หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ธรรมานุภาพ - ๑๑๐ ปีชาตกาลท่านพุทธทาสภิกขุ (๑.ฟ้าสางทางธรรมานุภาพและสังคมศาสตร์)










คำนำในการจัดพิมพ์หนังสือชุดลอยปทุม
ธรรมานุภาพ
ธรรมสักการะในมงคลกาล ๑๑๐ ปี ท่านพุทธทาส พุทธศักราช ๒๕๕๙


หนังสือชุดลอยปทุมนี้ ทางธรรมทานมูลนิธิ ของสวนโมกขพลาราม ได้จัดพิมพ์เป็นธรรมบรรณาการแด่สาธุชนที่มาเยี่ยมชมสวนโมกข์ ในกาลสมัย ท่านเจ้าประคุณพระธรรมโกศาจารย์ (หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ) มีชีวิตอยู่
          เพื่อเป็นการบูชาพระคุณ แห่งพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณพระธรรมโกศาจารย์ (หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ) ผู้ก่อตั้งสวนโมกขพลาราม และธรรมทานมูลนิธิ ธรรมสภาจึงได้ดำเนินการจัดพิมพ์เผยแพร่ เพื่อเป็นธรรมสักการะ แสดงความกตัญญูกตเวทิตาถวาย เนื่องในมงคลกาล ๑๑๐ ปีชาตกาลท่านพุทธทาส ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๙
          บุญกุศลอันจักพึงมีพึงได้จากการจัดพิมพ์หนังสือชุดลอยปทุมในครั้งนี้  ธรรมสภาขอน้อมถวายแด่พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณพระธรรมโกศาจารย์ (หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ) พระผู้เป็นองค์บรรยายพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดา ให้แพร่หลายไปทั่วทุกอณูแห่งจักรวาล

ด้วยความสุจริตหวังดี
ธรรมสภาปราถนาให้โลกพบกับความสงบสุข









อนุโมทนา

          การพิมพ์หนังสือธรรมะขึ้นเป็นธรรมทาน ในสมัยที่โลกกำลังขาดแคลนธรรมะอย่างยิ่งเช่นนี้  เป็นสิ่งที่มีเหตุผล  และควรแก่การอนุโมทนา,  จึงขออนุโมทนา.
         
          คำว่า ธรรม เพียงคำเดียว มีความหมาย มากมายหลายประการ, แต่ประการที่สำคัญที่สุดนั้น ธรรมะ คือ หน้าที่ ที่ทมนุษย์จะต้องปฏิบัติ ให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา, เพื่อความมีชีวิตอยู่อย่างผาสุก ทั้งโดยส่วนตัว และส่วนรวม, หรือทั้งโลก.

          โลกขาดแคลนธรรมะ, เพราะไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ อย่างถูกต้อง  ดังที่กล่าวแล้ว เพราะค่อยๆเผลอๆผหลงใหล ในรสอร่อยอันเกิดจากการประพฤติผิดธรรมะ นั่นเอง.  สัญชาติกิเลสในใจคน ย่อมชอบใจในรสอร่อยชนิดนั้น และเจริญเติบโตขึ้นจนกระทั่งมีจิตใจเป็นกิเลสไป ทั้งเนื้อทั้งตัว.  บูชากิเลสสุดชีวิตจิตใจ จนเห็นไปว่า ไม่ต้องมีธรรมะอะไรที่ไหนอีกแล้ว;  ขอแต่ให้มีเหยื่อสนองกิเลส ให้เต็มที่อยู่ตลอดเวลา เป็นพอแล้ว.  เขาเห็นว่าหน้าที่ของเขา มีอยู่เพียงแต่หาเหยื่อ สนองความต้องการของกิเลสเท่านั้น.

          โลกส่วนใหญ่ กำลังตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จึงเรียกได้ว่า  โลกที่กำลังขาดแคลนธรรมะ สำหรับสร้างสันติภาพ;  มีแต่ อธรรม คือสิ่งที่จะสร้างวิกฤตกาลให้ยิ่งๆขึ้นไป ดังที่ปรากฏอยู่ในโลกปัจจุบัน.  แม้จะมีการศึกษาอย่างไร  ร่ำรวยสวยงามสนุกสนานกันสักเท่าใด ก็ยิ่งเต็มิ่งที่เป็นเสนียดจัญไรเลวร้ายในโลก นับตั้งแต่ยาเสพติด คอรัปชั่น อันธพาล ภัยสังคม เหยียบย่ำสิทธิมนุษยชน สงครามเศรษฐกิจ สงครามมเลือด และการมุ่งประหัฏประหารกันระหว่างชนชั้น ที่มีความเหลือมล้ำต่ำสูง อันไม่รู้จักจบสิ้น, กระเทือนทั่วถึงกันทั้งโลก แม้ในหมู่ผู้ที่ดำรงตนอยู่ในธรรมโดยสุจริต.  ผลแห่ง อธรรม ทำนองนี้ ไม่อาจจะมี ถ้าหากว่า ธรรมะมีอยู่ในโลก.

          บางคน อาจจะคิดว่า มันเป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้เสียแล้วที่จะไม่ให้โลกเป็นเช่นนี้.  ปล่อยให้เป็นไปตามนั้น และพลอยเป็นคนตาหลิ่ว เข้าเมืองตาหลิ่วไปกะเขาด้วยสักคนหนึ่ง ก็แล้วกัน โดยไม่ต้องละอายโลกสัตว์เดรัจฉานที่ยังคงอยู่ในสภาพเดิมๆแต่ประการใด.  แต่พวกที่นับถือธรรมะศาสนานั้น เห็นว่า  สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง  และเปลี่ยนแปลงได้ตามเหตุผลและปัจจัย;  เรามาสร้างปัจจัยแห่งสันติภาพกันใหม่  เพื่อหมุนโลกนี้ไปตามทางแห่งความสงบสุข  โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่า ธรรม นั่นเอง;  จึงได้พยายามพากันเผยแพร่ธรรม ชักชวนกันให้กระทำทุกอย่าง เพื่อการกลับมาแห่งธรรมสู่หมู่มนุษย์นี้.  การพิมพ์หนังสือธรรมะขึ้นเผยแพร่ ก็ล้วนแต่นำไปเพื่อวัตถุประสงค์ ข้อนี้.

          การรู้จักธรรม  คือการรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างถูกต้อง จนไม่หลงใหลในสิ่งใด แม้ในความเอร็ดอร่อยที่กำลังรู้สึกอยู่กับจิตใจอย่างยิ่งยวด.  ไม่ว่าจะเป็นความสุขชนิดไหน ย่อมไม่เป็นที่ตั้งแห่งความหลงใหล สำหรับผู้ที่รู้ธรรมอย่างแท้จรง.  ความเห็นแก่ตัว ย่อมเกิดไม่ได้เพราะเหตุนี้.  ความรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มีได้โดยง่าย แม้ว่าจะมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากันมากมายสักเพียงไร.  ผู้ประพฤติธรรมย่อม รู้สึกเป็นสุข เมื่อรู้สึกว่าตนได้ระพฤติธรรม  หรือเมื่อได้ทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างถูกต้อง.  ความเคารพตัวเองในข้อนี้ ทำให้รู้สึกเป็นสุข.  ไม่หวังความสุขอันเป็นมายา คือสุขเวทนาทางเนื้อหนัง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจที่ตกเป็นทาสของเวทนาเหล่านั้น เสียแล้ว.

          ธรรมะ ช่วยให้เรารู้จักมีชีวิตอย่างถูกต้อง รู้จักสิ่งแวดล้อมชีวิต เกียรติยศชื่อเสียง มิตรสหาย ฯลฯ อย่างถูกต้อง  คือเป็นไปเพื่อสันติสุขส่วยบุคคล และ สันติภาพของส่วนรวม โดยส่วนเดียว, ไม่สร้างวิกฤตกาลใดๆขึ้นแก่ใคร แม้แก่สัตว์เดรัจฉาน และพฤกษาชาติทั้งปวง, ไม่เป็นคนทำลายโลก หรือหนักแผ่นดิน แม้แต่หน่อยเดียว.  สิ่งที่เรียกว่า บาป, โชคร้าย, หรือ ซวยตลอดชาติ ย่อมไม่มีแก่ผู้ประพฤติธรรม.  ข้อนี้ หมายความว่า นรก ไม่มีสำหรับบุคคลชนิดนี้, มีแต่ สวรรค์ นับตั้งแต่วินาทีที่เขาประพฤติธรรม เป็นต้นไปทีเดียว.

          เขา มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สำหรับการศึกษา เพื่อให้รู้จักสิ่งทั้งปวงอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง เพื่อมีชีวิตอยู่ได้อย่างสงบสุข, มิใช่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สำหรับไว้เป็นสื่อให้เราตกเป็นทาสของกิเลส คนโงหัวไม่ขึ้น เหมือนที่เป็นกันอยู่โดยมากในโลกปัจจุบัน ซึ่งกำลังขาด ธรรมะ.  เราบังคับโลกนอกตัวเราไม่ได้ก็จริง แต่เราสามารถควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้สัมผัสโลก แต่ในลักษณะที่จะไม่เป็นพิษ-เป็นภัยแก่เราได้ โดยอาศัยธรรมะ นั่นเอง.  ถ้าคนในโลกทำได้เช่นนี้ โลกนี้ก็เป็นโลกที่งดงาม น่าอยู่อาศัย หรือเป็นโลกของพระศรีอาริยเมตไตรย ขึ้นมาทันทีทันควัน เพราะเป็นโลกที่อิ่มเอิบไปด้วยธรรมะ.

          ทางรอดของโลกในปัจจุบันนี้ มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น คือ เดินไปตามทางธรรม,  การช่วยให้ทุกคนเดินไปตามทางธรรม ย่อมเป็นกุศลอันใหญ่หลวงและสูงสุด.  ขอให้การจัดพิมพ์หนังสือธรรมะขึ้นเผยแพร่นี้ จงสำเร็จประโยชน์เต็มตามความประสงค์ ทั้งแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วและผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยทุกแง่ทุกมุมเถิด.  ข้าพเจ้าขออนุโมทนา มาในที่นี้ด้วย เป็นอย่างยิ่ง.

