ฟ้าสางทางปรมัตถ์,
อภิธรรม,
อุบาสก,
บรรพชิต.
:-
บรรยายธรรมประจำวันเสาร์ ภาคอาสาฬหบูชา ชุดฟ้าสางระหว่างห้าสิบปีที่มีสวนโมกข์
ครั้งที่ 19
13 สิงหาคม พ.ศ. 2526 ณ ศาลามหานาวา
สวนโมกขพลาราม ไชยา
ท่านสาธุชน
ผู้มีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย,
การบรรยายประจำวันเสาร์
แห่งภาคอาสาฬหบูชาเป็นครั้งที่ 7 ในวันนี้
อาตมาจะได้กล่าวคำบรรยายในชุด ฟ้าสาง ต่อไปตามเดิม
เราได้พูดกันถึงเรื่อง
ฟ้าสางระหว่างห้าสิบปีที่มีสวนโมกข์ เป็นลำดับๆมา. วันนี้ก็มาถึงเรื่อง ฟ้าสางทางปรมัตถ์,
ฟ้าสางทางอภิธรรม, ฟ้าสางทางอุบาสก และ
ฟ้าสางทางบรรพชิต. ขอให้ท่านทั้งหลายพยายามกำหนดจดจำ
พิจารณาดูเอาเองให้ได้รับข้อความที่เป็นประโยชน์ตรงตามความประสงค์ของท่าน. อาตมามีความจำเป็นที่จะต้องกล่าวไปตามลำดับ
เพื่อให้ครบชุดกันเสียที ; ในแต่ละเรื่องๆ
ล้วนแต่มีข้อความเกี่ยวกับคนทั่วไป
ซึ่งท่านทั้งหลายก็อาจจะถือเอาความหมายนั้นๆได้เป็นประโยชน์ในวันนี้ ข้อแรกคือ.
ฟ้าสางทางปรมัตถ์
คำว่า
“ปรมัตถ์” นี้ก็เป็นคำคุ้นหูของท่านทั้งหลาย แล้วก็มักมาพร้อมๆกัน หรือคู่กัน
กับคำว่า “อภิธรรม”; ในชนบางพวกเขาใช้แทนกันเลย : ปรมัตถ์ก็คืออภิธรรม อภิธรรมก็คือปรมัตถ์, อย่างนี้ก็มี.
แต่ถ้าเราดูให้ลึกซึ้งจริงๆจะพบว่าคนละคำ มีความมุ่งหมายต่างกัน ปรมัตถ์ ณแปลว่า
ณมีเนื้อความอันยิ่งหรืออันลึก, อภิธรรม มีความหมายว่า ธรรมะอันยิ่งหรืออันเกิน. ถ้าจะแยกให้เด็ดขาดสัยตั้งแต่ต้น
ประกันความฟั่นเฝือ ก็จะพูดว่า ปรมัตถ์นั้นมันขุดลึกลงไป,
อภิธรรมนั้นมันขยายกว้างออกไป. อันหนึ่งมันเจาะลึกลงไป,
อันหนึ่งมันขยายออกกว้างไปทางข้างๆหรือโดยรอบ,
ถ้าถือเอาใจความอย่างนี้แล้วก็จะเข้าใจได้ง่าย.
ศึกษาเรื่องปรมัตถ์ให้ถูกต้อง.
เรามีเรื่องปรมัตถ์ คือว่า
มันมีเรื่องลึกที่ต้องขุดหรือเจาะลงไปให้ถึง, แล้วเราก็มีเรื่องอภิธรรม
ที่จะขยายขอบเขตออกไปรอบตัว ให้มันกว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้. นี้จะได้วินิจฉัยกันโดยละเอียดต่อไปข้างหน้า ; จึงขอให้สนใจว่า ปรมัตถ์ นี้มันคล้ายๆกับคำว่า ปรัชญา
ในความหมายที่ถูกต้องของภาษาบาลีหรือสันสกฤต
แล้วก็จะได้เป็นรากฐานของศีลธรรม.
ความรู้ในชั้นปรมัตถ์ อาจจะใช้เป็นรากฐานของศีลธรรม, ให้สำเร็จประโยชน์ถึงที่สุด. อาตมาเห็นว่าควรจะสนใจอย่างยิ่ง
เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายก็มาสนใจธรรมะ อาตมาก็เกณฑ์ให้สนใจสิ่งที่เรียกว่าปรมัตถ์.
การศึกษาที่ไม่สมบูรณ์ หรือเท่าที่ท่านทั้งหลายมีอยู่อย่างไม่สมบูรณ์ มันจะดึงไปสู่ความเห็นแก่ตัว ; นี่ขอให้สังเกตุดูให้ดีในข้อนี้กันก่อนว่า
การศึกษาที่นิยมยกย่องกันนักในโลกนี้ มันได้กลายเป็นเครื่องมือให้เห็นแก่ตัว ดึงไปสู่ความเห็นแก่ตัว. ท่นดูการศึกษาในโลกตั้งแต่ตกต่ำที่สุดถึงสูงสุด มันเพื่อตัว, เพื่อความเห็นแก่ตัว นี้มันยังไม่ใช่ปรมัตถ์ เพราะการเห็นแก่ตัวนั้นมันทำลาย
เดี่ยวนี้เรายิ่งฉลาด ยิ่งรู้มากยิ่งฉลาด
มันดก็มองเห็นโอกาสที่จะเห็นแก่ตัวที่จะเอาเปรียบผู้อื่น,
มันก็เดินไปในทางเอาเปรียบผู้อื่น.
ขอให้ดูในโลกเวลานี้ทั้งโลกนี่
เขามุ่งทำสิ่งเพื่อประโยชน์ของตัว ;
แต่ละประเทศล้วนแต่เห็นแก่ตัว ทั้งที่ประเทศนั้นเจริญด้วยการศึกษา
เรียกว่าในระดับสูงสุดของโลก
เขาก็ยังเห็นแก่ตัว บางทีจะพูดได้เลยว่า ยิ่งรู้มากยิ่งเห็นแก่ตัวเก่ง, ยิ่งรู้มากจะยิ่งเห็นแก่ตัวเก่ง. แล้วมันจะเกิดผลอะไรขึ้น?
ขึ้นชื่อว่า ความเห็นแก่ตัว,
ความเห็นแก่ตัว, ช่วยดูให้ดีๆ แม้จะเห็นแก่ตัวอยู่คนเดียว
มันก็กัดหัวใจคนนั้นอย่างยิ่งอยู่แล้ว. คนเห็นแก่ตัวจะคิดนึกไปในทางที่จะให้เกิดความทุกข์แก่ตัวทั้งนั้นแหละ
มันจะอยากได้เกินขอบเขต หรืออิจฉาริษยา,
หรือมันคิดไปในทำนองที่จิตใจของเจ้าของนั้นมันจะมีความทุกข์
เห็นแก่ตัวอยู่คนเดียวมันก็แย่แล้ว.
ทีนี้ความเห็นแก่ตัวนี้มันขยายไปยังผู้อื่นออกไปกระทบกระทั่งกับผู้อื่น
มันก็เกิดเรื่อง ได้ทะเลาะวิวาทกันโดยบุคคลโดยหมู่โดยคณะ โดยประเทศ หรือว่าโดยครึ่งโลกเลย ; ถ้าเขาแบ่งกันเป็นครึ่งโลก ต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัวแล้วมันก็จะเป็นอย่างไร. นี่เราไม่ได้มีส่วนสงครามอะไรกับใคร ก้พลอยเดือดร้อนจากสงคราม
ที่เนื่องมาจากความเห็นแก่ตัวของแต่ละฝ่าย ;
อย่างนี้เรียกว่าการศึกษาไม่พอ, การศึกษานั้นไม่เป็นปรมัตถ์พอ ไม่ลึกซึ้งพอ,
ไม่เห็นตามที่เป็นจริง ว่าอะไรเป็นอะไร จึงทำไปไก้ในลักษณะที่เห็นแก่ตัว
ก็ครอบงำผู้อื่น แล้วก็ตอบโต้กันไปมา จนวินาศกันทั้ง 2 ฝ่าย.
นี่จึงมีเหตุผลที่ว่าเราจะศึกษาให้ถูกต้อง
ให้แท้จริง ให้ลึกซึ้ง ถึงขั้นที่เรียกว่าปรมัตถ์ ; อาตมาจึงเอามาพูดและถือว่ามันเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ซึ่งจะต้องมีลักษณะที่เรียกว่า “ฟ้าสาง”
คือมันสางขึ้นมา ให้เป็นแสงสว่าง
อย่าให้มันมืดมนเหมือนแต่ก่อน.
ปรมัตถ์ – ขุดลึกลงไป
ก็พบความจริงมากขึ้น ; อภิธรรม –
ขยายออกไปกว้างๆรอบๆตัว ขยายออกไปเท่าไรมันก็ไม่ลึก. ดังนั้นจุดจบของมันจึงต่างกัน
จุดจบของประมัตถ์ อรรถอันลึก, อรรถอันลึก
มันไปจบที่ว่างที่เป็นสุญญตา
ที่ว่างจากตัวตนไม่มีตัวตน ; แต่จุดจบของอภิธรรมนั้น
ตามที่เขาพูดกันศึกษากันนั้น ไปจบที่มหากุศล นี่ความแตกต่างที่เห็นได้ชัด ว่าพวกอภิธรรมต้องการจะไปจบที่มหากุศล
คือกุศลอันย่งใหญ่. เขาไปหลงใหลในมหากุศล
ในเมื่อพวกปรมัตถ์ไปหลงใหลในสุญญตา ว่างไปหมด ว่างจากกุศล ว่างจากอกุศล,
ว่างจากอัพยากฤตด้วยก็ได้
คือมันไม่มีตัวตน ; ส่วนอภิธรรมไปมีตัวตนที่ดีที่สุด,
โดยเฉพาะอภิธรรมที่มีอยู่ในเมืองไทย
ร้องหาแต่มหากุศลคือตัวตนที่ยิ่งใหญ่,
ถ้ากำหนดข้อความนี้ไว้ให้ชัดเจนแล้วจะประกันความฟั่นเฝือได้เป้นอย่างยิ่ง.
ปรมัตถ์
ต้องเห็นลึกพ้นความหมายธรรมดา.
ทีนี้จะอธิบายให้มันชัดยิ่งขึ้นไปว่า ปรมัตถ์
–อรรถอันลึก ทำให้เห็นว่า ดี ชั่ว ก็เหมือนกัน, กุศล อกุศล
ก็เหมือนกัน, อะไรๆที่เป็นคู่ๆคู่ๆอย่างที่เรียกกันอยู่ในโลกนั้นมันเกมือนกัน ; ดังนั้นจึงไม่แยกเป็นดีเป็นชั่วได้ แต่ อภิธรรมแยกดีไปเป็นดี,
ดีๆที่สุด, แยกชั่วเป็นชั่วๆชั่วๆอย่างยิ่ง ชั่วที่สุด, คือมันขยายน้ำหนักความหมายไปตามเดิม แต่ให้มันมากหรือให้มันที่สุด. ส่วนปรมัตถ์นี้มันจะดูให้ลึกๆลึกๆ,
ลึกไปจนพ้นความหมายเช่นนั้น ที่แยกกันเป็นคู่ๆ
เช่น ดีชั่ว บุณบาป สุขทุกข์ กุศลอกุศล เป็นต้น.
นี้บางคนอาจจะงง แต่มันก็ไม่ลึกซึ้งจนถึงกับจะต้องงงดอก
ฉะนั้นคอยฟังให้ดีๆก็แล้ว.
เช่นว่า ดีกับชั่ว
คนธรรมดาเขาเห็นว่าคนละอย่างตรงกันข้าม.
นี่คนธรรมดามองตื้นๆไม่เป็น ปรมัตถ์, คนธรรมดาสามัญมองตื้นๆ
ไม่เป็นปรมัตถ์, แล้วมันก็เห็นว่าดีว่าชั่ว
แล้วก็ยึดมั่นความดีและความชั่ว ทั้งดีและชั่วมันเป็นสังขารเท่านั้น
; ถ้ามันเป็นกรรม เป็นชั้นกรรม
มันก็เป็นของปรุงแต่งให้เวียนว่ายตายเกิดเท่ากันเลย,
ทั้งดีและชั่วนั้นแหละมันปรุงแต่งให้เวียนว่ายตายเกิดเท่ากันเลย,
ทั้งดีและชั่วนั่นแหละ มันปรุงแต่งให้เวียนว่ายตายเกิดเท่ากัน,
ไม่ใช่มันให้หยุดเสียซึ่งการเกิด.
ความหมายว่าดีก็ให้เกิดดี ชั่วให้เกิดชั่ว หวังเกิดดีหวังเกิดชั่ว
คำว่าบุญหรือคำว่าบาป มันก็เป็นเครื่องให้เกิด, ให้ปรุงแต่ง ให้เกิด
เป็นไปเพื่ออาสวะ ยังเป็นไปเพื่ออาสวะ, สุขหรือทุกข์มันก็เป็นสังขารเท่ากัน
มีผลมาจากการปรุงแต่ง, ไปยึดถือเอาแล้วมันกัดเอาทั้งนั้น,
ถ้าไปยึดถือแล้วมันมีความทุกข์ทั้งนั้น.
อาตมาใช้คำว่า ไปยึดถือว่าตัวตนว่าของตนแล้ว มันกัดเอาทั้งนั้น. นี่มองอย่างปรมัตถ์ มันกลายเป็นอย่างนี้.
ดีกับชั่วมันก็เป็นเรื่องสังขารไปตามกฏของอิทัปปัจจยตา. แต่คนเขาสมมติส่วนที่ถูกใจว่าดี
ที่ไม่ถูกใจว่าชั่ว : อะไรพอใจก็ว่าบุญ
อะไรไม่พอใจก็ว่าบาป ; แต่อย่าลืมว่า ทั้งดีทั้งชั่ว
ทั้งบุญทั้งบาป เป็นเรื่องปรุงแต่งยึดถือแล้วมีความทุกข์,
และมีลักษณะแห่งทุกดข์.
ผู้เห็นปรมัตถ์ จึงเห็นว่ามัน ไม่น่ารักเท่ากันแหละ
ดีชั่ว บุญบาป สุขทุกข์ แพ้ชนะ กำไรขาดทุน
เป็นคู่ๆ ไม่รู้กี่สิบคู่ ล้วนแต่ยึดถือไม่ได้,
ล้วนแต่ยึดถือเข้าไปแล้วเป็นความทุกช์, เป็นไปเพื่อกิเลส, เป็นไปเพื่ออาสวะ. นี่นักปรมัตถ์เขามองอย่างนี้ ; ถ้าเป็นนักอภิธรรม มันขยายเขื่อง, ขยายเขื่องออกไปรอบด้าน : ดีๆดี ดี จนดีที่สุด ชั่วๆชั่วๆ
จนชั่วที่สุด
มันก็ยังเกลียดชั่วรักดี
รักดีเกลียดชั่วอยู่นั่นแหละ, มันยังอยู่ใต้ความหมายของคำคำนี้ ; ดังนั้นจึงไม่ใช่ความหลุดพ้น ต้องอยู่เหนือนั่น.
เราจะไม่เป็นคนดีคนชั่ว
เป็นคนอยู่เหนือความหมายของคำว่าดี ว่าชั่ว, เราจะไม่ต้องสุขหรือเป็นทุกข์ เราจะไม่เอาทั้งบุญทั้งบาป ; เพราะว่ามันปรุงแต่งทั้งนั้น.
เราจะไม่แพ้และไม่ชนะ, เราเป็นผู้ที่ไม่มีการแพ้ไม่มีการชนะ แต่อยู่ตรงกลาง, เราจะไม่ขาดทุนและไม่กำไร,
จะไม่ไปยึดถือกำไรจะไม่ไปยึดถือขาดทุน, มีจิตใจเกลี้ยงว่าง
ไม่ยึดถือความหมายว่าขาดทุน, ไม่ยึดถือความหมายว่ากำไร,
ไปเทียบดูเองว่ามันสบายกว่ากันเท่าไร.
ฉะนั้น สิ่งที่เขาบัญญัติกันไว้เป็นคู่ๆ
คู่ๆนั้น เพราะว่าเขาไปยึดถือความหมายด้านเดียว,
กระทั่งถึงว่าเราจะไม่เป็นผู้หยิง ไม่เป็นผู้ชาย ; แต่ก็ไม่ใช่เป็นกระเทย, ไม่มีความหมายยึดมั่นในความเป็นผู้หญิง
ไม่มีความหมายมั่นยึดถือในความเป็นผู้ชาย, มีจิตเกลี้ยง มีจิตว่าง ; อย่างนี้เรียกว่ามันเป็นนักปรมัตถ์.
ถ้าเป็นผู้หยิงให้มากเข้า, เป็นผู้ชายให้มากเข้า, นั่นมันจะเป็นนักอภิธรรม
แล้วปัยหามันไม่จบ.
นี่เรากำลังจะพูดกันถึงเรื่องปรมัตถ์ มองให้เห็นว่าปัญหาทั้งหลาย, ปัญหาคือความยุ่งยากลำบาก
กระทั่งเกิดทุกข์ทั้งหลายนั้นมันมาจากความยึดถือ เรื่องดีเรื่องชั่ว. ถ้ามันไม่มีเรื่องดีเรื่องชั่ว,
ไม่มีเรื่องได้เรื่องเสีย, มันไม่มีปัญหาเลยในโลกนี้. นี่เพราะมีสิ่งที่เป็นคู่ สำหรับจะยึดถือให้ยิ่งๆขึ้นไป แล้วแต่ชอบฝ่ายไหน
; นั้นแหละ ทำให้เกิดปัญหา.
นักปรมัตถ์เห็นว่า บุญเป็นอุปธิ ;
จะเรียกว่าอาสวะก็ได้, ความหลงใหลในบุญเป็นอาสวะชนิดหนึ่ง,
หรือบุญนี้เป็นของหนัก เป็นอุปธิ คือดี
ที่ว่าดีๆดีๆเป็นของหนัก ไปยึดถือเข้าแลฃ้วเป็นของหนัก เป็นอุปธิ
เป็นผู้แบกของหนักเดินไม่รอด.
หรือจะใช้คำว่า รสย, รวยก็เป็นอุปธิ.
ยึดถือในความรวย ความสวย ความมีเกียรติ มีอะไรก็ตาม
ที่คนเขายึดถือกันนักนี่
ในชั้นปรมัตถ์ก็เห็นว่ามันเป็นอุปธิ.
