หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2566

โรเบิร์ต คูห์น - อะไรคือจิตสำนึก?

 อะไรคือ จิตสำนึก? /ตอนที่ 1302/ รายการ “เข้าใกล้ความสัจจริง”

What is Consciousness? | Episode 1302 | Closer To Truth

         https://youtu.be/s47EuhlgH4U?si=UyAU1fNVaD-dl37O

อะไรคือจิตสำนึก? จิตสำนึก(consciousness)คืออะไรที่เรารู้ดีที่สุดและอธิบายได้น้อยที่สุด. มันเป็นประสบการณ์รับรู้เชิงอัตวิสัยภายใน(the inner subjective experience)ของอะไรที่มันรู้สึกอย่างเช่นการที่มองเห็นสีแดง หรือได้กลิ่นกระเทียมหรือได้ยินบีโธเฟน(Beethoven). จิตสำนึกเป็นความงวยงงยุ่งเหยิง(baffling). การสัมภาษณ์ประกอบทั้งหลายมีในที่นี้กับ ไซมอน แบล็คเบิร์น(Simon Blackburn), ซูซาน กรีนฟิลด์(Susan Greenfield), คริสทอฟ คอค(Christof Koch), บรูซ ฮูด(Bruce Hood), และรอย บาวมีสเตอร์(Roy Baumeister).

เลือกมาหนึ่งคำที่จะอธิบายลักษณะการมีอยู่ของมนุษย์? (pick one word to characterize human existence?)

ผมไม่ลังเลเลย(I do not hesitate).

จิตสำนึก! (CONSCIOUSNESS!!)

ความรู้สึกรับรู้ภายในของการรู้สึกตัว(the inner sense of awareness)ภาพ(sights), เสียง(sounds), ความคิด(thoughts), ความรู้สึก(feelings).

การแสดงตนอย่างสนิทสนมของ การรู้สึกรับรู้ตัวตน/สติสัมปชัญญะ(the intimate presence of self-awareness)ตื่นรู้ตัวคุณเอง (aware of yourself)เป็นตัวของคุณ(being yourself).

นั่นคือ ปัญหาอันแสนยาก(the Hard Problem)” ของจิตสำนึก(of consciousness)ความรู้สึกข้างใน(internal sentience) - ภาพยนตร์ภายในของเรา(our inner movie) - ที่สุด


ของชายแดนแห่งการสำรวจค้นหาของมนุษย์(the ultimate frontier of human explo-ration).

ผมประหลาดใจในทั้งหมดของหนทางอันหลากหลาย(I marvel at all the diverse ways)ที่จิตสำนึกสามารถถูกตรวจพิจารณาได้(in which consciousness can be examined).

ผมรู้ว่าจิตสำนึกนั้นแบกเอาซึ่งการนำสินค้าเข้ามาอย่างใหญ่หลวง(carries great import).

นี่คืออะไรที่ผมไม่ได้รู้: อะไรคือ จิตสำนึก?(what is consciousness?)

ผม โรเบิร์ต ลอเรนซ์ คูห์น(Robert Lawrence Kuhn)และรายการ “เข้าใกล้ความสัจจริง”คือการเดินทางของผมที่จะค้นหา(my journey to find out).


เราจะสำรวจค้นหา จิตสำนึก ได้อย่างไร?(how do we explore consciousness?)

โดยปกติ, นักปรัชญาคุยกับนักปรัชญา(philosophers talk to philosophers), นักวิทยาศาสตร์สมองก็คุยกับนักวิทยาศาสตร์สมอง(brain scientists talk to brain scientists).

ความคิดที่น่าสนใจอันมากมาย(lots of interesting idea),, แต่ไม่มีการทะลวงผ่านค้นพบ(but no breakthrough).

เราขยายวงสนทนานี้ออกไปให้กว้างขึ้นได้หรือไม่?(can we enlarge the discourse?)

มอง จิตสำนึก(view consciousness)รวมทั้ง ปัญหาอันแสนยาก(the hard problem)ของประสบการณ์รับรู้ภายใน(including inner experience) - ผ่านตัวกรองแนวความคิดทั้งหลายที่แตกต่างกัน(through different conceptual filters?)

ทะลายเขตแดนทั้งหลาย(break boundaries).

ปลดปล่อยความคิดของเรา?(emancipate our thinking?)

ทำอย่างไรที่จะเริ่มต้นสะอาดด้วยการมีอคติหรือสัมภาระทางปัญญาอย่างน้อยขีดสุด?(with minimum intellectual bias or baggage?)

ให้คำจำกัดความ จิตสำนึก(define consciousness) - วางโครงร่างประเด็นทั้งหลาย(lay out the issues) - เริ่มต้นไปจากตรงนั้น(go from there).

ผมไปที่แคมบริดจ์, อังกฤษ(Cambridge, England), เพื่อพบกับนักปรัชญาที่รู้จักกันดีในเรื่องนักสัจนิยมที่จิตใจแข็งแกร่ง(tough-minded realism).

อดีตบรรณาธิการของวารสารthe Prestigious Journal Mind, ไซมอน แบล็คเบิร์น(Simon Blackburn).

โรเบิร์ต คูห์น:  ไซมอน,ผมถูกครอบงำด้วย จิตสำนึก(been obsessed with consciousness) มาตลอดชีวิตของผม(my whole life). ผมทำปริญญาเอกมาในด้านเซลล์ประสาทกายภาพวิทยา(doctorate in neurophysiology).

         คุณให้คำจำกัดความ“จิตสำนึก”ว่าอย่างไรครับ?(how do you define consciousness?)

         อะไรที่เป็นการเข้าถึงพิเศษฉีกแนวสู่จิตสำนึก?(what’s your unique approach to consciousness?)

ไซมอน แบล็คเบิร์น:   บางทีนะ, ผมจะไม่พยายามที่จะเข้าถึงมันด้วยคำจำกัดความ(wouldn’t try and approach it by definition). ผมคิดว่านั่นกำลังจะเป็นแค่กระป๋องใส่ไส้เดือน(that’s going to be just a can of worms).

         ผมไม่แปลกใจเลยที่ชีวิตของคุณในฐานะนักเซลล์ประสาทกายภาพวิทยาไม่ได้ช่วยได้(your life as a neurophysiologist didn’t help).

         ไลบ์นิซ(Leibniz)พูดว่า ถ้าเราสามารถขยายสมองขึ้นมา(blow the brain up)เท่าขนาดโรงสี(size of a mill)และเดินทั่วเข้าไปข้างในมัน(walk around inside it), เรายังคงจะไม่ค้นพบ

จิตสำนึก(we still couldn’t find consciousness).


         ผมหมายถึงว่า, เราสำนึกรู้ถึงสิ่งทั้งหลาย(we’re conscious things), และประสบการณ์รับรู้ของเราในเรื่องของโลก(our experience of the world)เราอธิบายในขอบเขตทั้งหลายของจิตสำนึก(describe in terms of consciousness).

         ผมคิดว่า, ปัญหาอันแสนยาก(the hard problem)อย่างมันในบางครั้งถูกเรียกนั้น, ที่จริงแล้วอะไรคือตัวอย่างที่เดวิด ชาลเมอร์ส(David Chalmers)เรียกว่า ปัญหาอันแสนยาก(call the hard problem).

         ผู้คนคิดว่าปัญหาอันแสนยาก(the hard problem)ก็คือ “พระเจ้า, มีอะไรเล็กๆน้อยๆที่เป็นเชิงกายภาพซึ่งหายไป, มีหมอกสีม่วงอยู่ของในเรา (Gosh, there’s a bit that physics misses out, there is the purple haze1 inside us).

         1 https://en.wikipedia.org/wiki/Purple_Haze

โรเบิร์ต คูห์น:  กลิ่นของเนย(smell of cheese).

ไซมอน แบล็คเบิร์น:   กลิ่นของเนย, ภาพของดอกแดฟฟอดิล(the sight of daffodils)และอะไรอีกทั้งหลาย. และวิทยาศาสตร์ไม่ได้ค้นพบนั่น(science doesn’t find that).

         วิทยาศาสตร์สามารถคุ้ยเขี่ยไปรอบๆสมอง(can rummage around the brain)แต่มันไม่ได้จะค้นพบกลิ่นของเนยหรือภาพของดอกแดฟฟอดิลทั้งหลาย(it’s not going to find the smell of cheese or the sight of the daffodils). และนั่นคาดว่าจะผลิตสร้างปัญหาอันแสนยากขึ้น(supposed to generate a hard problem).