                                                          พุทธทาส  อินฺทปัญฺโญ
โมกขพลาราม, ไชยา
 














ฟ้าสางระหว่าง 50 ปีที่สวนโมกข์
-1-
2  เมษายน  2526


ฟ้าสางทางธรรมานุภาพ
และสังคมศาสตร์


ท่านสาธุชน  ผู้มีความสนใจ  ทั้งหลาย.
          การบรรยายประจำวันเสาร์เป็นครั้งแรก  แห่งภาควิสาขบูชา ในวันนี้  อาตมาจะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า  ฟ้าสางระหว่างห้าสิบปี ที่พวกเราร่วมกันมีสวนโมกข์.  ฟ้าสางระหว่างห้าสิบปี  ที่พวกเราร่วมกันมีสวนโมกข์  บางคนจะเกิดความรู้สึกงงหรือประหลาดใจ  ว่าทำไมจึงมาพูดเรื่องนี้ทุกคราวก็จะพูดถึงหัวข้อธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอไป วันนี้มากลายเป็นเรื่องอะไรไปแล้วก็ไม่รู้

เหตุผลที่บรรยายเรื่องฟ้าสาง ฯ.
          ข้อนี้อาตมาต้องขอแถลงเหตุผล  หรือข้อเท็จจริงอันนี้  ก็คือว่า  เรื่องเกี่ยวกับสวนโมกข์ 50 ปีนี้  มีงานค้างคาอยู่  คือการพิมพ์หนังสือ บันทึกรายละเอียดระหว่าง 50 ปี ออกไปให้ชัดแจ้ง  แล้วทำยังไม่สำเร็จ  เพราะความเหลวไหลของอาตมาเองก็ได้, เลยพาลพาโลมายืมธรรมาสน์นี้เป็นโต๊ะเขียนบันทึก  เพราะว่าเขียนด้วยมือนั้นมันเขียนไม่ไหวแล้ว, ก็ต้องถือโอกาสมาเขียนด้วยปาก แล้วก็มาแทรกแซงเวลาของท่านทั้งหลาย ที่เคยฟังธรรมบรรยายเรื่องใดเรื่องหนึ่งเสมอ.  บัดนี้มากลายเป็น บังคับให้ทนฟังการเล่าเรื่องเกี่ยวกับสวนโมกข์.  แต่ถึงอย่างไรก็ดี  เชื่อว่าบางคนคงจะชอบ, บางคนก็คงจะถือเอาประโยชน์ได้ในลักษณะของการบรรยาย  เพราะว่า การเล่าเรื่องทุกเรื่องที่เกี่ยวกับสวนโมกข์นั้นย่อมจะเกี่ยวข้องอยู่กับธรรมะอย่างแน่นอน อย่างที่จะหกลีกเลี่ยงไม่ได้.  ฉะนั้น ขอให้ฟังเอาในส่วนที่เป็นธรรมะก็แล้วกัน  ก็จะไม่เสียผลจากที่เคยฟังตามปรกติธรรมดา.
          การบรรยายนี้  มันเป็นการบันทึกเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับสวนโมกข์ ในระยะ 50 ปี เป็นการบรรยายเพื่อให้คนที่ไม่ทราบได้ทราบ อย่างนี้ก็มี, เป็นการบรรยายให้คนบางคนได้ทราบแล้วก็รู้สึกอนุโมทนา ยินดีปรีดา ในการที่ได้ร่วมกำลังกาย กำลังใจ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยมาตลอดเวลานี้, ถ้ารู้ว่ามันได้ผลอย่างไรบ้างก็คงจะดีใจ และบรรยายนี้ก็เพื่อว่าให้เป็นที่เข้าใจกันอย่างแจ่มแจ้ง จะได้ช่วยกันรักษาไว้สืบต่อไป.  ถ้าว่าอาตมาตายแล้ว คนที่อยู่ข้างหลัง ก็คงจะด้ำเนินไปโดยสะดวก ว่ามันได้ทำอะไรขึ้นไว้กี่อย่าง, นี่จะมีประโยชน์ที่จะช่วยกันดำเนินกิจการต่อไปโดยง่าย.  และข้อสุดท้าย ก็คิดว่า ได้แก่ ความหวังที่จะช่วยกันรักษาไว้ให้สุดความสามารถด้วยกันทุกคนๆ เพราะว่ามันเป็นของคนทุกคน หรือว่ามันจะเป็นของโลกทั้งโลกก็ได้ และว่าจะเป็นการกระทำที่ตรงตามพระพุทธประสงค์ด้วย.  นี่อาตมาจึงกล้าหวังว่า ท่านทั้งหลายจะช่วยกันรักษากิจการอันนี้ สืบต่อๆกันไป  ถึงชั้นลูก ชั้นหลาน ชั้นเหลน ชั้นอะไรก็สุดแท้.
          นี่คือเรื่องที่จะพูด โดยหัวข้อว่า ฟ้าสางระหว่างเวลาห้าสิบปี ที่พวกเราร่วมกันมีสวนโมกข์ มีรายละเอียดที่ควรบันทึกไว้ตามความจริง  เพื่อเป็นอนุสรณ์ เพื่อเป็นทิฏฐานุคติแก่คนภายหลัง.
          มันเป็นการกล่าวที่เกินความจริง ในการที่จะกล่าวว่า ได้มีอาการฟ้าสางขึ้นมาในทิศทางต่างๆจริงๆในช่วงเวลา 50 ปี ซึ่งจะได้กล่าวอย่างที่เรียกว่ามีเหตุผลและประจักษ์พยาน.

ความหมายของคำว่า “ฟ้าสาง”.
          ทีนี้ก็มาถึงคำว่า ฟ้าสาง,  ฟ้าสางนั้นคืออะไร? ถ้าท่านจะรู้ว่าฟ้าสางคืออะไร  ก็ต้องรู้ว่ามันสางที่ไหน.  ฟ้าสางนั้นมันสางในจิตใจของท่าน, มันสางในดวงวิญญาณของท่าน, สางที่อื่นไม่ได้, ไม่ได้สางที่ท้องฟ้า ทางทิศตะวันออกเหมือนที่เด็กๆเขาก็เห็นๆกันอยู่, ฟ้าสางอย่างที่เราจะกล่าวนี้มันสางขึ้นมา  ในจิตใจของบุคคลผู้ได้ดำเนินชีวิตไปโดยถูกทาง เริ่มแสดงให้เห็นว่า มีอะไรได้เกิดขึ้นแล้ว  และกำลังจะเจริญงอกงามต่อไป นี้เราเรียกว่าฟ้าสาง.
          แม้ฟ้าสางทางวัตถุ  ทางทิศตะวันออก ก็เป็นที่เข้าใจอย่างดีกันอยู่ทั่วทุกคนว่า  พอฟ้ามันสาง แล้วมันก็สว่างเป็นเวลาเช้าขึ้นมา, แล้วก็เป็นเวลากลางวัน, เป็นเวลาเที่ยงวัน, นี่เรียกว่าฟ้าสาง.   เดี๋ยวนี้ที่มาสางขึ้นในจิตใจนั้นมันเป็นฟ้าอะไร?   มันก็เป็นฟ้าของพระธรรม, หรือเป็นแสงแห่งพระธรรม ที่ได้เกิดขึ้น แล้วก็ได้รุ่งเรืองขึ้นในจิตใจของท่านทั้งหลาย.   การที่เราช่วยกันให้มีสวนโมกข์ขึ้นมา มันได้ทำให้เกิดอาการอย่างที่ว่านี้ขึ้นในจิตใจของใครที่ไหน เท่าไร, นี่ก็ลองคำนวณกันดูเอง นี่คือคำว่า ฟ้าสาง.
          มันสางเพราะว่า มันเป็นระยะที่มันจะต้องสาง ตามวงกลมที่มันหมุนเป็นวงกลม เหมือนฟ้าสางด้วยแสงอาทิตย์ มันก็เป็นประจำทุกวันๆตามเวลาของมัน เพราะว่ามันหมุนเป็นวงกลม, นี้อย่างหนึ่ง ซึ่งเราจะต้องรับรู้ไว้ด้วยเหมือนกัน.
          แต่อีกอย่างหนึ่งนั้นคือว่า เราทำให้มันสางขึ้นมาโดยไม่เกี่ยวกับวงกลม แม้ว่ามันยังมืดมนอยู่  ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น   แต่ถ้าเราช่วยกันจุดไฟขึ้นมา ให้มากๆแล้วมันจะเป็นอย่างไร.   นี่เราไม่รอเวลาให้ดวงอาทิตย์ขึ้น  แต่เราช่วยกันจุดไฟ ขึ้นมาพร้อมๆกัน, ถ้าว่า 1 ล้านคน จุดไฟขึ้น 1 ล้านดวง  มันก็คงจะพอให้เกิดแสงสว่างได้ เรียกว่าความสาง, อาการที่สางนี้ เราพอจะจัดทำ หรือเข้าไปเกี่ยวข้องได้ตามที่ควรจะมี.
          การกระทำของพวกเราในขอบเขตที่เรียกว่า กิจการของสวนโมกข์ นี้  เป็นไปได้ทั้ง 2 อย่าง คือ บางอย่างมันก็ถึงคราวที่มันจะสางแล้วก็มี  มันก็ช่วยผสมโรงกันไปทำให้สางขึ้นมา  แต่ว่าบางอย่างนั้นยังไม่ถึงเวลาที่จะสาง แต่เราได้ช่วยทำให้มันสางขึ้นมา เพราะว่าเราทนอยู่ในความมืดไม่ได้, แล้วเราก็ต้องจุดตะเกียงขึ้นมา เพื่อให้ได้แสงสว่าง, ส่วนนี้แหละเป็นส่วนสำคัญ  ของการที่จะนำมาพูดจากัน.
          ที่เกี่ยวกับสวนโมกข์ ฟ้าสางจากการมีสวนโมกข์ มันก็คือสวนโมกข์นั้นก็ได้  เพราะคำว่า โมกข์ นี้แปลว่า การหลุดพ้น, จิตแจ่มแจ้งในทางธรรมะ  ละกิเลสได้แล้วก็หลุดพ้น, อย่างนี้มันอยู่ที่การกระทำ ทำเมื่อไรมันก็จะมีการสางเมื่อนั้น.  ถ้าเราจะรอว่า อีกกี่กัปป์กี่กัลป์ โลกจะหมุนไปถึงอาการอันนั้น แล้วจะเกิดสางขึ้นมาเป็นศาสนาพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่  อย่างนี้มันจะนานเกินไป ; แต่เราทำให้มีสวนโมกข์ขึ้นมา ในกิจกรรมของสวนโมกข์นั้น  มันมีอาการที่เรียกว่าฟ้าสาง.
          เช่นว่า ตัวสวนโมกข์ ซึ่งเป็นป่า ต้นไม้ที่เราจัดขึ้นเป็นพิเศษ ให้สำเร็จประโยชน์ในการที่จะทำอะไร, ถ้าเราไม่จัดขึ้นมันก็ไม่มี.  เดี๋ยวนี้ก็ได้จัดขึ้นและทำให้มันมี เรียกว่า ฟ้าสางในทางอาราม.  อาราม แปลว่า ป่าไม้ที่เป็นที่น่ายินดี เหมาะสม แก่การบำเพ็ญจิตตภาวนา, ให้มีความก้าวหน้าทางจิตตภาวนา.  เมื่อเราได้ทำให้ป่าชนิดนี้เกิดขึ้นมา ก็เรียกว่าฟ้าสางทางอาราม อย่างนี้เป็นต้นเป็นตัวอย่าง เป็นข้อแรกแห่งคำว่าฟ้าสาง.
          หรือว่า  จะมองดูไปถึงกิจกรรมของธรรมโฆษณ์ คือการทำให้ธรรมะเผยแพร่ออกไป  ด้วยการโฆษณาเผยแผ่ธรรมะในพระพุทธศาสนา ตามพระพุทธประสงค์ ที่ได้ตรัสแสดงให้ปรากฏชัด, นับตั้งแต่วันที่มีพระภิกษุสาวกเกิดขึ้น 60 องค์ในพระพุทธศาสนานี้, แล้วก็ยังตรัสอยู่เรื่อยๆไป  ตลอดมาว่า “เธอทั้งหลายจงช่วยกันทำให้ธรรมวินัยนี้แพร่หลายเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่หมาชน ทั้งเทวดาแลมนุษย์” อย่างนี้  มีตรัสมากเหลือเกิน  เราก็ได้ทำให้เกิดกิจกรรมที่เรียกว่า ธรรมโฆษณ์คือเผยแผ่ธรรม  จนเป็นที่รู้จักกันดีอย่างกว้างขวางไม่เฉพาะในประเทศไทยเรานี้  อย่างนี้ก็เรียกว่าฟ้าสางได้เหมือนกัน  ฟ้าได้สางขึ้นมาแล้วในจิตในวิญญาณของมนุษย์เรา  นี่คือคำพว่า ฟ้าสาง.