ฟ้าสางทางอุปธิ แล้วก็คนเขาก็จะไม่หลงยึดถือในสิ่งนั้น
ในชั้นสูงสุด ผู้เป็นนักปรมัตถ์
เห็นอรรถอันลึก ก็จะเห็นว่า สังขตะก็ไม่ไหว, อสังขตะก็ไม่ไหว, ไม่ไหวสำหรับจะยึดถือ. สิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่งก็ไม่ไหว ยึดถือแล้วก็กัด,
สิ่งที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง คือเป็นสังขตะ คือเป็นอสังขตะ
รวมทั้งพระนิพพานด้วย ก็ยึดถือไม่ได้ ; ถ้ายึดถือก็บ้าเลย
เพราะมันไม่มีอะไรให้ยึดถือ, หรือถ้ายึดถือแล้ว
มันก็ไม่เกิดเป็นสิ่งนั้นขึ้นมาได้.
เช่นยึดถือนิพพานอย่างนี้มันไม่เป็นนิพพานขึ้นมาได้ ; ฉะนั้นจึงไม่ยึดถือสังขารหรือวิสังขาร, ไม่ยึดถือสังขตะหรืออสังขตะ, นี่เป็นปรมัตถ์.
คนทั่วไปเขาก็นึกเอาตามความรู้สึกธรรมดาๆว่า
ยิ่งดีก็ยิ่งอยากได้ ยิ่งยึดถือ ;
เช่นพระนิพพานนี้เราจะต้องยึดถือ ; ไปยึดถือเข้ามันก็ไม่เป็นนิพพาน เพราะคำว่า พระนิพพาน
นั้นมันเกิดมาจากความปราศจากการยึดถือ, ปราศจากการยึดถือ, แล้วมันก็ว่าง
ว่างแล้วก็เบา ไม่มีความทุกข์ ไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดความร้อน
มันจึงเย็นเพราะไม่มีกิเลสซึ่งเป็นของร้อน.
คนธรรมดารู้จักแต่เรื่องสังขตะหรือสังขาร ไม่รู้เรื่องฝ่ายอสังขตะ หรือฝ่ายวิสังขาร
เราก็ยึดดียึดชั่ว บุญบาป สุกขทุกข์ แพ้ชนะ ;
นี้เป็นเรื่องสังขาร, เป็นเรื่องสังขตะอยู่ที่นี่ ถ้ามันเป็นวิสังขาร เป็นอสังขตะ
มันไม่มีความหมายว่าดีว่าชั่ว ว่าแพ้ว่าชนะ, ว่าได้ว่าเสีย, ว่ารวยว่าจน,
ที่เป็นคู่ๆคู่ๆ ไปคิดเอาเองเถอะ.
อะไรที่ในโลกนี้เขาพูดไว้เป็นคู่ๆคู่ๆมีกี่สิบคู่ก็ตาม ไปดูเถอะ
มันเรื่องพูโอย่างเด็กอมมือทั้งนั้นแหละ พูดอย่างคนที่ไม่รู้ว่าสองอย่างนั้นมันอย่างเดียวกัน.
ตัวอย่างเช่นที่พูดมาแล้ว
เช่นกำไรนี่ มันก็คือเมื่อได้ตามชอบใจ, ขาดทุนเมื่อมันไม่ได้ตามชอบใจ ; แต่โดยธรรมชาติแล้ว มันก็กระทำให้จิตใจปั่นป่วนเหมือนกัน.
เอาให้ใกล้ๆเข้ามาก็ว่า ความดีใจกับความเสียใจ
คนเขาก็มองกันว่ามันต่างกันตรงกันข้าม, จริงสิ เอาความรู้สึกของคนธรรมดาลูกเด็กๆแล้วมันต่างกันตรงกันข้าม
ความเสียใจกับดีใจ ; แต่ถ้านักปรมัตถ์รู้จักสิ่งนี้ดีแล้ว
เขาเห็นว่ามันบ้าเหมือนกัน ; ดีใจก็บ้าไปชนิดหนึ่ง,
เสียใจก็บ้าไปชนิดหนึ่ง อย่าไปเสียใจอย่าไปดีใจ อยู่ด้วยสุญญตาหรือความว่าง
ดีใจมากเข้าก็กินข้าวไม่ลง, เสียใจมากเข้าก็กินข้าวไม่ลง.
นี่ลองสังเกตที่ตรงนี้สิ
ดีใจนักก็กินข้าวไม่ลง.
ไม่รู้มันบ้าอะไรของมัน, เสียใจนักก็กินข้าวไม่ลง
มันก็เป็นความบ้าอีกชนิดหนึ่ง ฉะนั้น ผ๔มีปัญญาถึงขนาดนี้ เขาจึงมุ่งไม่ดีใจไม่เสียใจ, ไม่ยินดีไม่ยินร้าย, ไม่หวั่นไหว
ความดีใจก็ปรุงแต่งเขาไม่ได้, ความเสียใจก็ปรุงแต่งเขาไม่ได้, จิตใจของเขาจึงเป็นปรกติเยือกเย็นเป็นนิพพาน.
เรื่องที่จะไปถึงนิพพานได้นี้ มันก็เป็นเรื่องลึกเป็นเรื่องชั้นลึก เป็นเรื่องชั้นปรมัตถ์, ข้ามพ้นของที่เป็นคู่ๆคู่ๆอยู่ในโลกนี้ไปทั้งหมด.
เดี๋ยวนี้คนในโลกนี้ทั้งหมดมันก็หลงใหลอยู่ในของคู่ เช่น “ฉันจะชนะ ฉันจะครองโลก”
นี้เป็นต้น.
เขาก็ขวนขวายกันแต่อย่างนั้น.
ที่จริงเรื่องครองโลก หรือไม่ครองโลก, จะเป็นผู้ครอบครอง
หรือเป็นผู้ถูกครอบครอง, มันก็เป็นเรื่องยุ่งเท่ากัน, เป็นเรื่องปัยหาเท่ากัน. ไม่ต้องมีการครอบครอง,
ไม่ต้องมีการถูกครอบครองดีกว่า, ทำจิตใจให้อยู่เหนือการครอบครองและการถูกครอบครอง
นี้ก็คือเรื่องปรมัตถ์.
ศึกษาไปในทางเห็นแก่ตัว
โลกจะไม่มีสันติภาพ.
นี้อยากจะขอแทรกสักหน่อยว่า การศึกษาไหนในโลก มันสอนในเรื่องนี้บ้าง
ไปเรียนเมืองนอกมา มหาวิทยาลัยเมืองนอกมา จบมาหลายๆอย่าง
ปริญญายาวเป็นหางมาจากเมืองนอก แล้วเคยได้ฟังหรือได้รับคำสั่งสอนอย่างนี้บ้างหรือเปล่า?
มหาวิทยาลัยไหนสอนเรื่องให้มีจิตใจอยู่เหนือของเป็นคู่ๆคู่ๆ,
มันล้วนแต่สอนให้ได้ให้เอาในสิ่งที่เขานิยมกัน.
วิชาทั้งหลายที่เป็นความก้าวหน้า เป็นความเจริญ มันก็เป็นไปเพื่อได้
เพื่อเอา เพื่อชนะ เพื่อครองโลกทั้งนั้น ;
ฉะนั้น โลกเรานี้มันจึงมีแต่การเห็นแก่ตัว.
ยิ่งรู้มาก ยิ่งเก่งมากเท่าไร
มันก็สามารถที่จะเอาเปรียบผู้อื่นได้มากเท่านั้น, มันก็เห็นแก่ตัว มันเป็นโอก่า ; ฉะนั้นต่อให้, ขอใช้คำหยาบคายหน่อยนะ
ต่อให้มันจัดการศึกษาอย่างนี้ไปอีกกี่ร้อยชาติ โลกนี้มันก็ไม่มีสันติภาพ. อาตมาบอกว่าอย่างนี้
โลกนี้ที่นักการศึกษาในโลกเขาจัดกันในรูปนี้ มันไม่มีวันที่จะถึงสันติภาพ ; เพราะสิ่งที่ให้เรียนนั้น
ก็ล้วนแต่พอกพูนความเห็นแก่ตัว ; แต่พุทธศาสนาเราสอนอย่างนี้
: สอนเพื่อหยุด ให้เลิกความเห็นแก่ตัว. แล้วเราก็ไม่ได้ใช้, ในเมืองไทยก็ไม่ได้สอน,
แล้วก็ไปเรียนที่เมืองฝรั่งมา ก็เพื่อเห็นแก่ตัวอย่างสูงสุด.
นี้โง่หรือฉลาดคิดดูเถอะ ของวิเศษที่เรามีกันอยู่แล้ว เราไม่สนใจศึกษา ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ คือการศึกษาที่จะทำลายความเห็นแก่ตัว
แล้วทำโลกให้มีสันติภาพ เราไม่สนใจ ;
เราไปเรียนกับพวกฝรั่ง ตามก้นพวกฝรั่ง ที่ส่งเสริมความมีตัว ความเห็นแก่ตัว
เพื่อจะครองโลก.
ระวังให้ดีนะ ต่อไปบางทีพวกฝรั่งเขาเกิดนึกได้ขึ้นมา
เขาอยากจะศึกษาเรื่องความไม่เห็นแก่ตัว เขาจะมาศึกษาที่บ้านเรา,
เขาจะมาศึกษาที่บ้านเรา, แล้วเขาก็จะพูดว่า เรามันเหมือนกับลิงได้แก้ว
ไม่รู้จักใช้ประโยชน์ มันชอบแตงโมลูกเดียว.
ลิงนี้มันไม่ได้ชอบแก้วที่มันมีประเสริฐที่สุด
เป็นวิชชาที่ประเสริฐที่จะทำมนุษย์ให้ดับทุกข์ ทำโลกให้สันติภาพ
ซึ่งมีอยู่แล้วในพุทธศาสนา.
แต่พุทธบริษัทก็ไม่ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์เลย,
แล้วเห็นว่าเป็นเรื่องพ้นสมัยล้าสมัย, ไปเอาเรื่องเทคโนโลยี สร้างอำนาจ สร้างกำลัง
สร้างฤทธิ์สร้างเดช ที่จะชนะผู้อื่นกันดีกว่า ;
นี่ความเป็นปรมัตถ์จะอยู่ที่ตรงนี้.
บอกให้ล่วงหน้า ให้ลืมตา, ให้เริ่มลืมตา
ให้เห็นว่า สิ่งวิเศษนี้มันมีอยู่แล้วในพุทธศาสนา, ในหมู่คนที่นับถือพุทธศาสนา
; แต่เดี๋ยวนี้มันมาถึงยุคที่ลุ่มหลงวัตถุ เครื่องสนองกิเลสตัรหา
มีความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางวัตถุ มาหลงเรื่องนี้กันหมด. เรื่องที่ดีจริง ประเสริฐจริง สูงสุดจริง
ก็มักถุกละทิ้ง ให้มันกลายเป็นหมันอยู่ ; เมื่อไรจะถูกขุดขึ้นมาใช้กันอีกสักที
เมื่อนั้นโลกจะมีสันติภาพ, มนุษย์แต่ละคนจะดับทุกขืได้จริงถึงที่สุด
ตรงตามความประสงค์ของธรรมะ.
อาตมาคิดว่า ทุกคนที่มาจากกรุงเทพฯ
หรือจากไหนก็ตาม ก็เพื่อการศึกษาธรรมะทั้งนั้นแหละ ; แต่ดูให้ดีว่าศึกษาธรรมะอะไร, ศึกษาเพื่ออะไร, อยู่ที่ไหน. ถ้าจะศึกษาธรรมะไปช่วยให้มีความก้าวหน้าทางโลก
แล้วคงจะผิดหวัง ; เพราะว่าความมุ่งหมายของธรรมะแท้ๆนั้น
จะดับทุกข์ดับกิเลสของบุคคลและของโลก, ไม่ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว. ถ้าเอาธรรมะไปใช้เพื่อส่งเสริมความเห็นแก่ตัว
มันก็ไม่ถูกเรื่องของธรรมะ ;
เพียงแต่จะมาศึกษาพระพุทธศาสนาไปเป็นครูสอนพุทธศาสนา เอาค่าจ้างสอนอะไรนี้ นี้ไม่ใช่ความมุ่งหมายของธณรมะ แต่ก็ทำได้,
ผลเพียงเท่านั้นมันก็พอจะทำได้ ผลที่แท้จริงมันจะต้องดับทุกข์ได้. ให้ทุกคนรู้จักกิเลสตัรหา
หรือว่ากระแสการปรุงแต่งในจิตใจที่ทำให้เกิดทุกข์ ;
นั่นแหละตัวธรรมะซึ่งคนธรรมดาไม่ต้องการ ;
ต่อเมื่อคนธรรมดาเป็นผู้มีสติปัญญาลึกซึ้งถึงขนาดที่จะเรียกว่า เป็นนักปรมัตถ์ที่แท้จริง
เขา จะมองเห็น แล้วเขาจะต้องการ.
อาตมาต้องใช้คำว่า
นักปรมัตถ์ที่แท้จริง ;
เพราะมันมีนักปรัมตถ์ที่ไม่แท้จริงที่ปลอมอยู่เยอะแยะเลย. ถ้าเขาไม่มุ่งไปยังส่วนลึก พ้นจากความมีตัวตน
แล้วก็ไม่ใช่นักประมัตถ์ที่แท้จริงดอก ;
มันเป็นนักประมัตถ์แต่ปาก, นักปรัมัตถ์ท่องจำ, แล้วก็พูดไปว่าไม่มีตัวตน ; แต่ก็มีตัวตนเต็มที่ อย่างนี้ไม่ใช่นักปรมัตถ์ที่แท้จริง.
ความสุขขั้นปรมัตถ์
ต้องไม่กัดเจ้าของ.
ให้เห็นชัดลงไปอีก
เหมือนกับว่า ขุดลึกๆขุดลึกไปอีก
ก็จะยิ่งเห็นชัดลงไปอีก. เรื่องที่เรากำลังหลงกันอยู่เป็นประจำ
ก็คือคำว่า ความสุข ; คนธรรมดาที่ไม่รู้จริงเอาไปปนกันเสียกับความเพลิดเพลิน
เอร็ดอร่อยสนุกสนาน. คำว่า ความสุขนั้นมันต้องสุขจริง แล้วก็ไม่กัดเจ้าของ. ถ้าความเพลิดเพลินสนุกสนานที่ชอบเรียกกันว่า
ความสุขชนิดที่มันกัดเจ้าของ นั้นไม่ใช่ความสุข ; เอาไปใช้กันผิดๆ หรือเรียกผิดๆ ;
ความสุขที่แท้จริงจะไม่กัดเจ้าของ เพราะมันมาจากความหมดกิเลสซึ่งเป็นตัวกัด.
แต่ความเพลิดเพลินอย่างที่ทำให้เงินเดือนไม่พอใช้
; ใครเงินเดือนไม่พอใช้บ้างก็ลองสังเกตดูเถอะ. เขาไปหลงใหล
ในความเพลิดเพลิน สนุกสนานเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง ทางอายตนะ คือ ตา หู จมุก ลิ้น
กาย ใจ เรียกสั้นๆในภาษาธรรมะว่า เขาเป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของอายตนะ เป็นบ่าวเป็นทาส, เป็นทาสของอายตนะ
คือเป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.
เขาเป็นทาสของอารมณ์ คือเป็นทาสของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์
สิ่งที่จะมาให้ความอร่อยแก่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อีกเหมือนกัน ; เขาเป็นทาสของอารมณ์ก็ได้, จะเรียกว่าเขาเป็นทาสของอายตนะก็ได้
แล้วเขาก็คิดว่านี่เป็นความสุข ไปหลงเอาสิ่งที่ไม่ใช่ความสุขว่าเป็นความสุข.
อาตมาพูดหยาบคาย
ความสุขแท้จริงต้องไม่กัดเจ้าของ, ความสุขหลอกลวง ความสุขปลอม จะกัดเจ้าของ
แล้วแพงมาก. ความสุขที่แท้จริง
ยิ่งจริงเท่าไรยิ่งไม่ต้องใช้เงิน ; อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า
นิพพานนั้นให้เปล่า ; ถ้ายังต้องจ่ายเงินแล้วยังไม่ใช่นิพพาน. นิพพานเป็นของให้เปล่า
คือกำจัดกิเลสให้หมดไป.
ข้อนี้จะพูดอย่างธรรมดาๆว่า
ความสุขที่แท้จริง เกิดขึ้นมาจากความพอใจ ว่าเราได้ทำสิ่งที่ถุกต้อง
คือได้ปฏิบัติธรรมะ. ธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต
; เราได้ปฏิบัติธรรมะอย่างถูกต้อง แล้วก็พอใจ แล้วก็เป็นสุข
นี่สุขที่แท้จริง ไม่ต้องเสียสักสตางค์หนึ่ง, แล้วจะประหยัดสตางค์ไว้ได้หมด
เอาไปใช้อย่างอื่นก็ได้, ไม่ต้องซื้อความสุข
เพราะความสุขที่แท้จริงนั้นไม่ต้องซื้อ, ซื้อไม่ได้, ถ้าซื้อแล้วไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง.
อย่างเป็นครู
ทำหน้าที่ครูอยู่แท้ๆนี่ ก็พอใจในการทำหน้าที่ครู ว่าทำหน้าที่สูงสุดที่มนุษย์ควรจะทำ,
แล้ว ผลของเรายังช่วยเหลือไปถึงคนอื่น,
ให้ผู้อื่นได้พลอยรับความสุขด้วย ;
เราก็พอใจ แล้วก็เป็นสุข เยือกเย็น พอใจนับถือตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้
ไม่ต้องเสียสักสตางค์, ถ้าความสุขชนิดที่ยกมือไหว้ตัวเองได้.
ทีนี้ เป็นครูรีบเลิกออฟฟิศ ไปอาบอบนวด
ไปสถานเริงรมณ์ เงินเดือนไม่พอใช้ แล้วก็ตะโกนว่า ความสุขๆ. นั่นดูไปเถอะ
ความสุขที่มันกัดเจ้าของ, แล้วมันต้องใช้เงินมาก
จนเงินเดือนไม่พอใช้แหละ.
เดี๋ยวนี้มีปัญหาอย่างนี้ เรื่องคอรัปชั่นทั้งหลาย
มาจากหลงใหลนความสุขชนิดหลอกลวงทั้งนั้น นี้ความไม่เป็นนักปรมัตถ์
ไม่มีความรู้อย่างปรมัตถ์ ไม่สามารถจะแยกออกจากกันสียได้
ระหว่างความสุขที่แท้จริงกับความสุขที่หลอกลวง.
