ฟ้าสางทางฝ่ายบรรพชิต.
ฟ้าสางระหว่าง 50 ปีที่มีสวนโมกข์
วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม 2526
ท่านสาธุชน
ผู้สนใจธรรม ทั้งหลาย,
การบรรยายเป็นครั้งที่ 7 ประจำวันเสาร์
ภาคอาสาฬหบูชาในวันนี้
อาตมาก็ยังคงกล่าวเรื่องฟ้าสางในทิศทางต่างๆต่อไปตามเดิม. ต้องขออภัยที่ว่า
จะต้องมีการบรรยายชุดนี้เรื่อยๆไปจนจบ, ยังไม่อาจจะเปลี่ยนเรื่อง
แม้ว่าจะมีผู้มาใหม่
หรือผู้ที่ไม่เคยฟังเรื่องนี้.
(ปรารภ,
ทบทวน)
เรื่องฟ้าสาง นี้เป็นความมุ่งหมายทั้งหมด คือต้องการให้สิ่งต่างๆมันสางขึ้นไปในทางที่ดี. เรามีความมืดมนท์หรือความหยุดชะงัก ไม่สำเร็จประโยชน์อยู่หลายๆอย่างหรือเกือบจะทุกอย่าง
เพราะว่าทุกอย่างนั้นสามารถจะทำให้ดีกว่านี้ได้
นั่นแหละจึงต้องนึกถึงเรื่องฟ้าสางของทุกๆอย่าง. อาตมาก็เลยถือโอกาสว่าบีรรยายกันเสียให้หมด. ในโอกาสที่เรียกว่า “สวนโมกข์ครบรอบ 50 ปี” ครั้งที่แล้วมา
พูดเรื่องฟ้าสางทางอุบาสกอุบาสิกาคือฆราวาส ในวันนี้จะพูดถึง ฟ้าสางทางฝ่ายบรรพชิต.
(เริ่มบรรยายครั้งนี้)
ข้อแรกนั้นจะต้องนึกถึงความหมายของสองคำนี้เป็นสำคัญ. อย่าเอาลักษณะภายนอกเป็นหลัก ; เช่นคำว่า เพศ มีคำว่า เพศบรรพชิต หรือ เพศคฤหัสถ์ ; อย่างนี้ อาจจะถือเอาความหมายชนิดที่ตรงกันข้ามเกินไปก็ได้
; เพศบรรพชิตอยู่ในป่า, เพศคฤหัสถ์อยู่ที่บ้าน,
ที่จริงมันก็มีความสำคัญอยู่ที่นั่นแหละ
แต่ว่าต้องถือเอาความหมายให้พอดี.
พุทธสาวกมีสองพวก.
สาวกของพระพุทธเจ้า นี้แบ่งออกเป็น สองพวก คือพวกที่อยู่บ้านเรือน
เรียกว่า อาคาริกสาวก, แล้วพวกที่ไม่มีบ้านเรือน ก็เรียกว่า อนาคาริกสาวก. แต่แล้วดูให้ดีว่า ทั้งสองพวกนี้จะไปไหน?
ต้องการอะไร? ถ้ามันถูกต้องตามความหมายของสาวก ก็เรียกว่า มุ่งหมายจะไปนิพพาน เป็นที่สุด,
จะบรรลุนิพพานเป็นที่สุดด้วยกันทั้งนั้น.
อย่าเข้าใจไปว่ามันเดินคนละทาง อย่างที่ว่าหันหลังให้กัน ; พวกหนึ่งเดินไปทางนี้, แล้วพวกหนึ่งก็หันหลังให้ เดินไปอีกทางหนึ่ง,
อย่างนั้นมันผิดหมด.
จะต้องมองให้เห็นภาพว่า ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์มุ่งเดินไปทางเดียวกัน
พวกที่ยังละจากบ้านเรือนไม่ได้ ยังต้องอยู่กับบ้านเรือน
นี้ก็มีความจำเป็นที่จะต้องประพฤติปฏิบัติอยู่ที่บ้านเรือน
เพื่อความมุ่งหมายอย่างเดียวกันกับบรรพชิต ที่ว่าเพื่อการบรรลุถึงนิพพาน.
พวกบรรพชิตที่ยังไม่ต้องการจะบรรลุนิพพานก็มี
เพื่ออยู่อย่างมีความทุกข์น้อยตามที่จะเป็นไปได้.
ฆราวาสยังไม่ต้องการจะบรรลุถึงนิพพานก็มี ; แต่จะอยู่อย่างความเป็นผู้มีทุกข์น้อย,
มีความทุกข์น้อย, อย่างนี้ก็มี.
ใจความสำคัญมันจึงไปอยู่ตรงที่ว่า
ไม่มีความทุกข์หรือมีความทุกข์แต่น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้.
บางคนเข้าใจผิดเอามากๆถึงกับว่าตรงข้าม.
แล้วพวกที่ยังต้องอยู่ที่บ้านเรือนนั้น ก็ทอดอาลัยเหมือนกับว่าตายอยาก
คิดว่าไม่ไหว ไปไม่ได้ ทำไม่ได้ มันก้เลยทำไม่ได้เอาจริงๆ, เมื่อคิดว่าทำไม่ได้, เมื่อจิตมันคิดว่าทำไม่ได้
มันก็ทำไม่ได้จริงๆเหมือนกัน ;
ฉะนั้นอย่าได้ปล่อยให้ความคิดชนิดนี้เข้ามา.
ความหมายของคำว่าบรรพชิต
สำหรับคำว่า “บรรพชิต” นี้ มีความหมายที่สำคัญ
อยู่เพียงว่า เว้นหมด ที่มันควรจะเว้น แล้วก็ถึงให้หมดเท่าที่มันควรจะถึงได้
; ฉะนั้นอะไรๆที่พวกที่อยู่ที่บ้านหรือที่วัด ก็ตามเถอะ จะเว้นได้ก็เว้นให้หมด
ทำให้ถึงได้ ก็ถึงให้หมด จึงจะเรียกว่าบรรพชิต, ไม่ได้เอาเรื่องบ้านหรือเรื่องวัดเป็นหลัก.
ไปคิดดูเอาเองว่า
อะไรเราจะเว้นได้กี่อย่าง? เกี่ยวกับ ศีล ก็ดี เกี่ยวกับ มารยาท
ก็ดี เกี่ยวกับ โคจร ที่เที่ยวไปเที่ยวมา ก็ดี นี่อะไรที่จะเว้นได้ก็เว้นเสียให้หมด,
ที่จะถึงได้ กี่อย่าง ก็ถึงเสียให้หมด ว่าจะปฏิบัติอะไรได้บ้าง ก็ปฏิบัติเสียให้หมด
ไม่เห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย. เรื่องที่ควรจะละก็ละ
ไม่เห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย, เรื่องที่จะต้องถึงให้ได้
ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย, มันจะเล็กน้อยเท่าไร ก็ถือว่ามีความสำคัญมาก
ที่ละก็ต้องละ ที่จะถึงก็ต้องถึง.
คำว่า
“บรรพชิต” มีความหมายได้เป็นสองฝ่าย
คำคำนี้เราจะ แปลว่า “เว้น” ก็”ด้, แปลว่า “ถึง” ก็ได้. เมื่ออยู่ที่บ้าน ถ้าเว้นทุกอย่างที่ควรเว้น
และพยายามให้ ถึงทุกอย่างที่ควรถึง มันก็เป็นบรรพชิตอยู่ที่บ้าน. นี่ฟังแล้วแปลกหูว่าเป็นบรรพชิตอยู่ที่บ้าน
; บางคนก็จะไม่เชื่อ, แล้วก็หาว่าว่าเอาเอง. จะว่าเอาเองหรือไม่ว่าเอาเอง ก็ดูที่คำคำนั้น
เป็นบรรพชิตอยู่ที่บ้าน มันแปลกหู แต่ถ้าเนื้อแท้ของเรื่อง
ใจความของเรื่องมันอยู่อย่างนี้. ลองเว้นที่ควรเว้นให้หมด
และถึงที่ควรลุถึงให้หมด มันก็เป็นบรรพชิต ; แล้วมันก็อยู่ที่บ้านก็ได้ตามความสะดวก.
เพราะเป็นผู้ที่รู้กันอยู่แล้วว่า พระโสดาบัน
พระสกิทาคามี พระอนาคามี สามพวกนี้ อยู่ที่บ้านก็ได้ ; แล้วจะไม่จัดให้เป็นบรรพชิตได้อย่างไร
เพราะว่าเป็นสมณะโดยสมบูรณ์แล้วด้วยซ้ำไป.
อย่าแยกออกจากกัน ให้มากเกินความจริง,
อย่าแยกวัดออกจากบ้าน ให้มันมากเกินความจริง, อย่าแยกฆราวาสออกจากพระ
ให้มันมากเกินความจริง. ถ้าเราทำอย่างพระอยู่ที่บ้าน
มันก็เป็นพระที่บ้าน. ถ้าเป็นฆราวาสปฏิบัติที่ดีที่สุดโดยความหมายนี้
มันก็เป็นพระอยู่ที่บ้าน.
อย่างนี้จะเรียกว่าฟ้าสางได้หรือไม่? ถ้าแต่ก่อนไม่เคยคิดอย่างนี้
เดี๋ยวนี้มีความคิดอย่างนี้ มันก็น่าจะถือว่าเป็นฟ้าสาง ลืมหูลืมตามากกว่าเดิม.
บรรพชิตโดยภาษาคนก็อย่างหนึ่ง,
บรรพชิตโดยภาษาธรรม ก็อย่างหนึ่ง. บรรพชิตโดยภาษาคนก็สำหรับเด็กๆเห็นพระแดงๆมา
ก็สาธุ ยกมือไหว้ ;
นั้นมันเอาข้างนอกเป็นหลัก ตามประสาเด็กๆ,
ประสาคนที่ไม่รู้ว่าบรรพชิตนั้นมีหัวใจอยู่ที่ไหน. นี่บรรพชิตอย่างนี้เป็นบรรพชิตในภาษาคน.
ถ้ามาศึกษารู้ว่า บรรพชิต นั้น
เว้นสิ่งที่ควรเว้น แล้วก็ถึงสิ่งที่ควรถึง มันอยู่ที่หัวใจ
ไม่ได้อยู่ที่ร่างกายข้างนอก ; มุ่งหมายความเป็นบรรพชิตที่ตรงนั้น
; อย่างนี้ก็เรียกว่า บรรพชิตในภาษาธรรม.
เรื่องภาษาคนภาษาธรรมนี้แหละมีประโยชน์มาก
ขอให้ช่วยกำหนดจดจำไว้ให้ดี เอาไว้ใช้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุดในทุกๆเรื่องซึ่งจะมีมาข้างหน้า. ภาษาคน ภาษาธรรม อันหนึ่งมองข้างนอก,
อันหนึ่งมองข้างใน, อันหนึ่งมองที่ชื่อ หรือ คำ,
อันหนึ่งมองที่ความหมายอันลึกซึ้ง.
ความมุ่งหมายของบรรพชิตภาษาธรรม.
ทีนี้ก็จะน่าพิจารณาให้ละเอียดไปถึงว่า ความมุ่งหมายหรือความหมายของบรรพชิต มทันรอยู่ที่ไหน? บรรพชิตเว้นที่ควรเว้น
แล้วก็ทำที่ควรทำ, แล้วก็ไปทที่ควรไปนี่ เพื่อไปสู่สิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้
ควรจะถึง, เขาเรียกกันว่า จุดหมายปลายทางหรืออะไรทำนองนี้. ปลายทางอยู่ที่ไหนก็ไปที่นั่น.
สำหรับ พุทธบริษัท
ปลายทางมันก็อยู่ที่พระนิพพาน คือความหลุดพ้น ; จะเป็นฆราวาสที่บ้านเรือนหรือเป็นบรรพชิตอยู่ที่วัดที่ป่า
ล้วนแต่มีจุดหมายปลายทางเดียวกัน. ทุกคนต้องพยายามที่ให้เป็นการเดินทาง,
ให้ชีวิตนี้เป็นการเดินทาง คือ
ดีขึ้นๆดีขึ้นๆ, แล้วก็ไปในทิศทางเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่อยู่บ้านเรือน หรือว่าผู้ที่ไม่มีบ้านเรือน.
บรรพชิตสมัยพุทธกาลไม่อยู่อย่างคหบดี
ทีนี้
จะต้องพูดกันตรงๆนิดหน่อย
อย่าหาว่ากระทบกระเทียบ :
เพราะบรรพชิตสมัยนี้ จะกลายเป็นอยู่บ้านอยู่เรือนไปเสียแล้วก็มี,
เพราะว่าวัดวาอารมกุฏิวิหารบางแห่ง
มันคล้ายกับบ้านเรือนของเศรษฐีคฤหบดีไปเสียก็มี, ไม่เป็นอย่างสมัยพุทธกาล.
