หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2563

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (5)

 

 

    ด้วยท่านหญิงเจสสิกา และ อาร์ราคิส, ระบบการถักทอของเบเน เกสเสอริท

ที่ได้ ปลูกเพาะ-ตำนาน ผ่านไปทาง มิสชั่นนาเรีย โพรเทตติวา ก็ได้ บรรลุสู่

การออกผลอุดมเต็มที่.  ปัญญาคติของการหว่านเมล็ดในจักรวาลที่รู้จักกันด้วย

กระสวนคำพยากรณ์สำหรับการพิทักษ์ของ บ.ก. เป็นการส่วนตัวได้รับความ

นิยมนับถือกันมาช้านาน, แต่มิได้เคยที่เราจะเห็นสถานะ-สัมบูรณ์ด้วยการจับ

คู่บุคคลตามอุดมคติและการเตรียมพร้อมนั้น.  ตำนานพยากรณ์ทั้งหลายนี้ได้แพร่

ครอบงำยัง อาร์ราคิส แม้กระทั่งการขยายเขตของป้ายตราอุปถัมภ์ (รวมทั้ง

 แม่อธิการ, โคลงฉันท์ และกาพย์กลอน, และส่วนมากของ ชาริ-อา พาโนพลิเอ

 โพรเฟติคัส). และมันเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในตอนนี้ว่า ความสามารถที่แฝง

อยู่ของท่านหญิงเจสสิกานั้นได้ถูกประเมินต่ำไปอย่างเห็นได้ชัด.

 

       - จาก “การวิเคราะห์: วิกฤติการณ์ชนอาร์ราคีน” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน

       [วัฏจักรส่วนบุคคล: บ.ก. แฟ้มหมายเลข อร-81088587]

 

 

       ทั้งหมดที่รายล้อมท่านหญิงเจสสิกา—กองรวมที่ในมุมหนึ่งของโถงใหญ่แห่ง อาร์ราคีน, พะเนินสูงในพื้นที่เปิดโล่ง—เรียงอยู่ด้วยหีบห่อที่บรรจุเพื่อขนส่งของการดำรงชีวิตพวกเขา: กล่อง, กระเป๋า, ลัง, หีบ—บ้างแกะเปิดออกบางส่วน.  เธอสามารถได้ยินเสียงการลำเลียงขนย้ายจากยานกระสวยของ กิลด์ มาจอดส่งของลงที่ทางเข้า.

       เจสสิกา ยืนอยู่ในกลางห้องโถง.  เธอเคลื่อนไหวหันไปอย่างช้าๆ, เงยขึ้นมองและมองไปรอบๆยังหลืบเงาของหน้าต่างสลักเสลาเว้าเป็นช่องเรียวเหล่านั้น. ความผิดยุคสมัยยักษ์ใหญ่ของห้องนี้ทำให้เธอหวนคิดไปถึง โถงภคิณี ที่สำนักเบเน เกสเสอริท. แต่ที่สำนักสิกขานั้นให้ผลถึงความรู้สึกอบอุ่น.  ที่นี่, ทั้งหมดคือศิลาเย็นยะเยือก.

       สถาปนิกบางคนได้เอื้อมไกลกลับไปในประวัติศาสตร์สำหรับผนังค้ำยันและสิ่งห้อยแขวนลอยอยู่เหล่านี้, เธอคิด. เพดานโค้งยืนขึ้นไปได้ถึงสองชั้นเหนือร่างของเธอด้วยคานขวานขนาดยักษ์ที่เธอรู้สึกแน่ใจว่าคงถูกขนส่งเข้ามายังที่ อาร์ราคีส นี้ข้ามห้วงอวกาศในค่าใช้จ่ายที่แพงมหาศาล. ไม่มีดาวเคราะห์ของระบบนี้ที่ปลูกต้นไม้ทั้งหลายพอที่จะทำคานเช่นนี้ได้—นอกเสียจากว่าคานพวกนี้ถูกทำเป็นเลียนแบบไม้.

       เธอคิดว่าไม่ใช่เช่นนั้น.

       นี้เป็นคฤหาสน์รัฐบาลในวันเวลาของ จักรวรรดิเก่า. ค่าใช้จ่ายเป็นสิ่งที่สำคัญน้อยนักในตอนนั้น. มันได้อยู่มานานก่อนพวกฮาร์คอนเนนส์ และมหานครแห่ง คารธัค ใหม่ของพวกนั้น—สถานที่ราคาถูกและก๋ากั่นราวสองร้อยกิโลเมตร”ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือข้าม แดนปรักพัง(Broken Land). เลโต ได้ฉลาดที่จะเลือกสถานที่นี้เพื่อเป็นที่ตั้งรัฐบาลของเขา.  ชื่อนั้น, อาร์ราคีน, มีน้ำเสียงที่ดี, เติมเต็มไว้ด้วยจารีตประเพณี. และนี้คือนครเล็กๆ, ง่ายกว่าที่จะฆ่าเชื้อและป้องกัน.

       อีกครั้งที่มีเสียงโครมครามของหีบกล่องที่ถูกขนลงมายังในทางเข้า, เจสสิกา ถอนหายใจ.

       ติดพิงอยู่กับกล่องภาชนะข้างๆที่เธอกำลังยืนอยู่นี้คือภาพวาดของบิดาของดยุค. เชือกร้อยห่อหุ้มพันมัดรอบมันเหมือนยังกับด้ายลุ่ยระย้าตกแต่ง. ชิ้นส่วนของเชือกร้อยฟั่นยังคงถูกกำอยู่ในมือซ้ายของเจสสิกา. ข้างของภาพวาดนั้นวางนอนอยู่ด้วยหัวของวัวดำตรึงติดบนกระดานขัดมัน. หัวนั้นเป็นเหมือนเกาะดำทมึนอยู่ในท่ามกลางทะเลของกระดาษเกลื่อนกระจาย. แผ่นของมันวางราบอยู่บนพื้นห้อง, และหัวยื่นของวัวมันวาวชี้ขึ้นไปยังเพดานโถงราวกับสัตว์ร้ายที่พร้อมจะคำรามเข้าใส่ผู้ท้าทายในห้องโถงก้องเสียงกังวานนี้.

