หน้าเว็บ

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2563

ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต - เศรษฐกิจชุมชน กับวิถีชุมชน

 

เศรษฐกิจชุมชน

กับวิถีชุมชน

 

 

         “การพัฒนาเศรษฐกิจ” ได้เป็นวัตถุประสงค์แห่งนโยบายเศรษฐกิจของประเทศไทยที่สำคัญที่สุดมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งในช่วงแรกเป็นวัตถุประสงค์ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูบูรณะการเงิน, การคลังและการคมนาคมขนส่ง ตลอดจนสาธารณูปการที่ได้รับความเสียหายในระหว่างสงคราม.

         เมื่อการฟื้นฟูบูรณะดังกล่าวด้ลุล่วงไปด้วยดีแล้ว, ประเทศไทยก็ได้ทุ่มเทความเอาใจใส่และทรัพยากรต่างๆ ที่มีอยู่และที่จะจัดามาได้ให้แก่การเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจ โดยมีแผนพัฒนาการเศรษฐกิจฯ ทำหน้าที่เป็นแม่บทในการกำหนดนโยบายและมาตรการ, จัดลำดับความสำคัญของโครงการต่างๆ, และจัดสรรทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด. ในเวลาต่อมา แผนพัฒนาการเศรษฐกิจฯ ได้ขยายขอบเขตครบคลุมการพัฒนาสังคม, ความมั่นคง และอื่นๆด้วย จากประสบการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่า “การพัฒนา” เป็นปรากฏการณ์ที่เชื่อมโยงส่วนต่างๆ ทั้งระบบ โดยไม่อาจที่จะแยกส่วนใดส่วนหนึ่งออกเป็นเอกเทศได้.

         ตอดระยะเวลาประมาณครึ่งศตวรรษแห่งการระดมทรัพยากรและสรรพกำลังเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง, ประเทศไทยได้พบกับการเปลี่ยนแปลงที่ปรากฏชัดในแทบทุกด้าน และเกือบจะทั้งหมดเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางบวกในเชิงปริมาณ. ในขณะที่เศรษฐกิจ ทั้งที่เป็นส่วนรวมและที่เป็นในสาขาต่างๆ ได้มีการเติบโตขยายในอัตราเฉลี่ยระหว่างร้อยละ ๕ ถึงร้อยละ ๑๐ ต่อปี, ประชากรของประเทศก็ได้เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๕ ถึงร้อยละ ๑๐ ต่อปี, ประชากรของประเทศก็ได้เพิ่มขึ้นประมาณ ๕๐ ล้านคนในระหว่างเวลาเดียวกัน ในปัจจุบัน ไม่อาจกล่าวว่าไทยเป็นประเทศเล็กอีกต่อไป และในหลายแง่มุม ก็ไม่อาจกล่าวว่าเป็นประเทศเล็กอีกต่อไป และในหลายแง่มุม ก็ไม่อาจกล่าวว่าเป็นประเทศที่ยังด้อยพัฒนา, ทั้งนี้พราะว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศได้ขยายตัวเติบโตในอัตราเฉลี่ยที่สูงกว่าอัตราการเพิ่มของประชากรมาโดยตลอดกว่าครึ่งศตวรรษ, ตลาดภายในประเทศก็มีขนาดใหญ่ สามารถรองรับผลผลิตทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่มีริมาณและมูลค่าถือว่าเป็นสัดส่วนพอสมควรในการค้าของโลกทั้งหมด, แรงงานส่วนเกินที่เคลื่อนย้ายไปสู่ตลาดแรงงานในทุกมุมโลก, ความทันสมัยของสาขาบริการต่างๆ ซึ่งรวมถึงการเงินการธนาคาร, การท่องเที่ยว, การคมนาคม, การขนส่ง, การศึกษาและการสาธารณสุข ฯลฯ.

        

         ประเทศไทยภายหลังการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้ระบอบทุนนิยมที่เปิดกว้างสู่โลกภายนอกทุกมิติ ได้สร้างบุคคลระดับเศรษฐีมหาเศรษฐีขึ้นมาเป็นจำนวนมาก นอกเหนือไปจากบุคคลที่มีรายได้สูงในหน้าที่การงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารธุรกิจ บุคคลกลุ่มดังกล่าวนี้แม้จะมีจำนวนนับเป็นแสนๆคน แต่เมื่อคิดเป็นสัดส่วนกับประชากรทั้งประเทศประมาณ ๖๕ ล้านคนแล้ว, ก็ถือได้ว่าเป็นส่วนน้อย. อย่างไรก็ตาม บุคคลเหล่านี้ครอง “โภคทรัพย์” ซึ่งรวมทั้งรายได้และทรัพย์สิน ไม่ควรจะน้อยกว่าร้อยละ ๗๐ หรือ ๘๐ ของ “โภคทรัพย์” ของภาคเอกชนทั้งประเทศ.

