ภาคผนวก 2: ลัทธิศาสน์ แห่ง ดูน
ก่อนการมาถึงของ มวด’ดิบ, พวกฟรีเมนแห่งอาร์ราคิสฝึกฝนปฏิบัติลัทธิศาสน์หนึ่งที่มีรากใน
เมาเม็ธ สะอาริ(Maometh Saari)ซึ่งอยู่ที่นั้นสำหรับบรรดานักบัณฑิตวิชาการใดจะเห็นได้.
หลายคนได้สืบตามร่องรอยว่าเป็นการหยิบยืมอย่างแพร่ขยายมาจากลัทธิศาสน์ทั้งหลายอื่นๆ.
ตัวอย่างทั่วไปมากที่สุดคือ บทสวดภาวนาต่อน้ำ(the
Hymn to Water), คัดลอกสำเนาหนึ่งมาโดยตรงจาก คู่มือพิธีกรรม
โอเรนจ์ คาธอลิค(the Orange Catholic Liturgical Manual), พิธีเรียกเมฆฝนทั้งหลายที่อาร์ราคิสไม่เคยได้เห็น.
แต่มีจุดประณีตทั้งหลายมากยิ่งกว่าของความกลมกลืนสอดคลองพ้องกันระหว่าง คิตาป
อัล-อิบาร์(Kitab al-ibar*)ของชนฟรีเมนและคำสอน
* https://hmong.in.th/wiki/Ibn_Khaldoun
ทั้งหลายของคัมภีร์ไบเบิ้ล(Bible), อิลม์(Ilm), และ ฟิคฮ์(Fiqh).
การเปรียบเทียบใดของความเชื่อในลัทธิศาสน์ที่โดดเด่นในจักรวรรดิจนมาถึงยุคของมวด’ดิบต้องเริ่มต้นด้วยกองกำลังหลักทั้งหลายที่ก่อรูปเหล่าความเชื่อทั้งหลายนี้.
1. สาวกทั้งหลายแห่ง สิบสี่ผู้รอบรู้ (the
Fourteen sages), ที่คัมภีร์ของพวกเขาคือ
โอเรนจ์ คาธอลิค ไบเบิ้ล(the Orange Catholic Bible), และทัศนคติของพวกเขาได้ถูกแสดงออกไว้ในอรรถกถาทั้งหลาย(the
Commentaries)และบทประพันธ์อื่นทีผลิตสร้างโดย
คอมมิสชั่น ออฟ อีคูเมนิคัล ทรานสเลตอร์ส(the Commission
of Ecumenical Translators* - คณะกรรมาธิการแห่งผู้แปลทั่วโลก ). (C.E.T.);
2. เบเน เกสเสอริต(Bene Gesserit), ผู้ได้ปฏิเสธอย่างสันโดษว่าพวกเขาเป็นสมาคมทางลัทธิศาสน์(a
religious order),
แต่ผู้ปฏิบัติการอยู่เบื้องหลังฉากอันยากที่จะเข้าใจไของลัทธิพิธีกรรมเวทย์มนตร์,
และการฝึกฝนปฏิบัติของพวกตน, รหัสนัยสัญลักษณ์ของพวกตน, องค์กร, และวิธีการสอนทั้งหลายเชิงข้างในกายเป็นเกือบเยี่ยงศาสน์ทั้งสิ้น.
3. ชนชั้นปกครองที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า(รวมทั้งพวกกิลด์)ผู้ซึ่งถือว่าศาสนานั้นเป็นเช่นละครหุ่นกระบอกชนิดหนึ่งเพื่อที่จะสร้างความขบขันให้กับราษฎรพสกนิกรและคอยรักษามันให้ว่านอนสอนง่ายเอาไว้,
และผู้ที่ได้เชื่ออย่างพื้นฐานว่าปรากฏการณ์ทั้งหมด---กระทั่งปรากฏการณ์ทางศาสนา---สามารถถูกลดทอนลงได้ด้วยคำอธิบายทั้งหลายอย่างไม่หยุดหย่อน.
4. คำสอนโบราณอย่างที่เรียกกัน---รวมทั้งเหล่านั้นที่ธำรงรักษาไว้โดย
เซนสุนหนี่ วานเดอเรอร์(the Zensunni Wanderers* - เซนสุนหนี่
เป็นระบบลัทธิศาสน์/ความเชื่อทางศาสนา
*
https://dune.fandom.com/wiki/Wandering_Zensunni/DE
ชนิดหนึ่งที่โด่งดังกับหลายวัฒนธรรมแพร่ขยายไปทั่ว
เอกภพที่รู้จัก โดยเฉพาะในผู้คนที่สืบทอดมาจากชนชั้นต่ำต้อยด้อยโอกาส...เซนสุนหนี่
วานเดอเรอร์
ก็คือผู้นับถือลัทธินี้ที่เดินทางจรจากพิภพ/ดาวเคราะห์หนึ่งไปยังพิภพอื่นเพื่อแสวงหาอิสรภาพจากการถูกกดขี่ข่มเหงและเป็นทาสโดยผู้บุกรุกทั้งหลายของจักรวรรดิ)จากการเคลื่อนไหวอิสลาม(Islamic movements)ทั้งหลายในครั้งแรก, ครั้งที่สอง, และครั้งที่สาม; นาวคริสเตียนิตี
แห่ง ชูชุค(the Navachrisianity of Chusuk* - ลัทธิ
*
https://dune.fandom.com/wiki/Navachristianity
ศาสน์ชนิดหนึ่ง ที่เป็นการผสมผสานด้วยกันของ
นาวาโฮ กับ คริสเตียน), พุทธิสลาม แปลงรูปทั้งหลาย(the
Buddhislamic Variants)ของรูปลักษณ์ทั้งหลายนั้นอันโดดเด่นที่
ลางกิวีล(Lakiveil)และ ซิกุน(Sikun), คัมภีร์ผสมผสานของมหายาน ลังกาวะตระ(the
Blend Books of the Mahayana Lankavatara),
เซน เฮคิกันชุแห่งที่3 เดลตา พาโวนิส(the Zen Hekiganshu of III Delta Pavonis* -
ลัทธิศาสน์หนึ่งของดาวเคราะห์ดวงที่3 ของระบบดาวเดลตา
พาโวนิส/
*
https://dune.fandom.com/wiki/III_Delta_Pavonis
รู้จักกันดีในชื่อดาว คาลาดาน), ทาวเราะฮ์และทัลมูดิค ซาบุร์(the Tawrah
and Talmudic zabur*)อยู่รอดบน ซาลุสา
เซคันดัส(Salusa Secundus* - ดาวราชทัณฑ์ของจักรพรรดิ), ที่แพร่หลายก็ โอบีอะฮ์ ริฌวล(the pervasive Obeah
Ritual), มัวดฮ์ คูราน(the
Muadh Quran*)ด้วยอิล์มและฟิคฮ์อันพิสุทธิ์ของมัน(with
its pure Ilm and Fiqh)อยู่รอดในหมู่ชาวนาปลูกข้าวภุณฑิทั้งหลายของคาลาดาน(the
pundi rice farmers of Caladan), ฮินดู(the Hindu)ที่โผล่ขึ้นมาพบได้ทั่วทั้งเอกภพในกระเป๋าเล็กๆทั้งหลายของพวกปีออนทั้งหลายผู้โดดเดี่ยว,
ในท้ายสุด, บัตเลอเรียน จิฮาด(the Butlerian Jihad*).
