ด้วยท่านหญิงเจสสิกา และ อาร์ราคิส,
ระบบการถักทอของเบเน เกสเสอริท
ที่ได้ ปลูกเพาะ-ตำนาน
ผ่านไปทาง มิสชั่นนาเรีย โพรเทตติวา ก็ได้ บรรลุสู่
การออกผลอุดมเต็มที่. ปัญญาคติของการหว่านเมล็ดในจักรวาลที่รู้จักกันด้วย
กระสวนคำพยากรณ์สำหรับการพิทักษ์ของ
บ.ก. เป็นการส่วนตัวได้รับความ
นิยมนับถือกันมาช้านาน,
แต่มิได้เคยที่เราจะเห็นสถานะ-สัมบูรณ์ด้วยการจับ
คู่บุคคลตามอุดมคติและการเตรียมพร้อมนั้น. ตำนานพยากรณ์ทั้งหลายนี้ได้แพร่
ครอบงำยัง อาร์ราคิส
แม้กระทั่งการขยายเขตของป้ายตราอุปถัมภ์ (รวมทั้ง
แม่อธิการ, โคลงฉันท์ และกาพย์กลอน,
และส่วนมากของ ชาริ-อา พาโนพลิเอ
โพรเฟติคัส). และมันเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในตอนนี้ว่า
ความสามารถที่แฝง
อยู่ของท่านหญิงเจสสิกานั้นได้ถูกประเมินต่ำไปอย่างเห็นได้ชัด.
- จาก “การวิเคราะห์: วิกฤติการณ์ชนอาร์ราคีน” โดย
เจ้าหญิง อีร์อูลาน
[วัฏจักรส่วนบุคคล: บ.ก. แฟ้มหมายเลข อร-81088587]
ทั้งหมดที่รายล้อมท่านหญิงเจสสิกา—กองรวมที่ในมุมหนึ่งของโถงใหญ่แห่ง
อาร์ราคีน, พะเนินสูงในพื้นที่เปิดโล่ง—เรียงอยู่ด้วยหีบห่อที่บรรจุเพื่อขนส่งของการดำรงชีวิตพวกเขา: กล่อง, กระเป๋า, ลัง, หีบ—บ้างแกะเปิดออกบางส่วน. เธอสามารถได้ยินเสียงการลำเลียงขนย้ายจากยานกระสวยของ
กิลด์ มาจอดส่งของลงที่ทางเข้า.
เจสสิกา ยืนอยู่ในกลางห้องโถง.
เธอเคลื่อนไหวหันไปอย่างช้าๆ, เงยขึ้นมองและมองไปรอบๆยังหลืบเงาของหน้าต่างสลักเสลาเว้าเป็นช่องเรียวเหล่านั้น.
ความผิดยุคสมัยยักษ์ใหญ่ของห้องนี้ทำให้เธอหวนคิดไปถึง โถงภคิณี ที่สำนักเบเน
เกสเสอริท. แต่ที่สำนักสิกขานั้นให้ผลถึงความรู้สึกอบอุ่น. ที่นี่, ทั้งหมดคือศิลาเย็นยะเยือก.
สถาปนิกบางคนได้เอื้อมไกลกลับไปในประวัติศาสตร์สำหรับผนังค้ำยันและสิ่งห้อยแขวนลอยอยู่เหล่านี้,
เธอคิด.
เพดานโค้งยืนขึ้นไปได้ถึงสองชั้นเหนือร่างของเธอด้วยคานขวานขนาดยักษ์ที่เธอรู้สึกแน่ใจว่าคงถูกขนส่งเข้ามายังที่
อาร์ราคีส นี้ข้ามห้วงอวกาศในค่าใช้จ่ายที่แพงมหาศาล.
ไม่มีดาวเคราะห์ของระบบนี้ที่ปลูกต้นไม้ทั้งหลายพอที่จะทำคานเช่นนี้ได้—นอกเสียจากว่าคานพวกนี้ถูกทำเป็นเลียนแบบไม้.
เธอคิดว่าไม่ใช่เช่นนั้น.
นี้เป็นคฤหาสน์รัฐบาลในวันเวลาของ จักรวรรดิเก่า.
ค่าใช้จ่ายเป็นสิ่งที่สำคัญน้อยนักในตอนนั้น. มันได้อยู่มานานก่อนพวกฮาร์คอนเนนส์
และมหานครแห่ง คารธัค ใหม่ของพวกนั้น—สถานที่ราคาถูกและก๋ากั่นราวสองร้อยกิโลเมตร”ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือข้าม
แดนปรักพัง(Broken
Land). เลโต
ได้ฉลาดที่จะเลือกสถานที่นี้เพื่อเป็นที่ตั้งรัฐบาลของเขา. ชื่อนั้น, อาร์ราคีน, มีน้ำเสียงที่ดี,
เติมเต็มไว้ด้วยจารีตประเพณี. และนี้คือนครเล็กๆ, ง่ายกว่าที่จะฆ่าเชื้อและป้องกัน.
อีกครั้งที่มีเสียงโครมครามของหีบกล่องที่ถูกขนลงมายังในทางเข้า,
เจสสิกา ถอนหายใจ.
ติดพิงอยู่กับกล่องภาชนะข้างๆที่เธอกำลังยืนอยู่นี้คือภาพวาดของบิดาของดยุค.
เชือกร้อยห่อหุ้มพันมัดรอบมันเหมือนยังกับด้ายลุ่ยระย้าตกแต่ง.
ชิ้นส่วนของเชือกร้อยฟั่นยังคงถูกกำอยู่ในมือซ้ายของเจสสิกา.
ข้างของภาพวาดนั้นวางนอนอยู่ด้วยหัวของวัวดำตรึงติดบนกระดานขัดมัน.
หัวนั้นเป็นเหมือนเกาะดำทมึนอยู่ในท่ามกลางทะเลของกระดาษเกลื่อนกระจาย.
แผ่นของมันวางราบอยู่บนพื้นห้อง, และหัวยื่นของวัวมันวาวชี้ขึ้นไปยังเพดานโถงราวกับสัตว์ร้ายที่พร้อมจะคำรามเข้าใส่ผู้ท้าทายในห้องโถงก้องเสียงกังวานนี้.
เจสสิกา สงสัยใจว่าแรงกดดันอะไรที่ได้นำเธอให้ต้องมาเปิดแก้ห่อของสองสิ่งนี้ก่อนอันอื่น—หัวนี้กับภาพวาด.
