หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2566

อะไรคือ จิตสำนึก/วิญญาณขันธ์?

 อะไรคือ จิตสำนึก? (วิญญาณขันธ์1)

What is consciousness?

 

         https://youtu.be/ir8XITVmeY4?si=G3h9kyPPqMI0Gfyu

         1 https://www.dhammahome.com/webboard/topic/23727

มันเป็นประสบการณ์รับรู้ขั้นมูลฐานมากที่สุด(the most fundamental experience)แห่งบรรดาการกำหนดถึงชั่วขณะทั้งหลายในการตื่นรู้ของเรา(of all defining our waking moments)และก่อให้เกิดยังทั้งหมดที่เป็นการที่เราคิดคิดและรู้สึก(giving rise to all that we think and feel).

         ปราศจากจิตสำนึก(without consciousness), เราไม่มีหนทางในการพิสูจน์ว่าเราหรือสิ่งอื่นใดมีอยู่(no way of proving we or anything exists).

         และกระนั้น, อะไรคือมัน(what it is)และทำไมเรามีมันยังอยู่ในความลี้ลับ(we have it remain in a mystery)ที่บางอย่างของจิตทั้งหลายอันยิ่งใหญ่ที่สุดยังไม่สามารถได้ที่จะคลี่คลาย(some of the greatest minds have been unable to solve).

         หนทางเดียวเท่านั้นที่จะรู้ว่าผมมีอยู่(I exist)ก็เพราะผมสำนึกรู้(I am conscious).

ผมตื่นขึ้นมาในความมืดของห้องหนึ่งในโรงแรม, ผมได้มึนงงสับสน(discombobulates)เพราะว่าผมเมาเวลาจากการบิน(jet-lagged). ผมไม่มีความคิดเลยว่าผมอยู่ที่ไหน?, ผมเป็นใคร?, และผมอยู่ที่ประเทศไหน?


         กระนั้นผมก็ยังรู้ว่าผมมีอยู่(I know I exist)เพราะว่าผมมองเห็นบางอย่าง(I see something).

         ความก้าวหน้ารวดเร็วทั้งหลายในความเข้าใจของเรา(rapid advances in our standing)ถึงว่าสมองทั้งหลายนั้นทำงานอย่างไร(of how the brain works)อาจจะวันหนึ่งยินยอมให้เราที่จะระบุตำแหน่ง(allow us to pinpoint)ส่วนทั้งหลายของสมองที่ผลิตสร้างจิตสำนึก(that generate consciousness).

         แต่อะไรบางอย่างจะเป็นรูปธรรมเช่นเดียวกับที่วิทยาศาสตร์(as objective as science)ที่สามารถจะอธิบาย(be able to explain)ว่ามันรู้สึกอะไรเหมือนการที่เป็นเรา(what it feels like to be us).

         จิตสำนึก(consciousness) - ธรรมชาติที่เป็นส่วนตัว(nature is private). มันเป็นอัต-วิสัยแต่ละบุคคล(it’s subjective). ผมรู้ถึงจิตสำนึกของผม(know about my consciousness)จากมุมมองแบบของบุคคลที่หนึ่ง(from the first-person point of view), คนอื่นไม่รู้ถึงจิตสำนึกของผมไม่เป็นการโดยตรงอย่างมาก(other people don’t know about my consciousness very indirectly).


         นักปรัชญาทั้งหลาย(philosophers)ได้พยายามที่จะตอบบางคำถามเหล่านี้(try to answer some of these questions)มาเป็นเวลานับพันปีแล้ว(for millennia). ในอดีตสองสามศตวรรษมาแล้วที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายได้มาเข้าร่วมกับพวกนั้น(have joined them). การโต้วาที(debate)สามารถเป็นความรุนแรงกันได้.

         ที่จริงแล้ว, นักวิชาการบางรายก็นับรวมอยู่ด้วย(some scholars reckon), ปริศนาของจิตสำนึก(the puzzle of consciousness)เป็นอะไรบางอย่างที่จิตมนุษย์นั้นไม่สามารถคลี่คลาย/หยั่งถึงได้(something that human mind is incapable of solving).

