หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดู พิภพ ทราย/ ภาคผนวกที่ 3: ลัทธิศาสน์ แห่ง ดูน

 ภาคผนวก 2:  ลัทธิศาสน์ แห่ง ดูน

 

         ก่อนการมาถึงของ มวดดิบ, พวกฟรีเมนแห่งอาร์ราคิสฝึกฝนปฏิบัติลัทธิศาสน์หนึ่งที่มีรากใน เมาเม็ธ สะอาริ(Maometh Saari)ซึ่งอยู่ที่นั้นสำหรับบรรดานักบัณฑิตวิชาการใดจะเห็นได้. หลายคนได้สืบตามร่องรอยว่าเป็นการหยิบยืมอย่างแพร่ขยายมาจากลัทธิศาสน์ทั้งหลายอื่นๆ. ตัวอย่างทั่วไปมากที่สุดคือ บทสวดภาวนาต่อน้ำ(the Hymn to Water),  คัดลอกสำเนาหนึ่งมาโดยตรงจาก คู่มือพิธีกรรม โอเรนจ์ คาธอลิค(the Orange Catholic Liturgical Manual), พิธีเรียกเมฆฝนทั้งหลายที่อาร์ราคิสไม่เคยได้เห็น. แต่มีจุดประณีตทั้งหลายมากยิ่งกว่าของความกลมกลืนสอดคลองพ้องกันระหว่าง คิตาป อัล-อิบาร์(Kitab al-ibar*)ของชนฟรีเมนและคำสอน

         * https://hmong.in.th/wiki/Ibn_Khaldoun

ทั้งหลายของคัมภีร์ไบเบิ้ล(Bible), อิลม์(Ilm), และ ฟิคฮ์(Fiqh).

         การเปรียบเทียบใดของความเชื่อในลัทธิศาสน์ที่โดดเด่นในจักรวรรดิจนมาถึงยุคของมวดดิบต้องเริ่มต้นด้วยกองกำลังหลักทั้งหลายที่ก่อรูปเหล่าความเชื่อทั้งหลายนี้.

1. สาวกทั้งหลายแห่ง สิบสี่ผู้รอบรู้ (the Fourteen sages), ที่คัมภีร์ของพวกเขาคือ โอเรนจ์ คาธอลิค ไบเบิ้ล(the Orange Catholic Bible), และทัศนคติของพวกเขาได้ถูกแสดงออกไว้ในอรรถกถาทั้งหลาย(the Commentaries)และบทประพันธ์อื่นทีผลิตสร้างโดย คอมมิสชั่น ออฟ อีคูเมนิคัล ทรานสเลตอร์ส(the Commission of Ecumenical Translators* - คณะกรรมาธิการแห่งผู้แปลทั่วโลก ). (C.E.T.);

2. เบเน เกสเสอริต(Bene Gesserit), ผู้ได้ปฏิเสธอย่างสันโดษว่าพวกเขาเป็นสมาคมทางลัทธิศาสน์(a religious order), แต่ผู้ปฏิบัติการอยู่เบื้องหลังฉากอันยากที่จะเข้าใจไของลัทธิพิธีกรรมเวทย์มนตร์, และการฝึกฝนปฏิบัติของพวกตน, รหัสนัยสัญลักษณ์ของพวกตน, องค์กร, และวิธีการสอนทั้งหลายเชิงข้างในกายเป็นเกือบเยี่ยงศาสน์ทั้งสิ้น.

3. ชนชั้นปกครองที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า(รวมทั้งพวกกิลด์)ผู้ซึ่งถือว่าศาสนานั้นเป็นเช่นละครหุ่นกระบอกชนิดหนึ่งเพื่อที่จะสร้างความขบขันให้กับราษฎรพสกนิกรและคอยรักษามันให้ว่านอนสอนง่ายเอาไว้, และผู้ที่ได้เชื่ออย่างพื้นฐานว่าปรากฏการณ์ทั้งหมด---กระทั่งปรากฏการณ์ทางศาสนา---สามารถถูกลดทอนลงได้ด้วยคำอธิบายทั้งหลายอย่างไม่หยุดหย่อน.

4. คำสอนโบราณอย่างที่เรียกกัน---รวมทั้งเหล่านั้นที่ธำรงรักษาไว้โดย เซนสุนหนี่ วานเดอเรอร์(the Zensunni  Wanderers* - เซนสุนหนี่ เป็นระบบลัทธิศาสน์/ความเชื่อทางศาสนา

         * https://dune.fandom.com/wiki/Wandering_Zensunni/DE

ชนิดหนึ่งที่โด่งดังกับหลายวัฒนธรรมแพร่ขยายไปทั่ว เอกภพที่รู้จัก โดยเฉพาะในผู้คนที่สืบทอดมาจากชนชั้นต่ำต้อยด้อยโอกาส...เซนสุนหนี่ วานเดอเรอร์ ก็คือผู้นับถือลัทธินี้ที่เดินทางจรจากพิภพ/ดาวเคราะห์หนึ่งไปยังพิภพอื่นเพื่อแสวงหาอิสรภาพจากการถูกกดขี่ข่มเหงและเป็นทาสโดยผู้บุกรุกทั้งหลายของจักรวรรดิ)จากการเคลื่อนไหวอิสลาม(Islamic movements)ทั้งหลายในครั้งแรก, ครั้งที่สอง, และครั้งที่สาม; นาวคริสเตียนิตี แห่ง ชูชุค(the Navachrisianity of Chusuk* - ลัทธิ

         * https://dune.fandom.com/wiki/Navachristianity

ศาสน์ชนิดหนึ่ง ที่เป็นการผสมผสานด้วยกันของ นาวาโฮ กับ คริสเตียน), พุทธิสลาม แปลงรูปทั้งหลาย(the Buddhislamic Variants)ของรูปลักษณ์ทั้งหลายนั้นอันโดดเด่นที่ ลางกิวีล(Lakiveil)และ ซิกุน(Sikun), คัมภีร์ผสมผสานของมหายาน ลังกาวะตระ(the Blend Books of the Mahayana Lankavatara), เซน เฮคิกันชุแห่งที่3 เดลตา พาโวนิส(the Zen Hekiganshu of III Delta Pavonis* - ลัทธิศาสน์หนึ่งของดาวเคราะห์ดวงที่3 ของระบบดาวเดลตา พาโวนิส/