 

         กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ “การพัฒนาเศรษฐกิจ” ที่ผ่านมาได้ ทำให้การวิภาคโภคทรัพย์มีลักษณะที่กระจุกอยู่กับบุคคลกลุ่มดังกล่าว และมีแนวโน้มที่จะคงลักษณะที่ว่านี้ต่อไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง และอาจจะมีความเด่นชัดมากขึ้นด้วยในอนคต. การวิภาคโภคทรัพย์ที่มีความไม่เสมอภาค และความไม่เสมอภาคนั้นมีแนวโน้มชัดเจนว่าจะเพิ่มขึ้นดังกล่าวนี้เป็นจุดอ่อนที่สำคัญอย่างหนึ่งของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย เพราะเป็นการพัฒนาที่มิได้กระจายประโยชน์อย่างทั่วถึง.

         นอกจากนั้นก็ยังมีจุดอ่อนที่น่าสังเกตอีกหลายประการที่ไม่อาจปฏิเสธได้.

         เช่น ยิ่งการพัฒนาเศรษฐกิจก้าวไปไกลเพียงใด ประเทศไทยก็ยิ่งจะพึ่งตนเองได้น้อยลง, อีกทั้งจิตสำนึกในการพึ่งตนเองก็ได้เจือจางลงไปตามลำดับ. เศรษฐกิจแห่งประเทศไทยในปัจจุบันจะเฟื่องฟูหรือซบเซา ขึ้นอยู่กับการลงทุนจากต่างประเทศ, นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ, และสินค้าส่งออกไปยังต่างประเทศ, สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีประโยชน์ต่อประเทศไทยโดยไม่ต้องสงสัย, แต่ไม่ควรจะเป็นที่แขวนโชคชะตาของเศรษฐกิจแห่งประเทศไทย.

         ความอ่อนแอในขีดความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยพึ่งตนเองไม่ได้ ทั้งนี้เพราะการผลิตต่างๆ จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีจากภายนอก, และเนื่องจากเทคโนโลยีไม่เคยหยุดยั้งความก้าวหน้า, การขาดความเอาจริงเอาจังทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีจึงทำให้ประเทศไทยไม่อาจที่จะยืนอยู่บนขาของตนเองได้. ดังจะเห็นว่าการผลิตสินค้าก็ดี หรือการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เทคโนโลยีในระดับสูง, ประเทศไทยต้องพึ่งพาต่างประเทศเกือบทั้งสิ้น. สินค้าหายประเภทแม้จะ “ผลิตในประเทศไทย” แต่ในแง่ของเทคโนโลยี ก็ไม่ใช่สินค้าที่ “ไทยผลิต”.

        

         จุดอ่อนในเรื่อขีดความสามารถทางเทคโนโลยีที่กล่าวถึงนี้ ทำให้อุตสาหกรรมที่พัฒนาขึ้นในประเทศไทยมีลักษณะเสมือนเป็นตนไม้ที่ปราศจากรากแก้ว, จึงไม่มีความมั่นคงแข็งแรงเยี่ยงอุตสาหกรรมพึจะต้องมี, แต่เป็นลักษณะของธุรกิจอุตสาหกรรมมากกว่า ซึ่งเป็นการร่วมประกอบการกับธุรกิจต่างชาติในการนำเข้าเทคโนโลยีมาผลิตสินค้าอุตสาหกรรมภายในประเทศเพื่อการป้อนตลาดภายในประเทศ หรือเพื่อส่งออก.

         ดังนั้น แม้ว่าจะใช้แรงงานไทย แต่มูลค่าเพิ่มจะตกอยู่ในประเทศไทยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น. สิ่งที่ไทยเราจะได้รับจริงจากการนีก็คือ “ตัวเลข” การเติบโตขยายตัว หรือการส่งออก.

         แม้กระทั่งภาคการเกษตรซึ่งเคยเป็นแกนของเศรษฐกิจแห่งประเทศไทยมาแต่โบราณกาก็มิได้ครองมูลค่าเพิ่มอันเกิดจากผลผลิตทางการเกษตรอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเช่นแต่ก่อน เพราะในปัจจุบันการเกษตรต้องใช้เครื่องจักรกล, ปุ๋ยเคมี, และเคมีภัณฑ์ในการกำจัดศัตรูพืช ซึ่งต้องพึ่งพาการนำเข้าเป็นส่วนใหญ่. ยิ่งราคาสินค้าการเกษตรที่ส่งออกได้ถูกกำหนดโดยตลาดโลก ดังนั้น เกษตรกรไทยจึงมีส่วนแบ่งในมูลค่าเพิ่มไม่มากนัก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ไม่อาจสลัดความยากจนให้หลุดพ้นได้.

         นกจากนั้น ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นการสร้างรายได้และผลกำไรของธุรกิจเป็นหลัก ก็เป็นจุดอ่อนที่ค่อนข้างชัดเจนของการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งประเทศไทยในช่วงเวลาประมาณครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา, การบุกรุกทำลายป่าและต้นน้ำลำธารก็ดี, การเปลี่ยนแปลงธรรมชาติในเชิงกายภาพเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ก็ดี, ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมทั้งในเชิงกายภาพและในเชิงสังคมก็ดี, หรือแม้กระทั่งมลพิษในทุกรูปแบบที่ก่อให้เกิดปัญหาในด้านการสาธารณสุขอื่นๆ, ล้วนแต่เนื่องมาจาก การพัฒนาเศรษฐกิจ” แทบทั้งสิ้น.