ผมคิดเช่นนั้นนะ. ผมคิดว่ามัน, มันผิดอย่างน่าตำหนิ. มันไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เลยทั้งสิ้น


(it’s not impossible at all). มันแค่ว่าเราต้องทุ่มเทลงไป(buckle down)แล้วทำมัน.

         หนึ่งอย่างที่ทั้งสองสาขานั่น(that both disciplines)สามารถเห็นพ้องต้องกันก็ในเรื่องที่ว่าจิตสำนึกนั้นเกิดขึ้นมาที่ในสมอง(consciousness arises in the brain).

จิตสำนึก และ สมอง (Consciousness and the brain)

         ทำขึ้นอยู่ในราว 85 พันล้านนิวรอน(neuron2เซลล์ประสาท)และเซลล์สนับสนุนอื่นๆ

         2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97

ทั้งหลายอีก(other supporting cells), ที่เรารู้จักเพียงเล็กน้อยว่าสมองนั้นบริโภค(consumes)เกือบ 20 เปอร์เซนต์ของพลังงานของเรา(our energy). ทั้งๆที่เปรียบเทียบกันแล้วมีเพียงแค่ 2% ของมวลของเรา(of our mass).


         และทุกบ่อยๆครั้ง, ผมได้แบบว่าสนใจในดาราศาสตร์และจักรวาลศาสตร์ขึ้นมา(get kind of interested in astronomy and cosmology), เพราะว่าคุณมองออกไปข้างนอกนั่นและคุณก็คิดว่า โอ้! พระเจ้า นี่น่ามหัศจรรย์ยิ่ง(this is amazing). คุณรู้มั้ย, มันเกือบจะไร้ขอบเขตจำกัด(it’s almost limitless), แต่แล้วเมื่อผมหันกลับมาและแบบว่าครุ่นคิดไตร่ตรอง(kind of introspective)และคิดเกี่ยวกับสมองนั้นและมันเป็นอะไรแบบว่าเหมือนจักรวาลภายใน(kind of like a universe within).

         เรากำลังอยู่ในหนทางยาวไกลทั้งหลายของความเข้าใจ(a long ways of understanding)ว่ามันทำงานอย่างไร(how it works). แต่ถ้าเราสามารถลงไปที่จะขบติดมันออกมาได้(get down to figuring out)ว่าเซลล์ประสาทหนึ่งทำงานอย่างไร(how a neuron works).

         พระเจ้าเถิด(by God), แล้วเราสามารถจัดการกับมัน(deal with it)สองเซลล์ประสาท, และแล้วก็สี่เซลล์ประสาทและสี่ล้านเซลล์ประสาท(four million neurons), และแล้วสี่ร้อยล้าน.

         ได้รับการช่วยโดยการพัฒนาทั้งหลาย(developments)ในการสร้างภาพบางส่วนที่บุกเบิกโดย ดร.ไรเคิล(dr. Raichle)และทีมงานของเขา, นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย(scientists)สามารถศึกษาในบางีรายละเอียด(some detail)คลี่สองแผ่นผืนที่พับทบกันขนาดมหึมาออกมาจากห่าฝน(two enormous folded sheets out of rain)ที่เรียกว่า เปลือกสมอง(the cerebral cortex3)

         3https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87


         สิ่งนี้เล่นในบทบาทวิกฤตสำคัญในส่วนการทำงานระดับสูงขึ้นของสมอง(this plays a crucial role in higher brain functions)ดังเช่นความทรงจำ(memory), ความรับรู้/ญาณ(perception), ความคิดได้(thought)และ ภาษา(language).

คริสทอฟ คอค(Christof Koch)และผมมีสองของพวกเขา(have two of them)ในที่ความสูงของมือข้างซ้ายของผมนี้(in my left hand height). และส่วนของแผ่นนี้ของมัน(it’s part of sheet)ที่ให้ดวงตาแกจิตสำนึก(gives eyes to consciousness), แผ่นผืนนี้(this sheet)ก็ยังก่อให้เกิดต่อสติปัญญาและความมีเหตุผล(give rise to intelligence and reasoning)และสิ่งอื่นทั้งหลายอีกทั้งหมด(and all other things)ที่เรายึดถือเป็นของรัก.