ความสุขที่หลอกลวง
นั้นอย่าไปเรียกมันว่าความสุขดีกว่า, เรียกว่าความเพลิดเพลิน
ก็พอแล้ว. คนเป็นทาสของกิเลสตัณหา ;
มันต้องหาเหยื่อมาสนองให้แก่กิเลสตั.ณหา ;
แล้วกิเลสตัณหามันเป็นผู้สุข,
มันเป็นความสุขของกิเลสตัณหา.
เจ้าของนั้นเงินเดือนไม่พอใช้ ต้องคดโกง ต้องคอรัปชั่น ต้องจี้ต้องปล้น
ต้องเป็นอันธพาล เหมือนอันธพาลในกรุงเทพฯเต็มไปหมด เพราะมันหลงความหลอกลวงของความสุขว่าเป็นความสุข
; เพราะเขาไม่มีความรู้ในชั้นปรมัตถ์ ที่จะแยกความสุขออกมาเสียได้จากความเพลิดเพลิน.
มันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน.
อาตมาคิดว่า
ถ้าครูบาอาจารย์เหล่านี้จะช่วยสอนเด็กๆ ให้รู้จักแยกกันเสียแต่ป่านนี้
จะได้บุญที่สุดเลย. เด็กๆเขาจะไม่ตกไปเป็นเหยื่อของกิเลสตัณหา
; จะไม่ทำอะไรเพื่อสนองกิเลสตัณหา ;
แต่เป็นการประพฤติธรรมะอย่างยิ่ง.
ขอให้สนใจด้วย จะได้บุญเหลือประมาณ
คือ ความดีที่ควรจะได้ในการงานในหน้าที่นั้นเอง ; ประกอบอาชีพที่ได้บุญ แต่ต้องให้ความหมายมันดีหน่อยว่า,
บุญชนิดนี้ไม่กัดเจ้าของ, ไม่ใช่บุญชนิดที่เป็นการปรุงแต่งให้มันหลงใหล,
มันเป็นการทำประโยชน์ผู้อื่นอย่างแท้จริงอย่างกว้างขวาง.
อาชีพที่ประกอบแล้วได้บุญด้วยนั้น มีไม่กี่อาชีพดอก ที่มองเห็นอยู่ ก็เช่น อาชีพครู
อาชีพผู้พิพากษา ตุลาการอะไรที่คล้ายๆกัน, ทำงานนี้ก็ได้สิ่งที่มาเลี้ยงชีพด้วย แล้วอีกส่วนหนึ่งก็ได้บุญ
ได้บุญพร้อมกันไปด้วย. ฉะนั้นผู้ที่มีอาชีพชนิดที่ได้บุญพร้อมกันไปด้วยนี้
จะต้องรู้ธรรมะในระดับนี้, แล้วก็ไปสอนให้ประชาชน มหาชนรู้เรื่องชนิดนี้,
แล้วบ้านเมืองก็จะดีขึ้น แล้วโลกนี้ก็จะดีขึ้น.
นี้ตัวอย่างที่จะต้องสังเกตว่าเรารู้จัดกแยกความสุขปลอมออกจากความสุขที่แท้จริง
โดยสติปัญญาชั้นที่เรียกว่า ปรมัตถ์, ปรมัตถ์.
มีความรู้ขั้นปรมัตถ์แล้วจะไม่มีมาร.
ทีนี้ปลีกย่อยออกไปอีก
ฝอยออกไปอีกก็ได้ว่าเราจะเป็นคนไม่มีมาร
ไม่มีอุปสรรคไม่มีมาร. เราจะใช้มาร
สิ่งที่เรียกว่ามารให้เป็นประโยชน์.
คนธรรมดามีปัญหาเรื่อง มาร คือสิ่งที่ขัดคอ ; อะไรที่คนมาขัดคอ,
อะไรที่ขัดคอไม่ได้ตามต้องการ ก็เรียกว่ามาร, เต็มไปด้วยมาร
เขาก็กลุ้มใจจนเป็นโรคประสาท ซึ่งมีอยู่มาก.
ถ้าเรามีความรู้ในชั้นปรมัตถ์, ในชั้นปรมัตถ์แล้วก็ โอ้, มารนี้มันก็คือสิ่งที่มาทำให้เรารู้อะไรมากขึ้น,
ทำให้เราฉลาดขึ้น แล้วก็มาสอบไล่เราด้วย, ไม่ใช่เขามาทำลายเรา. เขามาทำให้เราเก่งขึ้น, แล้วเขาสอบไล่ดูว่า
เรานี้เก่งพอที่จะสอบไล่ได้หรือยัง.
ถ้าเราไม่ต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนไปตามอุปสรรคหรือมารอะไรแล้ว เราก็สอบไล่ได้ มันมาสอนด้วย มันมาสอบไล่ด้วย. ฉะนั้นเรารู้จักมาร
แล้วก็สามารถใช้สิ่งที่เรียกว่ามารนั้นให้เป็นประโยชน์ไปเสีย ; เราก็เป็นคนไม่มีมาร ไม่มีอุปสรรคกีดขวางใดๆในชีวิต
สิ่งเหล่านั้นมาสอนให้เราฉลาดขึ้น, แล้วมาลองสอบไล่ดูว่าเรานี้เก่งพอหรือยัง. เรื่องของปรมัตถ์มันก็ต้องขึ้นมาถึงขนาดนี้.
ทีนี้ดู
แม้แต่ความเจ็บไข้ ความเจ็บไข้ ความตาย หรือ อันตราย ทั้งหลาย มันมาเพื่อสอน
มาสอบไล่ ทั้งนั้นแหละ.
เราอย่าไปเป็นทุกดข์ ;
เราเป็นทุกข์เราก็เสียเปล่าแหละ, คือเราก็เป็นทุกข์เปล่าๆแหละ,
แล้วเราก็จะได้ละอายแมวด้วย.
เพราะว่าแมวมันไม่เป็นทุกข์ในเรื่องที่คนเป็นทุกข์ คนมันคิดเก่ง
แต่มันเดินทางผิด ก็รับเอามาสำหรับเป็นความทุกข์ เพราะไม่มีความรู้สมกับที่ว่าเป็นคนมีมันสมองลึกซึ้ง
มีสติปัญญามากกว่าสัตว์ แต่ใช้ผิดทาง.
คนเอามาใช้สำหรับให้เป็นทุกข์ได้เก่งได้ง่ายได้เร็วกว่าสัตว์
เลยสัตว์มันก็หัวเราะเยาะ ว่าคนนี้ช่างเป็นทุกข์เก่งจริงๆ,
เต็มไปด้วยโรคประสาทในหมู่คน, แต่หกาแมวเป็นโรคประสาทสักตัวหนึ่งก็หายาก. อาตมาคอยหาอยู่เสมอ ยังไม่พบ,
แต่คนที่เป็นโรคประสาทมาถามหามาปรึกษา นี้มากเหลือเกิน คนทั้งนั้นเลย,
คนเป็นโรคประสาทงอมแงม.
อาตมาบอกว่าช่วยไม่ไหวแล้ว, คุณเป็นขนาดนี้แล้ว คุณฟังธรรมะไม่ถูกแล้ว
อาตมาช่วยไม่ได้ดอก กลับเถอะ.
นั่นแหละมันมีเรื่องอย่างนี้, นี่เรียกว่าคนไม่มีความรู้ ให้สมกับที่เป็นคน
ปัญหามันก็เกิดแก่คน มากยิ่งกว่าที่มันจะเกิดแก่สัตว์.
การงานเป็นบทเรียนปฏิบัติธรรม.
เราจะรู้เรื่องชั้นลึกนี้
จนเห็นว่าการงานนั่นแหละเป็นบทเรียน เป็นการปฏิบัติธรรม ; มีการงานอะไรก็ขอให้ทำให้สนุก
ให้ช่วยจำประโยคสั้นๆว่า ทำงานให้สนุก. คนชอบจดช่วยจดหน่อย ; ทำงานให้สนุก และเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน, “ทำงานให้สนุก
เป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน” นั่นแหละจะช่วยได้, นั่นแหละคือพุทธศาสนาเต็มตัว, นั่นแหละคือธณรมะเต็มตัว.
งานนั้นคือหน้าที่
หน้าที่นั้นคือธรรมะ, ธรรมะคือหน้าที่. ขออ้อนวอนให้ช่วยเอาไปสอนกันด้วย ว่า
“ธรรมะนั้นมันคือหน้าที่” ; สิ่งที่มีชีวิตแล้วต้องมีหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ
; คนต้องมีหน้าที่ของคน,
สัตว์ต้องมีหน้าที่ของสัตว์, ต้นไม้ต้นไล่ก็ต้องมีหน้าที่ของต้นไม้ต้นไล่,
มันต้องทำหน้าที่ของมันทั้งนั้นแหละ ไม่อย่างนั้นมันตาย ;
ฉะนั้นหน้าที่ที่ต้องทำนั่นแหละคือธรรมะ.
มนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์โน้น ยุคดึกดำบรรพ์ที่เพิ่งพ้นมาจากคนป่าหยกๆ
เขามีความรู้ถึงขนาดที่ว่า เอ้า, มันมีหน้าที่ที่นี่, คนเรามีหน้าที่, มีหน้าที่
คำว่า หน้าที่ หน้าที่คือคำว่า ธรรมะ, เราต้องมีธรรมะ. เราต้องมีธรรมะคือหน้าที่ ; ฉะนั้น หน้าที่นั้นคือธรรมะ.
ถ้าว่าพระพุทธเจ้าสอนธรรมะ
ธรรมะคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนก็คือท่านสอนเรื่องหน้าที่, พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องหน้าที่.
หน้าที่นี้แบ่งเป็น
2 ขั้นตอน : ตอนหนึ่งก็คือให้รอดชีวิตอยู่ได้
; ตอนหนึ่งก็คือให้รอดชีวิตอยู่ได้ ;
ต้องทำหน้าที่ให้รอดชีวิตอยู่ได้, ต้องมีอาหารกิน, ต้องมีสุขภาพอนามัย,
ต้องมีปัจจัยเครื่องบำรุงชีวิต, ให้ชีวิตรอดอยู่ได้ ไม่ต้องตาย
เป็นผาสุกตามธณรมดาสามัญ นี่เป็นหน้าที่อันหนึ่ง.
ครั้นสำเร็จในหน้าที่อันนี้แล้ว มันก็ถึงหน้าที่อันดับ 2 คือทำให้ดียิ่งขึ้นไป,
ดียิ่งขึ้นไปจนถึงบรรลุมรรคผลนิพพาน ; นั่นแหละหน้าที่สุดท้าย ; ฉะนั้น
ธรรมะคือหน้าที่.
พอเราทำหน้าที่เราก็ควรจะพอใจเมื่อทำหน้าที่ เพราะมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเหนือสิ่งใด. หน้าที่คือความประเสริฐของทั้งหมดของสิ่งที่มีชีวิต
เรียกว่าธรรมะแต่เนื้อความใจความของมันคือหน้าที่.
ฉะนั้น เมื่อกำลังทำหน้าที่ ก็จงทำให้สนุก ; พอใจว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดที่ต้องทำ
ก็ทำให้สนุก ในหน้าที่. ถ้าเป็นคนขอทาน
ก็ขอทานให้สนุกสิมันเป็นหน้าที่ นี่เพราะว่าฉันจะเป็นคนขอทาน
แล้วเดี๋ยวมันก็เหลือแหละ เงินก็จะเหลือแหละ ก็จะพ้นจากสภาพขอทาน. ถ้าถีบสามล้อ หรือแจวเรือจ้างก็เหมือนกัน
ทำให้สนุก อย่าให้เป็นทุกข์ ;
เพราะรู้ว่าเป็นหน้าที่โดยตรง เป็นธรรมะโดยตรง มันก็ทำให้สนุกมันก็ทำได้มาก มันก็มีผลเหลือ,
ไม่เท่าไรมันก้พ้นจากการแจวเรือจ้าง พ้นจากการถีบสามล้อ, มันเลื่อนขึ้นไป
เลื่อนขึ้นไป มีรถยนต์ มีร้านมีบ้าน มีอะไรพ้นจากการถีบสามล้อ.
ฉะนั้นขอให้ทำงานให้สนุก
คือทำหน้าที่ของตนให้สนุก, ประพฤติธรรมะให้สนุก
การทำหน้าที่ก็คือการประพฤติธรรมะ ประพฤติธรรมะให้สนุก ; อย่างเป็นครูนี้ให้สนุกอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว
เมื่อทำหน้าที่ครู.
คำว่า
“สนุก” มีความหมาย 2 อย่าง : สนุกของกิเลสนั้นไม่เอา
; ต้องสนุกดของสติปัญญาที่ถุกต้อง แล้วก้พอใจ, รู้สึกพอใจตัวเอง ว่าเต็มไปด้วยความถูกต้อง
เต็มไปด้วยความดีงาม สุดที่เราจะทำได้แล้ว.
ตอนนี้จะยกมือไหว้ตัวเองได้ ถ้าใครยังยกมือไหว้ตัวเองไม่ได้ ขอให้ไปลองดู
ขอให้ทำหน้าที่ให้สนุก ให้ถึงที่สุดของหน้าที่
แล้วมันจะรู้สึกเหมือนกับยกมือไหว้ตัวเองได้.
ถ้ายังยักยอกเวลาการงานในหน้าที่
ไหว้ตัวเองไม่ลงดอก มันยังไกลกันนัก ;
ถ้าถึงขนาดไหว้ตัวเองได้แล้ว มันก็มีความสุข, เป็นความสุขที่แท้จริง ไม่ต้องใช้เงินซื้อหา,
แล้วยังเป็นมีความสุขที่สุขกว่าความสุขชนิดที่ต้องใช้เงินซื้อหา ; เพราะที่ใช้เงินซื้อหานั้นมันไม่ใช่ความสุข ;
มันเป็นความเพลิดเพลิน, เป็นเพียงความเพลิดเพลิน ;
ฉะนั้น จึงเป็นความสุขที่หลอกลวง.
พอไปได้สนองกิเลสตัรหาแล้วมันก็ยิ่งหลงยิ่งลืมตัว ;
ยิ่งลืมตัวมันก็ยิ่งใช้เงินซื้อ สิ่งที่สนองกิเลสตัณหานี้ จนเงินไม่พอใช้.
ฉะนั้นใครที่เงินเดือนไม่พอใช้อยู่ในเวลานี้
ไปคิดดูให้ดี, ไปแยกแยะดูให้ดี จะพบสิ่งนี้ ;
เพราะว่าเรามันใช้เงินเพื่อซื้อความหลอกลวงของความสุข
คือสนองกิเลสตัรหามากเกินไป ; ต้องควบคุมให้ได้, ต้องไม่มี, จะต้องไม่มีสิ่งเฟ้อ สิ่งเกิน สิ่งโง่
ต้องไม่มี ในการใช้จ่ายของเราในการดำรงชีวิตของเรา.
เดี๋ยวนี้จะพูดได้ว่า
สมัยปัจจุบันนี้เฟ้อและมันเกินทั้งนั้น :
เรื่องอาหารก็ดี, เรื่องเครื่องนุ่งห่มก็ดี, ที่อยู่อาศัย เครื่องใช้ไม้สอย
ยานพาหนะก็ดี, แม้แต่การบำบัดโรค สุขภาพอนามัยก็ดี, มันทำไปอย่างเกิน อย่างประมาท
อย่างหวัดๆอย่างชุ่ยๆ. ไปคิดดูให้ดีเถอะ
มันจะลดลงได้อีกมาก;
ถ้าจะเอากันแต่พอดีให้อยู่ได้โดยสะดวกสบายแล้ว ก็จะลดลงได้อีกมาก
ค่าใช้จ่ายที่บ้านที่เรือนอะไรจะลดลงได้อีกมาก.
นี่ถ้าความสุขที่แท้จริงมันก็เป็นแบบนี้
มันไม่ต้องใช้เงินก็ยังได้ ;
ทำงานให้สนุกไปเลย : เป็นคนทำงานสนุกอย่างคนเป็นมนุษย์ทำงานสนุกอย่างมนุษย์,
เป็นเทวดาก็ต้องทำงานให้สนุกอย่างเทวดา, อย่าขบถในหน้าที่ ไม่ทำงานแล้วก็จะเอาอะไรมาก
เรียกร้องอะไรมาก ; นี่ถ้าอย่างนี้มันก็เป็นไปไม่ได้ มันต้องเกิดลัทธิการเมืองที่ฆ่าฟันกันแหลกลาญหมด. ถ้าทุกคนสนุกในการทำหน้าที่
จะไม่เกิดกระทบกระทั่ง ; เพราะเขาไปสนุกๆสนุกๆอยู่แต่กับหน้าที่
:คนรวยก็ทำหน้าที่คนรวย, คนจนก็ทำหน้าที่คนจน.
ไม่ต้องมาทะเลาะวิวาทแย่งชิงฆ่าฟันกันในระหว่างนายทุนหรือกรรมกร.
นี้ก็เป็นตัวอย่างของนักปรมัตถ์ที่มองเห็น จนทำงานสนุก เป็นสุขเมื่อทำงาน ; เงินเลยไม่ต้องใช้
เพราะมันเป็นสุขเสียแล้ว ในขณะที่กำลังทำงาน, เงินนั้นเก็บไว้ใช้อย่างอื่นก็ได้
ไม่ต้องไปซื้อความสุขที่ไหน, เอาไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่อื่นก็ยังได้.
ฉะนั้น ปรมัตถธรรมข้อนี้สำคัญมาก
คือทำให้เราทำงานไม่เหน็ดเหนื่อย, ทำให้เราทำงานได้มากกว่าธรรมดา. คนอื่นเขาทำงานวันละ 8 ชั่วโมง,
เราจะทำงานวันละ 18 ชั่วโมง เพราะมันสนุกในการทำงาน.
อาตมาพูดนี้ไม่ใช่พูดหลอกนะ ไม่ใช่พูดในสิ่งที่ทำไม่ได้ เคยทำมาแล้ว
ตลอดเวลา 40 ปี, 30 ปี 40 ปี ทำงานวันละ 18 ชั่วโมงเคยมาแล้ว,
แล้วผลงานแสดงอยู่ที่ในตึกแดงหลังนั้น (ศาลาธรรมโฆษณ์อนุสรณ์)
นั้นมันเป็นผลของการทำงานสนุกด มันจึงทำได้มากขนาดนั้น มากจนคนเขาไปดูแล้วไม่เชื่อ
ไม่เชื่อว่านี้คนเดียวทำ.