         * https://dune.fandom.com/wiki/III_Delta_Pavonis

รู้จักกันดีในชื่อดาว คาลาดาน), ทาวเราะฮ์และทัลมูดิค ซาบุร์(the Tawrah and Talmudic zabur*)อยู่รอดบน ซาลุสา เซคันดัส(Salusa Secundus* - ดาวราชทัณฑ์ของจักรพรรดิ), ที่แพร่หลายก็ โอบีอะฮ์ ริฌวล(the pervasive Obeah Ritual), มัวดฮ์ คูราน(the Muadh Quran*)ด้วยอิล์มและฟิคฮ์อันพิสุทธิ์ของมัน(with its pure Ilm and Fiqh)อยู่รอดในหมู่ชาวนาปลูกข้าวภุณฑิทั้งหลายของคาลาดาน(the pundi rice farmers of Caladan), ฮินดู(the Hindu)ที่โผล่ขึ้นมาพบได้ทั่วทั้งเอกภพในกระเป๋าเล็กๆทั้งหลายของพวกปีออนทั้งหลายผู้โดดเดี่ยว, ในท้ายสุด, บัตเลอเรียน จิฮาด(the Butlerian Jihad*).

         * https://dune.fandom.com/wiki/Butlerian_Jihad

         ได้มีกองกำลังที่ห้าซึ่งจัดรูปความเชื่อในลัทธิศาสน์, แต่ผลสะท้อนของมันนั้นเป็นสากลและลึกซึ้งมากเหลือเกินจนมันควรค่าแก่การที่จะยืนเพียงลำพังได้.

         นี้เป็น, แน่นอนละ, การเดินทางไปในอวกาศ---และในการถกเถียงใดของลัทธิศาสน์, มันควรค่าแก่การที่จะถูกเขียนเอาไว้เช่น:

การเดินทางในอวกาศ!

         การเคลื่อนไหวของมนุษยชาติผ่านอวกาศตอนลึกถูกวางตำแหน่งเป็นตราประทับอย่างเป็นเอกบนลัทธิศาสน์ในช่วงหนึ่งร้อยสิบศตวรรษทั้งหลายที่มีมาก่อน บัตเลอเรียน จิฮาด(the Butlerian Jihad). ในการที่จะเริ่มต้นด้วย, การเดินทางในอวกาศยุคแรกเริ่ม, ถึงแม้ว่าจะแผ่กว้างไปทั่ว, แต่ก็เป็นการอลหม่านไร้ระเบียบอย่างมโหฬาร, ช้า, และไม่มีความแน่นอน, และ, ก่อนที่พวกกิลด์จะเข้ามาผูกขาด, ได้รับผลสัมฤทธิ์ก็จากการมั่วจับฉ่ายปนเปกันไปของวิธีการทั้งหลาย. ประสบการณ์ในอวกาศครั้งแรก, มีการสื่อสารติดต่ออย่างแย่มากและเนื้อหาสาระก็ถูกบิดเบี้ยว, เป็นสิ่งจูงใจอันบ้าคลั่งต่อความเสี่ยงโชคอย่างลี้ลับโดยแท้จริง.

         โดยทันทีทันใดนั้น, อวกาศก็ให้ความแตกต่างในรสชาติและสัมผัสรู้ต่อความคิดทั้งหลายของการรังสรรค์(Creation). ความแตกต่างทั้งหลายนั้นถูกพบเห็นกระทั่งในผลสัมฤทธิ์อันสูงสุดทางลัทธิศาสน์ของช่วงคาบเวลานั้น. ทะลุผ่านศาสน์ทั้งหมด, ความรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์นั้นได้ถูกสัมผัสแตะต้องโดยภาวะอนาธิปไตยจากความดำมืดข้างนอก.

         มันเป็นราวกับว่าเทพจูปิเตอร์(Jupiter)ที่อยู่ในรูปทรงทั้งหมดที่สืบทอดกันมาได้ล่าถอยกลับเข้าไปสู่มารดาความมืดนั้นเพื่อที่จะถูกแย่งแทนที่โดยอัพภันตรภาพอิตถี(a female immanence)เติมเต็มด้วยความเคลือบแคลงคลุมเคลือและด้วยโฉมหน้าของการก่อการร้ายทั้งหลายอันมากมาย.

         สูตรซับซ้อนโบราณไขว้สานเข้าด้วยกัน, ปนเปยุ่งเหยิงกันขณะที่พวกเขาลงตัวเหมาะเจาะกับความจำเป็นต้องการทั้งหลายของการพิชิตครอบครองอันใหม่ทั้งหลายและสัญลักษณ์พิธีกรรมประกาศอันใหม่ทั้งหลาย. มันเป็นยุคสมัยของการดิ้นรนต่อสู้ระหว่างสัตว์อสูรร้ายในด้านหนึ่งและผู้สวดภาวนาและอ้อนวอนเก่าแก่อยู่อีกด้านหนึ่ง.

         ไม่เคยมีคำตัดสินพิพากษาใดที่กระจ่างชัด.

         ระหว่างคาบช่วงเวลานี้, มันได้กล่าวกันว่าเยเนซิส(Genesis* - คัมภีร์ที่กล่าวถึง”ปฐมกาล”)ได้ถูกตีความขึ้นใหม่, ยินยอมให้พระเจ้า(God)ที่จะกล่าวว่า:

         “จงเพิ่มขึ้นและทวีขึ้น, และเติมเต็มเอกภพนี้, และพิชิตมัน, และปกครองเหนือวิธีกระทำทั้งหมดของสัตว์ร้ายและสิ่งมีชีวิตแปลกถิ่นทั้งหลายในอากาศอันไร้ที่สิ้นสุดทั้งหลาย, บนปฐพีอันไร้ที่สิ้นสุดทั้งหลายและภายใต้พวกมัน.”

         มันเป็นยุคสมัยของไสยเวทย์พ่อมดหมอผีทังหลายผู้ซึ่งพลังอำนาจทั้งหลายนั้นเป็นจริง. มาตรวัดของพวกเขาได้ถูกพบเห็นในความจริง ที่ว่าพวกเขาไม่เคยคุยโอ้อวดว่าพวกเขากุมจับไฟคุโชนนั้นได้เช่นไร.

