่านั้น
เขาไม่ต่างอะไรกับสัตว์เลย มันต้องฉลาดขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
คือการไม่ต้องมีความทุกข์เลยและทำอะไรได้มากที่สุด
เป็นประโยชน์ที่สุดแก่ตนเองและแก่ผู้อื่น
เพราะว่าเขาเป็นอยู่ด้วยสติปัญญาดังที่กล่าวมาแล้ว ไม่ใช่เป็นอยู่ด้วยความเห็นแก่ตัว
ทั้งหมดนี้เป็นความหมายของคำว่า
มรรคผลนิพพานสำหรับคนทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกศาสนา ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่
ทั้งคนเฒ่าคนแก่ สมกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า
มีธรรมะนี้ไว้เพื่อสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ไม่ใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง
แต่เราไม่ได้เดินตามทางของท่าน
เถลไถลออกไปนอกทางเรื่อยๆเพราะความที่เห็นแก่ตัวและของตนจัด
เลยออกไปนอกทางของความสงบสุขไปสู่หนทางแห่งความเร่าร้อน และไม่รู้สึกตัว
บูชาสิ่งที่เราร้อนนั้นในลักษณะที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัวไป น้ำตาไหลก็ยังชอบ
นี่คือสังคมมนุษย์หรือสังคมโลกในยุคปัจจุบัน
กำลังเดินทางไปในเส้นทางอย่างนี้ด้วยความรู้สึกอย่างนี้ มันจึงเป็นการสร้างวิกฤตกาลถาวรขึ้นในโลก ฟังจากวิทยุวันละ 10 นาที ก็รู้ว่าโลกนี้อยู่ในสภาพวิกฤตกาลถาวรอย่างไร และไม่มีวันที่จะสิ้นสุดลงได้ มีแต่จะยุ่งยากมากขึ้นในทางเศรษฐกิจ
ทางการเมือง ทางการทหาร การครองชีพและอะไรๆทุกอย่างเป็นวิกฤตกาลถาวรที่เปิดเผยโดยตรงก็มี เร้นลับซ่อนอยู่ก็มี เพราะว่าสังคมโลก
กำลังประกอบด้วยความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนและของตนฝ่ายต่ำ อยู่ในอำนาจของกิเลสอันนี้เหมือนกับคนตกน้ำ
ก็มีแต่จะจมลงไปในน้ำ
ไม่ใช่พวกที่จะโผล่ขึ้นมามองเห็นทิศทางแล้วว่ายเข้าหาฝั่ง แตถ้าหากความรู้เรื่องมรรคผลนิพพาน
ของพระพุทธเจ้าแพร่หลายไปในหมู่มวลมนุษย์ในโลกแล้ว สังคมคงจะกลับตัวได้โดยแน่นอน เพราะต่างคนต่างก็จะรู้จักโทษของความเห็นแก่ตัวจัด และรู้จักใช้สติปัญญาครองชีวิต ใช้ธรรมะแท้จริงครองโลก โลกก็จะอยู่ในความสงบสุข
เราเป็นพุทธบริษัทจึงควรจะได้อะไรบ้างจากธรรมะของพระพุทธเจ้า
และควรจะช่วยเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกของเราที่ไม่ได้เป็นพุทธบริษัทให้เข้าใจเรื่องนี้
ให้ตั้งอยู่ในแนวมรรคผลนิพพานอย่างที่กล่าวแล้วด้วย
เพราะถ้าต่ำกว่านี้มันไม่พอ
คือมันไม่อาจจะปราบปรามภูติผีปีศาจ กล่าวคือกิเลสที่เห็นแก่ตัวจัดนี้ได้
ต้องอาสัยอำนาจของมรรคผลนิพพานมาใช้เป็นเครื่องมือ
ส่วนการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุมรรคผลนิพพานนั้น พระพุทธเจ้าท่านให้ละกิเลสหมวดหนึ่ง
เรียกตามภาษาบาลีเรียกว่า “สังโยชน์”
ที่แท้ก็คือละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนชั้นหยาบ ให้ได้มากขึ้นตามลำดับนั่นเอง ให้ตัวเราและของเราเบาบางมากขึ้น คำว่า
“สังโยชน์” แปลว่าเครื่องผูกมัด
คือผูกมัดชีวิตจิตใจของคนเราให้ติดไว้กับวิสัยโลก
สิ่งที่ผูกมัดจิตใจก็คือความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราของเรา
ฉะนั้นสังโยชน์ก็คือความเห็นแก่ตัว นับตั้งแต่หยาบที่สุดจนถึงละเอียดประณีตที่นิยมกันว่าดีนั่นเอง แม้ชั้นนี้ก็ต้องละไปด้วย สังโยชน์ 3
ที่ละได้แล้วจะทำให้ปุถุชนกลายเป็นพระโสดาบันนั้น คือ
1. สักกายทิฏฐิ คือความเห็นแก่ตัว
2. วิจิกิจฉา คือความลังเลใจในเรื่องชีวิตของตน
3. สีลัพตปรามาส คือการเชื่ออย่างงมงายไร้เหตุผล
สักกายทิฏฐิเป็นความรู้สึกตามธรรมดาสามัญที่ทำให้เห็นแก่ตัว บางรายก็เห็นแก่ตัวจัดจนไม่คำนึงถึงใครเลย และคิดว่า “ตัวตน” อยู่ที่ร่างกาย
ที่เนื้อหนังของตนเท่านั้น แล้วยังแถมยึดมั่นถือมั่นว่าร่างกายนี้เที่ยงแท้ถาวร ไม่เคยรู้ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย เขาจึงมัวเมาในความเป็นอยู่ของเขา หลงในอำนาจวาสนา
สมบัติพัสถาน ไม่เคยคิดถึงเรื่องความชราและความตายที่จะมาถึง
หลงอยู่แต่รูปร่างและความหนุ่มสาวบำรุงบำเรอกาย
เพลิดเพลินอยู่ในความไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ
นึกว่าร่างกายนี้เป็นของตน คิดว่า “ตัวเรา” นั้นมีอยู่จริง
คือเอาจิตกับกายรวมเป็นตัวตน เลยสนใจแต่เรื่องตัวตน บำรุงตัวตนจนเกินความจำเป็น
กอบโกยเงินทองเอาไว้เป็นขอองตัวและครอบครัวของตัว
โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของคนอื่น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าสิ่งนี้เป็นสิ่ง
ที่ต้องละก่อนอันไหนๆหมด จึงจะเปลี่ยนจากคนที่หนาไปด้วยกิเลสมาสู่การเป็นคนเบาบางด้วยกิเลส
อันจะเข้ามาในขอบวงของพระอริยเจ้าได้ในโอกาสต่อไป
ฉะนั้นจะต้องละความเห็นแก่ตัวจัดหรือสักกายทิฏฐิตัวนี้เสียก่อน
ยังไม่ต้องไปสนใจกิเลสอื่นๆก็ได้
สักกายทิฏฐิตัวนี้เท่านั้นที่สามารถสร้างวิกฤตกาลถาวรขึ้นในบ้านในเมืองหรือในโลกได้
และตลอดเวลาที่มนุษย์ชาติต่างๆไม่ว่าจะมีลัทธิการเมืองการเศรษฐกิจอย่างใด ถ้ายังจะสักกายทิฏฐิไม่ได้
หรือยังไม่ได้ทำให้มันเบาบางลงก็ไม่มีทางปรองดองกันได้
ไม่มีทางจะช่วยทำให้ประชาชนในบ้านเมืองหรือโลกนี้สงบเย็นได้ จะเป็นวิกฤตกาลถาวรเร่าร้อนอยู่ตลอดนิรันดร
แม้แต่สังโยชน์ตัวแรกก็มีความสำคัญแก่สังคมและโลกถึงเพียงนี้แล้ว ฉะนั้น
เมื่อเราจะเตรียมตัวช่วยกันสร้างประเทศชาติสร้างโลกสร้างสังคมให้งดงาม
เราต้องมีความปักใจอย่างแน่วแน่ที่จะละสังโยชน์ข้อที่เป็นความเห็นแก่ตัวนี้ให้จงได้เสียก่อน ไม่ใช่เรื่องการพัฒนาการอย่างอื่นๆ
วิจิกิจฉา แปลว่าลังเล
ส่วนใหญ่หมายถึงการลังเลในเรื่องชีวิตว่าจะดำเนินไปในข้างธรรมชาติฝ่ายต่ำหรือฝ่ายสูง บางทีคิดว่าจะเอารวยมากๆ
บางทีคิดว่าเห็นแก่ความยุติธรรมความถูกต้องดีกว่า
เฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความสุข ก็ลังเลว่าจะเอาความสุขจากเงิน
จากชื่อเสียงอำนาจวาสนาหรือจะเอาสุขจากความสงบเย็นแบบพระอริยเจ้า ลังเลว่าจะออกหาความสงบใจหรือยัง หรือว่าจะทนอยู่ในกองทุกข์เพื่อเอาเงินเอาชื่อเสียง ยอมถุกผูกมัดด้วยภาวะต่างๆ ยอมสละศีลธรรมเพื่อเอาความร่ำรวย ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเครื่องอำนวยความสุขสบาย
เพราะว่ากิเลสตามสัญชาตฐานเดิมทำนองนี้มันเหนียวแน่นมาก เหนียวแน่นเท่ากับสักกายทิฏฐิ
เพราะฉะนั้นจึงมีการลังเลใจว่าจะเอาข้างธรรมะดีหรือว่าจะเอาทางโลกดี แม้ปัยหาง่ายๆ
เช่นว่าพระพุทธศาสนานี้ควรมีการสอนในมหาวิทยาลัยหรือไม่ นักศึกดษาควรจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาในฐานะเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งแก่ชีวิตหรือไม่ อย่างนี้บรรดาศาสตราจารย์ทั้งหลายก็ยังลังเล
โอกาสที่จะไปดูภาพยนต์ยังมีมากกว่าที่จะมาศึกษาธรรมะตั้งหลายร้อยเท่า
แต่เห็นกันว่าไม่มีเวลาฟังธรรมะ
ส่วนการไปทำสิ่งที่ทำให้หมดเปลืองแผดเผาความสงบใจจนกระวนกระวายแล้วก็มีเวลากันมากทีเดียว
เพราะเขาไม่รู้ว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไรกันแน่ มีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกัน และควรจะต้องถึงอะไรให้ได้ในชีวิตนี้ก่อนตาย อะไรเป็นงานที่แท้จริงของมนุษย์
เขาไม่เคยรู้เลยว่าความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร และธรรมะจำเป็นแก่ชีวิตอย่างไร แต่ถ้าใครหมดความลังเลใจในชีวิต
มองเห็นทางที่จะได้รับความสงบสุขอย่างแท้จริงแล้ว เราก็จะเลือกทางอันสูงและมุ่งหน้าต่อไปโดยไม่ถอยหลังกลับไปสู่ความเป็นอารยชนมากขึ้น เพราะหมดความลังเลใจหรือที่เรียกว่าวิจิกิจฉา
สีลัพตปรามาส สังโยชน์อันสุดท้ายที่จะทำปุถุชนให้เป็นพระอริยบุคคล
ได้แก่ความงมงายดั้งเดิมที่ติดมาโดยสัญชาตญาณส่วนใหญ่เป็นเพราะความโลภและความกลัวของบุคคลผู้นั้น เลยเป็นเหตุให้ทำอะไรไปโดยไม่คิดถึงเหตุผล ไม่ใช้สติปัญญา
อย่างที่พวกอนารยชนคนป่าคนดึกดำบรรพ์เคยทำกันมาเมื่อแสนปีมาแล้ว พอมีใครมาบอกว่าทำอย่างนี้แล้วไม่ต้องกลัว เขาก็ทำตามนั้นเลย จึงเกิดมีการตั้งการกราบไหว้ศาลพระภูมิเอาพระเครื่องรางของขลังต่างๆมาแขวนคอ
ทำอะไรต่างๆซึ่งขำที่สุดแล้วเขาก็โฆษณากันว่าสามารถระงับความกลัวแก้ไขเหตุการณ์ได้ทันที
คนไม่ฉลาดจึงไม่ใช้ความคิดหรือเหตุผลของตนเอง
กลายเป็นคนงมงาย
ทำตามคำหลอกลวงเขาไปหมด
ไม่มีเหตุผลหรือใช้เหตุผลผิดไปหมด
ทั้งที่บางคนก็มีความรู้ทางโลกดสูงๆ
หรือมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงๆได้รับความยกย่องว่ามีสติปัญญา
แต่ก็หาได้ยั้งคิดหยุดพิจารณาเรื่องความงมงายหลงผิดเหล่านี้เสียเลย
เห็นเขาทำกันอย่างไรเชื่ออย่างไรก็เชื่อตามเขาไปนี้เรียกว่า สีลัพตปรามาส คำนี้แปลตามความหมายก็แปลว่าความโง่เขลาที่ทำให้ของถูกของดีเปรอะเปื้อนเป็นของผิดของเลวไปหมด
คือว่าระเบียบปฏิบัติทางศาสนาที่เขาไว้ดีแล้วนั้น คนเขลาทั้งหลายก็เข้าใจผิดด้วยความงมงาย นำไปใช้ผิดไปหมด เช่นว่าพระพุทธรูปมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ให้นึกถึงความสะอาด
สว่าง สงบ ของพระพุทธเจ้า ถ้าใช้ให้ถูกต้องก็จะเกิดความสงบสุข
สว่างไสวแก่จิตใจ
แต่คนปัญญาอ่อนก็เอาพระพุทธรูปไปแขวนคอเพื่อประโยชน์อย่างอื่น
เช่นเพื่อให้พ้นภัยอันตราย
เพื่อให้รวยให้เกิดเสน่ห์ ให้เกิดโชคลาภใหญ่ หรือแม้แต่เอาไปทำชั่ว ไปขโมยไปปล้นเขา
อย่างนี้เรียกว่าทำของที่ดีที่สะอาดนั้นให้สกปรกไปเสีย การบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนากัมฐาน เพื่อเป็นทางกำจัดกิเลสทั้งนั้น แต่คนที่มีสีลัพตปรามาสก็ทำเขวไปหมด
งมงายเข้ารกเข้าพงจนกระทั่งยากจนเดือดร้อนเพราะการให้ทานก็มี
เจ็บป่วยเพราะรักษาศีลก็มี เสียสติต้องส่งโรงพยาบาลโรคจิต เพราะวิปัสสนามี่เขาทำผิดๆก็มี เพราะฉะนั้นจะต้องเปลี่ยนมาเป็นผู้ที่ใช้สติปัญญาพิจารณาถึงเหตุผลก่อน
ใช้เหตุผลให้ถูกและใช้สิ่งต่างๆที่มีความมุ่งหมายเดิมที่ดีที่ถุกนั้น ให้เป็นไปตามความคาดหมายเดิมอย่าให้ไขว้เขวได้
ถ้าใครละความโง่เขลาแบบนี้ได้
ก็แปลว่าละสีลัพตปรามาสได้
เมื่อใครละสักกายทิฏฐิ
วิจิกิจฉาและสีลัพตปรามาส 3 อย่างนี้ได้ก็จะไม่เห็นแก่ตัวจัด ไม่ลังเลใจ
ไม่โง่เขลางมงาย เขากลายเป็นพระโสดาบันแล้ว
และกำลังเดินอยู่ในทางที่แน่นอนต่อความดับทุกข์ขั้นสูงคือ นิพพาน
คนเช่นนี้ท่านเรียกว่าพระอริยเจ้าอันดับแรก
คำว่า “อริยะ” เป็นภาษาบาลี ภาษาสันสกฤตคือ “อารยะ” เดี๋ยวนี้เราเอาคำว่า
“อารยะ” มาใช้เรียกพวกเราทุกคน
หมายว่าหลุดพ้นจากความเป็นมนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่ป่าเถื่อน แต่แล้วเราเป็น “อารยะ”
จริงหรือเปล่า?
เลิกประพฤติอย่างคนป่าเถื่อนแน่แล้วหรือ?
“อารยะ” ตามความหมายของพระพุทธเจ้าก็คือ
คนที่ไม่เห็นแก่ตัวไม่ลังเลในการเลือกทางของชีวิต
อันเต็มไปด้วยศีลธรรมและไม่หลงงมงายไร้เหตุผลอย่างคนปัญญาอ่อน ฉะนั้น
ใครที่ยังเห็นแก่ตัว ยังลังเล ยังงมงายอยู่เขาก็นยังป่าเถื่อน
ต่อให้เป็นโปรเฟสเซ่อร์ของมหาวิทยาลัยของโลก
เขาก็ยังป่าเถื่อนอยู่นั่นแหละ
ถ้ายังไม่ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉาและสีลัพตปรามาส
คำว่า “สุภาพบุรุษ”
ก็เหมือนกัน คือคนชนิดไหน?
ไม่ใช่ใส่เสื้อนอกผูกเน็คไทเดินให้โก้ๆ แล้วเป็นสุภาพบุรุษ อย่างนี้อาจเป็นสุภาพบุรุษที่ป่าเถื่อนก็ได้ เพราะคนแต่งตัวอย่างนี้ยังทำความชั่ว ยังมีความประพฤติที่เสื่อมศีลธรรม
กระทำสิ่งอันน่าขยะแขยง “สุภาพ” แปลว่าภาวะดี คือมีความเป็นอยู่ดี เป็นอย่างไร? คือเป็นอยู่อย่างไม่เห็นแก่ตัวจัด
ไม่มีความลังเลในการเลือกทางสูงทางธรรมะและไม่หลงงมงาย จึงจะเรียกว่าสุภาพพบุรุษได้
แม้ใครจะสำเร็จจากมหาวิทยาลัยเมืองนอกมาก็เป็นสุภาพบุรุษไม่ได้ ถ้าเขายังมีการเห็นแก่ตัวจัด ยังลังเลในชีวิตและยังงมงามยอยู่ ถ้าเขายังมีการเห็นแก่ตัวจัด ยังลังเลในชีวิตและยังงมงามยอยู่
มหาวิทยาลัยไม่มีทางสร้างคนให้เป็นสุภาพบุรุษได้เลย ถ้าไม่สร้างจิตใจคนใฝห้มีธรรมะไว้ด้วย ฉะนั้นชาวไทยผู้ถือพุทธศาสนา ควรจะกำหนดความหมาย “สุภาพบุรุษ” หรือ “อารยชน”
ไว้ให้ถุกต้องตามความจริงของธรรมชาติ
ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของใคร
คำพูดนี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นของธรรมชาติ และมันก็มีความหมายของมันเอง
“สุภาพ” ก็คือภาวะที่ดี “อารยะ” คือประเสริฐ
ประเสริฐตรงที่พ้นเสียได้จากความทุกข์ ไกลจากความทุกข์
ฉะนั้นเราจะต้องเป็นสุภาพบุรุษหรือเป็นอารยชนให้ถูกตามความหมายของธรรมชาติ เมื่อละสังโยชน์ได้ 3 อย่างนี้ก็เป็นสุภาพบุรุษ
เป็นอริยชนที่แท้เรียกว่า “โสดาบัน” อันเป็นพระสงฆ์ที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา ที่เราควรกราบไหว้และประพฤติตาม
เป็นที่พึงที่ระลึกได้ไม่เป็นอันตรายแก่ใครๆ
เพราะท่านเป็นพระที่จะสืบต่อพระศาสนาไม่ใช่ทำลายพระศาสนา
อารยชนอันดับที่สองคือ
พระสกิทาคามี แปลว่าหวลกลับมาด้วยความอาลัยอาวรณ์ในกามอีกครั้งเดียว แล้วจึงเลยไปไม่กลับ
พระโสดาบันอาจหวลกลับมาสู่ชีวิตของกามหลายครั้ง
พระสกิทาคามีก็คือผู้ที่ละสังโยชน์อย่างเดียวกับพระโสดาบัน แต่มีกิเลสเบาบางกว่าโสดาบัน จึงไม่มีสังโยชน์อันใหม่ที่จะต้องละ
พระอานาคามีเป็นอริยบุคคลอันดับที่สาม แปลว่าไม่มาอีกเลยคือว่าไม่หวลกลับมาสู่ชีวิตแห่งกามอีกเลย มีแต่จะสูงขึ้นไปเท่านั้น ขั้นนี้ต้องละสังโยชน์อีก 2 อย่าง อันดับแรกคือ
“กามราคะ” พระโสดาบันและพระสกิทาคามีไม่สามารถละความพอใจในกามอย่างปุถุชนคนธรรมดา เพียงยังมีความรู้สึกพอใจอยู่ตามธรรมชาติ โดยสมควรแก่ฐานะของผู้ครองเรือน มรรคมีองค์แปดข้อสัมมากัมมันตะ
(ประกอบการงานที่ชอบ) พุทธภาษิตอธิบายคำนี้ว่าละการละเมิดในกาม ไม่ใช่ละกามราคะ แม้เป็นมรรคมีองค์แปดที่ตรัสกับภิกษุแท้ๆ ก็ยังจำแนกสัมมากัมมันตะว่า ปาณาติบาต อทินาทาน
กาเมสุมิจฉาจาร ไม่ได้ใส่คำว่าอพรหมจริยาเข้าไปด้วย จึงเป็นที่แน่นอนว่า
มรรคมีองค์แปดนั้นไม่ได้หมายความว่าละกามราคะเสียโดยสิ้นเชิง
แต่ว่าไม่ประพฤติผิดในกามในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่เรียกรวมๆกันว่า กามราคะ
ต้องถึงขั้นพระอนาคามีจึงจะหมดความรู้สึกเหล่านี้โดยสิ้นเชิง
เห็นกามเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงไปเลย
อีกข้อหนึ่งที่พระอนาคามีจะต้องละให้ได้
เรียกว่า ปฏิคะ คือความรู้สึกขุ่นใจ ส่วนความโกรธพลุ่ง โกรธออกมาข้างนอกนั้น พระสกิทาคามีก็สามารถละได้แล้ว
แต่ความรู้สึกขุ่นด้วยความโกรธจึงเป็นสังโยชน์ที่พระอนาคามีจะต้องละก่อนที่จะได้เป็นพระอรหันต์ต่อไป พระโสดาบัน
พระสกิทาคามีถึงแม้จะละความโกรธไปได้บ้าง
แต่ก็ละได้ไม่หมด
ยังคงมีเหลืออยู่ตามวิสัยของพระอริยบุคคลเบื้องต้นๆ
พระสกิทาคามีละโกรธได้มากกว่าพระโสดาบัน
แต่ก็ละความขุ่นใจไม่ได้
ต้องเป็นพระอนาคามีจึงจะละได้
พระอรหันต์เป็นพระอริยเจ้าประเภทที่
4 จะต้องละรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุจทัจจะ อวิชชา
คือสังโยชน์อีก 5 ชื่อ “รูปราคะ”
ก็คือความพอใจในรูป “อรูปราคะ” คือความพอใจในสิ่งที่ไม่มีรูป “ราคะ” แปลว่ารักอย่างยิ่งจนหลงใหล
แต่สิ่งที่ถูกรักนั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นกามอย่างเดียว สิ่งอื่นก็ยังมี พวกที่ติดในวัตถุที่บริสุทธิ์เช่นจิตศิลป์ รูปเขียน รูปปั้น ไม่เกี่ยวกับกามรูปราคะอย่างหนึ่ง บางคนหลงใหลในกล้วยไม้ ต้นบอน
ต้นโกศล หรืออื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับกาม
ก็เรียกว่ารูปราคะได้เหมือนกัน
ส่วนอรูปราคะ ก็คือมีความหลงใหลในสิ่งที่ไม่มีรูปเป็นวัตถุ เช่น เกียรติยศ
ชื่อเสียง ตำแหน่ง หรือว่าทะนงในความเป็นปราชญ์เป็นโปรเฟสเซอร์
ส่วนพวกฤาษีก็หลงใหลในฌาน ในสมาธิ ในความสงบนิ่งของจิต
เหล่านี้เรียกว่าเป็นอรูปราคะ ซึ่งพระอนาคามีละยังไม่ได้
เพราะพระอนาคามีบางองค์ยังหลงใหลในความสุขที่เกิดจากรูปฌานหรืออรูปฌาน
“มานะ” คือการถือตัวถือตน
ของตัวของตน พระอริยะเจ้าข้างต้นนั้นยังละไมได้หมด แต่ก็เบาบางลงไปมาก พอมาถึงขึ้นนี้ก็ละหมด ไม่มีความรู้สึกว่ามีตัวตน
ไม่สนใจว่าเป็นหญิงหรือเป็นชาย เป็นคนจน เป็นเศรษฐี ฉะนั้น จึงไม่มีความรู้สึกว่า
“ฉันดีเท่าเขา ดีกว่าเขา เลวกว่าเขา” แล้วอะไรที่เป็นของตัวก็ไม่มีความรู้สึกว่ามีอยู่ เพราะฉะนั้น มีอะไรก็เหมือนกับไม่มี หรือเปรียบว่าตายแล้วตั้งแต่ก่อนตาย
คือเป็นอยู่โดยไม่มีตัวตน นี่คือขั้นที่ไม่มีความทุกข์เลย
อุทัจจะ
หมายถึงในทีนี้ว่าเพียงความหวั่นไหวของจิต
ได้เห็นอะไรได้ยินอะไรที่แปลกเข้าอดรู้สึกทึ่งอดสนใจกับมันไม่ได้
หรืออยากได้บ้างอะไรทำนองนี้
เป็นความกะเพื่อมของจิตใจ
อย่างนี้เรียกว่าอุทัจจะชั้นสูงสุดที่พระอรหันต์ต้องละ อย่าเอาไปปนกับอุททัจจะของปุถุชน
อุทัจจะความฟุ้งสามัญปุถุชนก็ยังสามารถละได้ด้วยการเข้าสมาธิเสีย แต่อุทัจจะนี้ไม่ใช่อุทัจจะของพวกอนาคามี
จะต้องละเพื่อเป็นอรหันต์ การละอุทัจจะชั้นสูงนั้นผลก็คือ
จิตใจไม่กะเพื่อมเมื่อเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส กายสัมผัส
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอยากเรื่องหลงใหลเลย
แม้แต่เพียงจิตใจจะหวั่นไหวจะกะเพื่อมก้ไม่มี
พวกพุทธศาสนานิกายเซ็นมีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับจิตใจไม่หวั่นไหวของอาจารย์เซ็นท่านหนึ่ง
ชื่อ “เฮโกอิน” ท่านผู้นี้มีความสงบสุขอยู่ตามแบบของผู้สำเร็จในทางธรรม
จนประชาชนแถววัดนั้นยอมรับว่าเป็นผู้สำเร็จ ต่อมาปรากฏขึ้นว่า
หญิงสาวสวยคนหนึ่งเกิดมีครรภ์ขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าใครเป็นสามี พ่อแม่ซักถามมากเข้าไม่รู้จะบอกอย่างไร เลยบอกไปว่าอาจารย์นั้นแหละเป็นบิดาของเด็กในครรภ์ พ่อแม่ก็กลับเป็นฟืนเป็นไฟวิ่งไปด่าหลวงพ่อ
ด่าเสียจนเหนื่อยจนไม่รู้ว่าจะด่าอย่างไร
หลวงพ่อก้พูดคำเดียวว่า “อย่างนั้นหรือ?” พอพ่อแม่หญิงกลับไป
พวกชาวบ้านยทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ก็มาช่วยกันด่าหลวงพ่ออีก ด่าทุกวัน
ท่านก็ได้แต่พูดว่า “ดังนั้นเหรอ?”
