หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2563

พุทธทาสภิกขุ - อำนาจย่อมเป็นใหญ่ในโลก

 

วโส อิสฺ สรยํ โลเก

 

         พระพุทธภาษิตข้อนี้ มีความหมายอย่างไรกันแน่ มีผู้ไต่ถามกันมากในสมัยโลกกำลังหวั่นไหวโยกโคลงอยู่ตามอำนาจของอำนาจที่ครองโลก. ความสงสัยนั้นมีว่า พระพุทธจ้าทรงหมายความว่าอย่างไร ในการตรัสพระพุทธพจน์ข้อนี้. คนพวกหนึ่งเห็นไปอย่างหนึ่ง อีกพวหนึ่งเป็นไปอย่างหนึ่ง มีอยู่หลายพวกด้วยกัน. ในที่นี้ จะวินิจฉัยกันเฉพาะแต่ในแง่ของภาษาบาลีกับแง่ของศาสนาเท่านั้น ไม่โน้มเอียงไปหาแง่ของการเมืองหรืออื่นๆ.

         ในแง่ของภาษา เมื่อถือเอาตมตัวหนังสือคำนี่แปลว่า “อำนาจย่อมเป็นใหญ่ในโลก” (เติมคำว่า โหติ ตามหลักธรรมดาของภาษาบาลี ในเมื่อประโยคนั้นๆเป็นประถมบุรุษ ทำให้แปลว่า ย่อมเป็น), คำว่า วโส ซึ่งแปลว่า อำนาจ นั้น อรรถกถาจำกัดความหมายไว้ว่า วโส อาณาปวตฺตนํ ซึ่งแปลว่า “คามเป็นไปได้แห่งการใช้อาญา นี้เรียกว่าอำนาจ.” แต่เนื่องจากคำว่าอาชญา หรือ อาญา ในภาษาบาลีนั้น ย่อมหมายถึงการบังคับ เพราะฉะนั้นจึงแปลเป็นไทยได้ชัดๆลงไปว่า “ความเป็นไปได้แห่งการบังคับให้ทำตาม นั่นเรียกว่าอำนาจ.”

         ทีนี้ คำว่าอำนาจนั้น หมายถึงอำนาจของอะไร คำตอบก็มีแต่ว่า สิ่งใดบังคับได้หรือใช้บังคับได้ สิ่งนั้นเรียกว่าอำนาจทั้งนั้น.  จะเป็นอำนาจกำลังกาย กำลังอาวุธ กำลังความคิด คำพูด หรืออำนาจทางการทหารหรืออะไรก็ตาม หรือแม้ที่สุดแต่อำนาจของกิเลสที่บังคับคนๆนั้นให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ส่วนตัวเขาผู้เดียวก็ตาม นี้เรียกว่า “อำนาจ” ในที่นี้ทั้งสิ้น. เพราะฉะนั้น อำนาจของความสำนึกผิดชอบชั่วดี หรือที่เรียกว่า ธรรมะ ที่บังคับคนที่มีใจปรกติให้ทำดี นี้เรียกว่า อำนาจ ในที่นี้เหมือนกัน. โลกย่อมตกอยู่ภายใต้อำนาจเหล่านี้ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง แล้วแต่ว่าในสมัยนั้นโลกกำลังตกอยู่ในสภาวะเช่นไร, คือว่าอำนาจชนิดไหนกำลังครองโลก. โลกไม่เคยว่างจากการครองอำนาจ, คำพูดที่ว่า “อำนาจย่อมเป็นใหญ่ในโลก” จึงเป็นคำพูดที่ถูกอย่างตายตัว หรือที่เรียกว่ากำปั้นทุบดิน ในเมื่อถือเอาตามแง่แห่งภาษาซึ่งเป็นแง่ที่ตรงไปตรงมาตามธรรมชาติขงภาษา.

