"...สายธรรมทิเบตเชื่อว่านาคารชุนกำเนิดหลังพระพุทธองค์สี่ร้อยปีและอารยอสังคะกำเนิดหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานเก้าร้อยปี
มีบางพระสูตรเรียกอารยอสังคะว่าอริยบุคคลผู้บรรลุธรรม คือผู้เข้าถึงภูมิระดับสาม
หรือผู้เข้าถึงธรรมของพระโพธิสัตว์ระดับที่สาม
สำหรับสายธรรมในทิเบตมองว่าอารยอสังคะคือธรรมธาดาแห่งนิกายมาธยมิกะของท่านนาคารชุน
แต่เหตุผลที่ท่านก่อตั้งมหายานนิกายใหม่ขึ้นมานั้น มาจากการตีความปรัชญาปารมิตาสูตรของนาคารชุนเอง
อารยอสังคะเห็นว่าเป็นไปได้ที่อาจมีบางคนเข้าใจพระสูตรอย่างผิดๆ โดยเข้าใจว่าเป็นสุญนิยม
ดังนั้นแทนที่จะเพียงยอมรับเนื้อหาที่ระบุว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงปราศจากตัวตนที่แท้จริง
อารยอสังคะได้ส้รางการตีความใหม่ที่ช่วยให้ผู้ปฏิบัติเดินตามคำสอนในคัมภีร์มหายานและยังคงยอมรับในเหตุผลคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสว่าทุสิ่งทุกอย่างล้วนปราศจากตัวตนที่แท้จริง
การตีความเช่นนี้เกิดจากการมองว่า การปราศจากตัวตนที่แท้จริงสามารถเข้าใจได้แตกต่างกันตามบริบท
ในมิติที่มองว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่อิงอาศัยพึ่งพากันนั้นถูกมองว่าปราศจากกระบวนการสร้างที่เป็นอิสระ
และการปรุงแต่งทั้งหมดรวมถึงสิ่งที่ดำรงอยู่แล้ว ล้วนปราศจากตัวตนที่แท้จริง
ประเด็นคืออารยอสังคะได้พัฒนาการตีความคัมภีร์มหายานขึ้นใหม่
ซึ่งแตกต่างจากความเข้าใจเดิมของนาคารชุน
อารยอสังคะตีความคำสอนของพระพุทธเจ้าที่กล่าวว่า
ปรากฏการณ์ทั้งมวลล้วนปราศจากตัวตนที่ดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระ
โดยใช้สิ่งที่เรียกว่าทฤษฎีของธรรมชาติทั้งสาม กล่าวคือ
ปรากฏการณ์ทุกอย่างล้วนมีธรรมชาติสามอย่าง คือ ธรรมชาติของการพึ่งพาอาศัย
ธรรมชาติที่เกิดจากการปรุงแต่ง และธณรมชาติที่สมบูรณ์
ท่านอธิบายธรรมชาติทั้งสามอย่านี้ว่า ปราศจากตัวตนที่แท้จริงในมิติที่แตกต่างกัน
อารยอสังคะไม่เพียงแต่ทำความเข้าใจคัมภีร์มหายานด้วยมุมมองใหม่ แต่ยังใช้พุทธวัจนะเป็นฐานในการตีความ
เช่น คัมภีร์มหายานชื่อสังธินิรโมจนสูตร
ซึ่งเป็นพระสูตรที่อธิบายความคิดของพระพุทธเจ้า
ถูกใช้เป็นคัมภีร์หลักในการพิสูจน์ความจริงแท้และความสมเหตุสเหตุและผลในการตีความคัมภีร์มหายานของอารยอสังคะ
ในบรรดาทฤษฎีของธรรมชาติสามอย่างนี้
ทฤษฎีที่สองเป็นธรรมชาติที่ถูกปรุงแต่งและปราศจากการดำรงอยู่ที่แท้จริง ซึ่งมองว่าธรรมชาติที่ปรุงแต่งนั้นปราศจากคุณลักษณะใดๆของความเป็นตัวตน
ธรรมชาติที่ปรุงแต่งสามารถกล่าวอย่างกว้างๆได้สองแบบ คือ