พอหญิงนั้นคลอดบุตรพ่อแม่หญิงก้พาเอาเด้กไปให้อาจารย์และบอกว่า
“นี่แกต้องเลี้ยง” อาจารย์ก็ตอบว่า
“อย่างนั้นหรือ?” แล้วก็ยอมเลี้ยง ส่วนคนที่เขาไม่เชื่อเสียทีเดียวก็ยังมีอยู่
เขาก็ไปให้นมให้อาหารเด็กคนนั้นจนโต
ส่วนข้างแม่ของเด้กก้ผอมลงๆ พราะร้อนใจที่ได้โกหกไว้ วันหนึ่งทนต่อไปไม่ได้ก้เลยบอกกับพ่อแม่ว่า
บิดาที่แท้จริงของเด้กก็คือเจ้าหนุ่มที่ร้านขายปลา ทีนี้เล่าเอาพ่อแม่ตกใจเกือบตาย ต้องวิ่งไปขอโทษหลวงพ่อเป็นการใหญ่
หลวงพ่อก็มีแต่พูดว่า “อย่างนั้นเหรอ” ชาวบ้านก็มาขอโทษที่ด่าหลวงพ่อกันทั้งบ้านทั้งเมือง
ท่านว่า “อย่างนั้นเหรอ” ตามเคย ท่านมีจิต “ซ่าง” อยู่ตลอดเวลา ไม่กะเพื่อม
ไม่หวั่นไหว เฮโกอินเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในหมู่เซ็ม
ในทางที่มีจิตว่างจากตัวตนของตน “จิตว่าง” ขนาดนี้ก็มีอยู่ได้ไม่เหลือวิสัย และใช้เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ดีอยู่นั่นเอง
ฉะนั้น เราอย่าได้กลัวคำว่า “จิตว่าง” และอย่าเข้าใจว่าจิตว่างแล้วจะใช้อะไรไม่ได้
ทำอะไรไม่ได้ และอย่าเข้าใจผิดว่าสิ่งนี้ไม่มีอยู่ในพุทธศาสนา การมีจิตไม่อุทัจจะ
ไม่หวั่นไหว มันมีได้อย่างนี้ สูงสุดอย่างนี้
อวิชชาสังโยชน์ข้อสุดท้าย
คือความไม่รู้ในสิ่งที่ควรจะรู้อันเกี่ยวกับการดับทุกข์ ผู้ใดละอวิชชาเสียได้
ผู้นั้นก็กลายเป็นพระอรหันต์ มีความรู้เต็มเปี่ยมที่สุดในเรื่องที่จะต้องรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือเรื่องอริยสัจ
เรื่องความดับทุกข์ เรื่องความจริงของกรรมดีกรรมชั่ว กรรมเหนือดี เหนือชั่ว รู้อริยมรรคอันเป็นที่สิ้นสุดของกรรมดีกรรมชั่ว
ท่านเห็นชัดในตัวเองหมด
เพราะท่านเข้าถึงแล้วจริงๆ ท่านจึงเห็นได้ชัด
สัตวืโลกดยังต้องอยู่ใต้กฏของกรรมดี กรรมชั่ว
ท่านกระทำแต่กรรมประเภทที่จะทำให้กิเลสสิ้นไปหมดท่านไม่ติดใจแม้ในกรรมที่ดี
จึงเรียกว่าเป็นกรรมที่สาม
คือกรรมที่เหนือความดี ความชั่ว
ไม่ได้ทำอะไรเพื่อหวังเอาบุญเอาสวรรค์วิมาน
เอาเกียรติยศ ชื่อเสียง อย่างที่คนสามัญเขาหวังกันอยู่ หลงใหลกันอยู่
แต่ท่านทำไปด้วยความเมตตากรุณา
หรือเห็นด้วยปัญญาว่าเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อคนอื่น
ไม่ใช่เพื่อตนเอง การหมดอวิชชา ก็ทำให้รู้อย่างแจ่มแจ้งจริงๆ
ในเรื่องปฏิจสมุปบาท เรื่องไตรลักษณ์ เรื่อง “ความว่าง” คือสุญญตา
ซึ่งแปลว่าความว่างจากการรู้สึกว่ามีตัวตนโดยแท้จริง
เมื่อสังโยชน์ทั้ง 5
อย่างนี้ถูกละไปอีก ก็กลายเป็นคนที่เต็มเปี่ยม เป็นคนที่สมบูรณ์ที่สุดของความเป็นมนุษย์
คือเป็นพระอรหันต์ เป็นสภาพสูงสุดตามหลักของพระพุทธศาสนามี “ความว่างจากตัวตน”
โดยสิ้นเชิง
มีอิสระเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
เหนือวิสัยโลก เพราะว่าเป็นผู้รู้จริงถึงที่สุด ฉะนั้น
จึงเห็นได้ว่ามันไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากความว่างจากตัวตนและที่เรียกว่า
“ว่าง” นี้ มันว่างอย่างถูกต้องตามหลักของพุทธศาสนา
คือไม่ใช่ว่างชนิดอย่างที่คนโง่แล้วอวดดีเขาสอนกัน เช่น ว่าจิตของเขาไม่คิดอะไรเลย
กายก็แข็งทื่อเป็นท่อนไม้ แต่ที่ถูกนั้นเป็นความว่างชนิดที่เฉลียวฉลาดที่สุด ว่องไวที่สุด
เต็มไปด้วยสติปัญญาถึงที่สุด
อย่างนี้จึงเรียกว่า “ความว่าง”
เหมือนกับเรื่องอาจารย์เฮโกอินที่กล่าวแล้ว
คือไม่มีการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนหรือความเห็นแก่ตัว ให้มีสติปัญญา
ไม่มีกิเลสตัณหา มรรคผลนิพพานจึงอยู่แค่จมูกนี่เอง ที่หน้าผากนี่เอง
จะคลำพบได้ง่ายถ้ารู้จักคลำไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องเหลือวิสัย หรือว่าอยู่นอกฟ้าป่าหิมพาน
หรือว่าจะได้ก็ต่อเมื่อตายแล้วเกิดแล้วหลายพันชาติ ขอให้พวกเราจับใจความทั้งหมดนี้ให้ได้
ทั้งยังเป็นเรื่องจำเป็นแก่ชีวิตประจำวันของคนทุกคน มิฉะนั้นแล้ว
เขาจะตกนรกทั้งเป็นโดยไม่ต้องมีใครมาบันดาล เพราะเขาเลือกทางผิดของเขาเอง
โดยไม่มีความรู้ในเรื่องนี้
นี่คือลักษณะความหมายคุณค่าและอานิสงส์ของสิ่งที่เรียกว่า มรรคผลนิพพาน
บทที่
7
การถือศาสนา
และการถึงธรรม
ในบทที่
7 นี้
จะได้ชี้ถึงข้อเบ็ดเตล็ดต่างๆเพื่อช่วยให้เข้าใจในวิธีที่จะศึกษาและปฏิบัติตามหลักศาสนา อย่างที่กล่าวมาแล้วในบทก่อนๆให้ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก แต่จะขอทบทวนความจำมาตั้งแต่ต้นว่า
ธรรมะควรเป็นสิ่งที่คั่นกับชีวิตหรือเป็นของคู่ชีวิต
ถ้าใครมีสติปัญญารู้จักมองธรรมะเป็นถึงขนาดสูงสุดจริงๆแล้ว ก็จะเห็นว่ามันเป็นตัวเดียวกันกับชีวิตเลย
ฉะนั้น จึงไม่มีทางที่จะแยกกันได้
ถ้าแยกก็หมายความว่ามันผิดความมุ่งหมายของธรรมชาติ
การที่ผิดความมุ่งหมายของธรรมชาติก็คือความวุ่นวายระส่ำระสาย เพราะการไม่สมดุลหรือเพราะอย่างไรก็ตาม แต่มันมีอาการที่เรียกว่า
เป็นความทุกข์เกิดขึ้น ถ้าธรรมะนี้เป็นสิ่งที่คู่กันไปกับชีวิตหรือเป็นอันเดียวกับชีวิตเสียเลยแล้ว
มันถูกตรงตามความหมายตามอำนาจตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ ฉะนั้นจึงราบรื่น
คือไม่เป็นทุกข์
ธรรมะมีคำแปลหรือความหมายหลายอย่าง
เราจะต้องรู้จักความหมายและจะต้องใช้มันให้ถูกต้องตรงตามความประสงค์ เราจะถึงธรรมะได้ก็ด้วยการปฏิบัติ ชนิดที่ขจัดความรู้สึกว่าตัวเรา
ว่าของเรา ที่เรียกว่าความเห็นแก่ตัวนั้นออกไป
อยู่เป็นประจำจนกระทั่งไม่มีความรู้สึกทำนองนั้นเกิดขึ้น จะมีแต่ธรรมะที่เป็นสติปัญญา เป็นความสะอาด สว่าง สงบ เกิดอยู่กับจิตใจ
แต่คนโดยมากเข้าใจธรรมธรรมะไม่ได้ก็เพราะเข้าใจคำบางคำในภาษาธรรมะผิดไป เช่นคำว่า “ชาติ” “ความเกิด” และคำว่า
“โลก” คำว่า “ชาติ”
นั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้หมายความว่าการคลอดจากท้องมารดา แต่หมายถึงการเกิดความรู้สึกที่เป็นความเห็นแก่ตัว
เช่นความรู้สึกว่าเป็นตัวเรา “ของเรา”
วันหนึ่งเกิดขึ้นครั้งหนึ่งหรือหลายๆครั้งก็ได้ คือการเกิดตามความหมายของพระพุทธศาสนา คำว่า
“โลก” ก็หมายถึงสิ่งที่มีพิษ มีอิทธิพล มีอำนาจต่อตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเรา
เราต้องรู้จัก “โลก”
ในลักษณะอย่างนี้จึงจะควบคุมสิ่งทั้งปวงไม่ให้ปรุงเป็นความทุกข์ขึ้นมาได้
เราจะต้องรู้จักมองให้เป็นทั้งสองด้าน
คือ ทั้งด้านนอกและด้านในคือส่วนภายนอกและส่วนลึกที่มองเห็นได้ยาก
ต้องใช้ปัญญาจึงจะมองเห็นด้านในของสิ่งทั้งปวง พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้มองสิ่งทั้งปวงด้านใน เมื่อเราอยากรู้เรื่องของท่าน
เราก็ต้องหัดมองสิ่งต่างๆออก
ซึ่งเป็นเหตุทำให้เราสามารถเดินในทางถูกคือ “ทางสายกลาง”
ชนิดทมี่ไม่เปิดโอกาสแก่ความทุกข์ ชนิดที่ไม่ให้อาหารแก่กิเลสเลย ในที่สุดก็จะประสบสิ่งที่เรียกว่า
มรรคผลและนิพพานคือการที่ตัดความชั่วหรือกิเลสที่ไม่พึงปรารถนาเหล่านั้นออกไปได้
และได้รับผลของความหมดกิเลส จะเป็นอย่างต่ำอย่างกลางอย่างสูงก็ได้ เด็กๆก็ทำได้ ถือหลักเกณฑ์ที่ว่า
ถ้าว่างจากความรู้สึกว่าตัวตน-ของตนเมื่อไร ก็เป็นนิพพานเมื่อนั้น “ว่าง” จริงก็เป็นนิพพานจริง
“ว่าง” ชั่วคราวก็เป็นนิพพานอย่างชั่วคราว
แม้แต่การชิมลองก็ยังดี
จะเป็นเหตุให้เข้าใจนิพพานจริงได้ยิ่งขึ้นและจะเดินไปถุกทางโดยเร็ว
ในบทที่
7 นี้ จะได้กล่าวในหัวข้อที่ให้ชื่อว่าการยึดถือศาสนากับการถึงธรรม การถือกับการถึง 2 คำนี้มีความหกมายต่างกัน
เราถือศาสนาก็โดยมุ่งหมายเพื่อจะเข้าให้ถึงธณรมะ
ฉะนั้น
ทุกคนต้องพิจารณาดูตัวเองว่าการถือศาสนาของตัวหรือที่กำลังปฏิบัติอยู่เดี๋ยวนี้นั้น จะช่วยตัวให้ถึงธรรมะได้หรือไม่ มันยังมีอะไรผิดพลาดบกพร่องหรือไม่ เมื่อกล่าวโดยทั่วๆไปแล้ว คนไทยส่วนมากยังถือศาสนากันในลักษณะที่ไม่ตรง
และไม่เต็มตาตามความหมายของการถือศาสนาตามหลักของพระพุทธเจ้า เรื่องทางโลกๆนั้น
เราสนใจทำกันด้วยชีวิตจิตใจจริงๆ
พอถึงเรื่องธรรมะหรือศาสนาแล้วเราไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะเราไม่รู้ไม่เข้าใจเพียงพอ
ถึงจะเข้าใจบ้างก็ไม่มีอำนาจมากพอที่จะต่อสู้กับอารมณ์ฝ่ายโลกหรือฝ่ายต่ำ ฉะนั้น
จึงมีการถือศาสนากันในลักษณะที่ไม่เพียงพอแก่ความจำเป็นของมนุษย์ จนบางทีดูคล้ายกับว่าทำเล่นๆ ทำตามธรรมเนียมตามประเพณีโดยเสียไม่ได้ ลองคิดดูว่าเราต้องการธรรมหรือศาสนา
เหมือนกับที่เราดิ้นรนหายาเพื่อรักษาโรคทางกายหรือเปล่า ทั้งนี้ก็เพราะเหตุว่า
เราไม่รู้เรื่องจริงของชีวิต
ว่ากำลังมีความทุกข์อยู่ชนิดหนึ่งซึ่งมองไม่เห็นตัว ถ้าเรามองเห็นตัวเราก็คงกระตือรือร้น ถึงแม้ความทุกข์ที่เห็นได้ชัด เช่น
ความทุกข์ของสังคมในปัจจุบัน ที่เกี่ยวกับความตกต่ำทางศีลธรรม
หรือการเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบกอบโกยความร่ำรวยเข้าตัว เราก็ยังเห็นกันน้อยเกินไป
จึงไม่มีใครรับผิดชอบหรือคิดแก้ไขภาวะของสังคมเช่นนี้ มัววุ่นกันแต่การพัฒนาการทางวัตถุ
คล้ายๆว่ามือเปื้อนก็ช่างหัวมัน ปล่อยให้มันเปื้อนก็อยากจะล้างให้สะอาดเสีย
ต้องการธรรมะกันเพียงเท่านี้เท่านั้น
ความเป็นไปในทางจริยธรรมและศีลธรรมของมนุษย์ ก็จะดีกว่านี้มาก เดี๋ยวนี้ไม่เป็นอย่างนั้น ส่วนมากชอบทำตามๆกันไป เป็นเรื่องเห่อทำนองเดียวกับเด้กๆ
เช่นเรื่องเห่อสวมแว่นตาดำในเมื่อตาก็ไม่ต้องใช้แว่นตาดำ สวมแว่นตาดำกันแม้ในเวลาค่ำคืน นี่เรียกว่าเห่อแว่นตา บางคนก็เห่อธรรมะ พอรู้ว่าที่ไหนมีอะไรแปลกหรือว่าเขาโฆษณากันว่าดี ก็ไปพลอยทำกับเขาด้วย ดูมันเป็นเกียรติหรือมันเก๋ดี คนหนุ่มบ้านนอกชาวนาเห่อซื้อปากกาหมึกซึมเอาไปเสียบที่กระเป๋าโดยไม่เคยเขียนเลยก็มี เห่อนาฬิกาข้อมือซึ่งไม่ต้องใช้เลย เพียงแต่ให้ได้ใส่ก็พอใจแล้ว ไม่ได้มุ่งหมายหาประโยชน์อันแท้จริงของสิ่งนั้น แต่ว่าทำไปตามความเห่อ
แม้ในหมู่พุทธบริษัทก็เห่อวิปัสสนาเห่อคารม เห่อซุ่มเสียง
เห่ออะไรก็ตาม
ผลมันจึงได้เพียงแค่ทำตามที่เห่อๆ ไม่ได้เข้าถึงธรรมะกันเลย
พวกเราคนแก่ก็ถือศาสนาไปตามขนบธรรมเนียมประเพณี
เพราะว่าปู่ย่าตายายถือกันมา
บางทีก็เพราะกลัวตายหรือกลัวเรื่องหลังจากตายแล้ว
เช่นกลัวยมพระบาลจะจับไปลงโทษอย่างนั้นอย่างนี้
จึงอุตส่าห์เข้าวัดเข้าวาพอเป็นเครื่องอ้างกับยมพระบาล บางคนถือศาสนาเพื่อค้ากำไรเกินควร
คือทำบุญหน่อยหนึ่งแล้วอธิษฐานเอาวิมานหลังหนึ่ง ทำบุญเพื่อแลกสวรรค์หรือต้องการให้เป็นคนมีโชคดี อย่างนี้ก็มีอยู่มาก
ถ้าเป็นไปในลักษณะเช่นนี้แล้วย่อมเป็นการหวังได้ยากที่จะเข้าถึงตัวธรรมะที่แท้จริง เพราะมันไม่ถูกเป้าหมายของการถือศาสนา ถึงแม้ว่าคนถือศาสนาอื่นก็แบบเดียวกัน มีการเล่นตลกกับพระเป็นเจ้าของตน แล้วจะให้ศาสนาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร
คุ้มครองให้ประสบสันติภาพที่ถาวรได้อย่างไร แม้แต่สันติภาพชั่วขณะก็ไม่ได้เสียแล้ว เป็นเพราะว่าการถือศาสนาของมนุษย์ในโลก ไม่ได้ถืออย่างดีหรือสมาทานอย่างถูกต้อง ตามความหมายของศาสนานั่นเอง ถ้ามีการกระทำในข้อนี้ถูกต้องไม่บกพร่องเมื่อไร เมื่อนั้นกด็จะได้รับประโยชน์จากศาสนาของตนๆ
เพราะทุกศาสนาก็ล้วนแต่สามารถที่จะทำให้โลกนี้เป็นโลกของพระศรีอารย์ได้ด้วยกันทั้งนั้น
ทุกศาสนามีความหวังที่จะทำให้โลกนี้เป็นโลกพระศรีอารย์ แต่ว่ามีชื่อเรียกต่างๆกัน
ต่างมุ่งหวังภาวะที่น่าชื่นใจที่สุด
แต่แล้วก็ยังไม่เห็นมีวี่แวว แต่ถ้าคนถือศาสนาของตนให้ถูกเรื่องถูกราวจริงๆเท่านั้น
โลกของพระศรีอารย์ก็จะเกิดขึ้นที่นี่ เดี๋ยวนี้และทันที และถ้ายังไม่เกิดขึ้นทั่วไปสำหรับคนอื่น
ก็จะเกิดขึ้นแก่บุคคลที่ปฏิบัตินั้นเป็นส่วนตัวทันที ฉะนั้น
เราควรจะปรับปรุงวิธีการถือศาสนากันเสียใหม่
สิ่งต่างๆย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อย เปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัย ถึงแม้สิ่งที่เรียกว่าศาสนาก็เหมือนกัน
ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องมีหลักเกณฑ์สำหรับจับให้ได้เหตุให้ได้ผล
ให้ได้ตัวแท้ของศาสนาแม้ในด้านศิลปะ ด้านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี
หรืออะไรต่างๆก็ดี ย่อมจะมีแนวที่ดำเนินมา
คือตั้งแต่ยุคแรกเกิดมาเป็นต้นมาถึงยุคปัจจุบันอย่างน้อยก้หกระยะ
ซึ่งจะต้องทำความเข้าใจกันเสียก่อน มิฉะนั้น
จะไม่มีทางวินิจฉัยว่าอะไรเป็นของแท้หรือของเทียม ขอยกเอาเรื่องความเป็นมาของพุทธศาสนา
เป็นตัวอย่าง เราจะต้องรู้ว่าต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนาแท้ เมื่อ 2,500
กว่าปีมาแล้ว เมื่อพระพุทธเจ้ายังอยู่นั้นมันอยู่อย่างไร มันเกิดขึ้นมาอย่างไรในลักษณะเช่นไร นั้นเรียกว่าต้นกำเนิด
เราต้องศึกษาให้เข้าใจหรือจับหลักจับใจความสำคัญให้ได้ นี่เป็นระยะที่หนึ่ง
ต่อมาก็ถึงระยะแห่งความคลี่คลายในตัวของมันเอง
เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะไม่มีความคลี่คลายในตัวมันเอง
ไม่ว่าในทางรูปธรรมวัตถุธรรมหรือทางนามธรรมทางจิตใจ ทั้งนี้ก็เป็นไปตามธรรมชาติ
สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านได้วางหลักเดิมไว้อย่างไร
สืบต่อมาก็มีอาการที่เรียกว่าคลี่คลายไปในตัวมันเอง โดยอาศัยเวลา
สถานที่และสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เจตนาของผู้ใด
เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาจึงเปลี่ยนรูปไปเรื่อยๆ