เธอรู้ดีว่ามีบางอย่างเป็นเหมือนสัญลักษณ์ในการกระทำนี้. ไม่ตั้งแต่เมื่อวันที่ผู้ซื้อของดยุคได้นำเธอมาจากสำนักสิกขาที่เธอได้ตื่นกลัวและไม่แน่ใจในตนเองเช่นนี้.
หัวนี้กับภาพวาด.
พวกมันเพิ่มปริมาณความรู้สึกของเธอของความสับสน. เธอสั่นระริกด้วยความกลัว,
เหลือบไปยังช่องหน้าต่างเรียวยาวเหนือศีรษะของเธอเหล่านั้น.
มันเพิ่งยังเป็นตอนบ่ายต้นๆของที่นี่, และที่ดินแดนแถบเส้นรุ้งนี้ท้องฟ้าดูดำมืดและเย็นเยียบ—ดำมากยิ่งกว่าสีฟ้าอบอุ่นของ
คาลาดาน. วาบหนึ่งของความคิดถึงบ้านทิ่มแทงเจ็บปลาบผ่านร่างเธอไป.
ช่างไกลเหลือเกิน, คาลาดาน.
“นี่ไงเรา!”
เสียงนั้นเป็นของ ดยุคเลโต.
เธอหมุนร่าง,
เห็นเขากำลังเคลื่อนจากช่องทางเดินซุ้มโค้งมายังโถงจัดเลี้ยง.
ชุดทำงานสีดำของเขาที่มีเกราะประจำตระกูลจงอยเหยี่ยวสีแดงประดับที่หน้าอกดูมอมแมมและยับย่น.
“ฉันคิดว่าเธอคงไม่พาตนเองหลงหายไปกับในที่ใหญ่โตน่ากลัวนี้,”
เขาพูด.
“มันเป็นบ้านที่หนาวเย็น,” เธอพูด. เธอมองดูร่างสูงของเขานั้น, ที่ผิวคล้ำซึ่งทำให้เธอคิดสวนมะกอกและตะวันสีทองบนผืนน้ำสีฟ้า.
มีควันไม้กรุ่นในดวงตาสีเทาของเขา, แต่ใบหน้านั้นคือ นักล่า: ผอมเรียว,
เต็มไปด้วยเหลี่ยมมุมและหลายระนาบ.
ความกลัวทันทีทันใดต่อเขาพุ่งขึ้นมาในอกของเธอ. เขาได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยม, ชักนำผู้คนขั้นมาถึงขนาดนี้,
ตั้งแต่การตัดสินใจที่จะค้อมคำนับรับบัญชาของ จักรพรรดิ.
“ทั้งนครนี้รู้สึกหนาวเย็น,” เธอบอก.
“มันเป็นเมืองกองทหารรักษาการณ์เล็กๆเปื้อนฝุ่น, สกปรก.”
เขาเห็นด้วย. “แต่เราจะเปลี่ยนแปลงนั่น.” เขามองไปรอบๆห้องโถง.
“มีห้องสาธารณะสำหรับจัดงานรัฐ. ฉันเพิ่งไปแอบดูส่วนที่พักครอบครัวบางห้องมาแล้วที่ในปีกด้านใต้.
พวกนั้นงดงามน่ารักกว่านี้.” เขาก้าวเข้ามาใกล้, สัมผัสแขนของเธอ, ชื่นชมในความงามสง่าของเธอ.
และอีกครา, เขาสงสัยไปถึงวงศ์ตระกูลที่ไม่มีใครทราบได้ของเธอ---ตระกูลขบถ,
บางที? ราชสำนัก-บัญชีดำ บางราย? เธอดูเป็น ราชวงศ์
เสียยิ่งกว่าสายโลหิตของจักรพรรดิเองเสียด้วยซ้ำ.
ภายใต้แรงกดดันจากการมองของเขา, เธอหันไปครึ่งทาง,
เผยให้เห็นเค้าโครงรูปลักษณ์ด้านข้างของเธอ.
และเขาก็ตระหนักได้ว่าไม่มีสิ่งโดดเดียวหรือแม่นยำชัดเจนที่นำพาความงามของเธอไปสู่จุดรวมความสนใจได้.
ใบหน้านั้นรูปไข่อยู่ภายใต้มาลาผมครอบที่สีสันเป็นบร็อนซ์มันวาว. ดวงตาของเธอวางกว้าง,
เขียวขจีและใสกระจ่างดุจท้องฟ้ายามรุ่งอรุณของ คาลาดาน. จมูกนั้นเล็ก,
ปากกว้างและอวบอิ่ม. ร่างของเธองดงามแต่ขัดสน:
สูงและด้วยส่วนโค้งเว้าของมันดูจะไปสู่ความผอมบาง.
เขาจำได้ว่าเหล่าภคิณีที่สำนักได้เรียกเธอว่า ยัยผอม, แล้วเหล่าผู้ซื้อของเขาก็บอกกับเขาเช่นนั้น.
แต่คำบรรยายนั้นดูจะเกินเลยมากไป. เธอได้นำความงามสง่าเยี่ยงราชวงศ์กลับเข้ามาสู่เชื้อสาย
อะไทรดีส. เขาดีใจที่ พอล โปรดปรานเธอ.
“พอล อยู่ที่ไหนรึ?” เขาถาม.
“ที่ไหนสักแห่งรอบราชสำนักนี้กำลังรับบทเรียนของเขากับ
หยัว.”
บางทีอาจจะทางปีกด้านใต้,” เขาบอก. “ฉันคิดว่าฉันได้ยินเสียงของ
หยัว, แต่ฉันไม่มีเวลาจะแวะเข้าไปดู.” เขาชำเลืองลงไปที่เธอ, ลังเล. “ฉันมาที่นี่ก็แค่จะแขวนกุญแจของ
ปราสาทคาลาดันในโถงทานอาหาร.”
เธอพยายามสงบลมหายใจ, หยุดหยุดกระแสประสาทเพื่อเอื้อมออกไปหาเขา.
แขวนกุญแจ—มีความเด็ดเดี่ยวออกมาในกิริยากระทำนั้น. แต่นี่ไม่ใช่เวลาหรือสถานที่ที่จะปลอบโยน. “ฉันเห็นธงของเราแขวนอยู่เหนือราชสำนักตอนที่เราเข้ามา,”
เธอพูด.
เขาเหลือบมองไปยังภาพวาดบิดาของเขา.
“เธอกำลังจะแขวนภาพนั้นที่ไหนหรือ?”
“ที่ไหนสักแห่งในนี้.”
