เราถูกเชื่อมต่ออย่างไร?/ อลัน วัตต์ส ในเรื่อง จะรู้ได้อย่างไรถึงความเป็นจริงที่คุณเป็น
HOW ARE WE CONNECTED? | Alan Watts on how to know the
truth of who you are!
“ผมสงสัยว่ามันเคยกระแทกใส่ในใจคุณบ้างหรือไม่ว่า
มันเป็นสิ่งที่น่าอยากรู้ยิ่งว่ามันเป็นอย่างไร
ที่สิ่งทั้งหลายส่วนใหญ่ที่เราได้ประสบรับรู้(how curious a thing it is that
most of the things that we experience),
เราคำนึงถึงขณะที่สิ่งทั้งหลายบังเกิดต่อเรา(we regard as things that happen
to us).
ที่ซึ่งตัวเราเองนั้นไม่ได้ก่อให้กำเนิดขึ้น(which
we ourselves do not originate).
ที่ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหลายกำลังแสดงปรากฏออกมาถึงอะไรบางอย่างของพลังอำนาจ(which
are events expressing some sort of power)หรือกิจกรรม/การเคลื่อนไหวที่เป็นสิ่งภายนอกของตัวเรา(or
activity that is external to ourselves).
และถ้าคุณพิจารณาถึงเรื่องนั้น(if you
consider that), คุณตระหนักได้ว่าอะไรที่คุณหมายถึงโดยตนเองนั้น(what
you mean by yourself)เป็นค่อนข้างจำกัดในวงแคบๆ(is
rather narrowly circumscribed).
แม้กระทั่งเหตุการณ์ทั้งหลายที่ดำเนินอยู่ในร่างกายของเราเอง(even
events that go on in our own bodies)ก็ถูกใส่เข้าไว้ในหมวดหมู่ของสิ่งทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นต่อเราในหนทางเดียวกัน(are
put in the category of things that happen to us in the same way)กับสิ่งทั้งหลายที่ดำเนินอยู่ในโลกข้างนอกเนื้อหนังตัวเรานี้(as
things that go on in the world outside our skins).
ถ้ามีพายุฟ้าผ่าหนึ่ง(a thunderstorm),
หรือแผ่นดินไหวหนึ่ง(an earthquake), เอาละ,
เมื่อมันบังเกิดขึ้นคุณก็ไม่ได้รับผิดชอบอะไรให้สำหรับมันให้เกิดขึ้น(you’re
not responsible for it).
แต่ในหนทางเดียวกัน, เมื่อคุณมีอาการสะอึก(when
you have a hiccups), คุณไม่ได้วางแผนถึงมัน(you
didn’t plan on it).
ถ้าคุณมีอาการปั่นป่วนเป็นคลื่นในท้อง(have
belly rumbles), คุณก้ไม่ได้ตั้งใจทำมันเช่นนั้น(have
no attention to do it).
และกับเรื่องพฤติการณ์วิบัติหายนะของการได้เกิดมา(as to
the catastrophic act of getting born), เอาละ,
คุณไม่มีอะไรต้องทำกับเรื่องนั้น, และคุณสามารถใช้เวลาทั้งหมดตลอดชีวิตของคุณกล่าวโทษพ่อแม่ของคุณได้(you
can spend all your life blaming your parents)
ที่เอาคุณมาอยู่ในสถานที่คุณเจอกับด้วยตัวคุณเองนี้(for putting you in the situation in which you find yourself).
และหนทางของการมองยังโลกในอารมณ์แบบกรรมวาจก/ไม่ตอบโต้นี้(this
way of looking at the world in this sort of passive)เมื่ออะไรบางอย่างบังเกิดขึ้นกับคุณนั้น(as
something that happens to you)ไปตรงลงที่ความรู้สึกทั่วไปของเราเกี่ยวกับชีวิต(goes
right down to our general feeling about life).
มันลงไปในยังหนทางซึ่ง(goes
down to the way in which), เยี่ยงชนตะวันตกทั้งหลาย(as
Westerners), เราได้คุ้นเคยกับการมองที่มนุษย์มีชีวิตอยู่(we
have been accustomed to look at human existence)เป็นเช่นเหตุการณ์อันหมิ่นเหม่(as a
precarious event).
ในจักรวาลนี้(in the cosmos), ทั้งปวงนั้นได้ถูกวาดภาพพรรณนา(that on the whole is depicted)ว่าเป็นสิ่งไม่เห็นอกเห็นใจและแปลกแยกต่างถิ่นต่างด้าวอย่างสมบูรณ์(being completely unsympathetic and alien)ต่อการดำรงชีวิตอยู่ของเรา(to our existence).
