๕
เศรษฐกิจ
แนวสหกรณ์
เช่นเดียวกับสิ่งต่างๆหลายๆสิ่งในโลกซึ่งมีสาระสำคัญที่แตกต่างกันไปบ้าง
เมื่อนำไปประยุกต์ในสถานภาพและสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน.
ในประเทศที่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้กระจายอย่างทั่วถึงไปทั้งระบบ
“เศรษฐกิจ” จะมีความเป็นเอกภาพในความหมายสามารถใช้อธิบายปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับการผลิต,
การวิภาค, และการแลกเปลี่ยน สินค้าและบริการ ได้ในทุกๆส่วนของสังคม,
ไม่ว่าจะเป็นสังคมในเมืองหรือสังคมชนบท, และไม่ว่าจะเป็นสังคมธุรกิจ,
สังคมอุตสาหกรรม, หรือสังคมเกษตร.
ในประเทศดังกล่าว
การเพิ่มขึ้นและการขยายตัวของรายได้ประชาชาติ, การลงทุนและการออม,
การนำเข้าและการส่งออก, และการมีเสถียรภาพทางการเงินและการตลัง,
ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ของประเทศเป็นส่วนรวม,
ย่อมจะสะท้อนสถานภาพของสังคมในทิศทางเดียวกัน.
แต่สำหรับประเทศที่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมยังจำกัดขอบเขตการกระจุกตัวอยู่เฉพาะในบางส่วนของสังคม
และในบางกลุ่มของประชากร, ปรากฏการณ์ที่เป็นส่วนรวมอาจจะไม่สะท้อนสถานภาพของเศรษฐกิจที่แท้จริงของบางส่วนและบางกลุ่ม
แม้นว่าจะอยู่ในประเทศเดียวกัน.
ประเทศไทยในปัจจุบันเป็นตัวอย่างของระบบเศรษฐกิจที่เป็นภาพซ้อนกันอยู่ระหว่างสถานภาพเศรษฐกิจในสาขาธุรกิจที่กำลังก้าวหน้าและสามารถยืนอยู่บนขาของตนเองได้
และสถานภาพเศรษฐกิจของพื้นที่ชนบทซึ่งด้อยในความจำเริญ,
เสื่อมโทรมในศักยภาพการผลิต, และพึ่งตนเองไม่ได้.
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ
เศรษฐกิจของประเทศไทยประกอบด้วย “เศรษฐกิจธุรกิจ” ส่วนหนึ่ง และ “เศรษฐกิจประชาชน”
อีกส่วนหนึ่ง.
ในขณะที่ “เศรษฐกิจธุรกิจ”
มีการชยายตัวแความก้าวหน้าอย่างน่าพอใจ, “เศรษฐกิจประชาชน” อยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมและถดถอย.
การมองข้ามสัจธรรมของภาเศรษฐกิจที่ซ้อนกันอยู่ดังกล่าว
นอกจากจะทำให้การดำเนินนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชาติมักจะไม่สอดคล้องกับความปรารถนาของราษฎรส่วนใหญ่ของประเทศแล้ว,
ยังอาจนำไปสู่ความขัดแย้งในผลประโยชน์ของส่วนต่างๆในสังคม อันไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาชาติบ้านเมืองทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว.
สำหรัในด้าน “เศรษฐกิจธุรกิจ”
ซึ่งภาคธุรกิจเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบและมีความพร้อมที่จะดำเนินการไปได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น,
รัฐพึงกำกับดูแลเฉพาะที่จะให้มีการแข่งขันกันอย่างเสรี,
ให้ดำเนินการไปอย่างมีเสถียรภาพตามกลไกของตลาด,
และให้หลีกเลี่ยงและละเว้นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม,
ทั้งนี้โดยรัฐพึงจะเข้าไปแทรกแซงน้อยที่สุด
เพราะการแทรกแซงของรัฐคืออุปสรรคสำคัญของการดำเนินเศรษฐกิจธุรกิจของภาคเอกชน.
ความสนับสุนจากรัฐที่ภาคธุรกิจเอกชนปรารถนาที่สุดก็คือ
การปลอดภาระภาษีในการผลิตสินค้าและบริการ, ซึ่งโดยหลักแห่งความเป็นธรรมในสังคมนั้น
การผลิตสินค้าและบริการเป็นการสร้างประโยชน์ให้กับส่วนรวม, ซึ่งต่างกับการบริโภค อันเป็นการนำเอาสินค้าและบริการซึ่งเป็นของส่วนรวมมาใช้ประโยชน์ส่วนตัว.
ดังนั้น “ภาษีมูลค่าเพิ่ม”
ซึ่งผลักภาระภาษีอากรจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภค
จึงควรขยายขอบเขตให้ครอบคลุมถึงการผลิตสินค้าและบริการทุกประเภทในระบบเศรษฐกิจ.