ครั้งพุทธกาลจะไม่มีภิกษุองค์ใดองค์หนึ่ง ที่อาจจะมีกุฏิวิหารอยู่อย่างกับบ้านของคฤหบดี ; อยู่กระท่อมดินเล็กๆนั่นน่ะวิเศษสุดแล้ว เป็นเรื่องส่วนตัว,
โดยมากก็จะอยู่ที่รวมๆกัน เรียกว่าวิหาร คือโรงใหญ่ๆหลังคาเตี้ยๆมุดเข้าไป,
ตั้งเตียง เตียงทำด้วยไม้เป็นแถวไป ก็อยู่อย่างนั้น ชั้นธรรมดา
เหมือนกับว่าอยู่โรงพยาบาลชั้นอนาถา ไปนอนเตียงเป็นตับไป,
ถ้าชั้นพิเศษก็ไปอยู่ห้องคนเดียวพิเศษ.
แต่ครั้งพุทธกาล ชั้นพิเศษก็กุฏิดินเล็กๆ เพราะทำใหญ่เกินกว่านั้นไม่ได้ มันผิดวินัย,
แล้วจะมีอะไรอย่างที่มีอยู่เด่ยวนี้ไม่ได้ มันผิดวินัย. นั่นแหละคำว่า บ้าน-เรือน หรือคำว่า ไม่มีบ้านเรือน นี้มันผิดมันเปลี่ยนแปลงไปจนผิดกับสภาพเดิม. ขอให้นึกถึงสภาพเดิม
แล้วก็จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ดี.
ทีนี้
บรรพชิตไม่มีบ้านเรือน
มันใช้ได้สำหรับบรรพชิตสมัยหนึ่งยุคหนึ่งในสถานการณ์อย่างหนึ่ง
เดี๋ยวนี้เรียกชื่อว่าบรรพชิต
แต้ไม่อยู่ในฐานะที่ไม่มีบ้านเรือน,
กลับจะมีบ้านเรือนยิ่งกว่าบ้านเรือน.
ถ้าไปเทียบกับคนยากจนบางคน, ชาวไร่ชาวนาอยู่กระท่อมอยู่บ้านอย่างที่เรียกว่าของคนจน
มันก็จะรู้สึกขัดแย้งกันมากทีเดียวสำหรับจะพูดว่า อยู่บ้านเรือนหรือไม่อยู่บ้านเรือน.
ทีนี้ถ้าว่า อยู่ที่วัด เอาละ อยู่ที่วัดหรืออยู่ในป่า
ก็ตาม ถ้าไม่เว้นที่ควรจะเว้น แล้วไม่ลุถึงที่ควรจะลุถึง จะเป็นอย่างไร? จะแต่งตัวอย่างบรรพชิต กินอยู่อย่างบรรพชิต
อะไรๆอย่างบรรพชิต อยู่ในป่าด้วย แล้วก็ไม่เว้นสิ่งที่ควรเว้น แล้วก็ไม่ลุสิ่งที่ควรลุถึง จะเป็นอย่างไร? จะเป็นบรรพชิตได้ที่ตรงไหน?
บรรพชิตไปสู่นิพพานสะดวกกว่าฆราวาส.
ทีนี้
จะบอกความหมายสำคัญว่า
ความหมายที่แท้จริงของบรรพชิต กับ ฆราวาส นั้น มันต่างกันอยู่ตรงที่ว่าออกไปเป็นบรรพชิต เพื่อได้รับความสะดวกในการที่จะบรรลุนิพพาน,
ในการที่จะเดิน, เดินไปทางไกลไปสู่นิพพานอยู่อย่างบรรพชิตสะดวกกว่า.
เปรียบเมียบให้เห็นง่าย
ก็เหมือนว่าคนจะเดินทางไกลสองคน, คนหนึ่งมันแบกหาม หิ้วของนุงนังๆไปหมด,
แล้ว อีกคนหนึ่งมันตัวเปล่า ไม่ได้ถือแบกอะไร,
แล้วสองคนนี้คนไหนมันจะเดินสะดวก?
นั่นแหละคือความต่างกัน.
ฉะนั้นการที่จะออกมาเป็นบรรพชิต ก็เพื่อออกมาสู่ความสะดวก
ที่จะเดินทางไกลไปนิพพาน.
อ่านดูสูตรหรือทุกเรื่อง
ในพระบาลี ที่เกี่ยวกับ คนออกบวช นั้น จะพบว่า
เขาได้ฟังธรรมะที่พระพุทธเจ้าแสดงแล้ว,
เข้าใจชัดเจนว่าอย่างนั้นๆแล้วดับทุกข์ได้จริง.
นี่เขาเข้าใจชัดเจน แล้วเขาก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า
การที่จะปฏิบัติอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้ฟังนั้น ในเพศฆราวาสทำยาก, ใช้คำว่า
“จะประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยดี
เหมือนสังข์ที่ขัดดีแล้ว ในเพศฆราวาสนั้นทำไม่ได้. ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี ก็ทำไม่ได้หรือทำได้ยาก. เมื่อเราต้องการ เราก็ละเสียจากฆราวาส จึงออกมาบวชออกจากเรือน,
บวชเป็นผู้ไม่มีเรือน เพื่อว่าจะประพฤติพรหมจรรย์นั้น ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยดี,
เหมือนหอยสังข์ที่เขาขัดแล้วดี ได้โดยง่าย นี้จึงบวช” อย่างนี้ทั้งนั้น. ทุกสูตรและทุกเรื่องของการที่ออกบวชจะเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น. มันก็เหลืออยู่นิดเดียวที่ว่า
เพื่อความสะดวกในการที่จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยดี เหมือนสังข์ที่ขัดแล้ว. ดังนั้นมันอยู่ที่นั่น อยู่ที่สะดวกกว่า พูดได้ว่าสะดวกกว่า.
ฉะนั้นอย่าเอามาเป็นคู่ปรปักษ์ขนาดตรงกันข้าม
ถ้าว่า ออกบวชไม่ได้ มัน ก็ไปอย่างคนเดินช้าๆ แบกของหนักพะรุงพะรัง ; เหมือนกับแบกบ้านแบกเรือนไปด้วยอย่างนี้มันก็ไปช้า. ฉะนั้น ถ้าเราไม่มีภาระอย่างนั้น
เราก็ไปเร็ว อย่าถือว่าจะไปไม่ได้เสียเลย.
ทั้งฆราวาสและบรรพชิตประพฤติพรหมจรรย์ได้.
ทีนี้ถ้าว่าเดี๋ยวนี้ คนที่บ้านที่เรือนบางคน เป็นพ่อบ้านแม่เรือนก็ได้ที่อิสระ,
เป็นผู้อิสระแก่บ้านแก่เรือน ;
เขาอาจจจัดบ้านเรือนของเขา
ให้มีความเป็นอยู่ที่สะดวกแก่เขาในการที่จะประพฤติพรหมจรรย์
ให้คล้ายกับพวกที่อยู่ที่วัดก็ได้ถ้าเราเป็นคนมีทรัพย์มีกำลัง เป็นผู้อิสระ จัดบ้านจัดเรือนในบ้านในเรือนนั้นให้สะดวกแก่การประพฤติพรหมจรรย์ให้ดีกว่าที่วัดบางวัด
ก็อาจจะได้.
นี่พูดอย่างนี้มันจะรุนแรงไป
แต่ว่ามันเป็นความจริง จึงขอให้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้มันเกิดฟ้าสาง
คือเปลี่ยนไปในทางที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบรรพชิต.
มันมีปัจจัยของความสำเร็จ และความไม่สำเร็จ ไม่ว่าจะศึกษาอะไร
จะปฏิบัติอะไร ทำงานอะไร มองดูให้ดี มันมีปัจจัยแห่งความสำเร็จ และปัจจัยแห่งความไม่สำเร็จอยู่ด้วยกัน ทั้งนั้น, แล้วก็ขอให้มุ่งหาปัจจัย
แห่งความสำเร็จเถอะ.
เมื่อมันมีอะไรกี่อย่างๆกิทำไป เท่าที่จะทำได้ มันก็จะได้รับความสำเร็จ.
บางทีการบวชนี้ เป็นเพียงการกระทำชั่วคราว เหมือนที่สมัยนี้
ที่นิยมกันสมัยนี้
ออกมาบวชเพื่อการศึกษาทดลอง จนถึงที่สุด แล้วก็กลับไปเป็นฆราวาส
อย่างนี้ก็มี ;
แม้ว่าจะไม่ตรงตามความประสงค์เดิม.
แต่โบราณนั้นไม่มีแหละที่จะบวชแล้วกลับไปเป็นฆราวาส, เอาความรู้ไปใช้นั้น
ไม่มี ไม่มีระเบียบ ไม่มีประเพณี.
แต่เดี๋ยวนี้มีก็ยังนับว่ามีส่วนดีแหละ, ดีกว่าไม่ได้บวช,
เพราะจะได้รู้เรื่องราวว่าบวชนั้นมีอะไรบ้าง, ทำอย่างไรบ้าง,
แล้วไปครองเรือนอยู่ที่บ้านที่เรือนให้มันมีความหมายของคำว่า “บวช” ได้มากขึ้น
ก็ได้ประโยชน์อยู่เหมือนกัน.
เราจึงมองดูกันว่า
เป็นบรรพชิตกันที่ไหน? เป็นบรรพชิตอยู่ที่ไหน? เป็นบรรพชิตที่บ้านก็ได้ อย่างที่พูดมาแล้ว,
เป็นบรรพชิตในป่า ซึ่งมิใช่บ้านก็ได้. แต่ถ้าดีที่สุด
ถูกต้องที่สุด ต้องพูดวิ่เป็นบรรพชิตอยู่ในหัวใจ. ความเป็นบรรพชิตนั้นอย่าเอาไว้ที่บ้าน,
อย่าเอาไว้ที่ป่าเลย, เอาไว้ในหัวใจซิ.
หัวใจมันอยู่ที่ไหนก็รู้กันอยู่แล้ว ให้มีความเป็นบรรพชิตอยู่ในหัวใจ. ถ้าอย่างนี้แล้วก็ทำบ้านให้เป็นวัดได้, มีวัดอยู่ที่บ้านได้โดยความหมายภายใน.
เพราะเป็นทาสวัตถุ
ความเป็นบรรพชิตจึงมืดมัว.
เดี๋ยวเรามันประสบความลำบากตรงที่ว่า
โลกมันเปลี่ยนมากเกินไป, อะไรๆมันเปลี่ยนมากเกินไป จนสับสนกันไปหมด. ความเจริญแผนใหม่ นั้นมันกลายเป็นว่ายุ่ง,
ยิ่งยุ่งยิ่งดี ยิ่งมีเรื่องมากยิ่งดี ยิ่งมีภาระมากยิ่งดี, มันก็เลย ขัดขวางกันบ้าง เป็นธรรมดากับการที่จะถือหลักว่าจะบรรลุความสงบ,
จะพ้นจากความรบกวนแห่งกิเลส ; เพราะเราบูชาวัตถุ. บูชาวัตถุนั้นคือการบูชาความสนุกสนาน, เอร็ดอร่อยทางวัตถุ
จนเป็นทาสของวัตถุไปหมดแล้ว. ที่บวชไม่ได้ หรือบวชไม่จริง บวชแล้วก็ไม่จริงนี้ เพราะว่าเป็นทางของวัตถุ.
ระวังว่า ความเป็นทาสของวัตถุนี้เป็นข้าศึกของพรหมจรรย์
; ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้าน หรืออยู่ที่วัด
อยู่ที่ไหนก็ตาม เป็นทาสวัตถุได้ทั้งนั้นแหละ.
ถ้าที่ไหนมันมีปัจจัยแห่งความสุขทางวัตถุมาก
แล้วที่นั่นก็เป็นทาสของวัตถุมาก ไม่ว่าที่บ้าน ไม่ว่าที่วัด.
เดี๋ยวนี้คนเคยชินกับความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางวัตถุ
จึงสั่นหัวที่จะมาประพฤติพรหมจรรย์เอาชนะกิเลส มันก็เลยหาคนที่จะบวชจริงยาก คือคนที่สมัครบวช
ประพฤติพรหมจรรย์นั้นก็ยิ่งหายาก.
บวชแล้วก็ยังไม่ประพฤติให้ถูกต้องตามกฏเกณฑ์อันนั้น
ก็หาคนบวชจริงๆมันก็ยาก.
นี่แหละความเป็นบรรพชิตมันก็มืดมัวลง มืดมัวลง มันควรจะรู้จักสางกันเสียที.
ถ้าเรายังนิยมความรู้สึกสงบ ไม่วุ่นวาย
พอใจความเรียบง่าย อยู่อย่างเรียบง่าย ไม่มีความวุ่นวาย นั้นแหละ
จะง่ายในการที่จะเป็นบรรพชิต, มีการดำรงชีวิตไปในทางที่จะได้เปรียบแก่กิเลส. ฟังยากหน่อยนะ : มีการดำรงชีวิตที่ได้เปรียบฝ่ายกิเลส, ทั้งคนอยู่ที่บ้านทั้งคนอยู่ที่วัด
มีการดำรงชีวิตชนิดที่ได้เปรียบแก่ฝ่ายกิเลส.
