หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2563

ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต - เศรษฐกิจไทย จากปัจจุบันสู่อนาคต

เศรษฐกิจไทย

จากปัจจุบันสู่อนาคต

 

 

         ในการพิจารณาเศรษฐกิจไทยจากปัจจุบันสู่อนาคตในบทความนี้ จักได้กระทำใน ๓ ประเด็นด้วยกันคือ

         ประเด็นแรก   เป็นข้อสังเกตเกี่ยวกับกรอบความคิดทางเศรษฐกิจที่ปรากฏโดยทั่วไปในช่วงเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งน่าจะเป็นที่มาของความผิดพลาดในการวิเคราะห์เศรษฐกิจไทย ตลอดจนความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาพื้นฐาน เช่น ปัญหาความยากไร้ของราษฎรส่วนใหญ่ และปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคม เป็นต้น.

         ประเด็นต่อมา เป็นการวิเคราะห์ “ความปรารถนาของชาติ” และ “ศักยภาพทางเศรษฐกิจ” ในบริบทของประเทศไทย ซึ่งเมื่อ ๒ สิ่งนี้มีความสำคัญสูงสุดในการกำหนดทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ.

         และประเด็นสุดท้าย ก็คือกรอบความคิดและยุทธศาสตร์ใหม่สำหรับเศรษฐกิจไทยในอนาคต

         การพิจารณาจะกระทำเป็นประเด็นๆไปดังนี้

 

ข้อสังเกตบางประการ

เกี่ยวกับกรอบความคิดทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน

๑. การกำหนดวัตถุประสงค์แห่งนโยบายเศรษฐกิจก็ดี, การวางนโยบายเศรษฐกิจก็ดี, และการเลือกใช้มาตรการทางนโยบายเศรษฐกิจก็ดี มิได้เอาใจใส่ต่อ “ความปรารถนาของชาติ” อย่างจริงจัง ทั้งๆที่สิ่งนี้คือ “โจทย์” ของการพิจารณาปัญหาเศรษฐกิจและเป็นเครื่องกำหนดวัตถุประสงค์, นโยบายและมาตรการเศรษฐกิจ.

การมองข้าม “ความปรารถนาของชาติ” ได้ทำให้การวิเคราะห์ปัญหาของชาติคลาดเคลื่อนไปหมด ในทำนองเดียวกับที่บุคคลไม่ทราบความปรารถนาในชีวิตของตนเองโดยแท้จริง ก็ย่อมดำเนินชีวิตผิดพลาด.

“ความปรารถนาของชาติ” จะพึงเข้าใจและเข้าถึงได้โดยผ่าน “จิตสำนึกทางประวัติศาสตร์” ทั้งนี้พราะเป็นปรากฏการณ์ที่สั่งสมอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน มิใช่สิ่งที่จะมากำหนดเอาง่ายๆ จากความรู้สึกนึกคิดของสังคมในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเนินที่ความรู้สึกนึกคิดบนพื้นฐานของผลประโยชน์ของบุคคลเพียงบางกลุ่มที่มีอำนาจและอิทธิพลในสังคมขณะนั้น.

๒.  มีความเข้าใจกันโดยทั่วไป ซึ่งนักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์หลายคนได้มีส่วนทำเกิดความ

เข้าใจเช่นนั้นว่า “ความมั่นคง” คือ ความปรารถนาของชาติ, อีกทั้งก็ยังเชื่อกันว่าเมื่อประเทศมั่งคั่ง, ราษฎรก็ย่อมจะมีความมั่งคั่งไปด้วย ซึ่งตามมาด้วยความสุขสมบูรณ์ที่ความมั่งคั่งพึงบันดาลให้เกิดขึ้น. ความเข้าใจดังกล่าวนี้ได้บงการให้การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมุ่งไปที่การทำให้ประเทศมีความมั่งคั่ง แม้นจะต้องแลกเปลี่ยนกับเอกราชและอธิปไตย ตลอดจนความเป็นธรรมในสังคมก็ยอม, หรือแม้จะไม่บรรลุถึงความมั่งคั่งโดยแท้จริงก็ขอให้มีลักษณะต่างๆ ที่มองดูเป็นความมั่งคั่ง, ซึ่งทำให้เกิด “ภาพลวงตา” ขึ้น เช่น มองเห็นการผลิตสินค้าในประเทศไทยของนายทุนต่างชาติเป็นความมั่งคั่งของประเทศไทยและราษฎรไทยเป็นต้น.

         ความมั่งคั่งมิใช่ “ความปรารถนาของชาติ” อีกทั้งก็ยังมีการกระจุกตัวอยู่กับบุคคลบางกลุ่ม มิได้ผ่านลงไปถึงและกระจายไปสู่คนส่วนใหญ่ของประเทศ นอกจากนั้น แม้นว่าในภาพรวม ประเทศจะดูเหมือนมีความมั่งคั่ง หากราษฎรทั่งไปก็คงอยู่ในความยากไร้อย่างถาวร

         ในอีกทางหนึ่ง ความสุขสมบูรณ์ตามควรแก่อัตภาพก็ย่อมจะบรรลุถึงได้ หากรู้จักใช้ “ศักยภาพทางเศรษฐกิจ” ที่มีอยู่ในกรอบความคิดที่สอดคล้องกะบ “ความปรารถนาของชาติ” อย่างถูกต้องและเหมาะสม. โยความเป็นจริงแล้ว เศรษฐกิจแห่งประเทศไทยในปัจจุบันมีศักยภาพเพียงพอที่จะก่อให้เกิดคามสุขสมบูรณ์ตามควรแก่อัตภาพแก่ราษฎรโดยถ้วนหน้าได้ ถ้าหากมีการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจภายใต้กรอบความคิดที่ถูกต้อง

         ๓. ให้ความสำคัญต่อสาระและปรากฏการณ์เศรษฐกิจในเชิง “ปริมาณ” มากจนเกินไป เช่นยึดเอาตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในภาพรวมเป็นเครื่องแสดงการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศหรือการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เป็นต้น. การเน้นความสำคัญในเชิง “ปริมาณ” จนเกินไปดังกล่าวนี้ ได้นำไปสู่ข้อสรุปในสถานการณ์และสถานภาพทาเศรษฐกิจที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง, อีกทั้งทำให้เกิดความพลาดพลั้งในนโยบายและมาตรการทางเศรษฐกิจตลอดจนความเข้าใจที่สับสนในวงกว้าง.

         การวิเคราะห์เศรษฐกิจในเชิง “ปริมาณ” นั้น เป็นเพียงการเสริมความเข้าใจในสถานการณ์และสถานภาพนั้นๆ ให้มีความชัดเจนขึ้น, แต่มิใช่เป็นการทดแทนการวิเคราะห์ด้วยสติปัญญาและประสบการณ์แต่ประการใด.

         ๔. เช่นเดียวกัน การเน้นวิเคราะห์เศรษฐกิจไปที่ “ภาพรวม” มากเกินไปก็อาจะสร้าง “ภาพลวงตา” ขึ้นมาได้ และย่อมจะทำให้การวิเคราะห์คลาดเคลื่อนจากสถานการณ์และสถานภาพที่เป็นจริง ความจริง “เศรษฐกิจมหภาค” มิได้ห้ามให้มีการพิจารณาสาขาเศรษฐกิจต่างๆ ที่ประกอบกันเป็นเศรษฐกิจของชาติ. ตรงกันข้าม ความเข้าใจ “ภาพรวม” ของเศรษฐกิจจะชัดเจนและถูกต้องขึ้น ภายหลังที่ได้มีการพิเคราะห์สาขาเศรษฐกิจต่างๆเหล่านั้นอย่างถ่องแท้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวกับ “มูลค่าเพิ่ม” ซึ่งสำหรับประเทส “กึ่งพัฒนา” อย่างประเทศไทย, ย่อมจะมีความแตกต่างกันมากระหว่างสาขาเศรษฐศาสตร์ต่างๆ.

         ๕. ได้มีการรวมเอาธุรกิจต่างๆ ของต่างประเทศที่มีฐานการผลิตสินค้าและบริการในประเทศไทย ผสมผสานเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธุรกิจไทย และรวมเรียกว่า “เศรษฐกิจไทย” ด้วยเหตุผลที่ว่าแม้จะเป็นธุรกิจต่างชาติ แต่ก็ประกอบการผลิตในประเทศไทย จึงถือว่าเป็นธุรกิจไทยสินค้าไทย ดังที่นิยมใช้ประโยคที่ว่า “ผลิตในประเทศไทย”. ดังนั้น เมื่อสินค้าต่างชาติที่ผลิตในประเทศไทยเหล่านี้ถูกส่งออกไปจำหน่ายนอกประเทศ, ก็กลายเป็นสินค้าส่งออกของไทยไปโดยอัตโนมัติ, และทำให้เกิด “ภาพลวงตา” ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น.

