30. บทบาทของสื่อมวลชน
เมื่อบ้านเมืองอยู่ในความวิกฤต
ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ได้เคยสั่งสอนผมไว้ว่า
การพิจารณาสิ่งใดนั้นอย่าได้กระทำภายใต้ข้อสมมติฐานว่าสิ่งนั้นๆ
อยู่ในสภาพที่เป็นปกติ แต่ให้พิจารณาในกรณีที่มีความไม่ปกติเกิดขึ้น
เพราะตรงนั้นที่จะชี้ขาดผลของการพิจารณา.
ยกตัวอย่างการพิจารณาตัดสินใจว่าจะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรสักอย่าง.
คนขายจะแจ้งสรระพคุณของสิ่งนั้นจนกระทั่งผู้ซื้อพอใจในคุณภาพและการใช้ประโยชน์ทุกแง่ทุกมุม.
แล้วจะทำอย่างไร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีโอกาสที่จะเสียได้ทั้งนั้น.
คำตอบก็อาจจะเป็นไปได้ว่า ถ้าเสียก็ต้องทิ้งไปเพราะแก้ไขไม่ได้
หรือไม่มีอะไหล่จะเปลี่ยน, หรือมี แต่ราคาแพงลิบลิ่ว ไม่คุ้ม.
การตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ ควรที่จะอยู่ตรงนี้.
สรุปประเด็นก็คือ
ถ้าหากทุกอย่างเป็นปกติดี ก็ไม่มีปัญหา แต่หากเกิดความไม่ปกติ
ปัญหาที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันไป ซึ่งอาจจะมากมาย หรืออาจจะไม่มาก.
แต่ไม่ว่าในกรณีอะไรก็ตาม เราพึงจะต้องรู้ว่า
หากมีปัญหาเราจะต้องแก้ไขปัญหานั้นๆอย่างไร.
เมื่อ 53 ปีมาแล้ว
ผมนั่งเครื่องบินไปยุโรปครั้งแรก, ซึ่งแม้ก่อนหน้านั้น
ผมจะเดินทางโดยเครื่องบินทั้งระยะใกล้และระยะไกลมาแล้วหลายสิบครั้งในเวลาประมาณ 7-8
ปี แต่ก็อดที่จะกังวลไม่ได้ว่าอาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้เสมอ.
บังเอิญได้อ่านแผ่นพับของสายการบินที่วางอยู่ข้างหน้า
ซึ่งเขามีข้อแนะนำอะไรต่างๆสำหรับผู้โดยสาร, มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ถ้าแม้นมีอะไรก็แล้วแต่บังเกิดขึ้น
กัปตันและลูกเรือจะทราบแน่นอนว่าจะต้องทำอย่างไร”.
ข้อความดังกล่าวนั้นทำให้ผมคลายความกังวล
เพราะที่กังวลก็เพราะเกรงว่า หากมีอะไรเกิดขึ้น
จะไม่มีผู้ใดทราบแน่นอนว่าจะต้องทำอย่างไร.
ผมนำเรื่องข้างต้นนี้มาพูด
เพราะเห็นว่าในปัจจุบัน บ้านเมืองของเราอยู่ในความวิกฤต แต่สื่อมวลชนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการช่วยกันพาบ้านเมืองให้ผ่านพ้นวิกฤต
ทำท่าเหมือนกับไม่ทราบว่าจะต้องทำอย่างไร,
และอาจซ้ำเติมให้เกิดวิกฤตซ้อนวิกฤตเสียด้วย. นี่คือปัญหาที่ “คาใจ”
ผู้คนในสังคมไทยจำนวนไม่น้อย.
ผมคงไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายความไม่ปกติของบ้านเมืองในขณะนี้
และก็คงไม่ต้องบอกว่าสาเหตุมาจากใครและเพราะอะไร
ด้วยสถานการณ์ที่ผ่านเข้ามาในแต่ละวันได้ตอบคำถามเหล่านี้อย่างชัดเจนแล้ว.
ซึ่งหากมีผู้ใดมองไม่เห็น หรือไม่เข้าใจ, ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะมีอยู่เป็นจำนวนมากเหมือนกัน,
ผมก็ไม่ทราบว่าจะช่วยทำให้หูตาสว่างได้อย่างไรในเวลาอันสั้นๆ.
ความไม่ปกติของบ้านเมืองที่สำคัญก็คือ
การแตกความสามัคคีของคนไทยที่นับวันจะร้าวลึก
ซึ่งได้ก้าวไกลไปจนถึงขั้นที่ไม่อาจจะอยู่ในสังคมเดียวกันได้
เพราะมองโลกเห็นคนละสี. การแตกสามัคคีของคนไทย
มิได้เกิดจากความขัดแย้งในเหตุผลและหลักการ,
แต่เกิดจากความผิดเพี้ยนในมโนธรรมและพฤติกรรมของบุคคลบางคน
ที่จงใจให้สังคมเกิดความสับสนเพื่อการสำเร็จประโยชน์ของตนเองโดยเฉพาะ
ที่ไม่อาจเป็นไปได้ หากบ้านเมืองมีความสงบและผู้คนสามารถที่จะมองเห็นสิ่งต่างๆตามหลักการและความเป็นจริง.