อาตมาว่าไม่เชื่อก็ไม่เชื่อสิ
มันคนเดียวทำจริงๆนี่
เพราะมันทำงานสนุกจนทำงานวันละ 18 ชั่วโมง. นี่ขอให้สนใจเถอะว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดีแต่พูด,
ไม่ใช่สิ่งที่มีสำหรับพูด ; แต่มันเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้.
เป็นอันว่าเราได้ทำให้ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่สมค่าของมัน
ให้เป็นชีวิตที่มีประโยชน์ มีประโยชน์แก่เจ้าของ ไม่กัดเจ้าของ. ถ้าเราทำกับมันไม่ถูก
เพราะไม่มีความรู้ถึงระดับนี้ ชีวิตนั่นแหละมันจะกัดเจ้าของ, สิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั่นแหละ
มันจะกลายเป็นยักษ์เป็นมารอะไรขึ้นมา แล้วกัดเจ้าของ เดือดร้อนมาก.
ความรู้เรื่องจริงแท้ของทุกอย่างอย่างนี้
ถึงขั้นลึกอย่างนี้ ก็เรียกว่า ปรมัตถ์. ปรมัตถะ
แปลว่า อรรถะอันลึก ความหมายอันลึก
เนื้อความอันลึกคุณค่าอันลึก เรียกว่า ปรมัตถ์.
ขอให้ทุกคนมีความรู้ในระดับที่เรียกว่า ปรมัตถ์ ; มันจะเป็นประโยชน์ในตัวมันเองด้วย,
แล้วมันจะส่งเสริมสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างอื่นด้วย, จะเป็นอย่างนี้เสมอ
มันก็แก้ปัญหาได้ทุกปัญหา. ถ้ามีความรู้เรื่องปรมัตถ์แล้ว
จะแก้ปัญหาได้ทุกปัยหา ไม่มีปัญหาอะไรเหลือ,
มีความรู้ถุกต้องในทุกๆกรณี, แล้วปัญหาไม่อาจจะเกิดจากกรณีใดๆ. เดี๋ยวนี้ที่เราทำผิดกันอยู่เพราะไม่รู้ปรมัตถ์ คือปัญหาที่ว่าอะไรๆก็จะเป็นเรื่อวการเมือง,
อะไรๆก็จะเป็นเรื่องเศรษฐกิจไปเสียหมด ;
ว่าเรื่องการเมืองเรื่องเศรษฐกิจจะแก้ปัยหาได้ ที่จริงเปล่าทั้งนั้นเลย. เรื่องการเมืองเรื่องเศรษฐกิจนั้นมันมีแต่จะเพิ่มปัญหาให้ยุ่งยาก ให้ลำบากให้มีความทุกข์เกิดขึ้น. เรื่องศีลธรรม เรื่องธรรมะมันจะแก้ปัญหา ; ลองเอาธรรมะเข้ามา เอาศีลธรรมเข้ามา มันจะแก้ปัยหาได้. ปัญหาที่มันมาจากเศรษฐกิจนั่นแหละ,
เศรษฐกิจที่คดโกง ที่ไม่มีศีลธรรม มันสร้างปัญหา ;
เราต้องแก้ด้วยความมีศีลธรรม เศรษฐกิจจึงจะหมดปัญหา.
นี้เศรษฐกิจมันไม่มีศีลธรรม
มันสร้างปัญหาขึ้นมา, แล้วเอาเศรษฐกิจมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ นี้มันไม่ได้ดอก.
เหมือนกับเอาน้ำโคลนมาล้างเท้าที่เปื้อนโคลน
นั้นมันไม่มีทางจะสะอาดดอก.
เรื่องการเมืองที่ไม่มีศีลธรรม ตั้งแต่การเลือกผู้แทนขึ้นไป มันไม่มีศีลธรรม มันก็เกิดปัยหาทางการเมือง,
แล้วจะไม่เอาศีลธรรมไปแก้นั้นมันไม่ได้ ;
การเมืองแก้การเมือง มันก็เป็นเรื่องน้ำโคลนล้างโคลน
อีกนั่นแหละ มันก็แก้ไม่ได้.
เข้าถึงปรมัตถ์ต้องรู้อิทัปปัจจยตาด้วย.
ถ้ามองเห็นโดยแท้จริงแล้ว
ศีลธรรมจะแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา, ไม่ว่าปัญหาอะไร จะมาแจกลูกกันทุกปัญหา
เวลามันไม่พอ. เรามองเห็นชัดว่า
อันนี้มันต้องเป็นไปตามกฏแท้จริงเฉียบขาดของธรรมชาติคือกฏของอิทัปปัจจยตา.
คำแปลกๆว่า
อิทัปปัจจยตา นั้น ขอให้ช่วยสนใจกันหน่อย
เพราะไม่ค่อยเอามาพูดกันเป็นกฏของธรรมชาติว่า มันต้องเป็นอย่างนี้ๆอย่างนี้
; เพราะเหตุปัจจัยอย่างนี้ๆ สิ่งนี้จะต้องเกิดขึ้น,
สิ่งนี้มีเพราะเหตุปัจจัยนี้มี, สิ่งนี้มีเพราะสิ่งนี้มี,
สิ่งนี้มีเพราะสิ่งนี้มี. นี่มันเป็นกฏตลอดจักรวาล
ตลอดจนอนันตกาล เรียกว่ากฏอิทัปปัจจยตา ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวอะไรทั้งหลาย
ทั้งสากลจักรวาล มันเกิดขึ้นมาตามกฏของอิทัปปัจจยตา :
เมื่อทำอย่างนี้ อย่างนี้จะต้องเกิดขึ้น, ทำอย่างนี้ อย่างนี้มันต้องเกิดขึ้น,
ทำอย่างนี้อย่างนี้มันก็เป็นความทุกข์เกิดขึ้น, ทำอย่างนี้อย่างนี้เป็นความดับทุกข์เกิดขึ้น. นี้เป็นปรมัตถ์สูงสุด ไม่มีสัตว์บัคคล,
ไม่มีพระเจ้าที่เป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์บุคคล,
มีแต่พระเจ้าที่เป็นกฏอันเฉียบขาดของธรรมชาติ,
เข้าถึงกฏอิทัปปัจจยตาแล้วก็เข้าถึงปรมัตถธรรมอย่างยิ่ง.
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็คือตรัสรู้เรื่องนี้,
ท่านตรัสรู้ เรื่องอิทัปปัจจยตา ; แต่เรามักจะเรียกกันเสียว่า
ปฏิจจสมุปปบาท เป็นความหมายแคบเฉพาะเรื่องความทุกข์ของสิ่งที่มีชีวิต. แต่ถ้าเราพูดว่า อิทัปปัจจยตา
ความหมายมันกว้างหมดเลย
จะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตอะไรกด็ตาม มันตกอยู่ใต้อำนาจของกฏที่ว่า เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี,
เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี. ปรมัตถธรรมจะนำไปที่นั่น
ไม่มีทางที่จะผิด คือว่ามันจะไม่เป็นฝ่ายบวกหรือฝ่ายลบ ไม่เป็น positive
ไม่เป็น negative มันเป็นสายกลางของมันไปอย่างนั้น,
นี่เรียกว่ากฏของธรรมชาติแท้ๆ.
ถ้าว่า
บวก มันก็มีคน หรือตายแล้วเกิด เป็นต้น ; ถ้า
ลบ มันก็ไม่มีคน ตายแล้วไม่เกิด เป็นต้น.
แต่ว่ากฏอิทัปปัจจยตามันมีแต่สิ่งนี้ซึ่งเป็นไปอย่างนี้ เป็นไปอย่างนี้
เป็นไปอย่างนี้, แล้วคนเขาก้ไปบัญญัติเอาเองว่า นี้เป็นสุข นี้เป็นทุกข์,
นี้เป็นได้ นี้เป็นเสีย, นี้เป็นแพ้ นี้เป็นชนะ, นี้เป็นกำไร นี้เป็นขาดทุน. นั้นมันความโง่ของคนต่างหากล่ะ.
กฏของอิทัปกปัจจยตาเขามีตายตัวเฉียบขาดตามธรรมชาติ.
ความรู้ปรมัตถ์ต้องไปถึงที่นั่น รู้จนไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล, ไม่ใช่สัตว์บุคคล,
แล้วก็ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ;
คือไม่ได้ปฏิเสธจนไม่มีอะไรเลย, แล้วก็ไม่ได้ยืนยันว่ามีอะไรอยู่อย่างตายตัว, มีแต่กระแสของความเปลี่ยนแปลงปรุงแต่ง. ถ้ามาถึงนี่แล้วก็เรียกว่า
รู้อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านรู้แล้วก็ดับทุกขืได้ เป็นสิ่งสูงสุดที่ต้องเคารพ คือกฏของอิทัปปัจยตา
; เมื่อปฏิบัติถูกต้องแล้วก็ควรจะพอใจ
มีความสุข ชอบใจตัวเอง.
คนรู้เรื่องนี้ก็พูดอย่างหนึ่ง
คนไม่รู้ก็พูดอย่างหนึ่ง ;
ฉะนั้นวิธีพูดหรือโวหารพูดที่ใช้กันอยู่ในโลก มันเกิดเป็น 2 อย่าง : คำพูด โวหารพูด ของคนโง่ ก็พูดว่า มีตัว มีตน มีสัตว์มีบุคคล มีเรามีเขา
มีสุขมีทุกข์ มีแพ้มีชนะ มีได้มีเสีย มีกำไรมีขาดทุน มันก็พูดไปอย่างนั้น
คนที่ไม่รู้ถึงปรมัตถ์. ถ้าคนที่รู้ถึงปรมัตถ์
ไม่มี ไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวไม่มีตน ไม่มีดีไม่มีชั่ว
ไม่มีแพ้ไม่มีชนะ ไม่มีได้ไม่มีเสีย ไม่มีกำไรไม่มีขาดทุน มีแต่กระแสแห่งการปรุงแต่งตามกฏของอิทัปปัจจยตา หรือว่ามีแต่อิทัปปัจจยตา
มันก็เลยไม่รักอะไร ไม่เกลียดอะไร ไม่โกรธอะไร ไม่กลัวอะไร ไม่อิจฉาริษยาใคร
ไม่อะไรหมดเลย. มันดีที่ตรงนั้น,
มันเห็นเป็นกระแสอิทัปปัจจยตาเป็นไปหมด
มันก็ไม่รู้สึกว่าจะต้องรัก ไม่รู้สึกว่าจะต้องเกลียด ไม่รู้สึกว่าจะต้องโกรธ
ไม่รู้สึกว่าจะต้องกลัว.
ปัญหา
4 อย่างนี้ที่รบกวนเราอยู่ ไปสังเกตดู
อะไรน่ารักมาก็รัก เอ้า, มันก็บ้าไปพักหนึ่งตามแบบน่ารักด, อะไรน่าโกรธมามันก็โกรธ มันก็บ้าไปพักหนึ่ง, อะไรน่าเกลียดมามันก็น่าเกลียด,
อะไรน่ากลัวมามันก็กลัว กระทั่งอย่างไม่มีเหตุผล มันก็ออกมาเป็นความวิตกกังวล อาลัย อาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวงอะไรกันไปตามเรื่อง,
แล้วก็ฆ่ากันตายเพราะความโง่เหล่านี้
เพราะว่าไม่มองเห็นความจริงอันสูงสุดที่เรียกว่าปรมัตถ์, ปรมัตถ์.
เห็นกระแสอิทัปปัจจยตาแล้วจะเป็นปรมัตถ์.
อาตมาคิดว่า
ควรจะฟ้าสางกันสักที
สำหรับความรู้เรื่องปรมัตถ์ในหมู่พุทธบริษัทเรา ; เห็นอะไรเป็นกระแสแห่งอิทัปปัจจยตาไปหมดละก็ มันก฿ถึงที่สุดแหละ
ไม่มีทางที่จะไปรักอะไร, ไม่มีทางที่จะไปเกลียดอะไร, ไม่มีทางที่ขะไปกลัวอะไร,
ไม่มีทางที่จะไปโกรธอะไร.
หรือขยายออกไปเป็นวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์ในอะไร.
แม้แต่ในทางวัตถุนี้
ทอดสายตาไปทางไหน ก็เห็นแต่การไหลเรื่อยของสิ่งเหล่านั้น, เช่น ตึกหลังนี้
ผู้เห็นปรมัตถ์ทอดตาไป
เห็นเป็นความไหลเรื่อยของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นตึกหลังนี้ คือ
ทุกๆปรมาณูของตึกหลังนี้ไหลเรื่อยมันเห็นอย่างนั้น, แล้วใครเห็นบ้าง? มันก็เห็นเป็นตึกแข็งอยู่อย่างนี้ แน่นอนตายตัวอยู่อย่างนี้
คือมันไม่เห็นถึงชั้นปรมัตถ์.
เขาเห็นว่ามีตึก มีตึกหลังนี้ สวยดี ไม่สวยดีอะไร ; ไม่มีใครเห็นว่าเป็นเพียงอิฐ เพียงทราย เพียงปูน เพียงเหล็ก,
แล้วก็ไม่เห็นว่าในนั้นเป็นเพียงสักวง่าธาตุตามธรรมชาติ, แล้วไม่เห็นว่า ในธาตุตามธรรมชาตินั้น
เป็นสักแต่ว่าปรมาณูหนึ่งๆ ที่หมุนไปตามกฏอิทัปปัจจยตา. ถ้าเห็นอย่างนี้ก็เห็นว่า โอ้,
มันไหลเรื่อย ไม่มีอะไรที่ไม่ไหลเรื่อย ;
แม้แต่ตึกอันนี้มันก็ไหลเรื่อย, มีความไหลเรื่อยอยู่ข้างในของมัน,
แล้วนับประสาอะไรกับเนื้อหนังของคนเราอย่างนี้, ตัวบุคคลอย่างนี้ มันก็มีแต่สิ่งที่ไหลเรื่อย,
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันก้ไหลเรื่อย จะเอาเป็นตัวตนไม่ได้ ; แล้วใครจะรักใคร,
ใครจะโกรธใคร, ใครจะเกลียดใคร, ใครจะทำอะไรแก่ใคร, มันก็ไม่มีความหมาย. ทำไปมันก้เป็นความทุกข์, ความทุกข์
เพราะไปยึดถือ จะให้ได้อย่างนั้น จะให้ได้อย่างนี้, แล้วมันก็ไม่ได้. ฉะนั้น
มันจึงเป็นทุกข์ เพราะเราจะให้ตรงตามความต้องการของเรา.
คำว่า”เรา”
ในที่นี้ คือความโง่ของเรา ; ไม่มีตัวเรา,
มีแต่ความโง่ของกิเลส ของธณรมชาติที่เป็นกิเลส มันปรุงแต่งไปตามแบบของกิเลส
ธรรมชาติชนิดนั้นมันก็รู้สึกแก่จิต.
จิตโง่ไปอีกทีหนึ่งว่า เป็นตัวเรา เป็นของเรา, เราเป็นเจ้าของทุกสิ่ง, เราเป็นเจ้าของชีวิต,
เราเป็นเจ้าของความสุข, เป็นเจ้าของความทุกข์.
นั้นคือความโง่ของจิต
ที่ไม่มีความรู้ในชั้นปรมัตถ์ ; ถ้าจิตมีความรู้ถึงขั้นปรมัตถ์
มันก็ไม่มีอย่างนี้, เรียกว่า ฟ้ามันสางทางปรมัตถ์.
ทีนี้อยากจะพูดสำหรับครูบาอาจารย์ทั้งหลายอีกนิดหนึ่งว่า
นี้แหละคือสิ่งที่เราเรียกกันว่า วิทยาศาสตร์, เรียกว่า วิทยาศาสตร์,
และการศึกษาวิถีทางวิทยาศาสตร์ สิ่งทั้งปวงเป็นอย่างนี้แล้ว มองให้เห็นสิ่งทั้งปวงโดยความเป็นอย่างนี้,
ความทุกข์เกิดขึ้นมาเพราะโง่อย่างนี้ เพราะไม่ทำผิดอย่างนี้. เป็นวิทยาศาสตร์ตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ ; ไม่ต้องไปเอาผีสางเทวดาโชคชะตาอะไรมาช่วย,
ไม่ต้องเอามาเกี่ยวข้อง. ถ้ายังไปต้องขอความช่วยเหลือจากผีสางเทวดา
โชคชะตาดวงดาวอะไรอยู่แล้ว
ก็ไม่มีปรมัตถ์เลย, ไม่มีการลืมหูลืมตาในทางปรมัตถ์เลย. มันเป็นเรื่องในตัวมันเอง
โดยกฏของธรรมชาติครอบงำทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ ;
สิ่งนั้นเราเรียกว่ากฏของอิทัปปัจจยตา, เป็นกฏของธรรมชาติอันเด้ดขาด
อันสูงสุด.
เรียกว่ากฏของอิทัปปัจจยตา.
ถ้ามองเห็นว่าทุกสิ่งเป็นอิทัปปัจจยตา ก้เรียกว่าเห็นปรมัตถ์
เข้าถึงปรมัตถ์โดยสมบูรณ์.
วิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็มีหลักเกณฑ์อย่างนี้ แต่เขาเอาไปใช้ในการแสวงหาวัตถุ
ความสุขจากวัตถุมันจึงได้มามหาศาลเห็นไหม?
ความก้าวหน้าทางวิทยษศาสตร์ทางฝ่ายวัตถุแห่งโลกปะจจุบันนั้น
เขารู้จักใช้กฏอิทัปปัจจยตาสร้างสิ่งที่เขาต้องการ ; ฉะนั้นเขาจึงไปโลกพระจันทร์ได้เหมือนว่าเล่น หรือว่าเขาจะทำอะไรๆได้อีกมากมายเหมือนกับว่าเล่น
เพราะเขารู้จักใช้กฏอิทัปปัจจยตาถูกตรงตามเรื่องของมัน ก็ประสบความสำเร็จ. แต่เดี๋ยวนี้เขา ไม่ได้ใช้วิทยาศาสตร์นั้นๆมาดับทุกข์ในจิตใจ,
เขาหกันไปส่งเสริมปัจจัยของกิเลส
ในโลกจึงเกิดกิเลสมากมายๆจนว่าไม่มีใครรู้จักเบื่อ. โลกสมัยนี้มันมีสิ่งที่เป็นปัจจัยหลอกให้หลงใหลไม่มีสิ้นสุด
ไม่รู้จักเบื่อ,
ทั้งโลกกำลังไม่รู้จักเบื่อในสิ่งที่ยั่วให้เกิดกิเลสหรือสนองกิเลส ; เราก็จะต้องทนทุกข์ข้อนี้กันไปอีกนาน.