         ธุรกิจต่างชาติ หรือ “ธุรกิจข้ามชาติ” มิใช่สิ่งที่พึงรังเกียจด้วยมีประโยชน์หลายประการ ซึ่งในบางกรณีก็อาจจะชักชวนให้เข้ามาดำเนินการในประเทศไทยก็ได้. ประเด็นอยู่ที่ว่าพึงจะได้มีการแยกข้อมูลและตัวเลขเอาไว้ต่างหาก เพื่อมิให้เกิด “ภาพลวงตา” และนำเอาไปรวมกับส่วนที่เป็นของไทย. กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ควรจะต้องมีการแยกกันระหว่าง สินค้าที่ผลิตในประเทศไทย” และ “สินค้าที่ไทยผลิต”, เพราะมีความแตกต่างกันมาก จนกระทั่งอาจทำให้มีความสับสนและการวิเคราะห์ที่ผิดพลาด.

         ๖. นอกจากนั้นก็ยังใช้การลงทุนต่างชาติเป็น “ยุทธศาสตร์” ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยการส่งเสริมการลงทุน, การเปิดเสรีทางการเงินและการลงทุน, ตลอดจนการจำหน่ายจ่ายโอนกิจการต่างๆให้แก่ต่างชาติ. “ยุทธศาสตร์” ดังกล่าวนี้ แม้อาจจะทำให้เศรษฐกิจไทยดูเจริญขึ้นหรือ “มั่งคั่ง” ขึ้น, แต่ก็ก็ป็นความเจริญหรือการพัฒนาแบบ “อาณานิคม”, มิใช่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเอกราช.

         ในขณะที่การส่งเสริมการลงทุน, การเปิดเสรีทางการเงินและการลงทุน, หรือแม้กระทั่งการจำหน่ายจ่ายโอนกจการต่างๆให้แก่ต่างชาติ สามารถกระทำได้ในขอบเขตที่เหมาะสม, แต่นโยบายและมาตรการเหล่านั้นไม่พึงจะเป็น “ยุทธศาสตร์” ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในอดีต ประเทศผู้เป็น “เจ้าของ” อาณานิคมจะไปลงทุนในกิจการต่างๆ รวมทั้งสาธารณูปการและสาธารณูปโภค, การคมนาคมและการขนส่ง, อุตสาหกรรมต่างๆ, การสำรวจ ขุด เจาะทรัพยากรธรณี, และแม้กระทั่งการเกษตร, ได้สร้างความเจริญให้แก่อาณานิคมนั้นๆ มีการพัฒนาหรือความเจริญขึ้น. ในปัจจุบันก็จะเห็นการลงทุนจากประเทศที่เป็นเจ้าหนี้ หรือมีอิทธิพลในทางหนึ่งทางใด เข้าไปครอบงำเศรษฐกิจของประเทศเล็กหลายประเทศ ซึ่งมีผลทำให้ประเทศเล็กๆเหล่านั้นกลายเป็น “อาณานิคม ของมหาประเทศที่เข้าไปลงทุนโดยปริยาย.

         ๗. การใช้การกู้เงินจากต่างประเทศเป็นส่วนหนึ่งของ “ยุทธศาสตร์” การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ก็เป็นข้อสังเกตเกี่ยวกับกรอบความคิดทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันที่น่าจะไม่เป็นเรื่องที่ถูกต้องและได้นำไปสู่ปัญหาระดับชาติที่แก้ไขได้โดยยาก.

         เช่นเดียวกับการลงทุน, การกู้เงินจากต่างประเทศมาเพื่อการพัฒนาประเทศ, หรือแม้กระทั่งเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลการชำระเงินชั่วคราว มิใช่สิ่งต้องห้ามเสียเลยทีเดียว, แต่เป็นเรื่องที่จะต้องกระทำด้วยความรอบคอบระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการกู้โดยภาครัฐหรือโดยภาคเอกชน, และไม่ว่าจะเป็นการกู้มาจากที่ใดเพื่อวัตถุประสงค์ใดๆก็ตาม.

         จะนำเอาการกู้เงินจากต่างประเทศมเป็นส่วนหนึ่งของ “ยุทธศาสตร์” การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นการนำอนาคตของชาติข้าไปผูกพันกับอิทธิพลจากภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ และปฏิเสธไม่ได้ แม้นว่าเงินกู้นั้นๆ จะเป็นเงินกู้ที่มีเงื่อนไขผ่อนปรนและมีอัตราดอกเบี้ยต่ำ. ความจริงนั้น หากจำเป็นจะต้องกู้เงินจากต่างประเทศ ยังควรเสียอีกที่จะกู้ในตลาดทุนของโลก ที่ถึงจะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่า และมีเอนไขการชำระหนี้ที่เคร่งครัดกว่า, แต่ก็เสมือนเป็นการทำธุรกิจอย่างเปิดเผย ซึ่งปราศจากความผูกพันกันเป็นพิเศษใด.

         ๘. มีความเข้าใจที่สับสนในเรื่องของการ “ถ่ายทอดเทคโนโลยี” โดยมักจะเข้าใจกันว่าการนำเทคโนโลยีเข้ามาจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือเครื่องจักร อุปกรณ์หรือกรรมวิธี คือการถ่ายทอดเทคโนโลยีเข้ามาในประเทศไทย, ซึ่งความเป็นจริงเป็นคนละเรื่องกัน.

         การถ่ายทอดเทคโนโลยี หมายถึงการเรียนรู้จนกระทั่สามารถ กำกับ” เทคโนยีที่นำเข้าจากต่างประเทศได้,ซึ่งการ “กำกับ” ก็มีการตั้งแต่ความรู้ความเข้าใจในการทำงานของเทคโนโลยีนั้น จนสามารถใช้งานได้, ความสามารถในการซ่อมบำรุง, การดัดแปลงอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับสภาพการใช้, การลอกแบบสร้างอุปกรณ์ให้ใชข้ประโยชน์ได้, และในที่สุดก็คือความสามารถในการออกแบบในเชิงวิศวกรรมที่ประหยัดกว่าเดิม,คุณภาพดีกว่าของเดิม, หรือน่าใช้กว่าของเดิม.

         หลายประเทศที่ก้าวเข้าสู่ความเป็นประเทศอุตสาหกรรม มีความสามารถในการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศที่เจริญมาก่อนได้อย่างน่าพอใจ ซึ่งการนั้นได้ทำให้ประเทศนั้นอยู่ในฐานะที่จะแข่งขันการผลิตและการจำหน่ายสินค้าที่ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีจนกระทั่ง “กำกับ” ได้อย่างมีประสิทธิผลในตลาดโลก, ยกตัวอย่างเช่น เกาหลีใต้ และใต้หวัน. สินค้าส่วนใหญ่ที่ผลิตในเกาหลีใต้และใต้หวัน เป็นสินค้าที่ “เกาหลีใต้ผลิต” หรือ “ใต้หวัยนผลิต”, ซึ่งแตกต่างจากสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ที่ผลิตในประเทศไทย ซึ่งมิใช่สินค้าที่ “ไทยผลิต”.

         ในปัจจุบันประเทศไทยยังมีขีดความสามารถในทางเทคโนโลยีจำกัดอยู่มาก ซึ่งจะต้องใช้ทรัพยากรและเวลาอีกนานปีจึงจะถึงระดับเดียวกับเกาหลีใต้และใต้หวัน. ดังนั้นจึงควรที่จะตระหนักในขีดความสามารถที่จะแข่งขันในตลาดโลกโดยอย่าได้ไปสับสนว่าสินค้าส่งออกที่ลิตในประเทศไทย คือสินค้าที่ไทยผลิตเสมอไป.

         ๙. เนื่องจาก “เครดิต” เป็นปัจจัยที่สำคัญและจำเป็นต่อการประกอบธุรกิจโดยมี “สถาบันการเงิน”อเป็นผู้รับผิดชอบดูแล, ดังนั้นจึงมีแนวโน้มอย่างชัดเจนว่า สถาบันการเงินได้รับการเอาใจใส่เป็นพิเศษจากทางการที่คอยประคับประคองให้สามารถดำเนินงานไปได้ดี มีความมั่นคง และมีผลกำไรตอบแทนอย่างเพียงพอ.

         การดูแลให้สถาบันการเงินมีฐานะมั่นคงและมีผลกำไรในการดำเนินงานเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพื่อธุรกิจต่างๆ จะได้ดำเนินงานไปได้ไม่ติดขัด โดยอาศัย “เครดิต” ที่สถาบันการเงินอำนวยให้.