 

         ความจริงแล้ว ปัญหาสังคมที่ย้อนกลับมาเป็นปัญหาเศรษฐกิจ เช่น ปัญหาการจราจรติดขัด, ปัญหาชุมชนแออัด, ปัญหาอาชญากรรม และการกระทำสิ่งที่ผิดกฎหมายต่างๆ ก็สืบเนื่องมาจาก “การพัฒนาเศรษฐกิจ” อย่างเห็นได้ชัดเจน.

         ที่ยกมากล่าวข้างต้นนี้เป็นเพียงบางส่วนของจุดอ่อนของการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งประเทศไทย ซึ่งเมื่อนำมาพิจารณารวมกันทั้งหมดแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าการพัฒนาเศรษฐกิจที่ได้ทุ่มเททรัพยากรและระดมสรรพกำลังลงไป, อีกทั้งกำลังกระทำต่อเนื่องไปในปัจจุบัน, เป็นสิ่งที่ไม้คุ้มค่า, ซึ่งในที่สุดบรรดาสิ่งต่างๆ ที่ได้พัฒนาไปแล้วก็จะเสื่อมสลายไป แม้กระทั่งเอกราชและอธิปไตยของชาติก็จะธำรงรักษาเอาไว้ได้โดยไม่ยาก.

         อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเศรษฐกิจก็เป็นสิ่งจำเป็น, ซึ่งหมายความรวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจในสาขาต่างๆ - เกษตร, อุตสาหกรรม, บริการ, ฯลฯ เพราะการดำรงและการดำเนินชีวิตของประชากร ๖๕ ล้านคนต้องการสินค้าและบริการในปริมาณที่พอเพียงและในคุณภาพที่เหมาะสม ซึ่งจะต้องมีการผลิตขึ้น หรือแลกเปลี่ยนจากภายนอกประเทศ.

         ความผิดพลาดที่ผ่านมามิใช้เกิดจากการเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจหรือการให้ความสำคัญต่อสาขาเศรษฐกิจสาขาหนึ่งสาขาใดเป็นพิเศษ. ทั้งนี้เพราะสิ่งต่างๆ เล่านั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นและสมควรที่จะต้องกระทำ.

 

         ความผิดพลาดที่ได้นำไปสู่จุดอ่อนต่างๆ ที่กล่าวถึงข้างต้นเนื่องมาจากสาเหตุ ๒-๓ ประการ ดังนี้คือ

 

         ประการแรก   เป็นควาสับสนระหว่าง “รพัฒนาเศรษฐกิจ” กับการเติบโตขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยผู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจเข้าใจว่า ปรากฏการณ์ทั้งสองนี้เป็นสิ่งเดียวกัน และเมื่อประสงค์ที่จะทำให้เกิด “การพัฒนาเศรษฐกิจ๐ ก็จะต้องทำให้เศรษฐกิจมีการเติบโตขยายตัว, ซึ่งสามารถกระทำได้โดยการกระตุ้นการลงทุนและ/หรือการบริโภคภายในประเทศ เนื่องจากการเติบโตขยายตัวของเศรษฐกิจจะสร้างงานให้มากขึ้น ซึ่งการจ้างงานก็จะขยายออกไป และเมื่อคนมีงานทำก็จะมีรายได้ ทำให้เศรษฐกิจเติบโตขยายตัวต่อไปอีก, ซึ่งทำให้มองเห็นไปว่า นั่นคือการพัฒนาเศรษฐกิจ.

         ที่จริงแล้ว การทำให้เศรษฐกิจมีการเติบโตขยายตัวเพื่อให้บรรลุถึงการจ้างงานอย่างเต็มที่, หรือเพื่อขจัดปัญหาการว่างงานของบรรดาปัจจัยการผลิตนั้น เป็นนโยบายที่ใช้ดูแลแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะสั้นภายใต้ข้อสมมติฐานว่าระบบเศรษฐกิจภายใต้การแก้ไขปัญหามีความสามารถในทางเทคโนโลยีที่สามารถใช้ประโยชน์บรรดาปัจจัยการผลิต อาทิ ทุนและแรงงานที่มีอยู่ได้อย่างบริบูรณ์, เพียงแต่ว่าในบางชวงเวลา อุปสงค์ส่วนรวมในระบบเศรษฐกิจได้พร่องไปด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง ซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศและการจ้างานลดลง. ในกรณีเช่นนี้ ก็จำเป็นที่จะต้องมีมาตรการที่กระตุ้นการลทุนและ/หรือการบริโภคซึ่งเป็นปัจจัยค้ำจุนอุปสงค์ส่วนรวมอยู่.

         สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจนั้นเป็นคนละเรื่องกัน การเติบโดขยายตัวของเศรษฐกิจมีแนวโน้มในระยะยาวนั้นเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเศรษฐกิจกำลังมีการพัฒนา เพราะประเทศมีขีดความสามารถและศักยภาพในการใช้ประโยชน์บรรดาปัจจัยการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งทำให้การผลิตเพิ่มขึ้น นอกจากนั้น การพัฒนาเศรษฐกิจยังหมายรวมถึงปรากฏการณ์อื่นๆอีก เช่นขีดความสามารถในการผลิตที่เพิ่มขึ้นหมายถึงการพึ่งตนเองทางเทคโนโลยีในระดับที่สูงขึ้น หรือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในเชิงสติปัญญา, ความพอเพียงของสินค้าและบริการสำหรับการดำรงและการดำเนินชีวิตขอประชากร, ความเป็นธรรมในการแบ่งสรรมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการผลิตในระว่างปัจจัยการผลิตต่างๆ, ความเสมอภาคในทางเศรษฐกิจและสังคมของบุคคลในชาติ, การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมิให้เสื่อมสลายอย่างไม่คุ้มค่า, ความมั่นคงทางสังคมภายใต้หลักประกันและสวัสดิการที่เหมาะสม และความสงบสุขที่ปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆ ที่แน่นอนที่สุดก็คือเอกราชและอธิปไตยของชาติซึ่งไม่อาจที่จะแลกเปลี่ยนกับสิ่งอื่นใดได้.

         จุดอ่อนของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ผ่านมาก็คือ การเติบโตขยายตัวของเศรษฐกิจได้รับความเอาใจใส่มากเกินไป จนกระทั่งมองข้ามความสำคัญของปรากฏการณ์อื่นๆ, หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมิได้ให้ความสำคัญต่อปรากฏการณ์อื่นๆมากเท่าที่ควร จึงทำให้เกิดการวิภาคโภคทรัพย์ไม่สมดุลและขาดความเป็นธรรม, อีกทั้งระบบเศรษฐกิจปราศจากฐานรากที่แข็งแรงมั่นคงเฉกเช่นอธิปไตยที่พัฒนาแล้ว.

 

ประการที่ ๒   ของความผิดพลาดที่ก่อให้เกิดจุดอ่อนของการพัฒนาเศรษฐกิจก็คือการรับเอาระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่เกือบจะปราศจากเงื่อนไข มาเป็นหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยตลอดทั่วทั้งระบบ โดยมิได้พิจารณาว่าระบบเศรษฐกิจดังกล่าวจะมีความเหมาะสมกับสถานภาพความเป็นจริงของสังคมไทยหรือไม่ประการใด, โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบทซึ่งชีวิตเศรษฐกิจผสมผสานกับวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนมโนทัศน์และค่านิยมที่ไม่สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจทุนนิยม.  การครอบเศรษฐกิจทุนนิยมลงไปในสังคมชนบทไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับความยากจนได้, แต่ได้ทำให้การเสียสมดุลระหว่างรายได้กับรายจ่ายของแต่ละครัวเรือนซึ่งเรื้อรังอยู่แล้ว มีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยชาวชนบทจะสูญเสียกรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งตกทอดมาแต่บรรพบุรุษ และต้องเป็นหนี้นายทุนท้องถิ่นซึ่งได้รบการสนับสนุนจากสถาบันการเงิน ชาวชนบทไม่อยู่ในฐานะที่จะทำธุรกิจกับบรรดานายทุน เพราะเสียเปรียบในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน, เทคโนโลยี, การตลาด, และวิสัยทัศน์, ถึงแม้ว่าทางราชการจะเอาใจช่วยราษฎรในพื้นที่ดังกล่าว อีกทั้งมีนโยบายและมาตรการสนับสนุนการพัฒนาชนบท, แต่ในที่สุด นายทุนก็ได้เป็นฝ่ายชนะ และตามมาด้วยการล่มสลายของเศรษฐกิจสังคมชนบทซึ่งเป็นสถาบัน หลักของชาติไทย.

ความจริงระบบเศรษฐกิจทุนนิยมก็ได้ปรากฏในประเทศไทยมาเป็นเวลานานพอสมควร โดยเอกชนสามารถประกอบธุรกิจได้อย่างเสรีและมีการแข่งขันระหว่างกัน และแม้กระทั่งการค้าระหว่างประเทศก็ดำเนินไปโดยเสรี. การควบคุมการค้าและการแลกเปลี่ยนเงินตราจะมีบ้างก็ในช่วงที่กำลังฟื้นฟูบูรณะสถาบันและกลไกเศรษฐกิจการเงินภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒, แต่เมื่อภารกิจดังกล่าวเสร็จสิ้น การควบคุมดังกล่าวก็ยกเลิกไป. อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประเทศไทยจะใช้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม แต่ก็เป็นนโยบายของทางราชการที่พร้อมจะเข้าแทรกแซงในเกือบจะทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการค้าภายใน, การค้าต่างประเทศ, การอุตสาหกรรม, การคมนาคมและขนส่ง, สาธารณูปโภคและสาธารณูปการ, การเงินการธนาคาร, โดยกฎหมาย, ระเบียบปฏิบัติ, หลักเกณฑ์ และแม้กระทั่งการใช้รัฐวิสาหกิจเป็นเครื่องมือแห่งนโยบายเศรษฐกิจ, ซึ่งมีความพร้อมที่จะเข้าแทรกแซงในส่วนของทางราชการดังกล่าวนี้ ในการจำกัดขอบเขตของเศรษฐกิจทุนนิยม.

เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองซึ่งมีผลทำให้อิทธิพลทางการเมืองของกองทัพเสื่อมถอยไป, นายทุนจากกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆได้เคลื่อนเข้ามาแทนที่ทหารในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งด้วยความยินยอมของสาธารณชน ตลอดจนสื่อมวลชน, นักวิชาการ, และข้าราชการประจำ, ในเวลาต่อมาระบบเศรษฐกิจทุนนิยมก็สามารถครอบคลุมเศรษฐกิจและสังคมไทยได้ทุกส่วน โดยปราศจากการแทรกแซงโดยรัฐ และความขัดแย้งทางความคิด สาธารณชนถูกชักจูงให้มีความมั่นใจว่าเศรษฐกิจระบบทุนนิยมอย่างเสรีจะสนองนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งในเขตเมืองและในพื้นที่ชนบท.  สำหรับในชนบทนั้น เศรษฐกิจแบบทุนนิยมจะกระตุ้นให้ราษฎรรู้จักการทำมาค้าขาย มิใช่เอาแต่การทำมาหากินเท่านั้น ส่วนเงินทุนที่จำเป็นสำหรับการทำมาค้าขาย บางส่วนรัฐก็จัดหาให้ แต่บางส่วนก็มาจากสถาบันการเงินต่างๆที่ได้เข้ามาบริการในพื้นที่.

ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนในชนบท. การบริโภคมีความหลากหลายขึ้น ซึ่งแม้นจะมองดูว่าเป็นการปรับระดับคุณภาพชีวิตให้กว้างออกไป ทั้งนี้เพราะระบบเศรษฐกิจดังก่าวซึ่งสนับสนุนพลังอำนาจในการต่อรองของบรรดานายทุน ได้จำกัดขีดความสามารถในการสร้างรายได้ของราษฎรในพื้นที่ชนบท จนกระทั่งไม่อาจที่จะรักษาถิ่นฐานไว้ได้ ชาวชนบทในวัยทำงานจำนวนมากถูกผลักดันให้ละทิ้งภูมิลำเนาไปแสวงหางานรับจ้างนายทุนในเมือง และส่วนหนึ่งก็ขายที่ดินและทรัพย์สินที่เป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษเพื่อใช้เป็น “ทุน” ในการเดินทางไปแสวงโชคในต่างประเทศ, หรือการชำระหนี้สิน.

 

ประการสุดท้าย        ที่เป็นสาเหตุอันก่อให้เกิดจุดอ่อนในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะเวลาที่ผ่านมาก็คือการมุ่งพึ่งพาต่างประเทศเกินสมควรและเป็นการพึ่งพาที่ปราศจากจุดจบ จนกระทั่งได้กลายเป็นทั้ง ปรัชญา” และ “วัฒนธรราม” ในการพัฒนาเศรษฐกิจ.

การพึ่งพาต่างประเทศในระยะแรกเริ่มของการ “เร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจ” เป็ฯเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะประเทศไทยขณะนั้นก็เพิ่งจะฟื้นตัวจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไม่นาน. การพึ่งพาต่างประเทศส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องทาง “เทคนิคและวิชาการ” ประเภทผู้เชี่ยวชาญ, ทุนการศึกษาในต่างประเทศ และเครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆ นอกจากนั้นก็มีความช่วยเหลือในรูปของเงินให้เป่าบ้างและเงินกู้แบบผ่อนปรนบ้าง. การพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศอีกด้านหนึ่งก็คือความช่วยเหลือในทางทหาร ซึ่งเป็นการช่วยเหลือให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถที่สูงขึ้นในทางการทหารเพื่อที่จะช่วยเลือประเทศที่ให้ความช่วยเหลือทำสงครามกับฝ่ายตรงข้ามทางอุดมการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ.

เมื่อได้รบความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลานศตวรรษ, ประเทศไทยก็ดูเหมือนจะขาดความมั่นใจที่จะทำอะไรด้วยตนเองโดยปราศจากความช่วยเหลือจากภายนอก, แม้กระทั่งการก่อสร้างถนน, สะพาน, เขื่อน ฯลฯ ซึ่งควรจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาพอสมควรแล้ว ก็ยังต้องพึ่งพาต่างประเทศต่อไป. ในระยะหลัง เมื่อความช่วยเหลือค่อยๆหมดไปและการกู้เงินจากต่างประเทศเข้ามาแทนที่ ประเทศไทยก็ได้ยอมรับเงื่อนไขเงินกู้ที่ว่าด้วยการเลือกว่าจ้างต่างประเทศมาก่อสร้างในโครงการเงินกู้, สำหรับโครงการก่อสร้างที่ภาคเอกชนของไทยได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ดำเนินการ, การว่าจ้างต่างประเทศมารับผิดชอบในด้านเทคนิคก็ยังคงอยู่ต่อไป ซึ่งในกรณีดังกล่าวนี้อาจจะเนื่องมาจากเงื่อนไขในการคัดเลือกผู้ดำเนินการก็ได้ที่กำหนดให้ใช้ต่างประเทศในเรื่องทางเทคนิค.