กล่าวอีกนัยหนึ่ง(in
other words),
ถ้าคุณได้ถูกชูศีรษะโผล่ออกมากับศตวรรษที่ 20(if you are reared with the 20th
century), หรือเราจะมาพูดว่า, ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 ในความหมายสามัญ(in
common sense), ที่ถูกตั้งพื้นฐานอยู่กับปรัชญาของวิทยาศาสตร์ของศตวรรษที่
19(which
is based on the philosophy of science of the 19th century),
กับการปฏิเสธของมันของศาสนาคริสต์(Christianity)และลัทธิจูดาย(Judaism).
คุณคำนึงถึงตัวคุณเองเป็นเช่นอุบัติเหตุ(you
regard yourself as an accident), อุบัติเหตุทางชีวิภาพ(a
biological accident)ในจักรวาลอันงี่เง่า(in stupid
universe).
ซึ่งเป็น(which is)เหมือนเครื่องกล(mechanical),
แต่ไม่มีความรู้สึก/เวทนาทั้งหลาย(but has no feelings),
ไม่มีความรู้สึก/เวทนาทั้งหลายอันวิจิตรกว่า(no finer feeling),
การหมุนติ้วขนาดกว้างใหญ่ไร้จุดของหินและก๊าซกัมมันตภาพรังสีทั้งหลาย(a vast
pointless gyration of radioactive rocks and gases)ในที่ซึ่งคุณได้บังเกิดอุบัติขึ้น(in
which you happen to occur).
แน่นอนว่าคุณไม่มีเจตคตินั้น(don’t have that point of view)และคุณเป็นยิ่งกว่าตามจารีตประเพณี(you
are more traditional), คุณมองตนเองว่าเป็นบุตรของพระเจ้า(look
upon yourself as a child of God)และเช่นนั้นเองตกอยู่ใต้อำนาจ(and
therefore under authority).
พูดอีกนัยอื่น(in other words),
มีเจ้านายใหญ่(big boss)อยู่บนยอดของทั้งหมดนี้(on top
of all this)ผู้ที่อนุญาตให้คุณ(who
allowed you), ตามความพอใจของเขา(at his
pleasure)ที่จะกรุณาให้มีความหน้าด้านไร้อย่างอายในการที่จะดำรงอยู่หรือ?(to
deign to have the disgusting effrontery to exist?).
และดีกว่าที่คุณเฝ้ามอง P’s และ Q’s ของคุณ, เพราะว่าท่านผู้ทรงอำนาจกำลังดูแลคุณอยู่(that
Almighty is looking after you),
ด้วยทัศนคติของเรื่องนี้กำลังทำความเจ็บปวดให้ผม(with the attitude of
this is going to hurt me)มากยิ่งกว่ากำลังจะทำความเจ็บปวดให้คุณ(more
than it’s going to hurt you).
และเมื่อคุณมองที่โลกในภาพเช่นนั้น(look
at the world in that image)หรือในภาพอื่น(or in
the other image)ว่ามันเป็นระบบกลไกโง่เขลา(it’s a
stupid mechanism), ไม่ว่ามุมมองใดที่คุณยึดถือ(either
point of view you take), คุณไม่ได้จริงๆเป็นของเขา(you
don’t really belong).
คุณไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งจริงๆของทั้งหมดนี้(you
are not really part of all this).
และผมสามารถใช้คำที่แข็งแรงยิ่งกว่า(คำว่า) “ส่วน”(could
use a stronger word than part)เพียงแต่ว่าเราไม่มีคำนั้นในภาษาอังกฤษ(only
we don’t have it in English).
ผมต้องพูดอะไรบางอย่าง(have to say something)เหมือนเช่น
เชื่อมติดต่อกับมัน(connected with it), เป็นส่วนสำคัญต่อมัน(essential
to it).
หรือที่จะจับวางมันในหนทางที่แข็งแรงที่สุดซึ่งเป็นไปได้(to put
it in the strongest possible way), มันค่อนข้างเป็นสิ่งต่างด้าวสำหรับความคิดของตะวันตก(it is
quite alien to Western thought)ที่จะตั้งครรภ์(to
conceive – เข้าใจ)ว่าโลกภายนอก(that
the external world), ที่ถูกให้คำจำกัดความว่าเป็นอะไรบางอย่างที่บังเกิดต่อคุณ(which
is defined as something that happens to you)และร่างกายของคุณตัวมันเอง(your
body itself), เป็นอะไรบางอย่างที่คุณถูกเข้าไปพัวพัน(as
something that you got caught up with).