ฝ่ายพญามารได้เปรียบ ฝ่ายที่จะเป็นพระอะไรนี้
กลับยากลำบากหรือเสียเปรียบ ; เพราะว่าจิตของเขานั้นมันไปบูชาวัตถุเสียแล้ว. จิตของประชาชนไปบูชาวัตถุเสียแล้ว มันก็ได้เปรียบแก่ฝ่ายกิเลสหรือฝ่ายพญามารไปตั้งแต่ต้น.
นี่จะเป็นเหตุให้เปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
จนที่วัดมันก็กลายเป็นที่รวบรวมสมบัติพัสถาน
ภาระอะไรต่างๆยิ่งไปกว่าที่บ้าน.
ถ้าให้พูดตรงๆก็พูดว่า บางคนที่อยู่ที่บ้าน
กลับมีความสงบมากกว่าบางคนที่อยู่ที่วัด
ที่เป็นบรรพชิต. บรรพชิตบางคนมีภาระอย่างชาวบ้านมากเกินไป
ทั้งที่ชาวบ้านบางคนอยู่ที่บ้าน เขาก็มีภาระอย่างชาวบ้านน้อยกว่า.
นี่แหละ ความมืดของบรรพชิต
ซึ่งมันควรจะสาง ควรจะสาง ฉะนั้นจึงขอพูดถึงอาการที่จะสางกันได้อย่างไร.
สางได้ด้วย
ศีล สมาธิ ปัญญา.
ขอให้ทุกคนเตรียมพร้อมที่จะเดินทาง. บรรพชิตอยู่บ้านหรือบรรพชิตอยู่วัด นี้กลายเป็นคำที่ตลกว่าบรรพชิตอยู่บ้าน
หรือบรรพชิตอยู่วัดก็ตาม เตรียมตัวเดินทาง
ทั้งพวกที่อยู่ที่บ้านและทั้งพวกที่อยู่ที่วัด ; ใช้คำว่าพุทธบริษัทดีกว่า ทั้งพวกที่อยู่ที่บ้าน
และทั้งพวกที่อยู่ที่วัดล้วนแต่เป็นบรรพชิต. ขอให้เตรียมพร้อมเพื่อการเดินทาง,
ไม่สร้างอุปสรรคที่จะขวางทาง, มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา สุดฝีมือด้วยกันทั้งนั้น.
มาถือหลักอย่างนี้ว่า อยูที่บ้านก็ตาม,
อยู่ที่วัดก็ตาม มันจะทำได้มากเท่าไร ก็ทำให้สุดความสามารถเท่านั้น
ในการที่จะมีศีลเต็มที่ของฆราวาส, มีสมาธิ อย่างเต็มที่ของฆราวาส, มีสมาธิ
อย่างเต็มที่ของฆราวาส มีปัญญาอย่างเต็มที่ของฆราวาส,
ไม่หลงในอารมณ์ที่เป็นที่ตั้งของกิเลส ที่เป็นการหน่วงเหนี่ยวให้เนิ่นช้า คือสิ่งที่ให้เกิดสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางตา
หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.
ฆราวาสแม้จะมีศีลไม่เท่าพระ แต่ถ้าฆราวาสถือศีลฆราวาสเต็มที่
ก็มีผลเท่ากัน. มันจะมีผลเท่ากันสำหรับความเป็นฆราวาส
ที่จะเดินไปอย่างช้าๆ.
บรรพชิตมีศีลมากกว่า ก็มีผลเท่ากันที่จะเดินไปอย่างเร็วๆ
; เพราะว่ามันแยกกันแล้วว่า
จะเดินช้าหรือจะเดินเร็ว.
สมาธินั้นก็มีกำลังใจเท่ากัน มุ่งมั่นต่อปลายทาง
มีคำบัญญัติที่ดีที่สุดอยู่คำหนึ่ง คือคำบัญญัติที่ว่าสมาธิคืออะไร? สมาธิเอกัคคตาจิต
ที่มีนิพพานเป็นอารมณ์. ที่จริงคำนี้กด็เคยพูดให้ฟังหลายหนแล้ว กล้วว่าจะไม่ค่อยสนใจ. โดยส่วนใหญ่ให้ถือว่า เอกัคคตาจิตคือจิตที่มีอารมณ์เดียว,
มีนริพพานเป็นอารมณ์ คือนิพพานเป็นเพียงอารมณ์เดียวของเอกัคคตาจิตนั้น
; นั้นแหละคือสมาธิ. อยู่บ้านก็ได้อยู่วัดก็ได้
ขอให้มีจิตชนิดที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์สมาธินั้นสมบูรณ์ ; เมื่อข้างภายในจิตเป็นอย่างไรแล้วข้างนอกมันจะหมุนตามไปเอง.
ให้ทุกคนเลย อยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่วัดก็ตาม มีปณิธานที่ว่ามีพระนิพพานเป็นอารมณ์ มุ่งพระนิพพานกันทั้งนั้น ; ยังอยู่ใกล้หรืออยู่ไกล,
ไม่ว่าเป็นผู้ครองเรือนหรืออยู่อย่างไม่มีเรือน
ก็จงมุ่งพระนิพพานเป็นอารมณ์ด้วยกัน.
นั่นแหละคือสมาธิที่มีความหมายเต็มที่.
ทีนี้เรื่องปัญญา มาสุดอยู่ง่ายๆตรงที่ว่า
ทุกอย่างมันเป็นเช่นนั้นเอง
ตามกฏของอิทัปปัจจยตา. อย่าไปมัวทะเลาะกับมัน,
ทะเลาะกับมันก็คือว่า
จะเอาให้ได้อย่างที่กูต้องการ จะเอาให้ได้อย่างที่กูต้องการ แล้วคนนั้นมันจะเจ็บปวด มันจะลงนั่งน้ำตานองหน้าอยู่เรื่อยๆไปหละ. เพราะไม่รู้ว่าทุกอย่างมันเป็นเช่นนั้นเอง ตามกฏของอิทัปปัจจยตา.
แม้จะเป็นฆราวาสก็ย่าต้องร้องไห้แหละเป็นการดี ในเมื่อสิ่งต่างๆมันไม่เป็นไปตามที่ตัวต้องการ ; เพราะสิ่งต่างๆมันจะต้องเป็นไปตามกฏอิทัปปัจจยตา. เราจะเป็นอะไร ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์. จะพูดให้ลืมยากสักหน่อยหนึ่งว่า เกิดเป็นคนทั้งที อย่าเป็นทุกข์ให้ละอายแมว ; เพราะแมวมันไม่เป็นทุกข์
นี่แล้วคนเป็นทุกข์จะดีกว่าแมวได้อย่างไร, ถ้าอนุญาตให้พูดแรงกว่านั้น
ก็ต้องพูดว่าอย่าให้ละอายหมาซิ ;
เพราะว่าหมามันก็ไม่เป็นทุกข์เหมือนกัน.
เราเลี้ยงไว้หลายตัว ไว้ศึกษา ไว้เป็นครู ดูอยู่ทุกวัน
ทุกอิริยาบถมันไม่ได้เป็นทุกข์
เหมือนชนิดที่ท่านสมภารเป็นทุกข์นี่
ก็เลยว่าเกิดเป็นคนทั้งที อย่าต้องเป็นทุกข์ให้ละอายแมว.
นั้นแหละคือปัญญา ที่มันพอแก่ความหมายทุกอย่าง,
มีความเป็นเช่นนั้นเอง เรียกว่า ตถาตา, ตถาตา เป็นไปตามเหตุปัจจัยของอิทัปปัจจยตา ไปหยินดี ไปรักให้โง่, ไปเกลียดให้โง่,
ไปกลัวให้โง่ ไปอะไรให้มันโง่ทำไมเล่า. ไม่ต้องไปรัก ไปโกรธ ไปเกลียด ไปกลัว
ไปวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์มันซิ,
แล้วมันก็ไม่มีความทุกข์ดอก.
นี่เรียกว่าปัญญา, ปัญญาถึงที่สุดเลย.
ปัญญาในพระพุทธศาสนา
ไม่ใช่ว่าต้องไปทำวิปัสสนาทุกรูปแบบ, ทำอะไรทุกรูปแบบ ถ้าเพียงแต่เห็นว่าสิ่งทั้งปวงเป็นเช่นนั้นเอง จนไม่ไปยินดียินร้ายกับมันแล้ว ก็นั่นแหละปัญญา
มันถึงที่สุดได้เพียงแค่นั้น
มันจะทำวิปัสสนาไปถึงไหน
มันก็ไปจบอยู่ที่ตรงนั้นแหละ, ตรงที่เฉยได้ต่อสิ่งทั้งปวง
ว่าเป็นเช่นนั้นเอง, มันเป็นตถาตา.
ฉะนั้นอยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่วัดมันก็มีปัญญาเดียวกันนี้แหละ,
ไม่ใช่คนละปัญญาเลย.
มันจะเพียงแต่ว่ามากหรือน้อยกว่ากัน
ถ้าอยู่ที่วัดสะดวก ฝึกฝนอยู่มาก
มันก็อาจจะมีมาก มีง่ายมีเร็ว,
อยู่ที่บ้านมันงุ่มง่ามหน่อย
แต่ก็ต้องมีอย่างนี้แหละ
ฉะนั้นอะไรเกิดขึ้น ก็เอาตถตานี่แหละมารับหน้าไว้ก่อน โดยไม่ต้องยินดียินร้าย. ไม่ว่าอะไรที่มันจะเกิดขึ้นในลักษณะไหน จะดีจะช่ว จะกำไรจะขาดทุน จะแพ้ จะชนะ
จะกี่อย่างๆมันก็ต้องตถตาไว้ก่อน, คือตั้งตัวให้ได้ด้วยคำว่า “ตถตา” ตั้งตัวให้คงที่อยู่ได้. อย่าให้เอียง อย่าให้เซ ตั้งตัวไว้ให้มั่นคงได้ด้วยคำว่า
ตถตา-มันเช่นนั้นเอง.
ครั้นตั้งตัวได้อย่างนี้แล้ว ก็ดูต่อไปว่าจะทำอย่างไรต่อไป
ให้มันสมหรือให้มันเท่ากับตถตาในเรื่องนี้. แล้วก็แก้ไขไปซิ, ทำไปซิ, มันก็ต้องประสบความสำเร็จ. นี่เรียกว่าไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องยินดียินร้าย, เป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์ของพระพุทธศาสนา
หรือของพระธรรม.
บรรพชิตต้องรับผิดชอบในการดำรงศาสนา.
เดี๋ยวนี้เราพูดถึงบรรพชิต
เรื่องบรรพชิต, เรื่องฟ้าสางของบรรพชิต.
บรรพชิตยังจะต้องมีความรับผิดชอบแปลกออกไปจากฆราวาส. เมื่ออยู่ในเพศบรรพชิต
บริโภคอาหารของชาวเมืองนี่ ; ถ้าเป็นฆราวาสธรรมดา บริโภคอาหารของตนเอง ความรับผิดชอบ
ในการที่จะต้องปฏิบัติให้สมกับการที่จะบริโภคอาหารของชาวเมือง มันยังมีอีกส่วนหนึ่ง.
ฉะนั้น
พวกบรรพชิตที่ออกจากบ้านจากเรือน
มาอยู่อย่างนี้แล้ว บริโภคอาหารของชาวบ้านชาวเมือง
ต้องนึกถึงข้อที่เขาถวายด้วยศรัทธา
แล้วด้วยความเคารพ. เอาอาหารมาถวายพระนี้ถวายด้วยศรัทธา หวังว่าจะได้มีผลมีอะไรใหญ่โตกว้างขวาง,
แล้วถวายด้วยความเคารพ.
เมื่อคนคนหนึ่งเขาอาละวาด เขาชื่อนายนรินทร์กลึง
เขาด่าพระอย่างนี้ว่า
“เอามาให้ฉันแล้วยังต้องไหว้อีก, เอามาให้ฉันทั้งทีแล้วยังต้องไหว้อีก เขาว่าอย่างนี้ ; แล้วพระเหล่านี้ปฏิบัติไม่สมกับการที่เขาเอามาให้ฉันทั้งที แล้วยังต้องไหว้อีก.
เขาก็โฆษณาเป็นเรื่องครึกโครมมากที่สุดอยู่หลายปี. นี้เขาให้สำนึกในข้อที่ว่า บรรพชิตบริโภคอาหารของชาวเมือง ที่ถวายด้วยศรัทธา แล้วยังไหว้อีก,
แล้วทำไมไม่ทำให้สมกับอาการอย่างนั้นๆเล่า?
นี่แหละ จะต้องร่วมมือกัน,
ผู้ให้และผู้รับร่วมมือกันทำให้เกิดประโยชน์
สำเร็จตามความมุ่งหมายของการมีพรหมจรรย์แห่งพระพุทธศาสนา, ซึ่งพระองค์ตรัสว่า
ธรรมวินัยนี้เพื่อประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่มหาชน ทั้งเทวดาและมนุษย์ จงช่วยรักษาสืบอายุธรรมวินัยนี้ไว้เพื่อประโยชน์แก่มหาชน
ทั้งเทวดาและมนุษย์, แล้วช่วยกันอบรมสั่งสอนจนกระทั่งว่า
มหาชนเหล่านั้นจะบอกกล่าวสั่งสอนกันได้สืบต่อๆไป
ในลำพังมหาชนเหล่านั้น ; หมายความว่า
ให้ชาวบ้านรู้ธรรมะ จนสามารถบอกสอนต่อๆสืบกันไป
โดยไม่ต้องมีบรรพชิตก็ยังได้. ท่านหวังมากถึงขนาดนี้
มันก็เป็นหน้าที่ของบรรพชิต.