 

การพึ่งพาต่างประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น แทนที่จะลดลงในปัจจุบัน ดังจะเนว่าแม้กระทั่งความรู้และความคิดในเชิงวิชาการเพื่อประอบการพิจารณากำหนดนโยบาย ก็ยังว่าจ้างนักวิชาการต่างประเทศเป็นผู้เสนอแนะ โดยพร้อมที่จะเสียค่าใช้จ่ายที่สูง และก็แสดงความพอใจว่า “คุ้มค่า”.

ปรากว่าสาเหตุที่ทำมห้การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในขณะนี้มีจุดอ่อนเป็นอันมากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับปรัชญา, อุดมการณ์และมโนทัศน์ในส่วนของผู้นำทางการเมือง ซึ่งได้รับฉันทานุมัติจากสาธารณชน, สื่อมวลชน, นักวิชาการ, ข้าราชการ ฯลฯ ซึ่งจะมองปัญหาของชาติและแนวททางการแก้ไขปะญหาไปในทางเดียวกันหมด. ในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้นมาใหม่, การลุกลามและร้อนแรงขึ้นของปัญหาเดิม, ความไม่สามารถที่จะแก้ปัญหา ฯลฯ, ก็จะมีการเรียกร้องให้เปลี่ยนผู้นำทางการเมือง, ทั้งตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญโดยวิธีการนอกระบบต่างๆ, ผู้นำทางการเมืองได้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอๆ แต่ปรัชญา, อุดมการณ์และมโนทัศน์ทางเศรษฐกิจไม่เคยได้รับการพิจารณาทบทวน. ด้วยเหตุนี้ การแก้ไขจุดอ่อนของการพัฒนาเศรษฐกิจที่สาเหตุจึงเป็นไปได้โดยยาก.

 

อย่างไรก็ตาม มีอยู่ประเด็นหนึ่งซึ่อาจนำเสนอให้มีการพิจารณาทบทวนได้บ้าง คือ “เศรษฐกิจชุมชน” อันเนื่องมาจากเหตุผลหลายประการ.

ประการแรก ก็คือ “เศรษฐกิจชุมชน” เป็นแนวความคิดที่สอดคล้องกับทฤษฎี เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งเป็นพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดลยเดช, โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลักการว่าด้วยการพึ่งตนเอง, ความสอดคล้องในแนวความคิดดังกล่าวทำให้ “เศรษฐกิจชุมชน” ไม่ถูกปฏิเสธโดยสินเชิง.

 

ประการที่สอง ก็คือ “เศรษฐกิจชุมชน” หรือแม้กระทั่ง อุตสาหกรรมชุมชน”  ได้รับความเอาใจใส่และเป็นแนวความคิดที่สะท้อนอย่างค่อนข้างชัดเจนในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐-๒๕๔๔) และอาจต่อเนื่องไปในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๙ (พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๔๙). จริงอยู่ในระยะหลังๆนี้ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติถูกบดบังด้วยนโยบายและมาตรการทางเศรษฐกิจในเชิงรุกของรัฐบาล ต่ก็ยังคงมีช่องว่างให้ “เศรษฐกิจชุมชน” ได้แทรกเข้าไปอยู่บ้าง ทั้งนี้พราะนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลก็ให้ความเอาใจใส่ต่อปัญหาของชุมชนอยู่มิใช่น้อย.

 

ประการที่สาม, “เศรษฐกิจชุมชน” เป็นแนวความคิดที่สนับสนุนกิจการสหกรณ์ซึ่งเป็นองค์กรเศรษฐกิจที่เป็นส่วนหนึ่งขอนโยบายของรัฐบาลมาทุกยุคทุกสมัย และเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๑ ที่ผ่านมานี้ ก็ได้มีพระราชบัญญัติสหกรณ์ฉบับใหม่ซึ่งมีความมุ่งหมายในการปรับปรุงการสหกรณ์ให้มีบทบาทและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนั้น แนวความคิดในการเชื่อมโยง “เศรษฐกิจชุมชน” เข้ากับ “เศรษฐกิจสหกรณ์” จึงอยู่ในวิสัยที่จะดำเนินการได้ทั้งในเชิงทฤษฎีและในทางปฏิบัติ.

การผลักดันแนวความคิดในเรื่อง “เศรษฐกิจชุมชน” คงจะต้องเริ่มด้วยความเข้าใจที่ชัดเจนในความหมายของคำๆนี้, หรืออย่างน้อยที่สุดก็ให้สื่อความหมายไปในทิศทางเดียวกันในสาระสำคัญ.