แต่อะไรที่สมองมนุษย์(the human brain)ในจิตของมนุษย์(in human mind)ที่คริสทอฟ คอค(Christof Koch)ต้องการที่จะได้ออกมาด้วยทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์อันน่าพึงพอใจของจิตสำนึก(come up with a satisfactory scientific theory of consciousness)ก่อนที่เขาตาย.

วิทยาศาสตร์ต้องการที่จะอธิบายทุกอย่าง, และถ้าวิทยาศาสตร์ล้มเหลวที่จะอธิบายความจริงศูนย์กลางของการมีอยู่ของผม(if science fails to explain the central fact of my existence). ผมก็น่าจะพูดว่างั้นมันก็คือความล้มเหลว(it’s a failure).

ในการที่จะได้ความเข้าใจที่ดีขึ้น(gain better understanding)ของการว่าส่วนทั้งหลายของสมองทำงานอย่างไร(how parts of the brain work). นักวิทยาศาสตร์มักจะ, มองที่ส่วนเล็กๆน้อยๆของมันเมื่อเสียหาย(that are broken).

คริสทอฟ คอค(Christof Kock)มันเป็นส่วนเล็กหนึ่งของสมอง(a little part of the brain)ที่เรียกว่า สมองส่วนน้อยด้านบน(the cerebellum), ที่ซึ่งอยู่ที่ด้านหลังของสมองของผม(at the back of my brain). ผมก็ไม่สามารถที่จะพูดว่า, ไปเต้นรำกัน(to dance)หรือดื่มเบียร์(beer)หรือปีนเขา(climb)และเธอยากลำบากในการเคลื่อนไหวการพูดของผม(my speech)กลายเป็นเบลอมัว(become slurred). แต่จิตสำนึกของผมจะไม่ถูกซ่อมแซม(my consciousness will not be impaired).


         ในอีกด้านหนึ่ง(on the flip side). มันดูเหมือนว่าบางส่วนของสมอง(some parts of the brain)อาจจะเป็นสิ่งสำคัญจำเป็นสำหรับจิตสำนึก(be essential for consciousness).

         การระบุกถึงสิ่งเหล่านี้(identifying these), ก็คือที่เรียกว่าเซลล์ประสาทที่มีความสัมพันธ์กับจิตสำนึก(neural correlates of consciousness), น่าจะช่วยให้ปักหมุดลงไปได้ว่าอะไรกำลังบังเกิด?(would help to pin down what is happening?)

         อะไรที่อาจจะเป็นNCC, เซลล์ประสาทที่สัมพันธ์กับจิตสำนึก(the neural correlates of consciousness)เป็นเหมือน, การสมมติว่า(assuming that)มันก็คือว่า, มันเป็นการโผล่ออกมา(it’s an emergent)และให้ผมพูดกันตรงๆไปเลยว่าเราไม่รู้ว่าเป็นชีวิตของเขา(we don’t know was his life).

         ก่อนการตายของเขาในปี 2004, ฟรานซิส คริค(Francis Crick), ผู้ร่วมการค้นพบโครงสร้างของDNA(the co-discovers of the structure of DNA), ได้ทำงานกับ ดร.คอค(Dr. Kock)กับบางสิ่ง(on something). พวกเขาได้ตั้งชื่อ(termed)ปัญหาที่ผูกกันไว้(the binding problem).


         เอาปัญหาที่ผูกกันไว้มาถามว่า, สมองนั้นได้บูรณาการข้อมูลชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่แตกต่างกันทั้งหลายนั้นอย่างไร(how the brain integrates different bits of information), จนมันได้ทั้งประสาทสัมผัสและเข้าไปภายในประสบการณ์สำนึกรู้ของเรา(gets both sensory and internal into our conscious experience).

         ในชีวิตจริง(in real life), สมองนั้น(the brain)ดีเหลือร้ายและเอาทุกๆสิ่งมาเข้าด้วยกัน(terribly good and puts everything together), การเคลื่อไหว(the movement), รูปทรง(the shape)และสีสัน(the color).