การปรุงแต่งที่เป็นเพียงแค่จินตนาการ ไม่ได้มีฐานของความเป็นจริง
กับการปรุงแต่งที่อาจะเนเพียงการสมมติแต่ก็ยังอิงอยู่กับความจริง
ธรรมชาติอย่างแรกเป็นธรรมชาติที่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
แนวคิดของธรรมชาตินี้นัยว่าปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
เป็นผลจากอำนาจของปัจจัยอื่น ดังนั้นธรรมชาติที่พึ่งพาอาศัยกันจึงมิได้เป็นผลผลิตที่เป็นอิสระ
การตีความของอารยอสังคะทำให้เห็นว่าธรรมชาติที่ปรุงแต่งนั้นขาดคุณลักษณะของความเป็นตัวตนแต่ธรรมชาติที่พึ่งพาอาศัยกับธรรมชาติที่สมบูรณ์มีคุณลักษณะของความเป็นตัวตนหรือธณรมชาติที่เป็นจริงในระดับหนึ่ง
การตีความปรัชญาปารมิตาสูตรเช่นนี้ปรากฏชัดในสำนักจิตตมาตร
ซึ่งพาผู้ปฏิบัติหรือนักคิดเข้าสู่ห้วงคำนึงระดับลึกในการเข้าใจธรรมชาติของความเป็นจริง
ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่งเราจะเริ่มไม่ให้ความสนใจกับโลกภายนอก ดังนั้นโลกภายนอกหรือโลกทางวัตถุ
ซึ่งเป็นภพภูมิทางกายภาพ ตามความหมายสูงสุดแล้วจึงไม่ใช่สิ่งใดเลย
นอกจากเป็นส่วนขยายของจิตเราหรือการคาดการณ์เท่านั้น
ซึ่งสุดท้ายแล้วนำไปสู่สถานะที่ความเป็นรูปธรรมและความเป็นจริงของมันถูกปฏิเสธ
สำหรับจิตตมาตร การเข้าใจว่ากระบวนการรับรู้โลกภายนอกเกิดขึ้นได้อย่างไรจึงเป็นสิ่งสำคัญ
หากโลกภายนอกที่พวกเรารับรู้อยู่เป็นเพียงมายา
แล้วเรารับรู้รูปธรรมหรือความเป็นจริงของโลกภายนอกได้อย่างไร
การอธิบายเป็นอันมากเกี่ยวกับหน้าที่และธรรมชาติของจิต
โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของการรับรู้ในคำสอนของจิตตมาตร มีวิสัชนามองว่าการรับรู้โลกภายนอกเป็นผลจากการกระตุ้นรอยประทับต่างๆที่ฝังอยู่ในวิญญาณ(การรับรู้)เฉพาะอย่างหนึ่งที่เรียกว่า
“วิญญาณพื้นฐาน” หรือ อาลยวิชญาณ (อาลัยวิญญาณ) ดังนั้นสำนักจิตตมาตรจึงไม่เพียงอภิปรายเกี่ยวกับการรับรู้ทั้งกประเภทซึ่งหมายถึงอินทรีย์
๕ รวมกับมนินทรีย์ แต่ยังอภิปรายเกี่ยวกับวิญญาณหรือการรับรู้พื้นฐานหรืออาลัยวิญญาณซึ่งเป็นที่เก็บรวบรวมสิ่งต่างๆไว้
ด้วยเหตุนี้
สำนักจิตตมาตรจึงให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจต้นกำเนิดของกระบวนการรับรู้
และกระบวนการที่ประสบการณ์การรู้และอารมณ์ของเราถูกเก็บรวบรวมไว้เป็นรอยประทับในอาลัยวิญญาณ
การพิจารณาว่ารอยประทับใดที่จะทิ้งร่องรอยไว้ในอาลัยวิญญาณจึงมีความสำคัญ
จิตตมาตรอ้างถึงรอยประทับรูปแบบเฉพาะที่เรียกว่า รอยประทับแห่งความเหมือน
รอยประเภทนี้ใช้อธิบายให้เห็นความสืบเนื่องกันของการรับรู้ทางโลกวัตถุ