       เจสสิกา สงสัยใจว่าแรงกดดันอะไรที่ได้นำเธอให้ต้องมาเปิดแก้ห่อของสองสิ่งนี้ก่อนอันอื่น—หัวนี้กับภาพวาด. เธอรู้ดีว่ามีบางอย่างเป็นเหมือนสัญลักษณ์ในการกระทำนี้. ไม่ตั้งแต่เมื่อวันที่ผู้ซื้อของดยุคได้นำเธอมาจากสำนักสิกขาที่เธอได้ตื่นกลัวและไม่แน่ใจในตนเองเช่นนี้.

       หัวนี้กับภาพวาด.

       พวกมันเพิ่มปริมาณความรู้สึกของเธอของความสับสน. เธอสั่นระริกด้วยความกลัว, เหลือบไปยังช่องหน้าต่างเรียวยาวเหนือศีรษะของเธอเหล่านั้น. มันเพิ่งยังเป็นตอนบ่ายต้นๆของที่นี่, และที่ดินแดนแถบเส้นรุ้งนี้ท้องฟ้าดูดำมืดและเย็นเยียบ—ดำมากยิ่งกว่าสีฟ้าอบอุ่นของ คาลาดาน. วาบหนึ่งของความคิดถึงบ้านทิ่มแทงเจ็บปลาบผ่านร่างเธอไป.

       ช่างไกลเหลือเกิน, คาลาดาน.

       “นี่ไงเรา!

       เสียงนั้นเป็นของ ดยุคเลโต.

       เธอหมุนร่าง, เห็นเขากำลังเคลื่อนจากช่องทางเดินซุ้มโค้งมายังโถงจัดเลี้ยง. ชุดทำงานสีดำของเขาที่มีเกราะประจำตระกูลจงอยเหยี่ยวสีแดงประดับที่หน้าอกดูมอมแมมและยับย่น.

       “ฉันคิดว่าเธอคงไม่พาตนเองหลงหายไปกับในที่ใหญ่โตน่ากลัวนี้,” เขาพูด.

       “มันเป็นบ้านที่หนาวเย็น,” เธอพูด. เธอมองดูร่างสูงของเขานั้น, ที่ผิวคล้ำซึ่งทำให้เธอคิดสวนมะกอกและตะวันสีทองบนผืนน้ำสีฟ้า. มีควันไม้กรุ่นในดวงตาสีเทาของเขา, แต่ใบหน้านั้นคือ นักล่า: ผอมเรียว, เต็มไปด้วยเหลี่ยมมุมและหลายระนาบ.

       ความกลัวทันทีทันใดต่อเขาพุ่งขึ้นมาในอกของเธอ.  เขาได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยม, ชักนำผู้คนขั้นมาถึงขนาดนี้, ตั้งแต่การตัดสินใจที่จะค้อมคำนับรับบัญชาของ จักรพรรดิ.

       “ทั้งนครนี้รู้สึกหนาวเย็น,” เธอบอก.

       “มันเป็นเมืองกองทหารรักษาการณ์เล็กๆเปื้อนฝุ่น, สกปรก.” เขาเห็นด้วย. “แต่เราจะเปลี่ยนแปลงนั่น.” เขามองไปรอบๆห้องโถง. “มีห้องสาธารณะสำหรับจัดงานรัฐ. ฉันเพิ่งไปแอบดูส่วนที่พักครอบครัวบางห้องมาแล้วที่ในปีกด้านใต้. พวกนั้นงดงามน่ารักกว่านี้.” เขาก้าวเข้ามาใกล้, สัมผัสแขนของเธอ, ชื่นชมในความงามสง่าของเธอ.

       และอีกครา, เขาสงสัยไปถึงวงศ์ตระกูลที่ไม่มีใครทราบได้ของเธอ---ตระกูลขบถ, บางที? ราชสำนัก-บัญชีดำ บางราย? เธอดูเป็น ราชวงศ์ เสียยิ่งกว่าสายโลหิตของจักรพรรดิเองเสียด้วยซ้ำ.

       ภายใต้แรงกดดันจากการมองของเขา, เธอหันไปครึ่งทาง, เผยให้เห็นเค้าโครงรูปลักษณ์ด้านข้างของเธอ. และเขาก็ตระหนักได้ว่าไม่มีสิ่งโดดเดียวหรือแม่นยำชัดเจนที่นำพาความงามของเธอไปสู่จุดรวมความสนใจได้. ใบหน้านั้นรูปไข่อยู่ภายใต้มาลาผมครอบที่สีสันเป็นบร็อนซ์มันวาว. ดวงตาของเธอวางกว้าง, เขียวขจีและใสกระจ่างดุจท้องฟ้ายามรุ่งอรุณของ คาลาดาน. จมูกนั้นเล็ก, ปากกว้างและอวบอิ่ม. ร่างของเธองดงามแต่ขัดสน: สูงและด้วยส่วนโค้งเว้าของมันดูจะไปสู่ความผอมบาง.

       เขาจำได้ว่าเหล่าภคิณีที่สำนักได้เรียกเธอว่า ยัยผอม, แล้วเหล่าผู้ซื้อของเขาก็บอกกับเขาเช่นนั้น. แต่คำบรรยายนั้นดูจะเกินเลยมากไป. เธอได้นำความงามสง่าเยี่ยงราชวงศ์กลับเข้ามาสู่เชื้อสาย อะไทรดีส. เขาดีใจที่ พอล โปรดปรานเธอ.

       “พอล อยู่ที่ไหนรึ?” เขาถาม.

       “ที่ไหนสักแห่งรอบราชสำนักนี้กำลังรับบทเรียนของเขากับ หยัว.”

       บางทีอาจจะทางปีกด้านใต้,” เขาบอก. “ฉันคิดว่าฉันได้ยินเสียงของ หยัว, แต่ฉันไม่มีเวลาจะแวะเข้าไปดู.” เขาชำเลืองลงไปที่เธอ, ลังเล.  “ฉันมาที่นี่ก็แค่จะแขวนกุญแจของ ปราสาทคาลาดันในโถงทานอาหาร.”

       เธอพยายามสงบลมหายใจ, หยุดหยุดกระแสประสาทเพื่อเอื้อมออกไปหาเขา. แขวนกุญแจ—มีความเด็ดเดี่ยวออกมาในกิริยากระทำนั้น.  แต่นี่ไม่ใช่เวลาหรือสถานที่ที่จะปลอบโยน.  “ฉันเห็นธงของเราแขวนอยู่เหนือราชสำนักตอนที่เราเข้ามา,” เธอพูด.

       เขาเหลือบมองไปยังภาพวาดบิดาของเขา. “เธอกำลังจะแขวนภาพนั้นที่ไหนหรือ?”

       “ที่ไหนสักแห่งในนี้.”