นี่วิทยาศาสตร์ที่เอาไปใช้ทางฝ่ายวัตถุฝ่ายโลก, แสวงหาปัจจัยแห่งกิเลส.
ทีนี้
วิทยาศาสตร์ของพระพุทธเจ้า มันตรงกันข้าม จะเอาไปใช้ในทางที่จะไม่หลงในเหยื่อของกิเลส
; ต้องการจะชนะกิเลส,
มีจิตใจเหนือสิ่งยั่วยวนเหล่านี้
ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์, นี่คือเรียกว่าฟ้าสางทางปรมัตถ์. ท่านผู้ใดเกิดแสงสว่างอย่างนี้ขึ้นในจิตใจ
เรียกว่าฟ้าสางในทางปรมัตถ์ มันก็ควรจะสาง.
ฟ้าสางทางอภิธรรม.
ทีนี้ หัวข้อต่อไป
อาตมาเรียกว่า ฟ้าสางทางอภิธรรม. อย่าลืมว่าเมื่อตะกี้บอกแล้วว่า
ปรมัตถ์มันขุดลึกลงไป ;
ส่วนอภิธรรมนั้นมันขยายกว้างออกไป ไม่ลึก มันจึบมาก. อภิ แปลว่า ยิ่ง ก็ได้, แปลว่า อย่างยิ่ง
ก็ได้, แปลว่า เกิน ก็ได้.
ฟังดูให้ดี เกินนั้นมันใช้ไม่ได้คือไม่จำเป็น ;
ถ้าอันไหนเกินอันนั้นไม่จำเป็น.
อภิธรรมแท้ต้องพอดี
พูดถึงคำว่า
อภิ, อภิ นี่
ก็มีพูดมาแต่ครั้งพุทธกาล. อภิวินัย
คือ วินัยส่วนเกิน เกินสำหรับคนธรรมดา อภิธรรม-ธรรมะส่วนเกิน เกินสำหรับคนธรรมดา,
คือคนธรรมดาไม่ต้องไปสนใจถึงขนาดนั้น
ถึงเดี๋ยวนี้ในโลกนี้ ในโลกนี้มันก็ยังมี.
ปัจจุบันนี้มันก็ยังมีความรู้ส่วนเกินสำหรับคนทั่วไป ;
แต่มันอาจจะไม่เกินหรือไม่เกินสำหรับคนบางคนที่เขามีหน้าที่ที่จะต้องทำอย่างนั้น ; ฉะนั้นการศึกษาค้นคว้านี้มันจึงทำไปได้เรื่อย. ส่วนมากมันก็เกินแหละ ;
การค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ เรื่องโลก เรื่องวัตถุ อะไรก็ตาม มันค้นคว้าได้มากแหละ,
แล้วก็มีส่วนที่เกิน ที่ไม่ต้องใช้มันมีอยู่มาก.
ท่านที่เป็นนักวิจัย
วิจัยทางอะไรก็ตาม จะพบว่า มีพบเรื่องที่มันไม่ต้องใช้อยู่มาก
เรียกว่าเป็นส่วนเกิน ;
แต่ส่วนที่จำเป็นที่แท้จริง ที่ต้องมีต้องใช้นั้นมันก็มีอยู่. ฉะนั้น ต้องเอาอันนั้นมา,
อันนั้นแหละควรจะเรียกว่า อภิธรรมอันบริสุทธิ์คือไม่เกิน. ถ้าผิดจากนี้แล้วมันก็เกิน,
แล้วเราก็สนุกกับเรื่องเกินนี้กันเสียไม่น่อย ;
เพราะว่าเรื่องอะไรที่มันสนุกแก่ความรู้สึกคิดนึก เราก็สนใจทั้งนั้นแหละ,
แม้ว่ามันจะมีประโยชน์.
ฉะนั้นเราจึงจดจำเรื่องที่ไม่จำเป็นไว้ได้มาก นี้เรียกว่ามันเป็นส่วนเกิน ; ถ้าทำไม่ดีมันก็เป็นส่วนเห้อ.
เราก็คงจะเข้าใจกันได้แล้วว่าส่วนเฟ้อนั้นมันให้โทษ ;
เป็นอยู่อย่างฟุ่มเฟือย เป็นอยู่อย่างเฟ้อ นั้นมันให้โทษ. ฉะนั้น ขอให้ลด ให้ควบคุมไว้ให้พอดี
ถ้าว่าดีเต็มที่แล้วก็ไม่เกิน ;
นั่นแหละจะเรียกว่าถูกแหละ.
อภิธรรมแท้ต้องพอดี เต็มที่ เต็มเปี่ยม แต่ไม่เกิน.
เดี๋ยวนี้สิ่งที่เรียกว่าอภิธรรมมันยังมีลักษณะเกินในพระคัมภีร์อภิธรรม
ก็มีเรื่องเกินมาก, คือเกินชนิดที่ไม่ต้องพูดถึง
ไม่ต้องเล่าเรียน ไม่ต้องขยายความออกไปถึงขนาดนั้น. ทีนี้อาจารย์อภิธรรมชั้นหลัง
ซึ่งไม่ใช่พระพุทธเจ้า ทำให้เกินมากออกไปอีก จนเลยได้ยุ่ง จนได้ทะเลาะกัน
จนเดี๋ยวนี้มันก็เกิน ; แม้กระทั่งว่าอภิธรรม,
อภิธรรมๆนี้ ไม่มุ่งไปยังความสิ้นตัวตน มันมุ่งไปที่มหากุศล กุศลอย่างยิ่ง เลยกลายเป็นพิธีรีตอง. เดี๋ยวนี้อภิธรรมมีไว้ทำไม?
มีไว้สวดศพเท่านั้น, อภิธรรมมีไว้สวดศพเท่านั้นแหละ, มีไว้บังสุกุลป่าช้า ; แม้อย่างนั้นนักอภิธรรมก็ยังมีตัวตนนะ, นักอภิธรรมยังมีตัวตน
ที่จะเอามหากุศลอยู่นั่นแหละ
นี่เพราะมันกลายเป็นพิธีรีตองไปเสีย.
ถ้าอภิธรรมแท้มันต้องมุ่งไปยังความว่าง ไม่มีตัวตน คือสุญญตา นั่นแหละจึงจะถูก ; แต่นักอภิธรรมไม่พูดถึงสุญญตา
บางทีหาว่าสุญญตาเป็นเรื่องผิดเสียอีก.
พวกนักอภิธรรมตามศาลาวัด เขาว่าท่านพุทธทาสเอาเรื่องสุญญตาของมหายานมาพูด
ไม่ใช่พุทธศาสนา ; อย่างนี้มันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง
เพราะเขามุ่งแต่มหากุศล เขาจะเอาแต่มหากุศล เขาไม่ยอมให้เป็นสุญญตา เราจะบอกว่า ยิ่งมหากุศลนั่นแหละยิ่งสุญญตาแหละ อย่าไปเอากับมันเลย ;
เพราะมันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นมากเกินไป, ยึดมั่นถือมั่นมากเท่าไร
มันก็ยิ่งเป็นสุญญตามากเท่านั้น.
ฉะนั้น
ถ้าจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่า อภิธรรม ต่างจากปรมัตถ์ อย่างไรก็ดูส่วนนี้. ขอให้พยายามเปรียบเทียบว่าสุญญตาว่างจากตัวตน
หรือความหมายใดๆ กับมหากุศลที่เป็นที่ชอบใจอย่างยิ่ง มันต่างกันอย่างไร.
ปรมัตถ์เป็นวิทยาศาสตร์.
เรื่องปรมัตถ์มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ ที่พูดไปหยกๆนั่นแหละ
ว่าต้องมีตัวจริง มีของจริง มาดูอยู่ เห็นอยู่ ทดสอบอยู่
อย่างนี้เป็นเรื่องปรมัตถ์. ถ้าเป็นเรื่องคำนวณ,
เป็นเรื่องคำนวณหรือใช้การคำนวณ บางทีก็ต้องใช้ก้อนหินช่วย ใช้เม็ดมะขามช่วย
ในการเรียนอภิธรรมอย่างนี้มัยนก็ไม่ใช่ปรมัตถ์ดอก ; เพราะมันเป็นการคำนวณ เป็นผลของการคำนวณ, ใช้ผลของการคำนวณนั้นมันเป็นเรื่องลักทธิหนึ่งลัทธิอื่น,
ไม่ใช่สันทิฏฐิโก ; มันต้องเป็นสันทิฏฐิโก
รู้สึกประจักษ์ชัดแก่จิต จึงจะเป็นธรรมะแท้ในพระพุทธศาสนา. ฉะนั้นเราระวัง อย่าขยายออกให้มันเกิน ; แต่ขุดลึกลงไปให้พบความจริง.
ถ้าว่ามันเป็น
ปรมัตถ์ มัน นำไปสู่สุญญตา มันไม่มุ่งหมายจะให้มันน่าอัศจรรย์
หรือไพเราะงดงามอะไร, มุ่งเฉพาะต่อสุญญตา คือความไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์
ไม่มีบุคคล, เป็นเพียงกระแสแห่งอิทัปปัจจยตา.
ถ้าไปมีตัวตน มีสัตว์บุคคล มีดี มีได้ มีอะไรยิ่งๆขึ้นไปแล้ว
มันเป็นส่วนเฟ้อ, แล้วก็เป็นอภิธรรมเฟ้อ อภิธรรมเกิน.
คำว่า
ปรมัตถ์ มันก็ ขยายอรรถะ หรือเนื้อความ ; อภิธรรม ก็ขยายพยัญชนะ, ขยายโวหารการพูดจา, ขยายไปในทางพยัญชนะ,
บางทีก็ขยายไปในทางตรรกวิทยา, ใช้หลักตรรกวิทยา ขยายความออกไปให้มาก, แล้วเป็นจิตวิทยาก็ได้
ขยายความออกไปให้มาก ; ฉะนั้นจึงเรียกว่า
มันเกินคือไม่จำเป็น. ฉะนั้นเราจะต้องช่วยกันหน่อย,
ทำความเข้าใจกันให้ดีๆ อย่าให้ต้องเสียประโยชน์ไปในเรื่องนี้.
ถ้าชอบ
คำว่า อภิธรรม ไม่อยากใช้คำว่า ปรมัตถ์ ก็ทำให้อภิธรรม
นี่แหละมัน มุ่งไปยังสุญญตา ไม่มีตัวตน มีแต่กระแสแห่งอิทัปปัจจยตา ก็ได้เหมือนกัน. เรื่องคำพูดไม่สำคัญ เรื่องชื่อ,
ชื่อที่ตั้งไว้ไม่สำคัฯ ; มันสำคัญที่ตัวจริง
เพราะชื่อนี้มันตั้งเอาได้นี่.
ถ้าต้องการจะโฆษณาด้วยแล้ว ก็ยิ่งตั้งชื่อกันให้ไพเราะเพื่อการโฆษณา : ฉะนั้น เราไม่เอาชื่อที่ตั้งเพื่อการโฆษณาเป็นหลัก, เอาตัวจริงเป็นหลัก,
ดับทุกข์ได้มากเท่าไร นั้นคือความจริงเท่านั้น, จริงเท่าไรก็ดับทุกข์ได้เท่านั้น ; มุ่งหมายให้มันมีชีวิตอยู่อย่างอิสระ สุญญตา แปลว่า ว่าง, ว่าง
คืออิสระ ไม่ไปจับนั่นจับนี่ ไม่ไปจับแม้แต่มหากุศล
ที่ว่าดีที่สุดนั่นแหละยิ่งบ้าที่สุด.
คำพูดของคนที่เป็นนักปรมัตถ์แท้จริง
เอามาพูดเดี๋ยวคุณจะตกใจ เดี๋ยวท่านทั้งหลายจะตกใจ. นักปรมัตถ์ที่แท้จริงเขาจะพูดว่า ทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์
; บางคนเคยได้ยิน.
แต่อาตมาเชื่อว่าหลายคนยังไม่เคยได้ยินประโยคว่า ทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์ ; เพราะว่าสอนกันมาแต่ให้เอี
เอาดีทั้งนั้นแหละ, ไม่มีใครบอกว่าดีนั้นมันอัปรีย์ ; แต่นักปรมัตถ์ ที่เขาเห็นแล้ว เขามองเห็นว่ามันอัปรีย์เท่ากัน.
คำว่า
อัปรีย์ นั้นแปลว่า ไม่น่ารัก ; เรียนภาษากับเขาเสียหน่อย,
ถ้าเรียนมาแต่ก่อนไม่ถุก ก็เรียนกันเสียใหม่ อัปรีย์, อัปรีย์ นั้นแปลว่า ไม่น่ารัก,
ปรี ปรียะ แปลว่า น่ารัก, อ
แปลว่า ไม่, อัปรีย์ แปลว่า ไม่น่ารัก, ทั้งชั่วและทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์
หมายความว่า ทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่ไม่น่ารัก :
ไปรักเข้าสิ มันกัดเอาทั้งนั้นแหละ,
ที่ว่าดีๆดีๆไปรักเข้าเถอะ มันกัดเอาทันที, ชั่วนั้นมันไม่ต้องสงสัยแหละ
ไปรักเข้ามันก็กัด. ทั้งชั่วทั้งดี ล้วนแต่มันกัดผู้ที่เข้าไปเอาไปรักกับมัน
เพราะมันเป็นเรื่องปรุงแต่ง, มันเป็นเรื่องกระตุ้นจิตใจ
ให้เกิดความขยายตัวของกิเลสตัณหา ความต้องการ.
คนเป็นบ้าเพราะอยากดีกันกี่คนแล้วรู้ไหม?
แล้วคนเป็นโรคประสาทเกือบทั้งหมดแหละ
เพราะอยากดีทั้งนั้นแหละ, แล้วมันไม่ได้ตามที่อยาก แล้วมันก็เป็นโรคประสาท
; ไปทำเล่นกับดีสิ มันกัดเอาอย่างนี้.
คนเขาฆ่าตัวตายเพราะไม่ได้ดีตามที่เขาต้องการ หรือเขากลัวจะเสียชื่อเสียง
เสียความดี เขาชิงฆ่าตัวตายเสียก่อนก็มี ;
นั่นแหละความที่ยึดมั่นถือมั่นในส่วนที่เรียกว่าดี.
ฉะนั้นไม่เอากับมัน
ทั้งชั่วทั้งดี ; เราเอาจิตใจที่เป็นอิสระ,
จิตใจที่เป็นอิสระนั้น ไม่อยู่ใต้อำนาจของความดี หรือของความชั่ว. สิ่งที่เรียกว่า ค่า คุณค่าหรือค่า
ที่เป็นดีเป็นชั่วนั้น ต้องระวัง, อย่าไปเป็นทาสของมัน อย่าไปหลงใหลในมัน,
เรามีจิตเป็นอิสระ. ความชั่วบีบคั้นเราไม่ได้,
แต่ความดีก็อย่ามาบีบคั้นจิตใจของเราเลย.
แต่ว่าคนเป็นอันมากนี้เขาหลงความดีทั้งนั้นแหละ,
พระเจ้าพระสงฆ์ก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ ; อาตมาพูดได้เลย
มันหลงความดีกันทั้งนั้นแหละ แล้วมันก็ลำบากเดือดร้อนเพราะความดีนั้น,
แล้วก็ไม่ค่อยมองเห็นว่า ไปเอากับมันไม่ได้, ทั้งชั่วทั้งดีไปหลงรักมันแล้ว
มันก็จะกัดเอา ; นี่นักปรมัตถ์เห็นอย่างนี้. นักอภิธรรมอาจจะเห็นเอาดีที่สุด,
เอาดีที่สุดโดยที่ไม่รู้ว่า ยิ่งดีที่สุดมันยิ่งกัดลึก, กัดลึกที่สุดเลย.
นี่ฟ้ามันควรจะสาง
อย่าเพียงแต่เอาอภิธรรมไว้สวดศพที่บ้าน หรือที่ป่าช้า ให้มันมากลายเป็นความรู้ที่แท้จริงที่เต็มตามความหมายบ,
ให้อภิธรรมนี้สางไปในทางปรมัตถธรรมเถอะ คือให้ไปสู่สุญญตาที่ไม่มีตัวตน.
รีบสางปรมัตถ์และอภิธรรมจะมีสันติภาพได้.
นี่
ฟ้าสางในทางปรมัตถ์ ก็ดี ฟ้าสางในทางอภิธรรมนี้ ก็ดี ควรจะสางกลางดึกนี้. ฟ้าสางกลางดึกบางคนฟังออกแล้ว, อาตมาคิดว่าบางคนฟังออกแล้วว่าฟ้าสางกลางดึกมันมีได้อย่างไร
; แต่บางคนยังงอยู่ ว่าฟ้าสางกลางดึก มันจะบ้าแล้วกระมัง,
คือว่าเดี๋ยวนี้อายุมันเข้ามาเท่านี้แล้ว อายุมันเข้ามา 30 ปี 40 ปี 50 ปี
แล้วก็มีที่นั่งอยู่ที่นี่ นี่มันดึกแล้ว. ทำไมไม่รีบสางกันเสียทีเล่า?
มันขึ้นมาถึงระยะที่ดึกอย่างนี้ รีบสางกันเสียที เดี๋ยวมันจะไม่ทันเวลานะ.
ฉะนั้น
ขอให้รีบสนใจธรรมะอย่างถูกต้อง
ให้เกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งถุกต้องเป็นฟ้าสางเมื่อกลางดึก
เพราะอายุเข้ามาตั้งครึ่งหนึ่งแล้วก็มี ตั้งค่อนแล้วก็มี เดี๋ยวจะตายเปล่า
ไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากพระพุทธศาสนา นี่เรียกว่า ฟ้าสางทางอภิธรรม
ถ้าพวกเรามีฟ้าสางทางปรมัตถ์
ทางอภิธรรมกันจริงๆแล้ว ก็จะมีประโยชน์แก่ประเทศชาติ, มีประโยชน์แก่ตัวเราเองก่อน
ไม่มีความทุกข์ ;
จะมีประโยชน์แก่ประเทศชาติ
คือจะไม่ทำผิดพลาดให้เกิดปัยหาอะไรขึ้นมาในสังคมในประเทศ กระทั่งว่าในบ้านในเมืองในโลกเลย. ถ้าคนทั้งโลกมีลักษณะฟ้าสางทางปรมัตถ์แล้วก็
โลกนี้หมดปัญหา, เขาจะแก้ปัยหากันอย่างถุกต้องให้โลกมีสันติภาพได้โดยแท้จริง. เดี๋ยวนี้ไม่มีหวัง
องค์การโลกนั่งจับปูใส่กระด้ง คือไม่สิ้นสุด แก้ปัยหาไม่สิ้นสุด
เพราะมันไม่แก้ถุกปัญหา, มันมีลักษณะเหมือนกับนั่งจับปูใส่กระด้ง,
ให้นั่งจับจนตายปูมันก้ไม่อยู่ในกระด้ง ต้องเรียกว่า นั่งจับปูใส่กระด้ง.
