28.
ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ
ในระยะเวลาที่ผ่านมา
สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยแม้จะเข้าสู่ระบบ
และกระบวนการตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตย
ทำให้กลไกการบริหารบ้านเมืองสามารถดำเนินต่อไปได้ตามปกติ,
แต่ความขัดแย้งก็ยังมีความรุนแรง และมีแนวโน้มที่จะรุนแรงต่อไปโดยปราศจากจุดจบ,
นำความวิตกกังวลมาสู่คนไทย ที่รักจะได้เห็นสันติสุขเกิดขึ้น.
ทั้งนี้เพราะเหตุยังไม่ดับ.
สัจธรรมข้อนี้คนไทยทุกคน
ทุกกลุ่มและทุกฝ่ายมีความเห็นตรงกัน. ที่แตกต่างกันก็คือปัญหาว่า อะไรคือเหตุ.
การที่จะดับเหตุ จำเป็นจะต้องมีความชัดเจนว่า อะไรคือเหตุ.
คนส่วนใหญ่ที่มีโอกาสไตร่ตรองเหตุการณ์บ้านเมือง ก็พอที่จะทราบว่า เหตุอยู่ตรงไหน,
ขณะที่ยังมิได้พยายามหาคำตอบให้ได้ว่า จะดับเหตุนั้นได้อย่างไร.
เมื่อยังไม่อาจที่จะดับเหตุได้
สังคมไทยก็แสวงหาวิถีทางที่อาจจะช่วยบรรเทาความรุนแรงของความขัดแย้ง
โดยสนับสนุนให้มหาชนช่วยกันพิจารณาปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องของกลไกทางการเมืองในปัจจุบัน
ให้มีความสอดคล้องกับความปรารถนาของประชาชนคนไทยทุกหมู่ทุกเหล่า,
รวมทั้งการเรียกร้องหา “การเมืองใหม่” ซึ่งเป็นการเมืองที่มีธรรมะนำหน้า
อันแตกต่างไปจากการเมืองแบบเก่าๆ
ที่นักการเมืองมุ่งแสวงหาแต่ผลประโยชน์ของตนเป็นภารกิจหลัก
โดยภารกิจทางการเมืองเปรียบได้กับการประกอบธุรกิจอย่างหนึ่ง ที่ต้องมีการลงทุน
และการมุ่งหวังกำไรตอบแทน.
หลายคนเรียกภารกิจดังกล่าวนี้ว่า “การปฏิรูปการเมือง”
คือการทำให้การเมืองมีคุณภาพมากขึ้นและดำเนินไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยอันสมบูรณ์,
ทั้งนี้โดยเป็นที่เข้าใจว่า “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์” คือความปรารถนาอันสูงสุดของประชาชาติ.
ประชาชนคนไทยเมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องนี้ก็จะเกิด
“ปัญหาที่คาใจ” ขึ้นมาทันที 3 ประเด็น ดังนี้คือ
ประเด็นแรก “ปฎิรูปการเมือง” กันอีกแล้ว
เพราะคนไทยเราได้ยินคำนี้อย่างต่อเนื่องมานานปี
ดูเหมือนตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อเดือนตุลาคม 2516 เมื่อมีการเดินขบวนตามถนนราชดำเนิน
ประท้วงรัฐบาลทหารซึ่งบริหารบ้านเมืองอยู่ในขณะนั้น
ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางการเมือง, เศรษฐกิจและสังคม
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเมืองไทยเราในทุกวันนี้ โดยได้มีการ”ปฏิรูปการเมือง”กันมาเป็นระยะๆ
และไม่รู้จักจบสิ้น.
ประเด็นที่สอง
เมื่อใดที่มีการกล่าวถึงการ “ปฏิรูปการเมือง”
ก็มักจะมีความพยายามที่จะยกเลิกรัฐธณรมนูญฉบับที่กำลังใช้อยู่
และยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยทำให้เข้าใจว่าการนั้นจะทำให้การเมืองมีคุณภาพมากขึ้น
และจะนำไปสู่ “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์” มากขึ้น. หลายคนจำได้ว่านับตั้งแต่ปี 2516
เป็นต้นมา ประเทศไทยได้มีรัฐธรรมนูญมาอีก 4-5 ฉบับ. ดังนั้น
เมื่อจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องของกลไกการเมืองกันอีก โดยเห็นว่าที่ผ่านมา
การเมืองไทยล้มเหลว, ก็คงจะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่อีกฉบับหนึ่ง.