         ตอนนี้ผมคิดว่าปัญหาอันแสนยากจริงๆแล้ว(the really hard problem)ก็คือการพยายามที่จะทำให้ตัวเราเองเชื่อว่า(is trying to convince ourselves that)ไม่มีปัญหาอันแสนยาก(no hard problem) ก็แค่นั้นแหละ, อย่างที่มันเป็น, สิ่งประดิษฐ์ในหนทางเลวร้ายของการ

คิด(an artifact of a bad way of thinking).

         ผมคิดว่านักปรัชญา(the philosopher)ผู้ได้ทำมากที่สุดในการพยายามที่จะโน้มน้าวเราในเรื่องนั้น(did the most to try to persuade us of that)คือ ลุดวิก วิตต์เกนสไตน์(Ludwig Wittgenstein), นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ชาวออสเตรียน(the great Austrian philosopher)ผู้ได้ทำงานอยู่ที่แคมบริดจิ์(worked in Cambridge). และศูนย์กลางการแสดงออกในคลังสรรพาวุธของเขา(the central exhibit in his armory)คือสิ่งที่ถูกเรียกว่าการโต้แย้งในภาษาส่วนตัว(a private language argument).

         คุณมีปัญหาในเรื่องญาณวิทยา/ทฤษฎีของธรรมชาติและความรู้นี้(this epistemological problem): คุณรู้ได้อย่างไรว่า(how do you know that)ผู้คนอื่นมีจิตสำนึกในหนทางเดียวกันกับคุณ(other people have consciousness in the same way as you), แต่อย่างน้อยที่สุดคุณคิดว่าตัวคุณเองโปร่งใสกับตัวคุณเอง(transparent to yourself). คุณรู้ว่ามันเป็นเหมือนอะไรกับคุณ(what its like for you).

         วิตต์เกนสไตน์(Wittgenstein)ถามถึงว่า, นั่นเป็นสมเหตุสมผลได้หรือไม่(whether that was justifiable)แล้วบอกว่า, เอาละ, อะไรเกี่ยวกับอดีตที่ผ่านมาของตัวคุณเองล่ะ?(what about your own past?). บางทีคุณแน่ใจว่าคุณมีสำนึกรับรู้อยู่ในตอนนี้(may be you are certain you are conscious now), แต่ทำไมถึงแน่ใจเหลือเกินว่าคุณมีสำนึกรู้เมื่อสิบนาทีที่ผ่านมานั้น?(so certain you were conscious ten minutes ago?)

         และคุณบอกว่า, เอาละ, ผมสามารถจำมันได้(I can remember it), แต่นั่นมันแค่อีกอันหนึ่งในรูปลักษณ์ของจิตสำนึกปัจจุบันของคุณ(it’s just another aspect of your present consciousness). ทำไมเราไปคาดว่านั่น, ว่าความทรงจำนั้นเป็นความจริง?(that memory is veridical?) ทำไมเราจึงจะสมมติว่าจำได้ในสิ่งทั้งหลายนั้นอย่างที่พวกมันเป็น?(why should we suppose that remember things as they were?)

         ถ้าจิตสำนึกของคุณ(your consciousness)เป็นเช่นที่มันมีอิสระอย่างสมบูรณ์จากอะไรอื่นใด(were completely independent of anything else), มันเป็นการครอบครองส่วนตัวของคุณเอง(it’s your own private possession) – ไม่มีเหตุผลที่จะไปแน่นอนเอากับมัน(no reason to be certain of it).

ทำไมคุณควรจะไปคาดเอาว่า, นี้คือนั่นที่คุณได้มีความคิดอย่างเพียงพอในการที่โลกได้ปรากฏต่อคุณอย่างไร(that you’ve got an adequate conception of how the world appeared to you)เมื่อห้านาทีที่แล้ว(five minutes ago?).

และวิตต์เกนสไตน์(Wittgenstein)วาดบทสรุป(draws the conclusion), เพราะเช่นนั้น, จิตสำนึก(consciousness)ไม่ใช่สิ่งภายในที่เป็นอากาศธาตุ(isn’t this gaseous internal thing)ซึ่งด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งคุณได้สิทธิพิเศษเข้าถึงได้(somehow you’ve got privileged access to), แต่เป็นที่มีปัญหาสำหรับทุกคนอื่น(which is problematic for everyone else).

มันแค่เป็นปัญหาเหมือนเช่นกับอดีตของตัวคุณเอง(just as problematic for your own past). และเมื่อใดที่คุณได้เห็นอย่างที่ผมคิด, คุณอาจจะถูกกระตุกกระชากไปสู่หนทางที่เป็นจริงยิ่งกว่าสักเล็กน้อย(might be jerked into a slightly more realistic way)ของการคิดในเรื่องเกี่ยวกับจิตสำนึก(of thinking about consciousness).

โรเบิร์ต คูห์น:     นั่นฟังดูเหมือนการวิเคราะห์ของนักพฤติกรรมวิทยา(a behaviorist analysis).

ไซมอน แบล็คเบอร์น:    ผมคิดว่าพฤติกรรมมีอิทธิพลในกรงนกขนาดใหญ่ที่นี้นะ(behavior rules the roost here). แต่เราต้องเป็นที่ระมัดระวังอย่างมาก(got to be very careful)เกี่ยวกับว่าเราคิดกับมันอย่างไร(about how we think of it).

         เรารู้เกี่ยวกับตัวเราเองค่อนข้างในหนทางพิเศษทั้งหลาย(we know about ourselves in rather special ways).

         คุณรู้ว่าคุณเพลิดเพลินบางอย่างหรือไม่(whether you are enjoy something)และคุณรู้ว่าสามารถปิดบังมัน(you can conceal it), บางทีไม่ใช่อย่างสำเร็จเต็มที่หรือทั้งปวงมากนัก(not very successfully or wholly successfully)และเช่นนั้น, ชีวิตจิตใจทั้งหลายของเรา(our mental lives), ชีวิตความรู้ความเข้าใจทั้งหลายของเรา(our cognitive lives)เนื่องอยู่กับบางขอบข่ายลอยตัวเป็นอิสระของพฤติกรรม(due to some extent float free of behavior).

         สมมติเป็นตัวอย่างว่า(supposing for example), คุณกำลังเพลิดเพลินอยู่กับตัวคุณเอง(you are enjoying yourself), แต่มันเป็นสิ่งสำคัญทางสังคมที่ต้องปิดบังในความจริงนั่น(it’s important socially to conceal that fact). คุณจะถูกทิ้งไว้กับยิ้มในใจหรือหัวเราะหรืออะไรก็ตามที่มันเป็น(would be disposed to snigger or laugh or whatever it is), บางทีกับความโชคร้ายของใครบางคนหรืออะไรบางอย่าง(at somebody’s misfortune or something), แต่คุณยังคงทำสีหน้าเฉยเมยอยู่(maintain a straight face).

         ดังนั้น, พฤติกรรมของคุณ(your behavior)ไม่ได้แสดงออกถึงอะไรที่คุณรู้สึกอย่างแท้จริง(doesn’t express what you actually feel). ความรู้สึกของคุณอาจจะไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการควบคุมอารมณ์(a disposition) – นี่คือการควบคุมอารมณ์ที่คุณสวมหน้ากากได้สำเร็จที่จะหัวเราะ(successfully masked to laugh)หรือว่าที่จะยิ้มในใจ(to snigger)หรือรับความพึงพอใจในอะไรบางอย่างที่ถูกห้ามไว้(take pleasure in something forbidden), หรืออะไรบางอย่างที่คุณไม่ควรจะไปรับความพึงพอใจนั้น.

         ดังนั้นเราสามารถได้อย่างแน่ชัดในการปิดบังพฤติกรรมทั้งหลายของเรา(can certainly conceal our behaviors)และเรามีการควบคุมอารมณ์ที่จะประพฤติ(have a disposition to behave).

