๘
เศรษฐกิจชุมชน
กับวิถีชุมชน
“การพัฒนาเศรษฐกิจ”
ได้เป็นวัตถุประสงค์แห่งนโยบายเศรษฐกิจของประเทศไทยที่สำคัญที่สุดมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่
๒ ซึ่งในช่วงแรกเป็นวัตถุประสงค์ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูบูรณะการเงิน,
การคลังและการคมนาคมขนส่ง ตลอดจนสาธารณูปการที่ได้รับความเสียหายในระหว่างสงคราม.
เมื่อการฟื้นฟูบูรณะดังกล่าวด้ลุล่วงไปด้วยดีแล้ว,
ประเทศไทยก็ได้ทุ่มเทความเอาใจใส่และทรัพยากรต่างๆ ที่มีอยู่และที่จะจัดามาได้ให้แก่การเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจ
โดยมีแผนพัฒนาการเศรษฐกิจฯ ทำหน้าที่เป็นแม่บทในการกำหนดนโยบายและมาตรการ,
จัดลำดับความสำคัญของโครงการต่างๆ, และจัดสรรทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด.
ในเวลาต่อมา แผนพัฒนาการเศรษฐกิจฯ ได้ขยายขอบเขตครบคลุมการพัฒนาสังคม, ความมั่นคง
และอื่นๆด้วย จากประสบการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่า “การพัฒนา”
เป็นปรากฏการณ์ที่เชื่อมโยงส่วนต่างๆ ทั้งระบบ โดยไม่อาจที่จะแยกส่วนใดส่วนหนึ่งออกเป็นเอกเทศได้.
ตอดระยะเวลาประมาณครึ่งศตวรรษแห่งการระดมทรัพยากรและสรรพกำลังเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง,
ประเทศไทยได้พบกับการเปลี่ยนแปลงที่ปรากฏชัดในแทบทุกด้าน
และเกือบจะทั้งหมดเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางบวกในเชิงปริมาณ. ในขณะที่เศรษฐกิจ
ทั้งที่เป็นส่วนรวมและที่เป็นในสาขาต่างๆ
ได้มีการเติบโตขยายในอัตราเฉลี่ยระหว่างร้อยละ ๕ ถึงร้อยละ ๑๐ ต่อปี,
ประชากรของประเทศก็ได้เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๕ ถึงร้อยละ ๑๐ ต่อปี,
ประชากรของประเทศก็ได้เพิ่มขึ้นประมาณ ๕๐ ล้านคนในระหว่างเวลาเดียวกัน ในปัจจุบัน
ไม่อาจกล่าวว่าไทยเป็นประเทศเล็กอีกต่อไป และในหลายแง่มุม
ก็ไม่อาจกล่าวว่าเป็นประเทศเล็กอีกต่อไป และในหลายแง่มุม
ก็ไม่อาจกล่าวว่าเป็นประเทศที่ยังด้อยพัฒนา, ทั้งนี้พราะว่า
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศได้ขยายตัวเติบโตในอัตราเฉลี่ยที่สูงกว่าอัตราการเพิ่มของประชากรมาโดยตลอดกว่าครึ่งศตวรรษ,
ตลาดภายในประเทศก็มีขนาดใหญ่
สามารถรองรับผลผลิตทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่มีริมาณและมูลค่าถือว่าเป็นสัดส่วนพอสมควรในการค้าของโลกทั้งหมด,
แรงงานส่วนเกินที่เคลื่อนย้ายไปสู่ตลาดแรงงานในทุกมุมโลก,
ความทันสมัยของสาขาบริการต่างๆ ซึ่งรวมถึงการเงินการธนาคาร, การท่องเที่ยว,
การคมนาคม, การขนส่ง, การศึกษาและการสาธารณสุข ฯลฯ.
ประเทศไทยภายหลังการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้ระบอบทุนนิยมที่เปิดกว้างสู่โลกภายนอกทุกมิติ
ได้สร้างบุคคลระดับเศรษฐีมหาเศรษฐีขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
นอกเหนือไปจากบุคคลที่มีรายได้สูงในหน้าที่การงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารธุรกิจ
บุคคลกลุ่มดังกล่าวนี้แม้จะมีจำนวนนับเป็นแสนๆคน
แต่เมื่อคิดเป็นสัดส่วนกับประชากรทั้งประเทศประมาณ ๖๕ ล้านคนแล้ว,
ก็ถือได้ว่าเป็นส่วนน้อย. อย่างไรก็ตาม บุคคลเหล่านี้ครอง “โภคทรัพย์”
ซึ่งรวมทั้งรายได้และทรัพย์สิน ไม่ควรจะน้อยกว่าร้อยละ ๗๐ หรือ ๘๐ ของ “โภคทรัพย์”
ของภาคเอกชนทั้งประเทศ.