ระยะที่
3 ก็คือ การดัดแปลงเอาตามใจชอบของผู้ที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา
คือเจ้าหน้าที่ผู้สืบอายุพระพุทธศาสนานั่นเอง เริ่มดัดแปลงในประเทศอินเดียเอง
แล้วก็ระบาดไปถึงประเทศมองโกเลีย ธิเบต จีน ญี่ปุ่น กลายเป็นลัทธิมหายาน แม้ในประเทศพม่า ลังกา
เขมร ไทย การดัดแปลงก็ยังมีอยู่เรื่อยๆ พุทธศาสนาจึงเปลี่ยนรูปไปเพราะการดัดแปลงก็ยังมีอยู่เรื่อยๆ
พุทธศาสนาจึงเปลี่ยนรูปไปเพราะการดัดแปลงซึ่งบางทีเขาเห็นเป็นว่าเป็นความจำเป็นที่ต้องดัดแปลง
เพื่อให้ศาสนาคงอยู่ได้บ้าง เช่น เพื่อต่อสู้กับศาสนาอื่น จูงใจคนของศาสนาอื่น
ฉะนั้น จึงมีการอธิบายความหมายใหม่ มีการร้อยกรองใหม่ เช่น คัมภีร์พระอภิธรรม
เป็นพุทธศาสนาดัดแปลง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ.ประมาณ 500-600
ในยุคนาลันทามหาวิทยาลัย เป็นต้น
ทีนี้ถึงระยะที่
4 ที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นสมัยที่พระพุทธศาสนาถุกย่ำยีจะล่มจม หรือว่าพุทธศาสนาจะออกไปจากประเทศอินเดียไปสู่ธิเบตไปสู่มองโกเลีย
ฯลฯ ในระยะที่กำลังเป็นการถ่ายทอดนี้ ก็ต้องพุทธศาสนาอีกรูปหนึ่งเหมือนกัน
พุทธศาสนาในมองโกเลียไม่เหมือนกับในอินเดีย
และไม่เหมือนกับในธิเบต เราจะถือว่าพุทธศาสนาในประเทศนั้นเป็นพุทธศาสนาแบบถ่ายทอดก็ได้
พุทธศาสนาในยุคที่ถุกศาสนาฮินดูเบียดเบียน
หรือในยุคที่ชาวมุสลิมย่ำยีถึงกับแทบจะไม่เหลือซากอยู่เลยในอินเดีย
พุทธศาสนาก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ใครไปรับมาตอนนั้น มันก็ได้พุทธศาสนาแบบนั้น
พุทธศาสนา
เมื่อได้ออกไปถึงประเทศนั้นๆแล้ว
ก็ยังถูกอำนาจหรือบางอย่างในประเทศนั้นๆ ครอบงำอีก มันก็ต้องเปลี่ยนรูปไปบ้างทั้งในด้านหลักธรรม
วัตถุธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี
หรือตัวเจ้าหน้าที่ผู้สืบอายุพระศาสนา คือพระภิกษุ
เช่นเมื่อตอนที่พระพุทธศาสนาไปถึงประเทศจีนอยู่ก่อนแล้ว ทำให้คนฉลาดหัวแหลมอย่างยิ่ง
เมื่อพระพุทธศาสนนาไปถูกอิทธิพลอย่างนั้นเข้า ก็ต้องมีการรับเอาของใหม่
มีการดัดแปลงของเดิม
มีการตบแต่งเสียใหม่ให้เข้ากับอิทธิพลและสิ่งแวดล้อมจึงมีการอธิบายพุทธศาสนาใหม่ด้วยคำพูดที่คมคาย
ให้ทันกันกับลัทธิเล่าจื้อ เป็นต้น ที่เป็นทางวัตถุหรือทางบุคคลนั้น
เราจะเห็นได้ง่าย เช่น ว่าเมื่อพระพุทธศาสนาถึงประเทสไทย อิทธิพลของราชสำนักตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมา
ได้เข้าไปครอบงำสิ่งต่างๆในพุทธศาสนา พุทธศาสนาก็ต้องถูกดัดแปลงไปบ้าง เช่น
ถ้อยคำที่ใช้พูดกัน หรือการเป็นอยู่ของพระสงฆ์ มีการแต่งตั้งภิกุให้เป็นพระราชาคณะแปลว่าคณะของพระราชา
เมื่อเป็นพระสงฆ์ในคณะของพระราชาแปลว่าคณะของพระราชา
เมื่อเป็นพระสงฆ์ในคณะของพระราชาขึ้นมาแล้วอย่างนี้พระสงฆ์จะอยู่ในรูปเดิมได้อย่างไร
เพราะพระสงฆ์กลายเป็นผู้ถุกแต่งตั้งและถุกถอดโดยพระราชา
พระภิกษุจึงเปลี่ยนแปลงไปผิดไปจากภิกษุในสมัยพุทธกาล
ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นพุทธศาสนาระยะที่ 5
พระพุทธศาสนาในระยะที่
6 ยังถูกครอบงำโดยประเพณีต่างๆของท้องถิ่น
เช่นทุกวันนี้เรามีโบสถ์วิหารวัดวาอารามชนิดที่ไม่เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านมี
พระพุทธเจ้าท่านอยู่กุฏิเล็กๆ ไม่มีเครื่องตบแต่งแต่อย่างใด
มีความเป็นอยู่ผิดไปจากภิกษุสมัยนี้ ท่านจึงไม่มีปัญหายุ่งยากมากมายหลายประการ
ไม่เหมือนกับพวกเราเลยจนนิดเดียว พระพุทธศาสนาถูกอิทธิพลโดยสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงมากจึงเปลี่ยนรูป
เปลี่ยนปรากฏการณ์ไป แม้ว่าสัจจธรรมเป็นสิ่งที่ใครเปลี่ยนไม่ได้
แต่ว่าปรากฏการณ์ต่างๆที่เนื่องเกี่ยวกับธรรมะอันเราเรียกกันว่าศาสนานั้น ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างยิ่ง
ทีนี้อย่างไรเล่า
ที่จะเป็นธรรมะหรือเป็นศาสนาอันเราควรหยิบมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตจิตใจของเรา
อย่างชื่นอกชื่นใจเพราะดับทุกข์ได้ พุทธศาสนาแบบเดิมแท้ ก็เหลือวิสัยที่คนธรรมดาจะไปจับไปฉวยเอามาได้
คืออยู่ในอินเดียตั้งสองพันกว่าปีมาแล้ว พุทธศาสนาอย่างอื่นๆ
มันก็รวนเรเรื่อยมาตามลำดับ ยิ่งพวกสุดท้ายด้วยแล้วละก็ ยิ่งไปกันใหญ่ใช้ไม่ได้เลย
นี่เป็นปัญหาที่เราจะต้องวินิจฉัยกันในยุคนี้
เพื่อตัวเราเองและเพื่อประเทศชาติของเรา
ดังนั้นขอให้พิจารณาลักษณะของพุทธศาสนาทั้ง 6 แบบดังกล่าวมาแล้ว และจะต้องสนใจในแง่ท่จะนำพุทธศาสนามาใช้กับชีวิตประจำวันของเราให้มากที่สุด
อย่าไปนึกว่าขึ้นรชื่อว่าเป็นพุทธศาสนาแล้ว จะใช้ได้เสมอไป
เพราะว่าแม้ระเบียบปฏิบัติจะเฉไปมาก หรือแทบจะกลืนไม่ลง
คนเขาก็ยังเรียกเป็นพุทธศาสนาอยู่นั่นเอง ฉะนั้นขอให้เราสนใจเรื่องนี้กันให้มากหน่อย
ระมัดระวังให้มากหน่อย เราต้องรู้จักแยกเพชรออกมาจากหิน
เพื่อที่จะเอามาใช้ประโยชน์อย่างเพชรได้จริงๆ เราต้องรู้จักเจียรนัยมันด้วย
หมายความว่าต้องทำจริง เอาจริงอย่าทำสักว่าเป็นพิธีให้แล้วๆไป หรือละเลยไปเสีย
แบบมือเปื้อนก็ยังไม่ยอมล้างเช่นเวลานี้ก็ยังมีปัญหาถกเถียงกันอยู่ว่า
ควรจะสอนหลักพุทธศาสนากันในรงเรียน และในมหาวิทยาลัยหรือไม่ มันน่าขันสักเท่าไร
แทนที่จะถามกันว่า เราควรจะสอนพุทธศาสนาในคืบหน้าต่อไปได้อย่างไร
กลับมัวมาถามกันว่าเราควรจะสอนหลักพุทธศาสนาในโรงเรียนกันหรือไม่ อย่างนี้เป็นต้น
นี่ก็หมายความว่า เราไม่รู้ว่าธรรมะเป็นสิ่งจำเป็นแก่ชีวิตทุกระดับ ทุกวัย
หรือทมุกลมหายใจเข้าออกนั่นเอง เพราะเหตุนั้น
เราจึงหาครูและนักเรียนตามอุดมคติของพุทธศาสนาไม่ได้
ธรรมะมีคุณค่าอย่างมหาศาล
ธรรมะสามารถคุ้มครองคนได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชั้น ทุกอาชีพ ดังพุทธภิตที่ว่า
“ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม” จะขอยกตัวอย่างเกี่ยวกับบุคคลที่ประกอบอาชีพอย่างเช่น
ทหาร ตำรวจ ผู้พิพากษาตุลาการ ตลอดจนเพชฌฆาต ซึ่งมักจะมีปัญหาถกเถียงสงสัยกันอยู่เสมอว่า
การปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลเหล่านี้ จะเป็นบาปกรรมแก่เขาหรือไม่
เพราะลักษณะของงานย่อมจะทำให้ผู้อื่นถึงความตาย จะถือว่าเป็นบาปกรรมแก่เขาหรือไม่
เพราะลักษณะของงานย่อมจะทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
จะถือว่าเป็นบาปฐานฆ่าคนตายหรือไม่ ในเรื่องเช่นนี้ จะต้องพิจารณาว่าผู้นั้นมีธรรมะหรือไม่
หากเขาปฏิบัติการงานของเขาด้วยจิตใจประกอบไปด้วยธรรมะ
ซื่อตรงต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ทำ เขาปฏิบัติหน้าที่ของเขาไปอย่างถุกต้อง
เขามีความรู้ในธรรมะอย่างถูกต้อง มีความเข้าใจธรรมะอย่างถูกต้อง
เป็นสัมมาทิฏฐิที่แท้จริงต่อธรรมะและในการปฏิบัติหน้าที่ของเขานั้น
เขาไม่มีเจตนาอกุศลจะฆ่าคน แต่เขามีเจตนาจะผดุงธรรมะหรือผดุงความเป็นธรรม
หรือความยุติธรรมของสังคมหรือของธรรมะเอง อย่างทหาร
ถ้ายิงปืนออกไปด้วยความเกลียดชังต่อฝ่ายตรงกันข้าม
มันก็เป็นการฆ่าคนโดยเจตนาถ้าในใจของทหารผู้นั้น เต็มไปด้วยความรู้ทางธรรมที่ถูกต้องตามหลักของพระพุทธศาสนา
มีเจตนาที่จะลั่นไกปืนออกไปเพื่อผดุงความเป็นธรรมที่จะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของโลกอย่างนี้แล้ว
ก็ไม่มีเจตนาฆ่าคนอยู่ในใจของทหารนั้น
ผู้พิพากษาตุลาการก็เป็นอย่างเดียวกัน เขาต้องมีจิตใจว่างจากตัวตนของตน
กล่าวคือความไม่เห็นแก่ตัวโดยถูกต้องเสียก่อน เขาจึงจะอ่านด้วยตัวบทกฎหมายวินิจฉัยอรรถคดีลงไปว่า
ใครทำผิดตรงกับตัวบทกฎหมายวินิจฉัยอรรถคดีลงไปว่า
ใครทำผิดตรงกับตัวบทกฎหมายที่ได้ระบุไว้ ก้ประกาศความผิดและบทลงโทษออกไปอย่างนั้น
ไม่มีเจตนาจะฆ่าคน พูดถึงเพชฌฆาต ถ้าเขามีความรู้เรื่องธรรมะให้ถูกต้องจริงๆเท่านั้น
เขาจะไม่มีเจตนาฆ่าคนในการที่จะฟันคอคนลงไปหรือยิงออกไป เขาจะรู้สึกอยู่แก่ใจว่า
สิ่งนี้ต้องทำเพื่อผดุงความเป็นธรรม คือผดุงธรรมะนั่นเอง
เพื่อให้คนดีอยู่ได้ต่อไปโดยสงบสุข การฆ่าคนชั่วเขาจึงไม่มีบาปกรรมเพราะการฆ่าคน
หรือต้องตกนรกเพราะเหตุนั้น
นี่หมายความ
ถ้าธรรมะแท้เข้ามาคุ้มครองแล้ว แม้แต่ตำรวจ ทหาร ตุลาการ เพชฌฆาตที่ทำให้คนตาย
ก็ต้องไม่มีบาปและไม่ต้องตกนรก ขอให้เล็งเห็นความศักดิ์สิทธิ์ของธรรมะว่ามันคุ้มครองได้ออกมาถึงระดับนี้
มันยังคุ้มครองโลกให้สงบสุข ประสบสันติภาพอันถาวร คือไม่เบียดเบียนกัน อนึ่ง
ถึงแม้ว่าเราจะไม่ฆ่ากันเลยในโลกนี้ แต่ถ้าเราไม่มีธรรมะถึงที่สุดแล้ว
เราก็ยังจะต้องมีความหม่นหมองใจอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ในใจด้วยกันทุกคน ปัญหาเรื่องเกิดเรื่องแก่เรื่องตาย
และปัญหาเรื่องความโลภความโกรธความหลงงมงาย ซึ่งยังจะต้องเกิดขึ้นโดยไม่ยอมยกเว้นใครเลย
ถ้ามีธรรมะเพียงพอแล้ว มนุษย์ที่สดชื่นอย่างยิ่ง สมตามความหมายของการเป็นมนุษย์
ที่เราจะเกิดมาเพื่อเอาชนะสิ่งทั้งปวง
อยากจะยืนยันต่อไปว่า
ถ้าพวกเรามีธรรมะอยู่แล้ว จะป้องกันปัญหาทุกอย่างที่ไม่พึงปรารถนาได้หมด
อย่างเดี่ญวนี้โลกมีปัญหายุ่งยากเกี่ยวกับการปราบคอมมิวนิสต์ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะมันขาดธรรมะกัน
ถ้ามีธรรมะ
คอมมิวนิสต์ก็จะไม่เกิดขึ้นได้ปัญหาที่จะปราบคอมมิวนิสต์ด้วยความยากลำบากก็ไม่มี
นี่เราไม่ได้วินิจฉัยกันว่าอะไรถุกอะไรผิด
แต่วินิจฉัยกันว่าปัญหายุ่งยากเกิดขึ้นเพราะไม่มีธรรมะทั้ง 2 ฝ่าย
ถ้าหากว่าลัทธิคอมมิวนิสต์มันเกิดขึ้นมาเพราะความเห็นแก่ตัว
อย่างไม่คิดจะเอื้อเฟื้อกันระหว่างนายทุนกับกรรมกรแล้ว
ก็จะเล็งเห็นได้ว่าเพราะการขาดธรรมะเท่านั้น
ที่ทำให้นายทุนหรือคนร่ำรวยมากๆไม่เอื้อเฟื้อต่อกรรมกรและประชาชนคนยากจนส่วนมาก และกรรมกรหรือประชาชนที่ยากจนที่ไม่สันโดษตามแบบของตน
เพราะเหตุที่ขาดธณรมะเหมือนกัน ปัญหายุ่งยากในโลกจึงได้เกิดขึ้น
แต่ถ้ามีธรรมะเข้ามาอย่างเดียวเท่านั้น สิ่งยุ่งยากในทำนองนี้
ความเข้าใจกันไม่ได้นี้ก็จะไม่มี
อานุภาพหรือความศักดิ์สิทธิ์ของธรรมะมีมากอย่างนี้ ฉะนั้นมนุษย์จึงควรต้องการธรรมะอย่างยิ่ง
คำขวัญสำหรับประชาชนจึงควรจะมีคำว่า “ธรรมะ” เป็นอุดมคติ
หรืออาจจะขยายออกไปเป็นคำว่า ความดี ความงาม ความจริง ความยุติธรรม ความสงบ
คือยอดปรารถนาของพวกเรา ก็จะถูกต้องมากกว่า
คนจะได้หมดความเห็นแก่ตัวจัด อันเป็นทางทำให้ถึงธรรมะ แล้วลัทธิคอมมิวนิสต์ก็คงไม่เกิดขึ้น
ที่ว่า
“ความดี” ในที่นี้ต้องดีจริงๆ
ไม่ใช่เอาคนชั่วมาสวมหัวโขนให้เป็นคนดี
เหมือนอย่างที่นิยมหรือกำลังยกยอกันอยู่ในโลกเดี๋ยวนี้ ถ้าพูดถึง “ความงาม”
ก็ไม่มีอะไรจะงามยิ่งไปกว่าธรรมะ งามรูปก็ดี งามทรัพย์ก็ดี งามวิชาความรู้ วิทยฐานะสูง
ตำแหน่งสูงก็ดี มันยังไม่งามเท่ากับงามด้วยอำนาจของธรรมะ
คนยังร้องไห้น้ำตาไหลเพราะงามรูป งามทรัพย์ วิทยฐานะงาม กินอยู่งาม
แต่คนไม่ต้องร้องไห้เพราะการมีธรรมะงาม ชาวพุทธจึงควรสนใจแต่ความงามทางศีลธรรม
ไม่ว่าของคนหรือของใครๆ “ความจริง” ก็มหายถึงกฏแห่งความจริงที่เป็นไปตามความจริง
โดยไม่ต้องอาศัยใครหรือสิ่งอันใด เรารู้จักสิ่งที่จริงแท้ที่จะประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องไปตามความจริง
ตามลำพังของเราเอง ส่วน “ความยุติธรรม” นั้น เมื่อเกิดปัญหาขึ้นระหว่าง 2 ฝ่ายแล้ว
จะไปหวังความยุติธรรมแท้จริงได้ยาก ถ้าเป็นเรื่องของโลกด
จะได้ความยุติธรรมก็เพียงแบบโลกๆ มันยุติธรรมจริงๆไปไม่ค่อยได้
คนมีอำนาจก็เอาอำนาจบาตใหญ่หรือเอาเปรียบเข้าข่ม มีเงินก็เอาเงินเข้าข่ม
และถือว่ายุติธรรมแล้ว แม้เรื่องระหว่างชาติระหว่างประเทศ
มันก็ยังยุติธรรมไปไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องทางโลก ต้องเป็นเรื่องทางธรรมเท่านั้น
จึงจะมีความยุติธรรมจริง เราผู้อยู่ในโลกจะต้องเข้าใจเรื่องนี้ จะได้ไม่เสียใจ
สำหรับ
“ความสงบ” นั้น ไม่มีความสงบจริงอย่างไหนจะเกิดได้นอกจากอาศัยธรรมะ นอกนั้นเป็นความสงบหลอกๆบ้าง
เป็นความสงบชั่วคราวบ้าง ไม่น่าไว้วางใจเลย ฉะนั้น ความดี ความงาม ความจริง
ความยุติธรรม และความสงบ ที่รวมอยู่ในคำว่า “ธรรมะ” นั้น จึงเป็นยอดปรารถนาของพวกเรา
เราควรถือคำขวัญเหล่านี้
เพื่อเป็นเครื่องช่วยให้เราเดินไปตามทางของธรรมะได้ง่ายขึ้น
หรือโดยไม่รู้สึกตัวก็ได้ “ความดี
ความงาม ความยุติธรรม ความสงบ คือความปรารถนาของพวกเราไม่มีสิ่งอื่นที่เป็นยอดปรารถนาของเราเท่ากับสิ่งเหล่านี้” ถึงแม้คำขวัญของรัฐบาลที่ชักชวนเรื่อง
“งานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข” นี้ก็เหมือนกัน ถ้าใครเข้าใจถูก จึงจะเป็นคุณ
เข้าใจผิดจะเป็นโทษอย่างมหันต์ จะกลายเป็นคนเห็นแก่เงินจัด ถ้าเข้าใจถุกก็หมายความว่างานนั้นต้องถูกควบคุมอยู่ด้วยธรรมะ
และเงินก็ถุกควบคุมอยู่ด้วยธรรมะ มันจึงเป็นงานดีเงินดี
ถ้างานไม่ถูกควบคุมอยู่ด้วยธรรมะแล้ว
มันจะเป็นงานที่สกปรกลามกถึงขนาดไหน ท่านก็ลองนึกเอาเองเอง เงินก็เหมือนกัน
ถ้าไม่ใช่เงินที่ได้มาโดยชอบธรรมแล้ว มันเป็นเงินชั่วเงินทราม
ทำให้เจ้าของกลายเป็นภูตผีปีศาจร้าย ตัวเองหรือลูกหลานนำไปกินไปใช้มันเข้า
มันก็หล่อเลี้ยงความเป็นภูตผีปีศาจมากขึ้นอีก มันเป็นได้ถึงอย่างนี้
ฉะนั้น
ถ้าจะให้เป็นคำขวัญ ที่นำความเจริญมาสู่ประเทศชาติแล้ว อุดมคติจะต้องอยู่ที่ธรรมะ