         ในกรณีนั้นประเภทที่ช่ำชองโลกมากยิ่งกว่าของทฤษฎีพฤติกรรมนิยม(a more sophisticated kind of behaviorism), บางทีเรียกว่าทฤษฎีหน้าที่นิยม(functionalism)ควรจะเป็นความสามารถ(ought to be able)ที่จะทำให้เราเป็นอิสระ(to free us)จากความคิดของแบบอย่างส่วนตัวในเรื่องจิตสำนึก(the idea of private exemplar of consciousness)ที่เป็นแค่ปริศนาน่าสงสัยอยู่ที่นั้นในผู้คนอื่น(only problematically there in other people), ปริศนาน่าสงสัยอยู่ที่นั้น(problematically there)ในเก้าอี้และโต๊ะทั้งหลาย(in chairs and tables)สำหรับทั้งหมดที่เรารู้(for all we know).

         ผมคิดว่าอะไรที่เป็นแบบปัญหาอันแสนยาก(that kind of hard problem)นั้นคุณต้องกำจัดมันออกไป(you’ve got to get rid of).

         แอย่างที่ผมพูด, ปัญหาอันแสนยากนั้นก็คือการขจัดปัญหาอันแสนยากออกไป(the hard problem is getting rid of the hard problem).

 

โรเบิร์ต คูห์น:  ผมคิดว่าผมมีหนี่ง “ปัญหาอันแสนยาก”ของจิตสำนึก(I had one “hard problem” of consciousness)ประสบการณ์รับรู้ภายใน(inner experience).

         ไซมอน จัดหาให้อีกอันหนึ่ง: เราไม่สามารถแน่ใจได้จิตทั้งหลายอื่น(another minds)ได้รู้สึกตัว(are conscious). อะไรที่มากกว่า(what’s more), เขาบอก, เราไม่สามารถกระทั่งแน่ใจได้ว่า หนึ่งนาทีที่แล้ว(one minute ago), เราตัวเองนั้นได้รู้สึกตัว(we ourselves were conscious)!

         เราต้องกลายเป็นคนขี้สงสัยทั้งหลายในเรื่องจิตสำนึกหรือ(become skeptics about consciousness)? ยอมจำนนต่อการไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับจิตสำนึกหรือ(resigned to not knowing anything about consciousness)?

         นี่เป็นความสัจจริงรึ(is this reality)?

         หรือว่า”ปรัชญา”นี้ทำให้ปัญหานี้เลวร้ายลงไปอีก(or is this ‘philosophy’ making the problem worse)?

         ผมควรจะมองโพ้นเลยไปจากปรัชญา( I should look beyond philosophy).

         ทำอย่างไรถึงจะได้สารตั้งต้นของจิตสำนึก(how to get at the substrate of consciousness)?

         ผมไปที่สมองและนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายผู้ศึกษามัน(I go to the brain and the scientists who study it).

         ผมไปที่ ออกฟอร์ด(Oxford). ผมไปเยี่ยมนักเซลล์ประสาทวิทยาชาวอังกฤษ(the British neuroscientist)และนักเขียน(writer), ซูซาน กรีนฟิลด์(Susan Greenfield).

โรเบิร์ต คูห์น:    ซูซาน, จิตสำนึกคืออะไรหรือ(what is it about consciousness)ที่ขับเคลื่อน(drives)นักปรัชญา, นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย(philosophers and scientists)บ้าคลั่งกันอย่างสัมบูรณ์สุด?(absolutely crazy?)


ซูซาน กรีนฟิลด์:       ฉันคิดว่าในเชิงวิชาการใดๆ(any academic), ไม่ว่าพวกเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งหรือไม่(a scientist), ไม่ว่าพวกเขาเป็นนักปรัชญาทั้งหลายหรือไม่(philosophers), คุณก็มักเริ่มต้นด้วยการให้คำจำกัดความ(start off by defining)คำศัพท์ทั้งหลายของคุณนั้น(your terms).

         และทันทีที่คุณวิ่งเข้าไปเจอปัญหา(run into the problem)เพราะว่า คุณระบุกำหนดคำจำกัดความจิตสำนึกว่าอย่างไร?(because how do you define consciousness?)

         เราระบุกำหนดอธิบาย”การบิน”(define flying), เป็นตัวอย่าง, ว่าเป็นการอธิบายถึงแรงโน้มถ่วง(as defying gravity).

         หรือว่าคุณสามารถมีสิ่งอ้างอิง(could have referral to)ต่ออะไรที่เราเรียกว่าชุดที่สูงกว่า(a higher set); คุณสามารถพูดว่าโต๊ะตัวหนึ่งเป็นชิ้นหนึ่งของเฟอร์นิเจอร์(a table is a piece of furniture); ความรักเป็นเรื่องของอารมณ์(love is an emotion).

         ทีนี้มาลองพยายามดูไม่ว่าทั้งสองอย่างเหล่านั้น, อันไหนมีกลวิธีเข้ากันได้กับจิตสำนึก(strategies with consciousness).

         จิตสำนึกคือเมื่อใดที่คุณกำลังทำอะไรอยู่?(consciousness is when you do what?)

         คุณสามารถอยู่ในกำลังนั่งนิ่งๆ, ไม่ได้กำลังทำสิ่งใด(not doing anything), ไม่ได้กำลังพูดสิ่งใด(not saying anything), กระนั้น, คุณก็ยังกำลังมีสำนึกรู้(you still be conscious).

         ดังนั้นคำนิยามปฏิบัติการ(operational definition – การให้ความหมายของคำที่เป็นแนวคิดออกมาที่มีลักษณะวัดได้, สังเกตได้ ให้มีความหมายแน่นอนเป็นขอบเขต)นั้น, ใช้การไม่ได้(doesn’t work).

         แล้วในกลวิธีอื่นอีกอันหนึ่งล่ะ?(what about the other strategy?)

         จิตสำนึก คืออะไร?(consciousness is a what?)

         อะไรที่เป็นสูงกว่านั่น?(what’s higher than that?)

         ตอนนี้ใครบางคนสามารถออกมาจากมันได้(could get out of it)แล้วพูดว่ามันเป็นคุณสมบัติหนึ่งของสมอง(a property of the brain), แต่นั่นเป็นอะไรที่บางคนครั้งหนึ่งเรียกว่าคำอธิบายแบบยาชา(what someone once called an anesthetic explanation). มันไม่ได้เป็นคำอธิบายแต่อย่างใดเลย(it’s not an explanation at all).

         อะไรที่เราจำเป็นต้องทำจริงๆ(really need to do)คือต้องเป็นพิถีพิถันมากๆ(be very picky)และเมื่อเราไม่สามารถพูดได้ว่าจิตสำนึกคืออะไร(what consciousness is), เราสามารถพูดได้อย่างแน่ชัดว่าอะไรที่ไม่ใช่มัน(can certainly say what it is not).

         ดังนั้นอะไรที่เราต้องทำคือแยกแยะจิตสำนึกออกจากจิตไร้สำนึก(distinguish consciousness from unconsciousness).

         ดังนั้นจิตสำนึก(consciousness)สามารถถูกระบุกำหนดได้(can be refined)ว่าเป็นอะไรที่คุณสูญเสียไป(as what you lose)เมื่อคุณนอนหลับ(go to sleep), เอาเป็นพูดว่า, หรือบางทีอย่างเป็นทางการมากขึ้นอีกนิด(a little bit more formally)คุณสามารถบอกได้ว่า, มันเป็นสภาวะตัวตนภายใน(it’s the inner subjective state)ที่ไม่มีใครอื่นสามารถเข้าไปถึง/เจาะข้อมูลได้(no one could hack into).

โรเบิร์ต คูห์น:    งั้น, เราก็มาไปกันที่แก่นแกนกันเลย(let’s get to the core), อะไรที่ความเป็นอัตตา/ตัวตนภายในที่ว่านี้(which is this inner subjectivity).

         และความเป็นอัตตา/ตัวตนภายในนั่น(that inner subjectivity)สามารถถูกแสดงออกให้เห็น(can be expressed)ด้วยเนื้อหามากมายที่แตกต่างกันไป(with lots of different content).

         ดังนั้นคำถามขั้นมูลฐานคือ(the fundamental question), จิตสำนึกนี้เป็นแค่ผมรวมค่าอันสัมบูรณ์ของเนื้อหาอะไรก็ตามนั้นๆในขณะนั้น?(is consciousness just the absolute sum of whatever the content is at the moment?)

         หรือว่ามีอะไรบางอย่างเพิ่มเติมในจิตสำนึก(or is something  additional in consciousness)ที่เราไม่ได้รู้สึกถึง(unaware of)ในการสร้างทำอัตตา/ตัวตนภายในนั้น?(to make the inner subjectivity?).

         คุณไม่สามารถหลบเลี่ยงไปจากคำถามนี้?