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ
“การพัฒนาเศรษฐกิจ” ที่ผ่านมาได้
ทำให้การวิภาคโภคทรัพย์มีลักษณะที่กระจุกอยู่กับบุคคลกลุ่มดังกล่าว
และมีแนวโน้มที่จะคงลักษณะที่ว่านี้ต่อไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง
และอาจจะมีความเด่นชัดมากขึ้นด้วยในอนคต. การวิภาคโภคทรัพย์ที่มีความไม่เสมอภาค
และความไม่เสมอภาคนั้นมีแนวโน้มชัดเจนว่าจะเพิ่มขึ้นดังกล่าวนี้เป็นจุดอ่อนที่สำคัญอย่างหนึ่งของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย
เพราะเป็นการพัฒนาที่มิได้กระจายประโยชน์อย่างทั่วถึง.
นอกจากนั้นก็ยังมีจุดอ่อนที่น่าสังเกตอีกหลายประการที่ไม่อาจปฏิเสธได้.
เช่น
ยิ่งการพัฒนาเศรษฐกิจก้าวไปไกลเพียงใด ประเทศไทยก็ยิ่งจะพึ่งตนเองได้น้อยลง,
อีกทั้งจิตสำนึกในการพึ่งตนเองก็ได้เจือจางลงไปตามลำดับ.
เศรษฐกิจแห่งประเทศไทยในปัจจุบันจะเฟื่องฟูหรือซบเซา
ขึ้นอยู่กับการลงทุนจากต่างประเทศ, นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ,
และสินค้าส่งออกไปยังต่างประเทศ, สิ่งต่างๆ
เหล่านี้มีประโยชน์ต่อประเทศไทยโดยไม่ต้องสงสัย,
แต่ไม่ควรจะเป็นที่แขวนโชคชะตาของเศรษฐกิจแห่งประเทศไทย.
ความอ่อนแอในขีดความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยพึ่งตนเองไม่ได้
ทั้งนี้เพราะการผลิตต่างๆ จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีจากภายนอก,
และเนื่องจากเทคโนโลยีไม่เคยหยุดยั้งความก้าวหน้า,
การขาดความเอาจริงเอาจังทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีจึงทำให้ประเทศไทยไม่อาจที่จะยืนอยู่บนขาของตนเองได้.
ดังจะเห็นว่าการผลิตสินค้าก็ดี
หรือการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เทคโนโลยีในระดับสูง, ประเทศไทยต้องพึ่งพาต่างประเทศเกือบทั้งสิ้น.
สินค้าหายประเภทแม้จะ “ผลิตในประเทศไทย” แต่ในแง่ของเทคโนโลยี
ก็ไม่ใช่สินค้าที่ “ไทยผลิต”.
จุดอ่อนในเรื่อขีดความสามารถทางเทคโนโลยีที่กล่าวถึงนี้
ทำให้อุตสาหกรรมที่พัฒนาขึ้นในประเทศไทยมีลักษณะเสมือนเป็นตนไม้ที่ปราศจากรากแก้ว,
จึงไม่มีความมั่นคงแข็งแรงเยี่ยงอุตสาหกรรมพึจะต้องมี,
แต่เป็นลักษณะของธุรกิจอุตสาหกรรมมากกว่า
ซึ่งเป็นการร่วมประกอบการกับธุรกิจต่างชาติในการนำเข้าเทคโนโลยีมาผลิตสินค้าอุตสาหกรรมภายในประเทศเพื่อการป้อนตลาดภายในประเทศ
หรือเพื่อส่งออก.
ดังนั้น
แม้ว่าจะใช้แรงงานไทย แต่มูลค่าเพิ่มจะตกอยู่ในประเทศไทยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น.
สิ่งที่ไทยเราจะได้รับจริงจากการนีก็คือ “ตัวเลข” การเติบโตขยายตัว
หรือการส่งออก.
แม้กระทั่งภาคการเกษตรซึ่งเคยเป็นแกนของเศรษฐกิจแห่งประเทศไทยมาแต่โบราณกาก็มิได้ครองมูลค่าเพิ่มอันเกิดจากผลผลิตทางการเกษตรอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเช่นแต่ก่อน
เพราะในปัจจุบันการเกษตรต้องใช้เครื่องจักรกล, ปุ๋ยเคมี,
และเคมีภัณฑ์ในการกำจัดศัตรูพืช ซึ่งต้องพึ่งพาการนำเข้าเป็นส่วนใหญ่.
ยิ่งราคาสินค้าการเกษตรที่ส่งออกได้ถูกกำหนดโดยตลาดโลก ดังนั้น
เกษตรกรไทยจึงมีส่วนแบ่งในมูลค่าเพิ่มไม่มากนัก
ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ไม่อาจสลัดความยากจนให้หลุดพ้นได้.
นกจากนั้น
ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นการสร้างรายได้และผลกำไรของธุรกิจเป็นหลัก
ก็เป็นจุดอ่อนที่ค่อนข้างชัดเจนของการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งประเทศไทยในช่วงเวลาประมาณครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา,
การบุกรุกทำลายป่าและต้นน้ำลำธารก็ดี,
การเปลี่ยนแปลงธรรมชาติในเชิงกายภาพเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ก็ดี,
ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมทั้งในเชิงกายภาพและในเชิงสังคมก็ดี,
หรือแม้กระทั่งมลพิษในทุกรูปแบบที่ก่อให้เกิดปัญหาในด้านการสาธารณสุขอื่นๆ,
ล้วนแต่เนื่องมาจาก การพัฒนาเศรษฐกิจ” แทบทั้งสิ้น.