ชุมชน” ในที่นี้ควรจะหมายรวมถึง “สังคมชนบท” ซึ่งเป็น “สาระแท้ของสังคมไทย” และเป็นที่รวมของชีวิตเศรษฐกิจ, สังคม, วัฒนธรรมที่หล่อหลอมด้วยประสัติศาสตร์,ภูมิศาสตร์, ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.

เศรษฐกิจชุมชน” ก็คือระบบการผลิต, การแลกเปลี่ยนและการวิภาคของชุมชนที่มีความสอดคล้องกับชีวิตเศรษฐกิจ, สังคม, วัฒนธรรมภายใต้เงื่อนไขทางประวัติศาสตร์, ภูมิศาสตร์, ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.

ระบบเศรษฐกิจชุมชนมิใช่ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่สนับสนุนให้ผู้เป็นเจ้าของ “ทุน” แสวงหาประโยชน์สูงสุดเพื่อตนเอง, แต่ในขณะเดียวกันก็มิใช่ระบบเศรษฐกิจที่ควบคุมดยรัฐและบงการจากรัฐ “เศรษฐกิจชุมชน” เป็นระบบที่สมาชิกของชุมชนร่วมกันบริหารจัดการโดยมุ่งให้บรรลุถึง “ความพอเพียง”, “ความเป็นธรรม” และ “ความสงบสุข”ภายในชุมชน.

 

“เศรษฐกิจชุมชน” สามารถดำเนินการได้ภายใต้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจหลักของประเทศ โดยมีศักยภาพเพียงพอในการแข่งขันกับภาคเอกชน นายทุนในตลาดสินค้าเดียวกัน, แต่ในขณะเดียวกัน จะปกป้องคุ้มครองมิให้เศรษฐกิจทุนนิยมเข้าครอบงำชุมชนในพื้นที่ชนบท ทั้งนี้โดยการสมัครสมานร่วมมือกันระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคในการดำเนินการเศรษฐกิจของชุมชนในรูปสหกรณ์.

 

สหกรณ์ในบริบทของ “เศรษฐกิจชุมชน” จะเป็นสหกรณ์อเนกประสงค์คือสหกรณ์ที่ดำเนินการเศรษฐกิจครบวงจร โดยทำการผลิตสินค้าและบริการเพื่อ “ความพอเพียง” ของชุมชนเท่าที่จะพึงกระทำได้ ทั้งในแนวตั้งและในแนวนอน เช่นในกรณีของข้าว ก็ตั้งแต่การทำนา, การสีข้าว, การแปรูปข้าวสู่ผลิตภัณฑ์ต่าง การบรรจุหีบห่อ, การตลาดภายในประเทศและการส่งออก, และการดำเนินเศรษฐกิจจะไม่จำกัดเฉพาะในเรื่องของข้าว แต่จะขยายไปสู่ผลิตผลการเกษตรอื่นๆที่สามารถผลิตได้ ควบคู่ไปกับข้าว, และสร้าง “มูลค่าเพิ่ม” ที่พอเพียงสำหรับการดำรงชีวิตเศรษฐกิจของชุมชน. สำหรับการรวมพลังทำการในรูปของสหกรณ์ก็จะให้ความเข้มแข็ง เป็นปึกแผ่น โดยไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบนายทุนทั้งในด้านการผลิตและในด้านการตลาด. ที่แน่นอนที่สุดก็คือการยึดหลักการพึ่งตนเองเป็นสำคัญ, รวมทั้งการพึ่งตนเองในด้านการเงินภายใต้ “ธนาคารสหกรณ์”.

“ความสงบสุข” จะเป็นผลที่ตามมาของ “ความเป็นธรรม” และ “ความพอเพียง”, ซึ่ง “เศรษฐกิจชุมชน” ที่ใช้ระบบเศรษฐกิจสหกรณ์จะนำมาสู้ชุมชน.

สำหรับรัฐนั้นก็มีบทบาทสำคัญในการให้ความสนับสนุน “เศรษฐกิจชุมชน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านงานวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถผลิตสินค้าได้หลากหลาย, มีคุณภาพและมาตรฐาน, อีกทั้งมีต้นทุนการลิตที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์มีราคาจำหน่ายที่แข่งขันในตลาดเสรีได้.

การใช้ระบบสหกรณ์สำหรับการดำเนิน “เศรษฐกิจชุมชน” จะเป็น “วิถีชุมชน” แบบใหม่ที่ก้าวหน้าและทันโลก และสามารถยืนอยู่บนขาของตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจาภายนอก, ไม่ว่าจะเป้นความช่วยเหลือของรัฐบาล, ของธุรกิจเอกชน, หรือความช่วยเหลือจากต่างประเทศ.  “วิถีชุมชน” ดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยมีความต้องการ เพราะเป็นแนวทางที่จะขจัดบรรดา “จุดอ่อน” ของการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะเวลาที่ผ่านมาได้มาก, ไม่ว่าจะเป็นในด้านการวิภาคโภคทรัพย์,การพึ่งตนเองทางเทคโนโลยี, การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, อีกทั้งปัญหาทางสังคมอื่นๆ เช่นชุมชนแออัด อาชญากรรม การย้ายภูมิลำเนาเพื่อแสวงหางานและเงิน.

