หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2564

จิตที่ฝึกดีแล้ว -หน้า ๑๖๑ - ๑๖๗...ธรรมชาติของความเป็นจริง - "สุญญะ"

 

...จากหนังสือ "จิตที่ฝึกดีแล้ว - การตรึกในความจริง ความรัก และความสุข" The Transformed Mind: Reflections on truths, love and happiness" โดย องค์ทะไลลามะ/ผู้แปล เพ็ญนภา หงษ์ทอง...หน้า ๑๖๑ - ๑๖๗...

 

"...สายธรรมทิเบตเชื่อว่านาคารชุนกำเนิดหลังพระพุทธองค์สี่ร้อยปีและอารยอสังคะกำเนิดหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานเก้าร้อยปี มีบางพระสูตรเรียกอารยอสังคะว่าอริยบุคคลผู้บรรลุธรรม คือผู้เข้าถึงภูมิระดับสาม หรือผู้เข้าถึงธรรมของพระโพธิสัตว์ระดับที่สาม สำหรับสายธรรมในทิเบตมองว่าอารยอสังคะคือธรรมธาดาแห่งนิกายมาธยมิกะของท่านนาคารชุน แต่เหตุผลที่ท่านก่อตั้งมหายานนิกายใหม่ขึ้นมานั้น มาจากการตีความปรัชญาปารมิตาสูตรของนาคารชุนเอง อารยอสังคะเห็นว่าเป็นไปได้ที่อาจมีบางคนเข้าใจพระสูตรอย่างผิดๆ โดยเข้าใจว่าเป็นสุญนิยม ดังนั้นแทนที่จะเพียงยอมรับเนื้อหาที่ระบุว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงปราศจากตัวตนที่แท้จริง อารยอสังคะได้ส้รางการตีความใหม่ที่ช่วยให้ผู้ปฏิบัติเดินตามคำสอนในคัมภีร์มหายานและยังคงยอมรับในเหตุผลคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสว่าทุสิ่งทุกอย่างล้วนปราศจากตัวตนที่แท้จริง การตีความเช่นนี้เกิดจากการมองว่า การปราศจากตัวตนที่แท้จริงสามารถเข้าใจได้แตกต่างกันตามบริบท ในมิติที่มองว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่อิงอาศัยพึ่งพากันนั้นถูกมองว่าปราศจากกระบวนการสร้างที่เป็นอิสระ และการปรุงแต่งทั้งหมดรวมถึงสิ่งที่ดำรงอยู่แล้ว ล้วนปราศจากตัวตนที่แท้จริง ประเด็นคืออารยอสังคะได้พัฒนาการตีความคัมภีร์มหายานขึ้นใหม่ ซึ่งแตกต่างจากความเข้าใจเดิมของนาคารชุน

         อารยอสังคะตีความคำสอนของพระพุทธเจ้าที่กล่าวว่า ปรากฏการณ์ทั้งมวลล้วนปราศจากตัวตนที่ดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระ โดยใช้สิ่งที่เรียกว่าทฤษฎีของธรรมชาติทั้งสาม กล่าวคือ ปรากฏการณ์ทุกอย่างล้วนมีธรรมชาติสามอย่าง คือ ธรรมชาติของการพึ่งพาอาศัย ธรรมชาติที่เกิดจากการปรุงแต่ง และธณรมชาติที่สมบูรณ์ ท่านอธิบายธรรมชาติทั้งสามอย่านี้ว่า ปราศจากตัวตนที่แท้จริงในมิติที่แตกต่างกัน อารยอสังคะไม่เพียงแต่ทำความเข้าใจคัมภีร์มหายานด้วยมุมมองใหม่ แต่ยังใช้พุทธวัจนะเป็นฐานในการตีความ เช่น คัมภีร์มหายานชื่อสังธินิรโมจนสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรที่อธิบายความคิดของพระพุทธเจ้า ถูกใช้เป็นคัมภีร์หลักในการพิสูจน์ความจริงแท้และความสมเหตุสเหตุและผลในการตีความคัมภีร์มหายานของอารยอสังคะ