มุ่งตรงที่ธรรมะเพื่อความเป็นธรรมเสมอไป
ขอให้พุทธบริษัททั้งหลายจงสนใจธรรมะ
เอาธรรมะเป็นแก่นสารของสิ่งทุกอย่าง ถ้าเราหวังจะช่วยพวกเราอย่างจริงใจให้รอดจากความทุกข์
แล้วก็ต้องมีอุดมคติอย่างว่า ถ้าผิดไปจากนี้แล้ว งานก็ตามเงินก็ตาม ชื่อเสียงเกียรติยศหรืออะไรก็ตาม
มันจะสกปรกและเป็นทางวัตถุนิยมจัดไปหมดไม่เป็นไปในทางธรรมะเลย ที่เรากลัวคอมมิวนิสต์
ก็เพราะเรากลัวความเป็นวัตถุนิยมจัดของเขานั่นเอง แล้วทีของเราบ้างเล่า
ทำไมไม่ระวังคำขวัญของเราว่ามันจะก่อให้เกิดเชื้อโรคอย่างนี้ขึ้นมาเอง เพราะว่าถ้าพวกเราไปหลงทางวัตถุจัด ไม่เห็นแก่ธรรมะแล้ว
เชื้อของคอมมิวนิสต์แบบใหม่จะเกิดขึ้นในจิตใจของพวกเราโดยไม่ต้องรับมาจากภายนอก
นั่นแหละคือตามตั้งต้นหันหลังให้แก่ศาสนา โดยไม่ต้องมีใครชักชวนหรือบังคับ
เรานี่แหละจะหันหลังให้แก่ศาสนา และทำลายศาสนาของตัวเองมากยิ่งขึ้นทุกที
มันกำลังเป็นภัยที่ร้ายกาจ จะกลายเป็นคอมมิวนิสต์ที่ยิ่งไปกว่าคอมมิวนิสต์ก็ได้
ฉะนั้น ขอให้เอาธรรมะเป็นหลักป้องกันตัวเราและประเทศชาติของเรา
หรือทั้งโลกให้ปลอดภัยจากสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาทุกประการ ภัยที่น่ากลัวอย่างยิ่งนั้น
ไม่มีเพียงคอมมิวนิสต์ มันอาจจะมีอะไรที่น่ากลัวเกิดขึ้นกว่านี้ก็ได้
มันเป็นเพราะพวกเราไม่มีธรรมะนั่นเอง
เพราะฉะนั้น
ธรรมจะป้องกันได้ทุกอย่าง เราจึงควรจะระลึกถึงธรรมะอยู่เป็นประจำ
อยู่ทุกฃมหายใจเข้าออก จะวิเศษที่สุด
เรามีทางที่จะทำเช่นนั้นได้ในเมื่อเราศึกษาธรรมะมากเพียงพอ ถ้าเราไม่ศึกษาเพียงพอแล้ว
เราจะไม่อยู่ในทำนองคลองธรรมจะชุลมุนวุ่นวาย แต่ถ้าเราศึกษาธรรมเพียงพอ
แม้แต่ขณะที่มีการยุ่งยาก เราก็จะปฏิบัติงานสำเร็จลงได้ด้วยความเรียบร้อย
เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย เพราะจิตว่างจากความรู้สึกเห็นแก่ตัวของเรา เมื่อมีจิตว่างจากความเห็นแก่ตัวแล้ว นั่นแหละคือมีธรรมะกันละ มักจะมีสติปัญญาเกิดขึ้น แล้วก็ทำอะไรไปได้โดยถูกต้องและสนุกกสนานดี พอเกิดความรู้สึกเห็นแก่ตัวขึ้นมาเท่านั้น มันจะเปลี่ยนแปลงไหปทันที จะลืมศีลธรรม
กลายเป็นภูตผีปีศาจที่หิวกระหายดื่มกินเท่าใดก็ไม่รู้จักพอ แต่ถ้ามีธรรมะแล้ว ถึงจะมีการพัฒนาดูที่สกปรกกันละก้อ ผู้ปฏิบัติงานจะต้องมีธรรมะอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็จะดีแต่ยุคนอื่นให้โกย ตัวเองหาลงโกยไม่
เดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างไร
ของให้เราคิดดู
วันหนึ่งคืนหนึ่งเรานึกถึงธรรมะกันกีมากี่น้อย ในวันหนึ่งเราไม่ได้นึกถึงธรรมะเลยก้ได้ บางทีสัปดาห์หนึ่ง เดือนหนึ่งบปีหนึ่งก็ยังมี
ชาวบ้านนอกพอเห็นพระปลงผมในวันโกน เขาก็รู้ว่าวันรุ่งขึ้นจะเป็นวันพระ
แล้วก็เตรียมอะไรต่างๆที่จะทำให้สมกับที่เป็นวันพระ
เลิกละสิ่งบาปมาบำเพ็ญบุญในวันพระ
ให้มีความสะอาด สว่าง สงบ อย่างนี้มันก็น่าชื่นใจ ถ้าจะใช้ศีรษะของพระเป็นปฏิทินอย่างนี้ พวกพระก็ยินดีจะอุทิศให้โดยโกนผมทุก 7 วัน
ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตไว้ว่า 2 เดือนจะโกนครั้งหนึ่งก็ได้
ลองคิดดูอีกที ว่าวันหนึ่งท่านไปที่อ่างล้างหน้า
เพื่อล้างมือล้างหน้าวันหนึ่งสักกี่ครั้ง
ยิ่งคนที่ยึดถือในเรื่องความสวยงามแล้ว คงจะไปที่อ่างล้างหน้าล้างมื
ไปที่กระจกหหวีหัวแต่งตัววันละหลายๆครั้ง
แต่แล้วท่านมีจิตใจส่งไปยังธรรมะวันหนึ่งกี่ครั้ง
ถ้าเราคิดถึงธรรมะวันหนึ่งหลายๆหน
พวกเราจะดีกว่านี้มาก เรื่องนี้ต้องขอชมเชยชาวอิสลาม ที่ว่าอย่างน้อยเขาก็มีการไหว้พระวันหนึ่ง
5 ครั้ง คือถึงเวลานั้นแล้ว เขาจะต้องเข้าอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า มีจิตใจจดจ่อกับพระเป็นเจ้า ระลึกถึงพระเป็นเจ้า ลืมโลก ลืมสิ่งต่างๆ
ลืมตัวเอง ลืมการงานอะไรหมด
มีจิตใจอยู่กับพระเป็นเจ้า 5-10 นาที แล้วแต่เขาจะทำได้ นั่นแหละ
มันเป็นเครื่องรับประกันว่าพระเป็นเจ้าจะมาคุ้มครอง
เพราะชั่วเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่ทำอย่างอื่นอีกเขาก็คงไม่เผลอตัวมากเกินไป ถ้าเขาไม่เคยนึกถึงพระผู้เป็นเจ้าเป็นวันๆ เป็นสัปดาห์ๆ
เป็นเดือนๆ แล้ว มันจะเอียงๆไป
แล้วในที่สุดก็หล่นโครมจมลงไปเลย
โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมหรือยุติธรรม
ฉะนั้น ขอให้นึกถึงธรรมะอย่างน้อยก็เท่ากับจำนวนครั้งที่ท่านไปที่อ่างล้างหน้าล่างมือหรือที่กระจกส่องหน้า
นี่จะเป็นความปลอดภัยแก่ตัวเองและแก่ประเทศชาติ ดีกว่าจะไปสนใจพัฒนาสิ่งอื่นๆโดยมิได้พัฒนาจิตใจของคนผู้ปฏิบัติงานเสียก่อน ธรรมะจะคุ้มครองเราต่อเมื่อเราหันหน้าเข้าหาธรรมะ
และเราจะต้องคอยซ้อมความเข้าใจกันไม่ให้ลืมศีลธรรมอยู่เป็นประจำ รัฐบาลขอร้องให้ประชาชนประหยัด
และให้เร่งมือในการพัฒนา แต่ก็ไม่สามารถประหยัดหรือไม่สามารถพัฒนาได้ เหตุมันอยู่ที่ตรงไหน? อาตมากล่าวยืนยันลงไปเดี๋ยวนี้และที่นี่
ว่ามันอยู่ตรงที่การไม่มีธรรมะ
เพราะไม่เอาธรรมะเข้ามาเจืออยู่ในการประหยัดหรือการพัฒนา
เพราะคนไม่นึกถึงธรรมะจนไม่มีจิตในเป็นธรรมะ ไม่มีเนื้อตัวที่เป็นธรรมะ
การประหยัดและการพัฒนาจึงเป็นสิ่งที่น่าเอือมระอาไปหมด
แต่ถ้าคนมีธรรมะไม่เห็นแก่ตัวกันจัดด้วยอำนาจของความโลภ หรือกิเลสตัณหาอุปทานแล้วเขาจะยิ่งชอบประหยัดและพัฒนา โดยไม่ต้องมีใครมาชักชวน
เพราะสติปัญญามันจะชักนำให้มุ่งไปอย่างนั้นอยู่แล้วในตัวมันเอง การที่เราประหยัดไม่ได้ละทิ้งของชั่วก็ไม่ได้ เพราะมันขาดธรรมะ
แม้เป็นธรรมะที่ตื้นที่สุด
เราก็ยังมีในจิตใจไม่ได้
แล้วจะไปมีธรรมะที่ละเอียด
ที่จะละความโกรธความหลงงมงายได้อย่างไรกัน
อบายมุขต่างๆ เช่นเรื่องสุรานารีพาชีกีฬาบัตรหรืออื่นๆอีกทั้งหมดนั้น
เราก็ยังละไม่ได้
บรรเทาให้น้อยลงก็ไม่ได้
ทั้งนี้เพราะมันขาดธรรมะนั่นเอง
ส่วนการสร้างสรรค์หรือการพัฒนานั้น มันเป็นเรื่องของบุคคลที่มีจิตใจเป็นธรรมะ ถ้าจิตใจไม่มีธรรมะแล้ว มันก็คอยจ้องที่จะเอาเปรียบกัน กอบโกยเอาประโยชน์เข้าตัวฝ่ายเดียว
การทำขนม คนที่จะหาฟืนหาน้ำตำแป้งกวนขนมนี้ มันหายาก
แต่คนที่พร้อมจะกินให้มากๆนั้น มันมีอยู่เสมอ
ฉะนั้น การพัฒนาคูคลองถนนหนทางวัดวาอารามต่างๆนั้น มันก็ทำนองเดียวกัน คนที่คอยจ้องจะเอาประโยชน์
จะใช้สิ่งเหล่านั้น มันมีอยู่ 99.9% เรื่องมันเป็นอย่างนี้ แล้วจะใช้ความสนุกสนานเฮฮาไปล่อเขามาทำ หรือเอาเกียรติไปล่อให้เขาช่วยพัฒนานี้
มันได้ชั่วครู่ชั่วยามและลงท้ายก้เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าอาศัยธรรมะเข้ามาช่วยแล้ว
มันพัฒนาได้เราจะเห็นได้ว่าปู่ย่าตายายของเรา
ท่านสร้างวัดวาอารามกันขึ้นได้ด้วยการใช้เงินน้อยที่สุด เพราะทุกคนมีศรัทธา
มีธรรมะพร้อมที่จะร่วมมือร่วมใจกัน
ช่วยกันทำงานด้วยจิตที่เป็นธรรมะ
มิได้หวังที่จะคอยหาทางกอบโกยเงินทองให้ตัวเองร่ำรวยจนล้นเหลือฝ่ายเดียว
ถ้าเราไปดูถ้ำ
อยันตะ ที่อินเดีย
เราจะรู้สึกว่าแทบจะเหลือวิสัยมนุษย์จะทำได้ คือสลักภูเขาให้เป็นโบสถ์วิหาร
เป็นอะไรต่ออะไรไปในเนื้อภุเขา ตั้ง 29 ถ้ำ แต่ละถ้ำลึกหลายสิบฟุต สูงหลายสิบฟุต
ในนั้นสวยเหมือนท้องพระโรงกษัตริย์ที่สลักเป็นหินมีภาพเขียนงดงาม มีอะไรต่างๆตั้ง
1200 ปีมาแล้ว
พิสูจน์หรือค้นคว้าอย่างไรมันก็ไม่มีเรื่องราวว่าเขาทำด้วยแรงดาบหรือแรงหวาย แต่ว่าเขาทำด้วยแรงศรัทธาแรงของธรรมะ
ธรรมะนี่แหละจะอบรมช่วยให้คนเกิดความรู้สึกที่จะพัฒนาขึ้นมาเอง แล้วจะวิ่งไปทำด้วยเรี่ยวด้วยแรง ด้วยทุนด้วยรอน ด้วยเครื่องมือเครื่องใช้ของตนเอง ถ้าเรามีหลักในการยึดถือธรรมะอย่างนี้แล้ว การสร้างชาติให้สวยสดงดงามนั้น
มันก็จะเป็นไปได้ง่ายเหมือนกับปอกกล้วยเข้าปาก แต่เวลานี้มันไม่เป็นอย่างนั้น ความเห็นแก่ตัวความโลภและวัตถุนิยมได้บดขยี้คนเสียแหลกละเอียด จนไม่มีจิตใจเหลืออยู่สำหรับจะรองรับธรรมะ อะไรๆก็เพื่อเงิน อะไรๆก็เพื่อเงิน
มันจึงต้องเดือดร้อนระส่ำระสาย หรือถึงกับอาจล่มจมลงในที่สุด อย่างเรื่องในมูลบทบรรพกิจ ที่พาราสาวัตถีต้องล่มจมไปเพราะว่าคนเกลียดธรรมะ
หันหลังให้ธรรมะ ถึงขนาดที่เรียกว่า “ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าหอล่อกามา”
คนที่เคยอ่านหนังสือมูลบทบรรพกิจคงได้ยินได้ฟังเรื่องนี้มาบ้าง โดยเฉพาะคำกลอนที่ว่า “ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ”
ก็อธิบายอยู่ในตัวของมันเองแล้วว่า ทุกค่ำเช้า
ก็มัวแต่บำรุงบำเรอตาหูจมูกลิ้นกายใจ “เฝ้าแต่หอล่อกามา”
คือเข้าไปในสถานที่จัดไว้สำหรับหาความเพลิดเพลินทางกามราคะเป็นประจำ นี่อย่างนี้แล้วมันจะประหยัดได้อย่างไร
จะพัฒนาได้อย่างไร
จะต้องระวังเป็นพิเศษอย่างยิ่งด้วยว่า
การที่มีวิทยุกระจายเสียงขึ้นหลายสิบสถานีในประเทศไทยนี้ 95%
ของเพลงที่ส่งออกไปนั้น เป็นเพลงชนิดยั่วยวนกันทั้งนั้น จนเหลือที่คนมีศีลธรรมะจะเปิดฟังได้
นี่ก็คือ “ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ” เหมือนกัน
คนหนุ่มๆสาวๆบ้านนอกเดี๋ยวนี้ ทำไร่ทำนาด้วยเหงื่อไหลไคลย้อย
รวบรวมเงินได้ก็ต้องซื้อวิทยุก่อนสิ่งทั้งหมด
วิทยุเลยขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เป็นการประหยัดกันหรือเปล่า
วิทยุได้ช่วยให้เกิดอาการที่เรียกว่า “ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ”
ซึ่งผู้มีอำนาจมีอิทธิพลควรจะพิจารณาแก้ไขเรื่องนี้เสียก่อนที่มันจะเป็นพิษมากเกินไป
ก็จะเป็นบุญกุศลของพระพุทธศาสนาและของคนไทย
สิ่งที่ส่งออกไปทางวิทยุนั้นมันควรจะมีสิ่งที่ให้เกิดความเข้าใจถุกต้องในชีวิต
ในการงาน ในการประหยัด ในการพัฒนา มากกว่าจะเอาเพลงชนิดที่เหมาะกับโสเภณีปะเลาะผู้ชายหรือผู้ชายปะเลาะโสเภณีอย่างนี้
มาส่งกันตั้งหลายสิบเปอร์เซ็นต์ของรายการ
นี่เรากำลังจะเป็น “พาราสาวัตถี ไม่มีใครปราณีใคร”
นี่คือผลของการตกเป็นทาสของวัตถุนิยม ขอให้พวกพุทธบริษัททุกคนช่วยกันต้านทานในเรื่องนี้
อย่าไปเอาใจสนับสนุน
ได้เคยเห็นนักเรียนบางคนทำการบ้านไปพลางแล้วก้ฟังเพลงวิทยุชนิดนี้ไปพลาง
นี่มันจะเป็นคุณหรือเป็นโทษ จะได้ผลการเล่าเรียนอย่างไร
มันมีแต่จะนำเชื้อโรคที่ร้ายกาจเข้ามาสู่จิตใจอย่างที่ตัวเองไม่สามารถจะแก้ไข
การที่เราไม่รู้จักดใช้อำนาจหรือกำลังของธรรมะมาช่วยเรานี้
มันทำให้เราประหยัดก็ไม่ได้ พัฒนาก็ไม่ได้
แล้วยังจะเป็นการทำลายให้หมดเปลืองไปเสียอีก
สมมติว่ารัฐบาลจะประหยัดเงินได้ปีละพันล้านบาท แต่มันไม่คุ้มกับที่เรื่อง
“ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ” ที่ทำสุรุ่ยสุร่ายไปเพราะมันเปลืองอะไรต่างๆทุกอย่างทุกประการ แต่ที่เปลืองมากที่สุดก็คือ เปลืองชีวิตจิตใจของประชาชฃนของประเทศชาตินั่นเอง ชีวิตจิตใจเป็นสิ่งที่เปลืองได้
คือมันเป็นไปในทางต่ำ ไม่เป็นไปในทางที่สูง จิตใจที่จะคิดไปในทางดีทางสูงนั้น
มันเหลือน้อยลงมา
นี่ถ้าตีราคาเป็นเงินเป็นทองแล้ว
คนหนึ่งต้องตีเป็นล้านๆ แล้วคนตั้ง 25 ล้านคน ไปมัว “ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ”
หรือมุ่งวัตถุนิยมกันหมด รัฐบาลประหยัดเงินได้ปีละพันล้านบาท
ก็ยังไม่คุ้มกันกับความรั่วไหลที่มองไม่เห็นตัว
มันเลยกลายเป็นเรื่อวงที่น่าหัวเราะ อย่างสุภาษิตที่ว่า “ถี่รอดตาช้าง
ห่างรอดตาเร็น” ฉะนั้น ถ้าจะรักตัวเรา รักประเทศชาติ รักศาสนาแล้ว
ก็จงช่วยกันขจัดสิ่งที่เป็นบ่อเกิดของวัตถุนิยมจัดนี้ออกไปเสียแล้ว
เอาธรรมนิยมมาใช้เป็นกำลังอันมหาศาล
ที่จะบันดาลให้สิ่งที่เราปรารถนานั้นเป็นไปอย่างดี ประหยัดก็ได้ พัฒนาก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นคนชาวไร่ชาวสวน
ไม่มีใครอยากจะเป็นดอก เขาต้องการจะเป็นข้าราชการ มีตำแหน่งสูงๆ
เพื่อหาช่องทางร่ำรวยอย่างที่คนเราเคยรวยกันมา แม้กระทรวงศึกษาธิการจะมีอีกสัก 10
กระทรวง ก็ไม่สามารถแก้ปัยหาเรื่องไม่มีที่เรียนได้
เพราะชาวนาชาวไร่เกลียดการทำนาทำไร่
มันเหน็ดเหนื่อยและไม่ร่ำรวยรวดเร็วอย่างข้าราชการ แต่ถ้าเขามีความสันโดษเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จะแก้ปัยหานี้ได้
ลูกชาวนาก็สมัครจะเป็นลูกชาวนาที่ดียิ่งๆขึ้นไป
ลูกชาวสวนก็อยากเป็นชาวสวนที่ดียิ่งๆขึ้นไป
ความสันโดษ นี้ มันทำให้คนอิ่มใจ
เป็นสุขเหมือนขึ้นสวรรค์อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก อย่างว่าชาวนาฟันดินลงไปทีหนึ่ง เขาก็อิ่มใจว่าฟันลงไปทีหนึ่งแล้ว
มันใกล้ความสำเร็จเข้าไปทีหนึ่งแล้ว ฟัน 2 ที 3 ที ก็อิ่มใจว่าฟันไปแล้ว 2 – 3 ที
ร้องเพลงไปบ้างฟันไปบ้าง
เพราะความสันโดษทำให้จิตใจว่างจากความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราและของเรา
ซึ่งเป็นความคิดเห็นแก่ตัวอันเป็นมูลเหตุของความทุกข์ทั้งหลาย
เขาจึงเพลิดเพลินในการฟันดิน ทำนากลางแดดกลางลมกลางฝน มันพอใจทุกทีที่ฟันดิน
ความสันโดษนี้มีกำลังมหาศาลที่จะช่วยให้เราทำอะไรสำเร็จและได้สิ่งที่มุ่งหวัง
ไม่ต้องไปหาทางฉ้อฉลเบียดเบียนใคร
ซึ่งจะกลายเป็นความยุ่งยากวุ่นวายอย่างโจ่งแจ้งขึ้นมา ถ้าเรามีเงินบาทหนึ่งแล้วเรารู้สึกพอใจหนึ่งบาทก็เป็นความสุขขึ้นมา ถ้าเรามีเงินพันล้านบาท
แต่เรายังไม่อิ่มใจเราก็เหมือนกับมีความจนอยู่นั่นเอง
ดังนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า “สันโดษนี้เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง”