         ข้อสังเกตในเรื่องดังกล่าวนี้อยู่ที่ว่า ได้มีการเข้าใจที่สับสนว่าถ้าหากสถาบันการเงินดำเนินการไปด้วยดี คือมีความพร้อมที่จะอำนวย “เครดิต” แก่ธุรกิจแล้ว, เศรษฐกิจจองประเทศก็จะ “ดี” ไปเองโดยอัตโนมัติ เพราะธุรกิจที่ต้องการสินเชื่อ ก็จะได้รับสินเชื่อ และยิ่งอัตราดอกเบี้ยไม่สูงด้วยแล้ว ก็จะมีการยื่นขอและการอำนวยสินเชื่อในจำนวนมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การฟื้นตัว ขยายตัวของเศรษฐกิจในสาขาที่เกี่ยวข้อง และในภาพรวม.

         แต่ความเป็นจริงแล้ว, “เครดิต” และ “สถาบันการเงิน” มีฐานะเป็นเพียงปัจจัยเสริมการดำเนินธุรกิจ และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจง ธุรกิจจะดำเนินไปได้ด้วยดีหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ (และของโลกในบางกรณี) ในขณะที่การอำนวยเครดิตของสถาบันการเงินจักกระทำได้มากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับภาวะของธุรกิจ.

         ดังนั้น ความเอาใจใส่ของทางการในเบื้องแรกจึงต้องอยู่ที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ, ซึ่งหากมีปัญหา ก็ต้องมุ่งแก้กันตรงนั้นเป็นสำคัญ. มิใช่คอยประคับประคองแต่สถาบันการเงินหรือแก้ปัญหาของสถาบันการเงินในฐานะเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ.

         ๑๐. ข้อสังเกตประการสุดท้ายในที่นี้ก็คือ มีความเชื่อกันโดยทั่วไปว่าระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเท่านั้นที่จะสามารถแก้ปัญหาความยากไร้ในพื้นที่ชนบทของประเทศไทยได้ โดยให้ผลกำไรเป็นเครื่องจูงใจให้ชาวชนบทมีความขยันขันแข็ง และทำการผลิตพืชผลที่ตลาดมีความต้องการและมีราคาดี โดยหน่วยราชการและธุรกิจนายทุนเป็นผู้ให้ข้อมูลในด้านการตลาด, ให้ความสนับสนุนในด้านเทคโนโลยีการผลิต, แม้กระทั่งรับซื้อพืชผลในราคายุติธรรม.

         เพื่อให้ระบบทุนนิยมได้ทำงานอย่างมีประสิทธิผล, ทางการได้ทุ่มเทงบประมาณให้การช่วยเหลือพื้นที่ชนบทให้หลุดพ้นจากความยากจนต่อเนื่องกันมาหลายปี เป็นจำนวนเงินนับเป็นแสนล้านบาท ทั้งในโครงการแหล่งน้ำ, มาตรการส่งเสริมการเกษตรหลายรูปแบบ, และมาตรการพัฒนาชนบท ทั้งที่เป็นโครงการเร่งรัดและโครงการที่มุ่งไปสู่การพัฒนาชุมชน. นอกจากนั้น สถาบันการเงินต่างๆ ก็ยังไปเปิดสาขาเพื่ออำนวย “เครดิต” ในทุกพื้นที่, โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ซึ่งรับภาระการอำนวยสินเชื่อในแก่เกษตรกรเป็นจำนวนนับหมื่นล้านบาท.

         กระนั้นราษฎรในพื้นที่ชนบทก็ยังอยู่ในความยากจนและความยากไร้อย่างเดิม, และในบางกรณีก็เป็น “ความยากจนดักดาน” ที่ยังปรากฏให้เห็นในหลายพื้นที่ของชนบทไทย.

         แม้นในบางพื้นที่ ความยากไร้จะได้ลดความรุนแรงลงไปบ้างจากโครงการและมาตรการต่างๆ ที่กล่าวข้างต้น, หากก็ยังยากที่จะกล่าวว่า พื้นที่เหล่านั้นได้หลุดพ้นจากความยากไร้อย่าถาวร.

         ความล้มเหลวของระบบทุนนิยมในการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบทเนื่องมาจาก “ความอ่อนแอ” ของปัจเจกบุคคลในพื้นที่ดังกล่าว, ซึ่งเป็น “ความอ่อนแอ” ในทุกๆด้านอันเนื่องมาจากการที่ต้องอยู่ในสภาพการเสียสมดุลทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องเรื้อรังมาเป็นเวลาช้านาน,ในขณะที่ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมต้องการปัจเจกบุคคลที่ “เข้มแข็ง”.

         ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทบทวนความเชื่อที่ว่า ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเท่านั้นที่จะสามารถแก้ไขปัญหาความยากไร้ในพื้นที่ขนบทของประเทศไทย และหันมาพิจารณาระบบเศรษฐกิจสหกรณ์แบบสังคมนิยมแทน, ซึ่งหมายถึงการรวมตัวของราษฎรที่ปราศจากทุนทรัพย์ คือคนยากจน โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะฟื้นฟูสมดุลทางเศรษฐกิจร่วมกันของราษฎรที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน. สมาชิกของสหกรณ์ดังกล่าวจะร่วมกันวางแผนการผลิตและการตลาด, ร่วมกันผลิต, ร่วมกันจำหน่าย, และร่วกันดูแลชีวิตเศรษฐกิจและสังคมให้สามารถดำรงและดำเนินชีวิตร่วมกันอย่างมีความสงบสุข.

         ระบบเศรษฐกิจสหกรณ์สังคมนิยมน่าจะเป็นทางเลือกในการแก้ไขปัญหาความยากไร้ในพื้นที่ชนบท.

 

 

 

 

“ความปรารถนาของชาติ”

และ “ศักยภาพทางเศรษฐกิจ”

ในบริบทของประเทศไทย

        

       ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า “ความปรารถนาของชาติ” คือ “โจทย์” สำหรับการพิจารณาปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ, ไม่ว่าจะเป็นวัตถุประสงค์, เป้าหมาย, นโยบาย, หรือมาตรการ. ถาหากการพิจารณาดังกล่าวมิได้คำนึงถึง “ความปรารถนาของชาติ”, การกำหนดวัตถุประสงค์, เป้าหมาย, นโยบายและมาตรการที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชาติ ก็ย่อมจะมีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป.

         ไทยเราเป็นชาติเก่าแก่ซึ่งมีเกียรติศักดิ์อันน่าภูมิใจมาตลอดเวลาหลายศตวรรษ ซึ่งเฉพาะผู้ที่มีจติสำนึกในประวัติศาสตร์และผู้ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทยเท่านั้นจึงจะรับรู้ในความปรารถนาของชาติที่สืบทอดกันมาหลายชั่วคน.

         ประวัติศาสตร์ไทยชี้ให้เห็นโดยชัดเจนว่าชาติไทยมีความรักในอิสรภาพและเสรีภาพ และมีความหวงแหนในเอกราชและอธิปไตยเป็นอย่างยิ่งเมื่อใดที่ประเทศชาติถูกคุกคาม, ม่ว่าจะเป็นในทางการทหาร, การเมือง, การเศรษฐกิจ, หรือการสังคม, บรรพบุรุษไทยเราได้รวมพลังใจ, พลังกาย, และพลังความคิด อีกทั้งได้ยอมสละชีวิตเลือดเนื้อเพื่อป้องกันเอกราชและอธิปไตยเอาไว้จนที่สุด. แม้นในบางโอกาสที่ความอ่อนแอในการบริหารประเทศ หรือพลังอำนาจจากภายนอกที่เหนือกว่ายังผลให้ชาติไทยได้รับการคุกคามย่ำยี, หากจิตสำนึกในอิสรภาพ, เสรีภาพ, เอกราชและอธิปไตย ก็ได้เป็นปัจจัยที่สำคัญในการกอบกู้และฟื้นฟูสิ่งที่สูญเสียไปให้กลับคืนมา.

         ดังนั้น ความปรารถนาของชาติไทยประการแรกที่สุดก็คือ ความมั่นคง, เอกราชและอธิปไตยของชาติ โดยปราศจากเงื่อนไข.

         คำศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๓ คำข้างต้นนี้มีความสัมพันธ์กัน, ความมั่นคงเป็นที่ตั้งของเอกราช, และเอกราชก็เป็นที่ตั้งของอธิปไตย.

         บรรพบุรุษของไทยเราได้เห็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันระหว่างสถานภาพอันสำคัญทั้ง ๓ ประการนี้อย่างชัดเจน และก็ด้วยเหตุนี้ไทยจึงสามารถรักษาความเป็นไทเอาไว้ได้ตลอดมา. ในยุคที่ความมั่นคง, เอกราชและอธิปไตยถูกคุกคามทางการทหาร, วีรชนคนไทยก็ได้สละชีวิตเลือดเนื้อป้องกันชาติเอาไว้มิให้ตกเป็นขี้ข้าของต่างชาติ. ต่อมาเมื่อเป้าหมายของการคุกคามปรากฏในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ, บรรพบุรุษของไทยเราก็ได้ใช้พลังสติปัญญาและความสุขุมคัมภีรภาพในการรักษาบ้านเมืองเอาไว้.

