หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2563

ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต - เศรษฐกิจแนวสหกรณ์

 

เศรษฐกิจ

แนวสหกรณ์

 

 

 

 

เช่นเดียวกับสิ่งต่างๆหลายๆสิ่งในโลกซึ่งมีสาระสำคัญที่แตกต่างกันไปบ้าง เมื่อนำไปประยุกต์ในสถานภาพและสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน.

ในประเทศที่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้กระจายอย่างทั่วถึงไปทั้งระบบ “เศรษฐกิจ” จะมีความเป็นเอกภาพในความหมายสามารถใช้อธิบายปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับการผลิต, การวิภาค, และการแลกเปลี่ยน สินค้าและบริการ ได้ในทุกๆส่วนของสังคม, ไม่ว่าจะเป็นสังคมในเมืองหรือสังคมชนบท, และไม่ว่าจะเป็นสังคมธุรกิจ, สังคมอุตสาหกรรม, หรือสังคมเกษตร.

ในประเทศดังกล่าว การเพิ่มขึ้นและการขยายตัวของรายได้ประชาชาติ, การลงทุนและการออม, การนำเข้าและการส่งออก, และการมีเสถียรภาพทางการเงินและการตลัง, ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ของประเทศเป็นส่วนรวม, ย่อมจะสะท้อนสถานภาพของสังคมในทิศทางเดียวกัน.

แต่สำหรับประเทศที่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมยังจำกัดขอบเขตการกระจุกตัวอยู่เฉพาะในบางส่วนของสังคม และในบางกลุ่มของประชากร, ปรากฏการณ์ที่เป็นส่วนรวมอาจจะไม่สะท้อนสถานภาพของเศรษฐกิจที่แท้จริงของบางส่วนและบางกลุ่ม แม้นว่าจะอยู่ในประเทศเดียวกัน.

ประเทศไทยในปัจจุบันเป็นตัวอย่างของระบบเศรษฐกิจที่เป็นภาพซ้อนกันอยู่ระหว่างสถานภาพเศรษฐกิจในสาขาธุรกิจที่กำลังก้าวหน้าและสามารถยืนอยู่บนขาของตนเองได้ และสถานภาพเศรษฐกิจของพื้นที่ชนบทซึ่งด้อยในความจำเริญ, เสื่อมโทรมในศักยภาพการผลิต, และพึ่งตนเองไม่ได้.

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เศรษฐกิจของประเทศไทยประกอบด้วย “เศรษฐกิจธุรกิจ” ส่วนหนึ่ง และ “เศรษฐกิจประชาชน” อีกส่วนหนึ่ง.

ในขณะที่ “เศรษฐกิจธุรกิจ” มีการชยายตัวแความก้าวหน้าอย่างน่าพอใจ, “เศรษฐกิจประชาชน” อยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมและถดถอย.

การมองข้ามสัจธรรมของภาเศรษฐกิจที่ซ้อนกันอยู่ดังกล่าว นอกจากจะทำให้การดำเนินนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชาติมักจะไม่สอดคล้องกับความปรารถนาของราษฎรส่วนใหญ่ของประเทศแล้ว, ยังอาจนำไปสู่ความขัดแย้งในผลประโยชน์ของส่วนต่างๆในสังคม อันไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาชาติบ้านเมืองทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว.

สำหรัในด้าน “เศรษฐกิจธุรกิจ” ซึ่งภาคธุรกิจเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบและมีความพร้อมที่จะดำเนินการไปได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น, รัฐพึงกำกับดูแลเฉพาะที่จะให้มีการแข่งขันกันอย่างเสรี, ให้ดำเนินการไปอย่างมีเสถียรภาพตามกลไกของตลาด, และให้หลีกเลี่ยงและละเว้นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, ทั้งนี้โดยรัฐพึงจะเข้าไปแทรกแซงน้อยที่สุด เพราะการแทรกแซงของรัฐคืออุปสรรคสำคัญของการดำเนินเศรษฐกิจธุรกิจของภาคเอกชน.

ความสนับสุนจากรัฐที่ภาคธุรกิจเอกชนปรารถนาที่สุดก็คือ การปลอดภาระภาษีในการผลิตสินค้าและบริการ, ซึ่งโดยหลักแห่งความเป็นธรรมในสังคมนั้น การผลิตสินค้าและบริการเป็นการสร้างประโยชน์ให้กับส่วนรวม, ซึ่งต่างกับการบริโภค อันเป็นการนำเอาสินค้าและบริการซึ่งเป็นของส่วนรวมมาใช้ประโยชน์ส่วนตัว.

ดังนั้น “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” ซึ่งผลักภาระภาษีอากรจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภค จึงควรขยายขอบเขตให้ครอบคลุมถึงการผลิตสินค้าและบริการทุกประเภทในระบบเศรษฐกิจ.