บรรพชิตไม่มีบ้านเรือน ไม่ได้ทำนาเอง
ไม่ได้ปรุงอาหารเอง
แต่บริโภคอาหารของชาวบ้าน ในฐานะผู้มีชีวิตอยู่ด้วยของที่ผู้อื่นให้
บรรพชิตก็ต้องรับผิดชอบมากกว่า ในการที่จะทำให้ศาสนาหรือพรหมจรรย์ ยังคงมีอยู่ในโลกนี้.
วันนี้เราก็พูดถึงเรื่องฟ้าสางทางบรรพชิตโดยตรง. ครั้งที่แล้วมา พูดถึงฟ้าสางทางฝ่ายฆราวาส
อุบาสก อุบาสิกา.
เอาไปเปรียเทียบจับคู่กันดู. เอ้า ทีนี้ก็จะพูดถึงเรื่องโดยหัวข้อว่า :
ฟ้าสางทางสมณสารูป คือพูดถึงเรื่องบรรพชิตแล้วก็จะพูดถึงเรื่องบรรพชิตกันไปให้มันหมดฟ้าสางทางสมณสารูป.
ฟ้าสางทางสมณสารูป
บางคนอาจจะไม่เข้าใจคำว่า “สมณสารูป”
คำนี้แปลว่า มีรูปสมควรแก่สมณะ. มีรูปสมควรอก่ความเป็นสมณะ คือ มีกิริยาอาการท่าทางความปรากฏ
สมควรแก่ความเป็นสมณะ ก็เหมือนที่เราหวังหรือเรารู้จักกันอยู่ที่นี้. ถ้าว่าเป็นพระ
จะต้องมีกิริยาท่าทางอาการแสดงออกมาอย่างไร,
กิริยาอาการที่แสดงออกมาสมควรแก่สมณะ.
นั่นแหละเรียกว่าสมณสารูป. เป็นพระต้องมีสมณสารูป
คือ มีกิริยาอาการสมควรแก่ความเป็นสมณะผู้สงบกิเลสได้. สมณะ แปลว่า ผู้สงบ สงบอะไร? สงบสิ่งที่วุ่นวาย คือ กิเลส สงบกิเลสเสียได้
จึงเรียกว่า สมณะ ;
เป็นสมณะก็ต้องมีปรากฏการณ์ภายนอก แสดงว่าเป็นสมณะ.
นี่มันเป็นทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีและเป็นทั้งเรื่องจริงที่มันจะต้องทำให้จริง. เราจึงถือเป็นหลักกันมาว่า พอเห็นรูปร่างหน้าตากิริยาท่าทาง
ก้พอจะบอกได้ว่าคนนี้เป็นพระ, คนนี้เป็นสมณะ ใช้จีวรเหลือง และ ถือบาตร
ถือกลด อะไรเข้าด้วยแล้วก็ดูง่ายเข้าไปอีก.
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ มันอยู่ที่ลักษณะที่แสดงออกมาทางกาย
วาจา ใจ การกระทำทางกาย ก็ดี การพูดจาก็ดี ความคิดนึกก็ดี มีลักษณะสมกับความเป็นสมณะในทุกๆอิริยาบท : เดิน ยืน นั่ง นอน ก็มีอาการแห่งความเป็นสมณะ,
แล้วก็ทั้งในที่ลับทั้งในที่แจ้ง คือทั้งภายนอกและทั้งภายใน
มีลักษณาการแห่งความเป็นสมณะ.
เมื่อกล่าวโดยผลที่ว่าสงบ
ชนิดที่ไม่ทำอันตรายแก่ตนเองและแก่ผู้อื่น.
ถ้าเขาเป็นสมณะจริง มีความสงบรำงับจริง จะไม่มีการทำตนให้เดือดร้อน หรือเป็นทุกข์ แล้วก็ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือเป็นทุกข์ นี่ขยายออกไปถึงสังคม. ส่วนตัวบุคคลนั้น ก็สงบรำงับ
ไม่ทำให้ตนเองให้เดือดร้อนวุ่นวายอยู่ ก็ไม่เป็นสมณะ ก็ไม่มีความเป็นสมณะ. นี่เรียกว่าสมณะในภายใน. นี่ถ้าว่าเป็นออกไปถึงภายนอก
ก็ทำให้ผู้อื่นให้พลอยสงบสุขด้วย, ทำสังคมให้เป็นสุขด้วย.
ตามความมุ่งหมายมาแต่ดึกดำบรรพ์ว่า สมณะนี้เป็นสัญลักษณ์ของความสงบ,
จูงจิตให้คนรู้สึกสงบ ; จึงพูดไว้อย่างกว้างๆที่สุดว่าการได้เห็นสมณะนั้นเป็นของดี,
เพียงแต่ได้เห็นสมณะเท่านั้นแหละเป็นของดี ;
หมายความว่า ถ้าได้เห็นสมณะจริงๆ มันเกิดความรู้สึกถึงในส่วนลึกของจิตใจ
ให้เกิดความสงบ : ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ
เบียดเบียนผู้อื่นให้เราร้อน.
นี่เรียกว่าทำความสงบโดยส่วนสอง ทั้งข้างนอกทั้งข้างใน.
สมณะเป็นคำเก่าใช้มาก่อนพุทธกาล.
พูดถึงคำว่าสมณะ, สมณะ ให้ละเอียดออกไป
ก็ขอให้รู้ว่า คำว่า สมณะ, สมณะนี้เป็นที่พอใจ
เป็นที่พึงประสงค์ ต้องการและเคารพกันมาแล้ว
ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ก่อนพุทธกาล. ก่อนพระพุทธเจ้าเขาก็มีคำว่า
“สมณะ” ใช้อยู่แล้ว เพราะรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าความสงบ
ความสงบนี่มันวิเศษอย่างไร
เขาก็มุ่งหาความสงบ, และบุคคลผู้สงบ.
ฉะนั้น ถ้าเขาได้เห็น ฤษี มุนี คนใดคนหนึ่ง,
พระพุทธเจ้าหรือสาวกของพระพุทธเจ้า, เขาก็เรียกว่าสมณะ, สมณะ, คำว่า “สมณะ” จึงเป็นคำเก่าแก่ที่สุด
อย่างเดียวกับคำว่าอรหันต์ เหมือนกัน.
มันจึงมีมาแล้วในลัทธิอื่นๆกี่ลัทธิก็ตาม โดยจะมุ่งเอาคำว่า
“สมณะ”นี้แหละเป็นประธาน เป็นหลักสำคัญ.
ดังนั้นใน ลัทธิใดๆก็ตาม เขาก็ต้องมีสมณะตามลัทธิของเขา. สมณะอื่นไม่มีในลัทธิอื่น ; หมายความว่า ต่างคนต่างมีสมณะตามความหมายของตนๆแล้ว
แล้วแต่เจ้าลัทธิ เจ้าศาสนาแห่งลัทธิเขาจะบัญญัติกันอย่างไร.
ในพระพุทธศาสนา เราก็มีสมณะ. สมณะที่หนึ่งคือโสดาบัน, สมณะที่สอง คือ
สกิทาคามี, สมณะที่สามคืออนาคามี, สมณะที่สี่ คือ อรหันต์, แล้วก็มีศาสนานี้. สมณะพวกอื่นไม่มีในศาสนาอื่น คือว่าไม่ได้มีสมณะเหมือนกันหรือร่วมกัน. ในพุทธศาสนาเราก้มีสมณะอย่างนี้ ; เพราะว่ามีระเบียบปฏิบัติ คือ อัฏฐคิกมรรค,
อริยมรรคมีองค์แปดประการ เมื่อได้ปฏิบัติแล้วดำเนินแล้วก็ให้เกิดสมณะสี่จำพวกนี้.
ลักษณะของสมณสารูป.
ความหมายของคำว่า อสมณะ สมณะ แปลว่า ผู้สงบ, ไม่เป็นอันตราย ไม่เป็นข้าศึกแก่ผู้ใด. ถ้าเกิดเป็น มีความเป็นข้าศึกแก่ผู้ใด
ก็หมดความเป็นสมณะ ; เพราะว่าถ้ามันเลวร้าย จนถึงกับไปเป็นข้าศึกกับบุคคลภายนอกแล้ว
มันก็มีความเป็นข้าศึกแก่ตัวเองในภายในจิตของตัวเองเต็มที่แล้ว มันกห็หมดความเป็นสมณะ.
มีคำบาลีว่า สมณีธ อรณา
โลเก – สมณะไม่เป็นข้าศึกในโลก สมณีธ อรณา โลเก
สมณะไม่เป็นข้าศึกในโลกนี้ สมณะไม่เป็นข้าศึก ไม่กระทบกระทั่งใคร ในลักษณะที่เป็นอันตรายหรือเป็นข้าศึก
ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา.
เพราะท่านมีจิตใจ ไม่เป็นข้าศึกแก่ผู้ใดเสียแล้วปล่อยไปตามเรื่อง
มันก็ไม่กระทบกระทั่งใคร.
ฉะนั้นจึงไม่มีโอกาสที่ว่าจะแกล้งทำใครให้เดือดร้อน
กระทบกระทั่งเขาโดยเจตนา ; อย่างนี้ก็นับว่าเลวมาก. ตามปกติก็ไม่มีกิเลสที่เป็นเหตุให้กระทบกระทั่งผู้ใดนั่นแหละ
จึงจะเรียกว่าเป็นสมณะ
เพราะมีความสงบทางกาย สงบทางวาจา สงบทางจิต.
แล้วก็ที่ลึกกว่าจิตนั้น
ก็ควรจะมีอีกคำหนึ่งที่เรียกว่าสงบทาง “อุปธิ” สงบทางอุปธิ สติปัญญาทิฏฐิ ความคิดความเห็น. ร่างกายไม่ทำอะไรทางร่างกายที่กระทบผู้อื่น. ทางวาจาก็ไม่พูดกระทบผู้อื่น,
ทางจิตความคิดความนึกก็ไม่กระทบใคร. ทีนี้
สงบทางอุปธิ
ก็ไม่แบกของหนักอะไรไว้ในใจให้ตนเองเดือดร้อน.
อุปธิ
นี้คือ ของหนัก
ที่ยึดถือไว้โดยอุปาทาน มันก็เบียดเบียนบุคคลนั้นแหละ.
บุคคลนั้นเองแหละ มันก็ควรจะสงบระงับไปเสียด้วย, คือว่า
ไม่เพียงแต่จิตสงบเพราะมโนกรรมชั้นต้นๆ มันสงบเพราะหมดกิเลสในชั้นลึกที่เป็นเหตุให้ยึดถือ
โดยความเป็นตัวตน ; จะเรียกว่า สงบแห่งทิฏฐิความคิดเห็น
สงบแห่งสติปัญญาที่มันถุกต้อง.
ความหมายนี้หรือคำอธิบายอย่างนี้มันลึกหน่อย, แต่ช่วยจำเอาไว้ก็แล้วกันว่า
เพียงแต่พูดถึงกาย วาจา ใจ นั้นยังไม่หมด มันยังมีอะไรที่ลึกกว่านั้น
คืออุปธิที่จิตมันยึดถือไว้ตลอดเวลา.
คนที่ไม่ทำทุจริตทางมโนกรรม
คือเว้นจากอภิชฌาพยาบาท
วิหิงสา มิจฉาทิฏฐิแล้ว, แต่ยังมีส่วนลึกที่ยึดถือตัวตนอยู่, ยึดถือความดีความถุกต้องยึดถือในฝ่ายดีอยู่, อันนั้นเป็นอุปธิ : ยึดถือบุญยึดถือกุศลอยู่,
นั้นยังเป็นของหนัก, มันก็เบียดเบียนเพราะมันหนัก, ต้องหมดชั้นอุปธินั้นอีกที มันลึกไปกว่าชั้นมโนกรรม ; บางทีใช้คำว่าทิฏฐิก็ได้, บริสุทธิ์ทางกาย,
บริสุทธิ์ทางวาจา, บริสุทธิ์ทางใจ, แล้วบริสุทธิ์ทางทิฏฐิอีกทีหนึ่ง. นั้นแหละมันถึงขั้นที่ปล่อยวางของหนักที่มีอยู่ในจิต.
นี่พูดให้สิ้นเชิงต้องพูดถึงสี่อย๋าง
โดยมากพูดเพียงสามอย่างคือที่มันปรากฏง่ายๆ หรือว่าปรากฏอยู่ทั่วไป. ถ้าเป็นสมณะโดยแท้จริง
ต้องสงบกาย สงบวาจา สงบทางจิต แล้วสงบทางอุปธิด้วย.
