หน้าเว็บ

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2563

พุทธทาสภิกขุ - มรรควิถีของจางจื้อ

 

มนุษย์ที่แท้

มรรควิถีของ จางจื้อ

 

 

คำนำ

 

เมื่ออ่านคำสอนของจางจื้อ รู้สึกสะดุดใจว่า ได้พบแนวความคิดหลายอย่างที่ละม้ายกับหลักพระพุทธศาสนา แต่จะตัดสินใจแน่ชัดลงไปว่า เหมือนกันหรือแตกต่างกันและมีคุณค่ามากน้อยอย่างไร ก็ยังไม่เห็นว่าตนอยู่ในฐานะเป็นผู้วินิจฉัย จึงเพียงแต่ตั้งข้อสังเกตไว้

         ความรู้สึกสะดุดใจแต่เบื้องต้นที่ได้อ่าน คือ แนวความคิดของจางจื้อดูเหมือนจะโน้มไปข้าง โลกุตตรธรรมเป็นอันมาก คำสอนเกี่ยวกับอกรรมก็ดี การสลัดความยึดถือในตัวตนก็ดี ภาวะที่ไม่อาจจะบรรยายได้ก็ดี ชีวิตที่ปลีกออกสู่วิเวกไม่เกาะเกี่ยวกับสังคมและกิจการของโลกก็ดี ล้วนมุ่งเข้าสู่แนวทางของโลกุตตรธรรม และดูจะเข้ากันกับหลักสำคัญของพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น อีกอย่างหนึ่ง การที่จางจื้อสอนวิถีแห่งโลกุตตระโดยมิได้ปฏิเสธจริยธรรม และแบบแผนประเพณีของสังคมที่สามัญชนจะพึงประพฤติปฏิบัติ ภายในขอบข่ายแห่งเหตุผล ก็นับว่าเป็นแนวทางที่เข้ากันได้กับพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน ความข้อนี้จะเห็นชัดขึ้น เมื่อพิจารณาตามหลักพระพุทธศาสนา ในเรื่องอัตถะ (เป้าหมายหรือประโยชน์ ๓ อย่าง) คือ

๑.    ทิฏฐธัมมิกัตถะ     ประโยชน์ปัจจุบันหรือประโยชน์ชั้นต้น หมายถึงการแสวงหาและได้มาซึ่งสิ่งอันเป็นหลักประกันความมั่นคงของชีวิต ตวามเจริญรุ่งเรืองและความเพียบพร้อมสมบูรณ์ ในส่วนที่เป็นโลกธรรม มี ทรัพย์ ยศ สุข ไมตรี เป็นต้น

๒.  สัมปรายิกัตถะ      ประโยชน์เบื้องหน้าหรือประโยชน์ที่สูงขึ้นไป หมายถึงความเจริญแห่งคุณธรรมความงอกงามทางจิตใจ ข้อปฏิบัติที่เป็นทางแห่งสวรรค์

๓.  ปรมัตถะ   ประโยชน์อย่างยิ่งหรือประโยชน์สูงสุด หมายถึงการเข้าถึงนิพพาน ภาวะอันเป็นโลกุตตระ พ้นจากความดีความชั่ว พ้นจากสุขทุกข์ พ้นจากภาวะที่มีการแบ่งแยกและขอบเขตจำกัด

 

อัตถะ ๒ อย่างแรก เป็นวิถีทางของคนดี วิถีที่ยังเนื่องอยู่ในโลก เกี่ยงข้องกับอัตตา คือความยึดถือในตัวตน อย่างที่ ๑ เป็นอย่างหยาบ เป็นไปในทางขยายอัตตาให้กว้างขวางใหญ่โตขึ้น อย่างที่ ๒  ช่วยยับยั้งขัดเกลาการแสวงประโยชน์อย่างแรกให้อยู่ในแนวทางที่ดีงาม ไม่ให้มัวเมาประมาทจนตกเป็นทางของโลกธรรมโดยสิ้นเชิง พูดอีกอย่างว่า ทำให้ความขยายตัวของอัตตาเป็นไปในทางที่ดีงามประณีตขึ้น แต่ทั้ง ๒ อย่างยังคงจำกัดอยู่ในขอบเขตของกรรม คือ บุญกับบาปหรือดีกับชั่ว มุ่งเพียงให้ละบาปมาสู่บุญ ส่วนประโยชน์อย่างที่ ๓ เป็นวิถีโลกุตตระ พ้นจากบุญบาปหรือดีชั่ว เป็นประโยชน์สำหรับผู้ไม่คิดหวังประโยชน์ เข้าถึงเมื่อเลิกแสวงา ไม่มีตัวตนที่เข้าถึง และไม่มีตัวตนที่เสวยประโยชน์นั้น