         ในบรรดาทฤษฎีของธรรมชาติสามอย่างนี้ ทฤษฎีที่สองเป็นธรรมชาติที่ถูกปรุงแต่งและปราศจากการดำรงอยู่ที่แท้จริง ซึ่งมองว่าธรรมชาติที่ปรุงแต่งนั้นปราศจากคุณลักษณะใดๆของความเป็นตัวตน ธรรมชาติที่ปรุงแต่งสามารถกล่าวอย่างกว้างๆได้สองแบบ คือ การปรุงแต่งที่เป็นเพียงแค่จินตนาการ ไม่ได้มีฐานของความเป็นจริง กับการปรุงแต่งที่อาจะเนเพียงการสมมติแต่ก็ยังอิงอยู่กับความจริง

         ธรรมชาติอย่างแรกเป็นธรรมชาติที่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน แนวคิดของธรรมชาตินี้นัยว่าปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เป็นผลจากอำนาจของปัจจัยอื่น ดังนั้นธรรมชาติที่พึ่งพาอาศัยกันจึงมิได้เป็นผลผลิตที่เป็นอิสระ การตีความของอารยอสังคะทำให้เห็นว่าธรรมชาติที่ปรุงแต่งนั้นขาดคุณลักษณะของความเป็นตัวตนแต่ธรรมชาติที่พึ่งพาอาศัยกับธรรมชาติที่สมบูรณ์มีคุณลักษณะของความเป็นตัวตนหรือธณรมชาติที่เป็นจริงในระดับหนึ่ง การตีความปรัชญาปารมิตาสูตรเช่นนี้ปรากฏชัดในสำนักจิตตมาตร ซึ่งพาผู้ปฏิบัติหรือนักคิดเข้าสู่ห้วงคำนึงระดับลึกในการเข้าใจธรรมชาติของความเป็นจริง ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่งเราจะเริ่มไม่ให้ความสนใจกับโลกภายนอก ดังนั้นโลกภายนอกหรือโลกทางวัตถุ ซึ่งเป็นภพภูมิทางกายภาพ ตามความหมายสูงสุดแล้วจึงไม่ใช่สิ่งใดเลย นอกจากเป็นส่วนขยายของจิตเราหรือการคาดการณ์เท่านั้น ซึ่งสุดท้ายแล้วนำไปสู่สถานะที่ความเป็นรูปธรรมและความเป็นจริงของมันถูกปฏิเสธ สำหรับจิตตมาตร การเข้าใจว่ากระบวนการรับรู้โลกภายนอกเกิดขึ้นได้อย่างไรจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากโลกภายนอกที่พวกเรารับรู้อยู่เป็นเพียงมายา แล้วเรารับรู้รูปธรรมหรือความเป็นจริงของโลกภายนอกได้อย่างไร การอธิบายเป็นอันมากเกี่ยวกับหน้าที่และธรรมชาติของจิต โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของการรับรู้ในคำสอนของจิตตมาตร มีวิสัชนามองว่าการรับรู้โลกภายนอกเป็นผลจากการกระตุ้นรอยประทับต่างๆที่ฝังอยู่ในวิญญาณ(การรับรู้)เฉพาะอย่างหนึ่งที่เรียกว่า “วิญญาณพื้นฐาน” หรือ อาลยวิชญาณ (อาลัยวิญญาณ) ดังนั้นสำนักจิตตมาตรจึงไม่เพียงอภิปรายเกี่ยวกับการรับรู้ทั้งกประเภทซึ่งหมายถึงอินทรีย์ ๕ รวมกับมนินทรีย์  แต่ยังอภิปรายเกี่ยวกับวิญญาณหรือการรับรู้พื้นฐานหรืออาลัยวิญญาณซึ่งเป็นที่เก็บรวบรวมสิ่งต่างๆไว้

         ด้วยเหตุนี้ สำนักจิตตมาตรจึงให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจต้นกำเนิดของกระบวนการรับรู้ และกระบวนการที่ประสบการณ์การรู้และอารมณ์ของเราถูกเก็บรวบรวมไว้เป็นรอยประทับในอาลัยวิญญาณ การพิจารณาว่ารอยประทับใดที่จะทิ้งร่องรอยไว้ในอาลัยวิญญาณจึงมีความสำคัญ จิตตมาตรอ้างถึงรอยประทับรูปแบบเฉพาะที่เรียกว่า รอยประทับแห่งความเหมือน รอยประเภทนี้ใช้อธิบายให้เห็นความสืบเนื่องกันของการรับรู้ทางโลกวัตถุ ตัวอย่างเช่น หากเรารับรู้ว่าวัตถุนี้ฟ้า การรับรู้นี้จะเกิดขึ้นสืบเนื่องไปจนถึงจุดที่วัตถุสีฟ้าที่เราเห็นต่อเนื่องนี้ไปกระตุ้นให้รอยประทับ(ของวัตถุสีฟ้า) ที่ถูกบันทึกไว้ในอาลัยวิญญาณทำงาน