         แล้วก็มาถึง บัตเลอเรียน จิฮาด(the Butlerian Jihad)---สองรุ่นอายุของความโกลาหลกลียุค. พระเจ้าแห่งตรรกะ-จักรกลได้เข้ายึดครองอำนาจเหนือมวลมหาชนทั้งหลายและแนวความคิดใหม่ก็ลุกขึ้น.

         “มนุษย์ต้องไม่อาจถูกแทนที่ได้.”

         สองรุ่นอายุแหล่งความรุนแรงเหล่านั้นเป็นสถานีพักหยุดกระแสประสาทถ่ายทอด(a thalamic)ของมนุษยชาติทั้งหมด. คนมองไปยังพระเจ้าของพวกเขาและพิธีกรรมของพวกเขาและเห็นว่าทั้งสองอย่างนั้นได้ถูกเติมเต็มไปด้วยความก่อการร้ายมากที่สุดของสมกาลทั้งหลายทั้งหมด: ความกลัวอยู่เหนือความทะเยอทะยาน.

         อย่างลังเล, ผู้นำของลัทธิศาสน์ทั้งหลายผู้ซึ่งสาวกได้หลั่งเลือดกันไปเป็นหลายพันล้านก็เริ่มต้นการประชุมกันเพื่อแลกเปลี่ยนทัศนคติทั้งหลาย. มันเป็นการเคลื่อนไหวที่เสริมความกล้าหาญโดย สเปซ กิลด์(the Space Guild – สมาพันธ์ผู้นำร่องอวกาศ), ซึ่งเป็นการเริ่มต้นที่จะสร้างการผูกขาดของพวกมันเหนือการเดินทางระหว่างดวงดาวทั้งหมด, และโดย เบเน เกสเสอริต(the Bene Gesserit)ผู้ซึ่งกำลังตั้งวงรวมกันของแม่มดทั้งหลาย.

         จากการประชุมผู้นำลัทธิศาสนจักรครั้งแรกทั้งหลายนั้นได้มีสองการพัฒนาหลักออกมา:

         1. การตระหนักว่า ลัทธิศาสน์ทั้งหมดมีบัญญัติอย่างน้อยที่สุดที่เหมือนกันทั่วไป: “สูเจ้าจักต้องไม่ทำความเสียหายต่อจิตวิญญาณ.”

         2. คณะกรรมาธิการ แห่ง สัมพันธภาพผู้แปลถ่ายทอดลัทธิศาสน์ทั้งหลาย(the Commission of Ecumenical Translators)

         ก.ส.ป. ชุมนุมกันบนเกาะเป็นกลางแห่งโลกเก่า(Old Earth), พื้นที่วางไข่แห่งศาสนมารดาทั้งหลาย(spawning ground of mother religions). พวกเขาพบกัน “ในความเชื่อทั่วไปที่ว่ามีการดำรงอยู่ของ เทวะธาตุ(a Divine Essence)ในเอกภพ(the universe).” ทุกศาสน์ศรัทธาที่มีสาวกมากกว่าหนึ่งล้านถูกตั้งให้มีผู้แทน, และพวกเขาได้เอื้อมไปถึงข้อตกลงในฉับพลันอันน่าแปลกใจกับแถลงการณ์แห่งเป้าหมายทั่วไปของพวกเขา.

         “เรามาอยู่ในที่นี้เพื่อปลดเอาอาวุธเบื้องต้นออกไปจากมือทั้งหลายของผู้ขัดแย้งทางลัทธิศาสน์ทั้งหลาย. อาวุธนั้น---คือคำอ้างต่อการเป็นเจ้าของครอบครองซึ่งเอกะวิวรณ์(the one and only revelation - การเผยออกของพระเจ้าต่อมนุษย์)ว่าคือของตน.”

         ความปลื้มปีติกับ “สัญญานแห่งข้อตกลงร่วมกันอันลึกซึ้ง”นี้ พิสูจน์ถึงความมีวุฒิภาวะ. ในมากกว่าหนึ่งปีมาตรฐาน(a standard year), แถลงการณ์นั้นเป็นแค่เพียงการประกาศเดียวเท่านั้นจาก ก.ส.ป.(C.E.T.). คนพูดกันอย่างขมขื่นถึงความเลื่อนล่าช้านั้น. เหล่าวณิพกประพันธ์เพลงทั้งหลายเหน็บกัดอย่างหลักแหลมเกี่ยวกับเจ้าหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ด “แก่สุดประหลาด” ที่เป็นผู้แทน ก.ส.ป. กลายมาถูกเรียกเช่นนั้น. (ชื่อนี้เกิดขึ้นมาจากตลกลามกซึ่งเล่นกันกับมุขคำย่อของชื่อและเรียกผู้แทนเหล่านั้นว่า “ตัวประหลาด-โคตร-ติ่ง”) หนึ่งในเพลงทั้งหลาย, “นอนตัวเกรียม(Brown Repose)” ได้ผ่านเลยยุคช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูมาอย่างยากลำบากและมีชื่อเสียงโด่งดังจนมาถึงวันนี้:

         “คิดซะว่าพักซะผ่อน.

         นอนจนตัวเกรียมไหม้---และ

         เศร้าสังเวชใจ

         ในบรรดาทั้งหมดเหล่า

         เฒ่าประหลาด! ทั้งหมดเหล่า เฒ่าประหลาด!

         ช่างขลาดคร้าน---ช่างขลาดคร้าน

         ผ่านวานวันเราท่านไป.

         เวลาได้สั่นกระดิ่งเรียกหา

         ท,เจ้าข้า แซนวิชเอ๊ย!

         คำเล่าลือในบางโอกาสรั่วออกมาจากการประชุมของ ก.ส.ป.. มันได้ถูกพูดกันว่าพวกเขากลังเปรียบเทียบคัมภีร์ทั้งหลายและ, อย่างขาดความรับผิดชอบ, คัมภีร์เหล่านั้นได้มีชื่อเสียง. คำเล่าลือเยี่ยงนั้นยั่วยุปลุกเร้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้เกิดการจลาจลต่อต้านความเชื่อลัทธิศาสน์ทั้งหลายและ, แน่นอนว่า, บันดาลใจให้เกิดคำคมเล่นลิ้นใหม่ๆขึ้น.

         สองปีผ่านไป.....สามปี.