       “ไม่.” คำบอกนั้นราบเรียบและเด็ดขาด, กำลังบอกกับเธอว่าเธอสามารถใช้เล่ห์กลที่จะชักจูงได้, แต่การเปิดข้อถกเถียงนั้นไร้ประโยชน์.  กระนั้น, เธอยังต้องลองพยายาม, ถึงแม้ว่าการบ่งชี้นั้นให้มาเพื่อเตือนตัวเธอเองว่าเธอจะไม่ใช้เล่ห์หลอกเขา.

       “ฝ่าบาท,” เธอพูด, “ถ้าท่านจะเพียงแต่...”

       “คำตอบก็ยังคงว่า- ไม่.  ฉันยอมตามใจเธออย่างน่าละอายมามากสิ่งแล้ว, แต่ไม่ใช่อันนี้.  ฉันเพิ่งมาจากโถงทานอาหารที่มี---“

       “ฝ่าบาท! ได้โปรด.”

       “การเลือกคือระหว่างการย่อยอาหารของเธอกับศักดิ์ศรีของบรรพบุรุษของฉัน, ที่รัก,” เขาบอก.  “พวกนี้จะแขวนที่ในโถงทานอาหาร.”

       เธอถอนหายใจ. “เพคะ, ฝ่าบาท.”

       “เธออาจจะเริ่มอีกครั้งกับการทานอาหารในห้องของเธอเมื่อใดที่เป็นไปได้.  ฉันจะคาดหวังเธอตามตำแหน่งเฉพาะของเธอเพียงแค่ตอนโอกาสที่เป็นทางการเท่านั้น.”

       “ขอบคุณค่ะ, ฝ่าบาท.”

       “แล้วก็อย่าทำเป็นเย็นชาและเป็นทางการไปเสียหมดกับฉัน! จงขอบคุณที่ฉันไม่ได้แต่งงานกับเธอ, ที่รัก.  มิเช่นนั้นมันจะเป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องร่วมที่โต๊ะกับฉันในทุกมื้ออาหาร.”

       เธอตรึงใบหน้าของเธอให้ไม่ขยับเขยื้อน, และผงกศีรษะลง.

       “ฮาวัตได้เตรียมพร้อมเครื่องตรวจยาพิษของเราเองทั่วทั้งโต๊ะทานอาหารแล้ว,” เขาบอก. มีแบบเคลื่อนย้ายได้ที่ห้องของเธอ.”

       “ท่านได้เตรียมการล่วงหน้านี้ไว้...ไม่อาจโต้แย้ง,” เธอพูด.

       “ที่รัก, ฉันคิดด้วยเช่นกันถึงความสะดวกสบายของเธอ.  ฉันได้ติดต่อข้ารับใช้ทั้งหลายไว้ให้แล้ว.  พวกนั้นเป็นคนท้องถิ่น, แต่ ฮาวัต ได้ตรวจกรองพวกเขาแล้ว---พวกนั้นเป็น ฟรีเมน ทั้งหมด.  พวกเขาจะทำงานนี้ไปจนกว่าคนของเราเองสามารถว่างจากภารกิจอื่นแล้ว.”

       “ใครก็ตามจากที่แห่งนี้สามารถปลอดภัยได้จริงหรือ?”

       “ใครก็ตามที่เกลียดพวกฮาร์คอนเนนส์. เธออาจจะอาจจะกระทั่งต้องการที่จะรักษาหัวหน้าผู้ดูแลราชสำนักเอาไว้: เจ้า ชาเดาท์ มาเพส.

       “ชาเดาท์,” เจสสิกา พูด. “ยศของ ฟรีเมน หรือ?”

       “ฉันได้รับการบอกว่ามันหมายถึง กระบวย-บ่อน้ำ. ความหมายที่ค่อนข้างสำคัญในน้ำเสียงของที่นี่.  หล่อนอาจจะไม่กระแทกใจเธอเหมือนแบบข้ารับใช้, ถึงแม้ว่า ฮาวัต จะพูดในเชิงยกย่องถึงหล่อนบนพื้นฐานจากรายงานของ ดันแคน.  พวกเขาปักใจว่าหล่อนต้องการจะรับใช้—โดยเฉพาะหล่อนต้องการจะรับใช้เธอ.”

       “ดิฉันรึ?”

       “พวกฟรีเมน ได้เรียนรู้ว่าเธอเป็น เบเน เกสเสอริท,” เขาพูด.  “มีหลายตำนานที่นี่เกี่ยวกับ เบเน เกสเสอริท.”

       คณะ มิชชั่นนาเรีย โพรเท็คติวา, เจสสิกา คิด. ไม่มีที่ใดหลบหนีพวกเขาได้.

       “นี่หมายถึงว่า ดันแคน ได้ประสบสำเร็จหรือคะ?” เธอถาม. “พวกฟรีเมนจะเป็นพันธมิตรของเราหรือ?”

       “ยังไม่มีอะไรสิ้นสุดชัดเจนนัก,” เขาพูด. “พวกเขาหวังจะสังเกตการณ์เราสักระยะหนึ่งก่อน, ดันแคน เชื่อเช่นนั้น. พวกเขา, อย่างไรก็ตาม, ทำสัญญาที่จะหยุดการโจมตีหมู่บ้านด้านนอกของเราระหว่างช่วงสงบศึกชั่วคราวนี้. นั่นเป็นประโยชน์สำคัญที่ได้มามากกว่าที่ดูจะเป็นไป. ฮาวัต บอกฉันว่าพวกฟรีเมนคือหนามลึกในสีข้างของพวกฮาร์คอนเนนส์, ว่าการขยายตัวของการปล้นสดมภ์ของพวกนั้นเป็นความลับที่ถูปปกป้องกันอย่างระแวดระวัง. มันไม่ช่วยอะไรดีขึ้นมาได้ถ้าหากว่าองค์จักรพรรดิจะได้รับรู้ถึงความไร้ประสิทธิผลของกองทัพฮาร์คอนเนนส์.”

       “แม่บ้านชาวฟรีเมนน่ะ,” เจสสิกา รำพึง, หันหัวเรื่องกลับมาที่ ชาเดาท์ มาเพส. “หล่อนจะมีตาสีฟ้าทั้งหมดเลย.”

       “อย่าให้กายปรากฏของผู้คนพวกนี้หลอกลวงเธอ,” เขาบอก. “มีพละกำลังที่แข็งแกร่งซ่อนเร้นอยู่ภายในพวกเขา. ฉันคิดว่าพวกจะเป็นทุกอย่างที่เราจำเป็นต้องการ.”