ไม่มีอะไรที่ยึดถือไว้เป็นของหนักโดยความเป็นตัวตน,
ไม่ยึดถือแม้แต่พระนิพพานว่า นิพพานของเรา เป็นต้น นี่คือความเป็นสมณะ.
ทีนี้คิดดูเองซิว่า
ถ้าคนมันรักสงบถึงขนาดนี้ สงบกาย วาจา จิต อุปธิแล้ว
มันจะมีลักษณะกิริยาท่าทางอย่างไร.
นั่นแหละคือ สมณสามรูป – รูปลักษณะที่สมควรแก่ความเป็นสมณะถึงที่สุด.
ถึงอย่างนั้น
มันก็ไม่พ้นจากการที่ดูยาก
เข้าใจยาก.
สำหรับปุถุชนคนธรรมดาจะรู้ว่าคนนี้เป็นพระอรหันต์หรือไม่? อย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า
ยากมากที่คนธรรมดาจะดูออกว่าคนนี้เป็นพระอรหันต์หรือไม่. เดี๋ยวนี้ก็พูดไว้ให้มันหมด.
การรักษาความเป็นสมณะ.
ทีนี้ก็จะพูดถึง การรักษาความเป็นสมณะ. ความเป็นสมณะ นั้น เรียกว่า สามัญญะ, สามัญญะ รูปร่างข้างนอกนั้นเรียกว่าสมณสารูป. ภาวะข้างนอกเรียกว่าสมณสารูป
รูปร่างแห่งความเป็นสมณะ. ทีนี้ “สามัญญะ”
ภาวะแห่งความเป็นสมณะนี้ หมายถึงข้างในซึ่งมันลึก, ภาวะแห่งความเป็นสมณะนี้ หมายถึงข้างในซึ่งมันลึก,
ภาวะแห่งความเป็นสมณะนี่.
รักษาสมณสารูปนี้ ขอให้รักษาลึงลงไป รักษาความเป็นสมณะ คือ ตั้งตนให้อยู่อย่างถูกต้อง
ในความเป็นสมณะ ; นั่นแหละคือรักษาสมณสารูป.
ถ้าไม่รู้จักความเป็นสมณะ
แล้วจะรักษาความเป็นสมณะได้อย่างไร? ฉะนั้น บรรพชิตทั้งหลาย ต้องรู้จักความเป็นสมณะ
ว่ามันเป็นอย่างไร,
อยู่ที่ไหน, จึงจะสามารถรักษาความเป็นสมณะนั้นไว้ได้. ถ้าไม่ใช่รักษาเพื่ออวดตน มันก็รักษาภายในตนซิ รักษาจิตไม่ให้เกิด โลภะ โทสะ โมหะ
ขึ้นมาครอบงำ.
นี่คือรักษาความถูกต้องภายในใจไว้อย่างเต็มที่ ; เรียกว่ารักษาความเป็นสมณะ,
ให้มีความเป็นสมณะไว้อย่างเต็มที่.
มีคำกล่าวว่า รักษาความเป็นสมณะไว้เหมือนกับเกลือรักษาความเค็ม.
ถ้าเป็นเกลือก็ต้องเค็ม ; เรียกว่าเกลือมันรักษาความเค็มไว้เสมอไป. นี้ถ้าเกลือเกิดไม่เค็มมันก็หมดความเป็นเกลือ,
เขาก็เอาไปเททิ้ง. คำสอนอย่างนี้พระเยซูก็พูด
: รักษาความเป็นสาวกของพระเยซู
เหมือนกับเกลือรักษาความเค็ม ; มิฉะนั้นก็จะถูกเขาเอาไปสาดทิ้งเททิ้ง
เกลือที่ไม่เค็มใครจะเก็บไว้ทำไม.
ฉะนั้น สมณะก็รักษาความเป็นสมณะไว้
เหมือนกับเกลือรักษาความเค็ม ; ไม่รักษาความเป็นสมณะ ก็เหมือนเกลือไม่รักษาความเค็ม
มันก็ตกไปจากพรหมจรรย์นี้ จากศาสนานี้.
รักษาความเป็นสมณะด้วยธรรมะอีกประเภทหนึ่ง
แต่มันก็ยังเนื่องอยู่ในความเป็นสมณะ. ธรรมะประเภทนี้เอาเป็นเครื่อวงช่วย
เป็นอุปกรณ์
โดยเฉพาะก็คือธรรมะที่มักจะถือกันว่าหญ้าปากคอก หญ้าปากคอกไม่ค่อยสนใจคือ ธรรมะที่ชื่อว่าหิริโอตัปปะ. จำไว้ให้แม่นๆ หิริความละอายต่อการที่ตนเป็นเกลือจืด คือ
มันๆไม่มีความเป็นสมณะแล้วก็ละอาย, แล้ว โอตัปปะ คือ กลัว,
กลัวความที่ไม่มีความเป็นสมณะ.
หิริและโอตัปปะ นี้เป็นปัจจัยส่งถึงการบรรลุมรรคผล. นี่พบในพระบาลี ไม่ใช่ธรรมะสำหรับคนชั้นต่ำ,
ธรรมะเพื่อสังคมอย่างที่สอนๆกันอยู่ ซึ่งสอนกันต่ำเกินไป. หิริ
และโอตัปปะ นี้จะช่วยสนับสนุน ช่วยส่งเสริมถึงวาระสุดท้ายเพื่อจะบรรลุพระอรหันต์ กันเลย
ถ้าเขายังมีความละอายต่อบาป ยังละอายต่อความทุกข์ ยังกลัวต่อความทุกข์
มันก็มีแต่ส่งขึ้นไปๆ, ส่งขึ้นไปให้พ้นจากความทุกข์. สมณะผู้จะรักษาความเป็นสมณะ
ก็ต้องมีหิริและโอตัปปะ ให้มากพอ ตลอดเวลา เรื่อยไป เรื่อยไป จนกว่าความเป็นสมณะมันจะสมบูรณ์.
ฉะนั้น คำว่า “สมบูรณ์” นี้ คือ ไม่ต้องรักษาแล้ว
มันกลายเป็นพ้นเจตนา
คือจนหมดกิเลสแล้ว. พอหมดกิเลสแล้ว มันก็ไม่ต้องเจตนารักษา มันก็มีของมันเอง. นี่เขาเรียกว่าพ้นเจตนา, เป็นโลกุตตระ,
รักษาความเป็นสมณะไว้ได้เรื่อยๆไปจนกิเลสหมด.
ทีนี้ไม่ต้องรักษา มันก็มีผลเท่ากับรักษา ; เพราะว่าอันตรายหรือศัตรูมันไม่มีแล้วนี่. ฉะนั้น จึงต้องมีหิริและโอตัปปะยิ่งขึ้นไป, ยิ่งขึ้นไปจนถึงกับบรรลุพระอรหันต์.
นี่ธรรมะคู่แรกของการศึกษาเล่าเรียน
ไม่ใช่ธรรมะต่ำๆเตี้ยๆ จะอยู่กันที่ตรงนี้
จะต้องใช้ในการรักษาความเป็นสนมณะเรื่อยไป, เรื่อยไปจนถึงการบรรลุพระอรหันต์.
แล้วธรรมะอื่นๆยังมีอีก
ไปสังเกตดูเองก็ได้ เช่น สัปปุริสธรรมบางข้อ
ที่เรียกว่า
อัตตัญญุตา, อัตตัญญุตา-รู้จักตนเอง. ถ้ารู้จักตนเองจริงๆแล้ว
มันก็จะไม่หยุด จะไม่หยุด จะไม่ละเลย
จะไม่พอใจหยุด. มันจะต้องการขึ้นไปเรื่อย
ให้ไปสูงขึ้นไปเรื่อย.
บทปัจจเวกขณ์ที่ว่า
เดี๋ยวนี้เราเป็นสมณะแล้ว กิริยาอาการใดๆของความเป็นสมณะ
เราจะประพฤติอากัปกิริยานั้นๆ นั่นแหละ คือรู้จักตนเอง. อุบาสกทั้งหลายก็พิจารณาว่าเราเป็นอุบาสกแล้ว
ธรรมะใดสำหรับอุบาสกเราจะประพฤติธรรมะนั้น : อยู่ที่บ้านก็พิจารณาอย่างนั้น,
อยู่ที่วัดก็พิจารณาอย่างนั้น
ก็จะเป็นเครื่องรักษาความเป็นสมณะความเป็นพุทธบริษัทไว้ได้เป็นอย่างดี.
ทีนี้ก็พิจารณากันในแง่ว่า
อยู่ที่ไหน คือสถานที่ สมณะอยู่ที่ไหน?
คำตอบที่มันไม่มีทางจะผิด.
แต่มันมีรลักษณะเป็นกำปั้นทุบดิน เมื่อถุกถามว่าสมณะอยู่ที่ไหน? มันก็ตอบว่า ความสงบอยู่ที่ไหน สมณะอยู่ที่นั่น. ถ้าไปตอบว่าอยู่ที่วัด บ้า โดยไม่รู้สึกตัวนะ; ถ้าตอบว่าอยู่ที่บ้านก็จะโง่โดยไม่รู้สึกตัว. ต้องตอบว่า ความสงบอยู่ที่ไหนสมณะอยู่ที่นั่น : บ้านก็ได้, วัดก็ได้.
แต่ว่า ถูกที่สุด ก็ว่า อยู่ที่จิต
อยู่ในใจ
อยู่ในสันดาน. สมณะไม่อยู่ที่บ้าน
ไม่อยู่ที่วัด ไม่อยู่ที่ป่า ไม่อยู่ในเมือง ; อยู่ในจิตของผู้มีความสงบ
จนกลายเป็นนิสัยสันดาน.
เช่นพระอรหันต์นี้
ก็มีความเป็นสมณะ หรือมีสมณภาวะอยู่ในจิตในสันดานของท่าน, จนกระทั่งพูดได้ว่า
ท่านไปนั่งลงตรงไหน ตรงนั้นมีสมณะ มีความสงบ มีความเป็นสมณะ.
สมณะช่วยทำให้โลกสงบ.
ทีนี้ความปรารถนาของเรา มันควรจะปรารถนาว่าขอให้สมณะมีทั่วไปทั้งโลก. ให้สมณะมีทั่วไปทั้งโลกดีกว่า มันก็จะเป็นโลกที่มีสันติภาพ
มีสันติสุขชนิดที่เที่ยงแท้และถาวรทั้งโลก.
ให้สมณะนี่แหละเป็นผู้นำโลก, ให้สมณะเป็นผู้นำโลก. ถ้าพูดให้ถูกกว่านั้น ก็ว่าให้สมณะเป็นผู้นำจิตใจประชาชน.
เมื่ออาตมาไปเที่ยวที่อินเดีย. เกิดความรู้สึกข้อนี้ขึ้นมาว่า สมณะหรือบรรพชิต ที่เขาเรียกกันว่าพระ หรือ สาธุ,
ทิอินเดียเขาเรียกพระว่า สาธุ, สาธุ, คำว่าสาธุนั้นเป็นคำเรียกพระ,
พระมาพักอยู่ที่ตรงไหน โดยมากพักอยู่ที่ศาลาประจำบ้าน. คนจะไปนั่งล้อม
ทั้งหญิงทั้งชายไปนั่งล้อมล้อมพระหรือล้อมสาธุ แล้วก็พูดกันเรื่อย. มีสาธุบางองค์ไม่ได้นุ่งผ้าเลย
แต่ก็มีคนไปนั่งล้อม ถามเรื่องที่ต้องการ
เพราระว่าบรรพชิตในประเทศอินเดียนั้นมีครบ, มากอย่าง มากนิกาย ไม่รู้ว่าเท่าไรแหละ
จนกระทั่งว่านุ่งผ้าก็มี นุ่งนิดเดียวก็มี
ไม่นุ่งเลยก็มี นุ่งเต็มที่ก็มี นุ่งจนเกินนุ่งก็มี มันมีทุกอย่าง แต่ได้รับความเคารพนับถือเป็นสาธุด้วยกันทั้งนั้น
; ถ้าพอมานั่งลงตรงไหนแล้ว ชาวบ้านจะมามุงล้อม.
มันคล้ายๆกับบ้านเรา
พอพระธุดงค์มาปักกลดลง
ที่ตรงไหน ชาวบ้านก็ไปนั่งล้อม
แต่ที่อินเดียยังมากกว่านั้น รู้สึกว่ามันมากกว่านั้น. แล้วมันก็จะแปลกกันอยู่ที่ว่า ไม่ใช่มาขอเครื่องรางจากพระธุดงค์
; ไม่เคยเห็นเลย ไปถามไปพูด ไปคุย ท่าเดียวแหละ,
ไม่ได้มาขอเครื่องรางของพระธุดงค์ เหมือนบ้านเรา ขอสามตัวบ้าง
ขอเครื่องรางบ้าง.
ถ้าบรรพชิตมานั่งตรงไหน
แล้วคนก็เข้าไปถามเรื่องปัญหาในทางจิตใจ
นี่สมณะจะนำโลกได้ก็เพราะเหตุนี้ มันควรจะจัดให้เป็นอย่างนั้น คือเป็นผู้นำวิญญาณของประชาชนเลย. สมณะเป็นผู้นำทางวิญญาณของประชาชน.
