หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2564

จิตที่ฝึกดีแล้ว - หน้า ๑๖๙ - ๑๗๐...การอดทนอดกลั้น ไม่ได้หมายถึงการยอมจำนน

...จากหนังสือ "จิตที่ฝึกดีแล้ว - การตรึกในความจริง ความรัก และความสุข" The Transformed Mind: Reflections on truths, love and happiness" โดย องค์ทะไลลามะ/ผู้แปล เพ็ญนภา หงษ์ทอง...หน้า ๑๖๙ - ๑๗๐...

 

·  ภายหลังการถกเถียงกับผู้อื่น เราจะเอาชนะความรู้สึกที่ว่าตนเองเป็นฝ่ายถูก คนอื่นเป็นฝ่ายผิดได้อย่างไร และเราจะเอาชนะความรู้สึกไม่ดีที่มีต่อผู้อื่นที่คิดร้ายกับเราได้อย่างไร

สำหรับคำถามที่สอง ข้าพเจ้าแนะนำให้อ่านงานของท่านศานติเทวะเรื่อง Bodhisattva Charya Avatara: A Guide to the Bodhisattva’s Way of Life ในบทที่ว่าด้วยความอดทน

      อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าใคร่ชี้ให้เห็นประเด็นว่าเมื่อเราพูดถึงการบ่มเพาะความอดทนและอดกลั้นต่อผู้ที่ระทุษร้ายเราโดยไม่มีเหตุผล เราไม่ได้พูดถึงการยอมให้แก่การกระทำผิดที่มีผู้กระทำต่อเรา และไม่ได้กำลังพูดถึงการสนับสนุนการกระทำผู้อื่น จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเข้าใจว่าการอดทนไม่ได้หมายถึงการยอมหรือเชื่องเชื่อ แต่การอดทนคือจุดยืนที่เราใคร่ครวญยอมรับอย่างรอบคอบแล้วว่าเราจะไม่ตอบโต้การประทุษร้ายที่ผู้อื่นกระทำต่อเรา เป็นสภาวะที่มีการคิดและการลงมือทำ ไม่ใช่สภาวะจองการยอมอย่างว่าง่าย และในบางกรณีการกระทำบางอย่างหรือความผิดบางอย่างที่ผู้อื่นกระทำต่อเราอาจต้องการมาตรการตอบโต้ที่รุนแรง แต่มาตรการเหล่านั้นก็สามารถกระทำได้บนพื้นฐานของความอดทนและอดกลั้น เมื่อเราเริ่มเข้าใจความหลากหลายของจุดยืนและมุมมอง รวมถึงความซับซ้อนของสถานการณ์ เราก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องยึดติดกับจุดยืนของตนเองว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

      จริงอยู่ที่บางครั้งอาจเกิดกรณีที่สองฝ่ายมีความเห็นตรงข้ามกัน เช่นกรณีข้อโต้แย้งระหว่างสำนักจิตตมาตรกับนักปรัชญาทางสายกลาง(มาธยมิกะ) ต่อประเด็นการตีความธรรมชาติปรมัตถ์ของสิ่งต่างๆที่ถกเถียงกันว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนปราศจากตัวตนที่แท้จริง หรือมีบางสิ่งบางอย่างที่ครอบครองตัวตนที่แท้จริง แน่นอนว่ากรณีนี้สำนักจิตตมาตรยึดมุมมองหนึ่ง ส่วนมาธยมิกะก็มองอีกมุมหนึ่ง ซึ่งทั้งสองมุมมองนี้อาจกล่าวได้ว่าแตกต่างกันสิ้นเชิง ในกรณีนี้เราสามารถพิจารณาข้อถกเถียงโดยการมองจากวัตถุประสงค์ของทั้งสองสำนัก ว่าสำนักหนึ่งสนองต่ออัชฌาสัยทางปรัชญาของคนกลุ่มหนึ่ง ขณะ ทีอีกสำนักหนึ่งก็ตอบสนองความชื่นชอบทางปรัชญาหรือการแสวงหาของคนอีกกลุ่มหนึ่ง เมื่อนั้นข้อเท็จจริงที่ทั้งสองสำนักมีวัตถุประสงค์ต่างกัน และการมองเห็นคุณค่าของการมีวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย จะช่วยลดความยึดติดในจุดยืนของตัวเราลง 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น