ตัวอย่างเช่น หากเรารับรู้ว่าวัตถุนี้ฟ้า การรับรู้นี้จะเกิดขึ้นสืบเนื่องไปจนถึงจุดที่วัตถุสีฟ้าที่เราเห็นต่อเนื่องนี้ไปกระตุ้นให้รอยประทับ(ของวัตถุสีฟ้า)
ที่ถูกบันทึกไว้ในอาลัยวิญญาณทำงาน
สำนักจิตตมาตรจำแนกรอยประทับที่แตกต่างกันว่า
เป็นรอยประทับของภาษาและพฤติกรรมเคยชิน โดยอธิบายว่าเมื่อเรารับรู้วัตถุสีฟ้า
เราก็มีกรอบความคิดของความเป็นสีฟ้า หรือเหตุที่ติดป้ายวัตถุนั้นว่า”สีฟ้า”
ว่ามีความสัมพันธ์อยู่กับวัตถุนั้น การรับรู้ในลักษณะนี้เป็นผลมาจากการใช้คำเรียก”สีฟ้า”ที่เราเรียกมาอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นรอยประทับทางภาษาและพฤติกรรมเคยชินจึงเป็นผลของการรับรู้ประเภทนี้
จิตตมาตรพูถึงรอยประทับประเภทที่สามว่า
ถูกสร้างขึ้นด้วยพฤติกรรมที่เกาะยึดแน่นอยู่กับรูปธรรมบางอย่าง
ด้วยเหตุนี้เมื่อเรามองเห็นวัตถุ”สีฟ้า” เราจึงไม่เพียงรับรู้ถึงบางสิ่งที่เป็น”สีฟ้า”
แต่เรายังรับรู้ความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างการรับรู้”สีฟ้า”ของเรากับวัตถุ”สีฟ้า”ที่เราเห็นด้วย
เราสึกว่ามีอะไรบางอย่างที่เป็นจริงเชิงวัตถุวิสัยเกี่ยวกับวัตถุสีฟ้า
ที่สร้างความเป็นเหตุเป็นผลให้กับการที่ใช้คำเรียกเช่นนั้น ในความเป็นจริง ภาษาและคำศัพท์ที่เราใช้บรรยายวัตถุนั้นๆ
เป็นสิ่งที่ไร้เหตุผล มันคือป้ายหรือสัญลักษณ์หนึ่ง แต่ไม่ใช่อารมณ์ความรู้สึกในยามที่เราเผชิญกับวัตถุสีฟ้า
เมื่อเราเผชิญหน้ากับวัตถุสีฟ้า ด้วยสัญชาตญาณเรารู้ว่ามันสีฟ้าจริงๆ
และความจริงเชิงวัตถุวิสัยบางอย่างที่เกี่ยวกับวัตถุนั้นบงการให้เราเลือกใช้ภาษาของความเป็นสีฟ้า
การกำหนดรู้ที่ผิดไปนี้ถูกมองว่าเป็นผลของสิ่งที่สำนักจิตตมาตรเรียกว่า พฤติกรรมเคยชิน
และรอยประทับที่ก่อตัวขึ้นจากความเคยชินอันยาวนานที่จะยึดติดและเกาะติดอยู่กับความเป็นจริงภายนอก
ดังนั้นในความเป็นจริง
ความเป็นวัตถุวิสัยของสีฟ้าไม่ได้มีเหตุผลหรือเป็นที่มาใดๆของศัพท์คำว่า “สีฟ้า”
และความสัมพันธ์ระหว่างสัญลักษณ์กับการสื่อคสามหมายในลักษณะนี้ จึงเป็นเรื่องไร้เหตุผล
ดังนั้นสำนักจิตตมาตรจึงเรียกความสัมพันธ์นั้นว่าเป็นเพียงความสัมพันธ์สมมติ
บนฐานความคิดที่พวกเราโต้แย้งว่า การกล่าวอ้างความเนสีฟ้าของวัตถุนั้นปราศจากแก่นสารและความเป็นจริงเชิงวัตถุวิสัย
แต่ทั้งนี้ไม่ได้จะบอกว่าการกล่าวอ้างเช่นนั้นไม่ได้ดำรงอยู่
มีความเชื่อที่ว่าวัตถุสีฟ้าเป็นความจริงเชิงวัตถุวิสัย
และในบางครั้งนัยที่แท้จริงของคำว่า “สีฟ้า” และมโนทัศน์เรื่อง “ความเป็นสีฟ้า”
ก็เป็นจินตนาการล้วนๆ
ความเชื่อเช่นนี้เองเป็นประเด็นหลักที่สำนักจิตตมาตรหยิบมาโต้แย้ง
ด้วยเหตุนี้สำนักจิตตมาตรจึงยืนยันว่า ความจริงที่พวกเรารับรู้กันอย่างผิดๆนี้เป็นหลักฐานที่ชัดเจนมาก