          ทีนี้มันมีสางอะไรบ้าง  เราจะพูดกัน  อาตมามองเห็นว่า  ถ้าเราจะมองดูกันอย่างละเอียดแล้ว มันฟ้าสางในหลายแง่หลายมุม หลายสิบอย่าง ถึงร้อยอย่างสองร้อยอย่างก้ได้ ถ้าเราจะดูให้ดี แต่เราจะดูกันแต่พอสมควร เดี๋ยวมันจะมากเกินไป.

ฟ้าสางทาง ธรรมานุภาพ.
          ฟ้าสางอย่างที่ 1 ข้อแรก หรือ ข้อที่ 1 จะเรียกว่าฟ้าสางทางธรรมานุภาพ.   ธรรมานุภาพ-อานุภาพแห่งพระธรรม,  อานุภาพแห่งพระธรรมสาง ; หมายความว่า เราได้มีความรู้สึกต่ออานุภาพของพระธรรมชัดเจนขึ้นและมากขึ้น, ก่อนหน้านี้เราไม่ค่อยประสีประสาต่ออานุภาพของพระธรรม, หรือไม่สนใจเสียเลยก็มี  มืดตื้ออยู่ก็มี, ไม่รู้จักอาศัยอานุภาพของพระธรรมมาเป็นเครื่องแก้ปัยหาเลย  จึงเห็นว่ามันมีการสางมีฟ้าสางทางความรู้สึกของพวกเรา  ต่อคุณค่าของธรรมานุภาพ.  อานุภาพของพระธรรมมีคุณค่าอย่างไร, เดี๋ยวนี้ค่อยๆปรากฏแก่จิตใจอย่างแจ่มแจ้งขึ้นมาในความรู้สึก  โดยเฉพาะในหมู่มนุษย์พุทธมามกะทั้งหลาย.   นี้มันเป็นฟ้าสางในทางรอดของมนุษย์, หรือที่เกี่ยวข้องกันกับมนุษย์.
          เกี่ยวกับ  ฟ้าสางทางธรรมานุภาพ  นี้ อาตมาถือว่า เป็นข้อแรกที่ควรจะเอามาพูดกัน  เพราะว่าก่อนหน้านั้นไม่เป็นที่สนใจ, คือไม่เป็นที่สนใจ ที่จะนำเอาพระธรรมมาเป็นที่พึ่ง.  ไม่อาจจะใช้อานุภาพของพระธรรมให้เป็นที่พึ่ง.  เมื่อฟ้าสางในทางนี้  เราก็สามารถจะถือเอาอานุภาพของพระธรรมมาเป็นที่พึ่งได้จริง และมากยิ่งขึ้นไป.
          ถ้าจะกล่าวมาตั้งแต่ต้น  ตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที ก็จะกล่าวถึงการเคลื่อนไหวของบุคคลคณะหนึ่ง ที่จะทำให้เกิดสวนโมกข์ขึ้นมา.  ข้อนี้เกี่ยวกับการยึดถือบางอย่างซึ่งเกือบจะเป็นไสยศาสตร์ แต่ว่ายืนยันว่าไม่ถึงกับจะเป็นไสยศาสตร์, คือเราคณะนั้นมีความยึดถือเรื่องกึ่งพุทธกาลเมื่อ พ.ศ.2475 ยังอีก 25 ปีจะถึง พ.ศ.2500 นี่  ซึ่งเขาสมมติยึดถือกันว่าเป็นกึ่งพุทธกาล.
          เราก็รู้สึกกันว่า เรานี้ทำไมมันบังเอิญอะไรที่มาเกิดขึ้นมาในโลกในยุคที่เขาสมมติกันว่า กึ่งพุทธกาล, เวลานั้นยังอีก 25 ปี จะถึง พ.ศ.2500 ก็เรียกว่าอยู่ในขอบเขตของกึ่งพุทธกาลแล้ว ต้องมีเวลาเผื่อไว้ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง เอา พ.ศ.2500 เป็นจุดศูนย์กลางแล้ว พ.ศ.2475 นี้มันก็เข้าเขตของกึ่งพุทธกาลแล้ว  ยึดถือเวลาที่สมมติกันว่าเป็นกึ่งพุทธกาล.  นี้มันก็เป็นไสยศาสตร์แหละ แต่มันไม่ใช่ไสยศาสตร์อย่างงมงายไร้ประโยชน์.  พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ตรัสเรื่องกึ่งพุทธกาล, แต่ว่ามีคนกล่าวขึ้นมาทีหลัง เป็นที่ยึดถือกันทั่วๆไปในหมู่พุทธบริษัท จะทุกประเทศก็ว่าได้, เราก็เลยผสมโรงเอากับเขาด้วย เรียกว่ากึ่งพุทธกาล.
          แล้วเราก็รู้สึกผิดชอบว่า  เราก็เกิดมาพ้องสมัยกึ่งพุทธกาล  เราจะต้องทำอะไรสักอย่าง ให้สมกับที่ว่ามันเป็นกึ่งพุทธกาล,  จะต้องดำเนินกิจการอะไรดี.  มองเห็นว่ามันต้องทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ความตั้งอยู่ ความเจริญงอกงามของพระพุทธศาสนา.  อาสัยเหตุนี้เป็นสิ่งกระตุ้นเตือนใจ ขวนขวายกันไปขวนขวายกันมา ก็ได้ เกิดสิ่งที่เรียกว่า คณะธรรมทาน และสวนโมกข์ ขึ้นมา, มีผลทำให้มีการสร้างสถานที่ ที่สะดวกแก่การศึกษาและปฏิบัติธรรมะในพระพุทธศาสนา.  นี้ข้อแรก คือให้เกิดมีสถานที่ที่สะดวกแก่การศึกษาและปฏิบัติธรรมะ  ในพระพุทธศาสนา ก็คือสวนโมกข์.
          ทีนี้ข้อต่อไป  ก็เกิดการส่งเสริมการศึกษาทางปริยัติ  ให้เพียงพอแก่การที่จะดำเนินให้เป็นไปในทางก้าวหน้ายิ่งขึ้น, แล้วก็ดำเนินการรื้อฟื้นการปฏิบัติธรรมะ โดยเฉพาะที่เรียกกันว่า วิปัสสนาธุระ คือการกระทำที่เกี่ยวกับการเห็นแจ้งโดยทางจิตใจ และดำเนินการเผยแผ่ทั้งภายในและภายนอกประเทศ.
          แล้วยังดำเนินการกว้างไกลออกไป ถึงการรวบรวมกันเป็นสมาคม เป็นหมู่คณะ เป็นสหายธรรมทาน เป็นวงกว้างออกไป, ไม่เฉพาะแต่ที่เมืองนี้, ต้องการให้แพร่หลายไปทุกๆบ้าน ทุกๆเมือง, ให้มีสมาคมพระพุทธศาสนาดำเนินกิจการตามหน้าที่ เพื่อรักษาเกียรติของพุทธบริษัท ว่าพุทธบริษัทแต่ละคน  ไม่ได้เป็นคนรกโลก,  แต่เป็นผู้ที่ทำให้โลกมีประโยชน์ ให้เจริญไปในทางที่มีประโยชน์.
          นี่เรียกว่าเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นมาจากความรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า กึ่งพุทธกาล.
          ที่อาตมาว่าเป็นไสยศาสตร์อยู่บ้างนั้น  ก็คือว่า เชื่อตามที่เขากล่าวกัน อย่างที่ไม่พิสูจน์เหตุผลได้,  แต่เราไม่ได้เชื่ออย่างงมงายไร้สาระ, เราถือเอามาเป็นประโยชน์สำหรับส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไป จึงไม่ถือว่าเป็นไสยศาสตร์  คือไม่ใช่ไสยศาสตร์ที่งมงาย.  แต่ก็ยอมรับว่า  ความเชื่อชนิดนี้เมื่อพูดโดยตรงโดยจริงใจไม่เข้าใครออกใคร  มันก็มีวี่แววแห่งไสยศาสตร์ ฉะนั้นเราก็ยังขอบคุณไสยศาสตร์ส่วนนี้อยู่บ้าง.