ยิ่งกว่านั้น
เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการผลิต ซึ่งเป็นหัวใจของการขยายตัวทางเศรษฐกิจธุรกิจ,
รัฐควรยกเว้นการจัดเก็บภาษีเงินได้จากรายได้ทุกประเภท
อันเนื่องมาจากการผิตสินค้าและบริการ.
ภารกิจเชิงนโยบายของรัฐใส่วนที่เกี่ยวข้องกับ
“เศรษฐกิจธุรกิจ” ก็คงจะจำกัดอยู่ในกรอบความคิดดังกล่าวข้างต้น,
ซึ่งจะไม่เรียกร้องความพยายามจากรัฐ และทรัพยากรต่างๆของรัฐมากนัก
เพราะภาคธุรกิจเอกชนมีความพร้อมทั้งในด้านเงินทุน, เทคโนโลยี, การจัดการ, การตลาด
ตลอดจนประสบการณ์ที่สั่งสมมานานปี จนสามารถพึ่งตนเองได้เป็นส่วนใหญ่.
ดังนั้น
ภารกิจของรัฐในการบริหารการเศรษฐกิจของชาติจึงอยู่ที่ “เศรษฐกิจประชาชน” เป็นสำคัญ,
และเนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ในพื้นที่ชนบท
หรือมีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ชนบท, ดังนั้น “เศรษฐกิจประชาชน” จึงหมายถึงเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบทเป็นหลัก.
การวิเคราะห์ปัญหาเศรษฐกิจชนบทจะพบว่ารากเหง้าของปัญหาอยู่ที่การเสียความสมดุลทางเศรษฐกิจ
อันเนื่องมาจากขีดความสามารถในการผลิตเพื่อสนองความต้องการ.
ทั้งในการดำรงชีวิตและในการดำเนินชีวิตเศรษฐกิจ,
ไม่สามารถสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นเป็นลำดับได้.
ความจำกัดในขีดความสามารถในการผลิตเนื่องมาจากศักยภาพของทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นปัจจัยในการผลิตเสื่อมโทรมลงไป.
การพึ่งตนเองไม่ได้ทางเทคโนโลยีการผลิต
ซึ่งทำให้ต้องพึ่งพาภายนอกที่เข้ามาเป็นต้นทุนในการผลิตเกินกว่าพื้นที่ชนบทจะรับได้,
กลไกการตลาดที่ควบคุมโดยตลาดต่างประเทศที่อยู่นอกเหนือความสามารถของผู้ผลิตชาวชนบท
และการอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเงินของเจ้าของเงินทุน.
การฟื้นฟูสมดุลทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบทเป็นปัญหาหลักที่รัฐพึงจะต้องให้การสนับสนุนและเอาใจใส่อย่างจริงจัง,
ซึ่งหากกระทำได้สำเร็จก็จะขจัดความยากจนและความยากไร้
การเป็นหนี้เป็นสินและการสูญเสียกรรมสิทธิ์ในที่ดิน,
การละทิ้งภูมิลำเนาไปแสวงหางานทำและรายได้ในเมืองและในต่างประเทศ, การขายแรงงาน,
การขายตัว, และการแลกเปลี่ยนศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์กับเงินเพื่อความอยู่รอด.
ในปัจจุบัน
ปัญหาการเสียสมดุลทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบท คือสาเหตุของการเกิดขึ้นของแรงงานทาส,
อาชีพโสเภณี, การระบาดของโรคเอดส์, อาชญากรรม, ตลอดจนปัญหาสังคมต่างๆ
ที่มีสาเหตุมาจากความยากจนการพึ่งพาตนเองไม่ได้.
การแก้ไขปัญหา “เศรษฐกิจประชาชน”
จะต้องมุ่งไปที่การฟื้นฟูสมดุลทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบท.
ราษฎรในพื้นที่ชนบทแต่ละบุคคล
และแต่ละครอบครัว ไม่มีขีดความสามารถที่จะฟื้นฟูสมดุลทางเศรษฐกิจโดยลำพังตนเองได้
เพราะเป็นภารกิจที่หนักหน่วงเกินกำลัง และเกินกว่าขีดความสามารถที่มีอยู่.