ซูซาน กรีนฟิลด์:       มันคืออัตตา/ตัวตน(the subjectivity)ที่จริงๆเป็นจุดสำคัญของปัญหานี้(that really the nub of the problem), เพราะฉันคิดว่าที่นั้นเองซึ่งวิทยาศาสตร์ดิ้นรนพูดตะกุกตะกัก(that where science flounders).

         วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องทั้งหมดของสิ่งที่ถูกวัดขนาดได้(science is all about measuring things), มันคือเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับการแสดงปริมาณ(all about quantification).

         ทีนี้มาที่จิตสำนึก(take consciousness).

         เราเพิ่งพูดกันว่ามันคือแก่นสารของความเป็นอัตตา/ตัวตน(quintessentially subjective), แล้วอะไรที่นั่นมีให้หาปริมาณได้?(what is there to quantify?)

         ดังนั้น, เรามาวางมันกลับไปอย่างลงตัวตรงกันเถอะ(let’s put it back square on). โอ, เพราะชัดเจนเลยว่า, มันวางอยู่ที่นั่น(posit that)มีบางผู้ชายตัวเล็กๆหรือผู้หญิงตัวเล็กๆอยู่ข้างในหัวของคุณ(inside your head), บางผู้ควบคุมข้อเท็จจริง(some fact controller)และชัดเลยว่านั่นบ้าบอ(and obviously that’s crazy), และคำถามนั่นฉันอยากจะถามคุณกลับไปบ้าง, ถ้าฉันพูดอยู่กับคุณในตอนนี้, “ใช่เลย, เดาซิ? (“right, guess what?) มันเป็นวันโชคดีของคุณ(it’s your lucky day), วันนี้ฉันตื่นขึ้นมาและฉันได้ค้นพบว่า สมองผลิตสร้างจิตสำนึกอย่างไร(and I’ve discovered how the brain generates consciousness). และตอนนี้ฉันรู้ว่ามันบังเกิดขึ้นอย่างไร?(and now I know how it happens.”).”

คุณจะคาดหวังว่าฉันแสดงอะไรให้คุณดู?(what would you expect me to show you?) คุณจะคาดหวังที่จะได้เห็นภาพสแกนสมอง(a brain scan), สูตรอันหนึ่ง?(a formula?)

คุณคาดหวังว่าคุณจะทันทีทันใดรู้สึกได้เหมือฉันหรือ?(would you expect you to suddenly feel like me?)

จนกว่าเราสามารถกระทั่งพูดชัดแจ้งได้ว่าคำตอบประเภทอะไร(can even articulate what kind of answer), แล้วเราจะสามารถมอบมันให้ได้อย่างไร?(how can we delivery it?)

ตอนนี้, มุมมองของฉันเองกับความเป็นอัตตา/ตัวตน(view with the subjectivity)คือมีสองการลวงให้เข้าใจผิด(there’s two fallacies)ที่ฉันคิดว่าเราพบโดยบังเอิญ(we run up against): เจ้าสิ่งการลวงให้เข้าใจผิด(the thing fallacy). การลวงด้วยข้อมูลที่อ่านออกมาได้(the readout fallacy).

การลวงด้วยข้อมูลที่ออกมา(the readout fallacy)นั้นเรียบง่าย(is simply), อะไรที่มันได้อ่านออกมาหรือ(what does it readout to?) กวางตัวนั้นหยุดลงที่สมอง(the buck stops with the brain).

และดังนั้นเมื่อผู้คนเข้ารหัส(encoding), ได้บอกเป็นนัยว่านั่นคือรหัสที่ได้ถอดรหัสออกกลับมาแล้ว(implies that the code is decoded back), นั่นคือการลวงให้เข้าใจผิด(that’s fallacy)เพราะว่ารหัสหนึ่ง(the code)เป็นอะไรบางอย่างที่ถูกแปลกลับอีกครั้ง(something that’s translated back again): อะไรที่มันแปลกลับไปหาล่ะ?(what’s it translated back to?)

ดังนั้น, ไม่มีอะไรที่ถูกเข้ารหัส(nothing is encoded).

คำนั้น(the word)ผิดที่จะใช้(is wrong to use), ใช่มั้ย?

อีกอันอื่นนั้นคือสิ่งนั้น(the other is the thing).

เมื่อผู้คนได้มีจิตสำนึก(when people have got consciousness), พวกเขาทำให้เป็นจริงอีก(reify)กับจิตสำนึก(consciousness)ราวกับว่ามันเป็นอะไรบางอย่างที่สามารถยึดกุมและจัดการตกลงด้วยได้(something you can hold and deal with), คุณรู้มั้ย, เมื่อมันเป็นจริงๆกระบวนการหนึ่ง(when really it’s a process), มันไม่ใช่คำนาม(it’s not a noun).

มันเป็นอะไรบางอย่าง(it’s something), มันเป็นคำกริยา(it’s a verb), ถ้าคุณชอบ, มันเป็นการอยู่ในสำนึกของจิต(it’s being conscious).

และฉันคิดว่านี่เป็นอีกปัญหาอื่น(this is the other problem).

ช่างชัดเหลือเกิน(so clearly), ในฐานะนักวิทยาศาสตร์(a scientist), ผู้นั้นได้เผชิญหน้ากับปัญหาจริงๆอันนี้(one’s faced with this real problem)ว่าคุณได้จัดการตกลงด้วยอย่างไรกับอะไรบางอย่าง(how do you deal with something), ที่ซึ่งเป็นคำสาปแช่ง(an anathema)มีต่อการค้าของเรา(to our trade), คุณรู้มั้ย, มันแค่เป็นอัตวิสัย/ตัวตน(just subjective)และคุณไม่สามารถวัดขนาดได้(you can’t measure).

โรเบิร์ต คูห์น:    ในการที่จะทำความก้าวหน้ากับเรื่อง จิตสำนึก(to make progress on consciousness), ซูซานบอกว่า, อย่างแรกจำเป็นต้องการคำจำกัดความที่ชัดอันหนึ่งของจิตสำนึก(a clear definition of consciousness). ที่ได้ถูกติดตามโดยเป็นกรณีเฉพาะทั้งหลาย(followed by specific instances)หรือการแสดงออกมาทั้งหลายของจิตสำนึก(expressions of consciousness).

         แล้วงั้นควรจะติดตามอะไรล่ะ?(what would then follow?)

         กิจกรรมทั้งหลายของสมอง(brain activities)ที่ได้มีความสัมพันธ์กันกับจิตสำนึก(that correlated with consciousness).

         ผมไปที่พาซาดีนา(Pasadena), แคลิฟอร์เนีย(California), ยังแคลเทค(to Caltech – California Institute of Technology – สถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย), เพื่อที่จะพบกับนักเซลล์ประสาทวิทยา(a neuroscientist)ผู้ได้บุกเบิก(pioneered)การวิจัยในเรื่อง “การประสานสัมพันธ์กันทั้งหลายของเซลล์ประสาทกับจิตสำนึก(neuro correlates of consciousness), คริสทอฟ คอค(Christof Koch).


โรเบิร์ต คูห์น:     คริสทอฟ, ผมจะไม่ได้เคยจิตนาการ(would have never imagined)ศาสตราจารย์หนึ่งที่แคลเทค(a professor at Caltech)จะได้กำลังทำงานอยู่ในเรื่องของจิตสำนึก(would be working on consciousness).

คริสทอฟ คอค:   จิตสำนึก(consciousness)เป็นใจกลางรูปลักษณ์ของชีวิตผม(the central aspect of my life). อย่างที่เรอเน เดการ์ต(Rene Descartes2)ในการอนุมาน(deduction

          2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%99_%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95

การคาดคะเนตามหลักเหตุและผล)อันมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งปรัชญาโลกตะวันตก(in the most famous deduction of western philosophy)ได้พูดภาษาสมัยใหม่อันสำคัญ(said essential modern language).

ฉันสำนึกรู้ของจิตเพราะเช่นนั้นจึงเป็นฉัน(I am conscious therefore I am).”

ดังนั้นผมคิดว่ามันเป็นเรื่องตามกฎเกณฑ์ถูกต้องสมควรของการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์(a legitimate subject of scientific inquiry). ถ้าเราต้องการจริงๆที่จะได้มุมมองที่ครอบคลุมของจักรวาล(a comprehensive view of the universe)เราก็ต้องอธิบายถึงจิตสำนึกด้วย(to account for consciousness), ให้กับใจกลางรูปลักษณ์ของมัน(given its central aspects).