          นี้ก็เพราะว่า  เรามีเข็มมุ่งหมาย  ที่เขาเรียกกันว่าวัตถุประสงค์นั้น  เรามุ่งหมายจะให้ ธรรมานุภาพกลับมาครองโลก  มาเป้นที่พึ่งของโลก, คืออานุภาพของพระธรรมกลับมาครองโลกด เป็นที่พึ่งของโลก.
          ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า ธรรมานุภาพนั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นของตายตัว ขึ้นๆลงๆไม่ได้,  มากๆน้อยๆไม่ได้,  เป็นธรรมานุภาพเต็มที่อยู่เสมอ.  แต่ที่มันเปลี่ยนแปลงนั้นมันอยู่ที่ฝ่ายมนุษย์เรา  ในบางคราวมันโง่เขลาไป  ไม่กระทำไปในทำนองที่ทำให้เกิดธรรมานุภาพขึ้นคุ้มครองตน, ธรรมานุภาพจึงไม่มาคุ้มครองคนในบางยุคบางสมัย.  ต่อเมื่อเราได้ประพฤติปฏิบัติกันเสียใหม่ให้ถุกต้อง  ธรรมานุภาพก็จะกลับมา  จึงใช้คำว่า ให้ธรรมานุภาพกลับมาคุ้มครองโลก  โดยการกระทำของเราเอง  คือของชาวโลกดนั้นเอง, ถ้าธรรมานุภาพมาครองโลก  โลกนี้ก็รอดได้.
          ตอนนั้น  ระยะนั้น  สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เสร็จไปไม่นาน  สงครามใหม่ก็กำลังเกิดอยู่, สงครามญี่ปุ่น ที่เกิดขึ้นเมื่อราว พ.ศ.2486-2484 นี้  นี้มันก็แสดงว่า มีวิกฤตการณ์เลวร้าย เนื่องมาจากที่ธรรมะไม่มีมาครองโลก  เพราะมนุษย์หันหลังให้แก่ธรรมะ.  เราจะต้องแก้ไขในเรื่องนี้ ให้มีอานุภาพของพระธณรมมาคุ้มครองโลก.
          ดูอีกทีหนึ่งแล้ว  มนุษย์หลับอยู่  มนุษย์หลับอยู่มืดมิดสนิทเหมือนกหลางดึก  ไม่มีฟ้าสาง  มันมืดมิดสนิท มนุษย์หลับอยู่  หรือจะดูอีกทีหนึ่งก็ว่า โลกทั้งโลกหลับอยู่,  มันกำลังเป็นโลกที่หลับอยู่, มันต้องการการเคาะ การปลุกให้ตื่นขึ้นมา, นี่เรียกว่าเป็นสิ่งที่ต้องมองดูว่าโลกนี้มันหลับอยู่จริงหรือไม่ ?  หรือมนุษย์แต่ละคนๆในโลกยังหลับอยู่จริงหรือไม่ ?
          เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ง่ายว่า ถ้าไม่รู้จักดธรรมะ, ไม่รู้จักใช้ธรรมะมาเป็นเครื่องดำเนินชีวิตแล้ว  มันก็มีผลเท่ากับหลับอยู่  คือไม่รู้อะไร, อยู่ในความมืดมองไม่เห็นอะไร มันก็ทำอะไรไม่ถูก, ถ้าธรรมะเข้ามา  มันก็เกิดอาการที่เรียกว่า ฟ้าสาง คือแสงสว่างกำลังเข้ามา จะทำให้มนุษย์ตื่นจากหลับ, มองเห็นอะไรแล้วก็ทำสิ่งต่างๆไปในลักษณะที่ควรทำ.
          ถ้าว่ามนุษย์มันหลับ โลกมันหลับ มันก็คือความเสียหายร้ายแรง คือทำผิด หรือเวลาล่วงไป โดยไม่มีประโยชน์ เพราะความหลับด้วยอวิชชานั้น  มันก็หมดความเป็นมนุษย์, หมดความเป็นมนุษย์ทั้งที่หลับอยู่ น่าสงสาร, หมดความเป็นมนุษย์โดยไม่รู้สึกว่า ได้หมดความเป็นมนุษย์.  นี้เรียกว่ามันหมดความเป็นมนุษย์ทั้งหลับ หมดทั้งหลับ มันน่าสงสารมากยิ่งขึ้นไปอีก.  ฉะนั้น เราควรจะช่วยกันให้เกิดฟ้าสางทางธรรมานุภาพ, คือให้รู้จักธรรมานุภาพ สำหรับจะเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้จริงให้ทันแก่เวลา.  นี่คือความหวังของการที่จัดให้มีสวนโมกข์ขึ้นมา.
          เมื่อได้พูดมาถึงธรรมานุภาพอย่างนี้แล้ว  ก็จะพูดต่อไปถึงอานุภาพนั้นให้ชัดเจนลงไปอีกครั้งหนึ่ง.

อานุภาพของธรรมมีผลเฉียบขาด
ทั้งทำผิดและถูก.
          อานุภาพของธรรมคืออะไร?  อานุภาพของธรรมะก็คือกฏของธรรมชาติ ที่มีอำนาจเฉียบขาด บันดาลให้สิ่งต่างๆเป็นไปแต่ตามกฏ อย่างไม่ลำเอียง, คือกฏของธรรมชาตินี้ ไม่รับสินบน ไม่เหมือนพระเป็นเจ้า ตามที่เขาเชื่อกัน.  ถ้าเราบนบานศาลกล่าว อ้อนวอนบวงสรวง พระเป็นเจ้าอย่างนั้นอย่างนี้ พระเป็นเจ้าก็ประทานผลที่ต้องการให้ ; แต่การกระทำอย่างนี้ใช้ไม่ได้กับกฏของธรรมชาติ หรือธณรมานุภาพซึ่งเป็นกฏของธรรมชาติ.  เราจะติดสินบนกฏของธรรมชาติไม่ได้.  เป็นพระเจ้าชนิดที่ไม่รับสินบน, มีอย่างเดียวแต่ว่า เราจะทำให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ ไม่ใช่ตามความประสงค์ของพระเจ้า เว้นไว้แต่เราจะพูดโดยอุปมาในภาษาคน ว่ากฏของธรรมชาตินั้นคือความประสงค์ของพระเจ้า.
          นี่แหละทุกคนควรจะรู้จัก  สิ่งสูงสุดอันนี้เหนือสิ่งทั้งปวง  ว่ามีอยู่อย่างไร แล้วอย่าได้กระทำไปให้ผิด หรือฝืนกฏนั้น มันจะวินาศเอง.  ธรรมานุภาพนั้น ไม่มีอะไรสูงสุดไปกว่านั้นอีกแล้ว  สูงสุดอยู่เหนือสิ่งทั้งปวง.  เราเป็นฝ่ายที่จะต้องง้อโดยส่วนเดียว, ง้อ ในที่นี้หมายความว่าจะประพฤติปฏิบัติให้ตรงตามกฏของธรรมชาติอันเฉียบขาดนั้น.
          อานุภาพของธรรมนี้  จะมองกันไปในทางไหนก็ได้ ; ถ้ามองไปในทางผิด ก็คือความวินาศอันใหญ่หลวงเพราะว่าเราทำผิด ทำผิดต่อกฏอันนี้ ก็คือความวินาศอันใหญ่หลวง, ถ้าเราทำถูก ก็ได้รับประโยชน์อันใหญ่หลวงเช่นเดียวกัน.  เราไม่ต้องการความวินาศ เราต้องการความสุขความเจริญ, ฉะนั้นเราก็มองในทางที่จะทำให้ถุกต้อง แล้วก็ได้รับผลเป็นความสุขเป็นความเจริญ.
          อานุภาพของธรรมะนี้  ข้อที่ 1 สามารถดับทุกข์ให้แก่ทุกคน  ธรรมานุภาพนี้สามารถดับทุกข์ให้แก่ทุกคน ไม่ว่าคนนั้นกำลังจะเป็นคนชนิดไหน เป็นชนชาติไหน ถือศาสนาลัทธิอะไร, ไม่ว่าเขาจะถือศาสนาอะไร ธรรมานุภาพจะช่วยดับทุกข์ของเขาได้.
          พูดอย่างนี้มันเป็นเรื่องก้าวก่าย ฟังดูแล้วมันละเมิดล่วงเกินลัทธิอื่นหรือศาสนาอื่น ; แต่เดี๋ยวนี้เราพูดตามความจริงว่าท่าน  จะถือลัทธิศาสนาอะไรอยู่ก็ตาม  ความทุกข์เกิดขึ้นแก่ท่าน เพราะท่านทำผิดต่อกฏของพระธรรม, ความสุขเกิดขึ้นเพราะท่านทำถุกกฏของพระธรรม, มนุษย์มีชีวิตเหมือนๆกันหกมด  ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแก่มนุษย์เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะถือศาสนาอะไรอยู่ ; ถ้าเราทำให้ถุกตามกฏนั้นแล้ว  จะไม่มีความทุกข์เลย  ไม่ว่าจะถือศาสนาอะไรอยู่.
          เมื่อกล่าวตามหลักของกฏธรรมของธรรมชาติแล้ว  เราพูดได้ว่า  มนุษย์มีความทุกข์ เพราะทำผิดในขณะแห่งผัสสะ, เมื่อมีการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจ แล้วเราโง่  แล้วทำผิดไป มันเกิดทุกข์ขึ้นมา.  นี้แน่นอนตายตัว ไม่ว่าเขาจะถือศาสนาอะไร เอ้า, เราท้าทายเลย เขาจะถือศาสนาอะไรอยู่ก็ตาม  ถ้าเขาโง่และทำผิด เมื่อมีการกระทบทางอายตนะ, คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เขาจะต้องเป็นทุกข์.  นี่ดูอานุภาพของธณรมะมันครอบงำไปหมด ไม่ว่าคนนั้นจะกำลังประกาศตัวว่าถือศาสนาอะไรอยู่ก็ตาม.
          ขออย่าถือว่า อาตมาพูดจาละลาบละล้วงดูหมิ่นศาสนาอื่น แต่ว่าพูดไปตามตรง ตามความเป็นจริง เพื่อให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า ธรรมานุภาพ อันเป็นสิ่งสูงสุด ที่เราต้องการให้กลับมา อย่างที่กล่าวแล้วข้างต้น.

          ทีนี้จะดูต่อไปถึง  ข้อที่ 2 ว่า  ธรรมานุภาพ หรือ ธรรมะแท้นี้  ไม่มีนิกาย  ไม่มีชนิด ;  จะพูดว่า ธรรมานุภาพอย่างพุทธ ธรรมานุภาพอย่างคริสต์ ธรรมานุภาพอย่างพราหมณ์ นั้นมันก็ไม่ได้ เพราะมันมีแต่ธรรมานุภาพเดียว ในกฏของธรรมชาติ ; ในขอบเขตของธรรมชาติทั้งหมด  มันมีแต่ธรรมานุภาพเดียว.  ฉะนั้นจึงไม่มีธรรมานุภาพชื่อนั้นชื่อนี้, นิกายนั้นนิกายนี้  ศาสนานั้นศาสนานี้  ธรรมานุภาพนี้อยู่เหนือการถูกจำกัดด้วยชื่อว่าชื่อนั้นชื่อนี้  มันมีชื่ออย่างใดเฉพาะส่วน เฉพาะเวลา เฉพาะเทสะนั้น  มันก็ไม่ได้ ไม่เป็นเศหญิง  ไม่เป็นเพศชาย ไม่เป็นอะไร โดยสมมติอย่างที่สมมติกัน

          ข้อที่ 3  ดูต่อไปก็  ธรรมานุภาพนี้มีนิพพานเป็นของขวัญ  ธรรมานุภาพนี้มีของขวัญสำหรับฝากแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง  ของขวัญนั้นคือนิพพาน  หมายความว่า  ถ้าเขาปฏิบัติตรงต่อกฏของธรรมชาติแล้วในฝ่ายถุก  แล้วเขาก็จะได้รับของขวัญ  คือพระนิพพาน, คือชีวิตที่เย็น, ชีวิตที่มีแต่ความเย็น  นี่เรียกว่านิพพาน.
          แต่เดี๋ยวนี้คนยังหลับหูหลับตา  ต่อสิ่งที่เรียกว่า นิพพาน  มันจะสอนกันว่า อย่าเอามาพูด, อย่าเอามาพูด เรื่องนิพพานมันไม่อยู่ในวิสัยของเรา พ้นสมัยแล้ว ; ถ้ามาพูดให้คนสมัยใหม่ฟัง  เขาว่านิพพานเป็นเครื่องครึคระแล้ว.  น่าหัวที่สุด  ที่มีคนกล่าวเมื่อเร็วๆนี้ว่า  ผู้มีหน้าที่เป็นนายกพุทธสมาคมบางแห่งนั้น เขาปฏิเสธว่า อย่าเอาเรื่องนิพพานมาพูด เขาไม่ต้องการ เขาต้องการให้พูดเรื่อง ธรรมะที่เป็นประโยชน์แก่บ้านแก่เมือง.
          นี่เราบอกเขาว่า ถ้าเอานิพพานออกเสียอย่างเดียวแล้ว พุทธศาสนาก็ไม่มีอะไรเหลือ.  พุทธศาสนามีสิ่งที่เป็นหัวใจ หรือว่าเป็นลักษณะเฉพาะ ก็คือ นิพพานซึ่งเป็นของขวัญจากธรรมชาติ ; เพราะว่าพระพุทธศาสนานั้นไม่มีอะไร นอกจากเรื่องของธรรมชาติ.  พระพุทธเจ้าทรงค้นพบข้อเท็จจริงต่างๆของธรรมชาติ แล้วจึงนำมาสั่งสอน จึงมีเรื่องตรงกันกับกฏของธรรมชาติ.  คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามีหลักการตรงเป็นอันเดียวกันกับเรื่องธรรมชาติ, เรื่องกฏของธรรมชาติทั้งปวง.  นี้ธรรมชาติก็มีนิพพานให้เป็นของขวัญแก่มนุษย์  พุทธศาสนาก็มีนิพพานให้เป็นของขวัญแก่มนุษย์ โดยทำนองเดียวกัน.