         คณะกรรมาธิการนั้น, เก้าจากจำนวนแรกเริ่มของพวกเขาได้เสียชีวิตและได้ถูกแทนที่, ได้หยุดลงเพื่อเฝ้ารอการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการของการแทนที่ตำแหน่งนั้นและได้ประกาศว่าพวกเขาได้ออกแรงในการที่จะผลิตสร้างคัมภีร์หนึ่ง, ชำระสะสางเอาสิ่งบางอย่างออกไปที่เป็น “ทั้งหมดของอาการป่วยไข้ทั้งหลาย” ของลัทธิศาสน์ทั้งหลายในอดีต.

         “เรากำลังผลิตสร้างเครื่องมือหนึ่งแห่งความรัก(an instrument of Love)ที่จะถูกมีบทบาทในทุกวิถีทั้งหลาย,” พวกเขาบอก.

         หลายคนพิจารณาว่ามันแปลกทีแถลงการณ์นี้ปลุกเร้ายั่วยุการะบาดอย่างเลวร้ายของความรุนแรงต่อต้านลัทธิสามัคคีความเชื่อในศาสนานี้. ยี่สิบผู้แทนได้ถูกเรียกกลับโดยกลุ่มลัทธิศาสน์ทั้งหลายของพวกตน. หนึ่งนั้นได้ฆ่าตัวตายโดยการขโมยยานรบฟรีเกตอวกาศและขับมันตรงเข้าไปในดวงอาทิตย์.

         นักประวัติศาสตร์ประมาณว่าการจลาจลทั้งหลายนั้นเอาชีวิตไปแปดสิบล้านคน. นี้เป็นผลออกมาได้ราวหกพันกับแต่ละพิภพในตอนนั้นที่อยู่ใน สมาพันธ์ แลนด์สราอาด(the Landsraad League). การพิจารณาถึงวันเวลาของความไม่สงบนั้น, นี้อาจะไม่เป็นการประมาณที่มากเกินไปกว่าที่จะรับได้, ถึงแม้ว่าการเสแสร้งอ้างต่อความละเอียดถูกต้องจริงในการคาดคะเนใดก็ต้องเป็นเช่นนั้น---การเสแสร้ง. การสื่อสารระหว่างพิภพทั้งหลายอยู่ที่หนึ่งในความเสื่อมถอยทั้งหลายซึ่งลงต่ำที่สุดของมัน.

         วณิพกทั้งหลายค่อนข้างอย่างเป็นธรรมชาติ, มีวันแห่งความหรรษากัน. ดนตรีตลกที่รู้จักกันแพร่หลายหนึ่งของยุคนั้นโดยทำเป็นมีหนึ่งในผู้แทนแห่ง ก.ส.ป. นั่งอยู่บนชายหาดทรายสีขาวภายใต้ต้นปาล์มกำลังร้องเพลงว่า:

         “เพื่อ พระเจ้า, ผู้หญิงและความงดงามแห่งรัก

         เราอืดอาดนักพักหยอกกันที่นี่ไม่มีกลัวหรือใส่ใย

         วณิพกเอ๋ย! วณิพกเอ๋ย! ร้องไปในทำนองอื่นเหอะ

         เพื่อ พระเจ้า, ผู้หญิงและความงดงามแห่งรัก!

         จลาจลทั้งหลายและตลกเป็นก็แต่อาการของโรคทั้งหลายแห่งยุคสมัย, เผยออกมาอย่างลึกซึ้ง. พวกเขาทรยศในอารมณ์สีสันแห่งจิตวิทยา, ความไม่แน่นอนทั้งหลายอย่างลึก.....และการดิ้นรนเพื่อบางอย่างที่ดีกว่า, บวกกับความหวาดกลัวว่าไม่มีอะไรจะออกมาจากมันทั้งหมดเลย.

         เขื่อนกั้นใหญ่หลักต่ออนาธิปไตยในเวลาทั้งหลายเหล่านี้คือตัวอ่อน(embryo)กิลด์, เบเน เกสเสอริต(the Bene Gesserit)และ แลนด์สราอาด(the Landsraad), ที่ดำเนินการ 2,000 บันทึกของการประชุมของมันทั้งที่มีอุปสรรคร้ายรุนแรงที่สุด. ส่วนของกิลด์นั้นปรากฏได้ชัดเจน: พวกเขาบริการขนส่งให้เปล่าแก่บรรดาธุรกิจงานของแลนด์สราอาดและ ก.ส.ป.ทั้งหมด. บทบาทของ เบเน เกสเสอริต นั้นคลุมเครืออำพรางมากกว่า. อย่างแน่นอน, นี่คือวันเวลาซึ่งพวกเขารวมกันเป็นหนึ่งเดียวในสิ่งที่พวกเขายึดถืออยู่กับแม่มดเรืองเวทย์ทั้งหลาย, เปิดค้นเสาะหาสารเสพย์ติดอันละเอียดลึกล้ำทั้งหลาย, พัฒนาการฝึกฝนปฏิบัติปราณ-พินฑุและตั้งครรภ์ซึ่ง มิชชั่นนาเรีย โพรเท็คติวา(the Missionaria Protectiva), อาวุธดำนั้นแห่งไสยเวทย์. แต่มันก็เป็นช่วงคาบเวลาด้วยเช่นกันที่มองเห็นการประกอบกันเข้าของบทสวด(the Litany)ต้านความหวาดกลัว

(against Fear)และการสมาคมของอาซฮาร์ บุ๊ค(the Azhar Book*), ที่รวบรวมสิ่งมหัศจรรย์ตามบรรณานุกรมซึ่งสงวนไว้ซึ่งความลับทั้งหลายอันยิ่งใหญ่ของศรัทธาความเชื่อโบราณ.

         * https://dune.fandom.com/wiki/Azhar_Book

         การวิจารณ์ของอิงค์สลีย์(Ingsley’s comment)บางทีคือความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น.

         “นั้นคือวันเวลาแห่งปฏิทรรศน์เบื้องลึก(deep paradox).”

         เกือบเจ็ดปี, แล้ว, ก.ส.ป. ได้ออกแรง. และเมื่อการฉลองครบรอบที่เจ็ดเข้ามาถึง, พวกเขาได้เตรียมพร้อมเอกภพมนุษย์สำหรับการประกาศอันวิกฤตสำคัญ. ในงานเฉลิมฉลองครบรอบเจ็ดปี, พวกเขาได้เผยออกซึ่ง คัมภีร์ไบเบิ้ล โอเรนจ์ แคธอลิค(the Orange Catholic Bible).