ที่สำคัญคือ “วิถีชุมชน” ดังกล่าวนี้คือแนวทางการขจัดปัญหาความยากจนให้หมดสิ้นไปได้อย่างมีประสิทธิผลที่สุด.

 

สรุป

         เศรษฐกิจชุมชน คือระบบการผลิต การแลกเปลี่ยน และการวิภาคของชุมชนที่มีความสอดคล้องกับชีวิตเศรษฐกิจ สัคม และวัฒนธรรมภายใต้เงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

         ระบบเศรษฐกิจชุมชน  มิใช่ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่สนับสนุนให้ผู้เป็นเจ้าของทุน แสวงหาผลประโยชน์สูงสุดเพื่อตนเอง แต่ในขณะเดียวกันก็มิใช่ระบบเศรษฐกิจที่ควบคุมโดยรัฐและบงการจากรัฐ เศรษฐกิจชุมชนเป็นระบบที่สมาชิกของชุมชนร่วมกันบริหารจัดการ โดยมุ่งให้บรรลุถึงความพอเพียง ความเป็นธรรม และความสงบสุขภายในชุมชน เศรษฐกิจชุมชนสามารถดำเนินการได้ภายใต้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจหลักของประเทศ และมีศักยภาพเพียงพอในการแข่งขันกับภาคเอกชนในตลาดสินค้าเดียวกัน ในขณะเดียวกันก็จะปกป้องคุ้มครองมิให้เศรษฐกิจทุนนิยมเข้าครอบงำชุมชนในพื้นที่ชนบท ทั้งนี้โดยความร่วมมือกันระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภคในการดำเนินเศรษฐกิจของชุมชนในรูปของสหกรณ์

         สหกรณ์คือบริบทของเศรษฐกิจชุมชนจะเป็นสหกรณ์อเนกประสงค์ คือสหกรณ์ที่ดำเนินการครบวงจร โดยทำการผลิตสินค้าและบริการเพื่อความพอเพียงของชุมชนเท่าทีจะพึงกระทำได้ ทั้งในแนวตั้งและในแนวนอน เช่น ในกรณีของข้าว ก็ตั้งแต่การทำนา การสีข้าว การแปรรูปข้าวไปสู้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ การบรรจุหีบห่อ การตลาดภายในประเทศและการส่งออก และกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะไม่จำกัดเฉพาะในเรื่องของข้าว แต่จะขยายไปสู่ผลิตผลการเกษตรอื่นๆ ที่สามารถผลิตควบคู่ไปกับข้าวได้และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในการผลิตทุกขั้นตอน จนกระทั่งถึงการตลาดที่สมบูรณ์

         กิจกรรมทาเศรษฐกิจแบบอเนกประสงค์ดังกล่าวนี้จะสร้างมูลค่าเพิ่มที่พอเพียงสำหรับการดำรงชีวิตของชุมชน

         การรวมพลังจัดตั้งสหกรณ์ให้เป็นปึกแผ่นและมีอำนาจต่อรองกับนายทุนทั้งในด้านการผลิตและการตลาด ที่แน่นอนที่สุดก็คือการยึดหลักการพึ่งตนเองเป็นสำคัญ รวมทั้งการพึ่งตนเองในด้านการเงินภายใต้ระบบธนาคารสหกรณ์

         สำหรับรัฐนั้นก็มีบทบาทสำคัญในการให้ความสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านงานวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถผลิตสินค้าได้หลาหลายมีคุณภาพและมาตรฐาน อีกทั้งมีต้นทุนการผลิตที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์มีราคาจำหน่ายที่แข่งขันในตลาดเสรีได้

         การใชระบบสหกรณ์สำหรับการดำเนินเศรษฐกิจชุมชนจะเป็นวิถีชุมชนแบบใหม่ที่ก้าวหน้าและทันโลก และสามารถยืนอยู่บนขาของตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นความช่วยเหลือของรัฐบาล ของธุรกิจเอกชน หรือความช่วยเหลือจากต่างประเทศ

         วิถีชุมชนดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยมีความต้องการ เพราะเป็นแนวทางที่จะขจัดบรรดาจุดอ่อนของการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะเวลาที่ผ่านมาได้มาก ไม่ว่าจะเป็นในด้านการวิภาคโภคทรัพย์ การพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยี การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งปัญหาทาสังคมอื่นๆ เช่นชุมชนแออัด อาชญากรรม และการย้ายภูมิลำเนาเพื่อแสวงหางานและเงิน

         ที่สำคัญก็คือวิถีชุมชนดังกล่าวนี้ คือแนวทางการขจัดปัญหาความยาจนให้หมดสิ้นไปได้มีประสิทธผลดีที่สุด.

 

(จากหน้า ๑๗๗-๑๙๓ ของหนังสือ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับ ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย” โดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต)



 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น