ยิ่งกว่านั้น เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการผลิต ซึ่งเป็นหัวใจของการขยายตัวทางเศรษฐกิจธุรกิจ, รัฐควรยกเว้นการจัดเก็บภาษีเงินได้จากรายได้ทุกประเภท อันเนื่องมาจากการผิตสินค้าและบริการ.

ภารกิจเชิงนโยบายของรัฐใส่วนที่เกี่ยวข้องกับ “เศรษฐกิจธุรกิจ” ก็คงจะจำกัดอยู่ในกรอบความคิดดังกล่าวข้างต้น, ซึ่งจะไม่เรียกร้องความพยายามจากรัฐ และทรัพยากรต่างๆของรัฐมากนัก เพราะภาคธุรกิจเอกชนมีความพร้อมทั้งในด้านเงินทุน, เทคโนโลยี, การจัดการ, การตลาด ตลอดจนประสบการณ์ที่สั่งสมมานานปี จนสามารถพึ่งตนเองได้เป็นส่วนใหญ่.

ดังนั้น ภารกิจของรัฐในการบริหารการเศรษฐกิจของชาติจึงอยู่ที่ “เศรษฐกิจประชาชน” เป็นสำคัญ, และเนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ในพื้นที่ชนบท หรือมีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ชนบท, ดังนั้น  “เศรษฐกิจประชาชน” จึงหมายถึงเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบทเป็นหลัก.

การวิเคราะห์ปัญหาเศรษฐกิจชนบทจะพบว่ารากเหง้าของปัญหาอยู่ที่การเสียความสมดุลทางเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากขีดความสามารถในการผลิตเพื่อสนองความต้องการ. ทั้งในการดำรงชีวิตและในการดำเนินชีวิตเศรษฐกิจ, ไม่สามารถสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นเป็นลำดับได้.

ความจำกัดในขีดความสามารถในการผลิตเนื่องมาจากศักยภาพของทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นปัจจัยในการผลิตเสื่อมโทรมลงไป. การพึ่งตนเองไม่ได้ทางเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งทำให้ต้องพึ่งพาภายนอกที่เข้ามาเป็นต้นทุนในการผลิตเกินกว่าพื้นที่ชนบทจะรับได้, กลไกการตลาดที่ควบคุมโดยตลาดต่างประเทศที่อยู่นอกเหนือความสามารถของผู้ผลิตชาวชนบท และการอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเงินของเจ้าของเงินทุน.

การฟื้นฟูสมดุลทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบทเป็นปัญหาหลักที่รัฐพึงจะต้องให้การสนับสนุนและเอาใจใส่อย่างจริงจัง, ซึ่งหากกระทำได้สำเร็จก็จะขจัดความยากจนและความยากไร้ การเป็นหนี้เป็นสินและการสูญเสียกรรมสิทธิ์ในที่ดิน, การละทิ้งภูมิลำเนาไปแสวงหางานทำและรายได้ในเมืองและในต่างประเทศ, การขายแรงงาน, การขายตัว, และการแลกเปลี่ยนศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์กับเงินเพื่อความอยู่รอด.

 

ในปัจจุบัน ปัญหาการเสียสมดุลทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบท คือสาเหตุของการเกิดขึ้นของแรงงานทาส, อาชีพโสเภณี, การระบาดของโรคเอดส์, อาชญากรรม, ตลอดจนปัญหาสังคมต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากความยากจนการพึ่งพาตนเองไม่ได้.

การแก้ไขปัญหา “เศรษฐกิจประชาชน” จะต้องมุ่งไปที่การฟื้นฟูสมดุลทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบท.

ราษฎรในพื้นที่ชนบทแต่ละบุคคล และแต่ละครอบครัว ไม่มีขีดความสามารถที่จะฟื้นฟูสมดุลทางเศรษฐกิจโดยลำพังตนเองได้ เพราะเป็นภารกิจที่หนักหน่วงเกินกำลัง และเกินกว่าขีดความสามารถที่มีอยู่.

ดังนั้น แนวทางการแก้ไขปัญหาว่าด้วยการเสียสมดุลทางเศรษฐกิจจึงต้องอาศัยหลักการแห่งการรวมกันและความร่วมมือในการผลิตและการดำเนินเศรษฐกิจของประชาชนในพื้นที่ชนบท ซึ่งเป็นการรวมกันและความร่วมมืออย่างเสรีและด้วยความสมัครใจ.