       “เป็นเกมพนันที่อันตรายนะ.” เธอพูด.

       “เราอย่าได้เข้าไปสู่นั่นกันอีกครั้งเลย,” เขาพูด.

       เธอฝืนยิ้มออกมา. “เราถูกผูกมัด, ไม่ต้องสงสัยในเรื่องนั้นเลย.” เธอผ่านกฏเกณฑ์สู่การสงบนิ่งไป---ด้วยการสูดลมหายใจลึกๆสองครั้ง, พิธีกรรมสติ, แล้ว: เมื่อดิฉันจัดวางห้องทั้งหลาย, มีอะไรเป็นพิเศษที่ดิฉันควรสำรองเก็บไว้ให้ท่านไหมคะ?

       “เธอต้องสอนฉันสักวันว่าเธอทำนั่นได้อย่างไร,” เขาพูด, “วิธีที่เธอผลักดันความกังวลไปข้างๆแล้วหันมาสู่ภารกิจตามจริง. มันต้องเป็นเวทย์ของ เบเน เกสเสอริท.”

       “เป็นเวทย์ของอิสตรีน่ะค่ะ,” เธอบอก.

       เขายิ้ม. “เอาละ, มอบหมายกำหนดใช้งานห้องทั้งหลายไป: ทำให้แน่นอนว่าฉันมีพื้นที่สำนักงานขนาดใหญ่ถัดจากภาคหลับนอนทั้งหลายของฉัน. จะมีงานเอกสารที่นี่มากมายกว่าบน คาลาดาน. ห้องยามรักษาการณ์, แน่นอน. นั่นควรปกปิดมัน. อย่ากังวลเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของราชสำนักนี้. คนของฮาวัตได้ตรวจสอบควบคุมมันในชั้นลึกหมดแล้ว.”

       “ดิฉันแน่ใจว่าพวกเขาทำ.”

       เขาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือของเขา. “และเธออาจจะตรวจดูอีกทีว่าเครื่องบอกเวลาของเราทุกชิ้นได้ปรับแก้ให้เข้ากับท้องถิ่นอาร์ราคีน. ฉันได้มอบหมายช่างเทคให้มาจัดการมันไปแล้ว. เขาคงมาถึงในไม่ช้านี้ง” เขาปัดผมเปียของผมเธอไปทางด้านหลังจากหน้าผากเธอ.  “ฉันต้องกลับไปที่สนามลงจอดยานในตอนนี้. กระสวยลำที่สองคงลงอีกในไม่กี่นาทีพร้อมกับคณะทำงานสำรองของฉัน.”

       “ฮาวัต ไปพบพวกนั้นเองไม่ได้หรือคะ, ใต้เท้า? ท่านดูอ่อนเพลียมากเกินไป.”

       “ธูเฟอร์ คนดีน่ะงานยุ่งมากยิ่งกว่าฉันอีก. เธอรู้ไหมว่าดาวเคราะห์นี้ถูกฝังวางเล่ห์ของพวกฮาร์คอนเนนไว้เต็มไปหมด.  นอกจากนั้น, ฉันต้องลองพยายามชักจูงพวกนักล่าเครื่องเทศบางคนไม่ให้หนีจากไป. พวกเขามีสิทธิในการเลือก.  เธอรู้ไหม, ด้วยการเปลี่ยนศักดินาสิทธิ์---และนักดาวเคราะห์วิทยานี้ที่จักรพรรดิและลานสราอาดได้ตั้งไว้เป็น ตุลาการแห่งการถ่ายโอน (judge of the Change) ไม่สามารถถูกบังคับซื้อได้. เขาได้รับอนุญาตให้มีสิทธิเลือก. ราวแปดร้อยลูกมือที่ได้รับการฝึกฝนมาคาดว่าจะเดินทางออกไปกับกระสวยยานเครื่องเทศและมียานลำเลียงของกิลด์จอดรอเตรียมอยู่...”

       “ใต้เท้าคะ....” เธอโพล่งออกมา, ลังเลใจ.

       “อะไรรึ?”

       เขาไม่ควรถูกชักจูงให้เลิกล้มความพยายามที่จะทำให้ดาวเคราะห์นี้ปลอดภัยสำหรับเรา. เธอคิด. และฉันไม่สามารถใช้เล่ห์กลกับเขาได้.

       “เวลาเท่าไหร่ที่ท่านจะมาทานดินเนอร์คะ?” เธอถาม.

       นั่นไม่ใช่อะไรที่เธอได้กำลังจะพูด, เขาคิด.  อา-ห-ห-ห, เจสสิกา ที่รัก, เราน่าจะไปอยู่ที่ไหนอื่น, ที่ไหนอื่นที่ไกลไปจากสถานที่มหันตภัยร้ายกาจนี้---ตามลำพัง, เพียงเราสองคน, ไม่มีอะไรให้ห่วงใย.

       “ฉันจะทานที่โรงอาหารเจ้าหน้าที่ที่ในสนาม,” เขาบอก. “อย่าได้คอยฉันจนสายไปมากเกินล่ะ. และ...อ้า, ฉันจะส่งรถคุ้มกันคันหนึ่งมาให้ พอล.  ฉันอยากให้เขาได้เข้าร่วมประชุมยุทธศาสตร์กับเราด้วย.”

       เขากระแอมลำคอราวกับว่าจะพูดอะไรบางอย่างอื่นอีก,แล้ว, โดยไม่บอกเตือน, หันร่างและก้าวออกไป, มุ่งหน้าไปยังทางเข้าที่ซึ่งเธอสามารถำได้ยินเสียงกล่องลังทั้งหลายกำลังถูกขนส่งลง. เสียงของเขาดังมาอีกครั้งจากที่นั่น, ในสำเนียงสั่งการและปั้นปึ่ง, วิธีที่เขามักจะใช้พูดอยู่เสมอกับคนรับใช้เมื่อเขากำลังรีบด่วน: “คุณหญิงเจสสิกาอยู่ที่ในท้องพระโรง. ไปพบเธอที่นั่นเดี๋ยวนี้เลย.”

       ประตูด้านนอกปิดดังปัง.

