หน้าเว็บ

วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2563

ถอดรหัสเศรษฐศาสตร์ เพื่อเข้าใจเศรษฐกิจ - ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต

18. ถอดรหัสเศรษฐศาสตร์
เพื่อเข้าใจเศรษฐกิจ


          เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้เข้ามาบริหารประเทศในปี พ.ศ. 2502 ท่านได้ให้ความสำคัญต่องานในด้านวิชาการเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาการในด้านเศรษฐศาสตร์, ในช่วงเวลาที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์ฯได้กล่าวในโอกาสหนึ่งว่า
          “เศรษฐกิจเป็นเรื่องเกี่ยวกับสามัญสำนึกอยู่มาก คนที่ไม่ได้เล่าเรียนศึกษาเศรษฐศาสตร์มาเลย ก็อาจพูดเรื่องเศรษฐกิจได้มาก และความเข้าใจที่ว่ารู้มากอยู่แล้ว ทำให้เกิดความคิดต่อไปว่า ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยวิชาการ อาจคิดเอาเองได้ ความคิดเช่นนี้ไม่มีในตัวข้าพเจ้า”.
          ผมรับราชการในด้านเศรษฐกิจในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงมีโอกาสได้ติดตามนโยบายและแนวความคิดของผู้นำรัฐบาลอย่างค่อนข้างใกล้ชิด และยืนยันได้ว่าท่านจอมพลสฤษดิ์ฯ น่าจะกล่าวข้อความข้างต้นด้วยความจริงใจ.
          ในเรื่องนี้ เราจะต้องยอมรับความจริง 2 ข้อ คือประการแรก แนวคิดและข้อวิเคราะห์ในเชิงทฤษฎีของ “เศรษฐศาสตร์” นั้นไม่ง่ายอย่างที่หลายคนคิด, ซึ่งสำหรับผม เห็นว่ายากพอสมควรทีเดียว, และประการที่สอง เมื่อมีปัญหาเศรษฐกิจที่จะต้องวิเคราะห์ขึ้นมา ดูเหมือนว่าไม่ค่อยจะได้ให้ความเอาใจใส่กับ “เศรษฐศาสตร์” เท่าใดนัก.
          ข้อสังเกตของผมดังกล่าวนี้ก็ตรงกับคำกล่าวของท่านจอมพลสฤษดิ์ฯ เมื่อเกือบครึ่งศตวรรษมาแล้ว.
          ผมเชื่อว่า ด้วยพฤติกรรมที่ปรากฏให้เห็นดังที่ว่านี้ ก็น่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่มีความสับสนในเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งก็บังเอิญเป็นเรื่องที่พัวพันอยู่กับชีวิตประจำวันของมนุษย์เราโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้, และความสับสนดังกล่าวก็ย่อมจะมีลักษณะที่เป็น “ปัญหาคาใจ”ประเภทหนึ่ง.
          สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนไทยมีความสับสนในเรื่องของเศรษฐกิจก็คือข่าวสารที่รายงานทุกวัน วันละหลายเพลา โดยสื่อมวลชนแขนงต่างๆ, ซึ่งผมคิดว่า แม้สื่อมวลชนที่รายงานก็คงจะมีความรู้สึกสับสนกับข่าวด้วยเช่นกัน.
          มาพิจารณาสถานการณ์ในปัจจุบัน.
          โดยที่ข่าวสารทางเศรษฐกิจมักจะรายงานใน “เชิงปริมาณ” คือนำเสนอเป็น “ตัวเลข” โดยไม่มีคำอธิบายตัวเลขเหล่านั้นอย่างครบถ้วนและถูกต้อง, ความสับสนก็ย่อมจะหลีกเลี่ยงไม่พ้น.
          มีรายงานข่าวสารเป็นตัวเลขในทำนองว่าเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีปัญหาในด้าน “ความเชื่อมั่น” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเชื่อมั่นจาก “นักลงทุนต่างชาติ”, ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์กลับเฟื่องฟู ดังจะเห็นได้จากดัชนีราคาหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นนับร้อยจุด พร้อมด้วยมูลค่าการซื้อขายในแต่ละวันหลายหมื่นล้านบาท ซึ่ง “การลงทุน” จากภายนอกประเทศมีบทบาทอย่างมาก.
          อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯเพิ่มขึ้น(แข็งขึ้น) มาโดยตลอด จนกระทั่งถึง 33 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์ เมื่อเทียบกับ 40 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์เมื่อไม่นานมานี้, ซึ่งแสดงว่าเงินบาทของเรามีค่าสูงขึ้น และได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้น โดยสะท้อนสถานภาพทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้น แม้จะมีปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง และความไม่สงบที่ภาคใต้ก็ตาม.