ถ้าสรุปผลแล้ว
มันเป็นประโยชน์แก่บุคคลนั้นๆ เป็นประโยชน์แก่สังคม,
เป็นประโยชน์แก่โลกทั้งโลก. ถ้าโลกนี้สนใจเรื่องสมณะ สนใจความสงบอย่างความเป็นยสมณะ โลกนี้ก็จะเป็นโลกที่ดีกว่าโลกพระศรีอารยเมตไตรยก็ได้ ดีกว่าโลกพระศรีอารย์ก็ได้,
เพราะโลกพระศรีอารย์นั้น จะมุ่งหมายความไม่เบียดเบียนกันอย่างเดียวเสียมากกว่า
แต่ไม่ถึงกับหมดกิเลส ; ไม่ได้เน้นที่ความหมดกิเลส
เขาเน้นที่ความไม่เบียดเบียน ; แต่เราอเอาความสงบสมณะนี้เป็นหลักด แล้วมันจะมากกว่านั้น
คือมันไม่เบียดเบียนแน่; เพราะ จิตใจสูงขึ้นไปถึงหมดกิเลส เป็นพระอรหันต์.
นี่ การกระทำของสมณะ ต่อตนเอง ต่อผู้อื่น หรือต่อโลก ช่วยทำโลกให้สงบ รักษาความสงบในโลกให้คงยังมีอยู่. เอาละพูดถึงเรื่องฟ้าสางกันเสียที.
ถ้าไม่มีสมณะในชั้นที่เป็นที่พอใจ
ก็ต้องช่วยกันทำให้มีสมณะที่แสดงออกเป็นสมณสารูป.
เราอาจจะต้องยอมรับบว่า แม้จะไม่มีสมณะแท้จริง
ก็ขอให้มีสมณสารูปเพียงภายนอกเอาไว้ก่อนเถอะ
ยังปลอดภัยตั้งครึ่ง ; เพราะมีสมณสารูป ท่าทางเป็นสมณะ
จะเบียดเบียนใครไม่ได้ จะเบียดเบียนชาวบ้าน ผู้ให้อาหารด้วยศรัทธาไม่ได้ดอก
ถ้ายังมีท่าทางเป็นสมณะอยู่.
ถ้าว่าภายในเป็นสมณะจริงด้วย
สมกับมีท่าทางอย่างนั้น มันก็เรียกว่าวิเศษ 100% ถ้ามีท่าทางเป็นสมณะปม้แต่ภายนอก
นั้นก็ยังมีผลไม่น้อยกว่า 50% เพราะมันเบียดเบียนใครไม่ได้ ; พอไปเบียดเบียนใครเข้า มันก็ไม่มีสมณสารูป. นี้เรียกว่า ฟ้าสางทางสมณสารูป.
ขอให้บรรพชิตทั้งหลาย
มีสมณสารูป พอคนเขาเห็นแล้ว เขาก็ร้องว่า สาธุ, สาธุ สาธุ ยกมือไหว้
นี่เดี๋ยวนี้เราจะทำได้แต่เฉพาะเด็กๆใช้ให้เด้กๆไหว้พระมาสาธุ, สาธุ, มันทำได้แต่เด้กๆ
คนใหญ่ไม่เอา ผู้ใหญ่ก็ไม่เอา.
ฟ้าสางทางสมณสาชีพ.
อีกข้อหนึ่ง เมื่อตะกี้สารูป สมณสารูป เดี๋ยวนี้ว่า
สมณสาชีพ. สารูปแปลว่า มีรูปสมควรแก่ความเป็นสมณะ ทีนี้ สาชีพ
มีอาชีพสมควรแก่สมณะ คือ หากินสมควรแก่การเป็นสมณะ
เรียกว่าสมณสาชีพ. ในบาลีวินัย เรียกว่า ภิกขุสาชีพ. ภิกขุสาชีพ.
ปาฏิโมกข์ข้อแรกนั้น : ภิกขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปนฺนา –
มีสิกขาและสาชีพของภิกษุทั้งหลาย ก็มีการศึกษาและมีอาชีพ ควร หรือ ตรง หรือถุกต้องกับความเป็นภิกษุ. สาชีพ ก็แปลว่า มีอาชีพร่วมกัน, มีอาชีพ
ตรงกัน มีอาชีพ ด้วยกัน. คนที่อยู่ร่วมกันได้ดีนั้น
ต้องมีอาชีพตรงกัน.
คำว่า “อาชีพ” ในที่นี้เอาความหมายว่า ดำรงไว้, ดำรงไว้ อาชีพคือการดำรงไว้ซึ่งชีวิต. อา-แล้วก็
ชีวะ-ดำรงไว้ซึ่งชีวิต แล้ว สา, สา
ก็แปลว่า ร่วมกัน, สาชีพ แปลว่า ดำรงชีวิตร่วมกัน.
คงจะเล็งถึง ธรรมชาติ แล้วก็มองเห็นชัดว่า ถ้ามันเป็นชนิดเดียวกัน หมู่เดียวกัน อะไรกัน มันจะต้องมีอาชีพเหมือนกัน ; เช่นว่า
ควายมันต้องกินหญ้า อย่างนี้, แล้วหมามันต้องกินขี้ อย่างท่านพยอมว่า ; มันก็มีอาชีพ ดำรงชีพเหมือนกันในหมู่คณะเดียวกัน
นั่นแหละคือสาชีพ. ดังนั้น ภิกษุจึงมีอาชีพเหมือนกันหมดเลย,
อาชีพแห่งปูชนียบุคคล.
ฉะนั้นการที่จะอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ ก็จะต้อง มีการดำรงชีพเหมือนกัน
ร่วมกัน มันจึงจะอยู่ด้วยกันสนิทสนม รักใคร่กลมเกลียวกัน.
ถ้าว่ามีอาชีพฝืนกันขัดขวางกัน มันก็อยู่ไม่ได้แหละ เดี๋ยวมันก็จะทะเลาะกัน
จะเกิดการขัดแย้งขึ้นมาในตัว.
เช่นว่า ภิกษุมีอาชีพด้วยการให้ของผู้อื่นที่มีศรัทธา,
เรียกว่า ปรทัตตูปชีวี- มีชีวิตอยู่ด้วยสิ่งของที่ผู้อื่นให้. ฉะนั้นภิกษุทั้งหลายก็มีชีวิต
มีอาชีพอยู่ด้วยสิ่งของที่ผู้อื่นให้ นี่เรียกว่าถูกต้อง.
ถ้าว่าภิกษุบางองค์
จะไปค้าขาย จะไปทำนา จะไปจับปลา นี้มันก็อยู่กันไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่อาชีพ
หรือไม่มีอาชีพที่เข้ากันได้. ภิกษุทั้งหลายก็มีอาชีพอยู่ด้วยวัตถุที่มีผู้ให้ด้วยศรัทธา. ทำไมจึงมีผู้ให้?
แล้วให้แล้วยังต้องไหว้อีก ไม่ใช่ให้เฉยๆ
ก็เพราะว่ามีอะไรเหมาะพอที่จะเป็นอย่างนั้น.
เขาจึงเรียกว่า อาชีพปูชนียบุคคล
เพราะภิกษุเหล่านั้นเป็นสมณะอย่างถูกต้อง แก่ความเป็นสมณะเหมือนที่ว่ามาแล้วในข้อต้นนั้นแหละ ; ก็หมายความว่าท่าน มีชีวิตอยู่อย่างเป็นประโยชน์มหาศาลแก่โลกด เป็นผู้นำให้โลกนี้มีสันติภาพ.
ท่านก็มีความดีมากมาย ที่ท่านทำให้แก่โลก.
ฉะนั้นท่านจึงมีสิทธิที่จะบริโภคอาหารของผู้อื่น. ผู้อื่นเอาอาหารมาให้ มาเลี้ยงชีวิตไว้ก็ได้บุญ. เป็นเนื้อนาบุญของโลก
เพราะมีชีวิตอยู่เพื่อให้โลกได้บุญ.
ถ้าใครมีชีวิตอยู่เพื่อให้โลกได้รับประโยชน์เกินค่าแล้ว คนนั้นเป็นนาบุญ. พระสงฆ์เป็นนาบุญ ก็เพราะว่าพระสงฆ์ทำอย่างนั้น
; ถ้าใครไปทำอย่างนั้นเข้า
คนนั้นก้กลายเป็นพระสงฆ์ไปได้เหมือนกันแหละ.
แล้วลองดูซิ เราเสียสละให้ผู้อื่นปลอดภัย
มันก็เป็นนาบุญของผู้นั้น, เป็นปูชนียบุคคลของผู้นั้น ; แต่ว่ามันจะไม่มาก, ไม่สูงสุดเท่ากับหมู่บรรพชิต
ภิกษุที่เป็นภิกษุที่แท้จริง.
ผู้ทำหน้าที่ถูกต้องก็เป็นปูชนียบุคคล.
อาตมาเคยพูดว่า พวกครูทั้งหลายก็เป็นอาชีพปูชนียบุคคล.
ถ้าเขาเป็นครูจริงๆนะ
คือเขายกวิญญาณของนักเรียนลูกศิษย์ ให้สูงได้จริงๆ
มันมีค่าเกินกว่าเงินเดือนที่ได้รับ ; แล้วครูก็เป็นปูชนียบุคคล
เงินเดือนที่ครูได้รับก็กลายเป็นปูชนียวัตถุ คือ เป็นเครื่องบูชาคุณ
ไม่ใช่ค่าจ้างไม่ใช่เงินเดือน.
เดี๋ยวนี้ครูเขาไม่ได้ทำอย่างนั้น
เงินเดือนที่ได้รับมันก็ยังคงเป็นเงินเดือนอยู่นั่นแหละ,
เป็นเงินเดือนอยู่นั่นแหละ.
แต่ถ้าครูเขาได้ทำประโยชน์แก่โลกมากกว่านั้นเกินค่าเงินเดือน
เงินเดือนก็กลายเป็นเครื่องบูชาคุณของครูไป
ครูก็เป็นปูชนียบุคคลได้.
หรือถ้าสมมติว่า พวกผู้พิพากษาตุลาการทำหน้าที่ของตนถูกต้องบริสุทธิ์ผุดผ่อง ได้ผลเป็นความสงบสุขแก่สังคม โดยแท้จริง
มันก็มีค่ามากกว่าเงินเดือนที่เขาได้รับ.
ฉะนั้น เงินเดือนนั้นก็กลายเป็นวัตถุบูชาคุณไปได้เหมือนกัน. พวกผู้พิพากษาตุลาการที่บริสุทธิ์ผูดผ่อง ก็กลายเป็นปูชนียบุคคลได้เหมือนกัน ; แม้จะไม่เต็มความหมายร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกับพระสงฆ์.
อยากจะมองให้เห็นกว้างๆออกไปว่า
อาชีพปูชนียบุคคลนี้มันก็มีได้
เป็นสิ่งที่มีได้แก่ทุกคน. เหมือนบิดามารดา เกิดลูกมา
เลี้ยงลูกมาทนลำบากทุกอย่างทุกประการ โดยไม่ได้รับค่าจ้างอะไรจากลูก
ก็เป็นปูชนียบุคคลของลูกได้.
ฉะนั้นบิดามารดาก็อยู่ในฐานะปูชนียบุคคลแก่ลูก. ถ้าลูกจะตอบแทนบิดามารดา เมื่อลูกโตขึ้นมา
มีเงินมีของมาตอบแทนบิดามารดา
มันก็กลายเป็นเครื่องบูชาคุณไปด้วยเหมือนกัน. ฉะนั้นเราจะต้องนึกถึงความเป็นปูชนียบุคคลนี้
กันให้มากๆ.
ทีนี้อาชีพปูชนียบุคคล,
อาชีพของภิกษุ ภิกษุมีสาชีพปูชนียบุคคล
ด้วยกันทุกๆองค์ แหละ เรียกว่า ทุกดๆองค์
จึงเรียกว่าเป็นสาชีพของหมู่สงฆ์, คือเป็นอาชีพเป็นสาชีพของภิกษุทั้งหลาย
เป็นสมณสาชีพ หรือเป็นอาชีพของสมณะ.
ฉะนั้น
สมณะจึงเป็นสถาบันสูงสุด ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะไม่มีอะไรกิน ไปที่อินเดียมันรู้สึกอย่างนี้มากกว่าที่เมืองไทย
; เพราะไปเห็นคนเขาให้ความเคารพ เอาใจใส่ในพวกสาธุ
คือภิกษุนั้นมากกว่า.
นี่ก็เป็นหน้าที่ของภิกษุนี้ ที่จะต้องมีสาชีพ มีอาชีพนี้ให้ถุกต้อง
เสมอกันหมดในหมู่สงฆ์ หมู่ภิกษุทั้งหลาย.