“ไม่.” คำบอกนั้นราบเรียบและเด็ดขาด,
กำลังบอกกับเธอว่าเธอสามารถใช้เล่ห์กลที่จะชักจูงได้, แต่การเปิดข้อถกเถียงนั้นไร้ประโยชน์. กระนั้น, เธอยังต้องลองพยายาม, ถึงแม้ว่าการบ่งชี้นั้นให้มาเพื่อเตือนตัวเธอเองว่าเธอจะไม่ใช้เล่ห์หลอกเขา.
“ฝ่าบาท,” เธอพูด, “ถ้าท่านจะเพียงแต่...”
“คำตอบก็ยังคงว่า- ไม่.
ฉันยอมตามใจเธออย่างน่าละอายมามากสิ่งแล้ว, แต่ไม่ใช่อันนี้. ฉันเพิ่งมาจากโถงทานอาหารที่มี---“
“ฝ่าบาท! ได้โปรด.”
“การเลือกคือระหว่างการย่อยอาหารของเธอกับศักดิ์ศรีของบรรพบุรุษของฉัน,
ที่รัก,” เขาบอก.
“พวกนี้จะแขวนที่ในโถงทานอาหาร.”
เธอถอนหายใจ. “เพคะ, ฝ่าบาท.”
“เธออาจจะเริ่มอีกครั้งกับการทานอาหารในห้องของเธอเมื่อใดที่เป็นไปได้.
ฉันจะคาดหวังเธอตามตำแหน่งเฉพาะของเธอเพียงแค่ตอนโอกาสที่เป็นทางการเท่านั้น.”
“ขอบคุณค่ะ, ฝ่าบาท.”
“แล้วก็อย่าทำเป็นเย็นชาและเป็นทางการไปเสียหมดกับฉัน! จงขอบคุณที่ฉันไม่ได้แต่งงานกับเธอ,
ที่รัก. มิเช่นนั้นมันจะเป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องร่วมที่โต๊ะกับฉันในทุกมื้ออาหาร.”
เธอตรึงใบหน้าของเธอให้ไม่ขยับเขยื้อน, และผงกศีรษะลง.
“ฮาวัตได้เตรียมพร้อมเครื่องตรวจยาพิษของเราเองทั่วทั้งโต๊ะทานอาหารแล้ว,”
เขาบอก. มีแบบเคลื่อนย้ายได้ที่ห้องของเธอ.”
“ท่านได้เตรียมการล่วงหน้านี้ไว้...ไม่อาจโต้แย้ง,” เธอพูด.
“ที่รัก, ฉันคิดด้วยเช่นกันถึงความสะดวกสบายของเธอ. ฉันได้ติดต่อข้ารับใช้ทั้งหลายไว้ให้แล้ว. พวกนั้นเป็นคนท้องถิ่น, แต่ ฮาวัต
ได้ตรวจกรองพวกเขาแล้ว---พวกนั้นเป็น ฟรีเมน ทั้งหมด. พวกเขาจะทำงานนี้ไปจนกว่าคนของเราเองสามารถว่างจากภารกิจอื่นแล้ว.”
“ใครก็ตามจากที่แห่งนี้สามารถปลอดภัยได้จริงหรือ?”
“ใครก็ตามที่เกลียดพวกฮาร์คอนเนนส์.
เธออาจจะอาจจะกระทั่งต้องการที่จะรักษาหัวหน้าผู้ดูแลราชสำนักเอาไว้: เจ้า ชาเดาท์
มาเพส.”
“ชาเดาท์,” เจสสิกา พูด. “ยศของ ฟรีเมน หรือ?”
“ฉันได้รับการบอกว่ามันหมายถึง ‘กระบวย-บ่อน้ำ.’ ความหมายที่ค่อนข้างสำคัญในน้ำเสียงของที่นี่. หล่อนอาจจะไม่กระแทกใจเธอเหมือนแบบข้ารับใช้,
ถึงแม้ว่า ฮาวัต จะพูดในเชิงยกย่องถึงหล่อนบนพื้นฐานจากรายงานของ ดันแคน.
พวกเขาปักใจว่าหล่อนต้องการจะรับใช้—โดยเฉพาะหล่อนต้องการจะรับใช้เธอ.”
“ดิฉันรึ?”
“พวกฟรีเมน ได้เรียนรู้ว่าเธอเป็น เบเน เกสเสอริท,” เขาพูด. “มีหลายตำนานที่นี่เกี่ยวกับ เบเน เกสเสอริท.”
คณะ มิชชั่นนาเรีย โพรเท็คติวา, เจสสิกา คิด. ไม่มีที่ใดหลบหนีพวกเขาได้.
“นี่หมายถึงว่า ดันแคน ได้ประสบสำเร็จหรือคะ?” เธอถาม.
“พวกฟรีเมนจะเป็นพันธมิตรของเราหรือ?”
“ยังไม่มีอะไรสิ้นสุดชัดเจนนัก,” เขาพูด. “พวกเขาหวังจะสังเกตการณ์เราสักระยะหนึ่งก่อน,
ดันแคน เชื่อเช่นนั้น. พวกเขา, อย่างไรก็ตาม,
ทำสัญญาที่จะหยุดการโจมตีหมู่บ้านด้านนอกของเราระหว่างช่วงสงบศึกชั่วคราวนี้.
นั่นเป็นประโยชน์สำคัญที่ได้มามากกว่าที่ดูจะเป็นไป. ฮาวัต
บอกฉันว่าพวกฟรีเมนคือหนามลึกในสีข้างของพวกฮาร์คอนเนนส์,
ว่าการขยายตัวของการปล้นสดมภ์ของพวกนั้นเป็นความลับที่ถูปปกป้องกันอย่างระแวดระวัง.
มันไม่ช่วยอะไรดีขึ้นมาได้ถ้าหากว่าองค์จักรพรรดิจะได้รับรู้ถึงความไร้ประสิทธิผลของกองทัพฮาร์คอนเนนส์.”
“แม่บ้านชาวฟรีเมนน่ะ,” เจสสิกา รำพึง, หันหัวเรื่องกลับมาที่
ชาเดาท์ มาเพส. “หล่อนจะมีตาสีฟ้าทั้งหมดเลย.”
“อย่าให้กายปรากฏของผู้คนพวกนี้หลอกลวงเธอ,” เขาบอก.
“มีพละกำลังที่แข็งแกร่งซ่อนเร้นอยู่ภายในพวกเขา. ฉันคิดว่าพวกจะเป็นทุกอย่างที่เราจำเป็นต้องการ.”