มันค่อนข้างแปลกต่างต่อความคิดของเราที่จะพิจารณาทั้งหมดนั่น(quite
alien to our thought to consider all that)ว่าเป็นตัวคุณเอง(as you
yourself), เพราะว่าคุณเห็นแล้วว่า(you see)เรามีวิสัยทัศน์ที่แสนแคบสั้น(we
have such a myopic view)ในอะไรที่เป็นตัวตนของผู้หนึ่งผู้ใด(of
what one’s self is).
มันราวกับว่าอีกในนัยอื่น, เราได้เลือก(we
selected)ประสบการณ์รับรู้มากเท่าไหร่(how much experience)คือจริงๆที่จะอ้างวถึงว่าเป็นฉัน(is
really to be regarded as me).
เมื่อถ้าว่าคุณ(as if
you)เพ่งความสนใจของคุณ(focused your attention)อยู่กับพื้นที่หวงห้ามทั้งหลายอันแน่ชัด(on
certain restricted areas)แบบจอยาว/แพโนรามาของสิ่งทั้งปวงทั้งหลายนั้น(of the
whole of panorama of things)ที่คุณมีประสบรับรู้(you
experience)และพูดว่า, ฉันจะเลือกข้างกับที่มากนั่นของมัน(I will
take sides with that much of it).
ตอนนี้เรามาถึงที่นี่ตรงที่การเริ่มต้นยังหลักการอันสำคัญยิ่งเป็นที่สุด(now we
come here right at the start to an extremely important principle),
ที่เป็นมุมมองทั้งหลายซึ่งแตกต่างกัน(the different points of view)คุณได้มาเมื่อคุณเปลี่ยนระดับของคุณในการขยายภาพ(when
you change your level of magnification).
นั่นคือที่จะพูดว่า,
คุณสามารถมองที่อะไรบางอย่างด้วยกล้องจุลทรรศน์(you can look at something with a
microscope)และเห็นมันในวิธีที่แน่นอน(and
see it a certain way).
คุณสามารถมองที่มันด้วยตาเปล่าและเห็นมันในวิธีที่แน่นอนขึ้น.
คุณมองดูมันด้วยกล้องโทรทรรศน์(you
look at it with a telescope)และคุณก็เห็นมันในอีกวิธีหนึ่ง(and
you see it in another way).
ทีนี้, ระดับไหนของขยายภาพไหนที่เป็นอันซึ่งถูกต้อง?(which
level of magnification is the correct one?)
เอาละ, อย่างชัดเจนเลยว่าพวกนั้นทั้งหมดเป็นที่ถูกต้อง(obviously
they’re correct), พวกเขาเป็นแค่มุมมองที่แตกต่างกัน(they’re
just different points of view).
คุณสามารถ, ตัวอย่างเช่น, ดูที่ภาพของหนังสือพิมพ์หนึ่งภายใต้แว่นขยาย(a
newspaper photograph under a magnifying glass)และที่ซึ่งด้วยตาเปล่าคุณจะเห็นเป็นใบหน้าหนึ่งของมนุษย์(with
naked eye you will see a human face), ด้วยแว่นขยาย(with
magnifying glass)คุณจะแค่เห็นเป็นความอุดมสมบูรณ์ของจุดๆทั้งหลาย(will
just see a profusion of dots), ค่อนข้างกระจัดกระจายอยู่อย่างไร้ความหมายมากกว่า(rather
meaninglessly scattered).
แต่เมื่อคุณยืนห่างออกมา(stand away)จากจุดทั้งหลายที่สะสมกันอยู่นั้น(from
that collection of dots),
ที่ทั้งหมดดูเหมือนว่าเป็นที่แยกและขาดออกจากกันและกัน(all
seem to be separate and apart from each other),
พวกเขาก็ทันทีนั้นเรียบเรียงจัดตัวของพวกมันเองไปเป็นรูปแบบหนึ่งขึ้น(they
suddenly arrange themselves into a pattern).
และคุณมองเห็นนั่นว่า, จุดทั้งหลายอันเป็นปัจเจกกันอยู่เหล่านี้(these
individual dots)รวมกันเพิ่มเป็นสัมผัสรู้บางอย่างหนึ่ง(add up
to some kind of sense).