          ทั้งๆที่เงินบาทมีอัตราแลกเปลี่ยนสูงขึ้น ซึ่งทำให้ผู้ส่งออกได้รับเงินบาทจำนวนน้อยลงเมื่อนำเงินตราต่างประเทศท่ได้รับจากการส่งออกมาแลกเป็นเงินบาท, ทั้งปริมาณและมูลค่าการส่งออกของประเทศในภาพรวม (คือรวมการส่งออกทั้งหมด ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการส่งออกสินค้าต่างประเทศที่ผลิตหรือประกอบขึ้นในประเทศไทย) ก็เพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ.
          นอกจากนั้นก็ยังมีรายงานข่าวว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้ลดน้อยถอยลง เพราะผู้บริโภคเกิด “ถอดใจ” ไม่ยอมใช้จ่ายเงินเสียดื้อๆ ทำให้ของขายไม่ได้ จนถึงกับว่าเศรษฐกิจจะพังทลายลงมา หากรัฐบาลไม่หาทางกระตุ้นให้คนไทยใช้จ่ายเงิน.
          ในขณะเดียวกัน ก็มีรายงานจากหน่วยราชการบางแห่งว่ามีผู้ผลิตหลายรายขออนุญาตปรับราคาจำหน่ายสินค้าให้สูงขึ้น เพราะ”ต้นทุน”ในการผลิตสูงขึ้น ทั้งๆที่สินค้านำเข้าซึ่งรวมถึงวัตถุดิบและชิ้นส่วนต่างๆ น่าจะมีราคาที่ถูกลง เพราะเงินตราต่างประเทศสำหรับใช้ซื้อสินค้านำเข้าเหล่านั้นถูกลง ยกตัวอย่างเช่นเดิมสินค้านำเข้าราคา 1 ดอลลาร์เท่ากับ 40 บาท แต่ขณะนี้เหลือเพียง 33 บาทเท่านั้น.
          และสินค้าส่งออกมิใช่น้อยก็น่าจะมีต้นทุนการผลิตต่ำลง เพราะใช้วัตถุดิบนำเข้าที่ราคาถูกลง(ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ส่งออกยังคง “ฉลุย”)
          ที่ผมเอาประเด็นทางเศรษฐกิจที่มีการรายงานข่าวและพูดจากัน จนกระทั่งเกิดความสับสน บางประเด็นมายกเป็นตัวอย่าง ก็เพื่อที่จะยืนยันว่า เรื่องที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ไม่เพียงแต่จะเป็นปัญหาเศรษฐกิจเท่านั้น หากยังเป็นปัญหาในเรื่องของการสื่อความหมายภายในเมืองไทยอีกด้วยในปัจจุบัน.
          ซึ่งสาเหตุก็อย่างที่ผมได้กล่าวมาข้างต้นคือ “เศรษฐศาสตร์” ไม่ง่ายอย่างที่หลายคนคิด และไม่ค่อยจะให้ความเอาใจใส่ต่อ “เศรษฐศาสตร์” เมื่อวิเคราะห์เศรษฐกิจ.
          ยกตัวอย่างเรื่องข่าวการลดลงอย่างต่อเนื่องของความเชื่อมั่นในส่วนของผู้บริโภค ซึ่งมีข้อมูลสถิติชี้ว่า ในระยะหลังๆนี้ ประชาชนคนไทยใช้จ่ายน้อยลง.
          ข่าวเศรษฐกิจชิ้นนี้ได้ทำให้พ่อค้าวาณิชหลายคนตื่นตระหนก เพราะเข้าใจว่าเศรษฐกิจไทยซบเซา จากภาวะทางการเมืองที่อึมครึม และเหตุการณ์ปั่นป่วนรายวันใน 3 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ผู้บริโภคชะลอการจับจ่ายใช้สอย อันนำไปสู่การของไม่ได้.
          บรรดาผู้นำในวงการธุรกิจต่างออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลรีบหามาตรการกระตุ้นให้คนไทยกลับมาใช้จ่ายเงินซื้อของทุกอย่างที่ขวางหน้าต่อไปตามที่เคยทำมา ก่อนที่ภาคธุรกิจจะประสบความหายนะ.
          ปฏิกิริยาของนักธุรกิจบางคนและผู้คนในวงการอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอีกหลายๆคนที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์, บนจอภาพโทรทัศน์ และในเสียงวิทยุ ยืนยันว่าเมืองไทยของเรากำลังมีปัญหาในเรื่องการสื่อความหมายในเรื่องเศรษฐกิจ ด้วยสาเหตุสำคัญ 2 ประการ ที่ท่านจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ปรารภไว้เมื่อเกือบครึ่งศตซรรษมาแล้ว และที่ผมได้สรุปให้มีความชัดเจน.
          คำอธิบายภาวะการณ์ลดน้อยถอยลงของการบริโภคภายในประเทศ ที่นำไปเกี่ยวไว้กับสภาวะทางการเมืองและเหตุการณ์ความกำเริบเสิบสานของอาชญากรในบางจังหวัดภาคใต้ เป็นคำอธิบายที่มิได้พึ่งพา “เศรษฐศาสตร์” เอาเสียเลย.