         อำนาจที่ใช้บังคับผู้อื่น เช่นกำลังกาย กำลังความคิด กำลังเศรษฐกิจการเมืองหรืออะไรก็ตาม ใช้บังคับกันอย่างไรในโลกนี้ เราเห็นๆกันอยู่แล้วนี้ เรียกว่าอำนาจภายนอก ใช้บังคับโลกได้จริง แต่เป็นคราวๆ ไม่แน่นอนเปลี่ยนแปลงมาก, ส่วนอำนาจที่บังคับตัวเอง คือกิเลสฝ่ายชั่ว กับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่เรียกว่า ธรรมะ นั้น เป็นอำนาจที่บังคับโลกอย่างแน่นอน และตลอดกาล. เพราะเหตุว่า มนุษย์ในโลกทุกคน แต่ละคนย่อมทำอะไรตามอำนาจสองอย่างนี้ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง คือพวกที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจกิเลส ก็ทำชั่วตามกิเลส พวกที่ตกอยู่ภายใต้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี, หรือคนคนเดียวกัน แต่ต่างขณะกัน ก็ย่อมผลัดกันตกอยู่ใต้อำนาจสองอย่างนี้ทีละอย่างก็ได้. เมื่อทุกคนรวมกันเข้า คือ โลก, ฉะนั้น ลักษณะอาการหรือหน้าตาหรือความเป็นไป หมุนไปของโลก จึงขึ้นอยู่แก่การกระทำของคนทุกคนในโลกซึ่งขึ้นอยู่กับอำนาจสองอย่างนี้ (คืออำนาจกิเลส กับอำนาจรู้จักผิดชอบชั่วดี) อีกต่อหนึ่งโดยเด็ดขาด โลกเป็นไปตามอำนาจความรู้สึกในใจของมนุษย์โดยเด็ดขาด ยิ่งกว่าอำนาจอื่นใดทั้งหมด. นี้เรียกว่า “อำนาจภายใน” ซึ่งมีอำนาจบังคับเด็ดขาดกว่าอำนาจภายนอก, เพราะอำนาจเศรษฐกิจการเมือง การทหาร หรืออะไรก็ตาม ที่มนาย์สร้างขึ้นบังคับกันนั้น ย่อมอยู่ใต้ความบังคับของอำนาจกิเลส หรือความรู้สึกผิดชอบชั่วชั่วดี ของมนุษย์ผู้กุมอำนาจภายนอกเหล่านั้น อยู่ในขณะนั้น อีกต่อหนึ่ง, จึงเมื่อกล่าวว่าโลกนี้ถูกปั้น ถูกปรุง ถูกดัดแปลง ไปตามความต้องการแห่งกิเลสของมนุษย์ทั้งหมดที่อยู่ในโลกนั่นเอง. เรียกว่าอำนาจอันเร้นลับที่บังคับโลกอยู่จริงๆนั้น คือ อำนาจของกิเลส หาใช่อำนาจเล็กๆน้อยๆ เช่นอาวุธนั้น เป็นเพียงส่วนน้อยของอำนาจกิเลสนั่นเอง คือกิเลสของชนกลุ่มหนึ่งผู้ใช้อาวุธ.

         เพราะฉะนั้น เท่าที่กล่าวมา ย่อมชี้ให้เห็นความถูกต้องอย่างไม่มีผิดพลาดได้ ตามหลักแห่งภาษา, ทีนี้ก็ยังเหลือแง่ที่สองคือแง่ ศาสนา.

         ในแง่ของศาสนา หรือศีลธรรม หรือ มอรัลนั้น เราพบได้จากต้นตอ หรือมูลเหตุของ การที่มีผู้มาทูลถามความข้อนี้ และพระองค์ได้ตรัสตอบออกไป ว่ามีความหมายอย่างไร: หรือชั้นไหนง เราต้องพิจารณาดูที่คำถามหรือภูมิของผู้ถาม, เราจึงจะทราบความหมายอันแท้จริงของประโยคๆนี้. เรื่องมีอยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม ๑๕ หน้า ๖๐ ฉบับสยามรัฐ เป็นเรื่องเทวดาหรือผู้ที่เป็นโลกจัด มาถามในความหมายชั้นโลกๆ คือถามพร้อมคราวเดียวกัน ๔ ข้อว่า

         อะไรเป็นใหญ่ในโลก?

         อะไรเป็นสุดยอดของภัณฑะ (หมายถึงทรัพย์สมบัติที่พึงมี)?

         อะไรในโลกนี้ที่จะเปรียบกันได้กับขี้สนิมของอาวุธ?

         อะไรเป็นตัวเสนียดในโลก?

         ตรัสตอบว่า อำนาจ เป็นใหญ่ในโลก.

         ผู้หญิง เป็นสุดยอดของภัณฑะ.

         ความโกรธ เป็นของที่เปรียบกันได้กับขี้สนิมของอาวุธ.

         พวกโจร เป็นเสนียดในโลก.

         เหล่านี้เราจะเห็นได้ว่า ผู้ทูลถามด้วยความรู้สึกหรือระดับจิตใจอย่างโลกๆ พระองค์จึงตรัสตอบไปในระดับต่ำๆ อย่างโลกอีกอย่างเดียวกัน, คำตอบจึงเป็นอย่างที่เห็นอยู่นั้น. โดยเฉพาะข้อสอง ยิ่งจำกัดว่าเป็นคำตอบสำหรับผู้ชาย ด้วยซ้ำไป.

         ที่ว่าระดับของความรู้สึกมีอยู่หลายระดับ คำถามกับคำตอบต้องตรงระดับนั้น เราเห็นได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่เราก็ใช้กันอยู่. ปัญหาๆเดียว เด็กเล็กๆถาม ก็ตอบอย่างหนึ่ง เด็กโตๆถาม ก็ตอบอย่างหนึ่ง เพื่อนที่ฉลาดๆทันๆกันถาม ก็ต้องตอบอีอย่างหนึ่ง. เช่นลูกเล็กๆ ถามว่าอะไรเป็นของดีนะพ่อ พ่อก็ตอบไปอย่างหนึ่ง และตอบคำถามนั้นคงเอาไปใช้ไม่ได้สำหรับตอบกับเพื่อนฝูงที่อยู่ในระดับเดียวกัน.