         วิธีปกติของการพูดว่า ปัญหาที่ผูกกันไว้(the binding problem)ก็คือ, ถ้าคุณมีสี่เหลี่ยมสีแดง(a red square)และสามเหลี่ยมสีเขียว(a green triangle). มันเป็นได้อย่างไรที่คุณไม่ได้มองเห็นมันอย่างเป็นว่าเอาสีทั้งหลายผสมเข้าด้วยกันกับรูปทรงทั้งหลาย(see it that get the colors mixed up with the shapes). นั่นเป็นปัญหาพื้นฐานเบื้องต้น(basically problem).

         เพราะว่าประสบการณ์รับรู้ในจิตสำนึกของเรา(our experience of consciousness)ถูกสืบสันดานได้มา(is derived)จากข้อมูล(the data)ที่เราได้จากระบบที่แตกต่างกันทั้งหลายอันมากมาย(we get from lots of different systems), ภาพและเคลื่อนไหวเป็นแค่สองสิ่ง(the visual and being just two).

         ทั้งสองคนมองดูที่ส่วนหนึ่งของสมอง(see a part of the brain)ที่ถูกโยงติดต่อกับภาคส่วนทั้งหมดเหล่านี้(is connected to all these regions). พวกเขาสนใจอย่างพิเศษจำเพาะในเยื่อเปลือกสมอง(the claustrum4), แผ่นบางๆของเซลล์ประสาท(a thin sheet of nerve cell)

         4 https://en.wikipedia.org/wiki/Claustrum

ที่นั่งอยู่ก้นล่างของเปลือกสมอง(at the bottom of the cerebral cortex)ในแต่ละซีกของสมอง(in each hemisphere of the brain).


         เพราะว่าจากการทดลองในclaustrumนั้นในสมองมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่(testing the claustrum in a live human brain)เป็นการรุกรานและเสี่ยงอันตราย(is invasive and risk). ไม่มีการทดลองอย่างเป็นทางการทั้งหลายได้มีการกระทำกัน(no formal experiments have been done).

         แต่หนึ่งนั้นได้บังเกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุเมื่อปีที่แล้ว(one accidentally happened last year), เมื่อนักเซลล์ประสาทวิทยาคนหนึ่ง(a neurologist)กำลังพยายามที่จะเข้าใจแหล่งที่มาโรคลมบ้าหมูในคนไข้รายหนึ่งของเขา(the source of his patient’s epilepsy), ได้ฝังแท่งขั้วไฟฟ้า(implanted electrodes)ใกล้เยื่อเปลือกสมองของเธอ. เมื่อเขาเปิดสวิทช์กระแสไฟฟ้า(switched the current on)เธอสูญเสียจิตสำนึกของเธอไป(she lost her consciousness), และทันทีที่เขาปิดสวิทช์นั้น, เธอก็ฟื้นคืนมันกลับมา(she regained it).

 

วิวัฒนาการ ของ จิตสำนึก (The Evolution of Consciousness)


         ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเรามีจิตสำนึก(why we have consciousness). มันเป็นหนึ่งในเรื่องลี้ลับใหญ่ทั้งหลาย(one of the big mysteries). ทำไมวิวัฒนาการถึงให้ตัวยุ่งยากโดยเอาจิตสำนึกใส่เข้ามาด้วย(why did evolution bother putting consciousness in)? แล้ววิวัฒนาการเอาจิตสำนึกมาใส่ไว้ได้อย่างไร?(how did evolution put consciousness in?)

เดวิด ชาลเมอร์ส(David Chalmers):   ทำไมไม่สามารถให้เราได้ทำอะไรทุกอย่างที่เราทำด้วยชุดของกลไกวัตถุประสงค์ทั้งหลาย(why couldn’t we have done everything that we do with a set of objective mechanisms)และไม่มีประสบการณ์รับรู้ความคิดส่วนตัวแบบบุคคลที่ 1 ของโลกนี้(no first-person subjective experience of the world).

         มันเป็นหนึ่งในคำถามทั้งหลายอันใหญ่โตที่สุด(one of the biggest questions)และเป็นปรัชญาในวิทยาศาสตร์(philosophy in science).