“เป็นเกมพนันที่อันตรายนะ.” เธอพูด.
“เราอย่าได้เข้าไปสู่นั่นกันอีกครั้งเลย,” เขาพูด.
เธอฝืนยิ้มออกมา. “เราถูกผูกมัด,
ไม่ต้องสงสัยในเรื่องนั้นเลย.” เธอผ่านกฏเกณฑ์สู่การสงบนิ่งไป---ด้วยการสูดลมหายใจลึกๆสองครั้ง,
พิธีกรรมสติ, แล้ว: เมื่อดิฉันจัดวางห้องทั้งหลาย, มีอะไรเป็นพิเศษที่ดิฉันควรสำรองเก็บไว้ให้ท่านไหมคะ?
“เธอต้องสอนฉันสักวันว่าเธอทำนั่นได้อย่างไร,” เขาพูด,
“วิธีที่เธอผลักดันความกังวลไปข้างๆแล้วหันมาสู่ภารกิจตามจริง.
มันต้องเป็นเวทย์ของ เบเน เกสเสอริท.”
“เป็นเวทย์ของอิสตรีน่ะค่ะ,” เธอบอก.
เขายิ้ม. “เอาละ, มอบหมายกำหนดใช้งานห้องทั้งหลายไป:
ทำให้แน่นอนว่าฉันมีพื้นที่สำนักงานขนาดใหญ่ถัดจากภาคหลับนอนทั้งหลายของฉัน.
จะมีงานเอกสารที่นี่มากมายกว่าบน คาลาดาน. ห้องยามรักษาการณ์, แน่นอน.
นั่นควรปกปิดมัน. อย่ากังวลเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของราชสำนักนี้.
คนของฮาวัตได้ตรวจสอบควบคุมมันในชั้นลึกหมดแล้ว.”
“ดิฉันแน่ใจว่าพวกเขาทำ.”
เขาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือของเขา.
“และเธออาจจะตรวจดูอีกทีว่าเครื่องบอกเวลาของเราทุกชิ้นได้ปรับแก้ให้เข้ากับท้องถิ่นอาร์ราคีน.
ฉันได้มอบหมายช่างเทคให้มาจัดการมันไปแล้ว. เขาคงมาถึงในไม่ช้านี้ง”
เขาปัดผมเปียของผมเธอไปทางด้านหลังจากหน้าผากเธอ.
“ฉันต้องกลับไปที่สนามลงจอดยานในตอนนี้. กระสวยลำที่สองคงลงอีกในไม่กี่นาทีพร้อมกับคณะทำงานสำรองของฉัน.”
“ฮาวัต ไปพบพวกนั้นเองไม่ได้หรือคะ, ใต้เท้า?
ท่านดูอ่อนเพลียมากเกินไป.”
“ธูเฟอร์ คนดีน่ะงานยุ่งมากยิ่งกว่าฉันอีก. เธอรู้ไหมว่าดาวเคราะห์นี้ถูกฝังวางเล่ห์ของพวกฮาร์คอนเนนไว้เต็มไปหมด. นอกจากนั้น,
ฉันต้องลองพยายามชักจูงพวกนักล่าเครื่องเทศบางคนไม่ให้หนีจากไป.
พวกเขามีสิทธิในการเลือก. เธอรู้ไหม,
ด้วยการเปลี่ยนศักดินาสิทธิ์---และนักดาวเคราะห์วิทยานี้ที่จักรพรรดิและลานสราอาดได้ตั้งไว้เป็น
ตุลาการแห่งการถ่ายโอน (judge
of the Change) ไม่สามารถถูกบังคับซื้อได้. เขาได้รับอนุญาตให้มีสิทธิเลือก.
ราวแปดร้อยลูกมือที่ได้รับการฝึกฝนมาคาดว่าจะเดินทางออกไปกับกระสวยยานเครื่องเทศและมียานลำเลียงของกิลด์จอดรอเตรียมอยู่...”
“ใต้เท้าคะ....” เธอโพล่งออกมา, ลังเลใจ.
“อะไรรึ?”
เขาไม่ควรถูกชักจูงให้เลิกล้มความพยายามที่จะทำให้ดาวเคราะห์นี้ปลอดภัยสำหรับเรา.
เธอคิด. และฉันไม่สามารถใช้เล่ห์กลกับเขาได้.
“เวลาเท่าไหร่ที่ท่านจะมาทานดินเนอร์คะ?” เธอถาม.
นั่นไม่ใช่อะไรที่เธอได้กำลังจะพูด, เขาคิด. อา-ห-ห-ห, เจสสิกา ที่รัก,
เราน่าจะไปอยู่ที่ไหนอื่น, ที่ไหนอื่นที่ไกลไปจากสถานที่มหันตภัยร้ายกาจนี้---ตามลำพัง,
เพียงเราสองคน, ไม่มีอะไรให้ห่วงใย.
“ฉันจะทานที่โรงอาหารเจ้าหน้าที่ที่ในสนาม,” เขาบอก.
“อย่าได้คอยฉันจนสายไปมากเกินล่ะ. และ...อ้า, ฉันจะส่งรถคุ้มกันคันหนึ่งมาให้
พอล.
ฉันอยากให้เขาได้เข้าร่วมประชุมยุทธศาสตร์กับเราด้วย.”
เขากระแอมลำคอราวกับว่าจะพูดอะไรบางอย่างอื่นอีก,แล้ว,
โดยไม่บอกเตือน, หันร่างและก้าวออกไป,
มุ่งหน้าไปยังทางเข้าที่ซึ่งเธอสามารถำได้ยินเสียงกล่องลังทั้งหลายกำลังถูกขนส่งลง.
เสียงของเขาดังมาอีกครั้งจากที่นั่น, ในสำเนียงสั่งการและปั้นปึ่ง,
วิธีที่เขามักจะใช้พูดอยู่เสมอกับคนรับใช้เมื่อเขากำลังรีบด่วน:
“คุณหญิงเจสสิกาอยู่ที่ในท้องพระโรง. ไปพบเธอที่นั่นเดี๋ยวนี้เลย.”
ประตูด้านนอกปิดดังปัง.
เจสสิกาหันร่างกลับ, เผชิญหน้าภาพวาดของบิดาของลีโต.
มันถูกวาดโดยจิตรกรชื่อดัง, อัลเบ, ในระหว่างช่วงปีกลางยุคสมัยของท่านดยุคเฒ่า.
