มนุษย์ที่แท้
มรรควิถีของ
จางจื้อ
คำนำ
เมื่ออ่านคำสอนของจางจื้อ
รู้สึกสะดุดใจว่า ได้พบแนวความคิดหลายอย่างที่ละม้ายกับหลักพระพุทธศาสนา
แต่จะตัดสินใจแน่ชัดลงไปว่า เหมือนกันหรือแตกต่างกันและมีคุณค่ามากน้อยอย่างไร
ก็ยังไม่เห็นว่าตนอยู่ในฐานะเป็นผู้วินิจฉัย จึงเพียงแต่ตั้งข้อสังเกตไว้
ความรู้สึกสะดุดใจแต่เบื้องต้นที่ได้อ่าน
คือ แนวความคิดของจางจื้อดูเหมือนจะโน้มไปข้าง โลกุตตรธรรมเป็นอันมาก
คำสอนเกี่ยวกับอกรรมก็ดี การสลัดความยึดถือในตัวตนก็ดี ภาวะที่ไม่อาจจะบรรยายได้ก็ดี
ชีวิตที่ปลีกออกสู่วิเวกไม่เกาะเกี่ยวกับสังคมและกิจการของโลกก็ดี
ล้วนมุ่งเข้าสู่แนวทางของโลกุตตรธรรม และดูจะเข้ากันกับหลักสำคัญของพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น
อีกอย่างหนึ่ง การที่จางจื้อสอนวิถีแห่งโลกุตตระโดยมิได้ปฏิเสธจริยธรรม
และแบบแผนประเพณีของสังคมที่สามัญชนจะพึงประพฤติปฏิบัติ ภายในขอบข่ายแห่งเหตุผล
ก็นับว่าเป็นแนวทางที่เข้ากันได้กับพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน
ความข้อนี้จะเห็นชัดขึ้น เมื่อพิจารณาตามหลักพระพุทธศาสนา ในเรื่องอัตถะ
(เป้าหมายหรือประโยชน์ ๓ อย่าง) คือ
๑.
ทิฏฐธัมมิกัตถะ ประโยชน์ปัจจุบันหรือประโยชน์ชั้นต้น หมายถึงการแสวงหาและได้มาซึ่งสิ่งอันเป็นหลักประกันความมั่นคงของชีวิต
ตวามเจริญรุ่งเรืองและความเพียบพร้อมสมบูรณ์ ในส่วนที่เป็นโลกธรรม มี ทรัพย์ ยศ
สุข ไมตรี เป็นต้น
๒. สัมปรายิกัตถะ ประโยชน์เบื้องหน้าหรือประโยชน์ที่สูงขึ้นไป
หมายถึงความเจริญแห่งคุณธรรมความงอกงามทางจิตใจ ข้อปฏิบัติที่เป็นทางแห่งสวรรค์
๓. ปรมัตถะ ประโยชน์อย่างยิ่งหรือประโยชน์สูงสุด
หมายถึงการเข้าถึงนิพพาน ภาวะอันเป็นโลกุตตระ พ้นจากความดีความชั่ว พ้นจากสุขทุกข์
พ้นจากภาวะที่มีการแบ่งแยกและขอบเขตจำกัด
อัตถะ ๒ อย่างแรก เป็นวิถีทางของคนดี
วิถีที่ยังเนื่องอยู่ในโลก เกี่ยงข้องกับอัตตา คือความยึดถือในตัวตน อย่างที่ ๑
เป็นอย่างหยาบ เป็นไปในทางขยายอัตตาให้กว้างขวางใหญ่โตขึ้น อย่างที่ ๒
ช่วยยับยั้งขัดเกลาการแสวงประโยชน์อย่างแรกให้อยู่ในแนวทางที่ดีงาม
ไม่ให้มัวเมาประมาทจนตกเป็นทางของโลกธรรมโดยสิ้นเชิง พูดอีกอย่างว่า ทำให้ความขยายตัวของอัตตาเป็นไปในทางที่ดีงามประณีตขึ้น
แต่ทั้ง ๒ อย่างยังคงจำกัดอยู่ในขอบเขตของกรรม คือ บุญกับบาปหรือดีกับชั่ว มุ่งเพียงให้ละบาปมาสู่บุญ
ส่วนประโยชน์อย่างที่ ๓ เป็นวิถีโลกุตตระ พ้นจากบุญบาปหรือดีชั่ว เป็นประโยชน์สำหรับผู้ไม่คิดหวังประโยชน์
เข้าถึงเมื่อเลิกแสวงา ไม่มีตัวตนที่เข้าถึง และไม่มีตัวตนที่เสวยประโยชน์นั้น
ปราชญ์จางจื้อ
จะบรลุภาวะที่เรียกว่าโลกุตตรธรรม ตามความหมายของพะรพุทธศาสนาหรือไม่