          ต่มนุษย์  เขาชวนกันปิดหูปิดตาเสียเลย ไม่ยอมฟังเรื่องนิพพาน  ไม่สนใจเรื่องนิพพาน, เขาถือศาสนาเงิน เขาถือกามารมณ์, อะไรๆก็ล้วนแต่เพื่อกามารมณ์ไปเสียทั้งนั้น.  เขามีชีวิตหายใจอยู่ด้วยเรื่องกามารมณ์.  เขาหาเงินเป็นวักดเป็นเวน  แทบสายตัวจะขาด  แล้วเขาก็ใช้เพื่อกามารมณ์.  นี้เรียกว่ามันยปิดหูปิดตาต่อสิ่งที่เรียกว่า นิพพาน เราต้องการจะให้ฟ้าสางทางธรรมานุภาพ ให้คนเห็นโดยแท้จริง  ว่าสิ่งที่จะช่วยเราได้นั้น  ก็คืออานุภาพของพระธรรม.

          ข้อที่ 4 ประชาชนเขาไม่สนใจธรรมะที่เป็นธรรมชาติ, เขาไปสนใจที่เรียกว่าไสยศาสตร์  ซึ่งคนบางพวก บางยุค บางสมัย เขาบัญญัติขึ้นมา สำหรับให้คนบางพวก บางยุค บางสมัย นั้น ถือเป็นหลักปฏิบัติ เพื่อผลดีทางศีลธรรม.  พวกคนเหล่านี้เป็นคนโง่น  พูดอย่างอื่นไม่มีทางที่จะเข้าใจ  จึงต้องพูดแต่ในทางที่ให้เกิดความหวาดต่อสิ่งที่เขารู้จักไม่ได้, คือเขาเข้าใจไม่ได้ จะเป็นเรื่องผีสางเทวดา หรือเรื่องพระเจ้าก็ตามใจ เป็นสิ่งที่เขาเข้าใจไม่ได้ก้แล้วกัน, แล้วก็อ้างเอาสิ่งนั้นมาขู่ เรียกว่าขู่หรือบังคับ ว่าท่านทั้งหลายจะต้องปฏิบัติตามนี้ๆ แล้วสิ่งเหล่านี้ จะอำนวยประโยชน์ให้แก่ท่านทั้งหลาย.  ระบบไสยศาสตร์เกิดขึ้นมาในโลกนี้ ที่กำลังเหลืออยู่มากมายในโลกนี้แม้ในเมืองของชาวพุทธนี้  ก็มีไสยศาสตร์ระบาดอยู่ทั่วๆไป,  การนับถือพุทธศาสนาก็เลยกลายเป็นไสยศาสตร์ไป  หรือว่าไปแฝดติดกันอยู่อย่างแยกกันไม่ออก.
          จะยกตัวอย่างสักนิดหนึ่ง  ไม่เสียเวลาอะไรนัก เช่นว่าเข้าไปในโบสถ์แล้ว กราบพระพุทธรูปด้วยความคิดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยได้ อย่างนี้มันเป็นไสยศาสตร์ ; ถ้าเข้าไปในโบสถ์  กราบพระพุทธรูปด้วยความคิดว่า พระพุทธรูปทรงค้นพบความดับทุกข์  ดับทุกข์ได้ด้วยพระองค์เองแล้วสอนผู้อื่นให้ดับทุกข์ได้ด้วย, เราขอสมัครเป็นสาวกของพระองค์ และขอบพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ แล้วก็กราบลงไป.  ถ้ากราบอย่างนี้เป็นพุทธ-ศาสตร์ ; ถ้ากราบอย่างศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเหลือ อย่างนั้นมันเป็นไสยศาสตร์.
          แม้ว่าจะเอาพระมาแขวนคอ พระเครื่ององค์เล็ดกๆเอามาแขวนคอ ถ้าแขวนในฐานะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์  จะช่วยคุ้มครอง อย่างที่เขาแขวนกัน  ซื้อขายกันมาแขวนนี้ มันก้เป็นไสยศาสตร์.  ถ้าเอาพระเครื่องมาแขวนคอด้วยคิดว่านี้เป็นสัญญลักษณ์ของพระองค์ ผู้ดับทุกข์ได้ด้วยพระองค์เอง แล้วมาสอนให้เราดับทุกข์ได้ด้วย, เราขอบพระคุณ เราขอมอบกายถวายชีวิตแก่พระองค์  เพื่อมิให้ลืมพระพุทธองค์ เราก็เอามาแขวนคอ ถ้าแขวนอย่างนี้เป็นพุทธศาสตร์.
          นั่นแหละ  ท่านดูให้ดีเถอะว่า  พุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์นั้น สัมพันธ์กันอยู่อย่างนี้  แล้วส่วนใหญ่นั้นเอียงไปสู่ไสยศาสตร์ ทั้งนั้น ไม่เชื่อก็ลองไปถามคนที่เอาพระแขวนคอดู  ทำเปอร์เซนต์ดูว่า  ในบรรดาคนที่แขวนพระเครื่องเหล่านั้น เขาคิดนึกอย่างไร.  ในที่สุดก็จะได้สถิติออกมาว่าแขวนในฐานะเป็นวัตถุขลังศักดิ์สิทธิ์เข้าใจไม่ได้, เหมือนผีสางเทวดา พระเจ้า อะไรต่างๆนั่นทั้งนั้นแหละ, จะทั้งนั้นก็ได้.  ที่จะแขวนด่วยความรู้สึกว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งพระธรรมแห่งพระพุทธ นี้ไม่ค่อยจะมี.

          นี่เราต้องการจะให้รู้เรื่องนี้กันเสียให้ดี  ว่าสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งดับทุกข์แก่เราได้นั้น  คือสิ่งที่เรียกว่า ธรรมานุภาพ, คืออานุภาพของพระธรรม จะได้รื้อฟื้นสิ่งนี้ขึ้นมาให้เป็นที่พึ่งได้ยิ่งๆขึ้นไป.
          ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ศึกษาธรรมะ  ข้อนี้ก็ไม่รู้จะโทษใคร, ทำไมเขาจึงไม่ได้ศึกษาธรรมะ ไม่รู้จะโทษใคร, จะโทษพ่อแม่ โทษครูบาอาจารย์ โทษอะไรก็แล้วแต่  มันมีหลายเรื่อง.  แต่อยากจะพูดว่า  การศึกษาของมนุษย์นั้นไม่ถูกต้องไม่สมบูรณ์ ประชาชนของเราจึงยังถือไสยศาสตร์อยู่ ; ถ้าการศึกษาถุกต้องและสมบูรณ์ ประชาชนก็จะเลิกถือไสยศาสตร์เป็นแน่นอน.  เดี๋ยวนี้ไม่อาจจะหันหน้าไปหวังพึ่งธรรมานุภาพ  มันก็ต้องพึ่งอานุภาพของไสยศาสตร์อย่างเหมือนกับคนหลับ  หรือเป็นมนุษย์ที่หลับ เป็นโลกที่หลับต่อไปตามเดิม.

          ข้อที่ 5 เดี๋ยวนี้ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เข้ามาแทรกแซง ก็คือความเจริญก้าวหน้าในทางวัตถุ, วัตถุที่เขาประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อส่งเสริมกามารมณ์นั้น  มันมีความยั่วยวนมาก.  คนทั้งหลายก็ไปหลงติดในความสุขความสนุกสนานกางกามารมณ์  ยิ่งไม่อยากจะสนใจในเรื่องของธรรมะ  หรือธรรมานุภาพ ; เขาก็เลยไปบูชาวัตถุเป็นที่ตั้งแห่งกามารมณ์ มีสิ่งที่เรียกว่าเงินเป็นปัจจัย เขาก็ถือศาสนาเงิน, คนเหล่านั้นถือศาสนาเงินทั้งที่ปากพูดว่าถือพุทธศาสนา, แต่หัวใจของเขาถือศาสนาเงิน  จะเรียกว่าถือศาสนากามารมณ์ก็ได้, จะเรียกว่าถือศาสนาประโยชน์ก็ได้ เพราะประโยชน์ของเขานั้นคือกามารมณ์
          เดี่ญวนี้เขาเจริญกันใหญ่  เจริญทางอุตสาหกรรม เจริญทางเทคโนโลยี, สติปัญญาสามารถมีเท่าไร  ก็ระดมทุ่มเทไปในทางที่จะใช้เทคนิคเพื่อแสวงหาปัจจัยแห่งกามารมณ์  ในแขนงต่างๆกัน จนกล่าวได้ว่า เทคโนโลยีทุกแขนงในโลกนี้เพื่อประโยชน์แก่กามารมณ์  สำหรับจะหลอกลวงใมนุษย์กันเองให้จมติดอยู่ในกามารมณ์.  ไม่มีเทคโนโลยีแขนงไหนที่จะใช้ไปในการที่จะแสวงหาธรรมะ, จะปฏิบัติธรรมะให้ยิ่งๆขึ้นไป  เพื่อให้บรรลุมรรคผลโดยเร็ว,  ไม่มีใครเคยใช้วิชาเทคโนโลยีในรูปนี้ แบบนี้ แต่กใช้เทคโนโลยีไปในทางแสวงหากามารมณ์  มาฝังตัวเองให้จมมิดลงไปตลอดเวลา.

          ข้อที่ 6 นั่นแหละ  มันจึงมีผลเกิดขึ้นมาว่า แทนที่มนุษย์จะหวังแสวงหาธรรมานุภาพ, หวังพึ่งธรรมานุภาพ, เขาก็ไปหลงใหล  ในสิ่งที่เป็นที่ตั้งของกิเลส,  ไม่สนใจธรรมะ เพราะว่าไปบูชากิเลส,  ผลก็เกิดขึ้นคือความทุกข์อันยืดเยื้อใหญ่หลวง  ครอบงำโลกอยู่ในปัจจุบันนี้.  แทนที่จะคิดพึ่งพระธรรม  ก็ไปคิดพึ่งพากิเลส  นี้มันเป็นสิ่งที่น่าสลดสังเวช  น่าละอาย  น่าสะอิดสะเอียนที่สุดสักเท่าไร ; แทนที่จะไปหวังพึ่งธรรมะ  กลายเป็นหวังพึ่งกิเลส บูชากิเลส, เอากิเลสเป็นสิ่งสูงสุดไปเสีย.  นี่เรียกว่าฟ้ามันไม่สาง  มันมืดมิดสนิท  เหมือนกับราตรีที่ปราศจากดาวในเวลาดึก.