       เจสสิกาหันร่างกลับ, เผชิญหน้าภาพวาดของบิดาของลีโต. มันถูกวาดโดยจิตรกรชื่อดัง, อัลเบ, ในระหว่างช่วงปีกลางยุคสมัยของท่านดยุคเฒ่า. เขาถูกวาดอยู่ในชุดมาทะดอร์มีเสื้อคลุมสีแดงม่วงห้อยพาดแขนขวาของเขา. ใบหน้านั้นดูหนุ่ม, แทบจะแก่กว่าของลีโตในตอนนี้, และดูเฉียบคมดุจวิหคเหยี่ยว, ดวงตาสีเทาจ้องเขม็งเช่นเดียวกัน.  เธอรวบกำปั้นของเธอที่ข้างกาย, จ้องดูภาพวาดนั้น.

       “ห่าท่านเถิด! ห่าท่านเถิด! ห่าท่านเถิด!” เธอกระซิบ.

       “ท่านบัญชาอะไรหรือ, ท่านราชนิกูล”

       เป็นเสียงของสตรี, บางและเรียวยาว.

       เจสสิกา หมุนร่างไป, จ้องลงมายังสตรีผมปุ่มปมสีเทา, อยู่ในชุดกระสอบไร้รูปทรงของทาสสีน้ำตาล. สตรีนั้นท่าทางยับย่นและแห้งกรังเหมือนเช่นฝูงชนที่ได้ไปต้อนรับพวกเขาตามเส้นทางจากสนามบินเมื่อเช้านี้. เหมือนทุกชนพื้นเมืองที่เธอได้เห็นบนดาวเคราะห์นี้, เจสสิกา คิด, ดูแห้งพรุนและต่ำกว่าความอิ่มเอิบสมบูรณ์. กระนั้น, ลีโต ได้บอกไว้แล้วว่าพวกเขานั้นแข็งแรงและมีพลังชีวิต. และพวกเขามีดวงตาเหล่านั้น, แน่นอน---ที่กระจ่างด้วยสีฟ้าลึก,และเข้มสุดปราศจากสีขาว---ลี้ลับและเก็บงำ. เจสสิกา บังคับตนเองให้ไม่จ้องดู.

       สตรีนั้นผงกศีรษะรับด้วยลำคอที่แข็งทื่อ, พูด; “ดิฉันถูกเรียกขานว่า ชาเดาท์ มาเพส, ท่านราชนิกูล. คำบัญชาของท่านคืออะไรหรือ?”

       “เธอควรจะเรียกขานฉันแค่เพียง ท่านผู้หญิงก็พอ,” เจสสิกา บอก. “ฉันไม่ได้เป็น ราชนิกูล หรอก. ฉันเป็นแค่เพียงพระสนมของ ท่านดยุคเลโต.”

       อีกครั้งกับการผงกศีรษะรับแปลกๆนั้น, และสตรีนั้นก็เผยอขึ้นมาอย่างใกล้ชิดยัง เจสสิกา ด้วยคำถามด้วยเล่ห์. “มีภริยาอื่นอยู่, งั้นรึ?”

       “ไม่มีหรอก, หรือเคยมีก็หาไม่. ฉันเป็นคู่เคียงของท่านดยุคเพียงผู้เดียว.....เท่านั้น, มารดาของรัชทายาทของเขา.”

       แม้กระทั่งตอนที่เธอได้พูดออกไป, เจสสิกา หัวเราะอยู่ข้างในกับความภาคภูมิใจเบื้องหลังคำพูดของเธอ.  เซนต์ออกัสทีนพูดไว้ว่าอย่างไรนะ? เธอถามตัวเธอเอง.  “จิตบัญชากายและมันก็เชื่อฟัง. จิตออกคำสั่งตนเองและพบการต่อต้าน.” ใช่---เมื่อครู่นี้ฉันกำลังพบการต่อต้านมากยิ่งกว่า. ฉันควรจะใช้การถอนตัวอย่างเงียบๆด้วยตนเอง.

       เสียงร้องแปลกพิกลดังมาจากถนนด้านนอกราชวัง. มันร้องซ้ำวนกันไปว่า: “ซูวว-ซุวว-ซูค!” แล้วก็: “อิคหุต-เอห์! อิคหุต-เอห์!” และอีกครั้ง: “ซูวว-ซูวว-ซูค!

       นั่น คือ อะไรน่ะ?” เจสสิกา ถาม. “ฉันได้ยินหลายครั้งตอนที่เราขับผ่านถนนเมื่อเช้านี้.”

       “แค่คนขาย-น้ำ, ท่านผู้หญิง.  แต่ท่านไม่จำเป็นต้องนำตนเองไปสนใจเยี่ยงพวกเขาเหล่านั้น. ซิสเทิร์นที่เก็บน้ำทของที่นี่จุได้ห้าหมื่นลิตรและมันถูกคอยทำให้เก็บเต็มไว้อยู่เสมอ.” หล่อนเหลือบลงมองชุดของตนเอง.  “ทำไม, รู้ไหม, ท่านผู้หญิง, ดิฉันแทบไม่จำเป็นต้องสวมชุดสติลสูทในที่นี้เลย?” หล่อนหัวเราะคิกคัก. “และดิฉันก็ไม่ตายลงไปด้วย!

       เจสสิกา ลังเล, อยากจะถามสตรีชาวฟรีเมนนี้อีก, ต้องการข้อมูลที่จะชี้แนะเธอ.  แต่การนำระเบียบมาจัดการความสับสนวุ่นวายในปราสาทนี้ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้.  กระนั้น, เธอพบว่าความคิดทนั้นยังไม่ตกตะกอนเรื่องที่ว่า น้ำคือจุดหลักสำคัญของความมั่งคั่งที่นี่.

       “สามีของฉันได้บอกฉันแล้วเรื่องตำแหน่งของเธอ. ชาเดาท์,” เจสสิกา พูด. “ฉันจำคำๆนี้ได้. มันเป็นคำศัพท์โบราณมาก.”

       “ท่านรู้ถึงเหล่าลิ้นคำโบราณเช่นนั้นหรือ?” มาเพส ถาม, และหล่อนรอคอยคำตอบอย่างท่าทางตั้งใจพิกล.

       “ลิ้นคำ เป็นการเรียนรู้อันดับแรกของ เบเน เกสเสอริท,” เจสสิกา บอก.  “ฉันรู้ โภตานิ จิบ และ ชาคอปสา , ภาษาของการล่าทั้งหมด.”

       มาเพส พยักหน้ารับ. “เป็นเช่นที่ตำนานว่าไว้.”

       และ เจสสิกา กังขาใจ: ทำไมฉันต้องเล่นบทขมังเวทย์นี้ออกมา? แต่วิถีแห่ง เบเน เกสเสอริท นั้นเป็นเช่นการหลอกลวงและบีบคั้น.