* https://dune.fandom.com/wiki/Butlerian_Jihad
ได้มีกองกำลังที่ห้าซึ่งจัดรูปความเชื่อในลัทธิศาสน์,
แต่ผลสะท้อนของมันนั้นเป็นสากลและลึกซึ้งมากเหลือเกินจนมันควรค่าแก่การที่จะยืนเพียงลำพังได้.
นี้เป็น,
แน่นอนละ, การเดินทางไปในอวกาศ---และในการถกเถียงใดของลัทธิศาสน์,
มันควรค่าแก่การที่จะถูกเขียนเอาไว้เช่น:
การเดินทางในอวกาศ!
การเคลื่อนไหวของมนุษยชาติผ่านอวกาศตอนลึกถูกวางตำแหน่งเป็นตราประทับอย่างเป็นเอกบนลัทธิศาสน์ในช่วงหนึ่งร้อยสิบศตวรรษทั้งหลายที่มีมาก่อน
บัตเลอเรียน จิฮาด(the Butlerian Jihad). ในการที่จะเริ่มต้นด้วย, การเดินทางในอวกาศยุคแรกเริ่ม,
ถึงแม้ว่าจะแผ่กว้างไปทั่ว, แต่ก็เป็นการอลหม่านไร้ระเบียบอย่างมโหฬาร, ช้า,
และไม่มีความแน่นอน, และ, ก่อนที่พวกกิลด์จะเข้ามาผูกขาด,
ได้รับผลสัมฤทธิ์ก็จากการมั่วจับฉ่ายปนเปกันไปของวิธีการทั้งหลาย.
ประสบการณ์ในอวกาศครั้งแรก,
มีการสื่อสารติดต่ออย่างแย่มากและเนื้อหาสาระก็ถูกบิดเบี้ยว,
เป็นสิ่งจูงใจอันบ้าคลั่งต่อความเสี่ยงโชคอย่างลี้ลับโดยแท้จริง.
โดยทันทีทันใดนั้น,
อวกาศก็ให้ความแตกต่างในรสชาติและสัมผัสรู้ต่อความคิดทั้งหลายของการรังสรรค์(Creation).
ความแตกต่างทั้งหลายนั้นถูกพบเห็นกระทั่งในผลสัมฤทธิ์อันสูงสุดทางลัทธิศาสน์ของช่วงคาบเวลานั้น.
ทะลุผ่านศาสน์ทั้งหมด,
ความรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์นั้นได้ถูกสัมผัสแตะต้องโดยภาวะอนาธิปไตยจากความดำมืดข้างนอก.
มันเป็นราวกับว่าเทพจูปิเตอร์(Jupiter)ที่อยู่ในรูปทรงทั้งหมดที่สืบทอดกันมาได้ล่าถอยกลับเข้าไปสู่มารดาความมืดนั้นเพื่อที่จะถูกแย่งแทนที่โดยอัพภันตรภาพอิตถี(a
female immanence)เติมเต็มด้วยความเคลือบแคลงคลุมเคลือและด้วยโฉมหน้าของการก่อการร้ายทั้งหลายอันมากมาย.
สูตรซับซ้อนโบราณไขว้สานเข้าด้วยกัน,
ปนเปยุ่งเหยิงกันขณะที่พวกเขาลงตัวเหมาะเจาะกับความจำเป็นต้องการทั้งหลายของการพิชิตครอบครองอันใหม่ทั้งหลายและสัญลักษณ์พิธีกรรมประกาศอันใหม่ทั้งหลาย.
มันเป็นยุคสมัยของการดิ้นรนต่อสู้ระหว่างสัตว์อสูรร้ายในด้านหนึ่งและผู้สวดภาวนาและอ้อนวอนเก่าแก่อยู่อีกด้านหนึ่ง.
ไม่เคยมีคำตัดสินพิพากษาใดที่กระจ่างชัด.
ระหว่างคาบช่วงเวลานี้,
มันได้กล่าวกันว่าเยเนซิส(Genesis* - คัมภีร์ที่กล่าวถึง”ปฐมกาล”)ได้ถูกตีความขึ้นใหม่, ยินยอมให้พระเจ้า(God)ที่จะกล่าวว่า:
“จงเพิ่มขึ้นและทวีขึ้น,
และเติมเต็มเอกภพนี้, และพิชิตมัน, และปกครองเหนือวิธีกระทำทั้งหมดของสัตว์ร้ายและสิ่งมีชีวิตแปลกถิ่นทั้งหลายในอากาศอันไร้ที่สิ้นสุดทั้งหลาย,
บนปฐพีอันไร้ที่สิ้นสุดทั้งหลายและภายใต้พวกมัน.”
มันเป็นยุคสมัยของไสยเวทย์พ่อมดหมอผีทังหลายผู้ซึ่งพลังอำนาจทั้งหลายนั้นเป็นจริง.
มาตรวัดของพวกเขาได้ถูกพบเห็นในความจริง
ที่ว่าพวกเขาไม่เคยคุยโอ้อวดว่าพวกเขากุมจับไฟคุโชนนั้นได้เช่นไร.
แล้วก็มาถึง
บัตเลอเรียน จิฮาด(the Butlerian Jihad)---สองรุ่นอายุของความโกลาหลกลียุค. พระเจ้าแห่งตรรกะ-จักรกลได้เข้ายึดครองอำนาจเหนือมวลมหาชนทั้งหลายและแนวความคิดใหม่ก็ลุกขึ้น.