เขาถูกวาดอยู่ในชุดมาทะดอร์มีเสื้อคลุมสีแดงม่วงห้อยพาดแขนขวาของเขา. ใบหน้านั้นดูหนุ่ม,
แทบจะแก่กว่าของลีโตในตอนนี้, และดูเฉียบคมดุจวิหคเหยี่ยว,
ดวงตาสีเทาจ้องเขม็งเช่นเดียวกัน. เธอรวบกำปั้นของเธอที่ข้างกาย,
จ้องดูภาพวาดนั้น.
“ห่าท่านเถิด! ห่าท่านเถิด! ห่าท่านเถิด!”
เธอกระซิบ.
“ท่านบัญชาอะไรหรือ, ท่านราชนิกูล”
เป็นเสียงของสตรี, บางและเรียวยาว.
เจสสิกา หมุนร่างไป, จ้องลงมายังสตรีผมปุ่มปมสีเทา,
อยู่ในชุดกระสอบไร้รูปทรงของทาสสีน้ำตาล. สตรีนั้นท่าทางยับย่นและแห้งกรังเหมือนเช่นฝูงชนที่ได้ไปต้อนรับพวกเขาตามเส้นทางจากสนามบินเมื่อเช้านี้.
เหมือนทุกชนพื้นเมืองที่เธอได้เห็นบนดาวเคราะห์นี้, เจสสิกา คิด, ดูแห้งพรุนและต่ำกว่าความอิ่มเอิบสมบูรณ์.
กระนั้น, ลีโต ได้บอกไว้แล้วว่าพวกเขานั้นแข็งแรงและมีพลังชีวิต.
และพวกเขามีดวงตาเหล่านั้น,
แน่นอน---ที่กระจ่างด้วยสีฟ้าลึก,และเข้มสุดปราศจากสีขาว---ลี้ลับและเก็บงำ.
เจสสิกา บังคับตนเองให้ไม่จ้องดู.
สตรีนั้นผงกศีรษะรับด้วยลำคอที่แข็งทื่อ, พูด; “ดิฉันถูกเรียกขานว่า
ชาเดาท์ มาเพส, ท่านราชนิกูล. คำบัญชาของท่านคืออะไรหรือ?”
“เธอควรจะเรียกขานฉันแค่เพียง ‘ท่านผู้หญิง’ก็พอ,”
เจสสิกา บอก. “ฉันไม่ได้เป็น ราชนิกูล หรอก. ฉันเป็นแค่เพียงพระสนมของ
ท่านดยุคเลโต.”
อีกครั้งกับการผงกศีรษะรับแปลกๆนั้น, และสตรีนั้นก็เผยอขึ้นมาอย่างใกล้ชิดยัง
เจสสิกา ด้วยคำถามด้วยเล่ห์. “มีภริยาอื่นอยู่, งั้นรึ?”
“ไม่มีหรอก, หรือเคยมีก็หาไม่.
ฉันเป็นคู่เคียงของท่านดยุคเพียงผู้เดียว.....เท่านั้น, มารดาของรัชทายาทของเขา.”
แม้กระทั่งตอนที่เธอได้พูดออกไป, เจสสิกา
หัวเราะอยู่ข้างในกับความภาคภูมิใจเบื้องหลังคำพูดของเธอ. เซนต์ออกัสทีนพูดไว้ว่าอย่างไรนะ? เธอถามตัวเธอเอง. “จิตบัญชากายและมันก็เชื่อฟัง.
จิตออกคำสั่งตนเองและพบการต่อต้าน.”
ใช่---เมื่อครู่นี้ฉันกำลังพบการต่อต้านมากยิ่งกว่า.
ฉันควรจะใช้การถอนตัวอย่างเงียบๆด้วยตนเอง.
เสียงร้องแปลกพิกลดังมาจากถนนด้านนอกราชวัง. มันร้องซ้ำวนกันไปว่า: “ซูวว-ซุวว-ซูค!” แล้วก็: “อิคหุต-เอห์!
อิคหุต-เอห์!” และอีกครั้ง:
“ซูวว-ซูวว-ซูค!”
นั่น คือ อะไรน่ะ?” เจสสิกา ถาม.
“ฉันได้ยินหลายครั้งตอนที่เราขับผ่านถนนเมื่อเช้านี้.”
“แค่คนขาย-น้ำ, ท่านผู้หญิง.
แต่ท่านไม่จำเป็นต้องนำตนเองไปสนใจเยี่ยงพวกเขาเหล่านั้น. ซิสเทิร์นที่เก็บน้ำทของที่นี่จุได้ห้าหมื่นลิตรและมันถูกคอยทำให้เก็บเต็มไว้อยู่เสมอ.”
หล่อนเหลือบลงมองชุดของตนเอง. “ทำไม,
รู้ไหม, ท่านผู้หญิง, ดิฉันแทบไม่จำเป็นต้องสวมชุดสติลสูทในที่นี้เลย?”
หล่อนหัวเราะคิกคัก. “และดิฉันก็ไม่ตายลงไปด้วย!”
เจสสิกา ลังเล, อยากจะถามสตรีชาวฟรีเมนนี้อีก,
ต้องการข้อมูลที่จะชี้แนะเธอ. แต่การนำระเบียบมาจัดการความสับสนวุ่นวายในปราสาทนี้ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้. กระนั้น,
เธอพบว่าความคิดทนั้นยังไม่ตกตะกอนเรื่องที่ว่า
น้ำคือจุดหลักสำคัญของความมั่งคั่งที่นี่.
“สามีของฉันได้บอกฉันแล้วเรื่องตำแหน่งของเธอ. ชาเดาท์,” เจสสิกา
พูด. “ฉันจำคำๆนี้ได้. มันเป็นคำศัพท์โบราณมาก.”
“ท่านรู้ถึงเหล่าลิ้นคำโบราณเช่นนั้นหรือ?” มาเพส ถาม,
และหล่อนรอคอยคำตอบอย่างท่าทางตั้งใจพิกล.
“ลิ้นคำ เป็นการเรียนรู้อันดับแรกของ เบเน เกสเสอริท,” เจสสิกา
บอก. “ฉันรู้ โภตานิ จิบ และ ชาคอปสา
, ภาษาของการล่าทั้งหมด.”
มาเพส พยักหน้ารับ. “เป็นเช่นที่ตำนานว่าไว้.”
และ เจสสิกา กังขาใจ: ทำไมฉันต้องเล่นบทขมังเวทย์นี้ออกมา? แต่วิถีแห่ง เบเน เกสเสอริท
นั้นเป็นเช่นการหลอกลวงและบีบคั้น.