       “ฉันรู้ถึง ไสยมืด และวิถีทั้งหลายของ พระมหามารดา,” เจสสิกา บอก. เธอได้อ่านสัญญานอันชัดแจ้งจากกิริยาของมาเพสและปรากฏออกมา. การแอบซ้อนเล่ห์กลเล็กน้อยเหล่านั้น.  “มิสซีเซส พรีจิอา,” เธอพูดด้วยลิ้น ชาค็อปสา.  “แอนดราล ทเร ปีรา! ทราดา ซิค บุสคากริ มิซีเซส เปรากริ---“

       มาเพส ถอยหลังไปหนึ่งก้าว, ทำท่าทางเหมือนจะหลบหนี.

       “ฉันรู้มากมายหลายอย่าง,” เจสสิกา พูด. “ฉันรู้ว่าเธอนั้นให้กำเนิดเด็กๆ, ที่เธอได้สูญเสียรายที่รักนั้นไป, แต่เธอได้หลบซ่อนอยู่ในความกลัวที่ว่าเธอได้ทำร้ายและกระนั้นก็จะยังทำความรุนแรงร้ายอีก. ฉันรู้มากมายหลายอย่าง."

       ในน้ำเสียงลดต่ำลง, มาเพส พูด: “ดิฉันไม่ได้ตั้งใจก้าวร้าว, ท่านผู้หญิง.”

       “เจ้าพูดถึงตำนานและเสาะหาคำตอบเหล่านั้น,” เจสสิกา บอก. “จงระวังในคำตอบที่เธอจะได้พบ. ฉันรู้ว่าเธอได้เตรียมใช้ความรุนแรงด้วยอาวุธที่ในเสื้อชั้นในของเธอง”

       “ท่านผู้หญิง, ดิฉัน.....”

       “มีโอกาสห่างไกลที่เจ้าสามารถเรียกเลือดจากชีวิตฉันได้,” เจสสิกา พูด, “แต่ในการทำเช่นนั้นเจ้าจะนำความเสียหายลงมามากกว่าความหวาดกลัวลมๆแล้งทั้งหลายที่เจ้าจะจินตนาการออกมาได้. มีบางอย่างเลวร้ายยิ่งไปเสียกว่าการตาย, เจ้ารู้ดี---แม้กระทั่งเพื่อผู้คนทั้งหมด.”

       “ท่านผู้หญิง! “มาเพส วิงวอน. หล่อนปรากฏเกือบร่วงลงไปคุกเข่าของเธอ. “อาวุธนั้นส่งมาเป็นเช่นของกำนัลแก่ท่าน ที่ท่านควรจะพิสูจน์ได้ว่าเป็น ผู้นั้น.”

       “และเป็นหนทางแห่งความตายของฉันถ้าฉันถูกพิสูจน์ว่าเป็นอีกอย่าง,” เจสสิกา บอก. เธอรอคอยอยู่ในอาการผ่อนคลายที่มาจากการฝึกฝนของสำนักเบเน เกเสอริตเพื่อข่มขู่ให้กลัวในการปะทะต่อสู้.

       ตอนนี้เราจะได้เห็นกันว่าทางใดที่การตัดสินใจเปิดปลายออก, เธอคิด.

       อย่างช้าๆ, มาเพส เอื้อมไปที่คอของชุดคลุมของเธอ, ดึงฝักสีมืดดำอันหนึ่งออกมา. ด้ามสีดำมีสันริ้วร่องนิ้วลึกยื่นออกมาจากฝักนั้น. หล่อนกุมฝักในมือข้างหนึ่งและกุมด้ามด้วยมืออีกข้าง, ดึงมีดขาวดุจน้ำนมออกมา, ชูมันขึ้น. มีดนั้นดูเหมือนจะส่องแสงและเป็นประกายด้วยแสงของตัวมันเอง. มันเป็นแบบสองคมเหมือนกริชคินด์จัลและมีดนั้นน่าจะยาวยี่สิบเซนติเมตร.

       “ท่านรู้จักสิ่งนี้ไหม, ท่านผู้หญิง? มาเพส ถาม.

       มันน่าจะเป็นสิ่งนั้น, เจสสิกา รู้, มีดกริช-คริสไนฟ์ ในนิทานตำนานของ อาร์ราคิส, มีดที่ไม่เคยถูกนำออกไปจากดาวเคราะห์นี้ได้, และถูกรู้จักกันก็แค่เพียงคำเล่าลือและคำนินทาลมๆแล้งๆ.

       “มันคือ มีดกริช-คริสไนฟ์,” เธอบอก.

       “พูดมันไม่ลังเลเลย, “ มาเพส พูด. “ท่านรู้ถึงความหมายของมันไหม?”

       และ เจสสิกา คิด: มีคมขอบกับคำถามนั้น. นี่คือเหตุผลที่ เฟรเมน ผู้นี้ได้ถูกส่งมารับใช้กับฉัน, เพื่อถามหนึ่งคำถามนั้น. คำตอบของฉันสามารถเร่งให้ความรุนแรงเกิดได้เร็วขึ้นหรือ...อะไร? หล่อนแสวงหาคำตอบจากฉัน: ความหมายของมีดนี้. หล่อนเรียกฉันว่า ชาดอม ในลิ้นของ ชาคอปสา. มีด, นั่นคือ “ผู้สร้างความตาย”ใน ลิ้น ชาคอปสา. หล่อนดื้อรั้น. ฉันต้องตอบเดี๋ยวนี้แล้ว. การล่าช้าคืออันตรายเช่นเดียวกับคำตอบที่ผิด.

       เจสสิกา: “มันคือ ผู้สร้าง---“

       “อี๊จห์-อี-อี-อี-อี-อี! มาเพส ร้องโหยหวน. มันเป็นเสียงของทั้งคร่ำครวญและปีติใจ. หล่อนสั่งเทาอย่างหนักเสียจนคมมีดนั้นสั่นไหวแวววับสะเก็ดสะท้อนยิงไปทั่วรอบๆห้องนั้น.

       เจสสิกา รอคอย, วางท่า. เธอได้ตั้งใจที่จะพูดว่ามีดนี้คือ ผู้สร้างความตาย แล้วก็จะเติมเพิ่มด้วยคำโบราณ, แต่ทุกเจตสิกได้เตือนเธอในตอนนี้, ทั้งหมดของการฝึกฝนความตื่นตัวที่แสดงความหมายออกมาในการบิดขมวดของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง.