“มนุษย์ต้องไม่อาจถูกแทนที่ได้.”
สองรุ่นอายุแหล่งความรุนแรงเหล่านั้นเป็นสถานีพักหยุดกระแสประสาทถ่ายทอด(a
thalamic)ของมนุษยชาติทั้งหมด.
คนมองไปยังพระเจ้าของพวกเขาและพิธีกรรมของพวกเขาและเห็นว่าทั้งสองอย่างนั้นได้ถูกเติมเต็มไปด้วยความก่อการร้ายมากที่สุดของสมกาลทั้งหลายทั้งหมด: ความกลัวอยู่เหนือความทะเยอทะยาน.
อย่างลังเล,
ผู้นำของลัทธิศาสน์ทั้งหลายผู้ซึ่งสาวกได้หลั่งเลือดกันไปเป็นหลายพันล้านก็เริ่มต้นการประชุมกันเพื่อแลกเปลี่ยนทัศนคติทั้งหลาย.
มันเป็นการเคลื่อนไหวที่เสริมความกล้าหาญโดย สเปซ กิลด์(the
Space Guild – สมาพันธ์ผู้นำร่องอวกาศ),
ซึ่งเป็นการเริ่มต้นที่จะสร้างการผูกขาดของพวกมันเหนือการเดินทางระหว่างดวงดาวทั้งหมด,
และโดย เบเน เกสเสอริต(the Bene Gesserit)ผู้ซึ่งกำลังตั้งวงรวมกันของแม่มดทั้งหลาย.
จากการประชุมผู้นำลัทธิศาสนจักรครั้งแรกทั้งหลายนั้นได้มีสองการพัฒนาหลักออกมา:
1.
การตระหนักว่า ลัทธิศาสน์ทั้งหมดมีบัญญัติอย่างน้อยที่สุดที่เหมือนกันทั่วไป: “สูเจ้าจักต้องไม่ทำความเสียหายต่อจิตวิญญาณ.”
2. คณะกรรมาธิการ แห่ง สัมพันธภาพผู้แปลถ่ายทอดลัทธิศาสน์ทั้งหลาย(the Commission of Ecumenical Translators)
ก.ส.ป.
ชุมนุมกันบนเกาะเป็นกลางแห่งโลกเก่า(Old Earth), พื้นที่วางไข่แห่งศาสนมารดาทั้งหลาย(spawning
ground of mother religions). พวกเขาพบกัน
“ในความเชื่อทั่วไปที่ว่ามีการดำรงอยู่ของ เทวะธาตุ(a
Divine Essence)ในเอกภพ(the
universe).” ทุกศาสน์ศรัทธาที่มีสาวกมากกว่าหนึ่งล้านถูกตั้งให้มีผู้แทน,
และพวกเขาได้เอื้อมไปถึงข้อตกลงในฉับพลันอันน่าแปลกใจกับแถลงการณ์แห่งเป้าหมายทั่วไปของพวกเขา.
“เรามาอยู่ในที่นี้เพื่อปลดเอาอาวุธเบื้องต้นออกไปจากมือทั้งหลายของผู้ขัดแย้งทางลัทธิศาสน์ทั้งหลาย.
อาวุธนั้น---คือคำอ้างต่อการเป็นเจ้าของครอบครองซึ่งเอกะวิวรณ์(the
one and only revelation - การเผยออกของพระเจ้าต่อมนุษย์)ว่าคือของตน.”
ความปลื้มปีติกับ
“สัญญานแห่งข้อตกลงร่วมกันอันลึกซึ้ง”นี้ พิสูจน์ถึงความมีวุฒิภาวะ.
ในมากกว่าหนึ่งปีมาตรฐาน(a standard year), แถลงการณ์นั้นเป็นแค่เพียงการประกาศเดียวเท่านั้นจาก ก.ส.ป.(C.E.T.). คนพูดกันอย่างขมขื่นถึงความเลื่อนล่าช้านั้น.
เหล่าวณิพกประพันธ์เพลงทั้งหลายเหน็บกัดอย่างหลักแหลมเกี่ยวกับเจ้าหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ด
“แก่สุดประหลาด” ที่เป็นผู้แทน ก.ส.ป. กลายมาถูกเรียกเช่นนั้น.
(ชื่อนี้เกิดขึ้นมาจากตลกลามกซึ่งเล่นกันกับมุขคำย่อของชื่อและเรียกผู้แทนเหล่านั้นว่า
“ตัวประหลาด-โคตร-ติ่ง”) หนึ่งในเพลงทั้งหลาย, “นอนตัวเกรียม(Brown
Repose)” ได้ผ่านเลยยุคช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูมาอย่างยากลำบากและมีชื่อเสียงโด่งดังจนมาถึงวันนี้:
“คิดซะว่าพักซะผ่อน.
นอนจนตัวเกรียมไหม้---และ
เศร้าสังเวชใจ
ในบรรดาทั้งหมดเหล่า
เฒ่าประหลาด! ทั้งหมดเหล่า เฒ่าประหลาด!
ช่างขลาดคร้าน---ช่างขลาดคร้าน
ผ่านวานวันเราท่านไป.
เวลาได้สั่นกระดิ่งเรียกหา
ท,เจ้าข้า แซนวิชเอ๊ย!”
คำเล่าลือในบางโอกาสรั่วออกมาจากการประชุมของ
ก.ส.ป.. มันได้ถูกพูดกันว่าพวกเขากลังเปรียบเทียบคัมภีร์ทั้งหลายและ, อย่างขาดความรับผิดชอบ,
คัมภีร์เหล่านั้นได้มีชื่อเสียง. คำเล่าลือเยี่ยงนั้นยั่วยุปลุกเร้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้เกิดการจลาจลต่อต้านความเชื่อลัทธิศาสน์ทั้งหลายและ,
แน่นอนว่า, บันดาลใจให้เกิดคำคมเล่นลิ้นใหม่ๆขึ้น.
สองปีผ่านไป.....สามปี.
คณะกรรมาธิการนั้น,
เก้าจากจำนวนแรกเริ่มของพวกเขาได้เสียชีวิตและได้ถูกแทนที่,
ได้หยุดลงเพื่อเฝ้ารอการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการของการแทนที่ตำแหน่งนั้นและได้ประกาศว่าพวกเขาได้ออกแรงในการที่จะผลิตสร้างคัมภีร์หนึ่ง,
ชำระสะสางเอาสิ่งบางอย่างออกไปที่เป็น “ทั้งหมดของอาการป่วยไข้ทั้งหลาย”
ของลัทธิศาสน์ทั้งหลายในอดีต.