ดังนั้น
แนวทางการแก้ไขปัญหาว่าด้วยการเสียสมดุลทางเศรษฐกิจจึงต้องอาศัยหลักการแห่งการรวมกันและความร่วมมือในการผลิตและการดำเนินเศรษฐกิจของประชาชนในพื้นที่ชนบท
ซึ่งเป็นการรวมกันและความร่วมมืออย่างเสรีและด้วยความสมัครใจ.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
ซึ่งได้ทรงศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ
“เศรษฐกิจประชาชน” อย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง ตลอดจนได้ทรงกระทำการทดลองและทดสอบวิธีปฏิบัติในด้านต่างๆอย่างถ่องแท้
ได้เคยพระราชทานพระราชดำริอย่างชัดเจนว่า
“ผู้ผลิตควรรวบรวมกันเป็นกลุ่มเพื่อร่วมแรงร่วมใจกันในการประกอบอาชีพของแต่ละคนให้เป็นผลดีที่สุด...วัตถุประสงค์ของการรวมกลุ่มผู้ผลิตไม่ควรจำกัดแต่เพียงการผลิตเท่านั้น,
ยังต้องคำนึงถึงการหาตลาดสำหรับพืชผลที่ผลิตได้
และการอื่นๆที่จะเป็นประโยชน์แก่หมู่คณะด้วย...ให้พยายามทำด้วยตนเองให้ได้
โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นในที่สุด.”ณ
พระราชดำรัสดังกล่าวชี้ชัดว่ากรอบความคิดในการแก้ไขปัญหา
๐เศรษฐกิจชนบท” ที่ถูกต้องที่สุดก็คือระบบเศรษฐกิจภายใต้อุดมการณ์สหกรณ์,
ซึ่งได้ทรงเน้นว่า “การสหกรณ์นี้ถ้าเข้าใจดีแล้ว
ก็จะเห็นว่าเป็นวิธีทางเดียวที่จะทำให้มีความเจริญก้าวหน้าของประเทศได้
และต้องเข้าใจว่าเป็นการสหกรณ์ที่เรียกว่า การสหกรณ์แบบเสรี”.
ดังนั้น
นโยบายของรัฐอันเกี่ยวกับการแก้ไข “เศรษฐกิจประชาชน”
จึงควรกำหนดขึ้นตามนัยแห่งพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, กล่าวคือ
ยึดแนวทางสหกรณ์เป็นเสาหลักของนโยบายการฟื้นฟูสมดุลทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบท.
อย่างไรก็ตาม
ในปัจจุบัน
การดำเนินสหกรณ์ในประเทศไทยมีลักษณะที่เอนเอียงไปทางการประกอบธุรกิจเพื่อประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่มผลประโยชน์
และมิได้เน้นเรื่องการรวมตัวกันเพื่อการผลิตและการตลาดโดยแท้จริง
เพื่อประโยชน์ของผู้ผลิตซึ่งเป็นสมาชิก, อีกทั้งก็มิได้ยึดหลักการพึ่งตนเอง
ซึ่งเป็นหลักของการสหกรณ์.
ในขณะที่สหกรณ์ตามกฎหมายมีวัตถุประสงค์และการดำเนินการที่เบี่ยงเบนไป,
ก็ได้มีการรวมตัวระหว่างผู้ผลิตอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ
ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของหลักสหกรณ์โดยแท้จริง
ในลักษณะของกองทุนออมทรัพย์และกองทุนอื่นๆ ซึ่งเกิดจากภูมิปัญญาของชาวชนบทเอง ด้วยการสนับสนุนของหน่วยราชการบางหน่วย,
ซึ่งมิได้เป็น “สหกรณ์” ตามนัยแห่งกฎหมาย, ซึ่งหมายถึงว่า
แม้ราษฎรเองก็ยังมีความเชื่อถือใน “เทคโนโลยีสหกรณ์” อยู่ไม่น้อย.
การยึดเอานโยบายเศรษฐกิจแนวสหกรณ์เป็นกรอบความคิดในการฟื้นฟูสมดุลทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบทจึงไม่ขัดต่อเจตนารมย์ของชาวชนบท,
ตรงข้าม จะเป็นการให้ความสนับสนุนแก่ภูมิปัญญาของชาวชนบทในการแสวงหาขีดความสามารถในการพึ่งตนเอง.
ด้วย “อำนาจรัฐ”,
การสหกรณ์ที่แทจริงจะสามารถเติบโตและกระจาไปทั่วประเทศในทิศทางที่ถูกต้อง, ทั้งนี้
โดยรัฐไม่ต้องเข้าไปแทรกแซงหรือบงการใดๆ, นอกจากความสนับสนุนและความช่วยเหลือตามที่สหกรณ์ต้องการ,
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสนับสนุนช่วยเหลือในด้านเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ และสาธารณูปโภค
ตลอดจนในด้านการศึกษาและการสาธารณสุข, อีกทั้งการให้ความคุ้มครองป้องกันมิให้อิทธิพลจากภายนอกเข้าไปทำลายความเป็นปึกแผ่นและเอกภาพของสหกรณ์ในพื้นที่ชนบท.
นโยบายเศรษฐกิจในการแก้ไขปัญหา
“เศรษฐกิจประชาชน” และในการฟื้นฟูสมดุลทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบทดังกล่าวนี้
นอกจากจะนำความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมโดยแท้จริงมาสู่ประเทศไทยแล้ว
ก็ยังเป็นการสนองพระราชดำริในการปลดเปลื้องทุกข์ของพสกนิกรของพระองค์ท่านโดยตรงอีกด้วย.
(จากหน้า ๘๗ – ๙๓ ของหนังสือ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
กับ ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย” โดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น