         ปราชญ์จางจื้อ จะบรลุภาวะที่เรียกว่าโลกุตตรธรรม ตามความหมายของพะรพุทธศาสนาหรือไม่ หรือเป็นเพียงนักปราชญ์ผู้ฝักใฝ่ทางนี้โดยอัธยาศัย มิใช่เรื่องที่จะวินิจฉัยในที่นี้ แต่คำสอนของท่านผู้นี้ที่ย้ำนักในเรื่องการดำรงชีวิตอย่างอิสระ การปลีกตัวอยู่วิเวก การไม่เข้าไปเกี่ยวเกาะวุ่นวายกับกจการของโลก หรือที่สรุปได้สั้นๆ ว่าอยู่ในโลกโดยไม่วุ่นไปกับโลกนั้น คงจะต้องมีแกนร่วมบางส่วนที่ประสานกันได้กับคติในฝ่ายปรมัตถ์ของพระพุทธศาสนา ซึ่งก็มีคำแสดงภาวะของผู้หลุดพ้นไว้คล้ายกันว่า อยู่ในโลก แต่ไม่ติดโลก ยิ่งคำสอนของท่านผู้นี้ลักษณะพิเศษ เป็นถ้อยคำจี้ความคิด พลิกความรู้สึก และมุ่งผ่านตรงลงไปหาปัญหาอีกด้วย จึงไม่เป็นที่น่าประหลาดใจว่า คำสอนของท่านได้มีอิทธิพลต่อพุทธศาสนานิกายเซนแต่เริ่มต้น และวาทะของท่านเป็นหลักที่ปราชญ์เซนยังนำมาอ้างกันอยู่

         หลักที่ว่า อยู่ในโลกโดยไม่วุ่นกับโลก หรืออยู่ในโลกแต่ไม่ติดโลกนั้น แสดงให้เห็นว่าคติในส่วนปรมัตถ์นั้น มิใช่สิ่งที่แยกขาดออกไป หรือเป็นทางดำเนินต่างหากจากการดำรงชีวิตอย่างสามัญท่ามกลางสังคมในโลก แต่เป็นสิ่งที่สามัญชนประพฤติปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวันด้วย แม้ว่าจะมีบางท่านที่พอใจโดยอัธยาศัยที่จะปลีกตัวออกจากสังคมไปอยู่วิเวก ความข้อนี้นับว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ควรกำหนดไว้ เพราะปัจจุบันมีคนไม่น้อยโดยเฉพาะท่านที่เรียกว่า มีการศึกษาสูงแล้ว กำลังจะนำคนอื่นๆให้เข้าใจเขวไปว่า โลกุตตรธรรม เป็นข้อปฏิบัติของพระสงฆ์ หรือผู้ที่สละเหย้าเรือนออกไปอยู่ในวิเวกแล้วฝ่ายเดียว มิใช่เรื่องที่คฤหัสถ์จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง หลักความประพฤติของคฤหัสถ์ คือ โลกียธรรมอย่างเดียวเท่านั้น  ความเข้าใจเช่นนี้เป็นความผิดพลาดและจะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการเข้าถึงธรรมอย่างหนึ่ง