“เรากำลังผลิตสร้างเครื่องมือหนึ่งแห่งความรัก(an
instrument of Love)ที่จะถูกมีบทบาทในทุกวิถีทั้งหลาย,”
พวกเขาบอก.
หลายคนพิจารณาว่ามันแปลกทีแถลงการณ์นี้ปลุกเร้ายั่วยุการะบาดอย่างเลวร้ายของความรุนแรงต่อต้านลัทธิสามัคคีความเชื่อในศาสนานี้.
ยี่สิบผู้แทนได้ถูกเรียกกลับโดยกลุ่มลัทธิศาสน์ทั้งหลายของพวกตน.
หนึ่งนั้นได้ฆ่าตัวตายโดยการขโมยยานรบฟรีเกตอวกาศและขับมันตรงเข้าไปในดวงอาทิตย์.
นักประวัติศาสตร์ประมาณว่าการจลาจลทั้งหลายนั้นเอาชีวิตไปแปดสิบล้านคน.
นี้เป็นผลออกมาได้ราวหกพันกับแต่ละพิภพในตอนนั้นที่อยู่ใน สมาพันธ์ แลนด์สราอาด(the
Landsraad League).
การพิจารณาถึงวันเวลาของความไม่สงบนั้น,
นี้อาจะไม่เป็นการประมาณที่มากเกินไปกว่าที่จะรับได้, ถึงแม้ว่าการเสแสร้งอ้างต่อความละเอียดถูกต้องจริงในการคาดคะเนใดก็ต้องเป็นเช่นนั้น---การเสแสร้ง.
การสื่อสารระหว่างพิภพทั้งหลายอยู่ที่หนึ่งในความเสื่อมถอยทั้งหลายซึ่งลงต่ำที่สุดของมัน.
วณิพกทั้งหลายค่อนข้างอย่างเป็นธรรมชาติ,
มีวันแห่งความหรรษากัน. ดนตรีตลกที่รู้จักกันแพร่หลายหนึ่งของยุคนั้นโดยทำเป็นมีหนึ่งในผู้แทนแห่ง
ก.ส.ป. นั่งอยู่บนชายหาดทรายสีขาวภายใต้ต้นปาล์มกำลังร้องเพลงว่า:
“เพื่อ พระเจ้า,
ผู้หญิงและความงดงามแห่งรัก
เราอืดอาดนักพักหยอกกันที่นี่ไม่มีกลัวหรือใส่ใย
วณิพกเอ๋ย! วณิพกเอ๋ย! ร้องไปในทำนองอื่นเหอะ
เพื่อ
พระเจ้า, ผู้หญิงและความงดงามแห่งรัก!”
จลาจลทั้งหลายและตลกเป็นก็แต่อาการของโรคทั้งหลายแห่งยุคสมัย,
เผยออกมาอย่างลึกซึ้ง. พวกเขาทรยศในอารมณ์สีสันแห่งจิตวิทยา,
ความไม่แน่นอนทั้งหลายอย่างลึก.....และการดิ้นรนเพื่อบางอย่างที่ดีกว่า,
บวกกับความหวาดกลัวว่าไม่มีอะไรจะออกมาจากมันทั้งหมดเลย.
เขื่อนกั้นใหญ่หลักต่ออนาธิปไตยในเวลาทั้งหลายเหล่านี้คือตัวอ่อน(embryo)กิลด์, เบเน เกสเสอริต(the
Bene Gesserit)และ แลนด์สราอาด(the
Landsraad), ที่ดำเนินการ 2,000 บันทึกของการประชุมของมันทั้งที่มีอุปสรรคร้ายรุนแรงที่สุด. ส่วนของกิลด์นั้นปรากฏได้ชัดเจน: พวกเขาบริการขนส่งให้เปล่าแก่บรรดาธุรกิจงานของแลนด์สราอาดและ ก.ส.ป.ทั้งหมด.
บทบาทของ เบเน เกสเสอริต นั้นคลุมเครืออำพรางมากกว่า. อย่างแน่นอน,
นี่คือวันเวลาซึ่งพวกเขารวมกันเป็นหนึ่งเดียวในสิ่งที่พวกเขายึดถืออยู่กับแม่มดเรืองเวทย์ทั้งหลาย,
เปิดค้นเสาะหาสารเสพย์ติดอันละเอียดลึกล้ำทั้งหลาย, พัฒนาการฝึกฝนปฏิบัติปราณ-พินฑุและตั้งครรภ์ซึ่ง
มิชชั่นนาเรีย โพรเท็คติวา(the Missionaria Protectiva), อาวุธดำนั้นแห่งไสยเวทย์. แต่มันก็เป็นช่วงคาบเวลาด้วยเช่นกันที่มองเห็นการประกอบกันเข้าของบทสวด(the
Litany)ต้านความหวาดกลัว
(against Fear)และการสมาคมของอาซฮาร์ บุ๊ค(the Azhar Book*), ที่รวบรวมสิ่งมหัศจรรย์ตามบรรณานุกรมซึ่งสงวนไว้ซึ่งความลับทั้งหลายอันยิ่งใหญ่ของศรัทธาความเชื่อโบราณ.
* https://dune.fandom.com/wiki/Azhar_Book
การวิจารณ์ของอิงค์สลีย์(Ingsley’s
comment)บางทีคือความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น.
“นั้นคือวันเวลาแห่งปฏิทรรศน์เบื้องลึก(deep
paradox).”
เกือบเจ็ดปี,
แล้ว, ก.ส.ป. ได้ออกแรง. และเมื่อการฉลองครบรอบที่เจ็ดเข้ามาถึง,
พวกเขาได้เตรียมพร้อมเอกภพมนุษย์สำหรับการประกาศอันวิกฤตสำคัญ.
ในงานเฉลิมฉลองครบรอบเจ็ดปี, พวกเขาได้เผยออกซึ่ง คัมภีร์ไบเบิ้ล โอเรนจ์
แคธอลิค(the Orange Catholic Bible).