ขอให้รู้เรื่องนี้อย่างถูกต้องของธรรมชาติ
ขอให้เข้าใจกันไว้มุกคนนะ, อย่าตู่ อย่าขี้ตู่ มันของธรรมชาติ ; เดี๋ยวพุทธบริษัทจะพูดว่า ของพระพุทบริษัทบ้าง, ว่าของพระพุทธเจ้าบ้าง,
พระพุทธเจ้าท่านก้ปฏิเสธว่าไม่ใช่ของท่าน มันของธรรมชาติ.
กฏอันนี้มันของธรรมชาติ
: ตถาคตจะเกิดขึ้นก็ตาม ตถาคตจะไม่เกิดขึ้นก็ตาม ฐิตาว สา ธาตุ ธรรมธาตุ
อันเป็นกฏธรรมชาติคืออิทัปปัจจยตานี้ มีอยู่แล้ว มีอยู่แล้ว ; ฐิตาว สา ธาตุ – มีอยู่แล้ว, ฎตถาคตเพียงแต่ค้นพบแล้วมาบอก, เอามาบอกว่าความจริงมันเป็นอย่างนี้
เธอทั้งหลายจงประพฤติกระทำให้มันถุกกฏเกณฑือันนี้
แล้วก็จะทำที่สุดแห่งทุกข์เฉพาะตนๆได้” ฉะนั้นมนุษย์แต่ละคนจะต้องเข้าถึงความจริงอันนี้
ขจัดปัญหาได้.
ฉะนั้น
ถ้าเรียนพุทธศาสนากันแล้ว ก็ต้องเรียนให้ถึงนี้
ให้ได้รับประโยชน์จริงๆ มิฉะนั้นแล้วจะไม่คุ้มค่ารถไฟจากกรุงเทพฯมาไชยา.
นี้ใครจะรับประกันบ้างว่าได้รับประโยชน์คุ้มค่ารถไฟจากกรุงเทพฯมาไชยา.
อาตมาก้ไม่รับประกันดอก เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องระวังเอาเอง ; ถ้ามันทำผิดเสีย ทำประมาทเสีย เฉไฉไปข้างทางเสีย แล้วมันไม่พบดอก
มันถึงจุดหมายปลายทาง.
ฟ้าสางทางอุบาสก
เอ้าละ
หัวข้อต่อไป เรียกว่า ฟ้าสางทางอุบาสก ฟ้าสางทางอุบาสก
ไม่ใช่พูดเฉพาะทางอุบาสกดอก, แต่พูดเฉพาะอุบาสิกาด้วย. ถ้าว่าเป็นผู้ชาย ก้เรียกว่าอุบาสก,
ถ้าเป็นผู้หญิง ก็เรียกว่าอุบาสิกา, คือพระสาวกฝ่ายที่อยู่ที่เรือน พระสาวกฝ่ายที่ครองบ้านครองเรือน แล้วก็คู่กันกับสาวกที่อยู่ในป่า คือไม่อยู่บ้านไม่อยู่เรือน เรียกว่า
บรรพชิต :
เป็นผู้ชายเรียกว่า ภิกษุ เป็นผู้หญิงเรียกว่า ภิกษุณี ; พวกอยู่บ้านนี้ ถ้าเป็นผู้ชายเรียกว่า
อุบาสก เป็นผู้หญิงเรียกว่า อุบาสิกา.
ใครรังเกียจต่อคำนี้บ้าง?
ผู้มีการศึกษาแบบหนึ่งอาจจะรังเกียจก้ได้, ฟังคำว่า อุบาสก อุบาสิกา
เป็นคำครึคระบ้าๆบอๆอะไรก็ไม่รู้.
แต่อย่าลืมว่าถ้าไม่ถึงขั้นเป็นอุบาสกอุบาสิกาแล้ว ไม่รู้พุทธศาสนาดอก, ถ้าไม่ถึงขั้นที่เป็นอุบาสกอุบาสิกา
แล้วยังไม่ใช่รู้พุทธศาสนาดอก. ฉะนั้นครูบาอาจารย์ที่มีการศึกษาอย่างใหม่
อาจจะรังเกียจคำคำนี้ก็ได้ ว่าเป็นคำครึคระแล้วพ้นสมัยแล้ว ไม่อยากจะแตะต้อง ; แต่ที่จริงมันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้ายังไม่มีลักษณะเป็นอุบาสกอุบาสิกาอยู่
ก็ยังไม่มีความหมายอะไรเลย. ฉะนั้นอาตมาจึงเอามาพูดในฐานะสิ่งที่ต้องมีอาการที่เรียกว่าฟ้าสาง.
ฉะนั้น
ขอให้เกิดอาการฟ้าสางทางความเป็นอุบาสก ความเป็นอุบาสิกา กันเถิด
จึงได้พูดเรื่องนี้. สาวกอยู่บ้าน
คืออุบาสกอุบาสิกา, สาวกอยู่วัด คือภิกษุ ภิกษุณ๊, รวมเรียกกันวาบรรพชิต
เลยมาพูดเสียคราวเดียวกัน เป็นคู่กันพร้อมกัน เรียกว่าฟ้าสางทางอุบาสก
และฟ้าสางทางบรรพชิต ก็จะได้พูดเรื่องฟ้าสางทางอุบาสกก่อน.
ลักษณะของผู้เป็นอุบาสก
ฯ.
ที่จริงเป็นเพียงอุบาสกอุบาสิกานั้นพอแล้ว
พอแล้ว รับประกันที่สุดแล้ว แต่เขาไม่รู้นี่,
แล้วเขาจะมองเห็นภาพของอุบาสกอุบาสิกาเป็นตาแก่ยายแก่หงำเงอะ
ไปคลานอยู่ตามที่โรงธรรม ;
นี่มันก้เข้าใจไม่ได้แหละ ; ฉะนั้นจะต้องเข้าใจคำว่าอุบาสกอุบาสิกาให้ดี
ๆ. ที่จริงท่านก็ต้องการจะเป็นอยู่แล้ว
โดยแท้จริง, คือต้องการรู้ธรรมะ จะมีธรรมะ จะถึงธรรมะอยู่แล้ว ; แต่ก็เกลียด เกลียดคำว่า อุบาสกอุบาสิกา โดยที่ไม่รู้ว่า นั่นแหละคือ ความเป็นอุบาสกอุบาสิกา
มีธรรมะ รู้ธรรมะ ถึงธรรมะ ; ฉะนั้นมาทำความเข้าใจคำว่า อุบาสกอุบาสิกากันเสียที. พอพูดว่าอุบาสกแล้วก้ขอให้หมายความว่ารวม
อุบาสิกา ไว้ด้วยนะ ตามเพส เพราะจะพูดว่าอุบาสกอุบาสิกา มันรุงรัง, พูดว่า อบาสก
คำเดียวก็พอ ซึ่งหมายถึงอุบาสิกา ซึ่งเป็นเพศหญิงด้วย.
อบาสก
ตัวหนังสือแปลว่า เข้าไปนั่งใกล้ๆ, อาสกะ
นั้นแปลว่า ผู้นั่ง, อุปะ แปลว่า เข้าไปใกล้, นั่นแหละผู้ที่เข้าไปนั่งใกล้ๆ
นั่นแหละคืออุบาสก.
ทีนี้จะถามว่า
ไปนั่งใกล้ๆอะไร? ไปนั่งใกล้ใคร จึงจะเป็นอุบาสก? ก็ไปนั่งใกล้สิ่งที่จะเป้นที่พึ่งได้,
ที่พึ่งคือสรณะ. ถ้าไปนั่งใกล้สิ่งที่เป็นสรณะที่พึ่งได้
นั่นแหละคืออุบาสกหรืออุบาสิกา, หรือว่าเข้า ไปนั่งใกล้
สิ่งที่ควรจะยินดีเป็นอย่างยิ่ง คือ รตนะ, รตนะ ไปนั่งใกล้รตนะ คือ พระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ ที่เรียกว่ารตนะ ไปนั่งใกล้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ที่เป็นสรณะที่พึ่งได้ หรือที่เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่ง,
ไม่มีอะไรที่น่ายินดีมากเท่ากับสิ่งนี้ เรียกว่านั่งใกล้สิ่งที่น่ายินดีอย่างยิ่ง
ก็คือพระรัตนตรัยอย่างไรล่ะ.
เราพูดกันเป็นธรรมดาไปแล้วว่าพระรัตนตรัยคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ก็ไปนั่งใกล้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็เกิดปัญหา เกี่ยวกับภาษา ภาษาธรรม
ภาษาจิตใจ เราจะไปนั่งใกล้ได้อย่างไร? ไปนั่งใกล้ได้ที่ไหน? นี้มันต้องอธิบายกันต่อไป.
พูดให้เป็นอุปมาเปรียบ
ก็เหมือนกับว่าไปนั่งใกล้หมอ, ไปนั่งใกล้ยารักษาโรค,
ไปนั่งใกล้ผู้ปฏิบัติงานในการใช้ยารักษาโรค, นี่ความหมายของพระรัตนตรัย
พระพุทธเจ้าเป็นเหมือนหมอ. ในพระบาลีก็เรียกพระพุทธเจ้าว่า
หมอ เป็นสพฺพโลก ติกิจฺฉโก – พระศาดาเป้นผู้เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง สพฺพโลก
ติกิจฺฉโก. พระพุทธเจ้าทรงเป็นเหมือนหมอ
รักษาโรคทางจิตวิญญาณ โรคทางจิตใจ, แล้ว พระธรรมนั้นก็คือตัวยา หรือเครื่องอุปกรณ์ในการบำบัดโรค
คือพระธรรม, แล้วพระสงฆ์ทั้งหลาย
ก็คือผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการเยียวยารักษาโรค สืบต่อมาจากพระพุทธเจ้า
แล้วก็ยังปฏิบัติหน้าที่อันนี้อยู่.
ขอให้มอง
อย่างนี้ว่ามันน่าจะเข้าไปนั่งใกล้
หรือว่าการเข้าไปนั่งใกล้ได้ มันเป็นความปลอดภัย, เป็นการได้ที่ดีที่สุด
ที่ได้นั่งใกล้พระรัตนตรัย ซึ่งเปรียบเสมือนหมอ หรือยาแก้โรค,
และผู้ปฏิบัติหน้าที่การงานเกี่ยวกับการรักษาโรค.
นี้พุดให้เป็นบุคคล
เป็นวัตถุขึ้นมา ; อุบาสก หรือ อุบาสิกาเหมือนกับผู้เข้าไปดนั่งใกล้พระรัตนตรัย
ที่เป็นเหมใอนหมอ เหมือนยา, เหมือนผู้ปฏิบัติงานในการบำบัดโรค ที่นี่และเดี๋ยวนี้นะ ;
หมายความว่ามันมีอยู่แล้วในจิตใจที่นี่และเดี๋ยวนี้ ;
ถ้าไม่อย่างนั้นมันยังไม่เป็น ยังไม่เป็นอุบาสกอุบาสิกา,
มันต้องได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ต่อตายแล้ว
หรือไม่ใช่อีกหลายวันหลายปีข้างหน้า.
เดี๋ยวนี้ หัวใจของเราถึงกันเข้ากับสิ่งนี้แล้ว ที่นี่และเดี๋ยวนี้
; จะเป็นอุบาสกอุบาสิกา จะต้องใช้คำว่า ทุกเวลา
ทุกเวลา. ถ้ามันเข้าถึงสิ่งนี้แล้ว
มันจะเข้าถึงทุกเวลา, แล้วก็ทุกหนทุกแห่งแล้วก็ในทุกกรณี คือไม่เปลี่ยนแปลง ;
แม้จะมีกรณีอันเลวร้ายเกิดขึ้น มันก็ไม่มีการกระทบกระเทือน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ในการที่เข้าไปนั่งใกล้พระรัตนตรัย ; ต้องเป็นอย่างนั้น จึงจะเรียกว่าเราเป็นอุบาสกหรือเป็นอุบาสิกาที่แท้จริง.
ถ้าว่ามันไม่เป็นอย่างนี้แล้วก็ยังไม่ใช่
; เพียงแต่รู้เรื่องของธรรมะอ่านหนังสือมากๆ จดจำไว้ได้มากๆ นี้ยังไม่เป็น,
อย่างดีก็เพียงเตรียม เตรียมจะเป็น เช่นมาฟังเทศน์
มาศึกษาอย่างเต็มที่อย่างนี้ก็ยังไม่เป็นดอก,
เพียงเตรียมจะเป็นก็มีความหวังอยู่เหมือนกัน.
ฉะนั้น ขอให้สนใจศึกษา รวบรวมค้นคว้า เพื่อจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
แล้วก็จะเป็นกันจริงๆ.
เหตุผลที่ต้องนั่งใกล้พระรัตนตรัย.
มันควรจะมีคำถามอีกคำถามหนึ่ง
ว่าทำไมต้องไปนั่งใกล้พระรัตนตรัย?
ก็เพราะว่าเดี๋ยวนี้มันมีสิ่งคุกคามเราอยู่คือความทุกข์, พูดให้ชัดหน่อยก็ว่า
การศึกษาหรือความรู้ที่เรามีอยู่นั้น มันไม่พอที่จะดับทุกขืได้ ที่จะทำความอุ่นใจหรือความมั่นใจให้แก่เราว่าเราจะเอาชนะความทุกข์ได้.
นี่ครูบาอาจารย์เรียนอะไรมาเยอะแยะแล้ว
อาตมายังว่าไม่พอ ; อย่าเพ่อโกรธ
มันไม่พอที่จะดับทุกข์ได้ ; เพราะนั้นมันเป็นเรื่องทำมาหากิน
เป็นเรื่องโลก. เรื่องที่จะดับทุกขืได้นี้
จะต้องเป็นเรื่องธรรมะ ใช้กับจิตใจโดยตรง ; เรายังขาดอยู่ มันยังไม่พอ ; ฉะนั้นเราจึงต้องมาหาสิ่งที่จะช่วยได้
คือมาหาพระรัตนตรัย. ที่ไหนเป็นโอกาสเป็นอุปรณ์
ที่จะให้เข้าถึงพระรัตนตรัยได้ เราก็ทำ ;
จะไปคบหาสมาคมกับบุคคล กับสถานที่ หรือกับหนังสือหนังหา
ตำรับตำราวิชาความรู้อะไรก็ตาม ที่จะช่วยให้เข้าถึงพระรัตนตรัยได้ เราก็พยายาม
เรายังมีปัญหานี้อยู่
รบกวนเรา มีปัญหาที่ขบกัดจิตใจเราอยู่ ;
และเพราะว่าการศึกษาในโลกมันไม่พอ ให้รวมกันหมดทั้งโลกๆ กี่เท่าในโลกนี้, การศึกษาอย่างโลกปัจจุบันนี้มันไม่พอที่จะดับทุกข์. แม้จะไปโลกพระจันทร์ได้
มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรสักนิดหนึ่ง ที่จะดับทุกข์ได้, มันจะเป็นทางให้เกิดขยายความทุกข์
เรื่องปรมาณู เรื่องวคอมพิวเตอร์ เรื่องอีเลตโทรนิค
อะไรก็ตามเถอะมันไม่ช่วยให้ดับทุกข์เลย แต่มันเป็นอุปกรณ์ที่จะขยายปัจจัยแห่งความทุกข์
คือขยายความต้องการสิ่งที่จะให้เกิดทุกข์นั้นมากออกไป,
ให้เราหลงใหลในปัจจัยเหล่านั้นมากขึ้น. นี้เราเรียกว่า
การศึกษาในโลก รวมกันทั้งหมดแล้ว มันก็ไม่พอที่จะช่วยขจัดปัยหาในทางจิตใจ
ในทางวิญญาณของเรา.
การศึกษาในโลกไม่พอ
; อาตมาเคยใช้คำรุนแรงว่า ยังเป็นการศึกษาเหมือนกับสุนัขหางด้วน. การศึกษาในโลกนี้
มันไม่พอที่จะใช้ดับทุกข์, เรียนกันแต่หนังสือ เรียนแต่วิชาชีพ
เราก็เก่งในการที่จะประกอบอาชีพ ; แต่แล้วเราก็ยิ่งเห็นแก่ตัว. การศึกษานี้สร้างความเจริญทางวัตถุ, ยิ่งเจริญทางวัตถุก็ยิ่งเห็นแก่ตัว. โลกนี้มันเจริญแต่ทางวัตถุ
ยิ่งเจริญทางวัตถุก็ยิ่งเพิ่มปัญหา เห็นแก่ตัว, แล้วก็จะรบราฆ่าฟันจะแย่งชิงกัน,
อย่างดีที่สุดก็ทำให้ยุ่งเท่านั้นแหละ. พอมองเห็นไหม? พูดว่า
ยิ่งเจริญมันก็ยิ่งยุ่ง, ยิ่งเจริญมันก็ยิ่งยุ่ง ไม่เจริญเสียดีกว่าทางวัตถุ
เมื่อบ้านเมืองของเรายังไม่เจริญมากเหมือนเดี๋ยวนี้
ความยุ่งมันมีน้อย สันติภาพมีมาก.
ที่กรุงเทพฯนั่นแหละ เมื่อ 60 กว่าปีมาแล้ว อาตมาเคยไป
มันมีสันติภาพมากกว่ากรุงเทพฯเดี๋ยวนี้,
กรุงเทพเดี๋ยวนี้มันมีสิ่งเลวร้ายมากมายหลายเท่า ความไม่ปลอดภัยเต็มไปหมด ; สมัยก่อนโน้นดูจะมีความปลอดภัยเต็มไปหมด ความเจริญ ยิ่งเจริญยิ่งยุ่ง
ยิ่งเจริญยิ่งอันตราย, ยิ่งเจริญยิ่งไม่มีความปลอดภัย, เพราะว่าความเจริญ มันหมายถึงเจริญด้วยความรู้ที่เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว,
มันยิ่งเจริญด้วยการกระทำที่เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว,
นี่ลองสังเกตไว้เรื่อยๆเถอะ คงจะมองเห็นด้วยตนเองว่ามันเป็นอย่างนี้ ; นี่อีก 20 ปีมันก็จะมากกว่านี้ ยิ่งยุ่งกว่านี้, ยิ่งอันตรายกว่านี้,
ยิ่งไม่มีความปลอดภัยมากกว่านี้ นั่นแหละ ยิ่งเจริญมันก็ยิ่งยุ่ง.