          นี่เรียกว่าเป็นสิ่งที่เราจะต้องนึกถึงเป็นสิ่งแรก  ว่า ขอให้เกิดเป็นฟ้าสางขึ้นมา  คือฟ้าสางทางธรรมานุภาพ.  พวกเราชาวพุทธ  ถ้าเป็นพุทธจริงก็จะหวังอย่างนี้,  ถ้าเป็นพุทธแต่ปากก้หวังอย่างอื่น.
          แล้วก็ไม่เฉพาะแต่พวกเราชาวพุทธเท่านั้น  พวกที่กำลังถือลัทธิอื่น  ที่ไม่ใช่ชาวพุทธ  เขากำลังหันมาหาพระพุทธศาสนา  เพราะเบื่อต่อศาสนาที่เป็นไสยศาสตร์  หรือศาสนาที่ไม่อาจจะช่วยตัวเองได้  ต้องหวังพึ่งสิ่งอื่น, นี่เขาก็เบื่อจึงหันมาหาพุทธศาสนา หาที่พึ่งกันใหม่.  นี้ก็จะมาเป็นพวกเดียวกันได้  กับชาวพุทธที่มีอยู่ก่อน,  แล้วก็ร่วมมือกันในการปรับปรุงแก้ไขให้ธรรมะกลับมาครองโลก ให้โลกมีธรรมะเป็นที่พึ่ง.
          แต่เมื่อดูแล้วจะเห็นได้ว่า  พวกที่ไม่ต้องการอย่างนี้มีมากเหลือเกิน,  พวกที่เป็นทาสของกิเลส  บูชาวัตถุนิยมนี้ยังมีมากเหลือเกิน ;  ถ้าจะเอามาวัดกัน  ก็จะเหมือนกับว่าเอามดไปสู้ช้าง  ดูมันยังมากเหลือเกิน, แต่พวกเราก็ไม่ท้อถอย  อาตมาจะพูดแทนท่านมั้งหลายด้วยว่า  พวกเราก็ไม่ท้อถอย ; แม้ว่ามันจะหนักหรือยากลำบากเหมือนกับเอามดไปสู้กับช้างนี้  พวกเราก็ยังไม่ท้อถอย.

          ด้วยเหตุนี้แหละ  สวนโมกข์จึงเกิดขึ้น  เพราะความไม่รู้สึกท้อถอย, ไม่รู้สึกยอมแพ้ต่อวิกฤตการณ์อันนั้น, เราดิ้นรนกัน  จนมีสวนโมกข์เกิดขึ้นมา  แล้วก็จะทำหน้าที่ไปตามนั้น  เพื่อให้ธรรมานุภาพกลับมาครองโลก กลับมาช่วยโลกตลอดไป,  คนส่วนใหญ่รู้จักธรรมานุภาพกันน้อยเกินไป  แต่ก็ไม่ท้อถอย.
          ธรรมานุภาพจะต้องกลับมา  จะต้องสางเป็นแสงสว่างขึ้นมา  ตามเวลาที่เราจะช่วยกันกระทำ ; อย่างที่พูดมาแล้วว่า  แม้มันยังไม่ถึงเวลา 6 โมงเช้า  ฟ้ามันยังไม่สางแต่ว่าถ้าเราทุกคนช่วยกันจุดตะเกียวขึ้นคนละดวงทั้งโลก แล้วมันจะเป็นอย่างไร,  มันก็ยังจะสำเร็จประโยชน์ได้ ในการที่จะมีฟ้าสางทางธรรมานุภาพขึ้นมาคุ้มครองโลกเป็นแน่นอน.
          นี่คือข้อแรก  หรือข้อที่ 1 ของสิ่งที่เรียกว่าฟ้าสาง เป็นฟ้าสางทางความรู้สึกต่อธรรมานุภาพ, เป็นฟ้าสางในหนทางรอด  ในความรอดของมนุษย์ในโลกนี้.
         





ข้อที่ 2 ฟ้าสางทางสังคมศาสตร์

          ทีนี้จะพูดถึง ฟ้าสาง ข้อถัดไป ข้อที่ 2 ที่เรียกว่า ฟ้าสางทางสังคมศาสตร์,  ฟ้าสางทางสังคมศาสตร์ นี้ ขออภัยที่ว่ามันต้องใช้คำที่แปลกหูแก่ท่านทั้งหลายบางคน มันไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร  มันต้องใช้คำที่เขากำลังใช้กันอยู่ในโลก หรือในประเทศเรา.

          สังคมศาสตร์ หรือ social science ที่เรียกกันไปทั้งโลก เรียกว่า social science วิชาความรู้สำหรับสังคมจะได้อยู่รอดได้  เขาเรียกว่าสังคมศาสตร์ ;  พูดเป็นธรรมดาๆก็ว่า  ความรู้ที่จะช่วยให้สังคมอยู่รอดได้ เรียกว่าสังคมศาสตร์´ ท่านจะมีคำอะไรเป็นภาษาง่ายๆ เรียกได้ก็ดี, ก็ลองใช้คำนั้นเถอะ.  แต่อาตมานึกไม่ออก ก็ต้องใช้คำว่าสังคมศาสตร์ – ศาสตร์เพื่อความรอดพ้นของสังคม หรือศาสตร์ที่จะช่วยสังคม.  นี้มันมีอยู่แล้ว ในโลกนี้เขามีสิ่งที่เรียกว่า สังคมศาสตร์ คือวิชาในแขนงต่างๆที่เขามองเห็นว่ามนุษย์จะต้องมีกี่อย่างๆก็ตามใจ ทั้งหมดนั้นจะเรียกว่าสังคมศาสตร์ไปหมด.

          อาตมาไปเอาบัญชีมาดูแล้วเห็น โอ มันมาก, มันมากเกินไป เอาแต่ที่สำคัญๆ ; เช่น เขาถือว่ามนุษย์นี้จะต้องมีความรู้เรื่องอักษรศาสตร์ คือทางหนังสือ, จะต้องมีความรู้เรื่อง วิทยาศาสตร์ กฏเกณฑ์ของธรรมชาติทางฝ่ายวัตถุ, จะต้องมีความรู้ เรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งเดี่ญวนี้กำลังเป็นลมหายใจของคนทั้งโลก, จะต้องมีความรู้เรื่อง การเมือง จะต้องมีความรู้ เรื่องปรัชญา, จะต้องมีความรู้ เรื่องศาสนา, แม้จะย่อยลงไปถึงกับว่าจะต้องมีความรู้ เรื่องตรรกวิทยา เรื่องจิตวิทยา, เรื่องอะไรอีกมากมาย ทั้งหมดนี้เรียกว่าสังคมศาสตร์,  แต่ไม่มีเรื่องธรรมะที่จะดับทุกข์ได้ รวมอยู่ในนั้น.  มันมีอะไรๆที่เท่าที่มนุษย์ในปัจจุบันเขาเห็นว่าจำเป็นจะต้องมี เขาก็ระบุกันแต่ในสิ่งเหล่านั้น, เขาไม่ระบุความรู้ทางธรรมะ ที่เป็นกฏของธรรมชาติ ที่เรากล่างถึงนั้น ว่ารวมอยู่ในสังคมศาสตร์.
          สังคมศาสตร์เขามีคำว่า ศาสนา แล้วก็ประวัติความรู้ศาสนาทั่วๆไป ทุกศาสนาก็พอแล้ว ไม่สามารถปฏิบัติดับทุกข์ได้ด้วยศาสนาใดๆ โดยเฉพาะ  นี้เรียกว่ายังไม่ได้ตัวของพระพุทธศาสนา  หรือของธรรมะโดยตรงเข้าไปรวมอยู่ในนั้น.  เราจึงถือว่ายังไม่สางทางสังคมศาสตร์,  คือศาสตร์ทั้งหลายที่เขาถือกันว่าจำเป็นสำหรับสังคมนั้น มันไม่มีธรรมะที่ดับทุกข์ได้ รวมอยู่ในนั้น.

          นี้เราอยากจะให้สังคมศาสตร์นี้  เกิดเป็นฟ้าสางขึ้นมาให้คนเหล่านั้นมองเห็นว่า ต้องมีความรู้เรื่องธรรมะที่ดับทุกข์ได้จริงมารวมอยู่ในนั้นด้วย, โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมะที่สรุปไว้ในประโยคสั้นๆอย่างที่กล่าวแล้วเมื่อตะกี้นี้ว่า ทำผิดด้วยความโง่ ในขณะที่มีผัสสะทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้นจะต้องเกิดทุกข์, ถ้าทำให้ถูกต้องด้วยความเฉลียวฉลาดในขณะที่มีผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้น จะเป็นการดับทุกข์ หรือไม่เกิดทุกข์เท่านี้ก็พอแหละ.  แต่ความรู้ข้อนี้มันไม่ได้ไปรวมอยู่ในวิชาสังคมศาสตร์ หรือ social science ของมนุษย์โลกปัจจุบัน ที่เขาบูชากันนัก. เขามีการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมกันอย่างใหญ่หลวงในสังคมศาสตร์ทุกๆแขนง, แต่มันไม่มีแขนงที่จะดับทุกข์ได้ เราจึงถือว่าสังคมศาสตร์ทั้งหมดนั้น มากมายเท่าไรก็ดี มันยังหลับอยู่ ยังมืดมิดอยู่ เหมือนกลางดึกแห่งกลางคืนที่ปราศจากดาว.

          เราจึงอยากจะขวนขวาย ให้มันมีอากาณฟ้าสางทางสังคมศาสตร์ขึ้นมา, ขอให้สิ่งที่เรียกว่า สังคมศาสตร์ ของมนุษย์นั้นแหละ รวมเอาธรรมะ ซึ่งเป็นหลักพระพุทธศาสนาตามกฏของธรรมชาตินี้เข้าไว้ด้วย, เดี๋ยวนี้มันไม่มี.  ฉะนั้นเราจึงต่อสู้ ต่อสู้ตลอดมา เพื่อให้คนในโลกเกิดความสนใจว่าต้องเอาสิ่งนี้เข้ามารวมอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า สังคมศาสตร์ จึงจะสมบูรณ์ คือจะช่วยแก้ไขปัยหาของมนุษย์ในโลกได้.