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งได้ทรงศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ “เศรษฐกิจประชาชน” อย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง ตลอดจนได้ทรงกระทำการทดลองและทดสอบวิธีปฏิบัติในด้านต่างๆอย่างถ่องแท้ ได้เคยพระราชทานพระราชดำริอย่างชัดเจนว่า

“ผู้ผลิตควรรวบรวมกันเป็นกลุ่มเพื่อร่วมแรงร่วมใจกันในการประกอบอาชีพของแต่ละคนให้เป็นผลดีที่สุด...วัตถุประสงค์ของการรวมกลุ่มผู้ผลิตไม่ควรจำกัดแต่เพียงการผลิตเท่านั้น, ยังต้องคำนึงถึงการหาตลาดสำหรับพืชผลที่ผลิตได้ และการอื่นๆที่จะเป็นประโยชน์แก่หมู่คณะด้วย...ให้พยายามทำด้วยตนเองให้ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นในที่สุด.”ณ

 

พระราชดำรัสดังกล่าวชี้ชัดว่ากรอบความคิดในการแก้ไขปัญหา ๐เศรษฐกิจชนบท” ที่ถูกต้องที่สุดก็คือระบบเศรษฐกิจภายใต้อุดมการณ์สหกรณ์, ซึ่งได้ทรงเน้นว่า “การสหกรณ์นี้ถ้าเข้าใจดีแล้ว ก็จะเห็นว่าเป็นวิธีทางเดียวที่จะทำให้มีความเจริญก้าวหน้าของประเทศได้ และต้องเข้าใจว่าเป็นการสหกรณ์ที่เรียกว่า การสหกรณ์แบบเสรี”.

ดังนั้น นโยบายของรัฐอันเกี่ยวกับการแก้ไข “เศรษฐกิจประชาชน” จึงควรกำหนดขึ้นตามนัยแห่งพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, กล่าวคือ ยึดแนวทางสหกรณ์เป็นเสาหลักของนโยบายการฟื้นฟูสมดุลทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบท.

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน การดำเนินสหกรณ์ในประเทศไทยมีลักษณะที่เอนเอียงไปทางการประกอบธุรกิจเพื่อประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่มผลประโยชน์ และมิได้เน้นเรื่องการรวมตัวกันเพื่อการผลิตและการตลาดโดยแท้จริง เพื่อประโยชน์ของผู้ผลิตซึ่งเป็นสมาชิก, อีกทั้งก็มิได้ยึดหลักการพึ่งตนเอง ซึ่งเป็นหลักของการสหกรณ์.

ในขณะที่สหกรณ์ตามกฎหมายมีวัตถุประสงค์และการดำเนินการที่เบี่ยงเบนไป, ก็ได้มีการรวมตัวระหว่างผู้ผลิตอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของหลักสหกรณ์โดยแท้จริง ในลักษณะของกองทุนออมทรัพย์และกองทุนอื่นๆ ซึ่งเกิดจากภูมิปัญญาของชาวชนบทเอง ด้วยการสนับสนุนของหน่วยราชการบางหน่วย, ซึ่งมิได้เป็น “สหกรณ์” ตามนัยแห่งกฎหมาย, ซึ่งหมายถึงว่า แม้ราษฎรเองก็ยังมีความเชื่อถือใน “เทคโนโลยีสหกรณ์” อยู่ไม่น้อย.

การยึดเอานโยบายเศรษฐกิจแนวสหกรณ์เป็นกรอบความคิดในการฟื้นฟูสมดุลทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบทจึงไม่ขัดต่อเจตนารมย์ของชาวชนบท, ตรงข้าม จะเป็นการให้ความสนับสนุนแก่ภูมิปัญญาของชาวชนบทในการแสวงหาขีดความสามารถในการพึ่งตนเอง.

ด้วย “อำนาจรัฐ”, การสหกรณ์ที่แทจริงจะสามารถเติบโตและกระจาไปทั่วประเทศในทิศทางที่ถูกต้อง, ทั้งนี้ โดยรัฐไม่ต้องเข้าไปแทรกแซงหรือบงการใดๆ, นอกจากความสนับสนุนและความช่วยเหลือตามที่สหกรณ์ต้องการ, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสนับสนุนช่วยเหลือในด้านเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ และสาธารณูปโภค ตลอดจนในด้านการศึกษาและการสาธารณสุข, อีกทั้งการให้ความคุ้มครองป้องกันมิให้อิทธิพลจากภายนอกเข้าไปทำลายความเป็นปึกแผ่นและเอกภาพของสหกรณ์ในพื้นที่ชนบท.

นโยบายเศรษฐกิจในการแก้ไขปัญหา “เศรษฐกิจประชาชน” และในการฟื้นฟูสมดุลทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบทดังกล่าวนี้ นอกจากจะนำความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมโดยแท้จริงมาสู่ประเทศไทยแล้ว ก็ยังเป็นการสนองพระราชดำริในการปลดเปลื้องทุกข์ของพสกนิกรของพระองค์ท่านโดยตรงอีกด้วย.

 

(จากหน้า ๘๗ – ๙๓ ของหนังสือ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับ ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย” โดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น