ความจริงโลกุตตรธรรมเป็นของทุกคน เป็นเครื่องช่วยทรงตัวและเชิดชูผู้ที่อยู่ท่ามกลางโลกียธรรมนั่นเอง ไม่ให้จมมิดลงไปในโลกียธรรมนั้น เป็นเครื่องดำรงรักษาและอำนวยอิสรภาพแก่มนุษย์ ผู้อยู่ในวงล้อมของโกธรรมที่กำลังจะกดเอาตัวเขาลงเป็นทาส สำหรับมนุษย์ปุถุชน อย่างน้อยคำสอนฝ่ายโลกุตตระ ก็ยังช่วยเกื้อกูล ๒ ประการ ประการแรก เป็นเครื่องเตือนสติให้รู้จักมองโลกและชีวิตในแง่มุมหนึ่ง ซึ่งเป็นแง่ของความเป็นจรง เป็นแรงปะทะหรือเครื่องเหนี่ยวรั้งไม่ให้ลุ่มหลงมัวเมาในโลกธรรม ให้รู้จักขอบเขตและรู้จกขีดที่จะยับยั้งได้บ้าง ประการที่สอง เป็นผลกำไรแก่ชีวิตดานใน ทำให้รู้จักและได้ลิ้มรสความสุขที่แท้ คือ นิรามิสสุข หรือสุขอันไม่ต้องอาศัยอามิส แม้ในยามท่ามิสสุขอันอาศัยโลกธรรมถึงความเสื่อมถอยหรือหมดความหมายลง ก็ไม่ว้าเหว่ ห่อเหี่ยว หรือถึงกับทอดถอนละห้อยละเหี่ย ยังมีหลักยืนตัวที่ชื่นบานมั่นคง ให้ความรู้สึกแห่งความมีชีวิตที่มีคุณค่าและความหมายอย่างแท้จริงแก่มนุษย์

คำสอนของจางจื้อนี้มีใครจะวัดระดับให้แค่ใดหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อว่าในแง่คุณค่าเท่าที่กล่าวมานี้ เห็นว่าจะให้ประโยชน์แก่ผู้ตั้งใจอ่านได้ทั้งสองประการ ม้แต่พุทธศาสนิที่เป็นพหูสูต ก็น่าจะได้ข้อคิดบางอย่างเสริมปัญญาขึ้นอีก ทั้งข้อเสนอเพิ่มเติมว่า ผูใช้ประโยชน์จากคำสอนนี้ น่าจะสำนึกตัวไว้ชัดด้วยว่า คำสอนนี้เข้าไปสัมพันธ์กับตนจากจุดไหน ฐานใด ในการดำรงชีวิตอย่างสามัญในโลก เพราะการเข้าถึงความจริงนั้นจะต้องมีการยอมรับความจริงทุกระดับ รวมทั้งความจริงที่สมมติกันในชีวิตประจำวันด้วย แม้ว่าจะไม่ติดในข้อสมมตินั้นก็ตาม ถึงตอนนี้ เนจะต้องอ้างพุทธภาษิตที่ว่า “ถ้อยคำเหล่านี้ เป็นชื่อที่ชาวโลกกำหนดกันขึ้น เป็นภาษาของโลกซึ่งตถาคตก็ใช้เรียก แต่ไม่ยึด”  ใน

         ที.สี่. ๙/๓๑๒/๒๔๘

แง่นี้ คำสอนของจางจื้อจะสอดคล้องด้วยหรือไม่ ควรจะเป็นเรื่องที่ต้องคิดใคร่ครวญ พยายามวินิจฉัย ในเมื่อได้อ่านคำสอนของจางจื้อแล้วโดยตลอดหรือส่วนมากและคงจะขึ้นกับการแปลความหมายด้วยไม่มากก็น้อย

         การที่คำสอนของจางจื้อละม้ายกับคำสอนในพระพุทธศาสนานั้น ย่อมมิได้หมายความว่า จะต้องเหมือนกันแท้ทีเดียว ยังมีคำสอนในศาสนาและลัทธิอื่นอีกที่คล้ายพระพุทธศาสนา แต่ความคล้ายก็ยังคงเป็นความคล้าย หาได้หมายความว่าจะต้องเหมือนกันจริงไม่ สำหรับการศึกษาความละม้ายหรือคล้ายกัน ที่พบในเบื้องต้น อาจจะเป็นจุดเริ่มนำไปสู่การพิสูจน์หาความเหมือนหรือความต่างต่อไป ถ้าจะพิสูจน์อย่างนี้ ก็มีเรื่องให้พิจารณาหลายอย่าง เช่น ระหว่างอกรรมของจางจื้อ กับ การดับกรรมของพระพุทธศาสนา การไม่ยึดถือตัวตน กับ หลักอนัตตา การไม่วางแผน กับ การไม่คิดหวัง การไม่อยู่เพื่ออนาคตและการอยู่กับปัจจุบัน วิเวกหรือการปลีกตัวจากสังคม มีความเหมือนกันและต่างกันแค่ไหน เพียงใด ดังนี้เป็นต้น แต่ถึงแม้จะไม่ศึกษาถึงขั้นนี้ คำสอนของจางจื้อก็มีคุณค่าอยู่ในตัวเอง ที่จะเพิ่มพูนปัญญาบารมีขึ้นได้ ดังที่กล่าวมาแล้ว

