18. ถอดรหัสเศรษฐศาสตร์
เพื่อเข้าใจเศรษฐกิจ
เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ได้เข้ามาบริหารประเทศในปี พ.ศ. 2502
ท่านได้ให้ความสำคัญต่องานในด้านวิชาการเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาการในด้านเศรษฐศาสตร์,
ในช่วงเวลาที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์ฯได้กล่าวในโอกาสหนึ่งว่า
“เศรษฐกิจเป็นเรื่องเกี่ยวกับสามัญสำนึกอยู่มาก
คนที่ไม่ได้เล่าเรียนศึกษาเศรษฐศาสตร์มาเลย ก็อาจพูดเรื่องเศรษฐกิจได้มาก
และความเข้าใจที่ว่ารู้มากอยู่แล้ว ทำให้เกิดความคิดต่อไปว่า
ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยวิชาการ อาจคิดเอาเองได้ ความคิดเช่นนี้ไม่มีในตัวข้าพเจ้า”.
ผมรับราชการในด้านเศรษฐกิจในสมัยจอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์
จึงมีโอกาสได้ติดตามนโยบายและแนวความคิดของผู้นำรัฐบาลอย่างค่อนข้างใกล้ชิด
และยืนยันได้ว่าท่านจอมพลสฤษดิ์ฯ น่าจะกล่าวข้อความข้างต้นด้วยความจริงใจ.
ในเรื่องนี้ เราจะต้องยอมรับความจริง 2
ข้อ คือประการแรก แนวคิดและข้อวิเคราะห์ในเชิงทฤษฎีของ “เศรษฐศาสตร์”
นั้นไม่ง่ายอย่างที่หลายคนคิด, ซึ่งสำหรับผม เห็นว่ายากพอสมควรทีเดียว,
และประการที่สอง เมื่อมีปัญหาเศรษฐกิจที่จะต้องวิเคราะห์ขึ้นมา ดูเหมือนว่าไม่ค่อยจะได้ให้ความเอาใจใส่กับ
“เศรษฐศาสตร์” เท่าใดนัก.
ข้อสังเกตของผมดังกล่าวนี้ก็ตรงกับคำกล่าวของท่านจอมพลสฤษดิ์ฯ
เมื่อเกือบครึ่งศตวรรษมาแล้ว.
ผมเชื่อว่า
ด้วยพฤติกรรมที่ปรากฏให้เห็นดังที่ว่านี้
ก็น่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่มีความสับสนในเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งก็บังเอิญเป็นเรื่องที่พัวพันอยู่กับชีวิตประจำวันของมนุษย์เราโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้,
และความสับสนดังกล่าวก็ย่อมจะมีลักษณะที่เป็น “ปัญหาคาใจ”ประเภทหนึ่ง.
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนไทยมีความสับสนในเรื่องของเศรษฐกิจก็คือข่าวสารที่รายงานทุกวัน
วันละหลายเพลา โดยสื่อมวลชนแขนงต่างๆ, ซึ่งผมคิดว่า แม้สื่อมวลชนที่รายงานก็คงจะมีความรู้สึกสับสนกับข่าวด้วยเช่นกัน.
มาพิจารณาสถานการณ์ในปัจจุบัน.
โดยที่ข่าวสารทางเศรษฐกิจมักจะรายงานใน “เชิงปริมาณ”
คือนำเสนอเป็น “ตัวเลข” โดยไม่มีคำอธิบายตัวเลขเหล่านั้นอย่างครบถ้วนและถูกต้อง,
ความสับสนก็ย่อมจะหลีกเลี่ยงไม่พ้น.
มีรายงานข่าวสารเป็นตัวเลขในทำนองว่าเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีปัญหาในด้าน
“ความเชื่อมั่น” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเชื่อมั่นจาก “นักลงทุนต่างชาติ”,
ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์กลับเฟื่องฟู
ดังจะเห็นได้จากดัชนีราคาหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นนับร้อยจุด
พร้อมด้วยมูลค่าการซื้อขายในแต่ละวันหลายหมื่นล้านบาท ซึ่ง “การลงทุน”
จากภายนอกประเทศมีบทบาทอย่างมาก.
อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯเพิ่มขึ้น(แข็งขึ้น)
มาโดยตลอด จนกระทั่งถึง 33 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์ เมื่อเทียบกับ 40
บาทต่อหนึ่งดอลลาร์เมื่อไม่นานมานี้, ซึ่งแสดงว่าเงินบาทของเรามีค่าสูงขึ้น
และได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้น โดยสะท้อนสถานภาพทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้น
แม้จะมีปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง และความไม่สงบที่ภาคใต้ก็ตาม.
ทั้งๆที่เงินบาทมีอัตราแลกเปลี่ยนสูงขึ้น
ซึ่งทำให้ผู้ส่งออกได้รับเงินบาทจำนวนน้อยลงเมื่อนำเงินตราต่างประเทศท่ได้รับจากการส่งออกมาแลกเป็นเงินบาท,
ทั้งปริมาณและมูลค่าการส่งออกของประเทศในภาพรวม (คือรวมการส่งออกทั้งหมด
ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการส่งออกสินค้าต่างประเทศที่ผลิตหรือประกอบขึ้นในประเทศไทย)
ก็เพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ.