         “นี่คืองานด้วยเกียรติสง่างามและความมุ่งหมายสำคัญ,” พวกเขาบอก. “นี่คือวิถีทางที่จะสร้างมนุษยชาติได้ตระหนักรู้ถึงตนเองดังเช่นสิ่งรังสรรค์สูงสุดยอดแห่งพระเจ้า(a total creation of God).

         คนของ ก.ส.ป. ก็เปรียบเสมือนกับนักโบราณคดีทางความคิดทั้งหลาย, ได้รับแรงดาลใจโดยพระเจ้า(God)ในการฟื้นคืนค้นพบอันสูงศักดิ์ยิ่งใหญ่. มันถูกกล่าวกันว่าพวกเขาได้นำออกมาสู่แสงสว่างซึ่ง “พลังชีวิตแห่งอุดมคติยิ่งใหญ่ที่ถูกซ้อนทับโดยสิ่งทับถมทั้งหลายมาหลายศตวรรษ,” ว่าพวกเขาได้ “เหลาฝนคมให้กับสิ่งจำเป็นสำคัญทางศีลธรรมทั้งหลายที่ออกมาจากสัมปชัญญะในลัทธิศาสน์.

         ด้วย โอ. ซี. ไบเบิ้ล, ก.ส.ป.ได้นำเสนอคู่มือ พิธีกรรม(the Liturgical Manual)และอรรถกถาทั้งหลาย(the Commentaries)---ในมากมายความเคารพนับถือในงานที่น่าจดจำยิ่ง. ไม่เพียงแค่เพราะความสั้นกระชับของมัน(น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของขนาดของ โอ. ซี. ไบเบิ้ล), แต่ยังเพราะความตรงไปตรงมาของมันแล้น้อมกลมกล่อมด้วยความเวทนา-ในตนและคุณธรรม-ในตน.

         การเริ่มต้นนั้นเผยตัวตนปรากฏชัดเจนต่อผู้ปกครองที่ไร้ความเชื่อว่ามีพระเจ้าทั้งหลาย.

         “คนค้นพบว่าไม่มีคำตอบใดต่อสุนหน่าน(sunnan*)[หนึ่งหมื่นคำถามทางลัทธิศาสน์จากชาริ-อะฮ์(the Shari-ah*)] ตอนนี้ได้ประยุกต์เหตุผลของพวกเขาเอง. คนทัเงหมดเสาะหาที่จะเป็นผู้บรรลุปัญญา. ล้ทธิศาสน์นั้นเป็นแค่มากที่สุดแห่งวิถีอันโบราณและทรงเกียรติที่คนเราได้มานะพากเพียรที่จะสร้างสัมผัสรู้ต่อเอกภพแห่งพระเจ้า(God’s universe). นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายเสาะหาความสมบูรณ์ของกฎของเหตุการณ์ทั้งหลาย. มันเป็นภารกิจของลัทธิศาสน์(Religion)ในการที่จะเอามนุษย์เข้าไปให้เหมาะกับกฎอันสมบูรณ์นี้(this lawfulness)นั้น.

         ในบทสรุปของพวกเขา, กระนั้น, อรรถกถาทั้งหลายจัดวางคำขู่กรรโชก(a harsh tone) ที่เป็นเช่นอย่างยิ่งเหมือนทำนายชะตากรรมของพวกเขา.

         “เป็นอันมากที่เรียกกันว่า ลัทธิศาสน์ นั้นได้นำพามาซึ่งทัศคติที่ไร้จิตสำนึกของความมุ่งร้ายต่อชีวิต. ลัทธิศาสน์ที่แท้สัจจริงต้องสอนว่าชีวิตนั้นถูกเติมเต็มด้วยความปีติยินดีมีสุขต่อพระเนตรของพระเจ้า(God), ว่าความรู้ที่ปราศจากการกระทำนั้นคือความว่างเปล่า. มนุษย์ทกคนต้องมองเห็นว่าการสอนถึงลัทธิศาสน์โดยกฏวินัย และ ท่องจำ นั้นคือสิ่งหลอกลวงอันมหึมา. การสอนที่เหมาะสมคือต้องให้ตระหนักรู้ได้ง่าย. เจ้าไม่สามารถรู้มันโดยปราศจากการล้มเหลวก็เพราะมันเป็นการตื่นขึ้นมาภายในของตัวเจ้าว่าผัสสาการ(sensation)นั้นคือสิ่งที่บอกต่อเจ้าว่านี้เป็นอะไรบางอย่างที่เจ้าได้รู้จักดีมาตลอดเสมอ.”

         มีสัมผัสรู้ที่แปลกของความสงบขณะที่สิ่งพิมพ์ทั้งหลายและเครื่องถ่ายอัดสำเนาชิกาไวริ์(shigawire* imprinters)ทั้งหลายหมุนกลิ้งไปและ โอ.ซี.ไบเบิ้ล(O.C. Bible)แพร่กระจาย

         * https://dune.fandom.com/wiki/Shigawire

ออกไปผ่านทั่วพิภพทั้งหลาย. บางอันก็ถูกแปลถ่ายทอดสิ่งนี้เป็นเช่นเครื่องหมายของพระเจ้า(God), คือนิมิตแห่งความเป็นหนึ่งเดียว(an omen of unity).

         แต่แม้กระทั่งผู้แทน ก.ส.ป.(คณะกรรมาธิการ แห่ง สัมพันธภาพผู้แปลถ่ายทอดลัทธิศาสน์ทั้งหลาย(the Commission of Ecumenical Translators – C.E.T.)ก็ทรยศต่อนวนิยายของความสงบนั้นเมื่อพวกเขาได้กลับคืนไปสู่กลุ่มคนเชื่อถือลัทธิศาสน์ของพวกเขาเองอีกครั้ง. สิบแปดคนในพวกเขาได้ถูกจับแขวนคอภายในเวลาสองเดือน. ห้าสิบสามคนกลับคำพูดและถอนตัวภายในเวลาหนึ่งปี.