ความไม่ปกติดังกล่าวนี้ได้นำไปสู่พฤติกรรมของมวลชนที่ฝ่าฝืนขนบธรรมเนียมประเพณี,
วัฒนธรรม, ตัวบทกฎหมาย และหลักนิติธรรม โดยอ้างอิงสิ่งที่ไม่มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง,
ทั้งที่เจตนา และด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์. ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้จะต้องถูกยับยั้งโดยเด็ดขาด
โดยอำนาจรัฐที่มีไว้เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติบ้านเมือง
และเพื่อสันติสุขของประชาราษฎร์ ตามที่ตราไว้ในกฎหมาย ส่วนหนึ่ง และโดยสื่อมวลชน
ในฐานะที่มีหกน้าที่ในการบอกให้รู้, แจ้งให้ทราบ และสื่อให้เข้าใจ
ในระหกว่างสาธารณชน อีกส่วนหนึ่ง.
ในปัจจุบัน เครื่องมือในการแก้ไขปัญหาความไม่ปกติของสังคมไทยทั้งสองส่วนที่กล่าวข้างต้นนี้
ยังมิได้ถูกทำให้สำเร็จประโยชน์. กานรใช้อำนาจรัฐก็ต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง
เพราะสาธารณชนยังมิได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องไปในทางเดียวกัน,
ขณะที่สื่อมวลชนก็เพียงทำหน้าที่เป็น “กระจกเงา” สะท้อนให้เห็นถึงความสับสน
โดยมิได้พยายามช่วยคลี่คลายความสับสนหรือในบลางกรณี
ก็อาจจะเติมความสับสนลงไปในสังคม ส่งผลให้ความไม่ปกติเพิ่มพูนขึ้น. จนกระทั่งกลายเป็นความวิกฤติที่ซ้อนความวิกฤต.
ตามที่กล่าวมานี้ จะเห็นว่าสื่อมวลชนมีบทบาทที่สำคัญยิ่งในยามที่บ้านเมืองตกอยู่ในความวิกฤต
ดังเช่นเป็นอยู่ในเมืองไทยทุกวันนี้.
ความสำคัญของบทบาทของสื่อมวลชนอยู่ที่การทำหน้าที่บอกให้สาธารณชนรู้,
แจ้งให้สาธารณชนทราบ และสื่อให้สาธารณชนมีความเข้าใจ ว่าความจริงเป็นประการใด,
ความถูกต้องอยู่ที่ไหน และสิ่งใดที่ควรประพฤติ และไม่ประพฤติ.
ถ้าหากว่าสื่อมวลชนได้ทำหน้าที่ตามความรับผิดชอบต่อสังคมดังกล่าวนี้,
แม้จะทำไม่ได้ครบถ้วน หากไปในทิศทางที่ถูกต้อง, ความไม่ปกติของบ้านเมืองจะลดลง
และสันติสุขจะกลับคืนมา.
แต่การที่สื่อมวลชนจะทำหน้าที่ดังกล่าวนี้ได้อย่างถูกต้อง
ก็มีเงื่อนไขบางประการ ซึ่งเงื่อนไขที่มีความสำคัญเป็นพิเศษ ก็มีอยู่ด้วยกัน 3
ประการดังนี้
ประการแรก
สื่อมวลชนในยามที่บ้านเมืองกำลังอยู่ในความวิกฤตหรือความไม่เป็นปกติ จะต้องพักบทบาทในการทำหน้าที่
“กระจกเงา” ที่สะท้อนความสับสนต่างๆให้สาธารณชนซึ่งมีความสับสนอยู่แล้ว รู้, ทราบ
และเข้าใจ ความสับสน, นอกจากจะต้องการให้มีความสับสนมากขึ้น.
หน้าที่ของสื่อมวลชนก็คือ การทำให้สาธารณชนคลายความสับสน
ด้วยการบอกสิ่งที่เป็นความถูกต้องให้รู้. แจ้งให้ทราบว่าอะไรคือความไม่ถูกต้องและเป็นอันตราย
และสื่อให้เข้าใจเหตุผลและที่มาที่ไปของเรื่องนั้นๆ. ถ้าจะเปรียบเทียบ ก็คือ
สื่อมวลชนต้องทำหน้าที่เป็น “ไฟฉาย” ที่ส่องแสงให้สาธารณชนได้รู้,
ได้เห็นและได้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกต้อง ให้ชัดเจนในความเป็นจริง,
ในหลักวิชาการ และสอดคล้องกับหลักนิติธรรม, ในขณะเดียวกัน
สื่อมวลชนพึงจะต้องละเว้นที่จะเผยแพร่สิ่งวที่ไม่ถูกต้อง,
ขัดหลักวิชาและไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม. ในกรณีที่จตะบอกกล่าวแก่สาธารณชน
ก็ต้องชี้ชัดลงไปด้วยว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และควรระมัดระวังไม่หลงผิดไปด้วย.
