หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2563

เมืองไทยตกอยู่ในความสับสน - ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต

29. เมืองไทยตกอยู่ในความสับสน


          เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา สถาบันการต่างประเทศ เทวะวงศ์วโรปการ กระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้ผมไปบรรยายเรื่อง “รู้จักประเทศไทยฯ”แก่นักการทูต 40 ท่าน ซึ่งกำลังอยู่ในหลักสูตรอบรมเพื่อการเลื่อนตำแหน่ง ประจำปี พ.ศ. 2552 ความมุ่งหมายก็คือท่านข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศดังกล่าวนี้จะต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทนประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งในหน้าที่นั้น ก็จะต้องแนะนำให้ต่างประเทศรู้จักประเทศและเข้าใจความเป็นไทยอย่างชัดเจนและถูกต้อง แต่ก่อนที่จะปฏิบัติภารกิจนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ก็จำเป็นที่จะต้อง”รู้จักประเทศไทยฯ”เสียก่อน.
          “ประเทศไทย” ซึ่งจะทำความรู้จักและเข้าใจนั้น มิใช่ประเทศไทยในเชิงกายภาพ อันได้แก่ภูมิศาสตร์, ทรัพำยากรธรรมชาติ, แหล่งท่องเที่ยว, ปูชนียสถาน, สถาปัตยกรรมไทย และศิลปวัฒนธรรม อะไรพวกนั้น, แต่เป็น “ประเทศไทย” ในด้านการเมืองการปกครอง, เศรษฐกิจ, สังคม และวัฒนธรรม ที่บ่งบอก”ความเป็นไทย”.
          ผมไม่ได้ถามว่าเพราะเหตุใดเขาจึงเจาะจงให้ผมมาบรรยายในเรื่องดังกล่าวนี้ แต่ผมก็มีความยินดีที่จะรับใช้ ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก. ซึ่งทำให้ผมต้องใช้ความคิดว่าจะต้องกล่าวถึงอะไรบ้างในเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงที่เขาจัดให้ผมบรรยาย
          เนื่องจาก”ประเทศไทย”ที่ผมรู้จักและเข้าใจอาจจะไม่เหมือนกับ”ประเทศไทย” ในสายตาของคนทั่วไป, อีกทั้งผมได้เฝ้าดูและพยายามวิเคราะห์”วิวัฒนการสังคมไทย” อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาช้านาน, ดังนั้นผมจึงมองเห็นหลายประเด็นที่คนอื่นๆอาจจะมองไม่เห็น ซึ่งก็เป็นโอกาสดีที่จะได้ถ่ายทอดทัศนคติและมุมมองของผมไปสู่คนรุ่นหลังที่กำลังทำหน้าที่สำคัญให้แก่บ้านเมืองทั้งในปัจจุบันและต่อไปในอนาคตอันใกล้.
          ผมได้สรุปสาระสำคัญของคำบรรยายประมาณ 10 กว่าหน้าพิมพ์ดีด ให้เจ้าหน้าที่ทำสำเนาแจกจ่ายให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม และโดยอาศัยเอกสารดังกล่าว ผมกำลังเรียบเรียงขึ้นเป็นหนังสือเล่มหนึ่งภายใต้ชื่อว่า “ความรู้เรื่องเมืองไทย เพื่อรู้จักประเทศไทย, เข้าใจสังคมไทยและตระหนักในความเป็นไทย” เพื่อให้ได้เผยแพร่ในวงกว้าง. หนังสือเล่มนี้น่าจะพิมพ์ออกสู่ตลาดได้ประมาณเดือนกันยายน 2552 พร้อมๆกับหนังสือของผมอีกเล่มหนึ่งที่ให้ชื่อว่า “ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจฐานรากของถนนสู่ประชาธิปไตยอันสมบูรณ์”.
          ในการทำความรู้จักกับ”ประเทศไทย”วันนี้ ทั้งผู้ที่ทำหน้าที่แนะนำและผู้ที่รับคำแนะนำ จะต้องตระหนักว่า ในปัจจุบันเมืองไทยกำลังตกอยู่ในความสับสน และจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจกับเรื่องดังกล่าวนี้ให้ดีเสียก่อน แล้วจึงจะทำความรู้จัก”ประเทศไทย” ซึ่งในปัจจุบันถูกห่อหุ้มอยู่ด้วยความสับสนในหลายๆเรื่อง.