          เราชาวไทยเป็นประเทศเล็ก ตามก้นประเทศใหญ่ประเทศมหาอำนาจ, ประเทศที่เราบูชาว่าเจริญรุ่งเรืองไปทุกอย่างทุกทาง นี่ประเทสไทยเราเป็นประเทศเล็ก ต้องตามก้นประเทศใหญ่ ; คำพูดนี้ไม่น่าฟัง แต่มันก็เป็นอย่างนี้, ใช้คำพูดอื่นมันไม่ตรง  แล้วเราก็ไปคว้าเอาสังคมศาสตร์ชนิดที่มันไม่ช่วยอะไรได้  มายึดถือเป็นหลักกับเขาด้วยเหมือนกัน.
          หรือถ้าจะเปรียบเทียบให้แคบเข้ามา ก็เรียกว่า การศึกษาในประเทศไทยเรานี้ ก็ไม่ให้ความสำคัญแก่ธรรมะหรือพระพุทธศาสนา ; เอาไปไว้เป็นวิชานิดๆหนึ่งในวิชาสังคมศึกษา  เขาเรียกวิชาสังคมศึกษา ศึกษาเรื่องต่างๆ ต่างๆหลายเรื่องมากมาย ที่เขาเห็นว่าจำเป็นที่มนุษย์จะต้องรู้, แล้วก็มีเรื่องของพุทธศาสนา ชนิดที่เป็นประวัติบ้าง อะไรบ้าง เล็กๆน้อยๆไปรวมอยู่ด้วย, ไม่ถึงหัวใจของพุทธศาสนา, ไม่มีหัวใจของพุทธศาสนารวมอยู่ในสังคมศึกษาเลย,  โดยส่วนย่อยในประเทศก็เป็นอย่างนี้, โดยส่วนใหญ่ของโลกทั้งโลกมันก็เป็นเช่นนี้, นี้คือความหลับหูหลับตาของมนุษย์ในโลก  เรียกว่ามันยังเป็นมนุษย์หลับ หรือมันยังเป็นโลกที่หลับอยู่.

          พุทธบริษัทควรจะรับรู้,  ควรจะมองให้เห็นข้อเท็จจริงอันนี้, แล้วช่วยกันต่อสู้แก้ไข  เพื่อให้เกิดฟ้าสางทางสังคมศาสตร์ หรือแม้สังคมศึกษาในประเทศไทย ว่าจะต้องมีธรรมะสำหรับดับทุกข์ของมนุษย์ได้จริงรวมอยู่ด้วย.

          เอาละ, เราทุกคนที่มองเห็นแล้วนี่  มาช่วยกัน มาร่วมมือกันต่อสู้ทุกวิถีทาง คือ ช่วยทำให้เกิดความรู้อันถูกต้องขึ้นมา ให้ลั่นโลกก็ยิ่งดี ว่านั่นมันไม่พอ, นั่นคือความวินาศของโลก.  ถ้าโลกรู้แต่เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการเมือง เรื่องวิทยาศษสตร์สำหรับส่งเสริมกิเลส ให้กิเลสหนาขึ้นๆ แล้วส่วนที่จะดับกิเลสนั้นไม่รู้กันเสียเลย  อย่างนี้แล้ว โลกไม่วินาศนั้นมันเป็นไปไม่ได้ โลกมันต้องวินาศ, โดยที่คอมฯไม่ได้แสดงบทบาทอะไรเลย.

          เขามีความรู้เรื่องอะไรบ้าง  ก็ไปดูเถอะ : เรียนหนังสือ ก็เรียนเพื่อส่งเสริมกิเลส  เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการเมือง เรื่องการปกครอง เรื่องอะไรก็ตาม มันล้วนแต่เพื่อส่งเสริมกิเลส ; ส่วนเรื่องที่จะเข่นฆ่ากิเลสนั้น มันไม่รวมอยู่ในสังคมศาสตร์ หรือสังคมศึกษา ดังที่กล่าวแล้ว.

          ในบางที บางแห่ง บางประเทศ ถือว่าคำสอนเรื่องอนัตตานี้ทำลายโลก, คำสอนเรื่องสันโดษก็ดี  เรื่องนิพพานก็ดี . มีชาวพุทธชั้นหัวหน้าหน่วยสังคมเห็นว่า เรื่องนิพพานนี้เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ, เขาเองไม่ชอบ เพราะมันไม่มีรสชาติอะไร,  แล้วยังพาลกล่าวหาว่า เรื่องนิพพานนี้เป็นเรื่องถ่วงความเจริญของประเทศชาติ.  ถ้าพลเมืองไปสนใจเรื่องนิพพานเสียหมดแล้ว ประเทศจะล่มจม, นี่ดูเขาหลับตาพูดสิ แล้วกำลังมีอยู่จริงๆแม้ในประเทศไทย.

          นี่ขอให้เรามองเห็นอันตรายอันนี้  ช่วยกันต่อสู้ช่วยกันแก้ไข ให้มันมีความเข้าใจอันถุกต้องเสียใหม่ ว่าต้องมีความรู้เรื่องสังคมศาสตร์ หรือสังคมศึกษา ที่ถุกต้อง แล้วจะเป็นที่ปรากฏชัดออกมาว่า เรื่องธณรมะที่ดับทุกข์ได้นั้น เป็นเรื่องยอดสุดของสังคมศาสตร์.  สังคมศาสตร์ทุกๆแขนง ให้มันสูงสุดอยู่ที่ความรู้เรื่องดับทุกข์ ธรรมะที่ดับทุกข์ได้, นั่นคือสังคมศาสตร์หัวหน้า สังคมศาสตร์ตัวนำ, สังคมศาสตร์อื่นๆจะต้องเป็นไปตามหลัง หรือสนับสนุนสังคมศาสตร์ที่เป้นตัวธรรมะที่ดับทุกข์ได้.

          โดยเฉพาะอย่างยิ่งเช่นการศึกษานี้  เดี๋ยวนี้เขาจัดการศึกษาลงทุนกันแพงมาก ในประเทศนี้, แต่แล้วเพื่อส่งเสริมการเมือง เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจ ให้มันเป็นบ้าเป็นหลังยิ่งๆขึ้นไป.  เขาไม่ได้จัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมศีลธรรม.  นี่กล้าพูดอย่างนี้ว่า รัฐบาลไม่ได้จัดการศึกษา ไม่ได้ทุ่มเทการศึกษา เพื่อส่งเสริมศีลธรรม, หรือทำกความสงบรำงับให้แก่มนุษย์, แต่จัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและการเมือง ซึ่งทำให้โลกนี้มันเป็นบ้าเห็นหลังยิ่งขึ้นทุกที.
          นี่ขอให้เข้าใจ ว่ากำลังทำผิดกันอยู่อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าสังคมศาสตร์ คือวิทยาที่จำเป็นสำหรับสังคมโลก.

          เรามีสวนโมกข์ โดยมีเจตนาที่จะทำให้เกิดฟ้าสางทางสังคมศาสตร์,  คือเกิดฟ้าสางทางวิทยา  ทหี่จะช่วยให้มนุษย์ลืมหูลืมตา แล้วดับทุกข์ได้,  นี่ฟ้าสางทางสังคมศาสตร์.
          เดี๋ยวนี้มันยังไม่ได้ผล  มันไม่สาง  มันเหมือนกับกำลังหลับสนิทในเวลากลางดึก แห่งราตรีที่ปราศจากดาว, มันก็หลับกรนฟี้ๆอยู่, ไม่เกิดฟ้าสางทางสังคมศาสตร์ เพราะว่าไปบูชาศาสตร์ทั้งหลายที่ส่งเสริมกิเลส  แล้วก็เกลียดชังศาสตร์โดยเฉพาะที่เข่นฆ่ากิเลส.  ถ้าจะศึกษาอะไรบ้างก็จัดให้เป็นการศึกษาที่ส่งเสริมกิเลสไปเสียหมด มันจึงเป็นเหตุให้เกิดวิกฤตการณ์ ความเดือดร้อนวุ่นวายระส่ำระสายทนทุกข์ทรมานอยู่ทั่วไปในโลก ; เพราะฟ้ามันไม่สางทางสังคมศาสตร์ ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ชาวโลกทั้งหลายเขาถือกันเป็นหลัก ทุ่มเทกำลัง เพื่อจะศึกษาค้นคว้ากันอยู่ทั่วทั้งโลก ศึกษาสังคมศาสตร์ชนิดที่ส่งเสริมกิเลส  แทนที่จะเป็นการเข่นฆ่ากิเลส.

          ดังนั้น  เรามาช่วยกันต่อไปอีก  ว่าจะส่งเสริมให้เกิดฟ้าสางทางสังคมศาสตร์ อย่างยน้อยที่สุดก็ในประเทศชาวพุทธของเรา, ประเทศที่เป็นเมืองพุทธของเรา ควรจะลืมหูลืมตาในข้อนี้ ; เมื่อประเทศอื่นเขาไม่ลืมหูลืมตา มันก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้, เราเองก็ลืมตากันเสียก่อน แล้วก็จะได้ช่วยเหลือให้ผู้อื่นลืมตาได้ด้วย.

          เดี๋ยวนี้ภายในประเทศของเรา  เราก้ไม่ได้ทำให้เกิดผ้าสางทางธรรมศาสตร์ ทางพระธรรม, ประชาชนของเรา จึงไม่รู้จักพรัพุทธศาสนาของตนเอง,  เป็นคนโง่ จนศาสนาอื่นเขามาซื้อตัวเอาไปเสียได้ ด้วยสินจ้างรางวัลเพียงเล็กๆน้อยๆ  ก็ทำให้ชาวพุทธที่ไม่รู้จักพุทธ ถูกซื้อเอาไปได้  กลายไปเป็นถือศาสนาอื่น.  อย่างนี้แล้วจะไปโทษใคร, ทำไมไม่โทษตัวเอง.  คอมมิวนิสต์ไม่ทันมา พุทธศานามันหมดเสียแล้ว, มัวแต่ร้องตะโกนว่าคอมมิวนิสต์มา พุทธศาสนาหมด คอมมิวนิสต์มพุทธศาสนาหมด,  ไม่มองดูให้ดี ยังหลับหูหลับตาอยู่, ไม่มองให้ดีว่า เดี๋ยวนี้พุทธศาสนามันหมดแล้ว  ทั้งที่คอมมิวนิสต์ยังไม่มา, เพราะว่าประพฤติผิดต่อหลักธรรมะในพุทธศาสนา กลายเป็นไสยศาสตร์ไปหมดแล้ว  นี่พุทธศาสตร์กลายเป็นไสยศาสตร์ไปหมดแล้ว ก็ยังไม่รู้สึกตัว.  นี่คอมมิวนิสต์ไม่ได้ทำนะ ชาวพุทธทำกันเอง  ทำให้พุทธศาสนาหมด, แล้วก้ไปโทษคอมมิวนิสต์มาพุทธศาสนาหมด.  นี่คือการที่ฟ้ามันไม่สางทางสังคมศาตร์.