ความจริงแล้ว
ปัญหาสังคมที่ย้อนกลับมาเป็นปัญหาเศรษฐกิจ เช่น ปัญหาการจราจรติดขัด,
ปัญหาชุมชนแออัด, ปัญหาอาชญากรรม และการกระทำสิ่งที่ผิดกฎหมายต่างๆ
ก็สืบเนื่องมาจาก “การพัฒนาเศรษฐกิจ” อย่างเห็นได้ชัดเจน.
ที่ยกมากล่าวข้างต้นนี้เป็นเพียงบางส่วนของจุดอ่อนของการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งประเทศไทย
ซึ่งเมื่อนำมาพิจารณารวมกันทั้งหมดแล้ว
ก็จะเห็นได้ว่าการพัฒนาเศรษฐกิจที่ได้ทุ่มเททรัพยากรและระดมสรรพกำลังลงไป,
อีกทั้งกำลังกระทำต่อเนื่องไปในปัจจุบัน, เป็นสิ่งที่ไม้คุ้มค่า,
ซึ่งในที่สุดบรรดาสิ่งต่างๆ ที่ได้พัฒนาไปแล้วก็จะเสื่อมสลายไป
แม้กระทั่งเอกราชและอธิปไตยของชาติก็จะธำรงรักษาเอาไว้ได้โดยไม่ยาก.
อย่างไรก็ตาม
การพัฒนาเศรษฐกิจก็เป็นสิ่งจำเป็น, ซึ่งหมายความรวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจในสาขาต่างๆ
- เกษตร, อุตสาหกรรม, บริการ, ฯลฯ เพราะการดำรงและการดำเนินชีวิตของประชากร ๖๕
ล้านคนต้องการสินค้าและบริการในปริมาณที่พอเพียงและในคุณภาพที่เหมาะสม
ซึ่งจะต้องมีการผลิตขึ้น หรือแลกเปลี่ยนจากภายนอกประเทศ.
ความผิดพลาดที่ผ่านมามิใช้เกิดจากการเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจหรือการให้ความสำคัญต่อสาขาเศรษฐกิจสาขาหนึ่งสาขาใดเป็นพิเศษ.
ทั้งนี้เพราะสิ่งต่างๆ เล่านั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นและสมควรที่จะต้องกระทำ.
ความผิดพลาดที่ได้นำไปสู่จุดอ่อนต่างๆ
ที่กล่าวถึงข้างต้นเนื่องมาจากสาเหตุ ๒-๓ ประการ ดังนี้คือ
ประการแรก เป็นควาสับสนระหว่าง
“รพัฒนาเศรษฐกิจ” กับการเติบโตขยายตัวของเศรษฐกิจ
โดยผู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจเข้าใจว่า
ปรากฏการณ์ทั้งสองนี้เป็นสิ่งเดียวกัน และเมื่อประสงค์ที่จะทำให้เกิด
“การพัฒนาเศรษฐกิจ๐ ก็จะต้องทำให้เศรษฐกิจมีการเติบโตขยายตัว,
ซึ่งสามารถกระทำได้โดยการกระตุ้นการลงทุนและ/หรือการบริโภคภายในประเทศ
เนื่องจากการเติบโตขยายตัวของเศรษฐกิจจะสร้างงานให้มากขึ้น
ซึ่งการจ้างงานก็จะขยายออกไป และเมื่อคนมีงานทำก็จะมีรายได้
ทำให้เศรษฐกิจเติบโตขยายตัวต่อไปอีก, ซึ่งทำให้มองเห็นไปว่า
นั่นคือการพัฒนาเศรษฐกิจ.
ที่จริงแล้ว
การทำให้เศรษฐกิจมีการเติบโตขยายตัวเพื่อให้บรรลุถึงการจ้างงานอย่างเต็มที่,
หรือเพื่อขจัดปัญหาการว่างงานของบรรดาปัจจัยการผลิตนั้น
เป็นนโยบายที่ใช้ดูแลแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะสั้นภายใต้ข้อสมมติฐานว่าระบบเศรษฐกิจภายใต้การแก้ไขปัญหามีความสามารถในทางเทคโนโลยีที่สามารถใช้ประโยชน์บรรดาปัจจัยการผลิต
อาทิ ทุนและแรงงานที่มีอยู่ได้อย่างบริบูรณ์, เพียงแต่ว่าในบางชวงเวลา
อุปสงค์ส่วนรวมในระบบเศรษฐกิจได้พร่องไปด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง
ซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศและการจ้างานลดลง. ในกรณีเช่นนี้
ก็จำเป็นที่จะต้องมีมาตรการที่กระตุ้นการลทุนและ/หรือการบริโภคซึ่งเป็นปัจจัยค้ำจุนอุปสงค์ส่วนรวมอยู่.
สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจนั้นเป็นคนละเรื่องกัน
การเติบโดขยายตัวของเศรษฐกิจมีแนวโน้มในระยะยาวนั้นเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเศรษฐกิจกำลังมีการพัฒนา
เพราะประเทศมีขีดความสามารถและศักยภาพในการใช้ประโยชน์บรรดาปัจจัยการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ซึ่งทำให้การผลิตเพิ่มขึ้น นอกจากนั้น
การพัฒนาเศรษฐกิจยังหมายรวมถึงปรากฏการณ์อื่นๆอีก
เช่นขีดความสามารถในการผลิตที่เพิ่มขึ้นหมายถึงการพึ่งตนเองทางเทคโนโลยีในระดับที่สูงขึ้น
หรือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในเชิงสติปัญญา,
ความพอเพียงของสินค้าและบริการสำหรับการดำรงและการดำเนินชีวิตขอประชากร,
ความเป็นธรรมในการแบ่งสรรมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการผลิตในระว่างปัจจัยการผลิตต่างๆ,
ความเสมอภาคในทางเศรษฐกิจและสังคมของบุคคลในชาติ,
การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมิให้เสื่อมสลายอย่างไม่คุ้มค่า,
ความมั่นคงทางสังคมภายใต้หลักประกันและสวัสดิการที่เหมาะสม
และความสงบสุขที่ปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆ ที่แน่นอนที่สุดก็คือเอกราชและอธิปไตยของชาติซึ่งไม่อาจที่จะแลกเปลี่ยนกับสิ่งอื่นใดได้.
จุดอ่อนของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ผ่านมาก็คือ
การเติบโตขยายตัวของเศรษฐกิจได้รับความเอาใจใส่มากเกินไป
จนกระทั่งมองข้ามความสำคัญของปรากฏการณ์อื่นๆ,
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมิได้ให้ความสำคัญต่อปรากฏการณ์อื่นๆมากเท่าที่ควร
จึงทำให้เกิดการวิภาคโภคทรัพย์ไม่สมดุลและขาดความเป็นธรรม,
อีกทั้งระบบเศรษฐกิจปราศจากฐานรากที่แข็งแรงมั่นคงเฉกเช่นอธิปไตยที่พัฒนาแล้ว.
ประการที่ ๒ ของความผิดพลาดที่ก่อให้เกิดจุดอ่อนของการพัฒนาเศรษฐกิจก็คือการรับเอาระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่เกือบจะปราศจากเงื่อนไข
มาเป็นหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยตลอดทั่วทั้งระบบ
โดยมิได้พิจารณาว่าระบบเศรษฐกิจดังกล่าวจะมีความเหมาะสมกับสถานภาพความเป็นจริงของสังคมไทยหรือไม่ประการใด,
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบทซึ่งชีวิตเศรษฐกิจผสมผสานกับวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณี
ตลอดจนมโนทัศน์และค่านิยมที่ไม่สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจทุนนิยม.
การครอบเศรษฐกิจทุนนิยมลงไปในสังคมชนบทไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับความยากจนได้,
แต่ได้ทำให้การเสียสมดุลระหว่างรายได้กับรายจ่ายของแต่ละครัวเรือนซึ่งเรื้อรังอยู่แล้ว
มีความรุนแรงยิ่งขึ้น
โดยชาวชนบทจะสูญเสียกรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งตกทอดมาแต่บรรพบุรุษ
และต้องเป็นหนี้นายทุนท้องถิ่นซึ่งได้รบการสนับสนุนจากสถาบันการเงิน
ชาวชนบทไม่อยู่ในฐานะที่จะทำธุรกิจกับบรรดานายทุน เพราะเสียเปรียบในทุกๆด้าน
ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน, เทคโนโลยี, การตลาด, และวิสัยทัศน์,
ถึงแม้ว่าทางราชการจะเอาใจช่วยราษฎรในพื้นที่ดังกล่าว
อีกทั้งมีนโยบายและมาตรการสนับสนุนการพัฒนาชนบท, แต่ในที่สุด
นายทุนก็ได้เป็นฝ่ายชนะ และตามมาด้วยการล่มสลายของเศรษฐกิจสังคมชนบทซึ่งเป็นสถาบัน
หลักของชาติไทย.
ความจริงระบบเศรษฐกิจทุนนิยมก็ได้ปรากฏในประเทศไทยมาเป็นเวลานานพอสมควร
โดยเอกชนสามารถประกอบธุรกิจได้อย่างเสรีและมีการแข่งขันระหว่างกัน
และแม้กระทั่งการค้าระหว่างประเทศก็ดำเนินไปโดยเสรี.
การควบคุมการค้าและการแลกเปลี่ยนเงินตราจะมีบ้างก็ในช่วงที่กำลังฟื้นฟูบูรณะสถาบันและกลไกเศรษฐกิจการเงินภายหลังสงครามโลกครั้งที่
๒, แต่เมื่อภารกิจดังกล่าวเสร็จสิ้น การควบคุมดังกล่าวก็ยกเลิกไป. อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าประเทศไทยจะใช้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม
แต่ก็เป็นนโยบายของทางราชการที่พร้อมจะเข้าแทรกแซงในเกือบจะทุกเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นการค้าภายใน, การค้าต่างประเทศ, การอุตสาหกรรม, การคมนาคมและขนส่ง,
สาธารณูปโภคและสาธารณูปการ, การเงินการธนาคาร, โดยกฎหมาย, ระเบียบปฏิบัติ,
หลักเกณฑ์ และแม้กระทั่งการใช้รัฐวิสาหกิจเป็นเครื่องมือแห่งนโยบายเศรษฐกิจ,
ซึ่งมีความพร้อมที่จะเข้าแทรกแซงในส่วนของทางราชการดังกล่าวนี้
ในการจำกัดขอบเขตของเศรษฐกิจทุนนิยม.