         โดยฐานะของจางจื้อ ที่เป็นนักปราชญ์สำคัญยิ่งผู้หนึ่ง ในบรรดาปราชญ์ใหญ่เพียง ๗-๘ ท่านในยุคต้นก่อกำเนิดลัทธิศาสนาของจีนก็ดี ที่เป็นผู้มีอิทธิพลต่อการก่อกำเนิดของพุทธศาสนานิกายเซนก็ดี ผลงานท่านย่อมเป็นสิ่งที่ควรแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง แต่เท่าที่ได้ยิน ยังไม่เคยเห็นมีใครแปลผลงานของจางจื้อเช่นนี้มาก่อน การที่ ส.ศิวรักษ์ แปลออกมาเผยแพร่ จึงเป็นข้อที่น่าอนุโมทนาอย่างมาก ลีลาการแปลของ ส. ศิวรักษ์ในเรื่องฝ่ายศาสนานั้น เคยได้เห็นครั้งต้นในเรื่องพระถังซัมจั๋ง และ

         ดู พระดีที่น่ารู้จัก (แพร่พิทยา) พ.ศ. ๒๕๑๑ หน้า ๑๑๗

ชื่นชมว่าอ่านง่ายได้รสดี แต่ครั้งนั้นเป็นเรื่องประวัติ คราวนี้เป็นเรื่องฝ่าปรัชญา แม้จะเห็นว่าคำแปลทั่วไปสนิทแนบเนียนดี แต่ก็มีข้อยากลำบากหลายประการ ประการแรกเรื่องที่แปลครั้งนี้เป็นถ้อยคำทางปรัชญา แสดงแนวความคิดอันลึกซึ้ง ผู้แปลก็ตาม ผู้อ่านก็ตาม จะต้องแปลความหมายอีกครั้งหนึ่ง และการแปลความหมายนั้น อาจเห็นต่างๆกันไปได้หลายอย่าง ประการที่สอง จางจื้อเองมีวิธีใช้ถ้อยคำแสดงความคิดที่เป็นลักษณะพิเศษของตนเอง ซึ่งทำให้การแปลความหมายยากและทำได้หลายนัยซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก จะเห็นได้ว่ามีคำสอนบางข้ออ่านเข้าใจยากหรือดูเหมือนไร้สาระ ซึ่งความยากนั้นดูเหมือนจะอยู่ที่เนื้อความมากกว่าถ้อยคำ ความยากนั้นจึงอาจเป็นมาแต่ต้นจากข้อความในคำสอนเดิมก็ได้แความไม่เห็นสาระ อาจเป็นมาแต่ต้นจากข้อความในคำสอนเดิมก็ได้และความไม่เห็นสาระ อาจเป็นเพราะผู้อ่านไม่เข้าถึงความหมายที่จางจื้อต้องการก็ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อว่าโดยทั่วไป คงจะต้องกล่าวว่า เป็นหนังสือแปลที่ใช้เวลาอ่านไม่มาก แต่อาจให้คิดไปอีกยาวนาน ผู้ต้องการศึกษาลัทธิศาสนา และความคิดตะวันออกฝ่ายจีนก็ดี  ผู้ใครรู้คำสอนอันเกี่ยวเนื่องกับเซนก็ดี ผู้แสวงความเจริญปัญญาและคติในการดำเนินชีวิตก็ดี ย่อมถือเอาประโยชน์จาก มนุษย์ที่แท้ หรือมรรควิถีของจางจื้อ ได้ตามควรแก่ความต้องการและกำลังสติปัญญาของตน

 

พระราชวรมุนี

๑๘ ตุลาคม ๑๗

(จากหน้า ๑๓ - ๑๙ ของหนังสือ “มนุษย์ที่แท้ มรรควิถีของจางจื้อ” โดย ส.ศิวรักษ์ แปล)


 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น