และได้มีกระบวนการอยู่มากมาย(a lot of progress)ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา(over two decades).

ฟรานเซส คริค(Frances Crick), ผู้ร่วมค้นพบในเรื่องDNA(the co-discover DNA)และเป็นผู้ซึ่งผมทำงานให้ 15 ปี. เขาสนใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องจิตสำนึก(profoundly interested in consciousness)และผมต้องทำการคาดหมาย(made a prediction).

แล้ว, เยื่อสมอง(a cortex)ก็คือแผ่นบางๆของเซลล์ประสาททั้งหลาย(a sheet of neurons)อยู่ที่ตอนบนของสมองของเรา(at the top of our brain). มันจริงๆแล้วเป็นที่สำคัญสำหรับภาษาของเราและสติปัญญาและการรับรู้/ญาณและจิตสำนึก(it’s really essentially for our language and intelligence and perception and consciousness)ได้ถูกแบ่งแยกไปเป็นหลายภาคส่วนอันมีความแตกต่าง(is divided into many different regions), บางทีอย่างน้อยที่สุดก็หนึ่งร้อยภาคส่วนอันแตกต่างกัน(a hundred different regions).

ความเข้าใจได้ที่ดีที่สุดอันหนึ่ง(the best understood one), ก็คืออันหนึ่งที่อยู่ด้านหลังของสมอง(the one in the back of the brain). มันถูกเรียกว่า เปลือกสมองการเห็นขั้นปฐมภูมิ(primary visual cortex3). มันเป็นปลายทางของเส้นประสาทตา/จักขุประสาท(a termious

3https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%99

for the optic nerve). สำคัญเป็นอย่างมากทำให้ข้อมูลภาพการเห็น(the visual information)ไปจากดวงตา(leaves the eyes)และผ่านไปยังสถานีถ่ายทอด(the relay station), ธาลามัส(thalamus – เนื้อสมองสีเทาที่ฐานของสมองใหญ่), ไปที่ด้านหลังของศีรษะ(to the back of the head).

         และมันอย่างชัดแจ้งเลยว่า(it’s clearly), ได้เกี่ยวข้องกับการรับรู้ทางสายตา/จักขุสัญญา(visual perception)และผมสามารถติดคุณเข้าไปกับแม่เหล็ก(stick you in a magnet)และเมื่อคุณกำลังมองที่อะไรบางอย่าง, ส่วนนี้ของสมองก็จะสว่างวาบขึ้น(this part of the brain lights up).

         แต่ในตอนนี้คุณสามารถถามได้. ว่าอะไรที่เซลล์ประสาททั้งหลาย(the neurons)ในส่วนของสมองนี้แผ่ขอบเขตไปถึง(to what extent)รับผิดชอบได้อย่างแท้จริงต่อการกำเนิดขึ้นของจิตสำนึกด้านการเห็น(actually responsible for generating visual consciousness).

         และเราได้สร้างสมมติฐานขึ้นในตอนนั้น(we hypothesized at the time), 16 ปีก่อนที่พวกเขาไม่ได้รับผิดชอบตรงๆกับการกำเนิดขึ้นของจิตสำนึก(they are not directly responsible for generating consciousness).

         แล้วมันกลับกลายเป็นว่า(turns out that)หลักฐานดูเหมือนจะเป็นในทางเอื้อไปว่า(the evidence seems to be in favor of that)ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร, ตามเหตุผลทั้งหลายที่เราได้อ้างสนับสนุน(for the reasons we advocated), เราไม่รู้(we don’t know), แต่คุณสามารถในตอนนี้ที่จะทำการทดลองทั้งหลายอันงดงาม(you can now do beautiful experiments). อะไรที่คุณสามารถทำได้(what you can do), คุณสามารถเอาผู้คนไปไว้ในแม่เหล็ก(you can put people in a magnet).

และมันก็เป็นอะไรชนิดที่ว่า การทดลองอันซับซ้อน(a sort of a complicated experiment). ที่ซึ่งคนหนึ่งนั้นกำลังมองที่อะไรบางอย่าง(where the person is looking at something), แต่บางครั้งทั้งหลาย(sometimes)คนนั้นกำลังเห็นมัน(the person is seeing it)และในบางครั้งทั้งหลายมันไม่ได้เห็นมัน(sometimes it’s not seeing it), และอะไรที่คุณสามารถแสดงได้ไม่ว่าคุณจะใส่ใจต่ออะไรบางอย่างหรือไม่(whether or not you attend to something)ได้สร้างความแตกต่างกันขนาดใหญ่ขึ้นกับเซลล์ประสาททั้งหลายในเปลือกสมองการรับภาพปฐมภูมิ(makes a big difference to the neurons in primary visual cortex).

แต่ไม่ว่าคุณเห็นมันอย่างมีสำนึกรับรู้หรือไม่(whether you consciously see it), ไม่ได้สร้างความแตกต่างต่อสัญญาณในเปลือกสมองการมองเห็นปฐมภูมิ(makes no difference to the signal in primary visual cortex).

พูดได้อีกอย่างหนึ่ง, ใช่, เปลือกสมองการมองเห็นปฐมภูมิ(primary visual cortex)ได้เกี่ยวข้องในกระบวนการ(is involved in processing)และรับเอาข้อมูลการมองเห็น(taking in the visual information)และถ้าคุณใส่ใจ/สนใจหรือไม่ใส่ใจก็สร้างความแตกต่างต่อเซลล์ประสาททั้งหลายที่นั้น(makes a difference to the neuron there).

แต่ไม่ว่าคุณรู้สึกสำนึกหรือไม่(whether you are conscious or not)ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นงานของเซลล์ประสาททั้งหลายในเปลือกสมองการมองเห็นปฐมภูมิ(doesn’t seem to be the job of neurons in primary visual cortex).

นั่นดูเหมือนจะเป็นประสบการณ์สำนึกรู้ที่ผมมีเมื่อผมเห็น(seems to be the conscious experience I have when I see you)หรือเมื่อผมเห็นสีแดงของโต๊ะนี้, นั่นเหมือนว่าได้ถูกกำเนิดขึ้นในภาคส่วนที่แตกต่างกันของเปลือกสมองการมอง(be generated in a different part of the op cortex).

โรเบิร์ต คูห์น:     ดังนั้นมันดูเหมือนว่าจิตสำนึกนั้น(that consciousness)ได้ถูกผลิตกำเนิดแต่เพียงภาคส่วนเล็กๆของสมองนั้น?(is generated only the small part of the brain?)

คริสทอฟ คอค:    เราไม่รู้ว่าเล็กขนาดไหน?(we don’t know how small?)

         ผมหมายถึงว่า, มันอาจจะออกมาเป็นผลลัพธ์ว่าส่วนทั้งสิ้นของสมอง(the total part of the brain)ที่ได้ถูกเกี่ยวข้องว่าอาจจะเป็นขนาดใหญ่(that’s involved may be large).

         มันอาจเป็นอยู่ตำแหน่งจุดใดที่ถูกให้ได้ภายในเวลาที่จำนวนเล็กๆของเซลล์ประสาททั้งหลาย(may be at any given point in time a small number of neurons).

         จุดทั่วๆไป(a general point)คือไม่ใช่ว่าส่วนทั้งหมดของสมองของคุณได้สำคัญอย่างเท่าๆกันสำหรับจิตสำนึก(not all part of your brain are equally important for consciousness).

         บางส่วนของสมองนั้นมีสิทธิพิเศษมากยิ่งกว่าในความสัมพันธ์กับจิตสำนึกมากกว่าส่วนอื่นๆ(some part of the brain have a much more privileged relationship with consciousness than others).

         และเป็นเช่นนั้น, คุณสามารถทำกระบวนการสำนึกรู้แท้จริง(make genuine conscious progress)บนคำถามโบราณเหล่านี้(these ancient questions). คุณไม่ได้ถูกกล่าวโทษในเรื่อง(not condemned for), รู้มั้ย, ตลอดกาลที่จะนั่งไปทั่ว(forever to sit around)และทำอยู่ในเก้าอี้นวมเป็น(do your arm chair) - ปรัชญา(philosophy), ถูกต้อง(correct)...