          ความจริงการที่ประชาชนคนไทยใช้จ่ายเงินเพื่อการบริโภคน้อยลงนั้น ก็เนื่องด้วยสาเหตุ 3 ประการ คือ
(1)              คนไทยเราเริ่มซึมซับในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นพระราชทานเป็นคาถากำกับจิตสำนึกของพสกนิกรให้รู้จักอดออม, อดกลั้นในการใช้จ่ายเงินให้มีความพอดี,พอประมาณ และรู้จักเพียงพอ, ซึ่งก็คือ “ไม่ใช้ ไม่ซื้อ”. นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ทางราชการนได้อัญเชิญ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” สู่ความรับรู้และความเข้าใจประชาชนคนไทยอย่างจริงจัง ทำให้ซึมซับเข้าไปในจิตสำนึก. ผลที่ออกมาก็คือคนไทยจำนวนมากได้เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค โดยลดความสุรุ่ยสุร่ายลงไปส่วนหนึ่ง.
(2) นโยบายลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการลงทุนของทางราชการได้มีผลทำให้ประชาชนผู้บริโภคที่อาศัยรายได้จากเงินฝากสถาบันการเงิน, รวมทั้งบรรดามูลนิธิทั้งหลาย, มีรายได้ลดลงมาก ซึ่งเมื่อรายได้ลดลง การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคก็ต้องลดลงตามไปด้วย.
(3) ผู้บริโภคระดับรากแก้วจำนวนนับเป็นแสนๆคนทั่วประเทศ บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในวัตถุมงคลซึ่งัม่นใจว่าสามารถบันดาลทุกๆสิ่งอันเป็นความปรารถนาของชีวิต ได้แก่ ความปลอดภัยจากภยันตราย, ความร่ำรวยมั่งคั่ง, ความเจริญก้าวหน้า ฯลฯ และได้เจียดรายได้ ตลอดจนทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อการบริโภคในชีวิตประจำวัน ไปแสวงหาวัตถุมงคลดังกล่าว รวมเป็นจำนวนเงินในการนี้เป็นภาพรวม หลายหมื่นล้านบาท. ซึ่งมีผลทำให้ต้องเสียสละงดเว้นการบริโภคสิ่งอื่นๆไปพอสมควร.
คำอธิบายข้างต้นนี้เป็นคำอธิบายเศรษฐกิจที่ใช้ “เศรษฐศาสตร์” คือการวิเคราะห์ “อุปสงค์” ที่ความปรารถนาจะซื้อ และที่ความสามารถในการซื้อ.
เมใอวิคราะห์ในเชิง “เศรษฐศาสตร์” ออกมาเช่นนี้แล้ว ก็จะเห็นว่า การที่ประชาชนใช้จ่ายเพื่อการบริโภคน้อยลง มิใช่เรื่องความเสียหาย. ตรงข้าม, การที่คนไทยรู้จัก “พอเพียง” และรู้จักมัธยัสถ์กลับทำให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในระยะยาวจะมีอนาคตที่สดใส, มีเสถียรภาพและมีความมั่นคง ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน.
ส่วนในระยะสั้นนั้น เพื่อที่จะรักษาระดับของ “อุปสงค์” ในภาพรวมเอาไว้ ให้สามารถสร้างรายได้และมูลค่าเพิ่มต่อปี โดยใช้ประโยชน์ปัจจัยการผลิตที่มีอยู่อย่างเต็มที่. ภาครัฐก็อาจพิจารณาเพิ่มรายจ่าย ทั้งเพื่อการบริโภคและเพื่อการลงทุนให้มากขึ้น เพื่อชดเชยการลดลงของการบริโภคของครัวเรือน, อีกทั้งพิจารณามาตรการที่เหมาะสมในการจูงใจภาคธุรกิจให้ดำเนินตาม, ซึ่งเท่าที่ทราบ  ก็ดูเหมือนว่ารัฐบาลก็ได้พยายามทำอยู่แล้ว.
          ถ้าจะให้ดีแล้ว ภาครัฐก็น่าจะพิจารณา “ทุ่ม” การใช้จ่ายเงินลงไปในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ที่มีปัญหาในเรื่องความมั่นคง โดยมุ่งทำให้พื้นที่ดังกล่าวเป็น “แดนสุขาวดีทางเศรษฐกิจ” โดยมาตรการต่างๆรวมทั้งการเพิ่มค่าตอบแทนความเสี่ยงอันตรายของบุคลากรในพื้นที่ อาทิ ครู, แพทย์, พยาบาล ฯลฯ, เช่น ให้เงิน 5,000 บาทต่อเดือนในกรณีของครู เป็นต้น. นโยบายและมาตรการทำนองนี้มีลักษณะเป็นการ “ใช้กระสุนนัดเดียว ยิงนกได้ 2 ตัว”, ซึ่งคุ้มค่าตามหลักเศรษฐศาสตร์.
**********
(จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ - ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" รวมบทความที่เขียนโดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต...จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว...ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2553.)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น