ประเด็นสุดท้าย
ซึ่งเป็นปัญหาที่คาใจกันมานาน ก็คือปัญหาว่าด้วย “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” ซึ่งแยกออกได้เป็น
ปัญหาว่า “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” คืออย่างไร และปัญหาว่าเมืองไทยของเราจะมีสิทิที่จได้เห็นและได้มี
“ประชาธิปไตยสมบูรณ์” กับเขาบ้างไหม, อีกทั้งจะได้มาด้วยวิธีการใด.
ผมเองก็ให้ความสนใจต่อประเด็นสุดท้ายของปัญหาคาใจนี้อยู่มาก
และจนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยมีท่านผู้รู้ช่วยให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องข้างต้นนี้เลย
โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นการออกความคิดเห็นในเรื่องกลไกการเมืองที่บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ
ซึ่งอาจจะมีความผิดแผกแตกต่างกันบ้าง ตรงจุดนั้นจุดนี้. นอกจากนั้น
ความขัดแย้งกันก็มักจะอยู่ที่กลไกการเมืองดังกล่าวนี้ ซึ่งทำให้มีการเรียกร้องให้มีการแก้ไข,
ยกเลิก หรือยกร่างใหม่ รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ.
ผมเห็นว่าการกล่าวถึง “ประชาธิปไตยสมบูรณ์”
นั้นเป็นเรื่องใหญ่กว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการ “ปฏิรูปการเมือง” มาก
โดยมีเรื่องราวหลายประเด็นที่ต้องการความรู้ความเข้าใจ
ตลอดจนการตกลงใจของประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ ซึ่งย่อมจะนำไปสู่ความขัดแย้งในความคิดที่ไม่มีโอกาสจะเห็นพ้องต้องกัน.
ดังนั้น “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” จึงต้องการเวลาสหรับการศึกษาวิเคราะห์,
การปรึกษาหารือ ตลอดจนการทำความเข้าใจที่ตรงกันและสอดคล้องต้องกันของคนทั้งประเทศ.
ที่แน่นอนที่สุดก็คือ ประชาชนส่วนใหญ่จะต้องมีความรู้
ความคิดและความสนใจในปัญหาของบ้านเมืองเป็นส่วนรวม
อีกทั้งจะต้องแยกแยะได้ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัว และผลประโยชน์ส่วนรวม
ซึ่งจะต้องยอมเสียสละผลประโยชน์ส่วนรวมในทุกกรณี.
เริ่มต้นก็จะต้องมีความชัดเจนในความหมายของ
“ประชาธิปไตย” เพราะ “ประชาธิปไตย” มีความหมายที่แตกต่างกันไปในความเข้าใจของแต่ละบุคคล
และแต่ละกลุ่มบุคคล โดยมักจะคิดกันแต่ว่า จะได้อะไรจาก “ประชาธิปไตย”
โดยมิได้คิดถึงว่า จะต้องเสียสละสิ่งใดอันเป็นประโยชน์ส่วนตัว เพื่อได้มาซึ่ง “ประชาธิปไตย”
ในบริบทของส่วนรวม.
นอกจากนั้นก็จะต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า
“ประชาธิปไตย” นั้น เป็น “วิถีทาง” หรือ “วิธีการ” ที่จะนำไปสู่ “จุดหมาย”ของสังคม
เช่น สันติสุขอย่างถาวร เป็นต้น, หรือจะเป็น “จุดหมาย”เสียเอง.
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เราต้องการ “ประชาธิปไตย” เพื่อเป็น “วิถีทาง”
อันจะนำไปสู่สันติสุขอันถาวรของสังคม หรือเราต้องการ “ประชาธิปไตย” เพื่อ “ประชาธิปไตย”.
คำตอบในเรื่องนี้มิใช่เรื่องง่ายเลย.