“นี่คืองานด้วยเกียรติสง่างามและความมุ่งหมายสำคัญ,”
พวกเขาบอก. “นี่คือวิถีทางที่จะสร้างมนุษยชาติได้ตระหนักรู้ถึงตนเองดังเช่นสิ่งรังสรรค์สูงสุดยอดแห่งพระเจ้า(a
total creation of God).
คนของ
ก.ส.ป. ก็เปรียบเสมือนกับนักโบราณคดีทางความคิดทั้งหลาย, ได้รับแรงดาลใจโดยพระเจ้า(God)ในการฟื้นคืนค้นพบอันสูงศักดิ์ยิ่งใหญ่.
มันถูกกล่าวกันว่าพวกเขาได้นำออกมาสู่แสงสว่างซึ่ง “พลังชีวิตแห่งอุดมคติยิ่งใหญ่ที่ถูกซ้อนทับโดยสิ่งทับถมทั้งหลายมาหลายศตวรรษ,”
ว่าพวกเขาได้ “เหลาฝนคมให้กับสิ่งจำเป็นสำคัญทางศีลธรรมทั้งหลายที่ออกมาจากสัมปชัญญะในลัทธิศาสน์.”
ด้วย
โอ. ซี. ไบเบิ้ล, ก.ส.ป.ได้นำเสนอคู่มือ พิธีกรรม(the
Liturgical Manual)และอรรถกถาทั้งหลาย(the
Commentaries)---ในมากมายความเคารพนับถือในงานที่น่าจดจำยิ่ง.
ไม่เพียงแค่เพราะความสั้นกระชับของมัน(น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของขนาดของ โอ. ซี.
ไบเบิ้ล),
แต่ยังเพราะความตรงไปตรงมาของมันแล้น้อมกลมกล่อมด้วยความเวทนา-ในตนและคุณธรรม-ในตน.
การเริ่มต้นนั้นเผยตัวตนปรากฏชัดเจนต่อผู้ปกครองที่ไร้ความเชื่อว่ามีพระเจ้าทั้งหลาย.
“คนค้นพบว่าไม่มีคำตอบใดต่อสุนหน่าน(sunnan*)[หนึ่งหมื่นคำถามทางลัทธิศาสน์จากชาริ-อะฮ์(the
Shari-ah*)]
ตอนนี้ได้ประยุกต์เหตุผลของพวกเขาเอง. คนทัเงหมดเสาะหาที่จะเป็นผู้บรรลุปัญญา.
ล้ทธิศาสน์นั้นเป็นแค่มากที่สุดแห่งวิถีอันโบราณและทรงเกียรติที่คนเราได้มานะพากเพียรที่จะสร้างสัมผัสรู้ต่อเอกภพแห่งพระเจ้า(God’s
universe).
นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายเสาะหาความสมบูรณ์ของกฎของเหตุการณ์ทั้งหลาย.
มันเป็นภารกิจของลัทธิศาสน์(Religion)ในการที่จะเอามนุษย์เข้าไปให้เหมาะกับกฎอันสมบูรณ์นี้(this
lawfulness)นั้น.
ในบทสรุปของพวกเขา, กระนั้น, อรรถกถาทั้งหลายจัดวางคำขู่กรรโชก(a harsh tone)
ที่เป็นเช่นอย่างยิ่งเหมือนทำนายชะตากรรมของพวกเขา.
“เป็นอันมากที่เรียกกันว่า ลัทธิศาสน์
นั้นได้นำพามาซึ่งทัศคติที่ไร้จิตสำนึกของความมุ่งร้ายต่อชีวิต.
ลัทธิศาสน์ที่แท้สัจจริงต้องสอนว่าชีวิตนั้นถูกเติมเต็มด้วยความปีติยินดีมีสุขต่อพระเนตรของพระเจ้า(God), ว่าความรู้ที่ปราศจากการกระทำนั้นคือความว่างเปล่า.
มนุษย์ทกคนต้องมองเห็นว่าการสอนถึงลัทธิศาสน์โดยกฏวินัย และ ท่องจำ นั้นคือสิ่งหลอกลวงอันมหึมา.
การสอนที่เหมาะสมคือต้องให้ตระหนักรู้ได้ง่าย. เจ้าไม่สามารถรู้มันโดยปราศจากการล้มเหลวก็เพราะมันเป็นการตื่นขึ้นมาภายในของตัวเจ้าว่าผัสสาการ(sensation)นั้นคือสิ่งที่บอกต่อเจ้าว่านี้เป็นอะไรบางอย่างที่เจ้าได้รู้จักดีมาตลอดเสมอ.”
มีสัมผัสรู้ที่แปลกของความสงบขณะที่สิ่งพิมพ์ทั้งหลายและเครื่องถ่ายอัดสำเนาชิกาไวริ์(shigawire* imprinters)ทั้งหลายหมุนกลิ้งไปและ โอ.ซี.ไบเบิ้ล(O.C. Bible)แพร่กระจาย
* https://dune.fandom.com/wiki/Shigawire
ออกไปผ่านทั่วพิภพทั้งหลาย.
บางอันก็ถูกแปลถ่ายทอดสิ่งนี้เป็นเช่นเครื่องหมายของพระเจ้า(God), คือนิมิตแห่งความเป็นหนึ่งเดียว(an omen of unity).
แต่แม้กระทั่งผู้แทน ก.ส.ป.(คณะกรรมาธิการ แห่ง สัมพันธภาพผู้แปลถ่ายทอดลัทธิศาสน์ทั้งหลาย(the
Commission of Ecumenical Translators – C.E.T.)ก็ทรยศต่อนวนิยายของความสงบนั้นเมื่อพวกเขาได้กลับคืนไปสู่กลุ่มคนเชื่อถือลัทธิศาสน์ของพวกเขาเองอีกครั้ง.
สิบแปดคนในพวกเขาได้ถูกจับแขวนคอภายในเวลาสองเดือน. ห้าสิบสามคนกลับคำพูดและถอนตัวภายในเวลาหนึ่งปี.
คัมภีร์
โอ.ซี. บเบิ้ล ได้ถูกประกาศยกเลิกว่าเป็นงานที่ผลิตสร้างโดย
“การหลงผิดของเหตุผล”.
มันถูกบอกว่าแผ่นหน้าทั้งหลายของมันถูกเติมเต็มด้วยความหลอกลวงล่อความสนใจแห่งตรรกะ.
การปรับปรุงแก้ไขใหม่ทั้งหลายที่จัดหาให้ต่อทิฐิมานะดื้อรั้นอันโด่งดังเริ่มต้นปรากฏให้เห็น.