         แม้ในปัจจุบัน ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีกติกาที่ชัดเจนขึ้น, การคุกคามความมั่นคง. เอกราชและอธิปไตยจากภายนอกก็ยังมิได้หมดสิ้นไป, หากจะปรากฏในรูปลักษณะใหม่ที่มีการเคลื่อนไหวของ “ทุน” เข้ามาในรูปของการลงทุนบ้าง, เงินกู้บ้าง, และความช่วยเหลือบ้าง, ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่ง ไทยก็จะพบตัวเองเป็นอาณานิคมของต่างชาติ ซึ่งอาจจะมิใช่ชาติเดียว แต่เป็นหลายๆชาติที่เข้ามาครอบงำประเทศไทยในแทบทุกด้าน.

         เมื่อประมาณ ๘๐ ปีมาแล้ว เอกอัครมหาบุรุษแห่งประชาชาติไทยท่านหนึ่งได้เคยเปิดใจกับเพื่อนร่วมชาติว่า  “ข้าพเจ้าเป็นคนไทยพูดกับเพื่อนชาวไทยในเรื่องซึ่งเนื่องด้วยประโยชน์สำคัญยิ่งของเมืองไทย อันเป็นปัจจัยแห่งความทรงอยู่แห่งประเทศไทย”

         ในพระราชนิพนธ์เรื่อง “เมืองไทยจงตื่นเถิด”, ท่าน “อัศวพาหุ” หรือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รับสั่งว่า “ชาติใดๆก็ดี ถ้าเป็นอยู่ไม่ได้ด้วยตนเองแล้ว ก็ไม่สมควรมีชื่อว่าเป็นชาติ”.

         “แน่ทีเดีย บ้านเมืองทุกประเทศย่อมต้องอาศัยต่างประเทศไม่มากก็น้อย ซึ่งเป็นการสมควรแล้ว ถ้ามิฉะนั้นการค้าขายก็ไม่ต้องมีต้องทำกันเลย. แต่การพึ่งพาอาศัยนี้ ย่อมมีเขตขีดขั้น ซึ่งเมื่อพ้นขีดไปแล้ว อาจจะเป็นผลร้ายได้”.ร

         ท่าน “อัศวพาหุ” ทรงมีความมั่นพระราชหฤทัยว่าไทยเรามีศักยภาพทางเศรษฐกิจพอสมควรแก่อัตภาพ.

         “เมืองไทยก็นับว่ายังเป็นประเทศที่เลี้ยงตัวเองได้อยู่, แต่ถ้าเราขืนยอมให้ตัวเราต้องอาศัยความอุดหนุนจากต่างประเทศอยู่เรื่อยไปแล้ว ผลอันดีซึ่งเรายังไม่ได้รับอยู่ในเวลานี้ ก็จะต้องเสื่อมถอยน้อยลงไปทุกวัน เพราฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่แห่งเราทุกๆคนซึ่งเป็นชาติไทยโดยแท้ ที่จะกระตือรือร้นและพยายามที่จะตัดความเอนไปในทางพึ่งพาอาศัยชาวต่างประเทศ อันเป็นทางที่น่ากลัวอันตราย”.

         จากนั้นก็ได้ทรงปลุกชาติไทยให้ตื่นโดยทรงเน้นว่า “เราจะต้องจำไว้ว่า ชาวประเทศนั้นอาจจะเต็มใจอยู่ด้วยกับเรา กินข้าวกินน้ำกับเรา ค้าขายกับเราและเป็นสหายกับเราได้, แต่เราจะหวังว่าเขาจะตานด้วยเรานั้นไม่ได้. ประเทศสยามต้องหวังหากำลังจากชาวไทย อาวุธไทยต้องรักษาแดนไทย และชาติไทยที่จะหวังมั่นคงอยู่ต่อไปได้ ก็ต้องอาศัยกำลังและความรู้สึกรักชาติอันแท้จริงแห่งบุคคลซึ่งเป็นไทยดยเฉพาะ ถึงแม้ว่าเราอาจจะได้รับความช่วยเหลือจากต่างประเทศในการบำรุงความสมบูรณ์แห่งประเทศเราก็ดี เมื่อถึงเวลายุคเข็ญเข้าแล้วเราจะไปนั่งอาศัยความอุดหนุนแห่งเขานั้น ย่อมจะเป็นความคิดผิดอย่างร้ายแรง ซึ่งอาจนำมาซึ่งภยันตรายอันจะชักไปสู่ความพินาศได้”.

         พระราชนิพนธ์ในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ที่ได้อัญเชิญมาข้างต้นนี้ เป็นตัวแทนของความรู้สึกนึกคิดของบรรพบุรุษไทยในเรื่องของเอกราชและอธิปไตย ที่พอจะรับได้ว่าเป็น “ความปรารถนาของชาติ” ซึ่งผู้รับผิดชอบในการวางแผน, กำหนดนโยบาย และบริหารเศรษฐกิจ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตพึงจะต้องสังวรไว้จงหนัก โดยละเว้นการกระทำใดๆอันเป็นการละเมิดหรือขัดแย้งกับความปรารถนาของชาติดังกล่าว.

         อย่างน้อยที่สุด เสียงกระซิบจากอดีตก็เป็นสิ่งเตือนใจมิให้เกิดความประมาทในการกระทำที่จะมีผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเอกราชและอธิปไตยของชาติ ทั้งในปัจจุบันและที่อาจะเป็นผลตามมาในอนาคต.

        

         ประวัติศาสตร์ไทยอีกที่บอกให้รู้ว่าชนชาติไทยไม่เพียงแต่มีความรักและหวงแหนในอิสรภาพเท่านั้น, หากยังยึดถือความเป็นธรรมและความยุติธรรมเป็นสรณะอีกด้วย

         ชนชาติไทยรักความสงบและสันติสุขบนพื้นฐานของการไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน และชิงชังพฤติกรรมใดๆที่บ่งแสดงความไม่เป็นธรรมและความอยุติธรรมตลอดมาทุกยุคทุกสมัย.  เมื่อใดก็ตามที่หลักยุติธรรมและธณรมานุภาพได้รับการคุกคามทั้งจากภายในและภายนอก, คนไทยเราสิ้นความอดกลั้นและความอดทน และจะพึงกระทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อแก้ไขสถานการณ์โดยไม่เสียดายชีวิต. ความเป็นไทในบริบทของสังคมไทยหมายความรวมถึงความเป็นธรรมและความอยุติธรรมไปด้วยพร้อมกัน

         ดังนั้น ความปรารถนาของชาติไทยที่สำคัญประการหนึ่งก็คือ ความเป็นธรรมและความยุติธรรมในสังคม.

         เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมหาราช เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ทรงมีพระราชกระแสเป็นปฐมบรมราโชบายพระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทยว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม”. พระราชกรแสดังกล่าวเป็นเครื่องยืนยันว่า “ความเป็นธรรม” คือความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของสังคมไทย และเป็นสัญญาประชาคมที่ผูกพันการบริหารชาติบ้านเมืองอย่างแน่นแฟ้น.

 

         ต่อมาเมื่อปี ๒๕๑๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่บรรดาผู้สำเร็จการอบรมของเนติบัณฑิตยสภา ซึ่งทรงชี้แนะสาระสำคัญหลายประการต่อผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม ดังจะขอเชิญมา ณ ที่นี้.