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองซึ่งมีผลทำให้อิทธิพลทางการเมืองของกองทัพเสื่อมถอยไป,
นายทุนจากกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆได้เคลื่อนเข้ามาแทนที่ทหารในการบริหารราชการแผ่นดิน
ซึ่งด้วยความยินยอมของสาธารณชน ตลอดจนสื่อมวลชน, นักวิชาการ, และข้าราชการประจำ,
ในเวลาต่อมาระบบเศรษฐกิจทุนนิยมก็สามารถครอบคลุมเศรษฐกิจและสังคมไทยได้ทุกส่วน
โดยปราศจากการแทรกแซงโดยรัฐ และความขัดแย้งทางความคิด
สาธารณชนถูกชักจูงให้มีความมั่นใจว่าเศรษฐกิจระบบทุนนิยมอย่างเสรีจะสนองนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งในเขตเมืองและในพื้นที่ชนบท. สำหรับในชนบทนั้น
เศรษฐกิจแบบทุนนิยมจะกระตุ้นให้ราษฎรรู้จักการทำมาค้าขาย
มิใช่เอาแต่การทำมาหากินเท่านั้น ส่วนเงินทุนที่จำเป็นสำหรับการทำมาค้าขาย
บางส่วนรัฐก็จัดหาให้ แต่บางส่วนก็มาจากสถาบันการเงินต่างๆที่ได้เข้ามาบริการในพื้นที่.
ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนในชนบท.
การบริโภคมีความหลากหลายขึ้น ซึ่งแม้นจะมองดูว่าเป็นการปรับระดับคุณภาพชีวิตให้กว้างออกไป
ทั้งนี้เพราะระบบเศรษฐกิจดังก่าวซึ่งสนับสนุนพลังอำนาจในการต่อรองของบรรดานายทุน
ได้จำกัดขีดความสามารถในการสร้างรายได้ของราษฎรในพื้นที่ชนบท
จนกระทั่งไม่อาจที่จะรักษาถิ่นฐานไว้ได้
ชาวชนบทในวัยทำงานจำนวนมากถูกผลักดันให้ละทิ้งภูมิลำเนาไปแสวงหางานรับจ้างนายทุนในเมือง
และส่วนหนึ่งก็ขายที่ดินและทรัพย์สินที่เป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษเพื่อใช้เป็น “ทุน”
ในการเดินทางไปแสวงโชคในต่างประเทศ, หรือการชำระหนี้สิน.
ประการสุดท้าย ที่เป็นสาเหตุอันก่อให้เกิดจุดอ่อนในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะเวลาที่ผ่านมาก็คือการมุ่งพึ่งพาต่างประเทศเกินสมควรและเป็นการพึ่งพาที่ปราศจากจุดจบ
จนกระทั่งได้กลายเป็นทั้ง ปรัชญา” และ “วัฒนธรราม”
ในการพัฒนาเศรษฐกิจ.
การพึ่งพาต่างประเทศในระยะแรกเริ่มของการ
“เร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจ” เป็ฯเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะประเทศไทยขณะนั้นก็เพิ่งจะฟื้นตัวจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไม่นาน.
การพึ่งพาต่างประเทศส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องทาง “เทคนิคและวิชาการ”
ประเภทผู้เชี่ยวชาญ, ทุนการศึกษาในต่างประเทศ และเครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆ
นอกจากนั้นก็มีความช่วยเหลือในรูปของเงินให้เป่าบ้างและเงินกู้แบบผ่อนปรนบ้าง.
การพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศอีกด้านหนึ่งก็คือความช่วยเหลือในทางทหาร
ซึ่งเป็นการช่วยเหลือให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถที่สูงขึ้นในทางการทหารเพื่อที่จะช่วยเลือประเทศที่ให้ความช่วยเหลือทำสงครามกับฝ่ายตรงข้ามทางอุดมการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ.
เมื่อได้รบความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ
อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลานศตวรรษ, ประเทศไทยก็ดูเหมือนจะขาดความมั่นใจที่จะทำอะไรด้วยตนเองโดยปราศจากความช่วยเหลือจากภายนอก,
แม้กระทั่งการก่อสร้างถนน, สะพาน, เขื่อน ฯลฯ ซึ่งควรจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาพอสมควรแล้ว
ก็ยังต้องพึ่งพาต่างประเทศต่อไป. ในระยะหลัง
เมื่อความช่วยเหลือค่อยๆหมดไปและการกู้เงินจากต่างประเทศเข้ามาแทนที่
ประเทศไทยก็ได้ยอมรับเงื่อนไขเงินกู้ที่ว่าด้วยการเลือกว่าจ้างต่างประเทศมาก่อสร้างในโครงการเงินกู้,
สำหรับโครงการก่อสร้างที่ภาคเอกชนของไทยได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ดำเนินการ,
การว่าจ้างต่างประเทศมารับผิดชอบในด้านเทคนิคก็ยังคงอยู่ต่อไป
ซึ่งในกรณีดังกล่าวนี้อาจจะเนื่องมาจากเงื่อนไขในการคัดเลือกผู้ดำเนินการก็ได้ที่กำหนดให้ใช้ต่างประเทศในเรื่องทางเทคนิค.