         สำนักจิตตมาตรจำแนกรอยประทับที่แตกต่างกันว่า เป็นรอยประทับของภาษาและพฤติกรรมเคยชิน โดยอธิบายว่าเมื่อเรารับรู้วัตถุสีฟ้า เราก็มีกรอบความคิดของความเป็นสีฟ้า หรือเหตุที่ติดป้ายวัตถุนั้นว่า”สีฟ้า” ว่ามีความสัมพันธ์อยู่กับวัตถุนั้น การรับรู้ในลักษณะนี้เป็นผลมาจากการใช้คำเรียก”สีฟ้า”ที่เราเรียกมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นรอยประทับทางภาษาและพฤติกรรมเคยชินจึงเป็นผลของการรับรู้ประเภทนี้

         จิตตมาตรพูถึงรอยประทับประเภทที่สามว่า ถูกสร้างขึ้นด้วยพฤติกรรมที่เกาะยึดแน่นอยู่กับรูปธรรมบางอย่าง ด้วยเหตุนี้เมื่อเรามองเห็นวัตถุ”สีฟ้า” เราจึงไม่เพียงรับรู้ถึงบางสิ่งที่เป็น”สีฟ้า” แต่เรายังรับรู้ความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างการรับรู้”สีฟ้า”ของเรากับวัตถุ”สีฟ้า”ที่เราเห็นด้วย เราสึกว่ามีอะไรบางอย่างที่เป็นจริงเชิงวัตถุวิสัยเกี่ยวกับวัตถุสีฟ้า ที่สร้างความเป็นเหตุเป็นผลให้กับการที่ใช้คำเรียกเช่นนั้น ในความเป็นจริง ภาษาและคำศัพท์ที่เราใช้บรรยายวัตถุนั้นๆ เป็นสิ่งที่ไร้เหตุผล มันคือป้ายหรือสัญลักษณ์หนึ่ง แต่ไม่ใช่อารมณ์ความรู้สึกในยามที่เราเผชิญกับวัตถุสีฟ้า เมื่อเราเผชิญหน้ากับวัตถุสีฟ้า ด้วยสัญชาตญาณเรารู้ว่ามันสีฟ้าจริงๆ และความจริงเชิงวัตถุวิสัยบางอย่างที่เกี่ยวกับวัตถุนั้นบงการให้เราเลือกใช้ภาษาของความเป็นสีฟ้า การกำหนดรู้ที่ผิดไปนี้ถูกมองว่าเป็นผลของสิ่งที่สำนักจิตตมาตรเรียกว่า พฤติกรรมเคยชิน และรอยประทับที่ก่อตัวขึ้นจากความเคยชินอันยาวนานที่จะยึดติดและเกาะติดอยู่กับความเป็นจริงภายนอก