กล่าวโดยสรุปในเงื่อนไขข้อแรกนี้ก็คือ
สื่อมวลชนจะต้องยืนหยัดอยู่กับความถูกต้องเสมอไป อย่างชัดเจนและโปร่งใส.
ประการที่สอง
การที่จะยืนหยัดอยู่กับความถูกต้องในเรื่องต่างๆ สื่อมวลชนจะต้องมีความรู้และความเข้าใจว่าอะไรคือความถูกต้อง
และอะไรที่ไม่ถูกต้อง. การแยกแยะระหว่างความถูกต้องกับความไม่ถูกต้องนีเ คงจะใช้”สามัญสำนึก”ไม่ได้,
กล่าวคือ จะคิดเอาเองคงจะเกิดความพลาดพลั้งได้. สำหรับเรื่องทั่วๆไป
ก็คงไม่สู้กระไร แต่ถ้าเป็นเรื่องทางเทคนิคแล้ว จะต้องพึ่งพาหลักวิชาการและการวิเคราะห์ที่เป็นระบบ,
และเช่นั้น ก็จะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก.
ดังนั้นการทำหน้าที่สื่อมวลชนจึงต้องการ”ความรู้”
และความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆที่มีอยู่ ก่อนที่จะได้มาซึ่ง “วิจารณญาณ”
สำหรับใช้ในการตัดสินใจที่จะบอกให้สาธารณชนรู้. แจ้งให้สาธารณชนทราบ
และสื่อให้สาธารณชนเข้าใจ อย่างถูกต้อง, ชัดเจนและมีประสิทธิผล.
สื่อมวลชนจะต้องไม่”ก้าวกระโดด”จากข้อมูลที่ได้รับ ซึ่งยังไม่ได้ “กรอง”
ว่าถูกต้องเพียงใดและสมบูรณ์หรือไม่ ไปสู่การรายงานให้สาธารณชนได้รับทราบ.
การแสวงหาความรู้ในหลักวิชาการและความจริง
ตลอดจนการสร้างขีดความสามารถในการวิเคราะห์ กว่าที่จะได้มาซึ่ง “วิจารณญาณ” ในการตัดสินใจในแต่ละเรื่องนั้น
ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ยากและซับซ่อน,
แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับคุณสมบัติของความเป็นสื่อมวลชน.
ในประการสุดท้าย
สื่อมวลชนไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเคร่งครัดในเรื่องของความ “การวางตัวเป็นกลาง”
ในสถานภาพที่มีความขัดแย้ง แต่ประการใด.
ถ้าหากสื่อมวลชนมีวิจารณญาณที่สามารถแยกแยะได้ว่า อะไรผิด อะไรถูก, อะไควร
อะไรไม่ควร อะไรดี และอะไรชั่ว, ก็ไม่ควรจะ “วางตนเป็นกลาง” เพราะจะต้องยืนหยัดอยู่ข้างความถูกต้อง,
ความสมควรและความดี เสมอไป โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกกล่าวหาว่า “ไม่เป็นกลาง”.
“ความเป็นกลาง” หมายถึงการยืนอยู่ตรงกลาง
ไม่ฝักใฝ่กับฝ่ายใดที่กำลังมีความขัดแย้งกัน โดยไม่ใยดีว่าฝ่ายใดจะชนะหรือแพ้,
ฝ่ายใดมีธรรมะ และฝ่ายใดคือ อธรรม, หรือฝ่ายใดอยู่ข้างกฎหมายและหลักนิติธรรม
ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งท้าทายกฎหมายและหลักนิติธรรม.
ข้อแก้ตัวของผู้ที่วางตัวเป็นกลางท่ามกลางความวิกฤต ก็เพียงประการเดียวคือ
ไม่ทราบว่า ใครผิด ใครถูก, และไม่สามรถแยกแยะได้ว่า อะไรถูกต้อง
แลชะอะไรไม่ถูกต้อง จึงต้องวางตัว “เป็นกลาง” เอาไว้ก่อน. การวางตัว “เป็นกลาง”
ดังกล่าวนี้สมควรที่จะต้องถูกตำหนิติเตียนเป็นอย่างยิ่ง.
เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 13-14
ยอดกจินตกวีอิตาเลียน ดังเต้ ได้ประพันธ์เอาไว้ในบทกวีบันลือโลกที่ชื่อว่า “ดีวายน์
คอมมะดี้” มีข้อความที่เป็นอมตะตอนหนึ่งว่า “แดนที่ร้อนที่สุดด้วยไฟนรก
คือสถานที่ซึ่งจัดสำรองไว้สำหรับเหล่าเดนมนุษย์ที่วางตัวเป็นกลางในยามที่สังคมและบ้านเมืองกำลังอยู่ในความวิกฤตทางจริยธรรม”.
เล่ากันว่า อดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ
เคนเนดี้ แห่งสหรัฐอเมริกา ชอบอ้างถึงบทกวีดังกล่าวนี้อยู่เสมอๆ.
*********
...จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ -
ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" รวมบทความที่เขียนโดย
ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต...จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว...ฉบับพิมพ์ครั้งที่
1 พ.ศ.2553.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น