การพึ่งพาต่างประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น
แทนที่จะลดลงในปัจจุบัน
ดังจะเนว่าแม้กระทั่งความรู้และความคิดในเชิงวิชาการเพื่อประอบการพิจารณากำหนดนโยบาย
ก็ยังว่าจ้างนักวิชาการต่างประเทศเป็นผู้เสนอแนะ โดยพร้อมที่จะเสียค่าใช้จ่ายที่สูง
และก็แสดงความพอใจว่า “คุ้มค่า”.
ปรากว่าสาเหตุที่ทำมห้การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในขณะนี้มีจุดอ่อนเป็นอันมากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับปรัชญา,
อุดมการณ์และมโนทัศน์ในส่วนของผู้นำทางการเมือง ซึ่งได้รับฉันทานุมัติจากสาธารณชน,
สื่อมวลชน, นักวิชาการ, ข้าราชการ ฯลฯ
ซึ่งจะมองปัญหาของชาติและแนวททางการแก้ไขปะญหาไปในทางเดียวกันหมด.
ในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้นมาใหม่, การลุกลามและร้อนแรงขึ้นของปัญหาเดิม,
ความไม่สามารถที่จะแก้ปัญหา ฯลฯ, ก็จะมีการเรียกร้องให้เปลี่ยนผู้นำทางการเมือง,
ทั้งตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญโดยวิธีการนอกระบบต่างๆ,
ผู้นำทางการเมืองได้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอๆ แต่ปรัชญา,
อุดมการณ์และมโนทัศน์ทางเศรษฐกิจไม่เคยได้รับการพิจารณาทบทวน. ด้วยเหตุนี้
การแก้ไขจุดอ่อนของการพัฒนาเศรษฐกิจที่สาเหตุจึงเป็นไปได้โดยยาก.
อย่างไรก็ตาม
มีอยู่ประเด็นหนึ่งซึ่อาจนำเสนอให้มีการพิจารณาทบทวนได้บ้าง คือ “เศรษฐกิจชุมชน”
อันเนื่องมาจากเหตุผลหลายประการ.
ประการแรก ก็คือ
“เศรษฐกิจชุมชน” เป็นแนวความคิดที่สอดคล้องกับทฤษฎี เศรษฐกิจพอเพียง”
ซึ่งเป็นพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดลยเดช,
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลักการว่าด้วยการพึ่งตนเอง,
ความสอดคล้องในแนวความคิดดังกล่าวทำให้ “เศรษฐกิจชุมชน” ไม่ถูกปฏิเสธโดยสินเชิง.
ประการที่สอง ก็คือ
“เศรษฐกิจชุมชน” หรือแม้กระทั่ง อุตสาหกรรมชุมชน” ได้รับความเอาใจใส่และเป็นแนวความคิดที่สะท้อนอย่างค่อนข้างชัดเจนในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่
๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐-๒๕๔๔) และอาจต่อเนื่องไปในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๙ (พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๔๙).
จริงอยู่ในระยะหลังๆนี้ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติถูกบดบังด้วยนโยบายและมาตรการทางเศรษฐกิจในเชิงรุกของรัฐบาล
ต่ก็ยังคงมีช่องว่างให้ “เศรษฐกิจชุมชน” ได้แทรกเข้าไปอยู่บ้าง
ทั้งนี้พราะนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลก็ให้ความเอาใจใส่ต่อปัญหาของชุมชนอยู่มิใช่น้อย.
ประการที่สาม, “เศรษฐกิจชุมชน”
เป็นแนวความคิดที่สนับสนุนกิจการสหกรณ์ซึ่งเป็นองค์กรเศรษฐกิจที่เป็นส่วนหนึ่งขอนโยบายของรัฐบาลมาทุกยุคทุกสมัย
และเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๑ ที่ผ่านมานี้
ก็ได้มีพระราชบัญญัติสหกรณ์ฉบับใหม่ซึ่งมีความมุ่งหมายในการปรับปรุงการสหกรณ์ให้มีบทบาทและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ดังนั้น แนวความคิดในการเชื่อมโยง “เศรษฐกิจชุมชน” เข้ากับ “เศรษฐกิจสหกรณ์”
จึงอยู่ในวิสัยที่จะดำเนินการได้ทั้งในเชิงทฤษฎีและในทางปฏิบัติ.
การผลักดันแนวความคิดในเรื่อง
“เศรษฐกิจชุมชน” คงจะต้องเริ่มด้วยความเข้าใจที่ชัดเจนในความหมายของคำๆนี้,
หรืออย่างน้อยที่สุดก็ให้สื่อความหมายไปในทิศทางเดียวกันในสาระสำคัญ.