แค่เป็นว่า ขบวนการทั้งหลายของจิตสำนึก(as the processes of consciousness)ยังคงเป็นเรื่องลี้ลับหนึ่ง(a mystery). ดังนั้นเจตจำนงของมัน(its purpose)คือ มันเป็นระดับสูง(it a high-level)โดยสรุปแล้ว, สมองนั้นผลิตสร้างขึ้น(the brain generates)เพื่อช่วยเราวางแผนสำหรับอะไรที่จะมาถึงถัดไปข้างหน้า(plan for what comes next). หนทางฉลาดของการออกแบบสมองของเรา(a clever way of designing our brain)ที่จะทำให้เรายิ่งกว่าชำนาญการในการเป็นสังคม(more adept at being social)ไม่, หรือก็ทั้งคู่(neither , both).

คำอธิบายหนึ่งในเรื่องวิวัฒนาการ(one evolutionary explain)ว่าทำไมเรามีจิตสำนึก(why we have consciousness), แนะชี้ว่า(suggested)สัตว์หนึ่งนั้นมีความสามารถของการจำลองพฤติกรรมของอีกรายอื่น(an animal capable of modeling the behavior of another)สามารถคาดหวังล่วงหน้ากับตัวมันให้ไปสู่ความได้เปรียบของมัน(can anticipate it to its advantage).

แจเนต เมตคาลฟิ์(Janet Metcalfe):   สิ่งที่น่าประหลาดใจ(the surprising thing)ก็คือว่า, ช่างมีสัตว์น้อยนิดเหลือเกินที่มีความสามารรถเช่นนั้นจริงๆ(so few animals actually have this ability).


         มนุษย์มีมัน(humans have it).

ดังนั้น, ฉันมีความคิดที่ดีมากอันหนึ่ง(a very good idea)กับอะไรที่คุณกำลังทำ(of what you are doing)และเมื่อคุณกำลังจะทำมันและทำไมคุณกำลังจะทำ(why you’re going to do it).

และเด็กๆกำลังเริ่มต้นมัน(starting it), บางทีในราวสามขวบอายุถึงได้นั่น(get that).

 แจเน็ต เมตคาลฟิ์(Janet Metcalfe)พูดถึงอะไรบางอย่างที่เรียกว่า, ทฤษฎีของจิต(the theory of mind).

แจเน็ต เมตคาลฟิ์(Janet Metcalfe):    ทฤษฎีของจิต(a theory of mind)เป็นการเรียกที่ใช้คำซึ่งไม่ถูกต้อง/ผิดอย่างแท้จริง(actually misnomer). วิธีที่เราได้ทดสอบมันว่า, คนหรือว่าสัตว์(whether a person or an animal)สามารถให้หลักฐานว่าพวกมันสามารถเข้าไปในรองเท้าของผู้อื่นหรือจิตของผู้อื่นได้หรือไม่(can get into the other person’s shoes or the other person’s mind)และมองดูโลกจากทัศนียภาพของผู้นั้น(and see the world from that person’s perspective).

การทดลองของมันมักจะไม่ใช่แค่, คุณสามารถมองเห็นจากจุดมองของบุคคลอื่น(can you see from the viewpoint of the other person)หรือไม่, แต่เป็นว่าคุณสามารถที่จะมองเห็นได้ว่าบางคนมีจุดมองที่แตกต่างไปจากของคุณเอง(see that someone has a different viewpoint from your own).

ทฤษฎีของจิต(the theory of mind)อาจจะจัดหาหนทางเดียวของการทำงานออกมาได้(might provide one way of working out)ว่าถ้าสัตว์ทั้งหลายนอกเหนือไปจากมนุษย์, มีสำนึกของจิตหรือไม่(if animals other than humans are conscious).

แจเน็ต เมตคาลฟิ์(Janet Metcalfe):    สายพันธุ์ชนิดเดียวเท่านั้นที่เราแน่ใจอย่างที่สุด(the only species that we’re absolutely sure)ว่ามีทฤษฎีของจิต(has theory of mind)ก็คือมนุษย์(is human), และบางที, ในมนุษย์ทั้งหลายแก่กว่าคร่าวๆก็สักสามขวบ.

         มันเป็นข้อถกเถียงอย่างมากว่า(it’s very controversial)สัตว์ทั้งหลายอื่นใดมีมันหรือไม่(whether any other animals have it). พวกเขากำลังถกเถียงกันว่า, ชิมแปนซีทั้งหลาย(chimps)มีทฤษฎีของจิตกันหรือไม่(have theory of mind or not).