“ฉันรู้ถึง ไสยมืด และวิถีทั้งหลายของ พระมหามารดา,” เจสสิกา
บอก. เธอได้อ่านสัญญานอันชัดแจ้งจากกิริยาของมาเพสและปรากฏออกมา.
การแอบซ้อนเล่ห์กลเล็กน้อยเหล่านั้น. “มิสซีเซส
พรีจิอา,” เธอพูดด้วยลิ้น ชาค็อปสา.
“แอนดราล ท’เร ปีรา! ทราดา ซิค บุสคากริ มิซีเซส เปรากริ---“
มาเพส ถอยหลังไปหนึ่งก้าว, ทำท่าทางเหมือนจะหลบหนี.
“ฉันรู้มากมายหลายอย่าง,” เจสสิกา พูด.
“ฉันรู้ว่าเธอนั้นให้กำเนิดเด็กๆ, ที่เธอได้สูญเสียรายที่รักนั้นไป,
แต่เธอได้หลบซ่อนอยู่ในความกลัวที่ว่าเธอได้ทำร้ายและกระนั้นก็จะยังทำความรุนแรงร้ายอีก.
ฉันรู้มากมายหลายอย่าง."
ในน้ำเสียงลดต่ำลง, มาเพส พูด: “ดิฉันไม่ได้ตั้งใจก้าวร้าว,
ท่านผู้หญิง.”
“เจ้าพูดถึงตำนานและเสาะหาคำตอบเหล่านั้น,” เจสสิกา บอก.
“จงระวังในคำตอบที่เธอจะได้พบ. ฉันรู้ว่าเธอได้เตรียมใช้ความรุนแรงด้วยอาวุธที่ในเสื้อชั้นในของเธอง”
“ท่านผู้หญิง, ดิฉัน.....”
“มีโอกาสห่างไกลที่เจ้าสามารถเรียกเลือดจากชีวิตฉันได้,”
เจสสิกา พูด,
“แต่ในการทำเช่นนั้นเจ้าจะนำความเสียหายลงมามากกว่าความหวาดกลัวลมๆแล้งทั้งหลายที่เจ้าจะจินตนาการออกมาได้.
มีบางอย่างเลวร้ายยิ่งไปเสียกว่าการตาย,
เจ้ารู้ดี---แม้กระทั่งเพื่อผู้คนทั้งหมด.”
“ท่านผู้หญิง! “มาเพส วิงวอน. หล่อนปรากฏเกือบร่วงลงไปคุกเข่าของเธอ.
“อาวุธนั้นส่งมาเป็นเช่นของกำนัลแก่ท่าน ที่ท่านควรจะพิสูจน์ได้ว่าเป็น ผู้นั้น.”
“และเป็นหนทางแห่งความตายของฉันถ้าฉันถูกพิสูจน์ว่าเป็นอีกอย่าง,”
เจสสิกา บอก. เธอรอคอยอยู่ในอาการผ่อนคลายที่มาจากการฝึกฝนของสำนักเบเน เกเสอริตเพื่อข่มขู่ให้กลัวในการปะทะต่อสู้.
ตอนนี้เราจะได้เห็นกันว่าทางใดที่การตัดสินใจเปิดปลายออก, เธอคิด.
อย่างช้าๆ, มาเพส เอื้อมไปที่คอของชุดคลุมของเธอ,
ดึงฝักสีมืดดำอันหนึ่งออกมา. ด้ามสีดำมีสันริ้วร่องนิ้วลึกยื่นออกมาจากฝักนั้น.
หล่อนกุมฝักในมือข้างหนึ่งและกุมด้ามด้วยมืออีกข้าง, ดึงมีดขาวดุจน้ำนมออกมา,
ชูมันขึ้น. มีดนั้นดูเหมือนจะส่องแสงและเป็นประกายด้วยแสงของตัวมันเอง. มันเป็นแบบสองคมเหมือนกริชคินด์จัลและมีดนั้นน่าจะยาวยี่สิบเซนติเมตร.
“ท่านรู้จักสิ่งนี้ไหม, ท่านผู้หญิง? มาเพส ถาม.
มันน่าจะเป็นสิ่งนั้น, เจสสิกา รู้, มีดกริช-คริสไนฟ์ ในนิทานตำนานของ
อาร์ราคิส, มีดที่ไม่เคยถูกนำออกไปจากดาวเคราะห์นี้ได้, และถูกรู้จักกันก็แค่เพียงคำเล่าลือและคำนินทาลมๆแล้งๆ.
“มันคือ มีดกริช-คริสไนฟ์,” เธอบอก.
“พูดมันไม่ลังเลเลย, “ มาเพส พูด. “ท่านรู้ถึงความหมายของมันไหม?”
และ เจสสิกา คิด: มีคมขอบกับคำถามนั้น. นี่คือเหตุผลที่ เฟรเมน ผู้นี้ได้ถูกส่งมารับใช้กับฉัน,
เพื่อถามหนึ่งคำถามนั้น.
คำตอบของฉันสามารถเร่งให้ความรุนแรงเกิดได้เร็วขึ้นหรือ...อะไร?
หล่อนแสวงหาคำตอบจากฉัน: ความหมายของมีดนี้.
หล่อนเรียกฉันว่า ชาดอม ในลิ้นของ ชาคอปสา. มีด, นั่นคือ “ผู้สร้างความตาย”ใน ลิ้น
ชาคอปสา. หล่อนดื้อรั้น. ฉันต้องตอบเดี๋ยวนี้แล้ว.
การล่าช้าคืออันตรายเช่นเดียวกับคำตอบที่ผิด.
เจสสิกา: “มันคือ ผู้สร้าง---“
“อี๊จห์-อี-อี-อี-อี-อี! มาเพส ร้องโหยหวน. มันเป็นเสียงของทั้งคร่ำครวญและปีติใจ. หล่อนสั่งเทาอย่างหนักเสียจนคมมีดนั้นสั่นไหวแวววับสะเก็ดสะท้อนยิงไปทั่วรอบๆห้องนั้น.
เจสสิกา รอคอย, วางท่า. เธอได้ตั้งใจที่จะพูดว่ามีดนี้คือ ผู้สร้างความตาย
แล้วก็จะเติมเพิ่มด้วยคำโบราณ, แต่ทุกเจตสิกได้เตือนเธอในตอนนี้,
ทั้งหมดของการฝึกฝนความตื่นตัวที่แสดงความหมายออกมาในการบิดขมวดของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง.
คำกุญแจนั้นคือ...ผู้สร้าง.