ความเจริญไม่ทำให้โลกมีสันติภาพ.
ความเจริญที่มันมีอยู่ในเวลานี้
จนวุ่นไปหมดนี้ มันไม่ได้ทำให้โลกมีสันติภาพ ;
เมื่อเราไม่มีเรือบินใช้ โลกมีสันติภาพมากกว่านี้ มีความสงบเงียบมากกว่านี้, ถ้าถอยหลังไปถึงสมัยคนป่า
เมื่อหมื่นๆปีมาแล้วโน้น มันมีความสงบเงียบมากกว่านี้ ไม่มีความยุ่ง. นี้พอเจริญขึ้นมา
เจริญขึ้นมาความยุ่งมันก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว, ความเห็นแก่ตัวก็เพิ่มขึ้น,
ความเบียดเบียนกันก็เพิ่มขึ้น, ปัญหามันก็เพิ่มขึ้นตามความเจริญ, นี่เรียกว่า ยิ่งเจริญยิ่งยุ่ง.
ไม่ใช่จะตำหนิหรือด่าว่าอะไร
แต่ขอให้สังเกตไว้บ้างเท่านั้นแหละ อย่าเข้าใจไปว่า
ยิ่งเจริญแล้วมันจะยิ่งสงบสุขเยือกย็น ; แล้วตัดสินดูให้ดี
อย่าให้ลำเอียง ว่าเมื่อยังไม่มีโทรทัศน์ใช้ เมื่อยังไม่มีตู้เย็นใช้นั้น
ตอนไหนมันสงบเงียบกว่ากัน, ตอนไหนมันเยือกเย็นกว่ากัน? ถ้าเอาโทรทัศน์ไปทิ้งเสีย
เอาตู้เย็นไปทิ้งเสีย มันจะเกิดอะไรขึ้น, อาตมาคิดว่ามันจะเยือกเย็น เยือกเย็นขึ้น
ฉะนั้นอย่ามองด้านเดียว ;
เพราะว่าความเจริญนั้นมันหมายถึงความยุ่ง ในภาษาบาลี ความเจริญเขาหมายถึง
ความยุ่ง ความรก ความรุงรัง ความยุ่งบางคนเขาว่า ภาษาฝรั่งคำว่า progress นั้นหมายถึงความบ้า, progress ที่มาใช้เป็น progressive นั้น รากศัพท์ของมันหมายถึงความบ้า คือมันเดือดคลั่งไปหมด.
ฉะนั้นอย่าชอบความเจริญอย่างหลับหูหลับตากันนัก,
ให้มันเป็นความเจริญที่ถูกต้อง แล้วมันจึงจะสงบเย็นลงไป. คำว่า เจริญๆ นั้นมันไม่ได้มีความหมายว่าสงบเย็น
; มันมีความหมายแต่ว่ามากขึ้นๆ ตามกิเลสของคน, มากขึ้นตามกิเลสของคน,
เพราะว่าคนเป็นผู้สร้างนี่ มันก็มากขึ้นตามกิเลสของคนนั้น
ความเจริญก็คือความมากขึ้นๆ จนรกรุงรังไปหมดตามกิเลสของคน.
นี่เราจะต้องรู้กันไว้
สำหรับไม่เข้าใจผิดในเรื่องนี้ ว่าการศึกษาในโลกมนุษย์ปัจจุบันนี้มันไม่พอ มันสร้างความยุ่ง ; มันไม่ได้สร้างความสงบ แล้วการศึกษาอย่างในโลกมันให้สติปัญญาเท่านี้,
ให้สติปัญญาเพียงเท่านี้ คือให้ความเฉลียวฉลาดเท่านั้นแหละ intellect
แค่ๆนี้, แค่ intellect
นี้มันมึความเฉลียวฉลาด แต่มันไม่สูงขึ้นไปจนถึงที่ว่าเห็นแจ้ง, เห็นแจ้งแทงตลอดเป็น
wisdom เป็น insight มันไม่มีนี่ ; จากการศึกษาที่มีกันอยู่ในโลก มันให้ได้เพียงความฉลาดเฉลียว. พอใช้ความฉลาดเฉลียวผิด มันก็ไปกันใหญ่ ก็เดินไปในทางที่ต้องให้เพิ่มความมืด, เรียกว่าความมืดในความสว่างนั้นเอง
; เหมือนกับดวงอาทิตย์มันส่องลูกตาเรา
เรามองไม่เห็นใช่ไหม? ทั้งที่ดวงอาทิตย์มันก็เป็นแสงสว่าง แต่มันส่องลูกตาเราโดยตรง เราก็มองไม่เห็น.
อย่าทำเป็นเล่นกับเรื่องวิชาความรู้ชนิดที่มันให้แต่ความเฉลียวฉลาด ; แสงสว่างจะบังลูกตาไม่ทันรู้.
ฉะนั้นจึงมาศึกษาแสงสว่างอย่างธรรมะอย่างของพระพุทธเจ้ากันเสียบ้าง คือมันไม่บังลูกตา ; แสงสว่างชนิดนี้มันทำให้เห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง.
หลักในการนั่งใกล้พระรัตนตรัย.
เอาละ นี่พูดกันมาแล้วว่า นั่งใกล้ใคร?
นั่งใกล้พระรัตนตรัย.
ทำไมต้องนั่งใกล้พระรัตนตรัย?
ก็เพื่อจะดับทุกข์ โดยอาศัยแสงสว่างของพระรัตนตรัย ก็ตั้งปัญหาต่อไปว่า นั่งใกล้ได้อย่างไร?
ตอบ โดยมีท่านอยู่ในหัวใจของเรา มากไปไหม? นั่งใกล้พระรัตนตรัย
คือมีท่านอยู่ในหัวใจของเรา, เท่านี้ มันเท่านี้ มันไม่มากไม่น้อยกว่านี้ ถ้าไม่มีท่านมาอยู่ในหัวใจของเรา
จะไม่มีการนั่งใกล้พระรัตนตรัย, หรือว่าเรามีหัวใจเหมือนท่านก็ได้
ต่อรองสักหน่อย. เรามีหัวใจเหมือนท่านก็ได้
ถ้าว่าไม่อาจจะเอาท่านมาไว้ในหัวใจของเรา
ขอให้เรามีหัวใจเหมือนท่าน.
ก็ดูว่า
ท่านมีหัวใจอย่างไร ;
ถ้าท่านมาอยู่ในหัวใจของเรา หรือเรามีหัวใจของท่าน นั้น มันมีความหมายมาก มากกว่าที่จะเดินตามท่าน หรือมากกว่าที่จะไปนั่งใกล้ๆท่าน. เดี๋ยวนี้ท่านมาอยู่ในหัวใจของเรา,
เราก็มีสิ่งที่เรียกว่า พระพุทธแท้ พระธรรมแท้ พระสงฆ์แท้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งในหัวใจของเรา.
พระพุทธเจ้าแท้
ก็คือพระธรรม, พระธรรมที่มีอยู่ในหัวใจของพระสงฆ์. พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม
ผู้นั้นเห็นเรา, ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม.
ท่านไม่เอาตัวเนื้อของท่านมาเป็นพระพุทธ, ไปเอาที่พระธรรม. ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา,
ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม.
พระพุทธเจ้าแท้ ก็คือองค์พระธรรม, องค์พระธรรม คือความรู้เรื่องดับทุกข์. ความรู้เรื่องทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร? ความรู้เรื่องทุกข์ดับลงได้อย่างไร? ก็คือกฏอิทัปปัจจยตา อีกนั่นแหละ.
ดังนั้น
พระพุทธเจ้า หรือว่าพระสาวกของท่าน ย่อมถือเป็นหลักว่า
ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม, ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท คืออิทัปปัจจยตา
; ฉะนั้น ผู้ใดเห็นอิทัปปัจจยตาผู้นั้นเห็นธณรม,
ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า. ทีนี้สิ่งเหล่านี้ก็มีอยู่ในหัวใจของพระสงฆ์
; พระสงฆ์ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าตามพระธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า จนมีธรรมะอยู่ในหัวใจของท่าน ถึงขนาด,
ถึงขนาด ถึงขนาดที่จะเรียกว่าพระสงฆ์ คำว่า พระสงฆ์ นี้ที่เรียกว่าเป็นหมู่
รวมหมู่ คือมีอะไรเหมือนกันๆจนถึงกับรวมหมู่กันได้ ; ดังนั้นพระสงฆ์จึงมีหัวใจอะไรเหมือนๆกับพระพุทธเจ้า
ที่รวมหมู่กันได้.
ทีนี้ระวังให้ดี
บางทีจะรวมเราด้วยนะ, จะรวมพวกเราด้วย.
คำว่าพระสงฆ์ๆนั้น จะรวมพวกเราด้วยก็ได้
; ถ้าเรามีหัวใจที่เต็มไปด้วยความรู้ในพระธรรม รู้สึกในพระธรรมถึงขนาด,
เราก็เป็นพระสงฆ์ไปด้วย. คำว่า พระสงฆ์
ไม่ได้หมายความแต่บรรพชิตที่อยู่วัดดอก, ฆราวาสที่อยู่ที่บ้านก็ได้ ถ้ามีหัวใจถึงขนาดนั้นแล้ว ก็เรียกว่ามีความเป็นพระสงฆ์. ฉะนั้นคำว่า สงฆ์สาวก เขาแจก เป็นภิกษุ
ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ด้วย คือผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ; รวมหมดแล้วก็ต้องลงมาถึงฆราวาสด้วย.
แต่ถ้าจำกัดอยู่เพียงบรรพชิต
เขาก็ยังเอากันแต่ที่เป็นบรรพชิต ;
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังแยกเป็นภิกษุสงฆ์บ้าง, เป็นภิกษุณีสงฆ์บ้าง, เรียกว่ามันเป็นหมู่
เพราะเข้ากันได้ เพราะมีอะไรเหมือนๆกับ จึงเข้ากันได้ : วัวเข้าฝูงวัว
โคเข้าฝูงโค สุกรเข้าฝูงสุกร ; เพราะมันเหมือนๆกันได้
มันจึงไปเข้าฝูงกันได้. เดี๋ยวนี้ อริยสาวกของพระพุทธเจ้ามีอะไรเหมือนๆกัน จึงเข้าหมู่กันได้ เรียกว่า สาวกสงฆ์,
สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า เป็นหมู่แห่งสาวกของพระพุทธเจ้า.
พระพุทธแท้
คือ พระธรรมที่มีอยู่ในหัวใจของพระสงฆ์ ซึ่งรวมเราด้วยก็ได้
; ฉะนั้นขอให้ทำให้ดีๆ ขอให้จัดให้ดีๆ
เราจะได้รวมอยู่ในคำว่าพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า.
มีธรรมคำเดียวจะปลอดภัย.
ถ้าจะเอากันแต่ใจความจริงๆแล้ว มันสำคัญอยู่ที่พระธรรม, สำคัญอยู่ที่พระธรรม,
มีพระธรรมคำเดียวมันจะแก้ปัญหาได้
เพราะมีพระธรรม พระพุทธเจ้าจึงเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา เพราะรู้ธรรม ตรัสรู้ธรรม และมีธรรม. ธรรมะทำให้เกิดพระพุทธเจ้า,
พระสงฆ์มีธรรมรู้ธรรม จึงเกิดเป็นพระสงฆ์ขึ้นมา ; พระธรรมจึงเป็นตัวยืนโรงเฉียบขาดเหนือสิ่งใด
จนพระพุทธเจ้าก็ทรงเคารพพระธรรม.
ถ้าใครยังไม่ทราบ ที่นั่งอยู่นี้ใครยังไม่ทราบ ก็ได้ทราบเสียด้วยว่าพระพุทธเจ้าก็ทรงมีที่เคารพ,
ท่านเคารพพระธรรม,
อย่าไปเข้าใจผิดว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่เคารพใคร อยู่เหนือใครหมด. ท่านตรัสว่า
การที่อยู่โดยไม่มีความเคารพนั้น ไม่ถุกต้อง ไม่ปลอดภัย ; อย่างน้อยต้องมีหลักเกณฑ์,
หลักเกณฑ์ ซึ่งเป็นที่เคารพหรือยึดถือ, หลักเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ
ก็คือกฏอิทัปปัจจยตา ; ท่านเคารพตั้งแต่วันแรกตรัสรู้,
แล้วก็เคารพตลอดมา ยืนยันได้ว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เคารพพระธรรม
ทั้งที่พระธรรมนั้นก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้านั้นเองท่านได้ตรัสรู้. นี่ท่านไม่ประมาท ท่านไม่ยกตัว,
ท่านไม่ทำอะไรชนิดเหมือนพวกเรา ที่คอยแต่ว่าจะไม่เคารพใคร. อย่าเข้าใจผิดว่าการอยู่อย่างไม่มีที่เคารพนั้นมันจะปลอดภัย,
ยิ่งยังเป็นปุถุชนมากๆอยู่แล้ว
ก็ต้องยิ่งมีความเคารพ บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ พระเจ้าพระสงฆ์
กฏเกณฑ์อะไรต่างๆตจ้องเป็นที่เคารพ, ดังที่พระองค์ทรงเคารพพระธรรม.
พอเรามีพระธรรมมันก็คล้ายกับว่าเรามีหมดแหละ มีพระพุทธ มีพระสงฆ์ รวมอยู่ในนั้น,
มาอยู่ในจิตใจของเรา. ขอให้เรามีธรรมะถึงขนาด
ต้องใช้คำว่าถึงขนาด, คือขนาดที่จะดับทุกข์ได้
คือแตกฉานแจ่มแจ้งในธรรมะเรื่องดับทุกข์.
อิทัปปัจจยตาเป็นกฏตายตัวว่า ความทุกข์เกิดขึ้นมาอย่างไร,
ความทุกข์จะไม่เกิดหรือดับไปอย่างไร, อันนั้นต้องแจ่มแจ้ง. พอรู้เห็นอย่างนี้แล้ว มันก็ดำรงตนอยู่ในลักษณะนั้น
คือถุกต้อง, ความทุกข์ก็ไม่เกิด, นี้เรียกว่าเรามีธรรมะโดยสมบูรณ์ ก็เลยมีพระพุทธ
พระสงฆ์ อยู่ในนั้น.
เรามีท่านอยู่ในหัวใจของเราได้ด้วยเหตุนี้
หรือจะพูดว่า เราทำหัวใจของเราให้เหมือนกับหัวใจของท่านได้
ก็เพราะเหตุนี้เหมือนกัน, แล้วแต่จะใช้คำไหน.
เรามีท่านมาอยู่ในหัวใจของเรา, ก็คือมีธรรมะอย่างเดียวกันกับท่าน
มาอยู่ในหัวใจของเรา, หรือเรามีหัวใจเช่นเดียวกับท่าน
ก็คือมีธรรมะอย่างที่ท่านมีอยู่ในหัวใจของเรา, นี่คืออุบาสกอุบาสิกา
ใครเห็นว่าครึคระ, ใครจะเห็นว่าเป็นอุบาสกอุบาสิกาเป็นเรื่องครึคระงุ่มง่าม,ความจริงมันมีอยู่อย่างนี้.
ถ้าว่าแจ่มแจ้งในเรื่องนี้ได้
โดยเห็นความเป็นอุบาสกอุบาสิกาของตนแล้วก็ปลอดภัยแหละ ; เพราะเข้าเขตของความปลอดภัย,
เพราะว่านั่งใกล้พระรัตนตรัยแล้ว, มันเข้าเขตที่รับประกันได้ว่าจะปลอดภัย.
ฉะนั้นขอให้เป็นอุบาสกหรืออุบาสิกาให้ได้กันเท่านั้นแหละ
จะเป็นที่นอนใจว่ามันปลอดภัย ;
เพราะต่อแต่นี้ไปมันจะไปตามลำดับ, ไปตามลำดับ,
จะไหลไปตามลำดับจนไปถึงจุดสูงสุดแหละ คือนิพพาน, เหมือนพระพุทธเจ้า
หรือเหมือนพระอรหันต์ทั้งหลาย. นี่เรียกว่า
ฟ้าสางทางอุบาสก นี่มันต้องเป็นอย่างนี้ อย่างอื่นไม่มี.
พึงศึกษาให้มีความรู้สึก,
เห็นแจ้ง.
พระธรรมคือสิ่งนี้
; เรามีทั้งความรู้ มีทั้งความรู้สึก
มีทั้งความเห็นแจ้งโดยประจักษ์. ความรู้เราเรียนเอาก้ได้
จดใส่สมุดเอาก็ได้ ; แต่ ความรู้สึก นั้นไม่ใช่จากสมุด
ต้องรู้สึกอยู่กับใจจริงๆ ว่าทุกข์เป็นอย่างไร, เวลาที่เราไม่มีทุกข์นั้นเป็นอย่างไร,
เมื่อมาสวนโมกข์ กับอยู่ที่กรุงเทพฯนั้น จิตใจต่างกันอย่างไร. ถ้าเราสังเกตได้ นั่นแหละคือความรู้สึก
หรือว่าเราไปอยู่ที่ใด มันเย็นอกเย็นใจว่างสบาย บอกไม่ถุก ก็รีบศึกษาความรู้สึก
มันจะได้เป็นเครื่องเปรียบเทียบ.
เปรียบเทียบขึ้นไปหาพระนิพพาน ซึ่งเป็นยอดสุดของความรู้สึก
ที่ไม่มีความทุกข์เลย.
ทีนี้บางเวลาโกรธใครขึ้นมา ขว้างแก้วแตกกระจาย รู้สึกสิ
รู้สึกไว้เสียบ้างสิ ว่านั้นคือนรก.
นั่นแหละคือนรกแหละ ;
ฉะนั้นจะรู้สึกนรกได้เมื่อมันเกิดโกรธขึ้นมา หรือเกิดทำผิดทางจิตใจขึ้นมา
เมื่อนั้นแหละเป็นนรก.
เล่านิทานเล็กๆ
สักเรื่องดีไหม, นิทานของพวกเซ็น ว่าแม่ทัพใหญ่พวกซามูไร
รักรบสูงสุดในญี่ปุ่น สมัยหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น พวกซามูไรนี้เป็นใหญ่เป็นโต
จนพระเจ้าแผ่นดินก็ต้องเกรงขาม, แม่ทัพซามูไรเขาไปหาอาจารย์เซ็นคนหนึ่ง ว่าช่วยบอกนรก บอกสวรรค์ที
แม่ทัพคนนั้นเขาไปหาพระองค์นั้น ให้ช่วยบอกให้เห็นนรกเห็นสวรรค์ที
พระองค์นั้นแกตามแบบเซ็นนี่
แกก็ชี้หน้าว่า ไอ้พวกซ่ามูไรมันจะไปรู้อะไร มันโง่ดักดาน.