นอกจากนั้นก็ยังมีรายงานข่าวว่า
ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้ลดน้อยถอยลง เพราะผู้บริโภคเกิด “ถอดใจ”
ไม่ยอมใช้จ่ายเงินเสียดื้อๆ ทำให้ของขายไม่ได้ จนถึงกับว่าเศรษฐกิจจะพังทลายลงมา
หากรัฐบาลไม่หาทางกระตุ้นให้คนไทยใช้จ่ายเงิน.
ในขณะเดียวกัน
ก็มีรายงานจากหน่วยราชการบางแห่งว่ามีผู้ผลิตหลายรายขออนุญาตปรับราคาจำหน่ายสินค้าให้สูงขึ้น
เพราะ”ต้นทุน”ในการผลิตสูงขึ้น ทั้งๆที่สินค้านำเข้าซึ่งรวมถึงวัตถุดิบและชิ้นส่วนต่างๆ
น่าจะมีราคาที่ถูกลง
เพราะเงินตราต่างประเทศสำหรับใช้ซื้อสินค้านำเข้าเหล่านั้นถูกลง
ยกตัวอย่างเช่นเดิมสินค้านำเข้าราคา 1 ดอลลาร์เท่ากับ 40 บาท แต่ขณะนี้เหลือเพียง
33 บาทเท่านั้น.
และสินค้าส่งออกมิใช่น้อยก็น่าจะมีต้นทุนการผลิตต่ำลง
เพราะใช้วัตถุดิบนำเข้าที่ราคาถูกลง(ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ส่งออกยังคง “ฉลุย”)
ที่ผมเอาประเด็นทางเศรษฐกิจที่มีการรายงานข่าวและพูดจากัน
จนกระทั่งเกิดความสับสน บางประเด็นมายกเป็นตัวอย่าง ก็เพื่อที่จะยืนยันว่า
เรื่องที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ไม่เพียงแต่จะเป็นปัญหาเศรษฐกิจเท่านั้น
หากยังเป็นปัญหาในเรื่องของการสื่อความหมายภายในเมืองไทยอีกด้วยในปัจจุบัน.
ซึ่งสาเหตุก็อย่างที่ผมได้กล่าวมาข้างต้นคือ
“เศรษฐศาสตร์” ไม่ง่ายอย่างที่หลายคนคิด และไม่ค่อยจะให้ความเอาใจใส่ต่อ “เศรษฐศาสตร์”
เมื่อวิเคราะห์เศรษฐกิจ.
ยกตัวอย่างเรื่องข่าวการลดลงอย่างต่อเนื่องของความเชื่อมั่นในส่วนของผู้บริโภค
ซึ่งมีข้อมูลสถิติชี้ว่า ในระยะหลังๆนี้ ประชาชนคนไทยใช้จ่ายน้อยลง.
ข่าวเศรษฐกิจชิ้นนี้ได้ทำให้พ่อค้าวาณิชหลายคนตื่นตระหนก
เพราะเข้าใจว่าเศรษฐกิจไทยซบเซา จากภาวะทางการเมืองที่อึมครึม และเหตุการณ์ปั่นป่วนรายวันใน
3 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ผู้บริโภคชะลอการจับจ่ายใช้สอย
อันนำไปสู่การของไม่ได้.
บรรดาผู้นำในวงการธุรกิจต่างออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลรีบหามาตรการกระตุ้นให้คนไทยกลับมาใช้จ่ายเงินซื้อของทุกอย่างที่ขวางหน้าต่อไปตามที่เคยทำมา
ก่อนที่ภาคธุรกิจจะประสบความหายนะ.
ปฏิกิริยาของนักธุรกิจบางคนและผู้คนในวงการอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอีกหลายๆคนที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์,
บนจอภาพโทรทัศน์ และในเสียงวิทยุ
ยืนยันว่าเมืองไทยของเรากำลังมีปัญหาในเรื่องการสื่อความหมายในเรื่องเศรษฐกิจ
ด้วยสาเหตุสำคัญ 2 ประการ ที่ท่านจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ได้ปรารภไว้เมื่อเกือบครึ่งศตซรรษมาแล้ว และที่ผมได้สรุปให้มีความชัดเจน.
คำอธิบายภาวะการณ์ลดน้อยถอยลงของการบริโภคภายในประเทศ
ที่นำไปเกี่ยวไว้กับสภาวะทางการเมืองและเหตุการณ์ความกำเริบเสิบสานของอาชญากรในบางจังหวัดภาคใต้
เป็นคำอธิบายที่มิได้พึ่งพา “เศรษฐศาสตร์” เอาเสียเลย.