         คัมภีร์ โอ.ซี. บเบิ้ล ได้ถูกประกาศยกเลิกว่าเป็นงานที่ผลิตสร้างโดย “การหลงผิดของเหตุผล”. มันถูกบอกว่าแผ่นหน้าทั้งหลายของมันถูกเติมเต็มด้วยความหลอกลวงล่อความสนใจแห่งตรรกะ. การปรับปรุงแก้ไขใหม่ทั้งหลายที่จัดหาให้ต่อทิฐิมานะดื้อรั้นอันโด่งดังเริ่มต้นปรากฏให้เห็น. การแก้ไขเหล่านี้เอนพิงเข้ากับสัญลักษณ์นิยมที่ถูกยอมรับกันทั้งหลาย(กางเขน(Cross), เดือนเสี้ยว(Crest), เครื่องเขย่าขนนก(Feather Rattle), สิบสองนักบุญ(Twelve Saints), พุทธบาง(the thin Buddha), และอะไรเหมือนเช่นนั้น)และมันในไม่ช้าได้กลายเป็นการปรากฏออกมาว่าความงมงายและความเชื่อถือโชคลางโบราณทั้งหลายได้ไม่ถูกดูดซับออกไปโดยลัทธิสามัคคีศาสน์ใหม่.

         ตราประทับของฮอลโลว์เวย์ สำหรับ ก.ส.ป. เจ็ดปีในความพยายาม---“กอล-นิยัตินิยมวิภาษวิธี(Gal-actophasic Determinism)” ---ถูกฉกขึ้นมาโดยผู้กระหายหลายพันล้านที่ตีความแรกเริ่มของอักษรย่อ พ.จ.(G.D.) ว่าคือ “พ่อ-เจ้าอ่ะแหละ (God-Damned).”

         ประธาน ก.ส.ป. ตูวริ์ โบโมโก(C.E.T. Chairman Toure Bokomo), อุลิมะ แห่ง เซ็นสุนหนี่(a Ulema of Zensunni)และหนึ่งในสิบสี่ผู้แทนผู้ที่ไม่มีวันกลับคำ(“สิบสี่ ปราชญ์ – The Fourteen Sages” แห่งประวัติศาสตร์อันโด่งดัง), ได้ปรากฏที่จะยอมรับในท้ายสุดว่า ก.ส.ป.(the C.E.T.)มีข้อผิดพลาด.

         “เราไม่ควรพยายามที่จะสร้างสัญลักษณ์ขึ้นมาใหม่ทั้งหลาย,” เขาพูด. “เราน่าจะได้จระหนักรู้ว่าเราไม่ได้ถูกคาดหวังว่าจะเสริมเพิ่มความไม่มั่นคลุมเครือทั้งหลายเข้าไปสู่ความเชื่อที่ได้ยอมรับกันแล้ว, ว่าเราไม่ได้ถูกคาดหวังที่จะผสมความอยากรู้อยากเนทั้งหลายคละคนเข้ากันเกี่ยวกับพระเจ้า(God). เราได้ถูกประจันหน้ารายวันโดยความไม่มีเสถียรภาพอันน่าสะพรึงกลัวของทั้งหมดทุกสิ่งมนุษย์, กระนั้นเราก็ยินยอมอนุญาตให้ความเชื่อในลัทธิศาสน์ของเราที่จะเติบโตแข็งตัวยิ่งขึ้นและได้ควบคุม, มากยิ่งขึ้นกับการให้ปฏิบัติตามและการกดขี่ข่มเหง. อะไรคือที่เงานี้พาดข้ามผ่านทางสายใหญ่ของ คำบัญชาจากสวรรค์(Divine Command)หรือ? มันคือคำเตือนว่าสถาบันทั้งหลายนั้นยืนหยัดคงทน, สัญลักษณ์ทั้งหลายนั้นยืนหยัดคงทนเมื่อความหมายของพวกเขาได้สูญหายไป, ว่าไม่มีข้อสรุปใดได้จากทั้งหมดของความรู้ ที่สามารถเข้าถึงได้.”

         ขอบริมขื่นขมสองเท่าใน “การประกาศยอมรับ”นี้ไม่ได้หลบหนีจากคำวิพากษ์ของโบโมโกและเขาถูกบีบบังคับในไม่ช้าภายหลังจากนั้นให้เผ่นหนีเข้าไปในการเนรเทศ, ชีวิตของเขาได้รับอุปถัมภ์จากสัญญาประกันของกิลด์แห่งการเก็บความลับ. เขาถูกรายงานว่าเสียชีวิตที่บนทูไพลิ์(Tupile), ได้รับเกียรติยกย่องและเป็นที่รัก, คำพูดสุดท้ายของเขาคือ “ลัทธิศาสน์ต้องธำรงไว้เป็นซึ่งช่องระบายสำหรับผู้คนผู้พูดกับตัวพวกเขาว่า ข้าไม่ได้เป็นคนประเภทที่ข้าต้องการจะเป็น. มันต้องไม่มีวันจมลงไปสู่การชุมนุมรวบรวมกันของความพึงพอใจของตนเอง.”

         มันเป็นความสบายใจที่จะคิดว่าโบโมโกได้เข้าใจถึงคำพยากรณ์ในคำพูดนั้นของเขาว่า: “สถาบันทั้งหลายยืนหยัดคงทน.”อเก้าสิบชั่วรุ่นอายุทั้งหลายถัดมาในภายหลัง, คัมภีร์โอ.ซี. ไบเบิ้ล และ อรรถกถาทั้งหลายได้แผ่ซ่านทั่วเอกภพลัทธิศาสน์.

         เมื่อ พอล มวดดิบ(Paul Muad’dib)ยืนพร้อมด้วยมือขวาของเขาวางอยู่บนสถูปหินที่ก่อหุ้มกะโหลกศีรษะของบิดาเขา(มือขวาแห่งการประทานพร, ไม่ใช่มือซ้ายแห่งการสาปแช่ง)เขาได้อ้างคำต่อคำจาก “มรดกของโบโมโก” ---

         “เจ้าผู้ได้ชัยชนะเราจงบอกกับตัวเจ้าเองเถิดว่า บาบีโลน(Babylon) นั้นได้ล่มสลายและผลงานทั้งหลายของมันได้ถูกพลิกคว่ำทะลายลง. ข้าบอกต่อเจ้ากระนั้นคนผู้นั้นก็ยังคงดำรงอยู่กับความทรมานเจ็บปวด, แต่ละคนในอู่คอกจำเลยของตนเอง. แต่ละคนนั้นคือเศษเล็กของสงคราม.”