เพราะมันทำให้ใจเป็นสุขได้แม้แต่การฟันดินทีเดียว สองที สามที แต่ถ้าไม่มีสันโดษเสียแล้ว
เขามีเงินตั้งหมื่นล้านเขาก็ยังเป็นภูตผีปีศาจที่หิวกระหายเสมอ
เพราะว่าทรัพย์นั้นไม่มีอะไรนอกไปกว่าเครื่องทำความพอใจ
ฉะนั้น
ขอให้เราทุกคนใช้ธรรมะให้เป็น แล้วธรรมะจะคุ้มครองเรา
จะช่วยเหลือเราอย่างมหาศาลทีเดียว ขออย่าได้เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าไปในทางผิดๆ
และไปตู่ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้คนขี้เกียจเช่นที่พระองค์พูดว่า
“สันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง” นี้คนส่วนมากยังเข้าใจผิดไป
จึงขอวิงวอนให้ช่วยกันศึกษาพระพุทธศาสนาให้เข้าใจอย่างถูกต้องสักหน่อย จนเอามาเป็นคู่ชีวิตทีเดียว การอธิบายที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด
ก็เป็นสิ่งที่ปัญญาชนทั้งหลายพอจะเข้าใจได้ เว้นเสียแต่จะไม่สนใจ
หรือมีความหัวดื้อถือรั้นติดตำรามากเกินไป อวดดีเกินไป
เดี๋ยวนี้การถือศาสนาและการถึงธรรมะของเราทั้งหลาย
ได้เป็นไปดังที่กล่าวกันนี้หรือเปล่า
คำว่า”ถือ” กับ “ถึง” มันต่างกันอยู่
การถึงศาสนาหรือถึงธรรมะนั้น มันได้เป็นของเราจริงๆ ส่วนการถือนั้น มันถือแค่ปากก็ได้
เหมือนกับบางคนที่เขาบอกว่าเขาถือพุทธ
แต่ความเชื่อและการกระทำของเขามิได้เป็นอย่างชาวพุทธเลย
ไม่เคยรู้ว่าพุทธศาสนาสอนอะไร เชื่อแต่เรื่องขลังเรื่องศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ มันไม่ถึงพุทธเลย ถือได้แต่ปากแต่ไม่ถึงธรรมะ แม้การถึงสรณาคมน์ของคนส่วนมาก
ที่ลั่นวาจาออกไปว่า “พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ” นี้
มันก็ถึงแต่ปากเสียทั้งนั้น
ปากจะว่าอย่างไรมันก็ว่าได้
แต่ใจไม่เคยถึงสรณาคมน์
แต่ถ้าคราวใดจิตใจของเขาในขณะนั้น ว่างจากความรู้สึกว่าเป็นตัวเรา-ของเรา มีความสะอาดสว่างสงบขึ้นในจิตใจ นั่นจึงจะเรียกว่าถึงพุทธถึงธรรมะถึงสังฆะ แม้จะไม่ลั่นวาจาออกมา เขาผู้นั้นก็ถึงสรณาคมน์
ถือกับถึงจึงไม่เหมือนกัน
ปัญญาชนย่อมมุ่งเอาความถึง เพราะมันปลอดภัยกว่า
และผลได้รับเป็นสาระแก่นสารมากกว่า
ฉะนั้น อย่ามัวแต่ถือศาสนา ขอให้ถึงธรรมะถึงศาสนาจริงๆ
เพราะฉะนั้นจึงมีพุทธบริษัท 2 ประเภท คือพวกที่ถือจริงแล้วถึงจริง
กับพวกที่ถือก็ไม่จริง ถึงก็ไม่จริงใหญ่
พวกหลังนี้แหละส่วนมากเป็นพวกปัญญาอ่อน
ได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธก็เพราะบิดามารดาปู่ย่าตายายเป็นชาวพุทธ ส่วนจิตใจของเขาไม่มีความเป็นชาวพุทธแม้แต่น้อย เข่าหลอกตัวเองและหลอกคนอื่นอยู่ตลอดเวลา แม้บางคนจะได้ปฏิญาณตนว่าเป็นพุทธมามกะ
เป็นอุบาสก อุบาสิกา เป็นภิกษุสามเณร เขาเป็นจริงอย่างปฏิยษณแล้วหรือ ความคิดเห็นของเขาเป็นแบบพุทธบริษัทแล้วหรือ
เห็นกันแต่ถือหรือถึงตามธรรมเนียมตามประเพณีเป็นพิธีเท่านั้น
ส่วนศาสนาจริงๆนั้น
ต้องจิตใจถึงธรรม คือจิตใจมีความสะอาดจากกิเลสตามสมควร
มีความสว่างจากความหลงงมงายเช่น เรื่องการเชื่อเหลวไหลเกี่ยวกับผีสางเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามสมควร
มีความสงบไม่วุ่นวายใจ มีจิตใจเข้าถึง “ความว่างจากคความรู้สึกว่ามีตัวตน
มีอะไรเป็นของตน” นี่แหละเป็นการถือจริงและถึงจริง ใครถือศาสนาจริง ก็ย่อมถึงธรรมจริง แล้วเรากำลังเป็นพุทธบริษัทในความหมายไหน? พุทธบริษัทประเภทไหนเล่าที่กำลังทำความยุ่งยาก หรือกำลังทำลายพุทธศาสนาเสียเอง ไม่ต้องไปกลัวว่าใครจะเข้ามาทำความยุ่งยากหรือทำลายพุทธศาสนาละ
คำตอบก็คือ พวกพุทธบริษัทปลอมๆเหล่านี้นั่นเอง
ที่กำลังทำลายพุทธศาสนาอย่างโดยไม่รู้สึกตัว
แล้วผู้มีปัญญาอ่อนก็ยังนิยมบุคคลเหล่านั้นกันมากเสียด้วย ฉะนั้น
ขอให้ปัญญาชนทั้งหลายจงถึงธรรมะชนิดที่เรียกว่า “ความว่าง” หรือ “สุญญตา”
ซึ่งเป็นธรรมะประเภทยากที่จะอธิบายแก่คนทั่วไปให้เข้าใจ ผู้มีปัญญาเท่านั้นจึงจะเข้าใจได้ นักปราชญ์จีนโบราณได้เคยสั่งสอนลัทธิ”เต๋า”
เช่นท่านเหลาจื้อและจั๋งจื้อ
อันมีเรื่องราวเกี่ยวกับ”ความว่าง” ตามความหมายของลัทธิเต๋า อย่างไรก็ดี
ลัทธิเหล่านี้ได้ทำให้ประชาชนเกิดสติปัญญาสูง
เมื่อพุทธศาสนาไปถึงประเทศจีนจึงเกิดเป็นนิกายเซ็น คือพุทธศาสนาแบบเซ็นขึ้นในประเทศจีน
เดี๋ยวนี้พุทธสาสนานิกายเซ็น
กำลังเป็นที่สนใจของปัญญาชนทั่วโลกมากที่สุด เราอาจจะหลับตากันอยู่ในบ้านเราก็ได้
ในเมือนอกบ้านเขาได้มีพุทธศาสนาแบบเซ็น
พิมพ์จำหน่ายเผยแพร่กันแล้วหลายสิบเล่ม
เพราะความต้องการอย่างยิ่งของบุคคลชั้นปัญญาชนทั่วโลก
ขณะที่พุทธบริษัทปลอมๆในเมืองไทยกำลังประณามพุทธศาสนาแบบนิกายเซ็น
การที่พุทธศาสนาอย่างเซ็นกำลังเร้าความสนใจอย่างยิ่งแก่บุคคลที่มีปัญญามากกว่าพุทธศาสนาแบบอื่นๆ
ก็เพราะว่าเหมาะสมแก่สติปัญญาความคิดนึก และจิตใจของชาวยุโรปชาวอเมริกา
ที่มีการศึกษาทางโลกมาดีแล้วนั่นเอง
ฉะนั้น จึงกล้ายืนยันว่า
นิกายเซ็นไม่ไร้สาระเลย ท่านโพธิธรรมได้นำพุทธศาสนาไปสู่ประเทศจีน และอยู่ในประเทศจีน 9 ปี เมื่อตอนท่านจะกลับไปอินเดีย คือก่อนจะกลับ ท่านนึกสนุกขึ้นมาอย่างไรไม่ทราบ
ท่านได้เรียกประชุมศิษย์ทั้งหมดมาสอบสวนดู
ว่าใครเข้าใจธรรมะชั้นสูงตามแบบของท่านบ้าง
ท่านให้โอกาสคนที่รู้ดีที่สุดอธิบายว่า ธรรมะคืออะไร ลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อ
โกกูกุ ก็ให้คำอธิบายแก่ท่านโพธิธรรมว่า อยู่นอกเหนือการยอมรับและการปฏิเสธ
นั่นแหละคือธรรมะ นี้นับว่าแยบคายมาก
เพราะธรรมะนี้ใครจะวิ่งแจ้นเข้าไปรับว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา มันก็ไม่ได้ แต่ใครกจะปฏิเสธว่ามันไม่จำเป็น
มันไม่เกี่ยวกับเราหรือไม่มีอยู่อย่างนี้ ก้ไม่ได้ ดังนั้นโกกูกุจึงบอกว่า ที่อยู่เหนือการยอมรับและอยู่เหนือการปฏิเสธนั้น คือธรรมะ
ท่านโพธิธรรมก็ผงกศีรษะรับ
เพราะเห็นว่ามีส่วนถูกอยู่บ้าง แต่แล้วก็บอกว่า “แกได้หนังของฉันไป” คือเพียงผิวหนังของท่านเท่านั้นเอง
ส่วนนางชีชื่อ
โซกิ สาวกอีกคนหนึ่งได้ให้คำอธิบาย ธรรมะนี้ ถ้าเห็นครั้งเดียว มันคือการเห็นทั้งหมดและเห็นตลอดไป
ดังนั้นสิ่งที่เราเห็นเลือนๆกันนั้น ยังไม่เรียกว่าธรรมะ
ต่อให้เป็นอาจารย์อภิธรรมหรือเปรียญ 9 ประโยค หรือปฏิบัติอยู่ในป่าไปจนตาย
สิ่งที่เรารู้กันและชอบเรียกกันตามอัตโนมัติว่า เป็นธรรมะนั้น
มันก็ไม่ใช่ธรรมะอย่างแท้จริง มันต้องเห็นครั้งเดียวและเห็นตลอดไป
แม่ชีโซกิพูดสั้นๆเพียงเท่านี้อาจารย์ก็เข้าใจผงกศีรษะ เพราะมีส่วนถูก
และยังยกย่องว่า “เธอได้เนื้อของฉันไป” คนแรกได้เพียงผิวหนัง
แต่นางชีคนนี้กลับได้เนื้อ
ลูกศิษย์คนที่
3 ชื่อโคอิกุ เสนอว่า ไม่มีความหมายแห่งตัวตนหรือของตนนั่นแหละคือความจริง หมายความว่า
ตามความจริงแล้งสิ่งทั้งปวงไม่อาจจะถูกยึดถือว่าเป็นตัวตนหรือของตนได้เลย
ท่านโฑธิธรรมผงกศีรษะมากกว่าแต่ก่อน แล้วบอกว่า “แกได้กระดูกของฉันไป”
ทีนี้คนสุดท้ายชื่อ
อีก้า ยืนขึ้นทำความเคารพท่านอาจารย์แล้วก็หุบปากนิ่งอยู่อย่างนั้น
ไม่พูดอะไรเลย ท่านโพธิธรรมพอใจอย่างยิ่งบอกว่า
“แกได้เยื่อในกระดูกของฉันไปทั้งหมดแล้ว”
ถ้าใครเห็นรูปภาพท่านโพธิธรรม จะเก็นว่าเขาเขียนรูปท่านนั่งหุบปาก
ปากเม้มเข้าไปข้างในจนดูน่ากลัว เพราะว่าธรรมะที่แท้จริงนั้นมันไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร
พูดออกไปนิดก็ผิดนิด ขึ้นพูดธรรมะตั้งชั่วโมงก็ห่างไปทั้งชั่วโมง
ทั้งนี้หมายความว่าท่านทั้งหลายจะต้องเข้าให้ถึงธรรมะตัวจริงด้วยตัวของท่านเอง
การพูดกันอธิบายกันนานๆก็เป็นเพียงการวาดภาพวิว
และสิ่งแวดล้อมบริเวณของธรรมะเท่านั้น
เพื่อให้ท่านสามารถเลือกหนทางเดิน หรือวิธีเดินเข้าไปถึงชนิดที่ทำให้หุบปากได้
ดังนั้นเราอย่าเพิ่งตีปีกโลดเต้นให้มากไปว่าเรารู้ธรรมะหมดแล้ว ทำวิปัสสนานั่งหลับตากันเพียง 3
อาทิตย์ก็ถือว่าถึงธรรมะแล้ว
หรือว่าได้ครูบาอาจารย์ที่เลื่องลือชื่อพูดเก่งอ้างตำราคล่องมาสอนอย่างนั้นสอนอย่างนี้ เราก็ถือว่าถึงธรรมะแล้ว มันยังห่างไกลต่อธรรมะที่แท้จริงนัก ถ้าท่านถึงแล้ว ท่านถึงกับหุบปากเหมือนกัน นั่นแหละคือธรรมะสูงสุด ส่วนธรรมะที่เราต้องการอยู่เวลานี้ เพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวันนั้น ก็เอาแต่เพียงเท่าที่จะทำให้เราเป็นอยู่กันด้วยความสันติสุข อย่ามัวเอารัดเอาเปรียบมุ่งแต่จะกอบโกยประโยชน์เข้าตัวฝ่ายเดียว
จนคนมองเห็นความไม่เป็นธรรมแก่สังคมอย่างโจ่งแจ้ง
บางคราวเมื่อดูข้างนอกไม่เป็นการเบียดเบียนใครก็จริง แต่ข้างในยังเบียดเบียนตัวเอง คือมีความนึกคิดแต่การเหก็นแก่ตัวจัด จนหาความสันโดษหรือความสุขใจไม่ได้ นั่นแหละคือการเบียดเบียนตัวเอง กลายเป็นที่เกลียดชังของสังคมของชาวโลก ขอให้เราจำเรื่องลูกศิษย์ของท่านโพธิธรรม 4
คนนี้ด้วย ว่าคนจีนสมัยโบราณนั้น
เขาเข้าถึงธรรมะเพียงใด เขาออกไปนอกลู่นอกทางอย่างพวกเราหรือเปล่า
สรุปความว่า
เราจะต้องมีชีวิตเป็นตัวเดียวกันกับธรรมะเกี่ยวกับการงานก็ดี ศาสนาก็ดี
ศิลปะก็ดี หรืออะไรๆก็ดี ทำมันให้เข้าเป็นสิ่งเดียวกับธรรมะ มีชีวิตประกอบอยู่ด้วยธรรมะแท้ ไม่ใช่ธรรมะเปลือกๆปลอมๆ หรืออธรรมที่ต่ำทราม
แต่กลับยกย่องกันว่าดีงาม
ถึงจะโฆษณากันอย่างไร มันก้หาดีงามจริงไปไม่ได้ไม่ มันจะงามได้ก็อยู่ที่การไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนหม่นหมองใจ
ตัวเองก้ไม่มีความเร่าร้อนใจ
นั่นแหละคือความดีงามอย่างยิ่ง เมื่อรู้จักทำได้อย่างนี้
เขาก็เป็นศิลปินอย่างยิ่ง
คือศิลปินของชีวิต พุทธศาสนาแท้ๆก็คือ
ศิลปะอย่างยอดเยี่ยม
เพราะว่าเป็นอุบายอย่างหนึ่งที่จะทำให้ชีวิตนี้งดงามอย่างยิ่ง
มีปรากฏการณ์แสดงออกมาเป็นความงามอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรงามกว่า มันเป็นเรื่องละเอียดประณีต เป็นงานฝีมืออย่างยิ่งของคนที่มีปัญญาในการที่จะทำอย่างนั้นได้คือ
การเดินไปตามทางสายกลางที่ได้อธิบายไว้แล้วในบทก่อน อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์แปดประการ ก็คือศิลปะสูงสุดของศิลปะทั้งหมด หรือที่มนุษย์ผู้มีปัญญาจะรู้จักได้ การงานของเราเมื่อเนื่องอยู่ด้วยกับศาสนา หรือกับธรรมะแล้ว มันก็เป็นการงานศิลปะ ชีวิตก็เป็นชีวิตศิลปะ มองดูในแง่ชีวิตก็เป็นชีวิต มองดูในแง่การงานก็เป็นศิลปะ เมื่อมันมีหลายคำนัก ก็หลอมมันเป็นสิ่งเดียวกันเสียว่า ธรรมะ
ธรรมะคำเดียวก็พอ
ธรรมะเท่านั้นที่จะเป็นของตัวเองได้
แล้วเราจะเอาตัวรอดได้ เราอย่าไปเดินตามแขกหรือฝรั่ง
เพราะว่าเขายังไม่รู้จักธรรมะที่จะดับทุกข์ได้จริงดีไปกว่าเรา
ดังนั้นเราอย่าเพิ่งยกเขาว่าเป็นผู้นำทางวิญญาณของเราเลย จริงอยู่คำสอนของเขาอาจแก้ปัยหาในด้านวัตถุและด้านสังคมได้บ้าง
ส่วนทางจิตใจอันเป็นส่วนลึกส่วนในส่วนนามธรรมนั้น เราจะต้องเอาของเราเอง
การไปหลงวัฒนธรรมของเขาทุกอย่างนั้น
ก็คือกระโดดลงเหวที่มืดที่สุด และจะไกลจากธรรมะเข้าไปทุกทีๆ
ขอยกตัวอย่างอุปรากรเรื่อง “เฟาทส์” อันเป็นวรรณกรรมเป็นศิลปะ และเป็นดนตรีที่เขานิยมกันมากเรื่องหนึ่ง
แต่ในเรื่องนี้นางเอกก็สมัครใจทำผิดศีลธรรมขนาดหนัก กลับได้รับผลเป็นการขึ้นสวรรค์
ให้อภัยกันหรือยกย่องกันอย่างไม่มีเหตุผล
การสมัครใจหรือเจตนาทำผิดด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลงงมงาย ความเห็นแก่ตัวจัด
อย่างนี้ไม่มีทางที่จะให้รางวัลเป็นการขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับพระเป็นเจ้าได้เลย
จะต้องตกนรกเป็นที่เกลียดชังของประชาชนมากกว่า
แต่ถ้าใครจะแย้งว่า
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำขึ้นเพื่อประโยชน์ทางดนตรี เนื้อเรื่องเป็นเรื่องล้อสังคมเล่น อย่างนี้ก็ได้
แต่ถ้านึกต่อไปว่าการล้อทำนองนั้นได้ประโยชน์แก่ใคร
เอามาใช้ประโยชน์แก่เราจะได้ที่ไหน
หรือการชุบตัวให้เป็นหนุ่มแน่นแข็งแรงในเรื่องเฟาทส์นั้น มันก็เพื่อสนองความกระหายในกามราคะ
อันเป็นธรรมชาติของสัตว์ อยากมีอายุยืนเพื่อเล่นกามารมณ์
จึงค้นพบยาอายุวัฒนะในกลับเป็นหนุ่ม แล้วก็ไปทำเรื่องนี้
มันไม่ใช่อยากอยู่เพื่อมนุษยธรรม เพื่อความดี ความงาม ความจริง
ความยุติธรรมอะไรเลย แต่เพื่อกามารมณ์เท่านั้น
แล้วเราจะนิยมความคิดความนึก หลักเกณฑ์ ศิลปะของฝรั่งได้อย่างไร
ถ้าเราไม่ใช่พุทธบริษัทประเภทปลอมๆ
ดังนั้น
ขอให้เรารู้จักเป็นอิสระแก่ตัวโดยการอาศัยบารมีของธรรมะนพระพุทธศาสนา
บ้านเมืองก็จะมีสันติภาพเพราะธรรมะไม่ใช่เพราะการเมือง
หรือวัฒนธรรมอื่นๆหรือการพัฒนาการชนิดที่ไร้ธรรมะ ถ้าเราหวังความสงบ
เราต้องเตรียมตัวเพื่อธรรมะ ไม่ใช่เตรียมบดขยี้ธรรมะอย่างที่กำลังทำกันอยู่อย่างนี้ และเราจะต้องฉลาดชนิดที่ฉลาดจริง
คือมีสติปัญญามองเห็นของจริงและเดินไปทางของธรรมะ
อย่าฉลาดอย่างเฉโก คือเป็นเพียงหัวแหลมที่จะโกงคน เอารัดเอาเปรียบคน แล้วก็เดินไปตามทางของโลก ต้องเป็นความฉลาดที่ประกอบด้วยธรรมะ
ซึ่งได้มาจากการศึกษาค้นคว้าทดลองแล้ว
มันจึงเห็นของจริงแล้วก้เลือกทางเดินได้ว่า อันไหนจะไปทางโลก
อันไหนจะไปทางธรรมะ
ฉะนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายที่เป็นลูกชายลูกสาวของพระพุทธเจ้าทุกคน จงเป็นลูกชายลูกสาวของพระพุทธเจ้าจริงๆ
อย่าให้สิ่งอื่นใดลากพาเราไปได้นอกจากธรรมะอย่างเดียว ขอให้ธรรมพาจูงเราไป