เรากำลังเรียนรู้อะไรในสมอง, เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับจิตสำนึก(we are learning what in the brain is necessary for consciousness) - เพราะว่า, ปราศจากกิจกรรมของสมองนี้(because without this brain activity), จิตสำนึกนี้เป็นไปไม่ได้(consciousness is impossible).

แต่กิจกรรมนี้ของสมอง, เพียงพอสำหรับจิตสำนึกหรือ?(but is this activity sufficient for consciousness?)

หมายความว่า, กิจกรรมของสมองนี้(this brain activity), โดยตัวมันเอง(by itself), คือ, หรือสามารถที่จะผลิตสร้าง(or can generate)จิตสำนึก(consciousness)ได้.

         ผมยังคงอยู่กับคำถามที่หลอกหลอนผม(the question that haunts me): ไม่ว่า “วงจรทั้งหลายของสมอง(brain’s circuits)” หรือบางระบบกลไกเซลล์ประสาทอื่น(some other neural mechanisms), จิตสำนึกสามารถถูกอธิบายโดยหน้าที่ทำงานของสมองเพียงลำพังหรือ?(can consciousness be explained by brain function alone?)


ผมกำลังหาเหตุผลในแบบวนเป็นวงกลมรึ?(am I reasoning in a circle?)

         พยายามที่จะอธิบายจิตสำนึกโดยสมอง(trying to explain consciousness by the brain)และการตอบคำถามที่ว่า(answering)อะไรคือจิตสำนึก?(what is consciousness?)

         คำถามโดย กิจกรรมของสมอง หรือ?(question by brain activity?)

         อะไรอื่นที่จะไปพุ่งรวบจิตสำนึกอีกล่ะ?(how else to tackle consciousness?)

         อะไรเกี่ยวกับการพัฒนาของจิตสำนึกล่ะ?(what about the development of consciousness?)

         อะไรที่เราสามรารถเรียนรู้จากการเกิดขึ้นของจิตสำนึกในเด็กๆ?(what can we learn from the emergence of consciousness in children)

         ผมกลับไปทีออกฟอร์ด(Oxford), เพื่อพบกับนักจิตวิทยาพัฒนาการผู้หนึ่งจากมหาวิทยาลัยแห่งบริสตอล, บรูซ ฮูด(a developmental psychologist from the University of Bristol, Bruce Hood).

โรเบิร์ต คูห์น: บรูซ, คุณพูดคุยกับเด็กๆ(you talk to children), คุณทำวิจัยค้นคว้ากับเด็กๆ(you do research on children). เราสามารถเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับจิตสำนึกจากเด็กๆได้บ้าง?(what can we learn about consciousness from children?)


บรูซ ฮูด:       เราพูดถึงจิตสำนึกโดยทั่วไปเป็นเช่นผู้ใหญ่ทั้งหลาย(talk about consciousness as adults)และเราทำสมมติฐานทั้งหลาย(we make assumptions)ว่าเด็กๆคือแค่ผู้ใหญ่ตัวเล็กๆ(that the children are just little adults), แต่นั่นไม่เคยจริงๆว่าได้เป็นสิ่งแท้จริง(but that’s never really been true). ผมคิดว่าในงานที่ผมทำก็คือเราพยายามมองไปที่การเกิดผุดขึ้นมาของจิต(try to look at the emerging mind).

แต่ชัดเลยว่าจิตสำนึกนั้นเป็นส่วนของจิต(obviously consciousness is part of mind)และแล้วนั่นคืออะไรที่เราคุ้นเคยมากที่สุดด้วย(what we are most familiar with).

แล้วก็มีความแตกต่างกันในหลายรูปแบบของจิตสำนึก(there are different types of consciousness). มีจิตสำนึกในขณะนี้(there’s a consciousness in the moment). โอเค, นั่นคือประสบการณ์รับรู้ที่คุณกำลังมีอยู่ในตอนนี้(that’s the experience you’re having right now)ขณะที่คุณกำลังฟังผมอยู่. มันไม่เป็นชิ้นเป็นอัน(fragmentary)และอยู่ได้แค่เพียงสักสองสามวินาที(only lasts for a couple of seconds)และแล้วมันก็จางหายไป(then it’s fade), โอเค. นอกเสียจากว่าคุณกระตือรือร้นพยายามที่จะซักซ้อมทวนมันในจิตใจของคุณ(try to rehearse it in your mind)แล้วมันกลายไปเป็นความทรงจำ(then it becomes a memory).

แต่ถ้าผมได้ขอให้คุณที่จะไตร่ตรองกับสิ่งทั้งหลาย(to reflect upon things)และนำมันไปเป็นประสบการณ์ทั้งหลายของจิตสำนึก(bring into consciousness experiences), แล้วนั่นกำลังวาดลงไปบนประวัติศาสตร์ส่วนตัวของคุณ(that’s drawing upon your personal history).

ตอนนี้ผมไม่ได้คิดจริงๆว่า, มันเป็นไปได้(it’s plausible)ว่าทารกอายุน้อยมาก(a very young infant)สามารถที่จะมีประวัติศาสตร์ส่วนตัวมากมายนัก(have much of personal history). นั่นต้องเป็นคุณสมบัติที่กำลังเกิดขึ้นมา(that’s must be an emerging property).

ที่จริงแล้ว, มีเด็กๆน้อยรายมาก(very few children)มีความทรงจำใดๆ(have any memory)ก่อนวันเกิดครั้งที่สองของพวกเขา(their second birthday). แต่จากราว 3 ปีข้างหน้า(about 3 years onwards), แล้วคุณก็ได้อีกมากชิ้นเล็กชิ้นน้อยของร่างต้นฉบับ(you’ve got more little bits of script)เกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่ได้บังเกิดขึ้นและเหตุการณ์ทั้งหลาย(about things that happened and events).

ผมคิดว่าคุณมีความจำเป็นต้องมีการสัมผัสรู้ถึงตัวตน/อัตตา(you need to have a sense of self), โอเค? ผมคิดว่าคุณจำเป็นต้องมีสัมผัสรู้ถึงว่าคุณคือใคร(need to have a sense of who you are)ในฐานะเป็นตัวละครสำคัญ(as a protagonist), ในฐานะคุณลักษณะ(as a character), เพื่อที่จะถักทอเข้าด้วยกันทั้งหมดของเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้(in order to weave together all these events)ไปเป็นเรื่องราวที่มีความหมายสำคัญ(into meaningful story).

โรเบิร์ต คูห์น:    คุณทำการอ้างว่า(make the claim that)แม้ในทารกทั้งหลายก็สามารถมีความรู้สึกทั้งหลาย(even infants can have sensations). องค์ประกอบอันดับแรกนี้ของอะไรที่เรียกว่าจิตสำนึก(this first element of so called consciousness). คุณรู้นั่นได้อย่างไร?(how do you know that?)

บรูซ ฮูด:     เอ้อ, ในหนทางที่พวกเขาตอบสนอง(in the way they respond). เราสามารถทำการทดลองเพื่อดูว่าพวกเขาทำเป็นที่คุ้นชินเป็นนิสัยหรือไม่(whether they habituate). ว่าที่เป็นการตอบสนองเชิงพฤติกรรมนี้(this behavioral response)ว่าถ้าคุณถูกเปิดเผยออกมาต่อสิ่งกระตุ้นเร้า(are exposed to a stimulus)คุณอย่างแรกได้แสดงให้เห็นปฏิกิริยานี้อย่างว่องไวต่อมัน(initially show this alerting reaction to it).

         แต่ถ้าคุณทำซ้ำการเปิดเผยออกมานี้(repeat the exposure)และพฤติกรรมของคุณในที่สุดก็แค่อะไรชนิดที่ตรงไปตรงมา(your behavior eventually just sort of flattens out).

         นั้นเองนี้คือวิธีหนึ่งที่คุณกำลังเรียนรู้จริงๆกับสิ่งทั้งหลายนั้น(a way that you’re actually learning things).

         แต่แนวคิดในเรื่องจิตสำนึกนี้(this notion of consciousness)ว่าฉันเป็นใคร(that who am I), ฉันกำลังจะไปที่ไหน(where am I going), ฉันทำอะไร(what do I do) – เหล่านี้ชัดมากเลยว่าเป็นอะไรชนิดที่ละเอียดซับซ้อนมากยิ่งของแนวคิดทั้งหลายในอัตตา/ตัวตนและอัตลักษณ์และจิตสำนึกที่ซึ่งต้องถูกพิจารณาวินิจฉัยว่าคืออันไหน(are obviously much more elaborated sort of notions of self and identity and consciousness which have to be considered ).