ตอนนี้คุณจะมองเห็นในทันทีจากภาพตัวอย่างนี้(this
illustration)ว่าอาจจะเป็นคุณ,
เมื่อคุณรับเอามุมมองแคบสั้นของตัวคุณเอง(when you take a myopic view of
yourself), เหมือนเช่นพวกเราส่วนใหญ่เป็น, แต่คุณอาจรวมกันเพิ่มเติมสัมผัสบางอย่างหนึ่ง(add up
to some kind of sense)ที่ไม่ได้ปรากฏชัดเจนต่อคุณในจิตสำนึกชนิดธรรมดาของคุณ(that
is not apparent to you in your ordinary Consciousness).
เมื่อเราตรวจกระแสเลือดของเรา(examine our bloodstreams)ภายใต้กล้องจุลทรรศน์(under
a microscope), เรามองเห็นมีการต่อสู้เยี่ยงนรกหนึ่งกำลังดำเนินอยู่(see
there’s one hell of a fight going on).
อะไรทั้งหมดของจุลชีพ/จุลินทรีย์ทั้งหลาย(micro-organisms)กำลังเคียวกลืนกินกันและกัน(are
chewing each other up). และเราได้หลงใหลมากเกินไป(get
overly fascinated)กับมุมมองของเรากับกระแสเลือดของเราเองในกล้องจุลทรรศน์นั้น(with
our view of our own bloodstreams in the microscope),
เราก็น่าจะเริ่มต้นการเลือกข้างทั้งหลาย(we should start taking sides),
ซึ่งจะเป็นที่ร้ายแรง(which would be fatal)เพราะว่าสุขภาพชองชีวอินทรีย์ของเรานั้น(the
health of our organism)ขึ้นอยู่กับความต่อเนื่องของการยุทธสงครามนี้(depends
on the continuance of this battle).
อะไรที่เป็น(what is),
พูดอีกอย่างอื่นหนึ่ง, ที่ขัดแย้งกับหนึ่งระดับของการขยายภาพ(conflict
at one level of magnification), นั้นเป็นที่ประสานกลมกลืนที่ระดับซึ่งสูงขึ้นกว่า(is
harmony at a higher level).
มันสามารถเป็นไปได้ด้วยเหตุผลเช่นนั้นหรือไม่, ว่าเราอยู่กับปัญหาทั้งหลายทั้งหมดของเรา(we
with all our problems)ของความขัดทับซ้อนกันทั้งหลาย(conflicts),
โรคประสาททั้งหลาย(neuroses), ความป่วยไข้ทั้งหลาย(sicknesses),
ความชั่วร้ายทางการเมือง(political outrages),
สงครามทั้งหลาย(wars), ทารุณกรรมทั้งหลาย(tortures)และทุกอย่างที่ดำเนินอยู่ในชีวิตมนุษย์(everything
that goes on in human life)เป็นสภาวะของความขัดทับซ้อนกัน(are a
state of conflict)ที่สามารถถูกเห็นได้ในทัศนภาพที่ใหญ่โตกว่า(can be
seen in a larger perspective),
เป็นเช่นสถานะของความสอดคล้องประสานกัน(as a situation of harmony).
เอาละ, มันได้ถูกอ้างอิงว่า(it is claimed),
คุณเห็นได้ว่าบางมนุษย์ทั้งหลาย(see that some human beings)ได้ทะลุผ่านภาพทัศน์นั้น(have
broken through to that vision), ว่าพวกเขาได้เล็ดรอดด้วยเหตุใดบางอย่างหรืออะไรอื่น(they
slipped somehow or other)เข้าไปในสภาวะทั้งหลายแห่งจิตสำนึก(into
states of consciousness)ที่ซึ่งพวกเขาเห็นสิ่งปรากฏของความแยกสลายตัวและความไม่เป็นระเบียบ/ไม่รวมตัวกันเป็นระเบียบของชีวิตประจำวัน(where
they see the apparent disintegration and disorganization of everyday life)เป็นเช่นการทำหน้าที่ทำประโยชน์ของสิ่งสุดยอดรวม/โมกขบริสุทธิ์(as the
functioning of a totality), ซึ่งที่ในระดับของมันได้สอดคล้องประสานกันอย่างสมบูรณ์(which
at its level is completely harmonious).
อย่างที่คุณสามารถพูดได้ว่า, อ่ะฮ้า(ahah)! ในที่สุดฉันก็เห็นว่าฉันได้ประเด็น(at last I see I got the
point). ฉันได้เห็นว่าทั้งหมดนี้มีเหตุมีผลอย่างไร(I
have seen how all this makes sense).
แต่อะไรที่ญาณทัศน์/ภาพข้างในได้พึ่งพาขึ้นอยู่กับ(this
insight depended on)คือการเอาชนะของคุณ(was
your overcoming)ต่อภาพลวงตาที่อวกาศซึ่งเป็นสิ่งแยกจากกันทั้งหลาย(the
illusion that space separates things).