       คำกุญแจนั้นคือ...ผู้สร้าง.

       ผู้สร้าง? ผู้สร้าง.

       กระนั้น, มาเพส ยังคงกุมมีดนั้นราวกับพร้อมที่จะใช้มัน.

       เจสสิกา พูด: “เจ้าคิดว่าฉัน, รู้เรื่องราวลึกลับทั้งหลายของ พระมหามารดา, จะไม่รู้ถึง ผู้สร้าง หรือ?”

       มาเพส ลดมีดนั้นลง.  “ท่านผู้หญิง, เมื่อคนหนึ่งได้มีชีวิตอยู่มากับคำพยากรณ์อย่างแสนนาน, ชั่วขณะของการเผยวจนะย่อมตกใจสุดขีดได้.”

       เจสสิกา คิดถึงเรื่องคำพยากรณ์นั้น---ชาริ-อา และบรรดาคำทำนายฝังรากลึก – panoplia propheticus ทั้งหลายนั้น, เบเน เกเสอริต แห่ง คณะมิชชั่นอาเรีย โพรเทคติวาMissionaria Protectiva ทิ้งไว้ที่นี่นานหลายศตวรรษมาแล้ว---ตายไปนานแล้ว, ไม่ต้องสงสัย, แต่เจตจำนงของเธอสัมฤทธิผล: ตำนานพิทักษ์ได้ปลูกฝังลงในผู้คนเหล่านี้ฝ่าฟันวันเวลาดังความต้องการของ เบเน เกสเสอริต.

       เอาละ, วันนั้นได้มาถึงแล้ว.

       มาเพส กลับคืนมีดยังฝัก, พูด: “นี่เป็นมีดที่ถูกปลดปล่อย, ท่านผู้หญิง. เก็บไว้ใกล้กับท่าน. มากกว่าหนึ่งสัปดาห์ที่ห่างจากเลือดเนื้อแล้วมันจะเริ่มเสื่อมลง. มันเป็นของท่าน, เขี้ยวของ ไช-ฮูลุด, นานตราบเท่าท่านมีชีวิต.”

       เจสสิกา เอื้อมออกไปด้วยมือขวา, เสี่ยงในพนัน: “มาเพส, เจ้าคืนฝักมันโดยที่คมไร้เลือด.”

       โดยหอบสำลัก, มาเพส ปล่อยมีดในฝักนั้นลงบนในมือของ เจสสิกา, ฉีกเปิดเสื้อคลุมสีน้ำตาลออก, ร้องครวญ: “จงเอาน้ำแห่งชีวิตของข้าเถิด!

       เจสสิกา ดึงมีดออกจากฝักของมัน. มันช่างแวววับยิ่งนัก! เธอชี้ปลายแหลมไปยัง มาเพส, มองเห็นความหวาดกลัวที่มากไปกว่าความตายอย่างเจ็บปวดมาหาทั่วร่างของผู้หญิงนั้น . ยาพิษในปลายแหลมนี้รึ? เจสสกา สงสัย. เธอเอียงปลายแหลมนั้นขึ้น, ลากรอยบางด้วยคมมีดเหนือหน้าอกดานซ้ายของ มาเพส. มีเลือดข้นหนาผุดออกมาและหยุดเกือบจะในทันที. ลิ่มเลือดแข็วตัวอย่างรวดเร็ว, เจสสิกา คิด. ผู้กลายพันธุ์ในการถนอมความชื้น?

       เธอเก็บมีดเข้าฝัก, พูด: “กลัดกระดุมชุดของเจ้าเถิด, มาเพส.”

       มาเพส ทำตามสั่ง, ร่างสั่นเทา. ดวงตาที่ปราศจากสีขาวจ้องยัง เจสสิกา. “ท่านคือพวกเรา,”  หล่อนพึมพำ. “ท่านเป็น ผู้นั้น.

       มีเสียงการขนย้ายของที่ทางเข้ามาอีก. อย่างว่องไว, มาเพส ตะครุบมีดในฝักนั้น, ซุกมันเข้าไปในร่างของ เจสสิกา. “ใครที่เห็นมันต้องถูกทำให้สะอาดหรือถูกสังหาร!” หล่อนขู่คำราม. “ท่านรู้เช่นนั้น, ท่านผู้หญิง.”

       ฉันรู้แล้วในตอนนี้, เจสสิกา คิด.

       ผู้ดูแลการขนย้ายสินค้าบรรทุกจากไปโดยไม่ล่วงล้ำเข้ามาในท้องพระโรง.

       มาเพส จัดแจงกับตนเอง, พูด: “ผู้ที่ไม่สะอาดซึ่งได้เห็นมีดกริชนี้ไม่อาจออกจากอาร์ราคิสไปอย่างมีชีวิต. อย่าได้ลืมเช่นนั้น, ท่านผู้หญิง. ท่านได้ถูกไว้วางใจจากคริสไนฟ์อันหนึ่งแล้ว.” หล่อนสูดหายใจลึก. “บัดนี้สิ่งนี้ต้องได้รับตามขั้นตอนของมัน. มันไม่สามารถถูกเร่งรีบได้.” หล่อนชำเลืองมองกล่องกองซ้อนเหล่านั้นและสิ่งของที่สุมทับกันที่รายรอบพวกเขาอยู่. “และก็มีงานเต็มล้นขณะที่เราใช้เวลาในที่นี้.”

       เจสสิกา ลังเล. “สิ่งนี้ต้องได้รับตามขั้นตอนของมัน.” นั่นเป็นบทกลอนจำเพาะจากบรรดามนตร์คาถาของ มิชชั่นนาเรีย โพรเท็คติวา---การมาถึงของคุณแม่อธิการ เพื่อปลดปล่อยพวกเจ้า.

       แต่ฉันไม่ใช่ คุณแม่อธิการ, เจสสิกา คิด.  และแล้ว: พระมหามารดา! พวกเขาปลูกเพาะสิ่งนี้ไว้ที่นี่! นี่ต้องเป็นสถานที่น่ากลัวยิ่ง!

       ในน้ำเสียงที่คืนสู่ตัวตนแท้จริง, มาเพส พูด: “ท่านจะต้องการให้ข้าทำอะไรก่อนหรือ, นายหญิง?”

       สัญชาตญาณเตือน เจสสิกา ให้หวนกลับมาเข้ากันกับน้ำเสียงนั้น. เธอบอก: “ภาพวาดของท่านดยุคเฒ่า ตรงโน้น, มันต้องถูกแขวนบนด้านหนึ่งของผนังโถงทานอาหาร. และศีรษะของวัวนั่นไปอยู่บนผนังด้านตรงกันข้ามของภาพวาด.”