 

         “ข้าพเจ้าถือโอกาสอันพิเศษนี้แสดงความคิดเห็นฝากไว้แก่ท่านทั้งหลาย ซึ่งส่วนใหญ่จะได้มีตำแหน่งและหน้าที่ที่ต้องใช้กฎหมาย เพื่อธำรงความยุติธรรมในบ้านเมืองว่า กฎหมายทั้งปวงนั้น เราบัญญัติขึ้นเพื่อใช้เป็นปัจจัยสำหรับรักษาความยุติธรรม กล่าวโดยสรุปคือใช้เป็นแบบแผนแห่งความประพฤติปฏิบัติของมหาชนสถานหนึ่ง กับใช้เป็นแม่บทในการพิจารณาตัดสินความประพฤติปฏิบัตินั้นๆ  เห็นเป็นไปโดยถูกต้องเที่ยงตรงอีกสถานหนึ่ง

         โดยที่กฎหมายเป็นแต่เครื่องมือในการรักษาความยุติธรรมดังกล่าว จึงไม่ควรจะถือว่ามีความสำคัญยิ่งไปกว่าความยุติธรรม หากควรจะต้องถือว่าความยุติธรรมมาก่อนกฎหมายและอยู่เหนือกฎหมาย การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีใดๆโดยคำนึงถึงแต่ความถูกผิดตามกฎหมายเท่านั้น ดูจะไม่เป็นการพียงพอ จำต้องคำนึงถึงความยุติธรรมซึ่งเป็นจุดประสงค์ด้วยเสมอ การใช้กฎหมายจึงจะมีความหมายและได้ผลที่ควรจะได้

         จึงใคร่ขอให้ทุกท่านเตรียมกายเตรียมใจพร้อมทั้งสติและปัญญาไว้ให้มั่นคงเพื่อปฏิบัติงานอันสำคัญของแผ่นดิน ร่วมกันปกปักรักษาปวงชนให้ได้รับความเที่ยงธรรม และอยู่ได้โดยปกติสุข ระมัดระวังป้องกันอย่าให้ช่องโหว่ของกฎหมายกลายเป็นเครื่องมือที่จะนำมาใช้เพื่อเบียดเบียนกันและกัน ขอทุกท่านจหมั่นตรวจตราสอดส่องในการบริหารงานด้านกฎหมายให้มีผลใช้บังคับตรงตามสภาพชีวิตที่แท้จริงของพลเมืองและประเทศชาติอย่างแท้จริง”

         พระบรมราโชวาทฯดังที่ได้อัญเชิญมาข้างต้นนี้ชี้ชัดว่าสังคมไทยถือเอาความเป็นธรรมและความยุติธรรมในสังคมเป็นความปรารถนาของชาติ ซึ่ง “มาก่อนกฎหมาย และอยู่เหนือกฎหมาย”.

         ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์เมื่ององค์พระมหากษัตริย์ทรงไว้ ซึ่งพระราชอำนาจอันสมบูรณ์ ภารกิจในการรักษาความเป็นธรรมและความยุติธรรมเป็นความรับผิดชอบขององค์พระมหากษัตริย์แต่เพียงพระองค์เดียว และพระบรมเดชานุภาพก็สืบเนื่องมาจากทสพะราชธรรมยิ่งกว่าปัจจัยอื่นใด. การที่พระมหากษัตราธิราชเจ้าทุกพระองค์,ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของชาติไทย, ได้ทรงยึดมั่นในทศพิธราชธรรม เป็นเหตุผลสำคัญที่ประเทศไทยสามารธำรงไว้ซึ่งระบอบการปกครองแบบราชาธิป-ไตยตราบจนกระทั่งในปัจจุบัน. แม้นว่าสังคมไทยจะได้เปลี่ยนไปอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองที่จำกัดการใช้พระราชอำนาจ แต่ก็ยังเป็นการปกครองระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญที่กำหนดการใช้พระราชอำนาจโดนผ่านทางรัฐสภา, คณะรัฐมนตรี, และศาลยุติธรรม, นอกจากนั้น พระบารมีในองค์พระมหากษัตริย์ก็ยังแผ่ความเป็นธรรมและความยุติธรรม ปกป้องคุ้มครองอาณาประชาราษฎร์.

         ภายใต้ความปรวนแปรและความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมในระยะเวลาที่ผ่านมา ได้ทำให้การรักษาความเป็นธรรมและความยุติธรรมในสังคมกระทำได้ยากลำบากยิ่งขึ้น. ผลประโยชน์ส่วนบุคคลและหมู่คณะได้เข้ามามีอิทธิพลในสังคมไทยอย่างกว้างขวางและล้ำลึก, อีกทั้งมีแนวโน้มว่าผลประโยชน์ดังกล่าวกำลังจะมีความสำคัญเหนือผลประโยชน์ส่วนรวม และเหนือความเป็นธณรมและความยุติธณรมในสังคมไทย. กลุ่มบุคคลซึ่งมีโอกาสดีกว่า มีพลังทางเศรษฐกิจมากกว่าและมีขีดความสามารถทางเทคโนโลยีสูงกว่า ได้ใช้ข้อได้เปรียบดังกล่าวแสวงประโยชน์ทางเศรษฐกิจและยึดอำนาจรัฐตามวิถีทางการเมือง.

         การครอบงำเศรษฐกิจและการเมืองได้นำไปสู่การกำหนดนโยบายและมาตรการที่สนองประโยชน์ของชนชั้นที่มีความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ, การเงิน, ละเทคโนโลยี, ในขณะที่ราษฎรส่วนใหญ่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างและจำเป็นต้องดำเนินชีวิตโดยพึ่งพากลุ่มบุคคลผู้ครองอำนาจ ทั้งในด้านการผลิตและในด้านการตลาด.

         ชาวชนบทนับแสนคนต้องละทิ้งภูมิลำเนสไปแสวงหางานทำในเมืองหลวงและที่อื่นๆ ตลอดจนในดินแดนโพ้นทะเล, ซึ่งจำนวนมิใช่น้อยที่ประกอบอาชีพที่เสี่ยงอันตราย และแม้กระทั่งอาชีพที่ลศีลธรรมและขนบธรรมเนียมระเพณี, รวมทั้ง “แรงงานเด็ก”. สำหรับผู้ที่ยังตกค้างอยู่ในพื้นที่ชนบทที่เป็นภูมิลำเนาเดิม ก็ตกอยู่ในสภาพของการเสียสมดุลทางเศรษฐกิจในลักษณะโครงสร้าง, คือไม่สามารถจะสร้าง “มูลค่าเพิ่ม” จากการผลิตได้จำนวนเพียงพอกับความต้องการ. ทำให้ต้องตกเป็นหนี้เป็นสินและต้องสูญเสียที่ดินอันเป็นกรรมสิทธิ์ที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ.

         ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้ใช้แรงงานที่เป็นลูกจ้างอยู่ในเขตเมืองก็อยู่ในฐานะเสียเปรียบผู้เป็นนายจ้าง เพราะอำนาจในการต่อรองเกี่ยวกับสภาพการจ้างของผู้ใช้แรงงานมีอยู่จำกัด แม้จะมีนักกฎหมายแรงงานให้ความคุ้มครองอยู่ก็ตาม.

         ภายใต้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจสังคมดังกล่าวนี้ จึงมีความจำเป็นที่การสร้างความเป็นธรรมและความยุติธรรมในสังคมจะต้องได้รับการพิจารณาตอบสนองอย่างจริงจัง หรืออย่างน้อยที่สุดจะต้องไม่กระทำสิ่งใดใหคามปารถนาของชาติในเรื่องนี้สิ้นหวัง.

         ในประการสุดท้าย คนไทยมีความปรารถนาที่จะ “อยู่ดีกินดี” ซึ่งรวมถึงสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินด้วย, อันเป็นความปรารถนาของชาติที่ปรากฏต่อเนื่องมาในประวัติศาสตร์.

         ความ “กินดีอยู่ดี” ในบริบทของสังคมไทยมิได้หมายถึงความร่ำรวย, ไม่ว่าจะเป็นความร่ำรวยในภาพรวมหรือความร่ำรวยของบุคคลบางกลุ่ม. ความ “อยู่ดีกินดี” เป็นมาตรฐานการดำเนินชีวิตเศรษฐกิจของสมาชิกสังคมในลักษณะที่ทั่วถึงและเพียงพอ โดยให้เกิดความสมดุลระหว่างขีดความสามารถในการสร้าง “มูลค่าเพิ่ม” จากการผลิต และความต้องการใช้จ่ายเพื่อการดำรงและดำเนินชีวิตและไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นความสมดุลในระดับที่สูงนัก.

         ประเทศไทยในปัจจุบันมีประชากรกว่า ๖๐ ล้านคน ซึ่งเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชาวไร่ ชาวนา, ผู้ใช้แรงงาน, ผู้ประกอบธุรกิจรายย่อย, ข้าราชการและพนักงานชั้นผู้น้อย, มีขีดความสามารถในการผลิตค่อนข้างน้อย ซึ่งการนี้ทำให้ไม่สามารถจะสร้าง “มูลค่าเพิ่ม” จากการผลิตได้เพียงพอกับความต้องการ. การเสียสมดุลทางเศรษฐกิจเป็นความทุกข์อันใหญ่หลวงของราษฎร.

         สำหรับการฟืนฟูสมดุลที่เสียไปดังกล่าวนี้สามารถกระทำได้โดยการเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตทางหนึ่ง, และโดยการ “จำกัด” ความต้องการให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม ซึ่งนั่นคือการรูจักประมาณตน เป็นอีกทางหนึ่ง. ถ้าแม้นกระทำได้สำเร็จทั้ง ๒ ทางในเวลาเดียวกัน, ก็จะบรรลุถึงความสมดุลในชีวิตเศรษฐกิจโดยทันที.

         อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต หรือการสร้าง “มูลค่าเพิ่ม” ให้ได้มากขึ้นนั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่มมือกันในระหว่างบุคคลในพื้นที่เดียวกันในรูปของ “สหกรณ์อเนกประสงค์” ซึ่งเป็นรูปแบบขององค์กรที่จะใช้เทคโนโลยีการผลิตได้อย่างมีประสิทธิผล.

         อีกทั้งอาจมีความจำเป็นจะต้องใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสหกรณ์ในพื้นที่ชนบทควบคู่ไปกับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมในส่วนอื่นของประเทศด้วย.

         อย่างไรก็ตาม การสนองความปรารถนาของชาติจักกระทำได้มากน้อยเพียงใดก็อยู่ที่ “กรอบความคิด” สถานหนึ่ง และ “ศักยภาพทางเศรษฐกิจ” อีกสถานหนึ่ง.

เรื่องของ “กรอบความคิด” ได้กล่าวถึงอย่างเพียงพอข้างต้นแล้ว ดังนั้น สิ่งที่พึงจะพิจารณาต่อไปก็คือเรื่องของ ศักยภาพ”.

         ศักยภาพทางเศรษฐกิจ ของประเทศประกอบด้วยปัจจัยต่าง ที่สำคัญ ๕ ประเภทด้วยกัน คือ ทรัพยากรธรรมชาติ, ทรัพยากรมนุษย์, ขีดความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สาธารณูปการและสาธารณูปโภค และการบริการสาธารณะ.

         ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยได้ถูกพล่าใช้ไปเป็นอันมาก ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน, ป่าไม้, ทรัพยากรธรณี, แหล่งน้ำ ฯลฯ แต่ที่ยังเหลืออยู่ก็ยังพอเพียงที่จะสนองความปรารถนาของชาติ ถ้าหากมีกรอบความคิดในการใช้ประโยชน์ อีกทั้งการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ.

         กรอบความคิดในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่ถูกต้องก็เช่นการให้สัมปทานแก่ต่างชาติในการสำรวจ ขุด เจาะ น้ำมัน ซึ่งแม้จะได้ค่าตอบแทนในระยะสั้น แต่ทรัพยากรเหล่านี้ก็จะหมดไปในอนาคต. เป็นการสมควรที่จะเก็บทรัพยากรดังกล่าวเอาไว้ให้ลูกหลานไทยใช้ประโยชน์เมื่อสามารถสำรวจ ขุดเจาะได้เอง, ขณะที่ยอมเสียค่าใช้จ่ายที่ไม่แตกต่างกันมาก ซื้อน้ำมันจากที่อื่นมาใช้ในปัจจุบัน.

         ในด้านของ ทรัพยากรมนุษย์ ประเทศไทยมีเหลือเฟือทั้งในปริมาณและในคุณภาพ. การขยายการศึกษาออกไปอย่างกว้างขวางมาโดยตลอดได้ทำให้ไทยมีกำลังคนได้รับการศึกษาในทุกระดับค่อนข้างมาก ซึ่งหากจะเสริมก็คงเพียงในบางสาขาที่ยังขาดแคลน ตลอดจนให้การดูแลเรื่องสุขภาพอนามัย และความขยันหมั่นเพียร.

         สำหรับสาธารณูปการและสาธารณูปโภคนั้น ประเทศไทยก็ได้ลงทุนไว้มากเพื่อการสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า, ประปา, ทางหลวง, รถไฟ, ท่าเรือ, ท่าอากาศยาน, ระบบการสื่อสารและโ?รคมนาคม, เขื่อน, สะพาน ฯลฯ, ซึ่งด้วยการบริหารจัดการที่ดี ก็ควรจะพอเพียงสำหรับสนองความปรารถนาของชาติ.

         เช่นเดียวกัน ประเทศไทยก็มีบริการสาธารณะทุกรูปแบบค่อนข้างจะพร้อมสรรพ เช่น สถาบันการศึกษา, โรงพยาบาล, ศาลยุติธรรม, ศาลปกครอง, การประชาสงเคราะห์, การประกันสังคม, การประกันภัย, สถาบันการเงิน ฯลฯ.

         ถ้าหากจะมีข้อจำกัดในเรื่องของศักยภาพทางเศรษฐกิจก็เห็นจะเป็นขีดความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งที่มีความก้าวหน้าจริงๆ ก็ในด้านการแพทย์เท่านั้น, และที่อาจพัฒนาขึ้นมาสู่ระดับสากลได้ก็ในด้านวิชาการเกษตร. จุดอ่อนของไทยในเรื่องของเทคโนโลยีก็คือวัสดุอุปกรณ์ ซึ่งเกือบจะทำเองไม่ได้เลยเพราะขาดความสามารถในเรื่องเทคโนโลยีวัสดุ. แม้นในด้านการแพทย์ ไทยก็มีแต่ความรู้ ความสามารถและความชำนาญในการรักษาพยาบาล แต่ผลิตอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์เกือบจะไม่ได้เลย.

         ไทยเราคงจะมีโอกาสที่จะก้าวไปยืนในระดับใกล้เคียงกับบรรดาประเทศมหาอำนาจในด้านขีดความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เพราะแม้ว่าเราจะก้าวหน้าไป แต่ประเทศเหล่านั้นก็จะก้าวไปข้างหน้าเร็วกว่าเรามาก.

         อย่างไรก็ตาม, ถ้าประเทศไทยกำหนดกรอบความคิดและ “ยุทธศาสตร์” ทางเศรษฐกิจสำหรับอนาคตให้เหมาะสมแล้ว ศักยภาพทางวิทยาศษสตร์และเทคโนโลยีที่ไทยมีอยู่ในปัจจุบัน และที่จะเพิ่มขึ้นในระยะต่อๆไป ก็ควรจะสนองความปรารถนาของชาติได้โดยไม่มีปัญหา.

 

 กรอบความคิด

และยุทธศาสตร์ใหม่

สำหรับเศรษฐกิจไทยในอนาคต

 

         คำว่า “อนาคต” ในบริบทที่กำลังจะกล่าวถึงนี้คงจะไม่ใช่อนาคตอันไกลนับร้อยปี, แต่หมายถึงระยะเวลา ๒๐-๒๕ ปี ซึ่งครอบคลุมแผนพัฒนาฯ จำนวน ๔-๕ แผน นับตั้งแต่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๙ เป็นต้นไป.

 

กรอบความคิดและยุทธศาสตร์ใหม่ประกอบด้วย

 

๑. การยอมรับปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นยุทธศาสตร์ในการดำเนินเศรษฐกิจไทยในอนาคต โดยมุ่งให้สนอง “ความปรารถนาของชาติ” ทั้ง ๓ ประการ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นคือ เอกราชและอธิปไตย, ความเป็นธรรม, และการอยู่ดีกินดี โดยให้สอดคล้องกับ “ศักยภาพทางเศรษฐกิจ” ที่มีอยู่.

         ปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” หมายถึง ยุทศาสตร์การดำเนินเศรษฐกิจทั้งในระดับมหภาคและระดับจุลภาคที่เน้นการรู้จักประมาณตน โดยึดหลักการพึ่งตนเองให้มากที่สุด, ไม่ทะยานอยากเกินความพอดี,ไม่มุ่งแต่จะให้เศรษฐกิจเติบโตขยายตัวและแข่งขันเกินศักยภาพที่มีอยู่, ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเมในการบริโภค, และไม่ลงทุนที่เกินรายได้และความสามารถในการออม.

         กล่าวโดยสรุปก็คือ มุ่งหมายที่ “ความพอเพียง” ในการดำรงและดำเนินชีวิตเศรษฐกิจ, ไม่มากและไม่น้อยกว่านั้น.

         ๒. ใบริบทของเศรษฐกิจมหภาค ให้เปลี่ยนการเน้นอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เป็นการสร้างและรักษาความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ และการกระจาย “การกินดีอยู่ดี” ตามควรแก่อัตภาพไปสู่ราษฎรโดยทั่วถึง, ในขณะที่จำกัดการก่อหนี้ต่างประเทศทุกรูปแบบ ทั้งหนี้สาธารณะและหนี้ภาคเอกชน, อีกทั้งรับขอบเขตของการลงทุนให้สอดคล้องกับภาวการณ์ออมในประเทศ.

         แม้ว่าไม่มีนโยบายกีดกันการลงทุนจากต่างประเทศ แต่จะต้องกำหนด “เงื่อนไข” สำหรับการนั้นอย่างรัดกุมและรอบคอบ และไม่ถือว่าเป็นปัจจัยหลักสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจ หรือเป็นเครื่องวัดภาวะเศรษฐกิจของประเทศ. “เงื่อนไข” ในการอนุมัติการลงทุนจากต่างประเทศที่สำคัญก็ประกอบด้วยมาตรการป้องกันมลพิษ, การถ่ายทอดเทคโนโลยี, และสภาพการจ้างแรงงานไทย, ในขณะเดียวกันฝ่ายไทยก็จะต้องมีการเตรียมการรับถ่ายทอดเทคโนโลยี และการฝึกอบรมวิชาชีพให้แก่แรงงานไทยอย่างรัดกุมเช่นเดียวกัน.