ต่อไปก็จะต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ว่า
“ประชาธิปไตย” หมายถึง “ประชาชน”เป็นใหญ่ หรือ “ประโยชน์ของประชาชน”เป็นใหญ่. ซึ่งมีความหมายที่แตกต่างกันมาก.
นอกจากนั้นก็ยังต้องทำให้มีความเข้าใจที่ตรงกันว่า “ประชาชน” หมายถึงใคร.
ในปัจจุบันมีความสับสนในเรื่องนี้กันมาก เพราะใครๆก็อ้าง “ประชาชน”.
ที่สำคัญก็คือ
จะต้องศึกษาและวิเคราะห์ให้ชัดเจนว่า สิ่งใดบ้างที่เป็นความปรารถนาของประชาชนชาวไทย.
สิ่งใดที่เป็น”ความจริง” และสิ่งใดที่เป็นเพียง”ภาพลวงตา”. คำถามข้อแรกก็คือ คนไทยเราต้องการ”ประชาธิปไตย”จริงๆหรือ
เพราะพฤติกรรมต่างๆที่ปรากฏให้เห็นก็มิได้ยืนยันว่าคนไทยปรารถนา “ประชาธิปไตย”
สักเท่าใดนัก.
“เสาหลัก” ของ “ประชาธิปไตย” ประกอบด้วย
ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ, ประชาธิปไตยในทัศนะทาฃงสังคม,
และประชาธิปไตยของระบอบการปกครองและกลไกทางการเมือง. “เสาหลัก”ดังกล่าวนี้เป็นบานรากของ “ประชาธิปไตยสมบูรณ์”
ซึ่งทุกเสาจะต้องมีความแข็งวแกร่ง. ลำพัง”กลไกทางการเมือง” ประการเดียวไม่สามราถที่จะพัฒนา
“ประชาธิปไตยสมบูรณ์”ได้.
สาเหตุที่เมืองไทยยังห่างไกลจาก “ประชาธิปไตยสมบูรณ์”
แม้ว่าจะได้เปลี่ยนระบอบการปกครองและกลไกทางการเมืองมาเป็นแบบประชาธิปไตยมาตั้งแต่ปี
พ.ศ.2475 และมีการปฏิรูปกลไกทางการเมืองฃครั้งใหญ่ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
ก็เพราะมิได้ให้ความเอาใจใส่อย่างจริงจังต่อ “เสาหลัก” อีก 2 เสา คือ
ประชาธิปไตยทางเศราฐกิจ และประชาธิปไตยในทัศนะทางสังคม.
ประชาธิปไตยในทัศนะทางสังคม ก็มีอาทิ จิตสำนึกในศีลธณรม,
คุณธรรมและจริยธรรม, จิตสำนึกในการยึดถือเอาประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง,
ความเสมอภาคในฐานะทางเศรษฐกิจสังคม และจิตสำนึกในภารดรภาพขอลมวลมนุษย์
และสิทธิมนุษยชน.
ที่สำคัญที่สุดก็คือ
ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีความหมายคนละเรื่องกับ “เศรษฐกิจทุนนิยม”
และเป็นเรื่องที่มีความเข้าใจสับสน.
ประชาธิปไตยทางเศราฐกิจมีลักษณะสำคัญ 5
ประการ ดังต่อไปนี้คือ
1.
การมีระบบเศรษฐกิจที่เป็นประชาธิปไตย
ซึ่งสำหรับเมืองไทยจำเป็นจะต้องมี “ระบบเศรษฐกิจคู่” คือโดยทั่วไปเป็นระบบเศรษฐกิจทุนนิยม
ขณะที่ในพื้นที่ชนบทซึ่งราษฎรส่วนใหญ่เสียสมดุลทางเศรษฐกิจ
กล่าวคือไม่สามารถผลิตและสร้างรายได้ให้เพียงพอสำหรับสนองความต้องการพื้นฐาน
ใช้ระบบเศรษฐกิจ “สหกรณ์ชุมชน”.
ระบบเศรษฐกิจคู่ดังกล่าวนี้เป็นโครงสร้างที่สำคัญของประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ.
2.