          ขอให้พวกเราทุกคนสนใจกันเป็นพิเศษ  คือให้แสงสว่างของธรรมะนี้ นำมนุษย์ นำโลก, แล้วจะรอดได้ เพราะว่าแสงสว่างนำไปอย่างถูกต้อง.  แสงสว่างของสังคมศาสตร์นั้นต้องถูกต้อง  คือมีเรื่องธรรมะที่ดับทุกข์ได้ เป็นหลักเป็นประธาน,  อย่าเอาวิชาความรู้เทคโนโลยีทั้งหลายที่นำไปสู่ความเป็นทาสของกิเลส มาเป็นผู้นำเลย. นี่มันไม่รู้จะไปทางไหน  คนไม่รู้จะไปทางไหน, เกิดมาเป็นมนุษย์ทำไม จะได้อะไร เขาก็ไม่รู้, เพราะว่าวิชาสังคมศาสตร์ในโลกปัจจุบันนี้ มันหลับหูหลับตา มันไม่มีอาการที่เรียกว่าฟ้าสางเสียเลย.
          เราเรียกตัวเองว่า ชาวพุทธ ก็รักษาความหมายของคำว่าพุทธไว้ให้ดีๆ, พูดมาหลายครั้งแล้ว แล้วก็ยังจะต้องพูดอีก เพราะบางคนไม่สนใจจะจำ, อะไรมันหนาก็ไม่รู้ พูดกี่ครั้งๆก้ฟังไม่ค่อยจะถูก  และไม่ค่อยจะจำ ว่า พุทธะนั้น แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ; เดี๋ยวมาเป็นชาวพุทธที่หลับ.  ถ้าหลับอยู่เขาไม่เรียกว่าชาวพุทธดอก  เพราะพุทธ แปลว่าตื่น ตื่นจากหลับ, ถ้ายังหลับอยู่มันก็ไม่เป็นชาวพุทธดอก ยังโง่ต่อการดับทุกข์ แล้วก็ยังหลับ, แล้วก็ยังไม่เป็นชาวพุทธ.  ฉะนั้นจะต้องพยายามที่จะตื่น ; พุทธะแปลว่า ตื่น, พอตื่นลืมหูลืมตา ก็รู้อะไรได้, รู้อะไรได้แล้วก็ทำถุกต้อง, แล้วมันก็เบิกบาน สดชื่น แจ่มใส สงบเย็น นั่นเป็นชาวพุทธ.

          เป็นหรือยัง? เราเองเป็นหรือยัง? ใครเป็นหรือยัง ไปทดสอบของตัวเองดู ว่า เป็นชาวพุทธแล้วหรือยัง? คือ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้วหรือยัง?  ถ้ามันตื่นจริง ก็เรียกว่าดีล้วนๆ แล้วมันก็มีฟ้าสางทางสังคมศาสตร์แล้ว.  มีฟ้าสางทางวิชาความรู้ที่จะช่วยมนุษย์ให้รอดแล้ว คือโลกได้เดินไปในทางของแสงสว่างแล้ว.
          เดี๋ยวนี้อยากจะเรียกว่า ฟ้าสางทางสังคมศาสตร์มีขึ้นบ้าง แม้บางส่วน :-
1.                 เพราะรู้สึกว่า เยาวชนของเรา ที่เป็นนักศึกษา เป็นนิสิตอะไรก็ตาม ในประเทศไทยนี้ สนใจธรรมะกันมากขึ้น.  ถ้าเทียบกับ เมื่อ 50 ปีก่อนโน้น  แล้วไกลกันลิบ, นักเรียนนักศึกษานั้นไม่สนใจธรรมะ ที่เรียกกันว่า ทำสมาธิ ทำวิปัสสนา นี้ไม่สนใจ.  เดี๋ยวนี้ก็มีนักศ฿กษามีสติปัญญา สนใจในเรื่องสมาธิ วิปัสสนา กันมากขึ้น.
2.                 แล้วยังแผ่ขยายไปถึงเมืองนอก  ประเทศนอกที่เรารู้ได้  ก็คือพวกฝรั่งนี่เขามากันมากขึ้น, เขียนจดหมายมาติดต่อก็มากขึ้น  ล้วนแต่มีความประสงค์จะศึกษาหรือปฏิบัติความรู้ชนิดที่เรียกว่า สมาธิ หรือวิปัสสนา ด้วยกันทั้งนั้น นี่ยังเป็นที่น่าพอใจ หรือว่าความหวังที่กลับมา หรือจะเรียกว่าเป็น ฟ้าสางในทางความหวัง ที่สังคมศาสตร์อันมีประโยชน์จะกลับมา.  แล้วมันก็จะได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ.
อาตมาเชื่อว่าจะต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าสังเกตเห็นได้จาก สมาคมศึกษาพุทธศาสนา ปฏิบัติพุทธศาสนามีมากขึ้น, บางหน่วย หรือบางแห่ง มีนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยไปชุมนุมกันอยู่ เพื่อศึกษาและปฏิบัติเป็นจำนวนพันก็มี, อย่าตกใจว่าจำนวนพันก็มี.  เราคิดว่ามันไม่น่าจะถึง แต่ว่ามันก็มี ได้ข่าวว่ามันก็มี แม้ว่ามันจะมีผิดๆถุกๆบ้าง ก็ไม่เป็นไร มันก็ยังดี เพราะมันเป็นที่แน่นอนว่า เขาได้สนใจกันขึ้นแล้ว เขาได้สนใจแสวงหาหนทางรอดตามทางของธรรมะเพิ่มมากขึ้น.
พวกที่เบื่อศาสนาที่มีพระเจ้า เขาก็หันมาหาศาสนาพืธ ที่ไม่มีพระเจ้าอย่างบุคคล.  ศาสนาส่วนมากมีพระเจ้าอย่างบุคคล, มีความรู้สึกอย่างบุคคล โกรธได้รักได้ ให้ร้ายได้ ให้ดีได้ ด้วยเจตนาของพระเจ้าเอง, สอนให้คนทุกคนบูชาอ้อนวอนพระเจ้าเหล่านั้น.  ทีนี้คนจำนวนหนึ่งในโลกนี้ เกิดเกลียดชังศาสนาชนิดนั้น.  ทีนี้คนจำนวนหนึ่งในโลกนี้เกิดเกลียดชังศาสนาชนิดนั้น  แล้วก็หันมาหาพุทธศาสนาที่ไม่ต้องมีพระเจ้าชนิดนั้น ; ถ้าจะเรียกว่าพระเจ้าก็มีเป็นอย่างอื่นแหละ คือ พระเจ้าที่มิใช่บุคคล, พระเจ้าที่รักไม่เป็น โกรธไม่เป็น, พระเจ้าที่ยุติธรรมที่สุด ไม่รับสินบน.  ถ้าว่าชาวต่างประเทศที่ถือศาสนาอื่น  เขาหันมาถือ หรือมาสนใจก็ตามเถอะ พุทธศาสนาแล้วมันมีเหตุผลอย่างนี้ทั้งนั้น มันมีเรื่องราวอย่างนี้ทั้งนั้น.  นี่เรียกว่าเป้นที่น่าพอใจอยู่บ้าง.
3.                 แล้วว่า ผลของสงครามนี้  เราจะมองดูกันในแง่ดีว่า สงครามนี้เลวร้ายอย่างไรก็ตามใจมันเถิด,  แต่ผลในแง่ดีก็มีอยู่ทางหนึ่ง  คือว่ามันบีบคั้นคนให้แสวงหาความดับทุกข์กันมากขึ้น ; ถ้าคนแสวงหากันมากขึ้น มันต้องพบธรรมะอันแท้จริง  อย่างที่มีอยู่ในพุทธศาสนานี้เป็นแน่นอน.  เราขออย่างเดียวแต่เพียงว่าให้คนที่เขาเบื่อสงคราม เบื่อความเลวร้ายของสงคราม เบื่อผลอันทนทุกข์ทรมานของสงคราม,  แล้วหันมาหาสิ่งที่เป็นที่พึ่งได้ เขาจะต้องมาพบสิ่งนี้ เดพราะว่าสิ่งอื่นมันไม่มี.  ดังนั้นเราก็จึงมีความหวังขึ้นมาบ้าง มีความพอใจเพิ่มขึ้น เมื่อได้ทราบว่ามันมี, มีบุคคลชนิดนี้, ถ้ามันมีบุคคลชนิดนี้แล้ว  มันก็เป็นผลดี, แล้วสังคมศาสตร์ในโลกนี้มันก็จะเปลี่ยนแปลง.
อาตมาพูดอย่างฝันๆ ฝันอย่างที่เรียกว่า สร้างวิมานในอากาศเอาเองว่า  ถ้าเมื่อไรพวกศาสตราจารย์ทั้งหลาย ในมหาวิทยาลัยใหญ่ๆของโลก ทั่วไปทั้งโลก พวกศาสตราจารย์เหล่านั้นเขามองเห็นข้อนี้ เขารู้ข้อนี้ เขาช่วยกันตั้งระบบการศึกษาใหม่ ให้ประเทศหรือรัฐบาลของเขาปรับปรุงการศึกษาใหม่ หันมาในทางที่จะศึกษาธรรมะอันเป็นกฏธรรมชาติ  เพื่อจะดับทุกข์ได้จริงกันแล้ว มันจะเร็วขึ้นอีกมาก ; เพราะว่ามหาประเทศเหล่านั้นเขาเป็นผู้นำ นำอยู่ทุกอย่าง.  ถ้าเขาเกิดนำในทางสังคมศาสตร์ที่ถูกต้องขึ้นมาแล้ว โลกมันก็จะต้องเปลี่ยน ขึ้นศักราชใหม่, เป็นโลกที่หวังได้ว่าจะมีสันติสุขหรือสันติภาพอันถาวร.

          เอาละ, ขอร้องให้พวกเราทั้งหลายทุกคนที่ได้ทราบอย่างนี้ หรือได้มองเห็นอย่างนี้ ก็ช่วยกันต่อไป ร่วมมือกันในการที่จะทำให้เกิดฟ้าสางทางสัใคมศาสตร์.  อย่ามัวหลับหูหลับตา เรียนศาสตร์ที่มันไม่อาจจะช่วยได้ โดยเฉพาะไสยศาสตร์นั้นอีกเลย, จงตื่นขึ้นลืมหูลืมตา แม้ในเวลาดึกในราตรีที่ปราศจากดาว, ลุกขึ้นจุดตะเกียงกันเถิด, จุดตะเกียงกันขึ้นมาสว่างไสวทั่วไปทั้งโลก, นี่สังคมศาสตร์จะมีอาการฟ้าสาง ที่จะช่วยโลกได้จริง.

          นี่หมดเวลาแล้ว พูดเพียง 2 ข้อเท่านั้นเวลาหมดแล้ว  อาตมาต้องขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ แล้วก็จะได้พูดต่อไป ในเรื่องที่ยังค้างอยู่ในวันหลัง.  ขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้, เป็นโอกาสให้พระคุณเจ้า จะได้สวดบทธณรมะเป็นคณสาธยาย ส่งเสริมกำลังใจในการปฏิบัติธรรมะสืบไป.




 (มีต่อ ๒)ฟ้าสางทางปรมัตถ์, อภิธรรม อุบาสก, บรรพชิต...ขอขอบคุณ "ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม ผู้จัดพิมพ์หนังสือชุดลอยปทุม ในวาระ ๑๑0 ปีชาตกาล พ.ศ.๒๕๕๙ - พระธรรมโกศาจารย์(พุทธทาสภิกขุ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น