         ก่อนที่เราจะสามารถมีทฤษฎีของจิต(a theory of mind), เราต้องจดจำตัวเราเองได้(we must recognize ourselves). เป็นเวลาหลายทศวรรษ(for decades), นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายได้ใช้บางอย่างที่เรียกว่าการทดลองแบบรูจ(Rouge test)เพื่อดูว่าสัตว์ทั้งหลายทำอย่างที่ทารก


มนุษย์ทั้งหลายทำหรือไม่(whether animals do just that human babies). เด็กทารกมนุษย์ทั้งหลาย(human babies)ทำเช่นนั้นตั้งแต่อายุประมาณสิบแปดเดือน(about eighteen months old).

         ซิมแปนซีแสดงตนกับกระจกเงาทั้งหลาย(presented with mirrors)ในไม่ช้าก็ใช้พวกมันในการทำความสะอาดตกแต่งตัวพวกเขาเอง(use them to groom themselves)มากเท่าๆกับที่เราทำ(much as we do).

         ช้าง(elephants), โลมา(dolphins)และนกแม็คไพ(magpies)ก็สามารถตอบสนองต่อกระจกเงาทั้งหลายด้วยเช่นกัน(also can respond to mirrors)ในหนทางทั้งหลายที่ชี้แนะถึงการจดจำตนเองได้(in ways that suggest self recognition).

แจเน็ต เมตคาลฟิ์(Janet Metcalfe):    ปัญหาในเรื่องการทดลองแบบรูจ(rouge test)ก็คือ, นักค้นคว้าด้านสัตว์ทั้งหลาย(the animal researchers)มักจะยกมันขึ้นมาว่าอาจจะมีนั่นหรือ?(is that may be there?) มันเป็นแค่ความรู้ทางกาย(just body knowledge). นั่นไม่ใช่ความรู้ทางจิต(not mind knowledge).

         ดังนั้นมันได้ถูกแปลความหมายไปว่า(was interpreted as)สัตว์นั้นรู้ว่าพวกมันมีจิต(knowing that they have a mind). และทฤษฎีของจิต(theory of mind)ดังที่เราคิดอย่างปกติ(normally think)ว่ามันถูกเชื่อมโยงกับบุคคลอื่นอีก(is related to another person)ไม่ใช่กับตัวตน/อัตตา(the self). แต่อย่างสมมติได้ว่า(presumably)คุณต้องรู้ว่า(have to know)คุณมีจิตอยู่หนึ่ง(have a mind)ก่อนที่คุณฉายส่องไปยัง(project)ความสามารถเดียวกันนั่นในกับบางคนอื่น(that same capability onto someone else).

การระบุแยกแยะถึงเซลล์ประสาทประสานงานเชื่อมต่อกันกับการจดจำตนเอง(identifying the neural correlated of self recognition)ในสัตว์ทั้งหลาย, จะเป็นภารกิจที่ยาก(a hard task). แต่เราก็สามารถจะทำมันได้(were able to do it), การศึกษาเชิงเปรียบเทียบทั้งหลาย(comparative studies)น่าจะเป็นไปได้(would be possible).

นั่นจะเป็นสิ่งมีค่าอย่างมหึมา(be hugely valuable).

วิทยาศาสตร์กำลังและเล็มเข้าใกล้ขึ้นที่จะเข้าใจ(is edging closer to understanding)ส่วนอะไรทั้งหลายของสมอง(what parts of the brain)อาจเป็นที่เกี่ยวข้องในการผลิตสร้างประสบการณ์จิตสำนึกขึ้น(might be involved in generating conscious experience).

โดยประมาณการบางอัน(by some estimates), เราอาจไม่ได้ไปไกลเกินกว่าทฤษฎีของจิตสำนึกฟังดูเป็นที่เห็นได้(an empirically sound theory of consciousness)และมันได้วิวัฒนาอย่างไร(how it evolved).