       มาเพส เดิมข้ามไปหาศีรษะของวัวนั้น. “ช่างเป็นสัตว์ร้ายยิ่งที่มีศีรษะเป็นเช่นนี้,” หล่อนพูด. หล่อนหยุด. “ข้าจะทำความสะอาดสิ่งนี้ก่อน, หรือไม่เจ้าคะ, นายหญิง?”

       “ไม่ต้อง.”

       “แต่มีฝุ่นติดผิวหน้าบนเขาของมันอยู่.”

       “นั่นไม่ใช่ฝุ่นหรอก, มาเพส. นั่นคือเลือดของบิดาท่านดยุคของเรา. เขาพวกนั้นถูกพ่นเคลือบติดเอาไว้ด้วยสารโปร่งใสภายในชั่วโมงแรกทันทีหลังจากที่เจ้าสัตว์ร้ายนี้ฆ่า ดยุคเฒ่า.

       มาเพส ยืนขึ้น. “อ้า, นี่เอง!” หล่อนพูด.

       “มันเป็นแค่เลือด,” เจสสิกา พูด. “เลือดชราบนนั้น. ไปเอาคนมาช่วยแขวนพวกนี้ตอนนี้เถิด. เจ้าสัตว์ร้ายนี้หนักมาก.”

       “ท่านคิดว่าเลือดพวกนี้รบกวนใจของข้าหรือ?” มาเพส ถาม. “ข้ามาจากทะเลทราย. ข้าเห็นเลือดมามากมายแล้ว.”

       “ฉัน....มองเห็นว่าเจ้าเคยเช่นนั้น,” เจสสิกา พูด.

       “และบางอันก็เป็นของข้าเอง,” มาเพส พูด. “มากมายกว่าจากแผลเล็กน้อยที่ท่านได้ข่วน.”

       “เจ้าอยากให้ข้ากรีดลึกกว่านั้นหรือ?”

       “อ้า, ไม่เจ้าค่ะ! น้ำของร่างขัดสนยิ่งกว่าที่จะปล่อยให้ไหลทิ้งมากมายไปในอากาศ. ท่านทำสิ่งถูกต้องแล้วค่ะ.”

       และ เจสสิกา สังเกตได้ถึงคำพูดและอากัปกิริยานั้น, จับได้ถึงนัยยะของวลีนั้น. “น้ำของร่างง” อีกครั้งที่เธอสำนึกได้ถึงภาวะบีบบังคับถึงความสำคัญของน้ำบน อาร์ราคิส.

       “ด้านไหนของผนังโถงทานอาหารที่ข้าจะหนึ่งในอันงดงามนี้ล่ะเจ้าคะ, นายหญิง?” มาเพส ถาม.

       เคยเป็นมือทำงานมาล่ะ, มาเพส คนนี้, เจสสิกา คิด. เธอพูด: “ใช้พิจารณาตัดสินของตนเองสิ, มาเพส. มันไม่แตกต่างอะไรนักหรอก.”

       “ตามท่านสั่งค่ะ, นายหญิง.” มาเพส ค้อมคำนับ, เริ่มแก้ห่อของและเชือกพันรัดของศีรษะนั้นง “ฆ่าท่านดยุคเฒ่าเลยรึ, เจ้าตัวร้าย?” หล่อนฮัมเป็นเพลง.

       “ให้ข้าไปตามคนมาช่วยเจ้าเลยไหม?” เจสสิกา ถาม.

       “ข้าจะจัดการเองค่ะ, นายหญิง.”

       ใช่, เธอจะจัดการเอง, เจสสิกา คิด. นั่นเป็นเรื่องของพวกฟรีเมนนี้: แรงขับดันที่จะจัดการ.

       จสสิกา รู้สึกถึงความเย็นเยือกของฝักคริสไนฟ์ภายใต้ร่างของเธอ, คิดถึงสายโซ่อุบายอันยาวของ เบเน เกสเสอริท ที่ได้หล่อหลอมลูกโซ่ที่นี่. เพราะว่าสายโซ่นั้น, เธอได้รอดพ้นจากวิกฤติแห่งความตายง “มันไม่สามารถถูกรีบเร่ง,” มาเพส ได้บอก. กระนั้นก็มีจังหวะของพุ่งหัวออกไปยังสถานที่นี้ที่เติมใส่ เจสสิกา ด้วยลางสังหรณ์. และไม่ใช่การเตรียมพร้อมทั้งหมดของ มิชชั่น โพรเท็คติวา หรือ การสงสัยตรวจสอบอย่างละเอียดของ ฮาวัต ต่อปราสาทของกองหินทั้งหลายนี้ที่สามารถขับไล่ความรู้สึกนี้ออกไปได้.

       “เมื่อเจ้าเสร็จการแขวนพวกนี้แล้ว, ก็เริ่มต้นแก้เปิดหีบกล่องพวกนั้นเสีย, “เจสสิกา บอก. “หนึ่งในพวกขนของที่ทางเข้ามีกุญแจทั้งหมดของมันและรู้ว่าที่ไหนที่ของพวกนี้จะไป. เอากุญแจกับรายการพวกนั้นมาจากเขา. ถ้ามีคำถามอะไร, ฉันจะอยู่ที่ปีกด้านใต้.”

       “ตามที่ท่านสั่งเจ้าค่ะ, นายหญิง,” มาเพส พูด.

       เจสสิกา หันจากไป, กำลังคิดว่า: ฮาวัต อาจจะได้ผ่านว่าทำเนียบนี้ปลอดภัยแล้ว, แต่มีอะไรบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับสถานที่นี้. ฉันสามารถรู้สึกถึงมันได้.

       ความต้องการรีบด่วนที่จะพบบุตรชายของตนเกาะกุม เจสสิกา. เธอเริ่มเดินไปยังซุ้มประตูโค้งที่นำเข้าไปในทางเดินของโถงทานอาหารและด้านปีกของครอบครัว. เร็วขึ้นและเร็วขึ้นที่เธอเดินจนกระทั่งเธอเกือบจะวิ่ง.

       ด้านหลังของเธอ, มาเพส หยุดการเอาห่อรัดทั้งหลายออกจากหัวของวัวนั้น, มองผู้ที่ถอยจากไป. “เธอคือ ผู้นั้น อย่างแน่นอน,” หล่อนพึมพำ. “น่าสงสารจริง.”

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น