         ในขณะเดียวกันจะต้องให้ความเอาใจใส่ดูแลการเงินการคลังของประเทศให้มีเสถียรภาพภายใต้นโยบายงบประมาณ สมดุล และนโยบายเงินตราที่ควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ.

         สำหรับการจ้างงานนั้น จะพึงใช้นโยบายและมาตรการที่ให้บังเกิดผลโดยตรงในแต่ละสาขาเศรษฐกิจ แทนที่จะอาศัยนโยบายและมาตรการทางการเงินการคลังเป็นหลัก เพราะจะได้ผลเร็วกว่าและแน่นอนกว่า. ภาวการณ์จ้างงานเป็นปัจจัยหลักสำหรับการ “อยู่ดีกินดี” ของราษฎรที่จำเป็นต้องได้รับความเอาใจใส่เป็นพิเศษ นอกเหนือจากเป็นปัจจัยที่กำหนดการผลิตสินค้าและบริการ ตลอดจนภาวะการตลาดของสินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นเหล่านั้น.

๓. ปรัชญาและนโยบายการค้าระหว่างประเทศจะต้องได้รับการทบทวนใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ “การค้าเสรี” ที่ประเทศไทยได้ยอมรับโดยปราศจากเงื่อนไข อีกทั้งเห็นดีเห็นชอบไปกับประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ, การค้าและการเงิน ที่สามารถใช้ “การค้าเสรี” ยึดครองเศรษฐกิจไทยได้โดยอัตโนมัติ.

ในเบื้องแรกนั้น ไทยจะต้องไม่ให้ความสำคัญต่อสินค้าส่งออกที่เป็นสินค้าต่างชาติที่ผลิตในประเทศไทยจนเกินไป, อีกทั้งจะต้องไม่ส่งออกผลิตผลการเกษตรก่อนแปรรูป.

การส่งออกควรเน้นเฉพาะสินค้าไทย (คือสินค้าไทยผลิต มิใช่ผลิตในประเทศไทย) ที่มีคุณภาพ, มีมูลค่าเพิ่มสูง, และสามารถจำหน่ายได้ในราคาแพงในตลาดต่างประเทศ ซึ่งเรามีอำนาจในการ “ผูกขาด” ในแง่ที่ว่าเป็นสินค้าที่ไม่หมือนของใคร และไม่มีของใครเหมือน.

สำหรับสินค้าพื้นๆ เพื่อการอุโภคบริโภคทั่วไป ให้มุ่งจำหน่ายภายในประเทศให้ทั่วถึงในราคาถูก. ความจริงตลาดภายในประเทศของไทยเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่มาก มีผู้บริโภคกว่า ๖๐ ล้านคน, ซึ่งหากจัดการเศรษฐกิจให้เกิดความเป็นธรรมและมีการ “อยู่ดีกินดี” อย่างทั่วถึง, ตลาดภายในระเทศของไทยเราก็มีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะรับสินค้าและบริการที่ผลิตในประเทศไทยได้อย่างสบาย.

การยอมรับปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” จะทำใหคนไทยใช้ของไทยและไม่ซื้อหาสินค้าต่างประเทศเกินความจำเป็น. การรณรงค์ให้ใช้ของไทยโดยปราศจากจิตสำนึกเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” จะไม่เกิดผลแต่ประการใด. ยิ่งกว่านั้นก็ยังไม่มีการแยกกันระหว่างสินค้าไทยกับสินค้าต่างชาติที่ผลิตในประเทศไทย ซึ่งทำให้มีความสับสนกันโดยทั่วไป.

๔. ระบบภาษีอากรก็จะต้องได้รับการทบทวนเช่นเดียวกัน ด้วยระบบภาษีอากรที่ใช้อยู่ในปัจจุบันไม่สอดคล่องกับปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง”

หลัการองภาษีอากรจะต้องอยู่ที่การสนับสนุนให้มีการผลิตสินค้าและบริการซึ่งในบริบทของ “เศรษฐกิจพอเพียง” ส่วนหนึ่งจะเป็นการผลิตเพื่อการบริโภคเอง.

แม้ในกรณีที่เป็นการผลิตเพื่อสนองความต้องการของตลาดเป็นหลัก ก็ต้องถือว่าเป็นการบำเพ็ญกรณียกิจเพื่อส่วนรวม.

ดังนั้นไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะบังคับให้ผู้ผลิตสินค้าและบริการต้องเสียภาษีเงินได้เพียงเพราะว่าเป็นบุคคลที่มีรายได้.

ภาษีเงินได้นั้นควรจะจัดเก็บแก่ผู้มีรายได้อันมิได้เนื่องจากการผลิต เช่นรายไดจากค่าเช่า, ดอกเบี้ย, กองมรดก หรือทรัพย์สินต่างๆ, รวมทั้งผลกำไรจากธุรกิจหรือการซื้อขายหุ้นง

ภาษีจะจัดเก็บอย่างเป็นล่ำเป็นสันได้แก่ภาษีการบริโภค, ภาษีทรัพย์สิน, และภาษีมรดก. การบริโภคหมายถึงการเอาของส่วนรวมมาบริโภค, ทรัพย์สินคือการสะสมเป็นของส่วนตัว, ขณะที่มรดกคือการผ่านทรัพย์สินที่สะสมไว้เป็นของส่วนตัวไปยังทายาท.

สำหรับภาษีการบริโภคให้จัดเก็บในอัตราที่ลดหลั่นกันไปตามประเภทของสินค้าและบริการ เช่น สินค้าที่ราษฎรสามัญใช้กันทั่วไปก็จัดเก็บในอตราต่ำ.

หลักการใหม่ของระบบภาษีอากรดังกล่าวนี้จะช่วยให้บรรลุถึงความเป็นธณรมในสังคมมากขึ้น.

สำหรับอากรขาเข้า-ขาออกก็ยังคงใช้เป็นมาตรการแห่งนโยบายหรือเป็นรายได้ของรัฐต่อไปตามความเหมาะสม.

๕. กำหนด “นโยบายวิทยาศาสตร์แห่งชาติ” ให้มีความชัดเจน พร้อมด้วยแผนปฏิบัติการต่างๆ ที่มีกำหนดเวลาและเป้าหมาย วัตถุประสงค์ของนโยบายดังกล่าวก็คือการพัฒนาขีดความสามารถและการพึ่งตนเองทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เป็นรูปธรรม.

ความจำเป็นที่จะต้องมี “นโยบายวิทยาศาสตร์” ก็เพราะขีดความสามารถและการพึ่งพาตนเองของประเทศไทยในด้านนี้ยังจำกัดมาก ทำให้ไม่อาจที่จะผลิตสินค้าส่วนใหญ่แข่งขันในตลาดลกได้, อีกทั้งยังต้องนำสินค้าส่วนใหญ่ที่มีราคาสูงเพื่อแลกกับสินค้าราคาถูกที่ไทยผลิตได้ในประเทศ. การด้อยศักยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างเห็นได้ชัด.

นยายวิทยาศาสตร์ฯ จะชี้ให้เห็นว่าไทยควรจะใหความสำคัญและความเอาใจใส่ในเรื่องอะไรบ้างเป็นพิเศษ, อีกทั้งจะใช้ศักยภาพที่มีอยู่อย่างไรจึงจะสนอง “ความปรารถนาของชาติ” ที่สำคัญ ๓ ประการ คือเอกราชและอธิปไตย, ความเป็นธรรมในสังคม,และการอยู่ดีกินดีของราษฎรโดยทั่วไป.

โดยปราศจากข้อสงสัย นโยบายวิทยาศาสตร์แห่งชาติควรจะเน้นความสำคัญของการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นผลจากการนั้นไปสู่การปรพกอบเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบท ทั้งนี้เพื่อการฟื้นฟูสมดุลทางเศรษฐกิจในพื้นที่ดังกล่าว.

ในขณะเดียวกัน นโยบายวิทยาศาสตร์ฯ ก็จะต้องสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในด้านการแพทย์และการสาธารณสุขให้ประเทศไทยสามารถพึ่งตนเองได้มากที่สุดในด้านยารักษาโรคและเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์และการสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์และโรคอื่นๆ ที่คนไทยป่วยเป็นจำนวนมาก รวมทั้งการบริบาลทารกและเด็ก.

สำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมซึ่งจำเป็นในการผลิตสินค้าต่างๆนั้น การวิจัยและพัฒนาก็พึงต้องเน้นไปที่ “เทคโนโลยีวัสดุ” เป็นสำคัญ เพราะเป็นจุดอ่อนของฐานรากของอุตสาหกรรมไทย.