การแก้ไขเหล่านี้เอนพิงเข้ากับสัญลักษณ์นิยมที่ถูกยอมรับกันทั้งหลาย(กางเขน(Cross), เดือนเสี้ยว(Crest), เครื่องเขย่าขนนก(Feather
Rattle), สิบสองนักบุญ(Twelve
Saints), พุทธบาง(the
thin Buddha), และอะไรเหมือนเช่นนั้น)และมันในไม่ช้าได้กลายเป็นการปรากฏออกมาว่าความงมงายและความเชื่อถือโชคลางโบราณทั้งหลายได้ไม่ถูกดูดซับออกไปโดยลัทธิสามัคคีศาสน์ใหม่.
ตราประทับของฮอลโลว์เวย์
สำหรับ ก.ส.ป. เจ็ดปีในความพยายาม---“กอล-นิยัตินิยมวิภาษวิธี(Gal-actophasic
Determinism)”
---ถูกฉกขึ้นมาโดยผู้กระหายหลายพันล้านที่ตีความแรกเริ่มของอักษรย่อ พ.จ.(G.D.) ว่าคือ “พ่อ-เจ้าอ่ะแหละ
(God-Damned).”
ประธาน
ก.ส.ป. ตูวริ์ โบโมโก(C.E.T. Chairman Toure Bokomo), อุลิมะ แห่ง เซ็นสุนหนี่(a
Ulema of Zensunni)และหนึ่งในสิบสี่ผู้แทนผู้ที่ไม่มีวันกลับคำ(“สิบสี่
ปราชญ์ – The Fourteen Sages”
แห่งประวัติศาสตร์อันโด่งดัง), ได้ปรากฏที่จะยอมรับในท้ายสุดว่า ก.ส.ป.(the
C.E.T.)มีข้อผิดพลาด.
“เราไม่ควรพยายามที่จะสร้างสัญลักษณ์ขึ้นมาใหม่ทั้งหลาย,”
เขาพูด. “เราน่าจะได้จระหนักรู้ว่าเราไม่ได้ถูกคาดหวังว่าจะเสริมเพิ่มความไม่มั่นคลุมเครือทั้งหลายเข้าไปสู่ความเชื่อที่ได้ยอมรับกันแล้ว,
ว่าเราไม่ได้ถูกคาดหวังที่จะผสมความอยากรู้อยากเนทั้งหลายคละคนเข้ากันเกี่ยวกับพระเจ้า(God).
เราได้ถูกประจันหน้ารายวันโดยความไม่มีเสถียรภาพอันน่าสะพรึงกลัวของทั้งหมดทุกสิ่งมนุษย์,
กระนั้นเราก็ยินยอมอนุญาตให้ความเชื่อในลัทธิศาสน์ของเราที่จะเติบโตแข็งตัวยิ่งขึ้นและได้ควบคุม,
มากยิ่งขึ้นกับการให้ปฏิบัติตามและการกดขี่ข่มเหง.
อะไรคือที่เงานี้พาดข้ามผ่านทางสายใหญ่ของ คำบัญชาจากสวรรค์(Divine
Command)หรือ? มันคือคำเตือนว่าสถาบันทั้งหลายนั้นยืนหยัดคงทน,
สัญลักษณ์ทั้งหลายนั้นยืนหยัดคงทนเมื่อความหมายของพวกเขาได้สูญหายไป,
ว่าไม่มีข้อสรุปใดได้จากทั้งหมดของความรู้ ที่สามารถเข้าถึงได้.”
ขอบริมขื่นขมสองเท่าใน
“การประกาศยอมรับ”นี้ไม่ได้หลบหนีจากคำวิพากษ์ของโบโมโกและเขาถูกบีบบังคับในไม่ช้าภายหลังจากนั้นให้เผ่นหนีเข้าไปในการเนรเทศ,
ชีวิตของเขาได้รับอุปถัมภ์จากสัญญาประกันของกิลด์แห่งการเก็บความลับ.
เขาถูกรายงานว่าเสียชีวิตที่บนทูไพลิ์(Tupile), ได้รับเกียรติยกย่องและเป็นที่รัก,
คำพูดสุดท้ายของเขาคือ “ลัทธิศาสน์ต้องธำรงไว้เป็นซึ่งช่องระบายสำหรับผู้คนผู้พูดกับตัวพวกเขาว่า
‘ข้าไม่ได้เป็นคนประเภทที่ข้าต้องการจะเป็น.’ มันต้องไม่มีวันจมลงไปสู่การชุมนุมรวบรวมกันของความพึงพอใจของตนเอง.”
มันเป็นความสบายใจที่จะคิดว่าโบโมโกได้เข้าใจถึงคำพยากรณ์ในคำพูดนั้นของเขาว่า:
“สถาบันทั้งหลายยืนหยัดคงทน.”อเก้าสิบชั่วรุ่นอายุทั้งหลายถัดมาในภายหลัง, คัมภีร์โอ.ซี.
ไบเบิ้ล และ อรรถกถาทั้งหลายได้แผ่ซ่านทั่วเอกภพลัทธิศาสน์.
เมื่อ
พอล มวด’ดิบ(Paul
Muad’dib)ยืนพร้อมด้วยมือขวาของเขาวางอยู่บนสถูปหินที่ก่อหุ้มกะโหลกศีรษะของบิดาเขา(มือขวาแห่งการประทานพร,
ไม่ใช่มือซ้ายแห่งการสาปแช่ง)เขาได้อ้างคำต่อคำจาก “มรดกของโบโมโก”
---
“เจ้าผู้ได้ชัยชนะเราจงบอกกับตัวเจ้าเองเถิดว่า
บาบีโลน(Babylon)
นั้นได้ล่มสลายและผลงานทั้งหลายของมันได้ถูกพลิกคว่ำทะลายลง.
ข้าบอกต่อเจ้ากระนั้นคนผู้นั้นก็ยังคงดำรงอยู่กับความทรมานเจ็บปวด,
แต่ละคนในอู่คอกจำเลยของตนเอง. แต่ละคนนั้นคือเศษเล็กของสงคราม.”
ฟรีเมนพูดถึงมวด’ดิบว่าเขาเป็นเหมือนอาบู ซิเด(Abu
Zide)ผู้ซึ่งยานรบฟรีเกตของเขาได้ท้าทายฝ่าฝืนต่อกิลด์และขับออกไปในวันหนึ่งยังที่นั้นและกลับมา.