         ฟรีเมนพูดถึงมวดดิบว่าเขาเป็นเหมือนอาบู ซิเด(Abu Zide)ผู้ซึ่งยานรบฟรีเกตของเขาได้ท้าทายฝ่าฝืนต่อกิลด์และขับออกไปในวันหนึ่งยังที่นั้นและกลับมา. ที่นั้นใช้ในวิธีนี้เพื่อแปลโดยตรงจากเทวตำนานของฟรีเมนในฐานที่เป็นแผ่นดินแห่งจิตวิญญาณ-รูฮ์(the land of ruh-spirit), อลาม-อัล-มิธัล(the alam al-mithal)ที่ซึ่งข้อจำกัดทั้งหลายได้ถูกยกย้ายออกไปสิ้น.

         คู่ขนานระหว่างผู้นี้และ ควิทสาตซ์ ฮาเดรัค(the Kwisatz Haderach)นั้นได้เห็นกันพร้อมแล้ว. ควิทสาตซ์ ฮาเดรัคนั้นคณะชีภคินีได้เสาะหาผ่านโครงงานผสมสายพันธุ์ของมันได้ถูกแปลความหมายว่าเป็น “หนทางลัดสั้นของวิถี(The Shortening of the way)” หรือ “เอกบุรุษผู้สามารถอยู่ในสองแห่งหนในขณะเดียวกัน.”

         แต่ทั้งสองของการแปลความหมายนี้สามารถถูกแสดงถึงรากเหง้าต้นกำเนิดได้จากบทอรรถกถาทั้งหลายนั้น(the Commentaries): “เมื่อภาระหน้าที่ของกฎหมายและลัทธิศาสน์เป็นหนึ่งเดียวกัน, ของเจ้าก็แทบจะโอบรอบเอกภพนั้น.”

         กับตัวเขาเอง, มวดดิบพูดว่า: “ขาคือแหอวนในทะเลแห่งกาลเวลา(a net in the sea of time), อิสระที่จะลากกวาดเอาอนาคตและอดีต. ข้าเป็นเนื้อเยื่อเคลื่อนที่ไปจากผู้ซึ่งความเป็นไปได้สามารถหนีหลุดออกมาได้.”

         ความคิดเหล่านี้ทั้งหมดต่างเป็นเอกะและเดียวกันและพวกเขาตั้งใจสดับต่อ 22 คาลิมะ(22 Kalima)ในคัมภีร์ โอ.ซี. ไบเบิ้ล(the O.C. Bible)ที่ซึ่งได้บอกไว้ว่า: “ไม่ว่าความหนึ่งจะได้ถูกเอ่ยออกมาหรือไม่ มันก็คือสิ่งสัจจริงและมีพลังอำนาจแห่งความสัจจริง.”

         มันเป็นเมื่อเราได้เข้าไปสู่อรรถกถาทั้งหลายของมวดดิบเองใน “เสาหลักค้ำจักรวาล(The Pillars of the Universe)” ดังที่ถูกตีความหมายโดยพระผู้ศักดิ์ของเขา, ค๊ซาระ ทาวิด(the Qizara Tafwid), ที่เราเห็นหนี้สินแท้จริงต่อ ก.ส.ป.(C.E.T.)และฟรีเมน-เซนสุนหนี่(Fremen-Zensunni).

         มวดดิบ: “กฎหมายและหน้าที่คือหนึ่งเดียว; จงให้มันเป็นเช่นนั้น. แต่จำเอาไว้ถึงข้อจำกัดทั้งหลายเหล่านี้---กระนั้นพวกเจ้าจะยังไม่มีวันมีสัมปชัญญะในตนอย่างเต็มเปี่ยม. กระนั้นเจ้าจะยังคงหมกจุ่มอยู่ในระเบียบการสาธารณะ(the communal tau). กระนั้นเจ้าก็ยังจะเป็นน้อยลงยิ่งกว่าความเป็นปัจเจกชน.”

         โอ.ซี. ไบเบิ้ล: มีคำพูดอย่างเดียวกัน. (วิวรณ์ 61)

         มวดดิบ: “ลัทธิศาสน์บ่อยครั้งที่มีส่วนในไสยเวทย์ของกระบวนการที่ปิดบังพวกเราจากความน่าสะพรึงกลัวของอนาคตอันไม่แน่ชัด.”

         อรรถกถาทั้งหลายของ ก.ส.ป.(C.E.T. Commentaries): มีคำพูดอย่างเดียวกัน. (คัมภีร์ อาชาร์(the Azhar Book* สืบตามร่องรอยคำกล่าวนี้ไปยังศตวรรษแรกขอผู้เขียนลัทธิศาสน์, เนชู(Neshou), ผ่านการถอดความหนึ่ง.)

         มวดดิบ: “ถ้าเด็กหนึ่ง, บุคคลผู้มิได้รับการอบรมหนึ่ง, บุคคลผู้มีอวิชชาหนึ่ง, หรือบุคคลผู้ขาดสติหนึ่งได้กระตุ้นก่อกวนความเดือดร้อนวุ่นวาย, มันเป็นข้อผิดพลาดบกพร่องของผู้มีอำนาจที่ไม่คาดการณ์ล่วงหน้าและป้องกันต่อความเดือดร้อนยุ่งยากวุ่นวายนั้น.”

         โอ.ซี. ไบเบิ้ล: “บาปใดก็ตามนั้นสามารถถูกอ้างสันนิษฐานได้, อย่างน้อยที่สุดในการมีส่วน, ว่าเป็นนิสัยชั่วร้ายตามธรรมชาติที่มีโอกาสที่จะบรรเทาลดน้อยลงอันสามารถยอมรับได้ต่อพระเจ้า(God).” (คัมภีร์ อาซาร์ สืบตามรอยนี้ยังเซมิติค ตาวราโบราณ[the Semitic Tawra]).”

         มวดดิบ: “จงเอื้อมมือของสูเจ้าไปเบื้องหน้าและกินอะไรที่พระเจ้า(God)ได้ประทานมาในที่นั้น; และเมื่อสูเจ้าถูกเติมเต็มใหม่แล้ว, จงสรรเสริญต่อพระองค์(Lord).”

         โอ.ซี. ไบเบิ้ล: แปลความอันหนึ่งในความหมายเดียวกัน. (คัมภีร์ อาซาร์[the Azhar Book], สืบตามรอยนี้ต่างไปในรูปเรียงเล็กน้อยยังอิสลาม ลำดับแรก(First Islam.)

         มวดดิบ: “ความเมตตา คือการเริ่มต้นของความโหดร้าย.”