แต่ทฤษฎีเชิงกายภาพ(a physical theory)สามารถที่จะระบุได้ถึงถิ่นที่อยู่อย่างน่าพอใจหรือ(ever satisfactorily address)ในอะไรที่มันเป็น, ที่ผู้คนกำลังรู้สึกได้เมื่อพวกเขามีสำนึกของจิต(when they are conscious)

ปัญหาอันแสนยาก (The hard problem)



        เดวิด ชาลเมอร์ส
(David Chalmers)
เรียกจิตสำนึก(called consciousness)ว่าเป็นปัญหาอันแสนยาก(the hard problem), คำจำกัดความอย่างเชี่ยวชาญ(a deft description)สำหรับอะไรบางอย่างที่ยากที่จะอธิบาย(that hard to explain)และยากที่จะคลี่คลาย(hard to solve).

เดวิด ชาลเมอร์ส(David Chalmers):    วิธีการทั้งหลายของวิทยาศาสตร์(the methods of science)ในตอนนี้นั้นยอดเยี่ยมสำหรับการอธิบายกระบวนการทั้งหลายเชิงรูปธรรม(objective process)และหน้าที่การทำงานทั้งหลายเชิงรูปธรรม(objective functions). ดังนั้นเมื่อมันมาถึงกระทั่งว่าการอธิบายสิ่งทั้งหลาย(comes to explaining things)อย่างเช่นพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต(the behavior of an organism). คุณสามารถบอกเรื่องราวบางอย่างได้เกี่ยวกับชิ้นเล็กของสมอง(a bit of the brain), ขบวนการของเซลล์ประสาท(a neural process)หรือขบวนการขาคอมพิวเตอร์ในสมอง(a computer leg in the brain).

นั่นทำให้เราทำตัวได้ในหนทางที่ถูกต้อง(behave a certain way), แต่ปัญหาของจิตสำนึกอะไรที่เราเรียกว่าปัญหาอันแสนยากของจิตสำนึก(the hard problem of consciousness), ที่ได้อธิบาย(which is explaining)ว่าคุณได้ประสบการณ์รับรู้เชิงอัตวิสัยจากสมอง(get subjective experience from the brain)ได้อย่างไร, ไม่ใช่เป็นประเภทของคำถามนั้น(that kind of question).

มันไม่ใช่คำถามเกี่ยวกับว่า, เราเรากระทำตนอย่างไร(how we behave), มันคือคำถามเกี่ยวกับว่า...

เดวิด ชาลเมอร์ส(David Chalmers):    คุณรู้อะไรไหม? มันเหมือนเกี่ยวกับว่า, มันรู้สึกอย่างไรจากข้างใน(how it feels from the inside)และดูเหมือนว่าคุณสามารถอธิบายระบบกลไกทั้งหลายเชิงรูปธรรมและกระบวนการทั้งหลายเชิงรูปธรรมทั้งหมดเหล่านั้นได้(you can explain all those objective mechanisms and objective processes)และคุณยังคงจะไม่ได้ตอบปัญหาอันแสนยากนั้น(still won’t have answered the hard problem)ที่คือทำไมมันเป็นหน้าที่ทำงานของมันทั้งหมดจึงเป็นเช่นนั้น?(which is why is it that all that function is?) พร้อมกับจิตสำนึกมาด้วย(accompanied by consciousness).

         ปัญหาอันแสนยากได้แบ่งนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายอออกไปเหมือนๆกัน(the hard problem divides philosophers and scientists alike).

         นักปรัชญาบางรายโต้แย้งว่าจิตสำนึกนั้นสามารถถูกอธิบายได้อย่างง่ายยิ่งไปกว่านั้น(consciousness can be explained for more simply).

         ปริศนาจำนวนมากมาย(a lot of puzzles), ความลี้ลับแบบเบลล์ทั้งหลาย(Bells mysteries).

แดเนียล เดนเนตต์(Daniel Dennett):        เรากำลังที่จะเข้าใจมันจากด้านล่างขึ้นมาและจากข้างบนลงไป(we’re going to understand it from the bottom up and from the top down). ผมไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนั้น(I no doubt about that).


         แดเนียล เดนเน็ตต์(Daniel Dennett)โต้แย้งค้านว่า, จิตสำนึกนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่ากลไกมายาภาพทางคว่ามคิด(consciousness is nothing more than a cognitive illusion)ที่วิทยาศาสตร์เข้าไปในวิถีอธิบาย(science will into course explain).