หรือเป็นเพียงนักปราชญ์ผู้ฝักใฝ่ทางนี้โดยอัธยาศัย มิใช่เรื่องที่จะวินิจฉัยในที่นี้
แต่คำสอนของท่านผู้นี้ที่ย้ำนักในเรื่องการดำรงชีวิตอย่างอิสระ
การปลีกตัวอยู่วิเวก การไม่เข้าไปเกี่ยวเกาะวุ่นวายกับกจการของโลก
หรือที่สรุปได้สั้นๆ ว่าอยู่ในโลกโดยไม่วุ่นไปกับโลกนั้น
คงจะต้องมีแกนร่วมบางส่วนที่ประสานกันได้กับคติในฝ่ายปรมัตถ์ของพระพุทธศาสนา
ซึ่งก็มีคำแสดงภาวะของผู้หลุดพ้นไว้คล้ายกันว่า อยู่ในโลก แต่ไม่ติดโลก
ยิ่งคำสอนของท่านผู้นี้ลักษณะพิเศษ เป็นถ้อยคำจี้ความคิด พลิกความรู้สึก
และมุ่งผ่านตรงลงไปหาปัญหาอีกด้วย จึงไม่เป็นที่น่าประหลาดใจว่า
คำสอนของท่านได้มีอิทธิพลต่อพุทธศาสนานิกายเซนแต่เริ่มต้น และวาทะของท่านเป็นหลักที่ปราชญ์เซนยังนำมาอ้างกันอยู่
หลักที่ว่า
อยู่ในโลกโดยไม่วุ่นกับโลก หรืออยู่ในโลกแต่ไม่ติดโลกนั้น
แสดงให้เห็นว่าคติในส่วนปรมัตถ์นั้น มิใช่สิ่งที่แยกขาดออกไป
หรือเป็นทางดำเนินต่างหากจากการดำรงชีวิตอย่างสามัญท่ามกลางสังคมในโลก
แต่เป็นสิ่งที่สามัญชนประพฤติปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวันด้วย
แม้ว่าจะมีบางท่านที่พอใจโดยอัธยาศัยที่จะปลีกตัวออกจากสังคมไปอยู่วิเวก
ความข้อนี้นับว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ควรกำหนดไว้ เพราะปัจจุบันมีคนไม่น้อยโดยเฉพาะท่านที่เรียกว่า
มีการศึกษาสูงแล้ว กำลังจะนำคนอื่นๆให้เข้าใจเขวไปว่า โลกุตตรธรรม เป็นข้อปฏิบัติของพระสงฆ์
หรือผู้ที่สละเหย้าเรือนออกไปอยู่ในวิเวกแล้วฝ่ายเดียว มิใช่เรื่องที่คฤหัสถ์จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง
หลักความประพฤติของคฤหัสถ์ คือ โลกียธรรมอย่างเดียวเท่านั้น ความเข้าใจเช่นนี้เป็นความผิดพลาดและจะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการเข้าถึงธรรมอย่างหนึ่ง
ความจริงโลกุตตรธรรมเป็นของทุกคน
เป็นเครื่องช่วยทรงตัวและเชิดชูผู้ที่อยู่ท่ามกลางโลกียธรรมนั่นเอง ไม่ให้จมมิดลงไปในโลกียธรรมนั้น
เป็นเครื่องดำรงรักษาและอำนวยอิสรภาพแก่มนุษย์
ผู้อยู่ในวงล้อมของโกธรรมที่กำลังจะกดเอาตัวเขาลงเป็นทาส สำหรับมนุษย์ปุถุชน
อย่างน้อยคำสอนฝ่ายโลกุตตระ ก็ยังช่วยเกื้อกูล ๒ ประการ ประการแรก
เป็นเครื่องเตือนสติให้รู้จักมองโลกและชีวิตในแง่มุมหนึ่ง
ซึ่งเป็นแง่ของความเป็นจรง เป็นแรงปะทะหรือเครื่องเหนี่ยวรั้งไม่ให้ลุ่มหลงมัวเมาในโลกธรรม
ให้รู้จักขอบเขตและรู้จกขีดที่จะยับยั้งได้บ้าง ประการที่สอง
เป็นผลกำไรแก่ชีวิตดานใน ทำให้รู้จักและได้ลิ้มรสความสุขที่แท้ คือ นิรามิสสุข
หรือสุขอันไม่ต้องอาศัยอามิส แม้ในยามท่ามิสสุขอันอาศัยโลกธรรมถึงความเสื่อมถอยหรือหมดความหมายลง