ความจริงการที่ประชาชนคนไทยใช้จ่ายเงินเพื่อการบริโภคน้อยลงนั้น
ก็เนื่องด้วยสาเหตุ 3 ประการ คือ
(1)
คนไทยเราเริ่มซึมซับในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นพระราชทานเป็นคาถากำกับจิตสำนึกของพสกนิกรให้รู้จักอดออม,
อดกลั้นในการใช้จ่ายเงินให้มีความพอดี,พอประมาณ และรู้จักเพียงพอ, ซึ่งก็คือ “ไม่ใช้
ไม่ซื้อ”. นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549
ทางราชการนได้อัญเชิญ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”
สู่ความรับรู้และความเข้าใจประชาชนคนไทยอย่างจริงจัง ทำให้ซึมซับเข้าไปในจิตสำนึก.
ผลที่ออกมาก็คือคนไทยจำนวนมากได้เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค
โดยลดความสุรุ่ยสุร่ายลงไปส่วนหนึ่ง.
(2)
นโยบายลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการลงทุนของทางราชการได้มีผลทำให้ประชาชนผู้บริโภคที่อาศัยรายได้จากเงินฝากสถาบันการเงิน,
รวมทั้งบรรดามูลนิธิทั้งหลาย, มีรายได้ลดลงมาก ซึ่งเมื่อรายได้ลดลง
การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคก็ต้องลดลงตามไปด้วย.
(3)
ผู้บริโภคระดับรากแก้วจำนวนนับเป็นแสนๆคนทั่วประเทศ
บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในวัตถุมงคลซึ่งัม่นใจว่าสามารถบันดาลทุกๆสิ่งอันเป็นความปรารถนาของชีวิต
ได้แก่ ความปลอดภัยจากภยันตราย, ความร่ำรวยมั่งคั่ง, ความเจริญก้าวหน้า ฯลฯ
และได้เจียดรายได้ ตลอดจนทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อการบริโภคในชีวิตประจำวัน
ไปแสวงหาวัตถุมงคลดังกล่าว รวมเป็นจำนวนเงินในการนี้เป็นภาพรวม หลายหมื่นล้านบาท.
ซึ่งมีผลทำให้ต้องเสียสละงดเว้นการบริโภคสิ่งอื่นๆไปพอสมควร.
คำอธิบายข้างต้นนี้เป็นคำอธิบายเศรษฐกิจที่ใช้
“เศรษฐศาสตร์” คือการวิเคราะห์ “อุปสงค์” ที่ความปรารถนาจะซื้อ
และที่ความสามารถในการซื้อ.
เมใอวิคราะห์ในเชิง
“เศรษฐศาสตร์” ออกมาเช่นนี้แล้ว ก็จะเห็นว่า การที่ประชาชนใช้จ่ายเพื่อการบริโภคน้อยลง
มิใช่เรื่องความเสียหาย. ตรงข้าม, การที่คนไทยรู้จัก “พอเพียง”
และรู้จักมัธยัสถ์กลับทำให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในระยะยาวจะมีอนาคตที่สดใส,
มีเสถียรภาพและมีความมั่นคง ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน.
ส่วนในระยะสั้นนั้น
เพื่อที่จะรักษาระดับของ “อุปสงค์” ในภาพรวมเอาไว้
ให้สามารถสร้างรายได้และมูลค่าเพิ่มต่อปี
โดยใช้ประโยชน์ปัจจัยการผลิตที่มีอยู่อย่างเต็มที่. ภาครัฐก็อาจพิจารณาเพิ่มรายจ่าย
ทั้งเพื่อการบริโภคและเพื่อการลงทุนให้มากขึ้น เพื่อชดเชยการลดลงของการบริโภคของครัวเรือน,
อีกทั้งพิจารณามาตรการที่เหมาะสมในการจูงใจภาคธุรกิจให้ดำเนินตาม,
ซึ่งเท่าที่ทราบ
ก็ดูเหมือนว่ารัฐบาลก็ได้พยายามทำอยู่แล้ว.
ถ้าจะให้ดีแล้ว ภาครัฐก็น่าจะพิจารณา “ทุ่ม”
การใช้จ่ายเงินลงไปในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ที่มีปัญหาในเรื่องความมั่นคง
โดยมุ่งทำให้พื้นที่ดังกล่าวเป็น “แดนสุขาวดีทางเศรษฐกิจ”
โดยมาตรการต่างๆรวมทั้งการเพิ่มค่าตอบแทนความเสี่ยงอันตรายของบุคลากรในพื้นที่
อาทิ ครู, แพทย์, พยาบาล ฯลฯ, เช่น ให้เงิน 5,000 บาทต่อเดือนในกรณีของครู
เป็นต้น. นโยบายและมาตรการทำนองนี้มีลักษณะเป็นการ “ใช้กระสุนนัดเดียว ยิงนกได้ 2 ตัว”,
ซึ่งคุ้มค่าตามหลักเศรษฐศาสตร์.
**********
(จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ -
ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" รวมบทความที่เขียนโดย
ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต...จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว...ฉบับพิมพ์ครั้งที่
1 พ.ศ.2553.)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น