เพราะหากใครสักคนถามว่า วัตถุใดมีสีฟ้า เราก็จะชี้ไปที่วัตถุสีฟ้าแล้วบอว่า
“อันนี้สีฟ้า” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจโลกตามปกติของเรา เราไม่ได้สัมพัทธ์กับโลกดุจดังคำว่า
“ฟ้า” หรือ มโนทัศน์เรื่อง “ความเป็นสีฟ้า” เป็นเพียงแค่ป้ายฉลากหรือสัญลักษณ์
แต่เรากระทำดุจดังว่ามันมีคุณค่าแท้จริงบางอย่าง
มีความสัมพัทธ์สูงสุดบางอย่างระหว่างวัตถุนั้นกับคำศัพท์ที่ถูกติดป้ายบอกไว้
วิธีการเข้าใจเช่นนี้เป็นมายา และฝ่ายสำนักจิตตมาตรก็แย้งว่า
การยึดมั่นในความเชื่อเนนี้เนรากของความสับสนของเราเกี่ยวกับ ธรรมชาติของความเป็นจริง
รวมถึงการตระหนักรู้และปัญญาญาณ ซึ่งล้วนไม่ใช่ความจริง
คำศัพท์และการใช้คำเรียกเช่นนั้นไม่ได้สัมพันธ์กับสิ่งนั้นในเชิงวัตถุวิสัยเลย
การเข้าใจเช่นนี้ประกอบด้วยปัญญาอันแท้จริงที่มีต่อปรมัตถธรรม
และสิ่งนี้เองที่จิตตมาตรใช้อธิบายและทำความเข้าใจคำสอนเกี่ยวกับ ความว่าง
ของมหายาน.
ดังนั้นเราจึงพบว่าในปกรณ์และอรรถกถาฝ่ายมหายาน
ระบุว่า นักปรัชญาสำนักจิตตมาตรมองโลกในกรอบความเป็นจริงที่เรียกกันว่า การแสวงหา
๔ การแสวงหาประการแรกคือ
คำเรียกชื่อหรือคำศัพท์โดยการแสวงหาคำอ้างอิงที่เนจริง ต่อไปคือการแสวงหาความหมายและมโนทัศน์ของคำศัพท์นั้น
การแสวงหาที่สาม คือการแสวงหาธรรมชาติหรือการดำรงอยู่ของปรากฏการณ์
และสุดท้ายการแสวงหาคุณลักษณะที่นิยามความเป็นตัวตนของปรากฏการณ์ด้วย
การสืบค้นทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงในขอบเขตของการแสวงหาทั้งสี่ประการนั้น
ทำให้สำนักจิตตมาตรเข้าใจมุมมองที่แท้จริง ที่พวกเขาอิบายว่าเป็นเพียงวิญญาณรับรู้หรือจิตเท่านั้น
กล่าวโดยสรุปก็คือ
ตามพระสูตรฝ่ายมหายานแล้ว แนวคิดเรื่อง สุญญะ
ประกอบไปด้วยเครื่องมือที่สำคัญยิ่ง ทั้งตามแนวของจิตตมาตรและมาธยมิกะ
แนวคิดเกี่ยวกับ สุญญะ ที่แตกต่างกันนี้ถือได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
และยังมีความซับซ้อนอย่างยิ่งด้วย
คำสอนทั้งปวงของวัชรยานล้วนตั้งอยู่บนความรู้ความเข้าใจในทฤษฎี สุญญะ
ประสบการณ์หรือความเข้าใจตามแนวคิดจิตตมาตรหรือมาธยมิกะก็ตาม แน่นอนหากเราวิเคราะห์มุมมองต่างๆที่หลากหลาย
เราจะพบว่าแนวคิดของมาธยมิกะน่ายอมรับมากกว่า หากปราศจากความคิด สุญญะ
การปฏิบัติเทวตาโยคะ หรือการพยายามนิมิตตนเองเป็นเทพจะเป็นเรื่องยากและไร้ประโยชน์ยิ่ง
ดังนั้นการปฏิบัติตามแนวทางวัชรยาน เราจำต้องปฏิบัติโพธิจิต และมีความเข้าใจใน สุญญะ
อยู่บ้าง ด้วยการผสมผสานเช่นนั้น เทพนิมิตจึงจะทรงพลังและใช้ได้ผล.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น