การมี “เสรีภาพทางเศรษฐกิจ”ในการผลิต,
การแลกเปลี่ยน, การบริโภค, การลงทุน ฯลฯ ซึ่งมีขอบเขตและข้อจำกัด
มิให้เกิดความได้เปรียบและความเสียเปรียบเกินสมควร.
3.
การจัดสรร”มูลค่าเพิ่ม”
ระหว่างผู้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ซึ่งมีส่วนร่วมกันผลิตสินค้าและบริการ
อย่างเป็นธรรมและสอดคล้องกับคุณค่าในการนั้น.
4.
การมีระบบภาษีอากรที่ทำให้การถือครองโภคทรัพย์ของบุคคลและกลุ่มบุคคลมีความเหมาะสมและเท่าเทียมกัน
โดยไม่เป็นอุปสรรคต่อการผลิต และการสร้าง”มูลค่าเพิ่ม”.
ระบบภาษีอากรดังกล่าวนี้ประกอบด้วย
การใช้การบริโภคเป็นมาตรวัด “ความสามารถในการเสียภาษี” แทนการผลิตและรายได้,
การจัดเก็บภาษีทรัพย์สินในอัตราก้าวหน้า, และการจัดเก็บภาษีมรดก เป็นต้น.
5.
การจัดให้มีสวัสดิการสังคมที่ทั่วถึงและเพียงพอในทุกๆด้าน
ไม่ว่าจะเป็นในด้านการรักษาพยาบาล, การว่างงาน, ชราภาพ, ทุพลลภาพ
และรวมถึงการศึกษาและการอบรมวิชาชีพ.
นอกจากนั้นก็ยังจะต้องพยายามดูแลให้รายได้ของบุคคลมีความสอดคล้องกับความหนักเบา
และความยากง่ายของงานที่ทำ รวมถึงการเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายในด้านต่างๆด้วย,
อีกทั้งต้องดูแลมิให้รายได้และค่าตอบแทนของบุคคลและกลุ่ทบุคคลในอาชีพต่างๆ
มีความแตกต่างกันจนเกินไป.
เมื่อสังคมมีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ
อีกทั้งมีประชาธิปไตยในทัศนะทางสังคม
ระบอบการปกครองและกลไกทางการการเมืองก็จะได้รับการพัฒนาโดยธรรมชาติ
เข้าสู่ความเป็น”ประชาธิปไตยสมบูรณ์”.
ในทางกลับกัน ถ้าหากเศรษฐกิจไม่มีความเป็นประชาธิปไตย,
อีกทั้งทัศนะทางสังคมก็ไม่เป็นประชาธิปไตย,
การเมืองก็ย่อมไม่มีทางที่จะเป็นประชาธิปไตย ไม่ว่าจะใช้ระบอบการปกครองแบบไหน
และบัญญัติกลไกการเมืองอย่างไรเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ.
อย่างไรก็ตาม
การสร้าง”ประชาธิปไตยสมบูรณ์” เป็นภารกิจที่ยากยิ่ง
เพราะเป็นการเรียกร้องความเสียสละจากประชาชนทุกหมู่เหล่า
ในฐานะผู้เป็นเจ้าของประเทศโดยเหกือบจะมิได้ให้ผลตอบแทนเป็นส่วนตัวแต่ประการใดเลย.
เนื่องจากในปัจจุบัน(หรือแม้แต่ใมนอดีต)
คนไทยเรามีพฤติกรรมที่ส่อไปใน “การเอาแต่ได้”
และมักจะไม่มีจิตสำนึกในการเสียสละเพื่อส้วนรวม, ดังนั้นการสร้าง”ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ”
จึงอาจเป็นไปไม่ได้ในเมืองไทย, ไม่ว่าจะเป็นในปัจจุบัน หรือในอนาคต.
ดังนั้นคนไทยก็จะต้องไม่คาดหวังใดๆในเรื่อง “ประชาธิปไตยสมบูรณ์”,
หรือแม้กระทั่งจะต้องยอมรับประชาธิปไตยเพียงบางส่วน หรือบางระดับเท่านั้น.
...จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ -
ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" รวมบทความที่เขียนโดย
ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร
ราชบัณฑิต...จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว...ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2553....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น