ในขณะที่ประเทศไทยก็จะต้องติดตามความก้าวหน้าในเทคโนโลยีขั้นสูงอื่นๆ ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในโ,กปัจจุบัน ประเภทเทคโนโลยีสารสนเทศ, พันธุวิศวกรม, และเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นต้น.

และสิ่งที่ละเลยมิได้เป็นอันขาดก็คือการปลูกฝัง “จิตสำนึกทางวิทยาศาสตร์” แก่สาธารณชน เพื่อให้ตระหนักว่าวิทยาศาสตร์คือปัจจัยหลักในการสนองความต้องการต่างๆทุกระดับ อีกทั้งเพื่อสกัดกั้นการมอมเมาราษฎรในสิ่งงมงายต่างๆด้วย.

๖. พิจารณษนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในชนบทในกรอบความคิดใหม่ ซึ่งนอกจากจะยึดปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว ยังจะต้องทบทวน “องค์กร” ในการดำเนินเศรษฐกิจในพื้นที่ดังกล่าวด้วย.

ในขณะที่ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมขาดความเหมาะสมที่จะเป็นระบบเศรษฐกิจหลักในพื้นที่ชนบทของประเทศไทย ด้วยเหตุผลสำคัญหลายประการ เช่น ราษฎรขาดความพร้อมในด้านเงินทุน, เทคโนโลยี และการตลาด, ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจและสังคมอันจะนำไปสู่การขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง “นายทุน” กับคนยากจนและคนยากไรในชนบท ฯลฯ, ระบบเศรษฐกิจสหกรณ์น่าจะได้รับการศึกษาและพิจารณาอย่างจริงจังสำหรับการแก้ไขปัญหาการเสียสมดุลทางเศรษฐกิจในพื้นที่ดังกล่าว.

ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ทางการมีนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในชนบท ๒ ประการหลัก คือประการแรก ทุ่มเทความช่วยเหลือลงไปในพื้นที่ด้วยงบประมาณจำนวนมหาศาล และประการที่สอง จัดให้มีการร่วมมือประสานกันระหว่าง “นายทุน” กับราษฎร โดยรัฐทำหน้าที่เป็น “คนกลาง”.

ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องของข้าวก็มี “ชาวนา” กับ “โนรงสี” โดยองค์การตลาดฯ ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานของรัฐช่วยดูแล, หรือในเรื่องของอ้อยกับน้ำตาลก็มี “ชาวไร่อ้อย” กับ “โรงงานน้ำตาล” โดยมีคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลของรัฐบาลดูแล, หรือในกรณีพืชอื่นๆ เช่น มันสำปะหลัง, ยางพารา,สับปะรด ฯลฯ ก็มีแบบแผนของการประสานผลประโยชน์ในทำนองเดียวกัน.

ปรากฏว่าทุกปี และปีละหลายๆคราว จะมีชาวไร่ชาวนาเดินทางมาร้องทุกข์โดยตรงต่อรัฐบาล เรียกร้องให้ช่วยเหลือในเรื่องราคาผลิตผล ตลอดจนเงื่อนไขการซื้อขายอื่นๆ, ซึ่งในที่สุด ทางการก็จะต้องหาเงินจำนวนหนึ่งช่วยเหลือไป เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า.

ปรากฏการณ์ทีกล่าวโดยสรุปข้างต้นนี้ เป็นสิ่งบอกเหตุว่าระบบเศรษฐกิจทุนนิยมในพื้นที่ชนบทนั้นไม่สนองนโยบายการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในพื้นที่ดังกล่าว และอาจจะเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาก็เป็นได้. นอกจากนั้น แทนที่เศรษฐกิจจะดำเนินไปตามกลไกของตลาดตามที่ได้คาดหมาย, กลับกลายเป็นว่ารัฐต้องเข้าไปแทรกแซงราคาและระบบการตลาดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นความยุ่งยากและล่อแหลมต่อการ “บานปลาย” ไปเป็นปัญหาทางการเมือง.

ทางออกในเรื่องนี้ก็คือให้พื้นที่ชนบทดำเนินเศรษฐกิจภายใต้ระบบเศรษฐกิจสหกรณ์ กล่าวคือ กิจกรรมเศรษฐกิจตั้งแต่การเพาะปลูก, การแปรูป, จนกระทั่งการจำหน่ายทั้งภายในประเทศและการส่งออก กระทำโดย “สหกรณ์” ทั้งหมด, โดยไม่มีการประสานกัน หรือการขัดแย้งกันระหว่าง “นายทุน” กับ “ชาวไร่ชาวนา”.

กล่าวคือ “สหกรณ์” ทำนาเอง, สีขาวเอง, จัดจำหน่ายเอง, และส่งออกเองเบ็เสร็จ ในลักษณะที่เรียกว่า “เศรษฐกิจชุมชน”.

ในการนี้ “สหกรณ์” สามารถที่จะวางแผนการผลิตและการตลาดได้อย่างสมบูรณ์ อีกทั้งได้รับประโยชน์จาก “มูลค่าเพิ่ม” ในทุกๆขั้นตอนของการประกอบเศรษฐกิจ ดยไม่ต้องแบ่งปันให้ผู้อื่น การนี้นอกจากจะไม่มีการขัดแย้งภายนอกแล้ว สมาชิกของสหกรณ์ก็ยังจะฟื้นฟูสมดุลทางเศรษฐกิจได้.

“สหกรณ์” ภายใต้ระบบเศรษฐกิจดังกล่าวนี้จะเป็น “สหกรณ์อเนกประสงค์” คือประกอบการครบถ้วนตั้งแต่การผลิต, การตลาด และการดูแลสวัสดิการและความเป็นอยู่ของสมาชิก. การรวมตัวแบบ “สหกรณ์” ดังกล่าวนี้จะทำใหสามารถรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ในการประกอบเศรษฐกิจทุกรูปแบบ.

ที่สำคัญก็คือจะมี “ธนาคาร” หรือสถาบันการเงินซึ่งเป็นของ “สหกรณ์” เอง มิใช่สถาบันการเงิน “นายทุน” ที่ทำธุรกิจเพื่อแสวงประโยชน์จากราษฎร.

ภายใต้ระบบเศรษฐกิจดังกล่าวนี้ รัฐบาลก็จะมีความลำบากน้อยลงในการแก้ปัญหา, เพียงแต่สนับสนุนในด้านสาธารณูปโภคสาธารณูปการ, บริการสาธารณะ, และงานวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.

ประเทศไทยต้องการกรอบความคิดใหม่และ “ยุทธศาสตร์” ใหม่ในการดำเนินการเศรษฐกิจของชาติในอนาคต.

 

 

เชิงอรรถ

 

๑.    คำว่า ความราถนาของชาติ” ที่ใช้ในบทความนี้อาจตรงกับความหมายในภาษาอังกฤษว่า “national aspiration” ซึ่งมีความหมายใกล้เคียง แต่คงจะไม่ตรงกับคำว่า ความหวัง” ทีเดียว.  “ความปรารถนาของชาติ” คือสิ่งที่ชาติประสงค์ที่จะบรรลุถึง หรือที่ต้องการจะได้เห็น ซึ่งได้ปรากฏในประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน. โดยจะทราบได้ทางเดียวคือการศึกษาและวิเคราะห์ในเชิงประวัติศาสตร์.

๒.    ความจริง “ความมั่งคั่ง” ได้รับการยอมรับว่าเป็น “การพัฒนาเศรษฐกิจ” ของชาติต่างๆ มาตั้งแต่จุดเริ่มแรกของวิชาเศรษฐศาสตร์ โดยหนังสือของ อดัม สมิธ ที่พิมพ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. ๑๗๗๖ ให้ชื่อว่า “การสืบสวนค้นหาลักษณะและสาเหตุของความมั่งคั่ง (wealth) ของประชาติต่างๆ”.  ในหนังสือเล่มนี้ ปรมาจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ท่านนี้ได้พยายามอธิบายที่มาที่ไปของปัจจัยต่างๆ ที่มีบทบาทในการสร้าง “ความมั่งคั่ง” ให้แก่ประเทศ เช่น ประสิทธิภาพในการผลิต, การสะสมทุน, การออม, การเพิ่มขึ้นของประชากร, งานวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฯลฯ.  จนกระทั่งไม่นานมานี้เองที่มีการทบทวนเรื่อง “ความมั่งคั่ง” ว่าเป็น “ความปรารถนาของชาติ” ทุกชาติจริงหรือไม่. ในประเทศไทยได้มีการเรียกร้องให้ทบทวนประเด็นนี้เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ. 

(จากหน้า ๔๗ - ๗๕ ของหนังสือ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับ ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น