แล้วมันจะหลอมตัวเราให้เป็นอันเดียวกับธรรมะ จึงจะขับรถยนต์ไม่ลงคลองหรือจับปลาไม่ถูกเงี่ยง
หรือกินปลาไม่ถูกก้าง สมความความมุ่งหมายที่ได้กล่าวแล้วข้างต้นจงทุกประการ
บทที่
8
ความว่าง
“ความว่าง” เป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้ไม่ยาก เช่นเวลาทำงานหรือเวลาวุ่นวายย่อมไม่มีใครชอบ เวลาว่างงานไม่มีอะไรกสวนใจ
ไม่มีอะไรวุ่นนั้นทุกคนก็ชอบ
จึงกล่าวได้ว่าทุกคนชอบความว่าง ไม่ชอบความวุ่น
แต่พอใครมาชวนให้ไปฟังการบรรยายธรรมเพื่อให้จิตใจว่าง
เขากลับตอบว่าเขาไม่ว่าง ถ้าใครชวนไปดูภาพยนต์ ไปดูมวยหรือกินเหล้าเขาก็มีเวลาว่างเสมอ เพราะการเป็นคนแบบนี้
เขาจึงได้จมอยู่ในความโง่ความหลงผิดหลงงมงายอย่างไม่มีเวลาสร่าง
เรื่องความว่างนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่มนุษย์ควรจะศึกษาเรื่องของความว่าง
ก็คือเรื่องของพระนิพพาน
ดังที่มีพุทธภาษิตยืนยันว่า
นิพพานํ ปรมํ สุญฺญํ
ซึ่งแปลว่านิพพานเป็นของว่างอย่างยิ่ง
หมายความว่าถ้าเราว่างที่สุดนั่นแหละ
คือนิพพาน ถ้าเราไม่ว่างเอาเสียเลยนั่นก็คือนรก ถ้าว่างบ้างไม่ว่างบ้าง
ก็ค่อยยังชั่วหน่อย
อยู่ในฐานะเป็นมนุษย์ผู้จะมีทางได้ดีได้บ้าง แต่ก็ยังเป็นวัฏฏสงสารอยู่ เพราะฉะนั้น เราทุกคนจึงควรสนใจในเรื่องความว่าง และหัดทำจิตใจให้ว่างเรื่อยๆไปตามลำดับ จนกว่าจะถึงความว่างที่สุด ท
กล่าวคือพระนิพพานนั่นเอง
อนึ่ง โปรดรับทราบไว้เสียด้วยว่า เรื่องของความว่างนี้
เป็นเรื่องตัวแท้จริงของพระพุทธศาสนา แต่คนสมัยนี้อาจจะไม่ค่อยเคยได้ยิน จนมีคนโง่ที่อวดดีบางคนกล้ากล่าวว่า เรื่องความว่างไม่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา
พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงความว่างกับอุบาสกคนหนึ่งชื่อธัมมทิน ดังมีหัวข้อในความสำคัญว่า เยเจหิจนฺตา
มีความแสดงเนื้อความจำกัดต่อไปว่า
ตถาคต ภาสิตา อันเป็นคำที่ตถาคตกล่าวแล้ว
คมฺภีรา มีเนื่องความอันลึกซึ้ง
โลกุตฺตรา อยู่เหนือโลก สุญฺญตปฺปฏิสํ ยุตฺตา ประกอบโดยเฉพาะแล้วด้วย
สุญฺญตา (ความว่าง) กาเลน กาลํ อุปฺปสมชฺช วิหริสฺสสาม
เราจะเข้าถึงธรรมนั้นตลอดกาล
และโดยสมควรแก่กาล
แล้วมีชีวิตอยู่อย่างนั้น
นี่ก็หมายความว่าธรรมะที่แท้จริงซึ่งกล่าวถึงความว่างนั่นแหละ ทุกคนจะต้องเข้าถึงให้ได้ตลอดกาล
และโดยสมควรแก่กาล
ข้อที่ควรสนใจก่อนอื่นก็คือ คำว่า
ตถาคต ภาสิตา ซึ่งแปลว่า เป็นคำที่ตัวท่านเองกล่าว
นี้แสดงว่าไม่ใช่เป็นเรื่องที่พระพุทธสาวกกล่าวข้อนี้ จึงทราบได้ว่าคำสอนในพระพุทธศาสนานั้นมีอยู่ 2
ประเภทด้วยกัน
ประเภทหนึ่วเป็นพุทธภาษิตแท้ คือพระพุทธองค์ได้ตรัสด้วยพระองค์เอง ส่วนอีกพวกหนึ่งนั้น
เป็นคำที่สาวกนำชั้นหลังกล่าว คำที่พระพุทธองค์ตรัสเอง โดยเฉพาะนั้นก็คือเรื่องสุญญตา คือทรงแสดงถึงความว่างโดยพระองค์เอง
จึงได้มีความซึ้ง มีถ้อยคำลึกซึ้งและอยู่เหนือโลก ส่วนสาวกในชั้นหลังๆไม่กล่าวถึงเรื่องนี้
ชอบไปกล่าวประดิดประดอยให้เป็นความไพเราะถุกใจผู้ฟังประจบผู้ฟัง ชักชวนให้ทำบุญอย่างนั้นชักชวนให้ทำบุญอย่างนี้
แสดงให้เห็นเป็นบุยกุศลยิ่งใหญ่สวยงามให้วุ่นวายไปหมด ไม่ชักชวนในเรื่องของสุญญตา คือเรื่องความว่างเลย
พระพุทธเจ้าท่านชวนคนไปในเรื่องความว่าง
แต่สาวกชั้นหลังชวนไปในเรื่องความวุ่น วุ่นกันจนตาย
วุ่นจนจะเข้าโลงก็ไม่รู้จักหมดความวุ่นสักที
ฉะนั้น
เราจึงควรสนใจในเรื่องที่เป็นตัวแท้ของคำสอนของพระองค์ ซึ่งกล่าวถึงแต่เรื่องความว่างอย่างเดียว ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? คำตอบก็มีอยู่ชัดๆแล้วว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุญฺญํ –
ว่างอย่างยิ่งนั่นแหละคือพระนิพพาน
พระองค์ทรงสั่งสอนเรื่องนิพพาน เพราะฉะนั้นจึงทรงสอนเรื่องความว่าง
ไม่สั่งสอนเรื่องของความวุ่น ไม่สั่งสอนชักจูงคนให้ทำบุญอย่างนั้นอย่างนี้
แล้วจะได้รับผลอย่างนั้นได้รับผลอย่างนี้ วุ่นวายไปไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ถ้าเป็นเรื่องของความว่างแล้วมันหยุดมันนิ่งสงบ คือมันว่างนั่นเอง เพราะฉะนั้น
ควรจะมีความแน่ใจในข้อที่ว่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่องความว่าง
ไม่ได้สอนเรื่องความวุ่น ลองพิจารณาดูด้วยตนเองเถิด คสเราถ้าวุ่น วุ่นมากเข้ามันจะเป็นอย่างไร? อย่างน้อยที่สุดมันก็จะต้องกลุ้มอกกลุ้มใจ
ถ้ารมากไปกว่านั้นมันก็เป็นโรคเส้นประสาท
ถ้ายิ่งไปกว่านั้นอีกทีก็ต้องไปโรงพยาบาลบ้า ซึ่งใครๆก็เห็นกันอยู่ทั่วๆไปว่า
ถ้ามันวุ่นในใจไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว เป็นไม่แคล้วโรงพยาบาลบ้า ความว่างกับความวุ่น มันต่างกันอย่างนี้
พระพุทธภาษิตก็มีอยู่เป็นคู่ว่า
“สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ”
สงฺขารา ปรมา ทุกขํ
แปลว่าสังขารเปห้นทุกข์อย่างยิ่ง หมายความว่ามันวุ่นนั่นเอง คำว่าสังขารแปลว่า ปรุง แปลว่าของปรุง แปลว่าทำพร้อม
คือทำไม่หยุด แล้วมันจะว่างได้อย่างไร มันก็ต้องมีแต่วุ่น เพราะฉะนั้น
คำว่าสังขารก็หมายถึงความวุ่น คือทำเรื่อยไม่หยุด
มันก็เป็นความวุ่นและไม่ว่าง
สังขารจึงเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
กล่าวคือความวุ่นไม่หยุดนั้นเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง ส่วนพุทธภาษิตที่ว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ก้หมายความว่า นิพพานความดับสนิทความเย็นสนิทหรือความว่างอย่างยิ่งนั่นแหละ เป็นความสุขอย่างยิ่ง ความวุ่นเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง แต่ความว่างเป็นความสุขอย่างยิ่ง
สิ่งที่มีชื่อว่านิพพานนี้เป็นสิ่งที่ว่างอย่างยิ่ง ดังพุทธภาษิตที่กล่าวว่า นิพฺพานํ
ปรมํ สุญฺญํ แปลว่า ว่างอย่างยิ่งนั่นแหละนิพพาน
และเราจะเหก็นรได้โดยประจักษ์ชัดจากการเป็นอยู่ของเราเองว่าเวลาไหนมันวุ่น เวลานั้นก็จะเร่าร้อน ถ้าเวลาไหนมันว่าง เวลานั้นมันก็สงบเย็น
แม้แต่วุ่นเพียงสักนาทีเดียวมันก็เป็นทุกข์ ถ้ามันว่างแล้วก็ไม่เป็นทุกข์เลย แต่ถึงอย่างนี้แล้วบางคนก็ยังไม่ยอมหยุดงานทางบ้านสักเล็กน้อยเพื่อศึกษาเรื่องความว่างอันจะทำให้เขาเป็นสุขใจ
ขอให้พิจารณาพระพุทธภาษิตที่ทรงกล่าวแก่ภิกษุทั้งหลายที่วัดเชตะวัน
ดังที่ปรากฏอยู่ในบาลีพระพุทธภาษิต นิทาน ส.11/311672-3 ว่า :-
“ภิกษุทั้งหลาย!
เรื่องนี้เคยมีมาแล้วในกาลก่อน
พวกกษัตริย์วงศ์ทสารหะ
มีกลองศึกอยู่ใบหนึ่ง เรียกว่า “กลองอานกะ” เมื่อใช้กลองนี้ไปนานๆเข้า กลองก็มีรอยแตกร้าวหรือบิออกเป็นชิ้นๆ
พวกกษัตริย์หาเนื้อไม้อื่นมาทำเป็นลิ่มสอดแทรกลงไปในรอยแตกของกลองนั้นทุกคราวไป
ภิกษุทั้งหลาย!
เมื่อปะเชื่อมกลองแบบนั้นหลายครั้งหลายคราวนาๆเข้าก็จะถึงคราวหนึ่ง
ซึ่งเนื้อไม้เดิมของตัวกลองหมดสิ้นไป เหลือมีแต่เนื้อไม้ใหม่ที่ทำเสริมเข้าแทนเนื้อแท้เดิมของกลอง
ภิกษุทั้งหลาย! ฉันใดก็ฉันนั้น ในการยืดยาวต่อไปภายหน้า ตัวสูตรส่วนที่ลึกซึ้งเหล่าใดที่เป็นคำสอนของตถาคต
มีข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเช่นเรื่องสุญญตา
(ความว่าง) เมื่อมีผู้นำสูตรประเภทนี้มาสอน เธอก็จะไม่ฟังด้วยดี จักไม่เงี่ยหูฟัง
จักไม่ตั้งใจเพื่อให้เกิดความเข้าใจแจ่มแจ้ง และจักไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน
ส่วนสูตรอื่นๆที่นักกวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษรสละสลวย
มีพยัญชนะอันวิจิตรเป็นเรื่องนอกแนวคำสอนของตถาคต เป็นเพียงคำกล่าวของสาวก
เมื่อมีผู้นำสูตรที่นักประพันธ์แต่งขึ้นใหม่เหล่านั้น มากล่าว
พวกเธอก็จะฟังกันด้วยดี จะเงี่ยหูฟัง จะตั้งใจเพื่อให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
และคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ตนควรจะศึกษาเล่าเรียน
ภิกษุทั้งหลาย! ความอันตรธานของตัวสูตรส่วนที่ลึกซึ้ง
ที่เป็นคำกล่าวของตถาคตกล่าว เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระโดยเฉพาะเช่นเรื่อง
สุญฺญตา (ความว่าง) ก็จักมีขึ้นด้วยอาการอย่างนี้แล”
พระพุทธองค์ทรงเทศน์เรื่องความว่างนี้แก่ใคร แก่พวกพระที่อยู่ป่าเท่านั้นหรือ? ข้อนี้หาเป็นอย่างนั้นไม่ ในพระไตรปิฎกนั่นเอง
กล่าวถึงพวกฆราวาสที่ได้ไปเฝ้าพระพุทธองค์ และขอให้พระพุทธองค์แสดงธรรมะเพื่อประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่เขาสิ้นกาลนาน
เขากราบทูลชัดๆว่า
“พวกข้าพระพุทธเจ้าเป็นฆราวาสห้อมล้อมแออัดอยู่ด้วยบุตรภรรยา ใช้ดอกไม้เครื่องหอมกระแจะจันทน์อันมาแต่เมืองกาสี อยากขอให้ทรงแสดงธรรมที่เป็นประโยชน์จริงๆ เมื่อพวกฆราวาสไปขออย่างนี้ พระพุทธองค์ก็สอนเรื่องสุญญตา
ซึ่งพระองค์ถือว่าเป็นคำสอนของพระองค์แท้ๆ เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องเหนือโลก นี้ก้แสดงอยู่ชัดแล้วว่า เรื่องความว้างหรือนิพพานนั้น เป็นเรื่องสำหรับฆราสาวด้วยเหมือนกัน
ไม่ใช่เป็นเรื่องแต่สำหรับพระที่จะไปอยู่ป่าดงอยู่ถ้ำอยู่เขา แม้ฆราวาสที่อยู่บ้านเรือนแออัดอยู่ด้วยภรรยาสามี
ก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีความรู้เรื่องสุญญตา เพราะคนที่ต้องการของเย็นอย่างมากที่สุด ก็คือคนร้อนที่สุด แล้วใครเล่าเป็นคนร้อนที่สุด ไม่ใช่พวกชาวบ้านดอกหรือ? ฉะนั้น
พวกที่อยู่ที่บ้านนั่นแหละ ควรจะต้องการของเย็นที่สุด มันจึงจะถูก
มันจึงจะตรงกับเรื่องความจำเป็น
จึงหวังว่าพวกเราควรจะพิจารณากันเสียใหม่
ในการที่จะตั้งอกตั้งใจค้นหาให้พบตัวจริงของธรรมะหรือของพระศาสนา ซึ่งเป็นของจริงของถุกของตรงของสมเด็จพระบรมศาสดา กล่าวคือเรื่องความว่าง อย่าได้ไปหลงในเรื่องวุ่นๆ ที่มใคนฉลาดในการตบตาคนอื่นคิดขึ้นสอน
เขียนขึ้นสอน ชักชวนคนอื่นให้วุ่นไปตามตน เพื่อหวังกำไรหวังประโยชน์เข้าตน
อีกต่อไปเลย จงใช้สติปัญญาของตนเองเสียบ้าง จะได้ไม่เสียรู้เขา
และกลายเป็นคนโง่เง่าอยู่ตลอดกาล
เรื่องของความว่าง
จึงเป็นเรื่องสำหรับท่านทั้งหลายที่วุ่นถึงกับขนาดว่าเป็นโรคเส้นประสาท หรือที่ต้องไปสู่โรงพยาบาลสำหรับกักขังคนวิกลจริต เพราะฉะนั้น
จงอาศัยเครื่องรางอันศักดิ์สิทธิ์
กล่าวคือสุญญตานี้เป็นเครื่องป้องกัน
ว่าแม้เราจะอยู่ที่บ้านที่เรือน ก็อย่าให้มีความร้อนหรือความวุ่น
ถึงขนาดเป็นโรคเส้นประสาท หรือถึงขนาดต้องไปอยู่โรงพยาบาลโรคจิต
จงรู้จักทำจิตใจให้ว่าง แล้วก็จะมีความสะอาดสว่างสงบเย็น โดยไม่ต้องขวนขวายเลย
มีแต่ความดีความงามความเจริญ หรือถ้าจะเรียกว่าเป็นบุญก็ขอให้เป็นบุญกันแบบนี้ อย่าเป็นเรื่องสวรรค์วิมาน เกิดรวย เกิดกดี
ทำนองนั้นเลย อย่างนั้นแหละ มันจะยิ่งวุ่นมากขึ้น จนต้องไปอยู่โรงพยาบาลบ้า หรือไม่ก็เพาะนิสัยให้เป็นคนเห็นแก่ตัวจัด
ได้เท่าใดก้ไม่รู้จักพอ เกิดมีจิตใจไม่ใช่มนุษย์ ไม่อยู่ในศีลธรรม เต็มไปด้วยความวุ่นวายจนตาย ส่วนเรื่องความว่าง ความสะอาดความสว่างและความสงบนั้น ไม่ทำให้ใครเป็นอย่างนั้นเลย
มีแต่จะให้ความสงบเย็น
ไม่ต้องไปโรงพยาบาลประสาท และไม่ต้องกินยาอีกด้วย เพราะว่าได้กินยาสูงสุดเป็นโลกุตตระ
กล่าวคือพระธรรมนี้เอง
จึงนับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรกลัว เป็นสิ่งที่ควรกล้านำมาใส่ตน
อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องว่างๆเปล่าๆ
แล้วมันไม่มีอะไร
มันไม่ใช่ว่างเปล่าอย่างไม่มี
มันว่างเปล่าชนิดที่มีสิ่งทั้งหลายที่ดีๆทั้งนั้น
ขอให้เข้าใจคำว่า “ความว่าง” ให้ถูกต้อง
เรื่องบุญที่วุ่นๆนั้น มันกลับทำลายสิ่งที่ดีทั้งหลายให้สูญเสียไปหมด
ส่วนเรื่องความว่างของพระพุทธเจ้านี้ นำสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ มาให้เราทั้งหมดทั้งสิ้นทีเดียว นี่แหละเป็นแง่ที่ควรสนใจ ควรจะคิดนึกพิจารณาดูให้ดี คนอยากแสวงหาความสุข แต่ไปชอบความวุ่น กลัวความทุกข์
แต่แล้วก็กลับเกลียดความว่าง นี่มันเป็นเรื่องโง่เขลา เป็นเรื่องหลอกตัวเองชัดๆ แล้วมันจะพบความสงบสุขกันได้อย่างไร?
ถ้าเราต้องการความสงบจริง เราต้องหลีกเลี่ยงความวุ่น หันมาฝ่ายความว่าง แต่เราจะต้องมีสติปัญญาพินิจพิจารณาดูให้ดีว่า อะไรมันวุ่นกันแน่ ว่าอะไรมันว่างจริงๆ อย่าได้หลงผิดไปเห็นความวุ่นเป็นความว่าง หรือไปบูชาความวุ่นซึ่งพระพุทธเจ้าไม่เคยสอน แล้วช่วยกันตู่ว่าพระพุทธเจ้าสอน
การที่ไปวุ่นวายในกิจการงานต่างๆจนไม่มีเวลาเข้ามาหาธรรมะของพระพุทธเจ้า ซึ่งสอนเรื่องความว่าง นั่นแหละเรียกว่าวุ่น ไม่มีเวลาเข้าในคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่มีเวลาประพฤติปฏิบัติคำสอนของพระพุทธเจ้า จนกระทั่งเน่าเข้าโลงไป เกิดมาทั้งที่มีแต่ความวุ่น
แล้วมันจะได้อะไรที่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ หรือจะได้อะไรจากพระพุทธเจ้าซึ่งตัวเองก็นรับถือนักหนา และขอถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ ถือกันแต่ปาก
เพราะไม่ได้รับอะไรจากพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ซึ่งเป็นประโยชน์
นอกจากได้ลมๆแล้งๆที่ว่าตัวได้หรือตัวนับถือ ถ้ายังเป็นอยู่อย่างนี้ ก้แปลว่ายังวุ่นอยู่ตามเดิม บางทีจะวุ่นมากไปเสียอีกด้วยซ้ำไป
เพราะต้องพูดว่าเรานับถือพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์นิ่งๆ อยู่เฉยๆ
จะไม่ดีกว่าหรือ?