ที่นั้นใช้ในวิธีนี้เพื่อแปลโดยตรงจากเทวตำนานของฟรีเมนในฐานที่เป็นแผ่นดินแห่งจิตวิญญาณ-รูฮ์(the
land of ruh-spirit), อลาม-อัล-มิธัล(the alam al-mithal)ที่ซึ่งข้อจำกัดทั้งหลายได้ถูกยกย้ายออกไปสิ้น.
คู่ขนานระหว่างผู้นี้และ
ควิทสาตซ์ ฮาเดรัค(the Kwisatz Haderach)นั้นได้เห็นกันพร้อมแล้ว. ควิทสาตซ์ ฮาเดรัคนั้นคณะชีภคินีได้เสาะหาผ่านโครงงานผสมสายพันธุ์ของมันได้ถูกแปลความหมายว่าเป็น
“หนทางลัดสั้นของวิถี(The Shortening of the way)” หรือ
“เอกบุรุษผู้สามารถอยู่ในสองแห่งหนในขณะเดียวกัน.”
แต่ทั้งสองของการแปลความหมายนี้สามารถถูกแสดงถึงรากเหง้าต้นกำเนิดได้จากบทอรรถกถาทั้งหลายนั้น(the
Commentaries):
“เมื่อภาระหน้าที่ของกฎหมายและลัทธิศาสน์เป็นหนึ่งเดียวกัน, ของเจ้าก็แทบจะโอบรอบเอกภพนั้น.”
กับตัวเขาเอง,
มวด’ดิบพูดว่า: “ขาคือแหอวนในทะเลแห่งกาลเวลา(a net in the sea of time), อิสระที่จะลากกวาดเอาอนาคตและอดีต.
ข้าเป็นเนื้อเยื่อเคลื่อนที่ไปจากผู้ซึ่งความเป็นไปได้สามารถหนีหลุดออกมาได้.”
ความคิดเหล่านี้ทั้งหมดต่างเป็นเอกะและเดียวกันและพวกเขาตั้งใจสดับต่อ
22 คาลิมะ(22 Kalima)ในคัมภีร์ โอ.ซี. ไบเบิ้ล(the
O.C. Bible)ที่ซึ่งได้บอกไว้ว่า: “ไม่ว่าความหนึ่งจะได้ถูกเอ่ยออกมาหรือไม่
มันก็คือสิ่งสัจจริงและมีพลังอำนาจแห่งความสัจจริง.”
มันเป็นเมื่อเราได้เข้าไปสู่อรรถกถาทั้งหลายของมวด’ดิบเองใน “เสาหลักค้ำจักรวาล(The
Pillars of the Universe)”
ดังที่ถูกตีความหมายโดยพระผู้ศักดิ์ของเขา, ค๊ซาระ ทาวิด(the
Qizara Tafwid),
ที่เราเห็นหนี้สินแท้จริงต่อ ก.ส.ป.(C.E.T.)และฟรีเมน-เซนสุนหนี่(Fremen-Zensunni).
มวด’ดิบ: “กฎหมายและหน้าที่คือหนึ่งเดียว; จงให้มันเป็นเช่นนั้น.
แต่จำเอาไว้ถึงข้อจำกัดทั้งหลายเหล่านี้---กระนั้นพวกเจ้าจะยังไม่มีวันมีสัมปชัญญะในตนอย่างเต็มเปี่ยม.
กระนั้นเจ้าจะยังคงหมกจุ่มอยู่ในระเบียบการสาธารณะ(the communal tau). กระนั้นเจ้าก็ยังจะเป็นน้อยลงยิ่งกว่าความเป็นปัจเจกชน.”
โอ.ซี. ไบเบิ้ล: มีคำพูดอย่างเดียวกัน. (วิวรณ์
61)
มวด’ดิบ:
“ลัทธิศาสน์บ่อยครั้งที่มีส่วนในไสยเวทย์ของกระบวนการที่ปิดบังพวกเราจากความน่าสะพรึงกลัวของอนาคตอันไม่แน่ชัด.”
อรรถกถาทั้งหลายของ
ก.ส.ป.(C.E.T. Commentaries): มีคำพูดอย่างเดียวกัน. (คัมภีร์ อาชาร์(the
Azhar Book* สืบตามร่องรอยคำกล่าวนี้ไปยังศตวรรษแรกขอผู้เขียนลัทธิศาสน์,
เนชู(Neshou),
ผ่านการถอดความหนึ่ง.)
มวด’ดิบ: “ถ้าเด็กหนึ่ง,
บุคคลผู้มิได้รับการอบรมหนึ่ง, บุคคลผู้มีอวิชชาหนึ่ง, หรือบุคคลผู้ขาดสติหนึ่งได้กระตุ้นก่อกวนความเดือดร้อนวุ่นวาย,
มันเป็นข้อผิดพลาดบกพร่องของผู้มีอำนาจที่ไม่คาดการณ์ล่วงหน้าและป้องกันต่อความเดือดร้อนยุ่งยากวุ่นวายนั้น.”
โอ.ซี. ไบเบิ้ล: “บาปใดก็ตามนั้นสามารถถูกอ้างสันนิษฐานได้,
อย่างน้อยที่สุดในการมีส่วน, ว่าเป็นนิสัยชั่วร้ายตามธรรมชาติที่มีโอกาสที่จะบรรเทาลดน้อยลงอันสามารถยอมรับได้ต่อพระเจ้า(God).” (คัมภีร์ อาซาร์ สืบตามรอยนี้ยังเซมิติค
ตาวราโบราณ[the Semitic Tawra]).”
มวด’ดิบ: “จงเอื้อมมือของสูเจ้าไปเบื้องหน้าและกินอะไรที่พระเจ้า(God)ได้ประทานมาในที่นั้น;
และเมื่อสูเจ้าถูกเติมเต็มใหม่แล้ว, จงสรรเสริญต่อพระองค์(Lord).”
โอ.ซี.
ไบเบิ้ล: แปลความอันหนึ่งในความหมายเดียวกัน. (คัมภีร์
อาซาร์[the Azhar Book], สืบตามรอยนี้ต่างไปในรูปเรียงเล็กน้อยยังอิสลาม
ลำดับแรก(First Islam.)
มวด’ดิบ: “ความเมตตา คือการเริ่มต้นของความโหดร้าย.”