แล้วอยากให้มองลงไปถึงชาวบ้าน ประชาชนทั้งหลายที่อยู่กันเป็นหมู่ๆเป็นหมู่นี้
ขอให้ดำรงชีวิตด้วยสาชีพเหมือนกัน,
แล้วก็อยู่กันสบาย. ในหมู่ชาวงบ้านมีอาชีพชาวนา,
ในหมู่ชาวสวนมีอาชีพชาวสวน สม่ำเสมอกันดี, มันก็มีความสะดวกสบาย
ง่ายกว่าที่จะมีอาชีพขัดแย้งกัน.
เดินทางสู่นิพพาน ต้องมีสาชีพเหมือนกัน.
เอ้า,
ทีนี้ก็มาดูถึงหมู่ภิกษุ คือหมู่คนหมู่สัตว์ที่จะเดินทางไปนิพพาน. ที่พูดว่าเดินทางไปนิพพานนี้พูดภาษาคน ภาษาสมมติ ; ที่จริงนิพพานนั้นมันถึงไม่ได้ด้วยการเดิน
มันถึงได้ด้วยการทำจิตใจพัฒนาขึ้นมา, ไม่ใช่การเดินด้วยเท้า. แต่เราเปรียบเสมือนว่า เป็นการเดิน ; เพราะมันไม่มีคำอื่นใช้ คำว่า ปฏิบัติก็แปลว่า เดิน
; รู้ไว้เถอะ
เรามีการปฏิบัติ ; แต่แล้วคำว่าปฏิบัติ มันแปลว่าเดินอยู่นั่นแหละ.
ในหมู่คนเหล่านี้ ซึ่งมีการเดินไปนิพพานนี้จะต้องมีอาชีพเหมือนกับอาชีพเดียวกัน
คือ
ภิกษุทั้งหลายก็มีสาชีพของภิกษุทั้งหลาย
ดำรงชีวิตด้วยสิกขาบทนั้นๆ,
รอดตายอยู่ได้ด้วยปัจจัยที่ทายกทายิกาถวายให้โดยไม่ต้องไปทำนาเอง เป็นต้น. นี้เรียกว่าสาชีพ.
เมื่อมีสาชีพตรงกัน ก็มีความเหมาะสมที่จะอยู่ด้วยกัน นั่นแหละ, หรือจะพูดว่ามีสิทธิ
สิทธิอันชอบธรรมที่จะอยู่ด้วยกัน.
ในภาษาวินัยเรียกว่า
สมานสังวาส, มีสมานสังวาสเสมอกัน คือ เป็นภิกษุเสมอกัน จึงมีสิทธิที่จะอยู่ร่วมกัน. ถ้าไม่เสมอกัน ก็ไม่อยู่ด้วยกัน ซึ่งเขาถือว่าต่างนิกาย. ภิกษุต่างนิกายไม่อยู่ร่วมกัน
เพราะไม่มีสิกขาและสาชีพอันเดียวกัน
ภิกษุต้องชำระสิกขาและสาชีพของตนให้ถุกต้องในการที่จะอยู่ร่วมกัน. เช่นสงฆ์หมู่นี้ ของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้
มีสิกขาและสาชีพตรงกันหมด.
นี่คำว่าสาชีพ
แปลว่าอาชีพร่วมกัน, สารูปแปลว่ามีรูปร่วมกัน, มีรูปเหมือนกัน
คือความมีอาชีพควรแก่ความเป็นภิกษุ มีรูปภาวะควรแก่การเป็นภิกษุ,
มีอาชีพดำรงชีพสมควรแก่ความเป็นภิกษุ.
ทีนี้ เรื่องมันก็เลยออกไปถึงว่า
การหาเลี้ยงชีพ การหาเลี้ยงชีพ การที่จะได้มาเลี้ยงชีพ
ต้องถูกต้อง, ถูกต้องตรงกับความเป็นภิกษุ. อย่าให้มันนอกรีตของความเป็นภิกษุ, แล้วถ้ายึดเอาแต่เพียงว่า
แล้วแต่เขาจะให้ มีอาชีพเพียงว่าแล้วแต่ผู้อื่นจะให้อย่างไร มันก็ตรงกันไปทั้งหมด เป็นสาชีพเดียวกันทั้งหมู่ด้วย
สงฆ์จะมีกี่พัน กี่หมื่น กี่แสนองค์ก็มีสาชีพเดียวกัน.
การแสวงหานอกแนวของภิกษุ เรียกว่าอเนสนา.
แต่เดี๋ยวนี้ มันเกิดปัญหาขึ้นมา เพราะมีบางองค์แหวกแนว,
แหวกแนวไม่ยอมรับอาชีพตามที่ถูกต้องของภิกษุ.
เขาก็ไปแสวงหาอาชีพตามความต้องการของเขาหรือกิเลสของเขา. อาชีพแหวกแนวอย่างนี้ ก็เรียกว่า อเนสนา,
อนเสนา แสวงหานอกแนวของสมณะ หรือของภิกษุ ซึ่งก็ได้มีมาแล้วตั้งแต่ครั้งพุทธกาล. ถ้าไม่มีมาแล้วในครั้งพุทธกาล
ทำไมมันจึงมีคำนี้อยู่ในพระวินัย ในบาลีเล่า. นั่นแหละเขาไม่มีสาชีพของภิกษุ ; แต่เขาไปแสวงหานอกแนวของภิกษุ เรียกว่า อเนสนา.
เมื่อเขารู้ว่า
ประชาชนจะเลื่อมใสเป็นพิเศษได้อย่างไร เขาก็ทำอย่างนั้น เพื่อให้ประชาชนเลื่อมใส
แล้วก็ได้ถวายปัจจัยมากเป็นพิเศษออกไป ; เช่นทำเคร่ง, ทำเคร่งให้คนโง่ชอบ. นี่จะเป็นคำที่รัดกุมดีไหม? ทำเคร่งให้คนโง่ชอบ
แต่คนฉลาดไม่ชอบนะ,
ก็ไปทำเคร่งให้คนโง่ทั้งหลายชอบ, แล้วคนโง่ทั้งหลายก็รุมกันถวายปัจจัย
แต่คนฉลาดไม่เอาด้วยดอก.
เพราะฉะนั้นเรื่องอเนสนาทั้งหลายนี้
คนฉลาดเขาไม่เอาด้วย จะเอาด้วยแต่คนที่ไม่ฉลาด มันต้องมีมาแล้วแต่ในครั้งพุทธกาล
เพราะว่ามีกล่าวไว้ในพระวินัย. พอมาในชั้นอรรถกถา,
อรรถกถาก็คงจะมีหนักขึ้นไปอีกแหละ.
มันมีข้อความเขียนไว้ในอรรถกถา
เล่าเรื่องอเนสนานี้ร้ายกาจยิ่งไปกว่าครั้งพุทธกาลเรียกว่า เรื่อง สุกรยักษ์ :-
เรื่องนี้
เราเคยเอามาแปลลงในหนังสือพิมพ์พุทธศาสนา แล้วมีคนเอาไปแจก แล้วถูกด่า. พระนั่นแหละเป็นผู้ด่า. เอาหนังสือเรื่องสุกรยักษ์ไปแจกที่ไหน พระจะเป็นผู้ด่า.
สุกรยักษ์นั้น
ข้างหนึ่งมันเป็นหมู, รูปร่างดูข้างหนึ่งมันเป็นหมู, ข้างหนึ่งมันเป็นวัว,
มันร้องเหมือนกับแพะ, แล้วบนหัวก็มีเขา, มันมีครบอย่างนี้, มันก็มีครบอย่างนี้,
แล้วมันก็หากิน มันเป็นยักษ์ มันจะจับสัตว์กิน.
ถ้ามันเห็นฝูงแพะมา มันก็หลบซ่อนเสีย มันร้องแพะๆแพะๆ. แพะเข้ามาใกล้ในระยะที่มันจับกินได้
แพะหนีไม่ทัน. ถ้ามันเห็นหมูมา มันก็หันข้างที่เหมือนหมู
เข้าไปหาฝูงหมู. หมูคิดว่าเป็นหมูด้วยกัน
ก็เข้ามาใกล้ สุกรยักษ์ก็จับกิน.
ทีนี้ถ้าวัวมา มันชูเขาโผล่พ้นหญ้า ให้เห็นว่าเป็นวัว. วัวไม่รู้เข้ามาใกล้ สุกรยักษ์ก็จับกิน.
เรื่องอย่างนี้มีในอรรถกถา
แล้วมากด้วย, รุนแรงด้วย. เรื่อง กาจำศีล
เรื่อง สุกรยักษ์ เป็นเรื่อง
อเนสนา ไม่ใช่สาชีพของภิกษุ แล้วมีคำอธิบายไกลออกไป
เรียกว่า ทำการค้า, รูปิยสํโวหารํ, รูปิยส๊โวหารํ-ภิกษุสำเร็จรูปิย-สังโวหการัง
เป็นนิสสัคคียปาจิตตียํ นี้มันก็ทำการค้า
ด้วย รูปิยะ คือเงินตราหรือด้วยสิ่งของ ; ทำการแลกเปลี่ยนที่ได้กำไร นี้เขาเรียกว่า อเสนา,
หาทรำย์อย่างฆราวาส ด้วยการหลอกลวงนานาชนิด ด้วยวาทศิลป์ด้วยอะไรต่างๆ.
ฉะนั้น การที่พูด
ชนิดที่ให้เขาพอใจ แล้วเกิดลาภเกิดสักการะ นี้มันเป็นพวกไม่ถูกต้องทั้งนั้น
จนกระทั่งว่า แม้ด้วยคำขับ.
พระพุทธเจ้าไม่ยอมฉันอาหการ ที่ได้มาด้วยคำขับ แก่ชาวนาพราหมณ์คนนั้น ซึ่งทรงกล่าวคำขับว่า สทฺธา พีชํ ตโป วุฏฐิ
ปญฺญา เม ยุคนงคลํ ฯลฯ เป็นคำคาถาคำขับ. พอตาพราหมณ์คนนี้เขาเลื่อมใส แล้วเขาถวายให้ฉัน
ท่านไม่ฉัน. นี้เป็นสิ่งที่ได้มาด้วยคำขับ
เป็นอเนสนา เป็นวัตถุไม่ควร ท่านก็ไม่ฉัน ; ต้องเอาไปทิ้ง.
เดี๋ยวนี้เรามันทำอะไรนอกแนว
เกินความจำเป็นเพราะเราต้องการเกินความจำเป็น มันจึงต้องทำอเนสนา
แต่ถ้าเขาถวายด้วยศรัทธาไม่ได้หลอกลวง มันก็ไม่เป็น
มันก็ดูอยู่ที่ว่าเป็นการนอกแนวหรือหลอกลวงหรือไม่?
ภิกษุควรมีสาชีพไม่เป็นอเนสนา.
นี้ฟ้าสางทางสาชีพ
แล้วขอให้ภิกษุดำรงชีวิตชนิดที่ถูกต้องตามความเป็นภิกษุ. เขาจะถวายมากน้อยหรือถวายเกิน ถวายเหลือเฟือ มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราไม่ทำอเนสนาก็แล้วกัน.
ภิกษุในครั้งพุทธกาลนี้ยากที่จะทำอเนสนา
เกิดเรื่องขึ้นมาตามวินัยนั้นเป็นส่วนน้อย เรียกว่าเป็นส่วนน้อยและหายาก. เพราะว่าออกบวชด้วยเจตนาดีทั้งนั้น. ฉะนั้นสิกขาและสาชีพของภิกษุเหล่านั้นจึงถูกต้อง,
แล้วยิ่งเมื่อเป็นอยู่ด้วยสันโดษ ตามอริยวงศ์ เรื่องอาหารก็ดี
เรื่องเครื่องนุ่งห่มก้ดี ที่อยู่อาศัยก็ดี หยุกยาก็ดี สันโดษอย่างยิ่งแล้ว,
มันก็ไม่มีมทางที่จะต้องไปทำอเนสนา.
มันเหลือกินเหลือใช้ แล้วท่านฉันอาหาร ชนิดที่เรียกว่า ยาปนาย-ยังอัตตภาพให้เป็นไป
เท่านั้นแหละ, ฉันพอกันตายให้มีชีวิตอยู่พอทำงานได้ มันก็เลยไม่ต้องทำอเนสนา มีสำนวนเรียกว่า
กินอาหารเหมือนกับการกินเนื้อลูกกลางทะเลทรายนี่.
แต่ไม่ได้หมายความว่าให้อดอยาก
หรือกินอาหารไม่พอ แล้วเป็นโรคขาดอาหาร, ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น,
คือเป็นอยู่อย่างพอดี พอสบาย นี้เราจะต้องระมัดระวัง.
คำบรรยายนี้สำหรับฟ้าสางทางภิกษุสาชีพ
ให้อาชีพของภิกษุมีอาการสางออกมาจากความมืด
ที่มันเคยมืด ; เพราะว่าเมื่อการเป็นอยู่เป็นปึกแผ่น,
เป็นปึกแผ่นมากเข้าๆก็จะเกิดแข่งขันกัน สร้างวัด สร้างโบสถ์. ถ้าบสถ์ของฉันไม่ได้ปูด้วยหกินอ่อน
เหมือนโบสถ์ของคนอื่น ฉันก็ทนอยู่ไม่ได้ นี้มันก็ต้องขวนขวายจนเกิดอเนสนา. อย่าต้องออกชื่อดีกว่าว่ามันมีอะไรบ้าง
สำหรับสมัยปัจจุบันนี้.