         ทีนี้ สำหรับที่เกี่ยวกับศาสนานั้น แบ่งชั้นออกเป็นเพียงสองชั้น คือชั้นโลกๆหรือวิสัยความคิดนึกของคนธรรมดาสามัญอย่างหนึ่ง และชั้นธรรม คือชั้นที่ตรงกันข้ามกับโลก. พวกที่เป็นชั้นโลกต้องการเงิน แต่พวกชั้นธรรม ต้องการนิพพาน ซึ่งตรงกันข้ามกับเงิน. เมื่อถือตามหลักนี้แล้ว ปัญหาของเทวดาและคำตอบในเรื่องนี้ของพระพุทธเจ้านั้น เป็นชั้นโลกๆคือชั้นที่ยังถือสมมติตัวตนต่ำๆ, ความหมายก็มีขึ้นว่า สำหรับโลกๆ หรืออย่างชั้นโลกๆกันแล้ว อำนาจย่อมเป็นใหญ่ง แต่ถ้าสำหรับชั้นธรรม (ที่ตรงกันข้ามกับโลก) แล้วสิ่งซึ่งตรงกันข้ามกับอำนาจ ย่อมเป็นใหญ่ ได้แก่การไม่ใชอำนาจ แต่ปล่อยไปตามเหตุผลหรือความจริงนั่นเอง ซึ่งคลอดออกมาเป็นความรัก ความยุติธรรม ความดีงาม ถูกต้องอย่างอื่น ที่ไม่ต้องใช้อำนาจซึ่งตรงกันข้ามกับอำนาจ, อันเป็นทางนำไปสู่นิพพาน.

         คำว่า “โลก” ในภาษาบาลีนั้น ก็เช่นเดียวกับในภาษาไทย คือหมายความได้สองอย่าง: โลกหมายถึงตัวโลกหรือแผ่นดิน ก็ได้, โลกหมายถึงวิสัย หรือระดับจิตใจ หรือภุมิชั้นของความรู้สึก ที่ยังต่ำอย่างโลกก็ได้ซึ่งเพ่งเอา โลกใจที่ยังต่ำ, ในภาษาไทยเราเมื่อใครพูดว่า เฮ้ย แกมันโลกเกินไป.” นี่ย่อมหมายความว่า เขาตำหนิว่าคนนั้นมีระดับจิตใจต่ำเกินไป ไม่มีธรรมะ ในภาษาบาลีก็อย่างเดียวกัน. ฉะนั้น คำว่า “ในโลก” แห่งประโยคว่า “อะไรเป็นใหญ่ในโลก” นั้นย่อมหมายความว่า “ในระดับโลกๆกันแล้ว ต้องถือว่าอำนาจนั้นแหละเป็นใหญ่” ดังนี้ก็ได้, และถอดออกมาได้ โดยนัยตรงกันข้ามอีกว่า “ในชั้นธรรมะกันแล้วต้องถือว่า สิ่งที่ตรงกันข้ามจากอำนาจ นั่นแหละเป็นใหญ่.”

         ในโลกนี้ ในบางคราวตกอยู่ใต้อำนาจอย่างโลกๆ บางคราวก็ตกอยู่ใต้อำนาจธรรม. แต่อำนาจโลกกับอำนาจธรรมนั้นต่างกัน. อำนาจโลกใช้อำนาจบังคับ, แต่อำนาจธรรม ย่อมใช้อำนาจในการปล่อย คือไม่บังคับนั่นเอง. ดังนั้น จึงเป็นการตรงกันข้าม และมีความหมายไขว้กันอยู่หน่อยหนึ่ง ด้วยความดิ้นได้ของภาษา แต่ว่ามีหลักตายตัว คือเป็นของคู่กัน และตรงกันข้ามดังที่กล่าวมาแล้ว.

         เพราะฉะนั้น เราถอดใจความจากพระพุทธภาษิตนั้นได้ชัดๆว่า “ในวิสัยโลก อำนาจย่อมเป็นใหญ่” ซึ่งเป็นคำอมตะ ไม่มีทางที่จะผิดไปได้ คำอธิบายสองประเภทหรือสองแง่ ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น.  ผู้ที่รู้สึกตัวว่ายังอยู่ในวิสัยโลก จงเร่งรีบหาอำนาจที่ดีจริงและเด็ดขาด กล่าวคือ อำนาจความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่จะใช้บังคับตัวได้ ซึ่งสูงกว่าอำนาจอื่นใด และไม่มีทางสะท้อนเป็นผลร้ายทีหลัง เหมือนอำนาจเงินหรืออำนาจอาวุธ ซึ่งบางคราวหรือบาแห่งก็มีอำนาจเหนือโลกเหมือนกัน แต่โยกโคลงเหลือเกิน.

 

เขาพุทธทอง

๑๕ สิงหาคม ๒๔๙๒

(จากหน้า ๑๗๓-๑๗๘ ของหนังสือ “ชุมนุมข้อคิดอิสระ” โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น