ผู้สร้าง? ผู้สร้าง.
กระนั้น, มาเพส ยังคงกุมมีดนั้นราวกับพร้อมที่จะใช้มัน.
เจสสิกา พูด: “เจ้าคิดว่าฉัน, รู้เรื่องราวลึกลับทั้งหลายของ พระมหามารดา, จะไม่รู้ถึง
ผู้สร้าง หรือ?”
มาเพส ลดมีดนั้นลง.
“ท่านผู้หญิง, เมื่อคนหนึ่งได้มีชีวิตอยู่มากับคำพยากรณ์อย่างแสนนาน,
ชั่วขณะของการเผยวจนะย่อมตกใจสุดขีดได้.”
เจสสิกา คิดถึงเรื่องคำพยากรณ์นั้น---ชาริ-อา และบรรดาคำทำนายฝังรากลึก
– panoplia
propheticus ทั้งหลายนั้น,
เบเน เกเสอริต แห่ง คณะมิชชั่นอาเรีย โพรเทคติวา – Missionaria Protectiva
ทิ้งไว้ที่นี่นานหลายศตวรรษมาแล้ว---ตายไปนานแล้ว, ไม่ต้องสงสัย, แต่เจตจำนงของเธอสัมฤทธิผล:
ตำนานพิทักษ์ได้ปลูกฝังลงในผู้คนเหล่านี้ฝ่าฟันวันเวลาดังความต้องการของ เบเน เกสเสอริต.
เอาละ, วันนั้นได้มาถึงแล้ว.
มาเพส กลับคืนมีดยังฝัก, พูด: “นี่เป็นมีดที่ถูกปลดปล่อย,
ท่านผู้หญิง. เก็บไว้ใกล้กับท่าน. มากกว่าหนึ่งสัปดาห์ที่ห่างจากเลือดเนื้อแล้วมันจะเริ่มเสื่อมลง.
มันเป็นของท่าน, เขี้ยวของ ไช-ฮูลุด, นานตราบเท่าท่านมีชีวิต.”
เจสสิกา เอื้อมออกไปด้วยมือขวา, เสี่ยงในพนัน: “มาเพส,
เจ้าคืนฝักมันโดยที่คมไร้เลือด.”
โดยหอบสำลัก, มาเพส ปล่อยมีดในฝักนั้นลงบนในมือของ เจสสิกา,
ฉีกเปิดเสื้อคลุมสีน้ำตาลออก, ร้องครวญ: “จงเอาน้ำแห่งชีวิตของข้าเถิด!”
เจสสิกา ดึงมีดออกจากฝักของมัน. มันช่างแวววับยิ่งนัก!
เธอชี้ปลายแหลมไปยัง มาเพส,
มองเห็นความหวาดกลัวที่มากไปกว่าความตายอย่างเจ็บปวดมาหาทั่วร่างของผู้หญิงนั้น . ยาพิษในปลายแหลมนี้รึ?
เจสสกา สงสัย. เธอเอียงปลายแหลมนั้นขึ้น,
ลากรอยบางด้วยคมมีดเหนือหน้าอกดานซ้ายของ มาเพส.
มีเลือดข้นหนาผุดออกมาและหยุดเกือบจะในทันที. ลิ่มเลือดแข็วตัวอย่างรวดเร็ว,
เจสสิกา คิด. ผู้กลายพันธุ์ในการถนอมความชื้น?
เธอเก็บมีดเข้าฝัก, พูด: “กลัดกระดุมชุดของเจ้าเถิด, มาเพส.”
มาเพส ทำตามสั่ง, ร่างสั่นเทา. ดวงตาที่ปราศจากสีขาวจ้องยัง
เจสสิกา. “ท่านคือพวกเรา,” หล่อนพึมพำ.
“ท่านเป็น ผู้นั้น.”
มีเสียงการขนย้ายของที่ทางเข้ามาอีก. อย่างว่องไว, มาเพส
ตะครุบมีดในฝักนั้น, ซุกมันเข้าไปในร่างของ เจสสิกา.
“ใครที่เห็นมันต้องถูกทำให้สะอาดหรือถูกสังหาร!” หล่อนขู่คำราม. “ท่านรู้เช่นนั้น,
ท่านผู้หญิง.”
ฉันรู้แล้วในตอนนี้, เจสสิกา คิด.
ผู้ดูแลการขนย้ายสินค้าบรรทุกจากไปโดยไม่ล่วงล้ำเข้ามาในท้องพระโรง.
มาเพส จัดแจงกับตนเอง, พูด: “ผู้ที่ไม่สะอาดซึ่งได้เห็นมีดกริชนี้ไม่อาจออกจากอาร์ราคิสไปอย่างมีชีวิต.
อย่าได้ลืมเช่นนั้น, ท่านผู้หญิง. ท่านได้ถูกไว้วางใจจากคริสไนฟ์อันหนึ่งแล้ว.”
หล่อนสูดหายใจลึก. “บัดนี้สิ่งนี้ต้องได้รับตามขั้นตอนของมัน.
มันไม่สามารถถูกเร่งรีบได้.” หล่อนชำเลืองมองกล่องกองซ้อนเหล่านั้นและสิ่งของที่สุมทับกันที่รายรอบพวกเขาอยู่.
“และก็มีงานเต็มล้นขณะที่เราใช้เวลาในที่นี้.”
เจสสิกา ลังเล. “สิ่งนี้ต้องได้รับตามขั้นตอนของมัน.” นั่นเป็นบทกลอนจำเพาะจากบรรดามนตร์คาถาของ
มิชชั่นนาเรีย โพรเท็คติวา---การมาถึงของคุณแม่อธิการ
เพื่อปลดปล่อยพวกเจ้า.
แต่ฉันไม่ใช่ คุณแม่อธิการ, เจสสิกา คิด. และแล้ว: พระมหามารดา!
พวกเขาปลูกเพาะสิ่งนี้ไว้ที่นี่!
นี่ต้องเป็นสถานที่น่ากลัวยิ่ง!
ในน้ำเสียงที่คืนสู่ตัวตนแท้จริง, มาเพส พูด:
“ท่านจะต้องการให้ข้าทำอะไรก่อนหรือ, นายหญิง?”
สัญชาตญาณเตือน เจสสิกา ให้หวนกลับมาเข้ากันกับน้ำเสียงนั้น.
เธอบอก: “ภาพวาดของท่านดยุคเฒ่า ตรงโน้น,
มันต้องถูกแขวนบนด้านหนึ่งของผนังโถงทานอาหาร.