ชุมชน” ในที่นี้ควรจะหมายรวมถึง
“สังคมชนบท” ซึ่งเป็น “สาระแท้ของสังคมไทย”
และเป็นที่รวมของชีวิตเศรษฐกิจ, สังคม, วัฒนธรรมที่หล่อหลอมด้วยประสัติศาสตร์,ภูมิศาสตร์,
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.
เศรษฐกิจชุมชน”
ก็คือระบบการผลิต,
การแลกเปลี่ยนและการวิภาคของชุมชนที่มีความสอดคล้องกับชีวิตเศรษฐกิจ, สังคม,
วัฒนธรรมภายใต้เงื่อนไขทางประวัติศาสตร์, ภูมิศาสตร์,
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.
ระบบเศรษฐกิจชุมชนมิใช่ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่สนับสนุนให้ผู้เป็นเจ้าของ
“ทุน” แสวงหาประโยชน์สูงสุดเพื่อตนเอง, แต่ในขณะเดียวกันก็มิใช่ระบบเศรษฐกิจที่ควบคุมดยรัฐและบงการจากรัฐ
“เศรษฐกิจชุมชน” เป็นระบบที่สมาชิกของชุมชนร่วมกันบริหารจัดการโดยมุ่งให้บรรลุถึง “ความพอเพียง”,
“ความเป็นธรรม” และ “ความสงบสุข”ภายในชุมชน.
“เศรษฐกิจชุมชน”
สามารถดำเนินการได้ภายใต้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจหลักของประเทศ
โดยมีศักยภาพเพียงพอในการแข่งขันกับภาคเอกชน นายทุนในตลาดสินค้าเดียวกัน,
แต่ในขณะเดียวกัน
จะปกป้องคุ้มครองมิให้เศรษฐกิจทุนนิยมเข้าครอบงำชุมชนในพื้นที่ชนบท ทั้งนี้โดยการสมัครสมานร่วมมือกันระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคในการดำเนินการเศรษฐกิจของชุมชนในรูปสหกรณ์.
สหกรณ์ในบริบทของ
“เศรษฐกิจชุมชน” จะเป็นสหกรณ์อเนกประสงค์คือสหกรณ์ที่ดำเนินการเศรษฐกิจครบวงจร
โดยทำการผลิตสินค้าและบริการเพื่อ “ความพอเพียง” ของชุมชนเท่าที่จะพึงกระทำได้
ทั้งในแนวตั้งและในแนวนอน เช่นในกรณีของข้าว ก็ตั้งแต่การทำนา, การสีข้าว,
การแปรูปข้าวสู่ผลิตภัณฑ์ต่าง การบรรจุหีบห่อ, การตลาดภายในประเทศและการส่งออก,
และการดำเนินเศรษฐกิจจะไม่จำกัดเฉพาะในเรื่องของข้าว แต่จะขยายไปสู่ผลิตผลการเกษตรอื่นๆที่สามารถผลิตได้
ควบคู่ไปกับข้าว, และสร้าง “มูลค่าเพิ่ม”
ที่พอเพียงสำหรับการดำรงชีวิตเศรษฐกิจของชุมชน.
สำหรับการรวมพลังทำการในรูปของสหกรณ์ก็จะให้ความเข้มแข็ง เป็นปึกแผ่น
โดยไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบนายทุนทั้งในด้านการผลิตและในด้านการตลาด.
ที่แน่นอนที่สุดก็คือการยึดหลักการพึ่งตนเองเป็นสำคัญ, รวมทั้งการพึ่งตนเองในด้านการเงินภายใต้
“ธนาคารสหกรณ์”.
“ความสงบสุข”
จะเป็นผลที่ตามมาของ “ความเป็นธรรม” และ “ความพอเพียง”, ซึ่ง “เศรษฐกิจชุมชน”
ที่ใช้ระบบเศรษฐกิจสหกรณ์จะนำมาสู้ชุมชน.
สำหรับรัฐนั้นก็มีบทบาทสำคัญในการให้ความสนับสนุน
“เศรษฐกิจชุมชน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านงานวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถผลิตสินค้าได้หลากหลาย,
มีคุณภาพและมาตรฐาน,
อีกทั้งมีต้นทุนการลิตที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์มีราคาจำหน่ายที่แข่งขันในตลาดเสรีได้.
การใช้ระบบสหกรณ์สำหรับการดำเนิน
“เศรษฐกิจชุมชน” จะเป็น “วิถีชุมชน” แบบใหม่ที่ก้าวหน้าและทันโลก
และสามารถยืนอยู่บนขาของตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจาภายนอก,
ไม่ว่าจะเป้นความช่วยเหลือของรัฐบาล, ของธุรกิจเอกชน,
หรือความช่วยเหลือจากต่างประเทศ. “วิถีชุมชน”
ดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยมีความต้องการ
เพราะเป็นแนวทางที่จะขจัดบรรดา “จุดอ่อน” ของการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะเวลาที่ผ่านมาได้มาก,
ไม่ว่าจะเป็นในด้านการวิภาคโภคทรัพย์,การพึ่งตนเองทางเทคโนโลยี,
การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, อีกทั้งปัญหาทางสังคมอื่นๆ เช่นชุมชนแออัด
อาชญากรรม การย้ายภูมิลำเนาเพื่อแสวงหางานและเงิน.