ขอเพียงว่าให้กลับไป,
ให้กลับไปสู่ภาวะถุกต้องแต่ดั้งเดิมที่มันเคยถุกต้อง ให้มันถอยกลับ ค่อยๆถอยกลับ
ค่อยๆถอยกลับอย่างมั่นคง ; เหมือนกับที่ว่ามันได้ค่อยๆเปลี่ยนไป ค่อยๆเปลี่ยนๆไป ที่ค่อยๆลืมตัว
ค่อยลืมตัวโดยไม่ทันรู้สึกตัว
ค่อยๆลืมตัวจนผิดหมด.
เดี๋ยวนี้มันจะถุกกันทั้งทีแล้ว ขอให้ถอยกลับๆ ถอยกลับ,
ถอยกลับเช่นเดียวกับที่มันค่อยๆลืมตัว, ค่อยๆลืมตัวไปอยู่ในความผิดพลาด. ทีนี้ภิกษุทั้งหลายก็มองดูความที่ทมันได้ผิดพลาดออกไปไกลถึงไหน
แล้วก็ขอให้มันถอยกลับๆ มันก็จะมาสู่สภาพเดิม,
อย่างที่เรียกว่าฟ้าสางทางภิกษุสาชีพ
ไม่พ้นจากการที่จะต้องใช้หิริและโอตัปปะ และธัมมัญญุตา อีกตามเคย.
ถ้าเรามีความละอาย
มีความกลัวในความผิดพลาดเหล่านี้แล้ว
มันก็ถอยกลับได้ ; เป็นฟ้าสางทางภิกษุสาชีพ
ภิกษุสารูป ภิกษุสาชีพ สมณสารูป สมณสาชีพ กลับมาแล้วก็เป็นฟ้าสางทางบรรพชิต.
นี่การบรรยายนี้สมควรแก่เวลาแล้ว พูดกันได้อีกสองสามเรื่อง
วันนี้ ขอยุติการบรรยาย
เพื่อเป็นโอกาสให้พระคุณเจ้าทั้งหลาย สวดบทพระธณรมเป็นคณะ ฟังแล้วส่งเสริมกำลังใจ
ในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ถุกต้องยิ่งขึ้นๆสืบไป.
หลงความบ้าว่าศีลธรรม
โลกทุกวันนี้ อยู่ในขั้น
กลียุค
ที่เบิกบุก
เร็วรุด สู่จุดสลาย
จนสิ้นสุด
มนุษยธรรม ด่ำอบาย
เพราะเห็นกง-
จักรร้าย เป็นดอกบัว
กิเลสไส- หัวส่ง
ลงปลักกิเลส
มีความแกว่น
แสนพิเศษ มาสุมหัว
สามารถดูด
ดึงกันไป ใจมืดมัว
เห็นตนนัว
ที่จมกาม ว่าความเจริญ
มองไม่เห็น ศีลธรรม
ว่าจำเป็น
สำหรับอยู่
สุขเย็น ควรสรรเสริญ
เกียรติ กาม กิน
บิ่นบ้า ยิ่งว่าเกิน
แล้วหลงเพลิน
ความบ้า ว่าศีลธรรม ฯ.
ยิ่งเจริญ ยิ่งบ้า
ถ้าพูดว่า “ยิ่งเจริญ
คือยิ่งบ้า”
ดูจะหา คนเชื่อ ได้ยากยิ่ง
เพราะต่างชอบ ความเจริญ ที่เกินจริง
เจริญอย่าง ผีสิง ยิ่งชอบกัน
โลกเจริญ เกินขนาด
ธรรมชาติแหลก
เกิดของแปลก แปลงโลก ให้โศกศัลย์
ทำมนุษย์ ให้เป็นสัตว์ พิเศษพลัน
คือฆ่ากัน ทั้งบนดิน และใต้ดิน
ยิ่งเจริญ ยิ่งดุเดือด
ด้วยเลือดอาบ
ยิ่งฉลาด ยิ่งมีบาป กว่ายุคหิน
สร้างปัยหา ยุ่งยาก มากระบิล
โลกทั้งสิ้น สุมความบ้า ว่าความเจริญ ฯ.
พระองค์อยู่ที่หลังม่าน
ดูให้ดี พระองค์มี
อยู่หลังม่าน
อยู่ตลอด อนันตกาล ท่านไม่เห็น
เฝ้าเรียกหา ดุจเหก่าหอน ห่อนหาเป็น
ไม่รู้ดเช่น เชิงหา ยิ่งหาไกล
เพียงแต่แหวก ม่านออก
สักศอกหนึ่ง
จะตกตะลึง ใจสั่น อยู่หวั่นไหว
จะรู้จัก หรือไม่ ไม่แน่ใจ
รู้จักได้ จักปรีดี “อยู่นี่เอง”
เชิญพวกเรา เอาภาร
“การแหวกม่าน”
งดงมงาย ตายด้าน หยุดโฉงเฉง
ทำลายล้าง อวิชชา อย่ามัวเกรง
ว่าไม่เก่ง ไม่สวย ไม่รวยบุญ ฯ.
สุจิต – ทุจิต
ทุจิต
คือจิต เกิด”ตัวกู”
เฝ้ายกหู ชูหาง อย่างบ้าหลัง
เขาตักเตือน อย่างไร ไม่ยอมฟัง
เฝ้าคลุ้มคลั่ง เดือดพล่าน เผาผลาญใจ
สุจิต คือจิต
ว่าง”ตัวกู”
สะอาดอยู่ ด้วยสภาพ อันผ่องใส
สว่างอยู่ เพราะเห็นตาม ความจริงไป
สงบอยู่ เพราะเย็นได้ ไม่ร้อนรน
เหตุดังนั้น หมั่นระวัง
ตั้งสติ
คุมความตริ ทันควัน หมั่นฝึกฝน
มิให้เกิด “ตัวกู” อยู่ในตน
เป็นสุชน เพราะสุจิต วิศิฏฐ์เอย ฯ.
ติดตำราจะติดตัง
จงรักษา ดวงใจ
ให้ผ่องแผ้ว
อย่าทิ้งแนว การถือ คือเหตุผล
อย่าถือแต่ ตามตำรา จะพาตน
ให้เวียนวน ติดตัง นั่งเปิดดู
อย่าถือแต่ ครูเก่า
เฝ้าส่องบาตร
ต้องฉลาด ความหมาย สมัยสู
อย่ามัวแต่ อ้างย้ำ ว่าคำครู
แต่ไมรู้ ความจริง นั้นสิ่งใด
อย่ามัวแต่ ถือตาม
ความนึกเดา
ที่เคยเขลา เก่าแก่ แต่ไหนๆ
ต้องฉลาด ขูดเขลา ปัดเป่าไป
ให้ดวงใจ แจ่มตรู เห็นลู่ทาง ฯ.
เราถือศาสนาอะไรกันแน่
ศาสนา โบสถ์วิหาร
การวัดวา
ศาสนา คือพระธรรม คำสั่งสอน
ศาสนา ประพฤติธรรม ตามขั้นตอน
ศาสนา พาสัตว์จร จวบนิพพาน
ศาสนา เนื้องอก
พอกพระธรรม
ศาสนา น้ำครำ ของเป็ดห่าน
ศาสนา ภูตผี พานิชการ
ศาสนา วิตถาร กวนบ้านเมือง
ศาสนา ใหม่ใหม่
ร้ายกว่าเก่า
ศาสนา ของพวกเจ้า โจรผ้าเหลือง
ศาสนา ปัจจุบัน พันการเมือง
ศาสนา มลังเมลือง เมืองคนเย็น ฯ.
เรียนธรรมะ
เรียนธรรมะ อย่าตะกละ
ให้เกินเหตุ
จะเป็นเปรต หิวปราชญ์ กินคาดหวัง
อย่าเรียนอย่าง ปรัชญา มัวบ้าดัง
เรียนกระทั่ง ตายเปล่า ไม่เข้ารอย
เรียนธรรมะ ต้องเรียน
อย่างธรรมะ
เรียนเพื่อละ ทุกข์ใหญ่ ไม่ท้อถอย
เรียนที่ทุกข์ ที่จริง ยิ่งเข้ารอย
ไม่เลื่อนลอย มองให้เห็น ตามเป็นจริง
ต้องตั้งต้น การเรียน
ที่หูตา ฯลฯ
สัมผัสแล้ว เกิดเวทนา ตัณหาวิ่ง
ขึ้นมาอยาก เกิดผู้อยาก เป็นปากปลิง
“เรียนรู้ยิง ตัณหาดับ นับว่าพอ ฯ”.
เรียนแบบคันถธุระ
คันถธุระ คือเรียนร่ำ
พระคัมภีร์
ที่ร้อยกรอง กันเต็มที่ ยุคทีหลัง
เป็นมัดมัด ตู้ ตู้ ดูมากจัง
เรียนจนคลั่ง เคลิ้มไคล้ ไปก็มี
ภาวนาว่า นางฟ้า
ปิฎกไตร
จงผูกใจ ขไว้ ให้ถนัดถนี่
จะตายไป กี่ชาติ กี่ภพมี
ขอสมรส ด้วยวาณี ตลอดไป
เป็นการสืบ ศาสนา
ปริยัติ
จะได้มี ปฏิบัติ ที่แจ่มใส
แต่ดูดู คล้ายจะมุด คุดอยู่ใน
ไม่อยากได้ พระนิพพาน สักท่านเดียว ฯง
เรียนวิปัสสนา
เรียนวิปัสสนา เพิ่งมีมา
ต่อภายหลัง
ไม่เคยฟัง ในบลาลี ที่ตถา
ไม่แยกเป็น คันถะ วิปัสสนา
มีแต่ว่า ตั้งหน้า บำเพ็ญธรรม
เพราะทนอยู่ ไม่ได้
ในกองทุกข์
จึงได้ลุก จากเรือนอยู่ สู่เนกขัม
จัดชีวิต เหมาะแท้ แก่กิจกรรม
เพื่อกระทำ ให้แจ้ง แห่งนิพพาน
ในบัดนี้ มีสำนัก
วิปัสสนา
เกิดขึ้นมา เป็นพิเศษ เขตสถาน
ดูเอาจริง ยิ่งกว่าครั้ง พุทธกาล
ขอให้ท่าน จริง, ดี มีวิปัสสนา ฯ.
เรียนชีวิต
เรียนชีวิต อย่าแสวง
จากแหล่งนอก
อย่าเข้าไป ในคอก แห่งศาสตร์ไหน
อย่ามัวคิด ยุ่งยาก ให้ฝากใจ
อย่าพิจารณา จาระไน ให้นุงนัง
อย่ายึดมั่น นั่นนี่
ที่เรียกกฏ
มันตรงตรง คดคด อย่าหมดหวัง
จงมองตรง ลงไปที่ ชีวิตัง
ดูแล้วหยั่ง ลงไป ในชีวิต
ให้รู้รส หมดทุกด้าน
ที่ผ่านมา
ให้ซึมซาบ วิญญาณ์ อย่างวิศิษฐ์
ประจักษ์ทุกข์ ทุกระดับ กระชับชิด
ปัญหาชีวิต จะเผยออก บอกตัวเอง ฯ.
ไม่น่าจะบ้า
พุทธศาสนา คือวิชา
ที่เปลื้องปลุก
มิให้คน ทนทุกข์ เท่าเส้นขน
แต่คนรับ รับมา ทำสัปดน
มาทำตน ให้ทุกข์ รุกขึ้นไป
ให้ยึดมั่น ขลาดเขลา
เมาศาสนา
สอนเป็นบ้า เรียนเป็นบ้า คว้ากันใหญ่
สร้างเป็นบ้า จนเป็นฝ้า บังจิตใจ
เกิดฝักฝ่าย พวกพรรค รักสู้กัน
ส่วนพระธรรม คำสอน
สิ่งดับทุกข์
ไม่สนใจ ทำให้ถูก ตามหลักนั่น
หลงส่งเสริม เพิ่มทุกข์ ลุกเป็นควัน
นี่แหละพันธุ์ พวกบ้า เจ้าข้าเอย ฯ.
บางนาทีท่านมีมัน
รสอะไร ไม่ประเสริฐ
หรือสุทธิศานติ์
ยิ่งไปกว่า รสของการ ไม่ต้องได้
ไม่ต้องเป็น ไม่ต้องอยู่ ไม่ต้องตาย
ไม่กระหาย ไม่สงสัย ไม่กังวล
ไม่หวั่นไหว ไม่ถือ
ร้ายหรือดี
ไม่ถวิล หวังที่ มันสับสน
เช่นจวนได้ หรือจะได้ แต่กลายวน
เป็นไม่แน่ ว่าตน จะได้มัน
รสความว่าง อิ่มโอชะ
ตลอดกาล
เป็นสัมปราย- โวหาร พระอรหันต์
ดูให้ดี บางนาที ท่านมีมัน
แต่ว่าท่าน ดูไม่ดี ไม่มีเอย ฯ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น