นั่นคือที่จะพูดว่า(that is to say),
อวกาศนั้น(the space), ช่องว่างระหว่างร่างกายของคุณ(the
interval between your body)และของผม(and
mine),
และช่องว่างนั้นได้สร้างสรรค์โดยการเกิดที่ปลายหนึ่งและการตายที่ปลายอีกด้าน(the
interval created by birth and one end and death at the other).
และแล้วภายหลังการตายของใครบางคนและการเกิดของใครบางคนอื่น(and
then after somebody’s death then somebody else’s birth).
นี่คือเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้กับช่องว่างระหว่างพวกเขา(these
are events with intervals between them).
และโดยปกติเราคำนึงถึงช่องว่างทั้งหลายเหล่านี้ในตามเวลา(normally
regard these intervals in time), และช่องว่างทั้งหลายเหล่านี้ในอวกาศ(and
these intervals in space)ว่าเป็นเช่นไม่มีความสำคัญ,
ไม่มีประโยชน์หน้าที่ใช้งาน(as having no importance, no function).
เราโน้มเอียงที่จะเห็นจักรวาลตัวมันเองเป็นเช่นการประกอบกันจริงๆอยู่ด้วยบรรดาดวงดาวทั้งหลายและกาแล๊กซี่ทั้งหลาย(tend
to see the universe itself as really consisting in all the stars and galaxies).
นั่นคืออะไรที่มันเป็น(that what it is).
นั่นคืออะไรที่เราสังเกตเห็นแต่อวกาศที่บรรดานี้บังเกิดขึ้นข้างใน(that’s what we notice but the space in which all this happens)คืออะไรที่ถูกลงบัญชีว่าเป็นหนี้สูญ(is sort of written off)ว่าคืออะไรบางอย่างที่ไม่ได้อยู่ที่นั่นจริงๆ(as something that isn’t there).
แต่ผู้หนึ่งนั้นต้องตระหนักก็คือว่า(one
has to realize is that)อวกาศเป็นหน้าที่ทำงานสำคัญของสิ่งทั้งหลายในอวกาศ/ที่ว่างนั้น(an
essential function of the things in the space).
อย่างไรก็ตาม(after all), คุณไม่สามารถมีดวงดาวทั้งหลายที่แยกกันอยู่นั้นได้(you
can’t have separates stars), นอกเสียจากว่ามีอวกาศอยู่รายรอบพวกเขา(unless
there is a space around them).
กำจัดเอาอวกาศนี้ออกไป(eliminate the space)แล้วคุณก็จะเห็นว่าคุณไม่สามารถมีปรากฏการณ์นี้ได้เลย(you
couldn’t have this phenomenon at all)และในทำนองเดียวกัน(and
vice versa). คุณไม่สามารถไม่มีอวกาศนั้น(you
couldn’t have the space).
มันจะไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นในสัมผัสรู้ใดๆอะไรก็ตาม(it
wouldn’t be there in any sense whatsoever)ถ้าไม่ได้มีร่างกายทั้งหลายอยู่ในมันเช่นนั้น(if
there weren’t the bodies in it). ดังนั้นร่างกายทั้งหลาย(the bodies)ในอวกาศ/ที่ว่าง(in the
space)และอวกาศ/ที่ว่างนั้นเป็นสองรูปลักษณ์ของของความต่อเนื่องหนึ่งเดียว(are
two aspects of a single continuum).
พวกเขาสัมพันธ์เชื่อมโยงด้วยกันในหนทางเดียวกันอย่างแน่ชัดเป็นเช่นด้านหลังกับด้านหน้า(they’re
related together in exactly the same way as aback and a front).
และคุณแค่ไม่สามารถมีได้แค่อย่างเดียวโดยปราศจากอีกอย่างอื่น(and you just don’t get one without the other).
ดังนั้นในชั่วขณะทันทีที่คุณเห็นช่องว่างนั้น(the
moment you see that intervals), ก็คือว่าอวกาศเกี่ยวข้องติดต่อกัน(that
space is connective).
คุณสามารถเข้าใจได้ในทันที(you
can understand at once)ว่าอย่างไรที่คุณไม่ได้แค่(how you
are not just)เป็นที่ถูกกำหนดเป็นการเฉพาะ(to be exclusively defined)เป็นเช่นประกายวาบหนึ่งของจิตสำนึก(a flash of consciousness)ที่อุบัติขึ้นระหว่างสองความมืดอันชั่วนิรันดร์(that occurs between two eternal
darkness).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น