ที่สำคัญคือ “วิถีชุมชน”
ดังกล่าวนี้คือแนวทางการขจัดปัญหาความยากจนให้หมดสิ้นไปได้อย่างมีประสิทธิผลที่สุด.
สรุป
เศรษฐกิจชุมชน
คือระบบการผลิต การแลกเปลี่ยน และการวิภาคของชุมชนที่มีความสอดคล้องกับชีวิตเศรษฐกิจ
สัคม และวัฒนธรรมภายใต้เงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ระบบเศรษฐกิจชุมชน
มิใช่ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่สนับสนุนให้ผู้เป็นเจ้าของทุน
แสวงหาผลประโยชน์สูงสุดเพื่อตนเอง แต่ในขณะเดียวกันก็มิใช่ระบบเศรษฐกิจที่ควบคุมโดยรัฐและบงการจากรัฐ
เศรษฐกิจชุมชนเป็นระบบที่สมาชิกของชุมชนร่วมกันบริหารจัดการ
โดยมุ่งให้บรรลุถึงความพอเพียง ความเป็นธรรม และความสงบสุขภายในชุมชน
เศรษฐกิจชุมชนสามารถดำเนินการได้ภายใต้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจหลักของประเทศ
และมีศักยภาพเพียงพอในการแข่งขันกับภาคเอกชนในตลาดสินค้าเดียวกัน
ในขณะเดียวกันก็จะปกป้องคุ้มครองมิให้เศรษฐกิจทุนนิยมเข้าครอบงำชุมชนในพื้นที่ชนบท
ทั้งนี้โดยความร่วมมือกันระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภคในการดำเนินเศรษฐกิจของชุมชนในรูปของสหกรณ์
สหกรณ์คือบริบทของเศรษฐกิจชุมชนจะเป็นสหกรณ์อเนกประสงค์
คือสหกรณ์ที่ดำเนินการครบวงจร
โดยทำการผลิตสินค้าและบริการเพื่อความพอเพียงของชุมชนเท่าทีจะพึงกระทำได้
ทั้งในแนวตั้งและในแนวนอน เช่น ในกรณีของข้าว ก็ตั้งแต่การทำนา การสีข้าว
การแปรรูปข้าวไปสู้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ การบรรจุหีบห่อ การตลาดภายในประเทศและการส่งออก
และกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะไม่จำกัดเฉพาะในเรื่องของข้าว
แต่จะขยายไปสู่ผลิตผลการเกษตรอื่นๆ ที่สามารถผลิตควบคู่ไปกับข้าวได้และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในการผลิตทุกขั้นตอน
จนกระทั่งถึงการตลาดที่สมบูรณ์
กิจกรรมทาเศรษฐกิจแบบอเนกประสงค์ดังกล่าวนี้จะสร้างมูลค่าเพิ่มที่พอเพียงสำหรับการดำรงชีวิตของชุมชน
การรวมพลังจัดตั้งสหกรณ์ให้เป็นปึกแผ่นและมีอำนาจต่อรองกับนายทุนทั้งในด้านการผลิตและการตลาด
ที่แน่นอนที่สุดก็คือการยึดหลักการพึ่งตนเองเป็นสำคัญ
รวมทั้งการพึ่งตนเองในด้านการเงินภายใต้ระบบธนาคารสหกรณ์
สำหรับรัฐนั้นก็มีบทบาทสำคัญในการให้ความสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านงานวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถผลิตสินค้าได้หลาหลายมีคุณภาพและมาตรฐาน
อีกทั้งมีต้นทุนการผลิตที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์มีราคาจำหน่ายที่แข่งขันในตลาดเสรีได้
การใชระบบสหกรณ์สำหรับการดำเนินเศรษฐกิจชุมชนจะเป็นวิถีชุมชนแบบใหม่ที่ก้าวหน้าและทันโลก
และสามารถยืนอยู่บนขาของตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอก
ไม่ว่าจะเป็นความช่วยเหลือของรัฐบาล ของธุรกิจเอกชน หรือความช่วยเหลือจากต่างประเทศ
วิถีชุมชนดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยมีความต้องการ
เพราะเป็นแนวทางที่จะขจัดบรรดาจุดอ่อนของการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะเวลาที่ผ่านมาได้มาก
ไม่ว่าจะเป็นในด้านการวิภาคโภคทรัพย์ การพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยี
การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งปัญหาทาสังคมอื่นๆ
เช่นชุมชนแออัด อาชญากรรม และการย้ายภูมิลำเนาเพื่อแสวงหางานและเงิน
ที่สำคัญก็คือวิถีชุมชนดังกล่าวนี้
คือแนวทางการขจัดปัญหาความยาจนให้หมดสิ้นไปได้มีประสิทธผลดีที่สุด.
(จากหน้า ๑๗๗-๑๙๓ ของหนังสือ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
กับ ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย” โดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น