          สำหรับเรื่องใหญ่ๆที่กำลังมีความสับสนกันอยู่ในเมืองไทย และในความรู้สึกนึกคิดของสาธารณชนคนไทย ในลักษณะที่เป็น “ปัญหาคาใจ” ก็คือเรื่องการเมืองการปกครอง, เรื่องที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ, เรื่องที่ว่าด้วยทัศนะทางฃสังคม, และเรื่องของวัฒนธรรม.  “ความสับสน”ที่ว่านี้มีลักษณะที่ต่างๆกัน และมีที่มาที่ต่างๆกัน. กล่าวรวมๆก็คือเมืองไทยและคนไทยกำลังมีความสับสนซึ่งทำให้ชีวิตไม่เป็นสุข. การทำความเข้าใจกับ “ความสับสน” จะช่วยผ่อนคลายความเครียดในการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมไทยปัจจุบันไม่มากก็น้อย.
          เรื่องแรกของ”ความสับสน” ก็คือเรื่องการเมืองการปกครอง ซึ่งศูนย์รวมของความสับสนก็อยู่ที่คำว่า “ประชาธิปไตย” ซึ่งฃผมคิดว่าหากลืมคำๆนี้ไปเสียได้ หรือห้ามมิให้ผู้ใดเอ่ยถึงคำๆนี้ “ความสับสน”ในสังคมไทยจะคลี่คลายลงไปมาก. แต่ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะคำว่า “ประชาธิปไตย”ได้เข้ามาสิงอยู่ในเลือดเนื้อและวิญญาณของสาธารณชนคนไทยเสียแล้ว, กล่าวคือเข้ามาแต่ “คำ”, มิใช่ “ตัว”ประชาธิปไตยเอง.
          ความจริงนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.247, สาธารณชนคนไทยก็ไม่มีความสับสนในเรื่องประชาธิปไตย อีกทั้งได้ตระหนักถึงคุณประโยชน์ของ”ประชาธิปไตย” อันมีต่อบ้านเมืองและสังคมตลอดจนต่อราษฏร, คนไทยเข้าใจดีว่าการเปลี่ยนแปลงเมืองไทยเป็น “ประชาธิปไตย”จะต้องใช้เวลานานพอสมควร เพราะขึ้นอยู่กับการศึกษาของประชาชน ซึ่งรัฐบาลก็ได้พยายามทำนุบำรุงอย่างเต็มกำลังความสามารถมาโดยตลอด.
          “ความสับสน”ในคำว่า “ประชาธิปไตย” ก่อตัวขึ้นพร้อมกับกาสรรุกคืบเข้ามาของ “คอมมิวนิสต์” ซึ่งชูธงว่าทำการต่อสู้เพื่อได้มาซึ่ง”ประชาธิปไตย” ในขณะที่ทางฝ่ายรัฐบาลก้ประกาศว่าจะต้องกวาดล้าง เพื่อรักษา”ประชาธิปไตย”เอาไว้.  การอ้าง”ประชาธิปไตย”โดยทั้งสองขั้วที่ต่อสู้กัน, แม้ว่าจะมีการเรียกชื่อเฉพาะว่าฝ่ายหนึ่งเป็น “เสรีประชาธิปไตย” ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคือ “ประชาธิปไตยคอมมิวนิสต์” ก็มิได้คลี่คลายความสับสน. ต่อมาฝ่าย”คอมมิวนิสต์” หมดกำลังไป พร้อมกับการเข้ามามีอิทธิพลเหนือเศรษฐกิจ, สังคมและการเมืองไทยของ”ระบบทุนนิยม”ซึ่งอ้างว่าเป็น “เสรีประชาธิปไตย”ของจริง. แต่มิช้ามินานสาธารณชนก็เริ่มรู้สึกว่าภายใต้ระบบเศรษฐกิจดังกล่าว สังคมไทยได้แตกแยกออกมาเป็น”นายทุน”ฝ่ายหนึ่ง และ”ผู้ใช้แรงงาน”อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งแม้จะร่วมกันผลิต แต่การแบ่งสรร”มูลค่าเพิ่ม”ที่เกิดจากการผลิตนั้น ก็ยึดถือเอาผลประโยชน์ของ “นายทุน”เป็นหลัก จึงเกิดความไม่แน่ใจในความหมายของคำว่า “เสรีประชาธิปไตย”. มาถึงปัจจุบัน สังคมไทยได้แบ่งแยกออกเป็นพวก, ที่ชื่นชมศรัทธา”ทักษิน”ฝ่ายหนึ่ง และที่ต่อต้าน”ทักษิน”อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็อ้างว่า”เพื่อประชาธิปไตย”.  ดงันั้นหากสังคมไทยไม่ตกอยู่ใน “ความสับสน”แล้ว จะเรียกว่าอะไร.