         ดังนั้นในความเป็นจริง ความเป็นวัตถุวิสัยของสีฟ้าไม่ได้มีเหตุผลหรือเป็นที่มาใดๆของศัพท์คำว่า “สีฟ้า” และความสัมพันธ์ระหว่างสัญลักษณ์กับการสื่อคสามหมายในลักษณะนี้ จึงเป็นเรื่องไร้เหตุผล ดังนั้นสำนักจิตตมาตรจึงเรียกความสัมพันธ์นั้นว่าเป็นเพียงความสัมพันธ์สมมติ บนฐานความคิดที่พวกเราโต้แย้งว่า การกล่าวอ้างความเนสีฟ้าของวัตถุนั้นปราศจากแก่นสารและความเป็นจริงเชิงวัตถุวิสัย แต่ทั้งนี้ไม่ได้จะบอกว่าการกล่าวอ้างเช่นนั้นไม่ได้ดำรงอยู่ มีความเชื่อที่ว่าวัตถุสีฟ้าเป็นความจริงเชิงวัตถุวิสัย และในบางครั้งนัยที่แท้จริงของคำว่า “สีฟ้า” และมโนทัศน์เรื่อง “ความเป็นสีฟ้า” ก็เป็นจินตนาการล้วนๆ ความเชื่อเช่นนี้เองเป็นประเด็นหลักที่สำนักจิตตมาตรหยิบมาโต้แย้ง ด้วยเหตุนี้สำนักจิตตมาตรจึงยืนยันว่า ความจริงที่พวกเรารับรู้กันอย่างผิดๆนี้เป็นหลักฐานที่ชัดเจนมาก เพราะหากใครสักคนถามว่า วัตถุใดมีสีฟ้า เราก็จะชี้ไปที่วัตถุสีฟ้าแล้วบอว่า “อันนี้สีฟ้า” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจโลกตามปกติของเรา เราไม่ได้สัมพัทธ์กับโลกดุจดังคำว่า “ฟ้า” หรือ มโนทัศน์เรื่อง “ความเป็นสีฟ้า” เป็นเพียงแค่ป้ายฉลากหรือสัญลักษณ์ แต่เรากระทำดุจดังว่ามันมีคุณค่าแท้จริงบางอย่าง มีความสัมพัทธ์สูงสุดบางอย่างระหว่างวัตถุนั้นกับคำศัพท์ที่ถูกติดป้ายบอกไว้ วิธีการเข้าใจเช่นนี้เป็นมายา และฝ่ายสำนักจิตตมาตรก็แย้งว่า การยึดมั่นในความเชื่อเนนี้เนรากของความสับสนของเราเกี่ยวกับ ธรรมชาติของความเป็นจริง รวมถึงการตระหนักรู้และปัญญาญาณ ซึ่งล้วนไม่ใช่ความจริง คำศัพท์และการใช้คำเรียกเช่นนั้นไม่ได้สัมพันธ์กับสิ่งนั้นในเชิงวัตถุวิสัยเลย การเข้าใจเช่นนี้ประกอบด้วยปัญญาอันแท้จริงที่มีต่อปรมัตถธรรม และสิ่งนี้เองที่จิตตมาตรใช้อธิบายและทำความเข้าใจคำสอนเกี่ยวกับ ความว่าง ของมหายาน.

         ดังนั้นเราจึงพบว่าในปกรณ์และอรรถกถาฝ่ายมหายาน ระบุว่า นักปรัชญาสำนักจิตตมาตรมองโลกในกรอบความเป็นจริงที่เรียกกันว่า การแสวงหา ๔ การแสวงหาประการแรกคือ คำเรียกชื่อหรือคำศัพท์โดยการแสวงหาคำอ้างอิงที่เนจริง ต่อไปคือการแสวงหาความหมายและมโนทัศน์ของคำศัพท์นั้น การแสวงหาที่สาม คือการแสวงหาธรรมชาติหรือการดำรงอยู่ของปรากฏการณ์ และสุดท้ายการแสวงหาคุณลักษณะที่นิยามความเป็นตัวตนของปรากฏการณ์ด้วย

         การสืบค้นทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงในขอบเขตของการแสวงหาทั้งสี่ประการนั้น ทำให้สำนักจิตตมาตรเข้าใจมุมมองที่แท้จริง ที่พวกเขาอิบายว่าเป็นเพียงวิญญาณรับรู้หรือจิตเท่านั้น

         กล่าวโดยสรุปก็คือ ตามพระสูตรฝ่ายมหายานแล้ว แนวคิดเรื่อง สุญญะ ประกอบไปด้วยเครื่องมือที่สำคัญยิ่ง ทั้งตามแนวของจิตตมาตรและมาธยมิกะ แนวคิดเกี่ยวกับ สุญญะ ที่แตกต่างกันนี้ถือได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และยังมีความซับซ้อนอย่างยิ่งด้วย คำสอนทั้งปวงของวัชรยานล้วนตั้งอยู่บนความรู้ความเข้าใจในทฤษฎี สุญญะ ประสบการณ์หรือความเข้าใจตามแนวคิดจิตตมาตรหรือมาธยมิกะก็ตาม แน่นอนหากเราวิเคราะห์มุมมองต่างๆที่หลากหลาย เราจะพบว่าแนวคิดของมาธยมิกะน่ายอมรับมากกว่า หากปราศจากความคิด สุญญะ การปฏิบัติเทวตาโยคะ หรือการพยายามนิมิตตนเองเป็นเทพจะเป็นเรื่องยากและไร้ประโยชน์ยิ่ง ดังนั้นการปฏิบัติตามแนวทางวัชรยาน เราจำต้องปฏิบัติโพธิจิต และมีความเข้าใจใน สุญญะ อยู่บ้าง ด้วยการผสมผสานเช่นนั้น เทพนิมิตจึงจะทรงพลังและใช้ได้ผล.

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น