แดเนียล เดนเน็ตต์(Daniel Dennett):   สมองของเรา(our brain)ได้ถูกออกแบบมาโดยวิวัฒนาการ(have been designed by evolution)และแล้วถูกออกแบบใหม่อีกครั้งโดยวิวัฒนาการวัฒนธรรม(redesigned by cultural evolution)เพื่อที่จะให้เราซึ่งผู้ใช้อย่างเพื่อน(to give us a user-friendly), ระบบของสิ่งทั้งหลายในโลก(system of thing in the world)ที่เราเข้าเกี่ยวข้องด้วย(we deal with).

ดังนั้น, โลกของผู้ใช้เยี่ยงเพื่อน(user-friendly world)ที่เราอาศัยอยู่ในภาพอันชัดแจ้ง(that we live in the manifest image), คือประเภทของ มายาภาพของผู้ใช้เยี่ยงเพื่อน(a sort of user-friendly illusion)ในหนทางเดียวกันกับที่หน้าจอของคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปของคุณ(in the same way that the desktop of your laptop)เป็นมายาภาพของผู้ใช้งาน(is a user illusion).

มันลดความซับซ้อน(simplifies)และมันบิดเบี้ยว(distorts)ในหนทางที่ช่วยเหลือเต็มที่(helpful ways)สำหรับเจตจำนงมากที่สุด(foremost purpose)ถ้าคุณอยากจะรู้จริงๆว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นอยู่(what’s going on), คุณต้องไปที่หลังเวที(backstage), และสิ่งเดียวกัน(the same thing)เป็นความจริงเกี่ยวกับสมอง...(is true about the brain…)

จนถึงเมื่อเร็วๆนี้(until recently), เราไม่ได้มีเครื่องมือทั้งหลายที่ดีมาก(a very good tools)สำหรับทำมัน. สมองนั้น(the brain)เป็นเพียงเขตห้ามเข้า(off limits)เขตจำกัดเท่าๆกับ(as off limits as)กาแล๊กซี่ทั้งหลายอันห่างไกล(distance galaxies).

เราในตอนนี้กำลังพัฒนาเครื่องมือทั้งหลาย(developing the tools)สำหรับการศึกษาชนิดไม่รุกรานต่อสมอง(non-invasively study the brain), และตอนนี้เรากำลังพัฒนาความคิดทั้งหลายเชิงคอมพิวเตอร์(computational ideas)และหุ่นจำลองทั้งหลาย(models), เพื่อที่เราจะสามารถเข้าใจ(can understand)ว่าสมองหนึ่งๆนั้นสามารถไม่ใช่จัดการอย่างปาฏิหารย์กับข้อมูล(can non-miraculously deal with information)และปรับแต่งมัน(refine it)และเปิดเผยความหมายอรรถศาสตร์ของโลก(uncover the semantics of the world)หรือภายนอกและภายใน(outside and inside).

ดังนั้นแล้วเราอยู่ในตอนนี้, เราตอนนี้มีชุดเครื่องมือนั้น(the toolkit)และมันได้ใช้ดเวลานานขนาดนี้(it’s taken this long)ที่จะพัฒนามันกันในตอนนี้. เราแค่จะต้องใช้เครื่องมือทั้งหลายนั้น.

บางที, สำหรับในตอนนี้(for the time being), ปริศนาของจิตสำนึก(the puzzle of consciousness)ดำเนินต่อไปในการวางมาดเป็นคำถามทั้งหลายยิ่งไปกว่าที่มันใหคำตอบทั้งหลาย(more questions than it does answers).

กระนั้นนักปรัชญาอีกผู้หนึ่ง, ไพธากอรัส แห่ง แอบดีร่า(Pythagoras of Abdera5)ป่าวร้องว่า(proclaimed that)มนุษย์นั้นเป็นตัววัดของสิ่งทั้งหลายทั้งหมด(man is the measure of

5https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA

all things).

         จนกว่าปัญหาของจิตสำนึกถูกคลี่คลายกระนั้น(until the problem of consciousness is solved though). นั่นอาจจะดีกว่าที่ถูกใช้วลีที่ว่าตัววัดสำหรับสิ่งทั้งหลายทั้งหมด, นอกจากตัวเขาเอง(but himself).

         https://youtu.be/ir8XITVmeY4?si=rXJ9KIM4KDfChLgE

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น