ก็ไม่ว้าเหว่ ห่อเหี่ยว หรือถึงกับทอดถอนละห้อยละเหี่ย ยังมีหลักยืนตัวที่ชื่นบานมั่นคง
ให้ความรู้สึกแห่งความมีชีวิตที่มีคุณค่าและความหมายอย่างแท้จริงแก่มนุษย์
คำสอนของจางจื้อนี้มีใครจะวัดระดับให้แค่ใดหรือไม่ก็ตาม
แต่เมื่อว่าในแง่คุณค่าเท่าที่กล่าวมานี้
เห็นว่าจะให้ประโยชน์แก่ผู้ตั้งใจอ่านได้ทั้งสองประการ ม้แต่พุทธศาสนิที่เป็นพหูสูต
ก็น่าจะได้ข้อคิดบางอย่างเสริมปัญญาขึ้นอีก ทั้งข้อเสนอเพิ่มเติมว่า
ผูใช้ประโยชน์จากคำสอนนี้ น่าจะสำนึกตัวไว้ชัดด้วยว่า คำสอนนี้เข้าไปสัมพันธ์กับตนจากจุดไหน
ฐานใด ในการดำรงชีวิตอย่างสามัญในโลก
เพราะการเข้าถึงความจริงนั้นจะต้องมีการยอมรับความจริงทุกระดับ รวมทั้งความจริงที่สมมติกันในชีวิตประจำวันด้วย
แม้ว่าจะไม่ติดในข้อสมมตินั้นก็ตาม ถึงตอนนี้ เนจะต้องอ้างพุทธภาษิตที่ว่า “ถ้อยคำเหล่านี้
เป็นชื่อที่ชาวโลกกำหนดกันขึ้น เป็นภาษาของโลกซึ่งตถาคตก็ใช้เรียก แต่ไม่ยึด”๑ ใน
๑ ที.สี่. ๙/๓๑๒/๒๔๘
แง่นี้ คำสอนของจางจื้อจะสอดคล้องด้วยหรือไม่
ควรจะเป็นเรื่องที่ต้องคิดใคร่ครวญ พยายามวินิจฉัย
ในเมื่อได้อ่านคำสอนของจางจื้อแล้วโดยตลอดหรือส่วนมากและคงจะขึ้นกับการแปลความหมายด้วยไม่มากก็น้อย
การที่คำสอนของจางจื้อละม้ายกับคำสอนในพระพุทธศาสนานั้น
ย่อมมิได้หมายความว่า จะต้องเหมือนกันแท้ทีเดียว
ยังมีคำสอนในศาสนาและลัทธิอื่นอีกที่คล้ายพระพุทธศาสนา
แต่ความคล้ายก็ยังคงเป็นความคล้าย หาได้หมายความว่าจะต้องเหมือนกันจริงไม่
สำหรับการศึกษาความละม้ายหรือคล้ายกัน ที่พบในเบื้องต้น อาจจะเป็นจุดเริ่มนำไปสู่การพิสูจน์หาความเหมือนหรือความต่างต่อไป
ถ้าจะพิสูจน์อย่างนี้ ก็มีเรื่องให้พิจารณาหลายอย่าง เช่น ระหว่างอกรรมของจางจื้อ
กับ การดับกรรมของพระพุทธศาสนา การไม่ยึดถือตัวตน กับ หลักอนัตตา การไม่วางแผน กับ
การไม่คิดหวัง การไม่อยู่เพื่ออนาคตและการอยู่กับปัจจุบัน
วิเวกหรือการปลีกตัวจากสังคม มีความเหมือนกันและต่างกันแค่ไหน เพียงใด
ดังนี้เป็นต้น แต่ถึงแม้จะไม่ศึกษาถึงขั้นนี้ คำสอนของจางจื้อก็มีคุณค่าอยู่ในตัวเอง
ที่จะเพิ่มพูนปัญญาบารมีขึ้นได้ ดังที่กล่าวมาแล้ว
โดยฐานะของจางจื้อ
ที่เป็นนักปราชญ์สำคัญยิ่งผู้หนึ่ง ในบรรดาปราชญ์ใหญ่เพียง ๗-๘
ท่านในยุคต้นก่อกำเนิดลัทธิศาสนาของจีนก็ดี ที่เป็นผู้มีอิทธิพลต่อการก่อกำเนิดของพุทธศาสนานิกายเซนก็ดี
ผลงานท่านย่อมเป็นสิ่งที่ควรแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง แต่เท่าที่ได้ยิน
ยังไม่เคยเห็นมีใครแปลผลงานของจางจื้อเช่นนี้มาก่อน การที่ ส.ศิวรักษ์
แปลออกมาเผยแพร่ จึงเป็นข้อที่น่าอนุโมทนาอย่างมาก ลีลาการแปลของ ส.