         ฟรีเมน คิตาบ อัล-อิบาร์: “ภาระหนักของพระเจ้า(God)ผู้ทรงเมตตานั้น คือสิ่งที่น่าหวาดกลัวอย่างเต็มเปี่ยม. พระเจ้า(Godไม่ได้ประทานดวงอาทิตย์ที่กำลังลุกไหม้แก่เราหรือ(อัล-ลัต[Al-Lat]? พระเจ้า(God)ไม่ได้ประทานพระมารดาแห่งความชุ่มชื้น[the Mother of Moisture](แม่อธิการ – Reverend Mother)แก่เราหรือ? พระเจ้า(God)ไม่ได้ประทานไชตาน[Shaitan*](อิบลิส[Iblis], ซาตาน[Satan]แก่เราหรือ? จากไชตาน[Shaitan]เราไม่ได้รับความเจ็บปวดอย่างเต็มเปี่ยมแห่งความรวดเร็ว(the hurtfulness of speed)หรือ?

         (นี้เป็นแหล่งกำเนิดที่ชนฟรีเมนพูดว่า: “ความรวดเร็ว(speed - ความเจริญ) มาจากไชตาน(Shaitan - ซาตาน).” พิจารณาว่า: สำหรับทุกหนึ่งร้อยแคลอรี่(calories - หน่วยวัดพลังงานจากอาหาร)ของความร้อน(heat)ที่ผลิตขึ้นโดยการออกกำลังกาย[speed] ร่างกายนั้นก็ระเหยความชื้นออกมาราวหกออนซ์(six ounces)ของเหงื่อ. คำศัพท์ของฟรีเมนสำหรับเหงื่อคือ บัคคา(bakka)หรือ น้ำตา(tears)และ, ในการออกเสียงหนึ่งนั้น, แปลความได้ว่า: “คือ แก่นของชีวิตที่ไชตาน(Shaitan - ซาตาน)บีบคั้นออกมาจากจิตวิญญาณของเจ้า.”

         การมาถึงของมวดดิบถูกเรียกว่า “ถูกลัทธิศาสน์ ถูกกาละ(timely - ถูกเวลา)” โดย โคนีย์เวลล์(Koneywell), แต่จังหวะเวลานั้นมีผลเพียงน้อยนิดกับมัน. ดังเช่นที่มวดดิบพูดด้วยตนเองว่า: “ข้าอยู่ที่นี่, ดังนั้น.....”

         มันเป็น, อย่างไรก็ตาม, สิ่งสำคัญมากกับการเข้าใจถึงผลกระทบเชิงลัทธิศาสน์ของมวดดิบที่คุณไม่มีวันสูญเสียภาพทัศน์ของหนึ่งความสัจจริงที่ว่า: ฟรีเมนนั้นเป็นชนทะเลทรายผู้บรรพบุรุษทั้งปวงได้คุ้นเคยต่อภูมิประเทศอันแห้งแล้งไม่เป็นมิตร. ลัทธิเวทย์มนตร์ไม่ได้ยุ่งยากลำบากเมื่อคุณรอดชีวิตในแต่ละวินาทีโดยไม่เอาชนะความไม่เป็นมิตรในที่เปิดโล่งนั้น. “เจ้าอยู่ที่นั้น---ดังนั้น.....”

         ด้วยจารีตธรรมเนียมเช่นนั้น, ความทุกข์ยากได้ถูกยอมรับ---บางทีเช่นการลงทัณฑ์อย่างไม่รู้สึกตัว, แต่ยอมรับ. และมันก็ได้ถูกสังเกตบันทึกไว้อย่างดีว่าพิธีกรรมฟรีเมนให้อิสรภาพเกือบจะโดยสมบูรณ์จากความรู้สึกผิด. ไม่มีความจำเป็นใดเพราะว่ากฏของพวกเขาและลัทธิศาสน์เหมือนตรงกัน, ทำการไม่เชื่อคือบาป. มันเหมือนว่าใกล้ยิ่งขึ้นต่อเครื่องหมายนั้นที่จะบอกว่าพวกเขาชำระล้างตนเองจากความรู้สึกผิดอย่างง่ายดายเพราะทุกวันของพวกเขาที่ดำรงชีวิตอยู่เรียกร้องซึ่งการพิพากษาอย่างโหดร้าย(บ่อยครั้งถึงตาย)ทีซึ่งในแผ่นดินที่อ่อนโยนกว่าจะทำให้ยุ่งยากยิ่งกว่ากับคนด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถทนทานได้.

         นี้เป็นเหมือนกับว่าหนึ่งในรากทั้งหลายของฟรีเมนมุ่งเน้นกับความเชื่อเหนือจริง(เมินเฉยต่อการดูแลช่วยเหลือของมิชชั่นนาเรีย โพเท็คติวา(the Missionaria Protectiva). จะสำคัญอะไรที่เสียงกระซิบของทรายทั้งหลายคือลางบอกเหตุอย่างหนึ่ง? จะสำคัญอะไรที่เจ้าต้องทำเครื่องหมายของกำปั้นเมื่อครั้งแรกที่คุณได้เห็นพระจันทร์ แรก? เนื้อหนังของคนคือของเขาเองและน้ำของเขาเป็นของเผ่า---และความลี้ลับของชีวิตก็ไม่ได้เป็นปัญหาที่จะคลี่คลายนอกไปจากความสัจจริง(a reality)ที่จะประสบรับรู้. ลางบอกเหตุทั้งหลายช่วยเจ้าในเรื่องนี้. และเพราะว่าเจ้าอยู่ที่นี่(here), เพราะว่าเจ้ามีซึ่งลัทธิศาสน์, ชัยชนะไม่สามารถหลบเลี่ยงหนีเจ้าไปได้ในท้ายสุด.

         ขณะที่เบเน เกสเสอริต ได้สอนมาหลายศตวรรษ, นานก่อนที่พวกเขาวิ่งไปปะทะพัวพันกับชนฟรีเมน.

         “เมื่อลัทธิศาสน์และการเมืองขี่อยู่บนเกวียนเดียวกัน, เมื่อเกวียนนั้นถูกขับขี่โดยผู้ศักดิ์สิทธิ์(baraka* - ผู้เรืองเวทย์), ไม่มีอะไรที่จะสามารถยืนขวางเส้นทางของพวกเขาได้.”

         * https://dune.fandom.com/wiki/List_of_Dune_terminology

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น