และศีรษะของวัวนั่นไปอยู่บนผนังด้านตรงกันข้ามของภาพวาด.”
มาเพส เดิมข้ามไปหาศีรษะของวัวนั้น.
“ช่างเป็นสัตว์ร้ายยิ่งที่มีศีรษะเป็นเช่นนี้,” หล่อนพูด. หล่อนหยุด.
“ข้าจะทำความสะอาดสิ่งนี้ก่อน, หรือไม่เจ้าคะ, นายหญิง?”
“ไม่ต้อง.”
“แต่มีฝุ่นติดผิวหน้าบนเขาของมันอยู่.”
“นั่นไม่ใช่ฝุ่นหรอก, มาเพส. นั่นคือเลือดของบิดาท่านดยุคของเรา.
เขาพวกนั้นถูกพ่นเคลือบติดเอาไว้ด้วยสารโปร่งใสภายในชั่วโมงแรกทันทีหลังจากที่เจ้าสัตว์ร้ายนี้ฆ่า
ดยุคเฒ่า.
มาเพส ยืนขึ้น. “อ้า, นี่เอง!” หล่อนพูด.
“มันเป็นแค่เลือด,” เจสสิกา พูด. “เลือดชราบนนั้น.
ไปเอาคนมาช่วยแขวนพวกนี้ตอนนี้เถิด. เจ้าสัตว์ร้ายนี้หนักมาก.”
“ท่านคิดว่าเลือดพวกนี้รบกวนใจของข้าหรือ?” มาเพส ถาม.
“ข้ามาจากทะเลทราย. ข้าเห็นเลือดมามากมายแล้ว.”
“ฉัน....มองเห็นว่าเจ้าเคยเช่นนั้น,” เจสสิกา พูด.
“และบางอันก็เป็นของข้าเอง,” มาเพส พูด.
“มากมายกว่าจากแผลเล็กน้อยที่ท่านได้ข่วน.”
“เจ้าอยากให้ข้ากรีดลึกกว่านั้นหรือ?”
“อ้า, ไม่เจ้าค่ะ! น้ำของร่างขัดสนยิ่งกว่าที่จะปล่อยให้ไหลทิ้งมากมายไปในอากาศ.
ท่านทำสิ่งถูกต้องแล้วค่ะ.”
และ เจสสิกา สังเกตได้ถึงคำพูดและอากัปกิริยานั้น, จับได้ถึงนัยยะของวลีนั้น.
“น้ำของร่างง” อีกครั้งที่เธอสำนึกได้ถึงภาวะบีบบังคับถึงความสำคัญของน้ำบน
อาร์ราคิส.
“ด้านไหนของผนังโถงทานอาหารที่ข้าจะหนึ่งในอันงดงามนี้ล่ะเจ้าคะ,
นายหญิง?” มาเพส ถาม.
เคยเป็นมือทำงานมาล่ะ, มาเพส คนนี้, เจสสิกา คิด. เธอพูด: “ใช้พิจารณาตัดสินของตนเองสิ,
มาเพส. มันไม่แตกต่างอะไรนักหรอก.”
“ตามท่านสั่งค่ะ, นายหญิง.” มาเพส ค้อมคำนับ,
เริ่มแก้ห่อของและเชือกพันรัดของศีรษะนั้นง “ฆ่าท่านดยุคเฒ่าเลยรึ, เจ้าตัวร้าย?”
หล่อนฮัมเป็นเพลง.
“ให้ข้าไปตามคนมาช่วยเจ้าเลยไหม?” เจสสิกา ถาม.
“ข้าจะจัดการเองค่ะ, นายหญิง.”
ใช่, เธอจะจัดการเอง, เจสสิกา คิด. นั่นเป็นเรื่องของพวกฟรีเมนนี้: แรงขับดันที่จะจัดการ.
จสสิกา รู้สึกถึงความเย็นเยือกของฝักคริสไนฟ์ภายใต้ร่างของเธอ,
คิดถึงสายโซ่อุบายอันยาวของ เบเน เกสเสอริท ที่ได้หล่อหลอมลูกโซ่ที่นี่.
เพราะว่าสายโซ่นั้น, เธอได้รอดพ้นจากวิกฤติแห่งความตายง “มันไม่สามารถถูกรีบเร่ง,”
มาเพส ได้บอก. กระนั้นก็มีจังหวะของพุ่งหัวออกไปยังสถานที่นี้ที่เติมใส่ เจสสิกา
ด้วยลางสังหรณ์. และไม่ใช่การเตรียมพร้อมทั้งหมดของ มิชชั่น โพรเท็คติวา หรือ
การสงสัยตรวจสอบอย่างละเอียดของ ฮาวัต ต่อปราสาทของกองหินทั้งหลายนี้ที่สามารถขับไล่ความรู้สึกนี้ออกไปได้.
“เมื่อเจ้าเสร็จการแขวนพวกนี้แล้ว,
ก็เริ่มต้นแก้เปิดหีบกล่องพวกนั้นเสีย, “เจสสิกา บอก.
“หนึ่งในพวกขนของที่ทางเข้ามีกุญแจทั้งหมดของมันและรู้ว่าที่ไหนที่ของพวกนี้จะไป.
เอากุญแจกับรายการพวกนั้นมาจากเขา. ถ้ามีคำถามอะไร, ฉันจะอยู่ที่ปีกด้านใต้.”
“ตามที่ท่านสั่งเจ้าค่ะ, นายหญิง,” มาเพส พูด.
เจสสิกา หันจากไป, กำลังคิดว่า: ฮาวัต
อาจจะได้ผ่านว่าทำเนียบนี้ปลอดภัยแล้ว,
แต่มีอะไรบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับสถานที่นี้. ฉันสามารถรู้สึกถึงมันได้.
ความต้องการรีบด่วนที่จะพบบุตรชายของตนเกาะกุม เจสสิกา.
เธอเริ่มเดินไปยังซุ้มประตูโค้งที่นำเข้าไปในทางเดินของโถงทานอาหารและด้านปีกของครอบครัว.
เร็วขึ้นและเร็วขึ้นที่เธอเดินจนกระทั่งเธอเกือบจะวิ่ง.
ด้านหลังของเธอ, มาเพส
หยุดการเอาห่อรัดทั้งหลายออกจากหัวของวัวนั้น, มองผู้ที่ถอยจากไป. “เธอคือ ผู้นั้น
อย่างแน่นอน,” หล่อนพึมพำ. “น่าสงสารจริง.”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น