ฟรีเมน
คิตาบ อัล-อิบาร์: “ภาระหนักของพระเจ้า(God)ผู้ทรงเมตตานั้น คือสิ่งที่น่าหวาดกลัวอย่างเต็มเปี่ยม.
พระเจ้า(Godไม่ได้ประทานดวงอาทิตย์ที่กำลังลุกไหม้แก่เราหรือ(อัล-ลัต[Al-Lat]? พระเจ้า(God)ไม่ได้ประทานพระมารดาแห่งความชุ่มชื้น[the Mother
of Moisture](แม่อธิการ – Reverend Mother)แก่เราหรือ? พระเจ้า(God)ไม่ได้ประทานไชตานบ[Shaitan*](อิบลิส[Iblis], ซาตาน[Satan]แก่เราหรือ? จากไชตาน[Shaitan]เราไม่ได้รับความเจ็บปวดอย่างเต็มเปี่ยมแห่งความรวดเร็ว(the
hurtfulness of speed)หรือ?
(นี้เป็นแหล่งกำเนิดที่ชนฟรีเมนพูดว่า: “ความรวดเร็ว(speed - ความเจริญ) มาจากไชตาน(Shaitan - ซาตาน).” พิจารณาว่า: สำหรับทุกหนึ่งร้อยแคลอรี่(calories - หน่วยวัดพลังงานจากอาหาร)ของความร้อน(heat)ที่ผลิตขึ้นโดยการออกกำลังกาย[speed] ร่างกายนั้นก็ระเหยความชื้นออกมาราวหกออนซ์(six ounces)ของเหงื่อ. คำศัพท์ของฟรีเมนสำหรับเหงื่อคือ
บัคคา(bakka)หรือ น้ำตา(tears)และ, ในการออกเสียงหนึ่งนั้น, แปลความได้ว่า: “คือ แก่นของชีวิตที่ไชตาน(Shaitan - ซาตาน)บีบคั้นออกมาจากจิตวิญญาณของเจ้า.”
การมาถึงของมวด’ดิบถูกเรียกว่า “ถูกลัทธิศาสน์ ถูกกาละ(timely
- ถูกเวลา)” โดย โคนีย์เวลล์(Koneywell), แต่จังหวะเวลานั้นมีผลเพียงน้อยนิดกับมัน.
ดังเช่นที่มวด’ดิบพูดด้วยตนเองว่า:
“ข้าอยู่ที่นี่, ดังนั้น.....”
มันเป็น,
อย่างไรก็ตาม, สิ่งสำคัญมากกับการเข้าใจถึงผลกระทบเชิงลัทธิศาสน์ของมวด’ดิบที่คุณไม่มีวันสูญเสียภาพทัศน์ของหนึ่งความสัจจริงที่ว่า: ฟรีเมนนั้นเป็นชนทะเลทรายผู้บรรพบุรุษทั้งปวงได้คุ้นเคยต่อภูมิประเทศอันแห้งแล้งไม่เป็นมิตร.
ลัทธิเวทย์มนตร์ไม่ได้ยุ่งยากลำบากเมื่อคุณรอดชีวิตในแต่ละวินาทีโดยไม่เอาชนะความไม่เป็นมิตรในที่เปิดโล่งนั้น.
“เจ้าอยู่ที่นั้น---ดังนั้น.....”
ด้วยจารีตธรรมเนียมเช่นนั้น,
ความทุกข์ยากได้ถูกยอมรับ---บางทีเช่นการลงทัณฑ์อย่างไม่รู้สึกตัว, แต่ยอมรับ.
และมันก็ได้ถูกสังเกตบันทึกไว้อย่างดีว่าพิธีกรรมฟรีเมนให้อิสรภาพเกือบจะโดยสมบูรณ์จากความรู้สึกผิด.
ไม่มีความจำเป็นใดเพราะว่ากฏของพวกเขาและลัทธิศาสน์เหมือนตรงกัน, ทำการไม่เชื่อคือบาป.
มันเหมือนว่าใกล้ยิ่งขึ้นต่อเครื่องหมายนั้นที่จะบอกว่าพวกเขาชำระล้างตนเองจากความรู้สึกผิดอย่างง่ายดายเพราะทุกวันของพวกเขาที่ดำรงชีวิตอยู่เรียกร้องซึ่งการพิพากษาอย่างโหดร้าย(บ่อยครั้งถึงตาย)ทีซึ่งในแผ่นดินที่อ่อนโยนกว่าจะทำให้ยุ่งยากยิ่งกว่ากับคนด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถทนทานได้.
นี้เป็นเหมือนกับว่าหนึ่งในรากทั้งหลายของฟรีเมนมุ่งเน้นกับความเชื่อเหนือจริง(เมินเฉยต่อการดูแลช่วยเหลือของมิชชั่นนาเรีย
โพเท็คติวา(the Missionaria Protectiva). จะสำคัญอะไรที่เสียงกระซิบของทรายทั้งหลายคือลางบอกเหตุอย่างหนึ่ง? จะสำคัญอะไรที่เจ้าต้องทำเครื่องหมายของกำปั้นเมื่อครั้งแรกที่คุณได้เห็นพระจันทร์
แรก?
เนื้อหนังของคนคือของเขาเองและน้ำของเขาเป็นของเผ่า---และความลี้ลับของชีวิตก็ไม่ได้เป็นปัญหาที่จะคลี่คลายนอกไปจากความสัจจริง(a
reality)ที่จะประสบรับรู้.
ลางบอกเหตุทั้งหลายช่วยเจ้าในเรื่องนี้. และเพราะว่าเจ้าอยู่ที่นี่(here), เพราะว่าเจ้ามีซึ่งลัทธิศาสน์,
ชัยชนะไม่สามารถหลบเลี่ยงหนีเจ้าไปได้ในท้ายสุด.
ขณะที่เบเน เกสเสอริต
ได้สอนมาหลายศตวรรษ, นานก่อนที่พวกเขาวิ่งไปปะทะพัวพันกับชนฟรีเมน.
“เมื่อลัทธิศาสน์และการเมืองขี่อยู่บนเกวียนเดียวกัน,
เมื่อเกวียนนั้นถูกขับขี่โดยผู้ศักดิ์สิทธิ์(baraka* - ผู้เรืองเวทย์), ไม่มีอะไรที่จะสามารถยืนขวางเส้นทางของพวกเขาได้.”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น