ซามูไรมันก็ชักดาบ, ชักดาบออกมาจากฝักจะฟันพระองค์นั้น. พระองค์นั้นบอกว่า นั่นแหละนรก,
นรกเปิดแล้ว. คนนั้นก็สลดใจ นึกได้. มันก็เอาดาบใส่ฝัก. เอ้า, นั่นแหละสวรรค์, สวรรค์เปิดแล้ว,
ประตูสวรรค์เปิดแล้ว. คนนี้ก็เลยรู้,
รู้จักนรก และรู้จักสวรรค์.
เราก็เหมือนกันแหละ
เวลาที่นรกมันเกิดขึ้นในใจ รีบศึกษามันเสียสิ ให้รู้ว่านรกมันร้อนอย่างไร, มันร้อนขนาดไหน,
มันยิ่งกว่าสุมไฟหรือเผาไฟ. สวรรค์นั้นมันเย็นอย่างไร,
เย็นธรรมดานี้ยังไม่ถึงนั้นดอก แต่ว่าเราต้องการเย็นกว่าสวรรค์คือนิพพาน
มันเย็นกว่านั้นอีกมาก เย็นกว่าสวรรค์, เย็นกว่าอะไรอีกมาก. นี้เรียกว่าต้องเรียนรู้จากภายใน, เป็นความรู้สึก
; รู้จักภายนอก อ่านหนังสือก็ได้ ฟังวิทยุก็ได้ ฟังเทศนืก็ได้,
ไม่พอ, ต้องรู้สึก ต้องสัมผัสด้วยจิต.
ทีนี้รู้สึกๆ
รู้สึกมากเข้าๆ, ความรู้สึกนั้นมันจะกลายเป็นความเห็นแจ้ง, เห็นแจ้งโดยประจักษ์,
รู้รสของสิ่งนั้นโดยประจักษ์, นี้เรียกว่าเห็นแจ้ง.
เปรียบเทียบสักนิดหนึ่งก็ว่า เหมือนกับเรารู้เรื่องเกลือ, ได้เรื่องเกลือว่าเหลือเค็ม
ก็มีความรู้ว่าเกลือเค็ม.
ต่อมาได้เห็นเกลือจริงๆนี้ก็รู้จักเกลือ ; แต่ก็ไม่รู้ว่าเค็มอย่างไร ;
ต่อมาเอาเกลือใส่ปากเคี้ยวเข้าไป, โอ้, มันอย่างนี้เอง. มันเป็นขั้นตอนว่า มันมีความรู้,
แล้วมันมีความรู้สึก แล้วมันมีความเห็นแจ้งโดยประจักษ์. ภาษาไทยเราก็ต้องพูดอย่างนี้ ; ภาษาบาลีเขามีคำพูดรัดกุมมาก, แต่ภาษาไทยก็ต้องพูดอย่างนี้.
ฉะนั้น
ขอให้เลื่อนชั้น ให้ทุกคนเลื่อนชั้นการเข้าถึงพระรัตนตรัย ให้เลื่อนชั้น จากรู้
แล้ว รู้สึก แล้วก็ เห็นแจ้ง นั่นแหละใช้ได้. เมื่อถึงขนาดเห็นแจ้ง แล้วก็จะเรียกว่ามีสิ่งนั้นอยู่ในใจ. ถ้าพูดถึงพระพุทธ ก็มีพระพุทธอยู่ในใจ,
พระธรรมอยู่ในใจ, พระสงฆ์อยู่ในใจ, เป็นความสะอาดแห่งใจ สว่างแห่งใจ
สงบแห่งใจ. ฉะนั้นเก็บหอมรอมริบ
ความรู้เรื่องความสะอาด สว่าง สงบ ไว้เรื่อย ;
เมื่อไร ที่ไหน มันมีความสะอาด สว่าง สงบ ไว้เรื่อย ; เมื่อไร
ที่ไหน มันมีความสะอาด สว่าง สงบ เกิดขึ้นบ้าง ก็สนใจให้มาก, จดจำให้แม่นยำ,
กำหนดไว้ให้แม่นยำ เพื่อจะได้รักษาลู่ทางของมัน ให้มันเดินไปยิ่งขึ้นๆ.
นี้เรียกว่า เรามีท่านอยู่ในหัวใจของเรา, มีพระพุทธเจ้าอยู่ในหัวใจของเรา, หรือว่ามีหัวใจอย่างเดียวกับท่าน,
ก็แล้วแต่จะชอบคำพูดคำไหน.
พระองค์อยู่ในจิตแล้วจักพบความเย็น.
พูดต่อไปอีกนิดหนึ่งว่า
นั่งใกล้ท่านแล้ว มีผลอย่างไร? คือเมื่อเอาท่านเข้ามาใส่ในหัวใจของเราแล้ว
เราจะได้รับผลอย่างไร? นี่จะเกี่ยวกับความรู้สึก ; ฉะนั้นขอให้ไปกำหนดเอาเองอีกทีหนึ่งให้ดีๆ รู้สึกอย่างไร? เช่น
รู้สึกปลอดภัย รู้สึกปลอดภัย ; ก่อนนี้มันว้าเหว่ มันหวดผวา ตื่นนอนขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าอะไร
ไม่แน่ใจไปเสียหมด, มีความผวา มีความหวาดระแวง
ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันจะไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ, เราจะสูญเสียอะไรบ้าง,
หรือบางทีเราจะตายเองบ้าง, นี่มันไม่รู้สึกว่าปลอดภัย,
ถ้าว่าทำจิตใจชนิดที่มีท่านอยู่ในหัวใจของเราแล้ว ความรู้สึกอย่างนี้ก็ไม่มี.
เราจะมีความรู้สึกพอใจในชีวิตนี้ ว่ามันได้เป็นไปถูกต้องแล้ว,
เป็นชีวิตที่ควรจะเรียกว่าชีวิตแหละ คือความเป็นอยู่ที่แท้จริง,
หรือว่าเราจะมีความรู้สึกอิ่มใจ เหมือนกับเราอิ่มด้วยอะไร, อิ่มด้วยอาหาร,
อิ่มด้วยความพอใจอิ่ม มีความอิ่มใจ ไม่หิวไม่กระหาย ทั้งทางวัตถุ
หรือทั้งทางจิตใจเอง, แล้วจะรู้สึกความหมายอันหนึ่งคือความเย็น
คำว่า
“นิพพาน” นั้นแปลว่า เย็น ; แต่ไม่ใช่เย็นแช่น้ำแข็ง
เพราะเย็นแช่น้ำแข็งนั้น
บางทีเราก็ทนไม่ได้. คำว่า “นิพพาน”
นี้แปลว่า เย็น, คำนี้แปลว่า เย็น ;
เย็นเพราะว่าไม่มีไฟ เพราะไม่มีความร้อน แล้วมันก็คือเย็น. คำบาลีชัดๆมีอยู่ เช่นคำว่า
เอาน้ำราดลงไปที่โลหะร้อนๆที่หลอมจนร้อน
จนรู้สึกเป็นแสงราดลงไป
แล้วโลหะที่หลอมร้อนแดงนั้นมันจะนิพพาน.
คำว่า นิพพาน คือมันเย็นลงแห่งความร้อน ; ก่อนนี้ชีวิตของเรามันร้อน มันอุ่น มันครุ่นอยู่ด้วยการปรุงแต่งของกิเลส ; พอธรรมะนี้เข้ามา มันก็เหมือนกับเอาน้ำเย็นรด มันก็เย็นลง.
คำว่า
“เย็น” ในความหมายนี้ ไม่ใช่เย็นที่เป็นคู่ตรงกันข้ามกับร้อน มันมีความหมายมากกว่านั้นมาก เป็นความเย็นที่หมดเหตหมดปัจจัย. อย่าเอาเย็นของพระนิพพานไปคู่กับร้อน ; ให้มันเป็นเย็นอีกชนิดหนึ่ง.
ถ้าเย็นที่คู่กับร้อนนั้นมันมีเหตุมีปัจจัยนั้น มันมีอีกระดับหนึ่ง ;
แต่เราไม่มีคำพูดจะเรียก เราก็ต้องพูดว่า เย็น ไปตามเดิม.
ให้รู้ไว้เถอะว่า
ธรรมะนี้ลำบาก การศึกษาธรรมะลำบาก เพราะคำพูดมันไม่พอ. ขอให้ทราบกันไว้ทุกคนที่ว่า
ที่เรียนธรรมะลำบากเหลือเกินนี้
เพราะคำพูดมันไม่พอที่จะใช้เรียกชื่อธรรมะเหล่านั้น ; แม้ผู้ที่เขารู้ธรรมะเขาพยายามจะพูดให้เราเข้าใจ
แต่คำที่พูดกันอยู่ในภาษาชาวบ้านนั้นมันไม่มี, มันไม่มีจะเอามาใช้พูดคำนั้น มันก็เลยยากลำบาก
ต้องพูดกันอ้อมค้อม ต้องพูดกันอย่างอธิบาย.
นี้จะทำอย่างไรได้ มันเป็นอย่างนี้ ;
ฉะนั้นก็ช่วยกันบ้าง ช่วยพยายามทำความเข้าใจ, รวบรวมความเข้าใจแวดล้อมเข้ามา
ให้รู้ว่าที่เขามุ่งหมายจะพูดนั้นมันคืออะไร จะช่วยได้.
อุปมาเป็นความสบายใจ
เป็นความพอใจ เป็นความดีใจ ;
เหมือนว่าลูกหายหรือแม่หาย พอลูกกับแม่พบกัน เขาสบายใจเท่าไร มันต้องมากขนาดนั้น,
หรือว่าคนกระหายน้ำเหลือกำลัง พอพบน้ำมันพอใจดีใจเท่าไร. แต่เราก็ไม่เคยประสบกับปัญหาเหล่านี้
เราไม่เคยหลงทางในกลางทะเลทราย ไม่มีน้ำกินแล้วมันกระหายอย่างยิ่ง, เราไม่เคยพบกับความรู้สึกอันนี้
เพราะว่าในตู้เย็นบ้านเราก็มีน้ำเต็มอยู่เสมอ, เราก็โง่
จนถึงขนาดไม่รู้ว่าความกระหายน้ำโดยแท้จริงมันเป็นอย่างไร,
หรือว่าคนมันหิวเหลือประมาณได้พบอาหาร เดี๋ยวมันเผลอกินจนตาย.
ฉะนั้น
ความพอใจ ความดีใจ ความได้สมประสงค์ของความเป็นมนุษย์นี้ ก็คือ ผลของการที่นั่งใกล้พระรัตนตรัย. ถ้าเรามีห้องเย็นชนิดหนึ่งซึ่งเย็นพอสบาย,
แสงสว่างก็ดี ความสะอาดก็ดี นั่งอยู่ในห้องชนิดนั้น
เราก้มีความสบายมากกว่าที่จะนั่งอยู่ในที่ที่มันร้อนรน มันมีฝุ่นละออง หรืออะไรเป็นต้น. ฉะนั้นเราจะรู้สึกว่า เดี๋ยวนี้ไม่มีสิ่งบีบคั้นจิตใจ
ไม่มีศัตรู อยู่เหนือความมีศัตรู มีแต่ความพอใจ.
ทุกอย่างมันให้เกิดความไม่ต้องการอะไร ;
ความพอใจเพราะได้ตามที่อยากนั้น ไม่ค่อยดีนักดอก
มันเป็นความพอใจที่เราไม่อยากอะไร, เราไม่อยากได้อะไร, นั่นแหละ
เป็นความพอใจที่แท้จริง. เราต้องมีความรู้จนรู้สึกทุกสิ่งไม่น่าอยาก
ไม่มีอะไรที่น่าเป็นน่าเอา ไม่อยากเป็นไม่อยากเอา จิตใจเป็นอิสระ นี้จึงจะพบความพอใจชนิดสูงสุดอย่างนี้,
รู้สึกว่าปลอดภัย เพราะว่าไม่มีตัวเราสำหรับจะตาย. นี่อันนี้มันจะสูงมากไป ;
เพราะถ้าเขาถึงสุญญตาอนัตตาแล้วมันไม่มีตัวเรา, ไม่มีใครที่จะตาย,
ไม่มีใครจะเจ็บจะไข้, ไม่มีใครที่จะเผชิญกับปัญหา. นั้นมันเป็นความปลอดภัยสูงสุด คือปลอดภัยเพราะไม่มีตัวเราที่จะรับภัย
; ถ้ายังมีตัวเราที่จะรับภัยอยู่
แม้จะมีความปลอดภัย มันก็ไม่พอ มันยังที่ส่วนที่ยังระแวงสงสัยอยู่เสมอ.
ฉะนั้นเราจะสบาย
เราจะระงับอารมณ์สงบ อารมณ์เยือกเย็น โดยไม่ต้องกินยากล่อมอารมณ์. คนธรรมดาเขากินยาหอมบ้าง กินยากล่อมอารมณ์บ้าง ; เดี๋ยวนี้เราตัดต้นเหตุแห่งการที่จะเกิดอารมณ์ร้าย ตัดต้นเหตุเสียได้
ฉะนั้น เราไม่ต้องกินยาหอม, ไม่ต้องกินยากล่อมอารมณ์,
เพราะเราตัดต้นเหตุแห่งการสูญเสียความสงบสุขของอารมณ์เสียได้ คือ
กิเลสนั่นแหละ. เราดับไฟเสียได้
เราก็ไม่ต้องหาอุปกรณ์อะไรมาดับไฟ ; เพราะว่าเราดับต้นเหตุของไฟหเสียได้.
ธรรมะมีอย่างนี้ ดับต้นเหตุของความทุกข์เสียได้ไม่ต้องมานั่งเฝ้าดับความทุกข์อยู่เดี๋ยวนี้
; นี้ภาษาบาลีเขาเรียกเกษม
เกษม เขมะ เกษมจากโยคะ.
โยคะคือสิ่งที่กลุ้มรุมทำร้ายจิตใจของเรา, เกษมจากโยคะ
ก็คือไม่มีอะไรมากลุ้มรุมทำร้ายจิตใจของเราอีกต่อไป.
นี่ผลสุดท้ายมันเป็นอย่างนี้ เป็นความสุขในทางวิญญาณ เป็นความสุขในทางนามกาย
คือหมู่แห่งจิตใจ. มีความสงบเย็น
ร่างกายไม่ต้องพูดถึง. เมื่อจิตใจมันสงบเย็น
เพราะมันไม่มีเหตุที่จะทำให้เร่าร้อน ; นี้เรียกว่าเราอยู่กับความเย็น
คือพระนิพพาน มากกว่าสวรรค์หลายร้อยเท่าหลายพันเท่า. ในสวรรค์ยังยุ่งอยู่กับอารมณ์ของกิเลส
ยังมีเรื่องเพศ, ในสวรรค์ชั้นต่ำๆ แม้สวรรค์ชั้นสูงๆ ชั้นพรหม ก็ยังมีเรื่อง
ตัวกู-ของกู มีเกิดมีตาย มีได้มีเสีย.
ฉะนั้นสวรรค์นั้นเป็นขี้ผง ถ้าไปเทียบกับพระนิพพาน ;
เป็นเรื่องที่สูงสุดของความดับทุกข์โดยแท้จริง.
ถ้าพวกที่ถือศาสนาพระเจ้า
พระเป็นเจ้า เขาก็จะบอกว่า อยู่กับพระเป็นเจ้า.
เดี๋ยวนี้เข้าถึงพระเป็นเจ้า แต่ในศาสนาพุทธไม่มี ไม่มีคำว่าเข้าไปอยู่กับพระเป็นเจ้า แต่เรามีคำว่าเข้าไปอยู่กับพระนิพพาน,
เข้าถึงพระนิพพาน. พอหมดเปลือกหุ้มห่อ
ออกไปเสีย, ไม่มีความรู้สึกเป็นตัวกู-ของกู
ก็เข้าอยู่กับพระนิพพาน.
พวกอื่นเขาจะเรียกว่าเข้าอยู่กับพระเป็นเจ้าก็ตาม เรื่องของเขา เราไม่ต้องทะเลาะกัน, เขาก็มีความหมายเป็นที่พอใจของเขา.
นี้คือผลสุดท้ายของการนั่งใกล้พระรัตนตรัย
เป็นอุบาสก เป็นอุบาสิกา ผู้นั่งใกล้พระรัตนตรัย แล้วก็ได้ พระนิพพานเป็นรางวัล
ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องลงทุนซื้อ.
ถ้าต้องลงทุนซื้อไม่ใช่นิพพาน เป็นเพียงสถานเริ่งรมย์ของหมู่มาร ของพญามาร ; ถ้าเป็นพระนิพพานของพระอริยเจ้าแล้ว ไม่ต้องซื้อ.
เอาละ,
ขอให้มีอาการที่เรียกว่า ฟ้าสางทางอุบาสก ฟ้าสางทางความเป็นอุบาสก. ขอให้เราทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม
จะเรียกว่าฟ้าสางทางอุบาสก, แล้วขอย้ำอีกทีว่า ให้ฟ้าสางกลางดึก
เดี๋ยวนี้อายุเข้ามา 30- 40 แล้ว
มันจะดึก. ให้ฟ้าสางกลางดึก
ให้ทันในครึ่งหนึ่งของอายุ
ให้ความเป็นอุบาสก ความเป็นอุบาสิกา ของท่านทั้งหลายมีการสางขึ้นมา เหมือนกับอาทิตย์ขึ้นมาทันเวลา,
ก็จะไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และพบพระพุทธศาสนา.
เอาละ อาตมาจะต้องขอยุติการบรรยายในวันนี้
เพราะสมควรแก่เวลา แล้วบางคนก็ดูจะฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเพราะมันนานนักแล้ว. ขอยุติการบรรยาย
เป็นโอกาสให้พระคุณเจ้าทั้งหลาย ได้สวดบทพระธรรม
ส่งเสริมกำลังใจให้ท่านทั้งหลายมีความกล้าหาญ มีความพากเพียรในการปฏิบัติ
โดยลักษณะที่กล่าวมาแล้วนี้ สืบต่อไป.
(มีต่อ ๓) ฟ้าสางทางฝ่ายบรรพชิต...ขอขอบพระคุณ "ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม" ผู้จัดพิมพ์หนังสือชุดลอยปทุม ในวาระ ๑๑๐ ปีชาตกาล พุทธสักราช ๒๕๕๙ พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น