โรเบิร์ต คูห์น:  แต่ผู้คนส่วนใหญ่เมื่อพวกเขาพูดถึงจิตสำนึก, มันมักจะเป็นผู้ใหญ่ในแบบลักษณ์เต็มที่ของมันแล้ว(as an adult in it’s fully formed way)และเรากำลังพยายามที่จะคิดออกมาว่าสิ่งนี้บังเกิดขึ้นอย่างไร(try to figure out how this happens), แต่ถ้าเราคิดเกี่ยวกับมันบางทีอย่างที่คุณได้ทำไปและอย่างมีการพัฒนา(developmentally)และคุณเห็นชิ้นส่วนทั้งหลายเหล่านี้(these pieces)มาด้วยกัน(coming together), บางทีมันอย่างลี้ลับน้อยกว่า(maybe it’s less mysterious).

บรูซ ฮูด:     นั่นใช่เลย. และแน่นอนว่าวิธีที่คุณแปลความหมายสิ่งทั้งหลายนั้น(the way that you interpret things), แน่นอนละ, ขึ้นอยู่กับวิธีที่คุณเห็นโลก(depends on the way that you see the world).

         ทีนี้เด็กอายุ 2 หรือ 3 ขวบแบบฉบับโดยทั่วไป(typically)มีมุมมองอย่างเห็นแต่ตัวเองอย่างมากต่อโลก(has a very egocentric view of the world). พวกเขาไม่ได้มีแนวคิดละเอียดซับซ้อนมากแบบทัศนียภาพทั้งหลายของผู้คนอื่น(don’t have a very elaborate notion of other people’s perspectives)แล้วถ้าผมต้องการที่จะถามคุณให้บอกผมเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ได้บังเกิดขึ้น(about event that happened), คุณว่า, เอาละผมทำนี้(well I did this), พวกเขาทำนั่น(they did that). ผมคิดนี่และเธอคิดนั่น(I thought this and she thought that).

         ดังนั้นคุณได้มีประเภทที่ละเอียดซับซ้อนมากของแนวคิดที่ช่ำชองแล้ว(already got a very elaborated kind of sophisticated notion)ของสภาวะทางจิตใจผู้คนอื่นๆ(of other people’s state of mind).

         ดังนั้นถ้าคุณไม่ได้มีเครื่องมือเครื่องจักรกลไกทั้งหมดนั้นเข้าที่เข้าทาง(didn’t have all that machinery)ในหนทางที่คุณเข้าใจตั้งไข่กับโลก(the way that you conceive the world)ก็จะมีอิทธิพลต่อหนทางของอะไรที่คุณจดจำได้(would influence the way of what you remembered).

         ดังนั้นมันต้องได้มีการเปลี่ยนแปลง(must be changing)เพราะเรารู้ว่าเด็กๆนั้นไม่ได้รับรู้โลกในหนทางเดียวกันกับพวกผู้ใหญ่(children don’t perceive the world in the way as adults).

โรเบิร์ต คูห์น:    อะไรคือตัวอย่างคำจำกัดความอธิบายของเหตุการณ์ในอายุหนึ่งขวบและอายุอื่นอีก(an example of a description of an event in one age and another age)และคุณเห็นถึงความแตกต่างกัน?(and you see the different?)

บรูซ ฮูด:       มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่าทฤษฎีทางจิต(a phenomenon called theory of mind). คุณรู้นะ, มันสามารถเป็นเหตุกรณี(the case)ที่ว่าถ้าคุณขาดทฤษฎีของจิตนี้(if you lack of a theory of mind), แล้วคุณก็ไม่ได้มีความสามารถที่จะรับเอามุมมองของบุคคลอื่นได้(don’t have the capability to take another person’s perspective).

         ใครก็คนใดที่พูดคุยกับเด็กอายุ 2 หรือ 2 ขวบครึ่ง, พวกเขาจะมีมุมมองอะไรชนิดที่เห็นแต่ตนเองอย่างมากนี้ต่อโลก(this kind of very egocentric view of the world).

         ทีนี้ในราวอายุ 3 ขวบถึง 4 ขวบอายุ, มีอะไรที่สังเกตได้มากของการเปลี่ยนผ่าน(there is this very marked transition)ที่จุดซึ่งเด็กๆเริ่มต้นที่จะเข้าใจถึงผู้คนอื่นๆนั่น(start to understand that other people)ว่ามีสภาวะจิตใจอะไรทั้งหลายแตกต่างไป(have different mental states). พวกเขาได้รับเอาทฤษฎีทางจิตนี้(they acquire this theory of mind).

         ตอนนี้ด้วยอะไรนั่นประเภทการเปลี่ยนผ่านโดยทันที(with that kind of sudden transition)เขาสามารถเข้าใจได้อะไรที่ผู้คนอื่นกำลังคิด(what other people are thinking). นั่นว่าพวกเขาอาจจะกำลังมีความเชื่อที่ผิด(that they may have a false belief). พวกเขาอาจจะคิดบางอย่างว่าเป็นความจริง(may think something is true)แต่คุณรู้ว่ามันไม่ใช่(but you know it’s not).

         และแล้วแน่นอนว่าถ้าคุณสามารถอ่านจิตใจใครอื่นบางคนได้(then of course if you can read someone’s mind), ทฤษฎีทางจิต(theory of mind), แล้วคุณสามารถจัดการพวกเขาได้(can manipulate them)และคุณสามารถคาดหวังหยั่งถึงอะไรที่พวกเขาอาจจะทำต่อไปได้(can anticipate what they might do next).

         ยิ่งมากเท่าใดที่คุณเข้าใจในโลกรอบๆคุณ(the more you understand the world around you), ก็ยิ่งมากข้อมูลที่คุณได้ที่จะจัดรวมพวกมันเข้าด้วยกัน(the more information you’ve got to organize it)ไปสู่เรื่องราวทั้งหลายที่มีความหมายเต็มเปี่ยมสมบูรณ์(into meaningful stories)และแบบฉบับทั้งหลายที่มีความหมายสมบูรณ์เต็มที่(meaningful patterns)และนั่นเป็นอะไรที่ผมคิดว่าคือจิตสำนึก(I think the consciousness).

 

เด็กๆคือห้องปฏิบัติการเล็กๆของหน่อน้อยกำลังแบ่งบานแห่งจิตสำนึก(children are little labs of budding consciousness).


         มันน่าทึ่งมากที่ได้เห็นเด็ก 3 และ 4 ขวบพัฒนา”ทฤษฎีทางจิต”นี้(it’s remarkable to see 3 and 4 year olds development this “theory of mind”) – จดจำได้ในสภาวะทางจิตใจทั้งหลายอื่นๆ(recognize other mental states)รับเอามุมมองอีกของบุคคลอื่น(take another  person’s perspective).

         ผู้ใหญ่ทั้งหลาย(adults), อย่างชัดเจน(obviously), มีองค์ประกอบของจิตใจมากกว่า(have more mental elements)ด้วยกับสิ่งซึ่งจะสร้างจิตใจขึ้น(with which to make a mind).

         แต่องค์ประกอบทั้งหลายเหล่านี้ของจิตสำนึกเป็นอย่างพิเศษจำเพาะรึ? (but are these elements of consciousness specifically?)

         หรือเป็นการรู้การเข้าใจอย่างทั่วไป? (or of cognition generally?)

         การรู้การเข้าใจเป็นคลื่นความถี่เต็มของความสามารถทั้งหลายของจิตใจ(cognition is the full spectrum of mental faculties) - ในทางตรงกันข้าม(whereas), จิตสำนึกคือประสบการณ์รับรู้ส่วนตัว/อัตวิสัยของ การเฝ้าดู”ภาพยนต์ทางจิตใจภายในของเรา(consciousness is the subjective experience of “watching” our inner mental movie)ด้วยดวงตาข้างในของจิตของเรา(with our mind’s inside eyes).

         แต่จิตสำนึกเป็นอะไรโดดเดี่ยวอย่างสิ้นเชิงรึ? (but is consciousness wholly solitary?)

         จิตสำนึกสามารถไปได้โพ้นเลยจากอัตตา/ตัวไหม? (can consciousness go beyond the self?)

         จิตสำนึกสามารถสร้างรากในความปฏิสัมพันธ์ทางสังคมทั้งหลายได้? (can consciousness be rooted in social interactions?)