จะไม่เสียเวลาพูดคำนี้ออกมา “ความว่าง”
นี้เป็นคุณธรรมที่จะทำบุคคลให้เป็นพระอรหันต์ได้
ถ้าใครยังไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าสอนเรื่องความว่าง ก็จงพิจารณาพระพุทธภาษิตอีกสักบทหนึ่งที่ว่า
“สุญฺญตา โลกํ อเวกฺขสฺส โมฆราช สทาสโต”
ดูก่อนโมฆราช ท่านจงเป็นผู้มีสติเห็นโลกด้วยความเป็นของว่างอยู่ทุกเมื่อเถิด “อตฺตาหิ ภิกฺขุ เอหจฺจ เอวํ มจฺจตโร
สิยา”
เมื่อท่านถอนความคิดเห็นว่าตัวตนเสียได้แล้ว ก็จะเป็นผู้อยู่เหนือมัจจุราช
“เอวํ โลกํ เวกฺขนฺตํ มจฺจุราชาน ปสฺสติ” เมื่อท่านเห็นโลกอยู่ดังนี้ มัจจุราชก็จะไม่เห็นท่าน ข้อนี้หมายความว่า
ถ้าผู้ใดเห็นโลกทั้งหลายทั้งปวง
โดยความเป็นของว่างอยู่ทุกเมื่อส่วนความยึดถือว่าตัวตนว่าตนออกเสียได้
ก็จะอยู่เหนือความตาย ความตายในที่นี้ หมายถึงการหมดความดี
เดือดร้อนระส่ำระสายกระวนกระวายอยู่ด้วยปัยหาเรื่องความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
คือต้องตายนั่นเองแบบเน่าเข้าโลงไปก็ได้ หรือจะเป็นการตายทางจิตใจ คือมีจิตใจเสื่อมทรามตกต่ำ มีแต่ความทุกขืท่วมทับ ไม่มีเวลาว่างหรือสงบเย็น นี้เรียกว่าความตายเหมือนกัน
คือมันมีผลเท่ากับคนตายหรือต้องทนยิ่งกว่าคนตาย ทนทุกข์แบบเดียวกับสัตว์นรก คือว่ามีแต่ความเร่าร้อนระส่ำระสายตลอดเวลา มันยิ่งไปกว่าความตาย เพราะฉะนั้นปัญญาชน จึงได้คิดค้นหาวิธีต่างๆนานา ที่จะอยู่เหนือความตาย เมื่อโมฆราชมาเฝ้ารพระพุทธเจ้า
จึงทูลถามถึงการที่จะอยู่เหนือความตาย พระพุทธองค์ก็ทรงสอนเรื่องความว่าง
ซึ่งมีชื่อเรียกต่างๆกัน
เช่นเรียกเป็นนิพพานก็มี
เรียกเป็นความดับทุกข์ก็มี เรียกว่าอยู่เหนืออะไรๆทั้งหมดนี้ ทั้งหมดนี้แหละคือความว่าง เพราะว่าถ้ามันว่างแล้วมันไม่ทุกข์
มันไม่ว่ายเวียน มันไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย
พระองค์จึงทรงยื่นความว่างนี้ให้แก่โมฆราช โดยตรัสว่า
“จงมองโลกโดยความเป็นของว่างเถิด”
คำว่า
“โลก” นี้ เป็นคำเดียวสั้นๆก็จริง แต่มันหมายถึงทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร
จะเป็นโลกนี้ เทวโลก พรหมโลก มารโลกหรือโลกนรกก็ตาม รวมเรียกว่าโลก
ซึ่งได้แก่อิทธิพลของรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสที่มีอยู่ในโลกนั้นๆ เพราะว่าคนเราอยู่ในโลก
มันก็มีความหมายอยู่ตรงที่จะได้รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสเหล่านี้เอง
ถ้าหากว่าในโลกนี้ไม่มีรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสแล้ว ก้ไม่มีสัตว์ตัวไหนอยากจะอยู่ในโลก แต่ด้วยเหตุที่โลกมีความหมายอยู่ตรงที่มีรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส
สัตว์ทั้งหลายจึงมีตัณหา คือความอยากในการที่จะเกิดในโลกนั้นโลกนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกที่มีเหยื่อตัณหามากๆนั่นเอง เหมือนกับที่คนตั้งอกตั้งใจทำบุยกุศล
จะเอาสวรรค์วิมานทิพย์นั้น ก็หมายถึงต้องการรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสชนิดที่ดีที่ประณีต ที่ละเอียด
หารู้ไม่ว่านั่นก็ยังเป็นรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส
ซึ่งเป็นของอย่างเดียวกันที่มีอยู่ในโลกนี้ทั้งสิ้น แต่ว่ามันแตกต่างดีกว่ากันเป็นชั้นๆเท่านั้น
รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสเหล่านี้ มันทำให้ว่างหรือมันทำให้วุ่น
ขอให้ลองคิดดูเถิดว่า รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสในโลกมนุษย์เรา
ในบ้านในเมืองของเรานี่เอง มันทำให้เราว่างหรือมันทำให้เราวุ่น
เรื่องของรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสที่ไหนบ้างมันทำให้ว่าง
การที่ต้องทนทำไร่ทำนาทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่การคดโกง เอาเปรียบคนอื่น หานั่นหานี่
รักษานั่นรักษานี่ มันก็เพื่อรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสทั้งนั้น แม้ที่สุด
การอยากไปสวรรค์ มันก็เพื่อรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสที่ดีที่ประณีตยิ่งขึ้นไป
ขึ้นชื่อว่ารูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสแล้วมันก็เป็นเรื่องวุ่นเสมอ
แม้ว่าจะไปได้รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสอยู่ในโลกสวรรค์วิมานแก้ววิมานทอง
มีบริวารเท่านั้นเท่านี้ มันก็เป็นเรื่องวุ่น ขอให้ลองคิดดูให้ดีๆ แล้วจะเข้าใจคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า
“จงมองโลกให้เห็นตามที่เป็นจริง ว่า มันเป็นของว่าง”
คือพิจารณาให้เห็นว่ามันเป็นของหลอกลวง มันเป็นของมายา
สิ่งที่เป็นของหลอกลวงหรือมายานั้น
มันให้ความทุกข์ มันไม่มีตัวตนที่แท้จริง ความวุ่นก็ไม่มีตัวตนที่แท้จริง แต่เราเห็นว่ามีตัวตนเป็นตัวเป็นตน เหมือนกับคนเห็นรูปในพยับแดดในทะเลทรายว่าเป็นน้ำคนที่กำลังละเมอเพ้อฝันอยู่ด้วยกิเลสตัณหา
ย่อมเห็นความวุ่นเหล่านี้เป็นตัวเป็นตน
ไม่อาจจะเห็นโดยความเป็นของว่างได้เลย เว้นแต่เมื่อใดจะมีสติปัญญาสมบูรณ์ จึงจะเห็นโลกโดยความเป็นของว่างได้ ทั้งนี้ด้วยการถอนความเห็นผิดว่าตัวว่าตนออกเสีย มองให้เห็นว่าเป็นมายาเป็นของหลอกลวง
แต่เราทั้งหลายได้ถอนความยึดถือว่าตัวตนแล้วหรือยัง ในบ้านในเมืองของเรายังเต็มไปด้วยคำว่า “ฉัน”
ว่า “ของฉัน” นั่นก็ของฉัน นี่ก็ของฉัน เงินก็ของฉัน ทีดินก็ของฉัน จะได้ยินแค่คำว่า
ฉันและของฉัน นี้อยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง
เสียงนั้นเองคืออัตตานุทิฏฐิที่แสดงออกมาให้เห็น
ว่ายังมีความสำคัยผิดยึดถือในความเป็นตัวตน
หรือของตนอยู่ในที่ทั้งปวงแล้วมันจะว่าอย่างไรกัน
ถ้ายังถือว่านี่ตัวตนนี่ของตนแล้ว
มันจะต้องทำต้องเก็บโกยต้องหวงแหน
แล้วก็ต้องร้อนใจในเรื่องจัดเรื่องทำเรื่องกอบโกบเรื่องหวงแหน วุ่นในทางร่างกายนั้นไม่สำคัญนัก
แต่มันสำคัญอยู่ตรงที่หัวใจวุ่น
ร่างกายวุ่นทางพุทธศาสนาไม่เรียกว่าวุ่น ถ้าหัวใจวุ่นท่านจึงเรียกว่าวุ่น เพราะฉะนั้นจึงต้องจัดการกับจิตใจ
ความทุกข์แท้ๆ หรือความวุ่นจริงๆ นั้นอยู่ที่ใจ
สิ่งที่เรียกว่าของปรุงหรือการปรุงหรือสังขารนั้น
มันอยู่ที่ใจ คืออยู่ที่จิตที่คิดขึ้นมาด้วยกิเลสตัรหา นั่นแหละคือของปรุงหรือสังขาร ครั้นคิดแล้วมันก็ลงมือทำ นี้เป็นการปรุงอีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน กำลังทำอยู่มันก็คิดอีก มันเป็นห่วงวิตกกังวล มันมีความอยากทะยานอย่างใดอยู่ด้วย
อแปลว่ามันคิดกังวลเรื่อย
มันเป็นสังขารเรื่อย
มันไม่มีว่างเลย มีแต่วุ่นทั้งนั้น
นี่คือผลของอัตตานุทิฏฐิ
คือความสำคัญว่าอะไรเป็นตัวเป็นตน หรือเป็นของของตน มันจึงต้องวุ่นกันดังนี้
ถ้ามีตัวตนอย่างนี้แล้วความทุกข์ก็ครอบงำได้ เรียกว่าความตายครอบงำได้ แต่ถ้าทำลายความรู้สึกว่าตัวตนของตนออกไปเสีย ให้เป็นของว่างแล้ว ความทุกข์มันจะครอบงำใครได้เล่า เพราะมันว่างจากตัวตนผู้รับความทุกข์
พระพุทธองค์จึงตรัสว่าเมื่อถอนความยึดถือว่าตัวตนเสียได้ ก็จะเป็นผู้อยู่เหนือความตาย”
เมื่อเห็นโลกโดยเป็นของว่างอยู่ดังนี้
ความตายก็ไม่เห็นผู้นั้น
กล่าวคือความตายจะจับตัวผู้นั้นไม่ได้
เพราะเป็นของว่างไปเสียแล้ว
นี้เป็นอันว่าผู้นั้นก็ดี
โลกก็ดี
ล้วนแต่เป็นของว่างเป็นความว่าง
ถึงกับมัจจุราชหรือความตายหาตัวไม่พบ
ถ้าพูดตรงๆอย่างธรรมาธิษฐานก็กล่าวว่า
ไม่มีตัวตนเหลืออยู่ให้ความทุกข์ครอบงำอีกต่อไป จึงเป็นอันมาก การทำตนให้เป็นของว่างนี้
เป็นทางที่จะเอาชนะความทุกข์และความตายด้วยประการทั้งปวง
การทำตนให้เป็นของว่างนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเอาตัวไปใส่ครกตำให้ละเอียด และเอาไปเผาไฟให้เป็นควันไปให้หมด แล้วจึงว่างดังนี้ก็หาไม่ แต่หมายความว่า ให้ทำด้วยสติปัญญา อย่าให้จติคิดยึดถืออะไรว่าเป็นตัวเป็นตน ร่างกายก็เป็นสักว่าร่างกาย จิตก็เป็นสักว่าจิต เจตสิกก็สักว่าเป็นเจตสิก ไม่มีอะไรส่วนไหนที่เป็นตัวเป็นตน หรือเป็นของของตนเลย
เมื่อเป็นดังนี้นั้นแหละจึงจะเรียกได้ว่ามีความว่าง หรือมีการเห็นความว่างอยู่ในเบญจขันธ์นั้น เป็นเบญจขันธ์ที่มีความบริสุทธิ์
เพราะไม่ยึดถือในความเป็นตัวเป็นตน
ส่วนเบญจขันธ์นั้นไม่ว่าง คือมีตัวตนออกรับความทุกข์ มีตัวตนให้ความทุกข์ครอบงำ
มีตัวตนให้ความตายย่ำยี
สมน้ำหน้าแล้วที่มันไม่รู้จักทำให้ว่าง
มันจึงมีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนไปตั้งแต่เกิดจนตาย
ท่านทั้งหลายอาจจะเห็นได้โดยพระพุทธภาษิตนั้นว่า สุญญตา
หรือความว่างแท้จริงก็คือ นิพพาน
นิพพานคือความว่างแท้จริง เพราะว่าพอเราทำให้ว่างได้เท่านั้น ความตายก็ทำอะไรเราไม่ได้ ความทุกข์ก็ทำอะไรไม่ได้ นั่นแหละ คือความหมายของคำว่านิพพาน
เพราะฉะนั้นในที่มากมายหลายแห่ง พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงสุญญตา ความว่างนี้
โดยคำว่านิพพาน หรือแทนคำว่านิพพาน หรือในที่แห่งนิพพาน สุญญตาจึงเป็นเครื่องทำบุคคลให้หมดไป ให้ว่างไป
ให้เหลือแต่เบญจขันธ์ที่บริสุทธิ์สะอาด
ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์หรือความตายอีกต่อไป เพราะว่าไม่มีอัตตานุทิฏฐิเหลืออยู่อีกเลย
ในที่อื่นพระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า
เมื่อเห็นความว่างจากตนหรือเห็นความว่างหรือพอใจในความว่างแล้ว จึงจะพอใจในเรื่องของพระนิพพาน
แม้พุดว่าเราอยากได้นิพพาน ก็เป็นเรื่องพูดแต่ปาก
คือพูดถึงสิ่งๆหนึ่งที่ตนไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรกันแน่ เพียงแต่ได้ยินเขาว่ากันว่าดี ว่าสูงว่าประเสริฐว่าเลิศ ก็พลอยอยากได้ไปตามเขา นี่แหละคือบุคคลที่ปรารถนานิพพานไปตามเขา ถ้าเมื่อใดได้เกิดเห็นคุณของความว่างขึ้นมา เมื่อนั้นแหละ คนๆนั้นจึงจะชอบนิพพานจริงๆ
คือชอบอย่างถูกต้อง ไม่ใช่ชอบอย่างงมงาย
ฉะนั้น
ถ้าเรายังหลงอยู่กับความวุ่นวายหรือการทำบุญที่วุ่นๆแล้ว อย่าไปพูดถึงนิพพานให้ป่วยการ
จิตใจมันไม่ชอบนิพพานไปได้ดอก ถ้าเรารู้จักความว่างให้ถุกต้อง
แล้วพอใจในความว่างให้ถูกตรง
จิตก็จะพอใจในนิพพาน
เลื่อนไหลไปในทางของพระนิพพานโดยไม่ต้องสงสัยเลย ถ้าลองได้ชอบในใจคุณ ของความว่างแล้ว
พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ไว้ว่าบุคคลนั้นจะหลุดพ้นด้วยปัญญาในชาติปัจจุบันนี้
คือเป็นพระอรหันต์ประเภทปัญญาวิมุติในชาตินี้
หรือว่าอย่างน้อยที่สุดก็จะเข้าถึง
อากิญจัญญายตนะ
คือความเป็นอยู่ที่มีความรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่น่าเอา – น่าเป็น ซึ่งความทุกข์ครอบงำไม่ได้
แม้พระพุทธเจ้าเองก็ยังทรงมีชีวิตอยู่ด้วยความว่าง ซึ่งเรียกว่า
“สุญญตาวิหาร”
ดังที่ได้ยืนยันแก่พระอานนท์ว่า
“แม้ตถาคตก็ได้ใช้เวลาเป็นส่วนมากที่สุดให้สิ้นไปในสุญญตาวิหาร”
สุญญตาวิหารนี้ไม่ใช่เรือนที่ปลูกขึ้นแล้วเรียกว่า สุญญตา
สุญญตาวิหารคือการอยู่ด้วยจิตใจที่ว่างจากสิ่งทั้งปวง วิหาร แปลว่า
ความเป็นอยู่ สุญญตา แปลว่า ความว่าง ว่างัน้นแหละคือสุญญตาวิหาร พระพุมธองค์แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
ก็ยังอยู่ด้วยสุญญตาวิหารไปตามเดิม
คืออยู่ด้วยจิตใจที่ว่าง ไม่ยึดถืออะไรว่าเป็นตัวเป็นตน
หรือเป็นเจ้าของของตน ไม่มีความวุ่นวายเลย แม้ว่าพระองค์จะได้เสด็จไปนั่นมานี่
ต้องสอนคนนั้นคนนี้
ไม่มีเวลาหยุดอย่างน่าเหน็ดเหนื่อย
แต่ก็ไม่มีความวุ่นวาย ในใจไม่มีกิเลสตัณหาจึงไม่มีความวุ่นใจ และกายก็ไม่เป็นความวุ่นเพราะใจไม่วุ่น เป็นการเคลื่อนไหวไปตามธรรมดา
ไม่มีความหมายของคำว่าความวุ่น
เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จะทรงนั่งนิ่งๆอยู่ก้ดี หรือทรงดำเนินไปที่ไหนก็ดี เรียกว่าเป็นผู้อยู่ในสุญญตาวิหารได้ด้วยกันทั้งนั้น แต่ถ้าหากมีเวลาว่างไม่ต้องไปทำอะไรที่ไหน
จะทรงนั่งอยู่นิ่งๆมีความว่างเกิดขึ้นในใจมากขึ้นเป็นพิเศษ คือความว่างจากการรู้สึกว่ามีตัวตน ว่างจากทุกๆสิ่ง จิตใจประกอบไปด้วยความรู้สึกว่าง
เป็นความสงบสุข ทำให้ร่างกายผ่องใส
ข้อที่ความว่างทำให้เราสุขสบายร่างกายผ่องใสนั้น รู้ได้ด้วยข้อความซึ่งพระองค์ได้ตรัสแก่พระสารีบุตร
ในเมื่อพระสารีบุตรมีผิวพรรณผ่องใส มีการซักถามกันขึ้น
พระพุทธองค์จึงทรงแนะนำให้พระสารีบุตรสังเกตเห็นว่า การเป็นอยู่ด้วยความว่างนั่นเองทำให้ผิวพรรณผ่องใส
ความว่างในลักษณะเช่นนี้ท่านเรียกว่า มหาปุริสวิหาร แปลว่า วิหารของมหาบุรุษ
กล่าวคือ สุญญตาหรือความว่างนั่นเอง
ใครลงเข้าไปได้อยู่ในวิหารนี้แล้ว
จะมีผิวพรรณผ่องใสเพราะไม่มีความทุกข์แต่ประการใด มีแต่ความสงบเย็น มีแต่ความว่างสะอาดสว่างสงบอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีความผ่องใสทั้งทางกายและทางใจ
เพราะอำนาจที่อยู่ในความว่างนั้นเป็นประจำ แต่ถ้าจะกล่าวกันในทางของการปฏิบัติ
ม่ชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ปรมานุตตระสุญญตา”
ข้อนี้หมายถึงเจโตสมาธิที่ไม่มีนิมิต
คือจิตผ่องใสจนพ้นจากกิเลสทั้งสามเป็นสุญญตาอย่างยิ่ง จะมีความว่างจนมีความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลาย ความเป็นอย่างนี้ถือว่าเป็นสิ่งสูงสุด
ไม่ว่ายุคไหนหรือเวลาไร คือพระพุทธองค์ทรงยืนยันว่า
จะเป็นในศาสนานี้หรือศาสนาไหนก็ตาม ความว่างอันนี้ต้องถือว่าเป็นสิ่งสูงสุดเสมอไป
และไม่ว่ายุคนี้หรือยุคไหน ยุคพระพุทธกาลหรือยุคปัจจุบันของเรานี้
หรือยุคอนาคตก็ตาม ความว่างนี้ก็ยังเป็นสิ่งพิเศษสูงสุดกว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงอยู่นั่นเอง
เพราะฉะนั้น จึงได้ถือเอาว่าความว่างเป้นสิ่งสูงสุด ดังมีพุทธภาษิตว่า นิพพานํ
ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
ท่านผู้รู่ทั้งหลายย่อมกล่าวพระนิพพานว่าเป็นสิ่งสูงสุดหรือเป็นบรมธรรม คือเป็นธรรมสูงสุดกว่าธรรมทั้งปวง”
นิพพานก็คือความว่างถึงที่สุดนั่นเอง
ความว่างนั้นเป็นสิ่งสูงสุด เป็นสิ่งซึ่งทำบุคคลให้ประสบความสงบ ทำผิวพรรณให้ผ่องใส เป็นวิหารธรรมที่แม้แต่พระพุทธเจ้า
ก็ยังทรงดำรงอยู่ในความว่างนั้น
จึงเป้นสิ่งที่ทุกคนควรจะสนใจทำให้มีความรู้ความเข้าใจ ทำให้เกิดมีขึ้นในตน
เป็นหลักประจำใจของตน มุ่งหมายแต่ความว่างอย่างเดียวก็พิแล้ว ไม่ต้องพูดไม่ต้องคิดนึกกันให้มากเรื่อง
ไม่ต้องทำกันให้มากเรื่อง จงเอาแต่เรื่องเดียวทั้งคิดทั้งพูดทั้งทำก็ด้วยความว่าง
เพราะเป็นเรื่องสำคัญเป็นเรื่องสูงสุด เป็นเรื่องที่รวมธรรมทุกเรื่องไว้ในนี้ด้วยเสร็จ และเป็นเรื่องที่คนเราเกี่ยวข้องกันอยู่แท้ๆ
ถ้าเราไม่ว่างขึ้นมากเท่าไร เราก็ทุกข์เท่านั้น
ถ้าเราว่างขึ้นมาเมื่อไรเราก็สบายเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ชัดๆว่า
เราไม่มีความสุขก้เพราะเราไม่ว่าง พอเราว่างขึ้นมาเราก็มีความสุข
ขอให้ถือหลักอันนี้เป็นหลักเบื้องต้นเสียก่อน
แล้วจะได้สืบสาวหาเงื่อนต่อไปจนลุถึงความว่างได้จริงๆ
อย่างน้อยที่สุดเราก็ต้องมีความเชื่อเสียก่อนว่า ถ้าไม่ว่างแล้วเป็นไม่มีสุข
ถ้ามีสุขแล้วมันต้องมีเพราะความว่าง
ทีนี้
จะได้ตั้งปัญหาต่อไปว่า ไม่ว่างเพราะอะไร? ถ้าตอบทางธรรมแล้วก็ตอบว่า
เราไม่ว่างเพราะเราวุ่น คือเราปรุงมันเรื่อย เราไม่ยอมหยุด
เราทำอะไรที่ไหนก็ติดนึกด้วยกิเลสตัณหา
ยึดมั่นถือมั่นนั่นนี่ว่าเป็นตัว-ของตน
และมีกิเลสตัรหา คือความอยากอย่างนั้นอยากอย่างนี้อยู่ เราทำอะไรด้วยความอยากมันจึงทำให้ไม่ว่าง เราอย่ามีกิเลสตัณหามาคิดมาปรุง
มันก็จะว่างไปหมด แม้ว่าร่างกายจะยังทำอะไรอยู่
มันก้ยังเป็นความว่างไปหมดอยู่นั่นเอง เพราะไม่มีการคิดปรุงที่เป็นความเหก็นแก่ตัว
ขอให้ฟังไว้ดีๆ หรือจำไว้ให้ดีๆ ว่าความคิดปรุงนี้ มันปรุงด้วยกิเลสตัณหา
ไม่ใช่ปรุงด้วยสติปัญญา ถ้าสติปัญญาเข้ามามันไม่ปรุง มันไม่ต้องเป็นสังขารที่คิดปรุง มันรู้จักทำให้ว่าง
มันเป็นไปแต่ในทางความว่าง แต่ถ้าสติปัญญาไม่มา กิเลสตัรหาเข้ามาแทน
มันปรุงคือมันทำให้วุ่น เพราะฉะนั้นความไม่ว่างนั้นมีเพราะความคิดปรุง เราจะต้องขจัดความคิดปรุงด้วยอำนาจกิเลสตัณหานี้เสียให้ได้
หรือให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้
ทีนี้ลองคิดต่อไปว่าทำไมมันจึงคิดปรุง?