          คำว่า”ประชาชน” ก็คล้ายกัน. ทั้งๆที่”ประชาชน”หมายถึงกลุ่มบุคคลต่างๆที่เป็น”สามัญชน” คือมิใช่ข้าราชการ, พ่อค้า หรือพระสงฆ์องค์เจ้า (ตามที่กล่าวกันว่า ข้าราชการ พ่อค้าและประชาชน), มิได้หมายถึง”ปวงชน” ซึ่งเป็นชนำทั้งประเทศผู้เป็นเจ้าของ”อธิปไตย”,  แต่เมื่อการชุมนุมครั้งใดมี”ประชาชน” มาร่วมกันจำนวนมากๆ ก็อ้างว่าเป็น “ปวงชน”.  ดังนั้นจึงเกิดความสับสนว่า “ประชาชน” พวกไหน, ของใคร และสวมเสื้อสีอะไร, แต่ที่แน่ๆก็คือแต่ละกลุ่มของ”ประชาชน”หาใช่”ปวงชนชาวไทย”แต่อย่างใด, ซึ่งจะอ้างสิทธิเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งใดที่มีความสำคัญต่อบ้านเมืองและสังคมไม่ได้.
          เรื่องของ “เศรษฐกิจ”ยิ่งสับสนกันใหญ่ เพราะลักษณะของปัญหาเกี่ยวกับการทำมาหากิน ดังนั้น”สามัญสำนึก” จึงถูกใช้ประโยชน์อย่างปราศจากขอบเขตในการเสนอปัญหา, วิเคราะห์ปัญหา และเรียกร้องนโยบายและมาตรการแก้ปัญหา. ในปัจจุบัน สาธารณชนคนไทยตกอยู่ใน”ความสับสน” ไม่ทราบว่าสิ่งใดถูกต้อง เพราะความขัดแย้งทางการเมืองไม่เปิดโอกาสให้ได้ตั้งสติทำความเข้าใจในเรื่องของ”เศรษฐกิจ” ตามหลักวิชาและข้อเท็จจริง.
          สำหรับ”ทัศนะทางสังคม” ก็มีความสับสนเช่นเดียวกับในเรื่องการเมืองการปกครองและเรื่องเศรษฐกิจ โดยเศรษฐกิจมีอิทธิพลเหนือทัศนะทางสังคม และทัศนะทางสังคมมีอิทธิพลต่อการเมืองการปกครองของประเทศ.  ในปัจจุบัน ทัศนะทางสังคมมีความโน้มเอียงไปสู่การยอมรับ”ธนานุภาพ”คือถือว่า “เงิน” เป็นใหญ่ และยอมรับผลประโยชน์ของบุคคลและกลุ่มบุคคลเหนือประโยชน์ของประเทศชาติ, ของบ้านเมืองและของส่วนรวม.
          ความสับสนในเรื่องของวัฒนธรรมที่ปรากฏชัดเจนก็คือ ทัศนะทางสังคมที่กล่าวหาว่า “วัฒนธรรมตะวันตก” เข้ามาทำให้วัฒนธรรมไทยเสื่อมโทรม ทั้งๆที่โดยภาพรวมแล้ว “วัฒนธรรมตะวันตก” ที่สังคมไทยเปิดรับอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 150 ปี ได้ยกระดับปรับแต่งให้ไทยเราก้าวมาสู่สังคมโลกได้อย่างสง่างาม. สำหรับบรรดาสิ่งที่ไม่ดีงามทั้งหลายนั้นมีลักษณะเป็น”ขยะ”อันไม่พึงประสงค์ของทุกๆวัฒนธรรม.
          ลักษณะของ”ความสับสน”ในสังคมไทยก็มใหลายประการ อาทิ ความสับสนในความคิดเห็น, ความสับสนในความเชื่อความศรัทธา, ความสับสนในคำอธิบายและการชี้แจง และความสับสนในความหมายของภาษาที่ใช้. “ความสับสน” ดังกล่าวนี้เนื่องมาจากสังคมไทยขาด “จิตสำนึก” ทางประวัติศาสตร์, วิทยาศาสตร์ และจริยธรรม. จิตใจของผู้คนโดยทั่วไปถูกครอบงำด้วยระบบเศรษฐกิจทุนนิยม, การขาดอุปนิสัยในการศึกษาทำความเข้าใจกับเรื่องต่างๆที่มีความซับซ้อน, การขาดความมั่นคงในจิตใจของบุคคล, ตลอดจนการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ “สื่อมวลชน” ทั้ง “แท้” และ “เทียม” ที่ตกอยู่ในความสับสนเช่นเดียวกับสาธารณชน.
          ที่น่าวิตกก็คือในปัจจุบันมีบุคคลและกลุ่มบุคคล ที่มุ่งประโยชน์ทางการเมือง จงใจที่จะสร้าง”ความสับสน”ให้แก่สาธารณชนคนไทย.

...จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ - ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" รวมบทความที่เขียนโดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต...จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว...ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2553....     


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น