ศิวรักษ์ในเรื่องฝ่ายศาสนานั้น เคยได้เห็นครั้งต้นในเรื่องพระถังซัมจั๋ง๒ และ
๒ ดู พระดีที่น่ารู้จัก (แพร่พิทยา)
พ.ศ. ๒๕๑๑ หน้า ๑๑๗
ชื่นชมว่าอ่านง่ายได้รสดี แต่ครั้งนั้นเป็นเรื่องประวัติ
คราวนี้เป็นเรื่องฝ่าปรัชญา แม้จะเห็นว่าคำแปลทั่วไปสนิทแนบเนียนดี
แต่ก็มีข้อยากลำบากหลายประการ ประการแรกเรื่องที่แปลครั้งนี้เป็นถ้อยคำทางปรัชญา
แสดงแนวความคิดอันลึกซึ้ง ผู้แปลก็ตาม ผู้อ่านก็ตาม
จะต้องแปลความหมายอีกครั้งหนึ่ง และการแปลความหมายนั้น
อาจเห็นต่างๆกันไปได้หลายอย่าง ประการที่สอง จางจื้อเองมีวิธีใช้ถ้อยคำแสดงความคิดที่เป็นลักษณะพิเศษของตนเอง
ซึ่งทำให้การแปลความหมายยากและทำได้หลายนัยซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก
จะเห็นได้ว่ามีคำสอนบางข้ออ่านเข้าใจยากหรือดูเหมือนไร้สาระ
ซึ่งความยากนั้นดูเหมือนจะอยู่ที่เนื้อความมากกว่าถ้อยคำ
ความยากนั้นจึงอาจเป็นมาแต่ต้นจากข้อความในคำสอนเดิมก็ได้แความไม่เห็นสาระ
อาจเป็นมาแต่ต้นจากข้อความในคำสอนเดิมก็ได้และความไม่เห็นสาระ
อาจเป็นเพราะผู้อ่านไม่เข้าถึงความหมายที่จางจื้อต้องการก็ได้ อย่างไรก็ตาม
เมื่อว่าโดยทั่วไป คงจะต้องกล่าวว่า เป็นหนังสือแปลที่ใช้เวลาอ่านไม่มาก
แต่อาจให้คิดไปอีกยาวนาน ผู้ต้องการศึกษาลัทธิศาสนา และความคิดตะวันออกฝ่ายจีนก็ดี ผู้ใครรู้คำสอนอันเกี่ยวเนื่องกับเซนก็ดี
ผู้แสวงความเจริญปัญญาและคติในการดำเนินชีวิตก็ดี ย่อมถือเอาประโยชน์จาก มนุษย์ที่แท้
หรือมรรควิถีของจางจื้อ ได้ตามควรแก่ความต้องการและกำลังสติปัญญาของตน
พระราชวรมุนี
๑๘
ตุลาคม ๑๗
(จากหน้า ๑๓ - ๑๙ ของหนังสือ “มนุษย์ที่แท้
มรรควิถีของจางจื้อ” โดย ส.ศิวรักษ์ แปล)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น