ข้อนี้ก็เป็นเพราะเหตุว่ามันหลงอยู่ในของที่เป็นคู่ๆ ของที่เป็นคู่ๆนี้
คือสิ่งที่ทุกคนกำลังหลงอยู่ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ของที่เป็นคู่ๆนั้น
พิจารณาดูก็จะเห็นได้โดยทันทีว่ามีอะไรบ้าง? ทีแรกที่เราหลงกันมากก็คือ
เรื่องดี-เรื่องชั่ว เรื่องบาป-เรื่องบุญ เรื่องสุข-เรื่องทุกข์
ของคู่เหล่านี้
เรามีความเข้าใจผิดหรือหลงใหลกันอยู่อย่างไร? ของคู่นั้นมีมากด้วยกัน เช่น
ความมี-ความจน ความได้ลาภ-ความเสื่อมลาภ
ความเป็นผู้แพ้-ผู้ชนะ การได้-การเสีย ความเป็นหญิง-เป็นชาย ความรัก-ความเกลียด ความพอใจ-ความไม่พอใจ
ของหอม-ของเหม็น ของไพเราะ-ของไม่ไพเราะ ของสวย-ของไม่สวย เหล่านี้ล้วนแต่เป็นคู่ๆ
ของที่เป็นคู่นี้มีมากมายแทบจะนับไม่ไหว
แต่ว่าเป็นที่ตั้งแห่งความหลง เป็นที่ตั้งของความคิดปรุงที่ประกอบด้วยกิเลสตัรหา มันจะอยากตามที่กิเลสตัณหาต้องการ ความคิดปรุงมันปรุงไปตามนั้น เช่นไม่ชอบความที่ไม่สวย ก็ต้องชอบความสวย ความคิดปรุงก็คิดไปในทางที่ทำให้สวย ไม่ชอบคำว่าจน
ก็คิดไปในทางที่ทำให้มั่งมี
ย่อมเนื่องกันอยู่ดังนี้
มันจึงจะอยากและมีกิเลสตัณหาได้
ถ้ามันมีแต่เพียงอย่างเดียวไม่เป็นคู่แล้ว
ความคิดก็ไปไม่ได้
มันก็หยุดคิดไปเอง
แต่นี่มันไม่มีความอะไร
เพราะความชั่วมาเทียบเคียงกับความดี
ความดีจึงเป็นของมีค่าขึ้นมา
ความสุขกับความทุกข์ก็เหมือนกัน
เพราะมีทุกข์มาเทียบ ความสุขจึงกลายเป็นของดีของแพง ถึงแม้ความทุกข์ก้เถอะ
ถ้าไม่มีความสุขมาเป็นคู่เปรียบแล้ว ความทุกข์ก็ไม่น่ากลัวอะไร
เพราะเหตุที่มันมาเป็นคู่ๆ มันจึงเท่ากับมาเสนอให้เราเลือกเกลียดข้างหนึ่ง
แล้วเลือกรักข้างหนึ่ง นั่นแหละคือความหลง หรือคือกิเลสตัณหาที่เป็นแรงกล้า ถ้าเมื่อใดเราเกิดความฉลาดขึ้นมา ไม่เอามันเสียทั้งสองอย่าง เมื่อนั้นแหละเราจึงจะว่าง คือดีเราก็ไม่รัก ชั่วเราก็ไม่เกลียด เราอยู่เฉยๆ
ก็เป็นความว่างเท่านั้นเอง สุขเราก็ไม่อยาก ทุกข์เราก็ไม่เกลียด เราอยู่เฉยๆ
มันก็เป็นสันติ เป็นความว่าง เป็นนิพพาน
แต่ถ้าเราหลงใหลในความสุข หมายถึงโลกียสุข
จะเป็นสุขในมนุษย์โลกหรือสุขในสวรรค์หรือสุขในพรหมโลกก็ตาม ทั้งหมดนั้นยังเป็นของลวง
เป็นของที่ปนกับความทุกข์ หาใช่ความสุขที่แท้จริงไม่
ที่เป็นนิพพานนั้นไม่เกี่ยวกับความสุขหรือความทุกข์เลย
คือเป็นของว่าง แต่เราก็ชอบสมมติเรียกกันว่าเป็นความสุขอีกนั่นแหละ
เพราะเราติดในความสุขเหมือนกับติดฝิ่นมาก่อน อะไรๆก็จะให้ความเป็นสุขไปทั้งนั้น จึงมีคำพูดว่านิพพานเป็นความสุขอย่างยิ่งขึ้นมา
ก็เพื่อจะให้ละความสุขต่ำๆต้อยๆเหล่านั้นเสีย หันมาสนใจในเรื่องความสุขชั้นนิพพาน เมื่อมาสนใจในเรื่องนี้ก็ต้องพบความว่าง เพราะว่านิพพานเป็นชื่อของความว่าง
เพราะฉะนั้นอย่าได้เข้าใจว่าความสุขที่เรานึกๆคิดๆกันอยู่ว่าจะได้อย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้
โดยที่แท้แล้วความสุขในชั้นนิพพานนั้น เป็นความว่างโดยประการทั้งปวงจริงๆนั่นแหละ
คือไม่มีคู่ คือไม่มีทุกข์-ไม่มีสุข ไม่มีดี-ไม่มีชั่ว ไม่มีบุญ-ม่มีบาป ถ้ายังมีดี-มีชั่ว-ไม่มีความสุข ไม่มีดี-ไม่มีชั่ว ไม่มีบุญ-ไม่มีบาป ถ้ายังมีดี-มีชั่ว-มีบุญ-มีบาป ในก็ต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสาร ไม่เป้นคนดี-ไม่เป็นคนชั่ว อยู่ในวัฏฏสงสาร ไม่เป็นนิพพานไปได้เลย ต่อเมื่อข้ามไปพ้นจากความดี-ความชั่ว อยู่เหนือบุญ-เหนือบาป
เหนือความปรารถนาสุข-ปรารถนาทุกข์โดยสิ้นเชิง นั่นจึงจะเป็นความว่างและเป็นนิพพานขึ้นมา เพราะฉะนั้น
นิพพานจึงเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ของคู่
ผู้ที่ลุถึงนิพพานมีจิตใจไม่หลงใหลอยู่กับสิ่งที่เป็นคู่ แต่อยู่เหนือความเป็นคู่ คือความว่างนั่นเอง ท่านทั้งหลายลองใช้สติปัญญาพิจารณาดูที่เถิดว่า สิ่งที่เรียกว่าความว่างนั้น
มันจะเป็นคู่ได้อย่างไร? สิ่งที่เป็นคู่ๆกันได้นั้น
มันต้องไม่ใช่ความว่าง แล้วเราก็มาจัดอันนี้ดีอันนี้ชั่ว อันนี้สั้นอันนี้ยาว อันนี้สูงอันนี้ต่ำ อันนี้ดำอันนี้ขาว เหล่านี้มันไม่ว่างเลย มันเป็นชิ้นๆดุ้นๆ
แต่ถ้าเกิดความว่างขึ้นมา
โดยประกอบการทั้งปวงแล้ว
มันจะเป็นคู่กะใคร จะไปจับเอาอะไรมาเป็นคู่กับใครได้ มันเป็นความว่าง เพราะฉะนั้น
เราจะเห็นได้ว่าของเป็นคู่ๆนั้น มันอยู่ที่ความวุ่น มันไม่อยู่ที่ความว่างเลย
ถ้าเป็นความว่างขึ้นมาแล้ว มันก็ไม่มีของที่เป็นคู่ ของเป็นคู่จะมีอยู่แต่ในเรื่องของความวุ่น ถ้าเราไม่ต้องการจะให้จิตคิดปรุง
เราต้องรู้เท่าทันของสิ่งที่เป็นคู่
ถ้าเราไม่รู้เท่าทันอยู่เพียงไร
มันก็ต้องคิดปรุงอยู่เพียงนั้น
เมื่อคิดปรุงมันก็ไม่ว่าง
เมื่อไม่ว่างมันก็ต้องทุกข์
เพราะฉะนั้น
เราจะต้องมองให้เห็นชัดว่า
บรรดาของคู่ๆเหล่านั้น
เป้นของหลอกที่ทำให้วุ่น
ถ้าเราต้องการความว่าง ก็จะต้องอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น
เราอย่าไปมองเป็นคู่
ไปมองให้เห็นว่างไปเสียทั้งหมด
จะไม่ก่อความทุกข์
บรรดาของคู่ๆนั้น เราอาจจะสรุปให้เหลือเพียงคู่เดียว
ก็ได้คู่เดียวที่ว่านี้คือ คุณและโทษ ทางหนึ่งเป็นคุณ ทางหนึ่งเป็นโทษ
เพราะว่าสิ่งใดที่เราไม่ชอบก็ถือว่าเป็นโทษ สิ่งใดที่เราชอบ
เราก็ถือว่าเป็นคุณ
แต่ในสิ่งต่างๆทุกสิ่งทุกอย่าง
มันมีทั้งคุณและโทษ
สิ่งที่เรารักมากที่สุดนั้น
ส่วนที่เป็นคุณมันก็มี
ส่วนที่เป็นโทษมันก็มีเท่ากัน
แต่ว่าเราเลือกมองในด้านคุณ ไม่มองในด้านโทษ เราจึงหลงรักสิ่งเหล่านั้นอย่างหลับหูหลับตาทีเดียว
โดยไม่คำนึงว่าสิ่งทั้งปวงประกอบอยู่ด้วยทั้งคุณและโทษ
สมมติว่าเราหาเงินมาได้ด้วยวิธีสุจริต
ไม่คดโกงใครๆ ได้เงินมาล้านหนึ่ง
เราชอบใจมาก ถือว่าเป็นคุณ แต่ลองนึกดูถึงโทษของมันบ้าง เราต้องเหน็ดเหนื่อยในการหา
ถ้าเราได้มาล้านหนึ่ง เราก็ต้องเหนื่อยลงเรี่ยวแรงไปล้านหนึ่ง จึงจะได้เงินมาล้านหนึ่ง
เพราะฉะนั้นโทษของมันก็ล้านหนึ่ง
คุรของมันก็ล้านหนึ่ง
แต่เราโง่ไปหลงมองมันในเรื่องคุณของมันด้านเดียว
เราจึงพอใจว่าเงินล้านนี้วิเศษเสียจริงๆ
ทีนี้สมมติว่าเงินล้านหนึ่งนี้ได้มาโดยไม่สุจริต คือโกงประชาชนเขามา
มันก็มีโทษล้านหนึ่งเหมือนกัน เราเป็นคนชั่วคนเดียวตั้งล้านหนึ่ง
มันจึงได้เงินล้านหนึ่ง เราโง่มากที่พอใจในเงินล้านนี้ว่าเราได้ของดีวิเศษมา โดยไม่รู้ว่าเราเลวตั้งล้านหนึ่ง
เลวมากกว่าใครๆทั้งเมือง เพราะความได้เงินล้านนี้มา
สมมติว่าเราได้รับเงินมรดกจากพ่อแม่เป็นเงินล้านหนึ่ง เราจะถือว่าเป็นของดีวิเศษอย่างนั้นหรือ? ถ้าคิดดูกันให้ดีๆแล้วก็หมายความว่า มันมีโทษอยู่ล้านหนึ่งเหมือนกัน
คือเราเป็นคนที่โง่ที่สุด
อ่อนแอที่สุดล้านหนึ่งทีเดียว
ทำงานอะไรไม่เป็น ต้องรับมรดกจากพ่อแม่ได้เงินมาหนึ่งล้าน มันก็โง่ล้านหนึ่งสมน้ำหน้าของมัน นี้คือโทษของการที่ได้เงินรับมรดกมาล้านหนึ่ง
ส่วนที่เป็นคุณจะไปใช้อะไรมันก็ตามใจ
มันก็คู่กันกับโทษ คือความโง่ล้านหนึ่ง ฉะนั้นจะเห็นว่า
ไม่มีอะไรเลยที่จะประกอบไปด้วยคุณแต่ส่วนเดียว มันต้องประกอบไปด้วยโทษเท่ากันเสมอไป
ทีนี้ลองพิจารณาดูถึงสิ่งที่เราเกลียดชังกันบ้าง ของสกปรกเช่นอุจจาระ คนทุกคนอาจจะคิดว่ามันประกอบไปด้วยโทษส่วนเดียว
ทั้งเหม็น ทั้งน่าเกลียด ทั้งน่ารำคาญ แต่แล้วทำไมไม่มองดูในด้านคุณของมันบ้างเล่า
มันก็มีประโยชน์ในการที่ทำอะไรได้ตามหน้าที่ของมัน จะใช้เป็นปุ๋ยทำให้แผ่นดินนี้ดีก็ได้
ทำให้การไหลเวียนของสิ่งทั้งหลายในโลกนี้เป็นปกติก็ได้ หรืออย่างน้อยก็ได้ถ่ายอุจจาระออกมา คนๆนั้นจึงไม่ตาย ไม่ถ่ายอุจจาระมันก็ต้องตาย
เป็นอันว่าในของที่เราเกลียดที่สุด มันก็มีทั้งคุณและโทษอยู่เท่าๆกัน คนโง่เท่านั้นที่จะไปเห็นมันแต่ด้านเดียว ว่าเป็นคุณอย่างเดียว หรือเป็นโทษอย่างเดียว
เป็นอันว่า ไม่มีอะไรเลยที่จะไม่ประกอบไปด้วยคุณและโทษ
และสิ่งต่างๆนั้น ถ้าได้ใช้เหมาะสมแล้ว
มันแสดงคุณออกมาทันที
ถ้าไม่มีการใช้ที่เหมาะสมแล้ว
มันแสดงโทษออกมาทันที
ทั้งนี้เพราะมันมีทั้งคุณและโทษอยู่ในสิ่งนั้น แต่เพราะความโง่ของบุคคลนั้นต่างหาก ที่ไปยึดถือเอาแต่ด้านหนึ่งด้านใด โดยที่แท้แล้วมันไม่ควรจะยึดถือว่าเป็นโทษหรือเป็นคุณเลย อยู่อย่างจิตว่างๆ
ไม่ต้องยึดว่าเป็นโทษหรือเป็นคุณ
ให้เกิดความรักหรือความเกลียด นี่แหละคือความว่างหรือความสงบ
เพราะฉะนั้นควรที่ทุกคนจะต้องมีความรู้ของพระพุทธเจ้า
มาช่วยตนเพื่อสามารถมองดูโลกให้เห็นเป็นของว่าง
อย่ามองเห็นโทษอย่ามองเห็นคุณแต่ประการใดเลย หรือถ้าจะมองเห็นคุรด้วย
ถ้ามองเห็นคุรก็ต้องมองเห็นโทษด้วยไปพร้อมๆกัน
จะได้หักลบกลบกันพอดี
มันก็จะได้กลายเป็นของว่างขึ้นมา
เป็นอุบายวิธีที่จะมองเห็นสิ่งทั้งหลายให้เป็นของว่าง จะเป็นแก้วแหวนเงินทองเพชรพลอยอะไรก็ตามที
หรือจะเป็นคนสัตว์ที่รักที่พอใจอย่างยิ่งก็ดี
จะต้องมีโทษและมีคุณอย่างเสมอกัน
นึกได้อย่างนี้แล้วก็จะเกิดความวางเฉยหรือความว่างขึ้นมาได้ ความทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้นแก่ผู้นั้น
เพราะฉะนั้น
จึงสอนให้มองสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ว่าเป็นของว่า
อย่าได้มองว่าเป็นของที่มีคุณหรือมีโทษแต่ฝ่ายเดียว เพราะจะเป็นความวุ่นแล้วก็จะเป็นทุกข์ เมื่อใดมองเห็นความเป็นของว่างถึงที่สุด เมื่อนั้นก็เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันทีที่ตรงนั้นเอง ถ้าว่างอย่างเด็ดขาดก็เป็นนิพพานแท้ ถ้าว่างชั่วคึราวก็เป็นนิพพานชั่วคราว
แต่อย่างนั้นก็ยังดี
ดีกว่าที่จะเป็นความวุ่นหรือเป็นความทุกข์ ถ้าเราจะไม่สามารถทำให้เกิดความว่างโดยเด็ดขาด
เราก็พยายามทำให้เกิดความว่างให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ นี่แหละคือการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง ไม่ใช่การทำพิธีรีตอง
หรือการทำบุญแบบนั้นแบบนี้ อันเป็นความวุ่นทั้งนั้น
ความว่างมันไม่ใช่ความทุกข์
ฉะนั้นจึงเท่ากับนิพพานหัวใจของพระพุทธเจ้าก็ว่าง หัวใจของพระธรรมก็ว่าง หัวใจของพระสงฆ์ก็ว่าง นี้หมายถึงพระพุทธจริง พระธรรมจริง พระสงฆ์จริง
ไม่ใช่พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ปลอมๆ เหมือนที่คนหมู่มากนับถือกันอยู่ เอ่ยนามกันอยู่
ซึ่งไม่ใช่พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์จริง แต่หลงไปยึดถือมัน มันจึงถูกแต่ของปลอม
แล้วมันก็ทำให้เราเกิดความวุ่นไม่ว่าง ถ้าถูกพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์จริง
มันก็ต้องว่างไป ไม่ไปไหนเสีย ไม่ไปทางอื่นได้ คือจะเป็นไปแต่ในทางว่าง
ทำไมจึงว่าหัวใจของพระพุทธเจ้าว่าง? ก็เพราะว่าหมดกิเลสหมดตัณหาโดยประการทั้งปวง
ไม่มีตัวตนจะยึดถือ ใครนับถือพระพุทธถูกตัวจริง เขาก็จะมีจิตใจว่างไปด้วย
แต่เท่าที่เป็นอยู่เวลานี้ เห็นวุ่นกันแต่ทำ ขาย ซื้อ พระพุทธรูปกันให้วุ่นทั้งนั้น
พระธรรมที่เป็นพระธรรมจริง
ก็หมายถึงความว่างนั่นเอง เป็นผลเกิดมาจากการปฏิบัติ
เป็นสิ่งที่ลุถึงได้ด้วยการปฏิบัติถูกต้อง แล้วความว่างก็ปรากฏแก่บุคคลนั้นได้
ถ้าปฏิบัติธรรมผิดเขาก็วุ่นไปจนตาย
พระสงฆ์ที่แท้จริงคือผู้ที่มีหัวใจว่าง
เพราะไม่ยึดถือสิ่งทั้งปวงว่ามีตัวตน หรือเป็นของของตน พระสงฆ์นั้นไม่ใช่ผ้าเหลือง
ไม่ใช่ร่างกายที่คลุมอยู่ด้วยผ้าเหลือง
แต่หมายถึงคุณธรรมสูงสุดที่มีอยู่ในนั้น
มันก็ได้แก่ความว่างอีกนั่นเอง เพราะฉะนั้น ใครจะเคารพนับถือพระสงฆ์
ก็จงมองดูคุณธรรมของท่านในข้อนี้ ถ้าท่านไม่มีความว่างแล้ว ท่านก็เป็นพระสงฆ์ปลอม
ถ้าหากว่าเรายังยึดมั่นในตัวตนอยู่
ก็อย่าไปเอาตัวตนที่อื่นเลย จงเอาตัวตนที่ความว่าง สมมติความว่างนั่นแหละ
ว่าเป็นตัวตน อย่าไปเอาตัวตนที่เนื้อหนังร่างกายหรือจิตใจ
ความคิดนึกรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ จงเอาตัวตนที่ความว่าง
จึงจะเป็นตัวตนที่เป็นทุกข์ แต่ว่าการพูดอย่างนี้เป็นการสมมติ ความจริงนั้นเป็นตัวตนไปไม่ได้
มีแต่ความว่าง แต่เราสมมติเรียกว่า”ตัวเรา” เมื่อเราเห็นตัวเราว่างได้ดังนี้แล้ว
สิ่งต่างๆมันก็ว่างตามไปเอง อะไรๆมันก็ว่างตามไปเอง สมดังพุทธภาษิตที่ว่า
“จงดูโลกโดยความเป็นของว่าง แล้วก็จงดูตัวเราให้เป็นของว่างเถิด
โลกทั้งหลายก็จะเป็นของว่างไปเอง” หรือดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า
จงถอนอัตตานุทิฏฐิคือความเห็นว่าตัวตนเสียให้ได้เถิด ตัวตนก็จะว่างไป
โลกทั้งหลายทั้งปวงก็จะว่างไป แล้วก็ไม่มีความทุกข์เหลืออยู่เลย
บางคนพูดว่า
ถ้าว่างเสียแล้ว จะไม่มีอะไรยึดเหนี่ยว มันเป็นยความคิดสำหรับคนที่ยังโง่ยังกลัว
แต่บุคคลที่เข้าถึงธรรมะ เข้าถึงความว่างบ้างแล้ว เขาไม่ต้องยึดต้องเหนี่ยวอะไร
ถ้าจะยึดจะเหนี่ยวก็ต้องเหนี่ยวเอาความว่าง พยายามที่จะคว้าให้พบความว่างให้ตัวตนหมดไป
ความทุกข์ก็จะดับไปตาม จิตใจก็ว่าง ร่างกายก็ว่าง อะไรๆก็ล้วนแต่เป็นความว่าง
จึงไม่มีความทุกข์เลย จะมองเห็นชัดว่าความว่างเท่านั้น ที่เป็นของมีอยู่จริง
พระนิพพานเท่านั้นที่เป็นของมีอยู่จริง นอกนั้นมีอยู่อย่างหลอกๆ
หลอกให้เห็นเป็นคู่ ให้รักอย่างหนึ่ง ให้เกลียดอย่างหนึ่ง
แล้วมันก็วุ่นกันไปหมดเป็นสังขาร เป็นของปรุง เป็นความทุกข์อย่างยิ่ง
แต่ถ้าเห็นสัจธรรมข้อนี้ขึ้นมา ก็จะเห็นความว่างโดยประการทั้งปวง
แม้ว่าโลกนี้หรือไม่ว่าโลกไหน รวมทั้งตัวเราเองและสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงด้วย
มันจึงเป็นความว่างไปหมด มีแต่นิพพานอย่างเดียว ไม่มีความทุกข์เลย
สิ่งที่เหลืออยู่คือกายและใจก็เป็นที่ตั้งของความรู้สึกว่าว่าง
นี่คือกายและใจที่เป็นเบญจขันธ์บริสุทธิ์ของพระอรหันต์
ซึ่งต่างจากเบญจขันธ์ของพวกเรา ซึ่งเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา มันจึงไม่ว่าง
เบญจขันธ์ของพระโสดาบัน พนะสกิทาคามี พระอนาคามี ก็มีความว่างเพิ่มขึ้นตามลำดับ
มีกิเลสตัณหาน้อยลงๆ เบญจขันธ์ของพระอรหันต์ว่างโดยประการทั้งปวง
ไม่มีกิเลสตัณหาเหลืออยู่เลย มันจึงเป็นที่สุดที่สิ้นของความทุกข์
ไม่มีความทุกข์เหลืออยู่เลย กายและใจที่ประกอบไปด้วยสติปัญญา
ย่อมมองเห็นอยู่แต่ความว่างอย่างนี้ทุกเมื่อ เราจึงเรียกว่ามีสติอยู่ทุกเมื่อ
มันจึงไม่มีความทุกข์ทุกเมื่อด้วยเหมือนกัน นี่ก็เป็นสิ่งที่ควรพอใจแล้ว
ไม่จำเป็นจะต้องไปแสวงหาความสุขที่มันวุ่นวายขึ้นมาอย่างใดอย่างหนึ่งอีก ของคู่ทั้งหลายจะเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม
แม้มันเป็นเรื่องวุ่น ความว่างอย่างเดียวเท่านั้นจึงจะอยู่เหนือทุกข์เหนือสุข
เหนือดีเหนือชั่ว เหนือบุญเหนือบาป และเป็นสิ่งที่พระอรหันต์ท่านมี
ฉะนั้นขอให้ปัญญาชนทั้งหลาย
จงเข้าใจความมุ่งหมายของพระพุทธศาสนา
จงทราบคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าตามนัยนี้ จะได้ไม่ถูกใครเขาหลอกลวงให้ปฏิบัติอย่างนั้น
ทำบุญอย่างนี้ อันเป็นทางนำมาซึ่งความวุ่น จนไม่มีโอกาสเข้าถึงสัจธรรม
เลยไม่เห็นคุณค่า ว่าศาสนาจะช่วยตน หรือนำมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างไร.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น