ผมไปที่ ทาลลาฮาสสี, มหาวิทยาลัย ฟลอริดา สเตท(Tallahassee, Florida State), เพื่อพบกับนักจิตวิทยาสังคม(social psychologist), รอย บาวไมสเตอร์(Roy Baumeister).

โรเบิร์ต คูห์น:    รอย, แนวความคิดในเรื่องจิตสำนึก(the concept of consciousness)ได้ครอบงำสิงสู่ผมมาหลายสิบปี(has obsessed me for decades). โดยทั่วไปผมก็ได้พูดคุยกับนักปรัชญาทั้งหลายและนักวิทยาศาสตร์เซลล์ประสาททั้งหลาย(normally I talk to philosophers and neuroscientists), กับมีนักศาสนศาสตร์โดดเข้ามาด้วยนานๆครั้ง(with a theologian thrown in there once in a while).

         แต่ผมไม่เคยพูดคุยกับนักวิทยาศาสตร์ทางสังคมมาก่อน(not talked to social scientist before). ผมทำผิดไปไหม?(have I been erring?)


รอย บาวไมสเตอร์:    ผมคิดว่าหนทางที่เราได้เข้าถึงมัน(the way we approached it), ผู้คนผู้ที่เกี่ยวด้วยกับมัน(who’ve dealt with it), นักปรัชญาทั้งหลาย(the philosophers)อย่างที่คุณบอก, นักวิทยาศาสตร์เซลล์ประสาททั้งหลาย(the neuroscientists), ผู้คนที่มีความคิดความเข้าใจ(the cognitive people), พวกเขากำลังพลาดขาดอะไรบางอย่าง(they’re missing something). พวกเขามีแนวโน้มที่จะคิดเกือบเหมือนว่าพวกเขาได้กำลังสร้างหุนยนต์(tend to think almost like if they were building a robot).

ผมควรจะจำเป็นต้องเพิ่มเติมจิตสำนึกอีกเพื่ออะไรรึ?(what would I need to add consciousness for?) มันมีหน้าที่ทำงานอะไรที่นั่น?(what is its function there?)

อะไรที่ผมคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญ(crucial)และนั่นได้กำลังขาดหายไป(that is missing)ก็คือว่า, จิตสำนึกนั้น(consciousness)บางทีอาจเกี่ยวพันกับวิวัฒนาทั้งหลายทางสังคม(probably evolved for social reasons), ที่ทำให้เราที่จะเกี่ยวข้องสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน(to enable us to relate to each other).

มีการโต้แย้งการศึกษาพฤติกรรมการสร้างสรรค์กันอย่างมากมาย(there are many creative behavioral studies debating), ว่าที่เราจำเป็นต้องมีจิตสำนึกเพื่ออะไร(what we need consciousness for), แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่าคุณสามารถได้บางพฤติกรรม(showing that well you can get some behavior), พฤติกรรมนี่หรือนั่นเมื่อผู้คนไม่ได้อยู่ในสำนึกรับรู้(are not conscious).

เราเคยคิดว่าคุณจำเป็นต้องอยู่ในการสำนึกรับรู้กับทุกๆสิ่ง(we used to think you needed to be conscious for everything). นั่นชัดเจนว่าไม่เป็นความจริงเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว(that’s clearly not true anymore).

แต่ไม่มีใครสามารถที่จะมีการสนทนาได้(nobody’s been able to have a conversation)โดยปราศจากการอยู่ในภาวะสำนึกรับรู้(without being conscious).

อะไรจริงๆที่จัดวางออกตัวสายพันธุ์ทั้งหลายของเรา(set our species off)กับเส้นทางพิเศษหาได้ยากของมัน(on its unique path), ลักษณะนั้นที่กำหนดให้เราเป็นมนุษย์(the trait that defines us as human)ไม่ได้เป็นเชาวน์ปัญญา(was not intelligence), สิ่งแรกดูเหมือนว่ามันเป็นการติดต่อสื่อสาร(the first thing was communication). และการติดต่อสื่อสารได้เริ่มต้นด้วยท่าทางค่อนข้างมากกว่าการพูด(communication started with gestured rather than speech).

สัตว์บางชนิดได้พัฒนาความจุในการลงความเห็นสรุป(developed the capacity to infer)อะไรในแต่ละคนที่กำลังทำอยู่จากที่พวกเขาเคลื่อนไหวแขนของพวกเขา(what each other was doing from they moved their arms).

มันเหมือนกับว่าพระแม่ธรรมชาติ(mother nature)ได้พูด, เฮ้, นั่นสามารถจริงๆไปถึงที่ไหนสักแห่งได้(that could really go somewhere), และสายพันธุ์ทั้งหลายของเราที่เราได้เริ่มต้นการติดต่อสื่อสารต่อตัวเราเอง(our species we started communicating to ourselves).

นั่นผมคิดก็คือว่า, อะไรคือจิตสำนึกมีขึ้นเพื่อ(what consciousness is for), เพราะจิตสำนึกคือที่ที่คุณสามารถสร้างลำดับชุดทั้งหลายของความคิด(consciousness is a place where you can build sequences of thought). ดังนั้นเราก็เริ่มต้นการสื่อสารได้มากยิ่งขึ้น(we start communicating much better).

เป็นที่ที่คุณสามารถแสดงปรากฏสภาวะจิตใจของผู้อื่น(a place where you can represent the mental states of others). มีอะไรมากมายของการเรียนรู้(there’s lots of learning). การเรียนรู้ทุกแห่งในธรรมชาติ(learning everywhere in nature).

แต่ไม่ใช่การสอน(but not teaching), เพราะว่าการสอนนั้นคุณต้องรู้ว่า(teaching you have to know), ผมรู้อะไรบางอย่างที่คุณไม่รู้(I know something and you don’t), และผมต้องการที่จะบอกกับคุณ(and I want to tell you).

ดังนั้นมันหมายถึงว่าผมรู้(me knowing)ว่าคุณมีจิตเหมือนกันกับของผม(you have a mind like mine)นอกเสียจากว่ามันไม่ได้มีข้อมูลนี้และอะไรๆ...(except that it doesn’t have this information and so…)

มาว่ากันแบบนี้เถอะ: ไม่เร็วก็ช้า(sooner or later), ทุกทฤษฎีของจิตสำนึกก็จะปะทะเข้ากับปัญหานี้เพิ่มขึ้น(every theory of consciousness bumps up against this problem).

ความคิดทั้งหลายใจจิต(thoughts in the mind)สามารถทำให้เกิดพฤติกรรมได้(can cause behavior); ทำไมความคิดเหล่านั้นจึงต้องเป็นสำนึกของจิตด้วย?(why do those thoughts have to be conscious?)

ได้ประโยชน์อะไรนั่น?(what’s the benefit?)

ผมสามารถคิดได้ว่า(I can think), อย่าเอามือของผมเข้าไปในไฟ(don’t my hand in a fire), และแล้วผมก็ไม่เอามือของผมเข้าไปในไฟ, นั่นเป็นการดีสำหรับผม, โอเค?

แต่ทำไมนั่นมันต้องเป็นสำนึกของจิตด้วยล่ะ?(but why does that have to be conscious?)

ความคิดทั้งหลายที่ไร้สำนึกของจิตก็สามารถทำเช่นนั้นได้เช่นกัน(unconscious thoughts could do that as well).

หุนหยนต์หนึ่งก็สามารถบอกได้ว่า, “อย่าเอามือเข้าไปในไฟ(don’t put hand in the fire).”

ดังนั้น, นั่นปัญหาอันแสนยาก(a very hard problem)และทฤษฎีแสนดีทั้งหลายอันมากมายล้มเหลวกับตรงนั้น(a lot of good theories fail on there).

แต่, มันง่ายมากๆที่จะทำเหตุกรณีของวิวัฒนาการให้กับมัน(very easy to make an evolutionary case for)ถ้าผมสามารถที่จะบอกคนอื่นๆถึงความคิดทั้งหลายของผมได้(can tell others my thoughts).

ดังนั้นผมสามารถที่จะบอกลูกๆของผมว่าอย่าเอามือของลูกเข้าไปในไฟ, สุขภาพการผลิตซ้ำขยายพันธุ์ของผมก็ได้รับการปรับปรุงดีขึ้น(then my reproductive fitness has improved). ผมก็ส่งผ่านยีนส์ของผมต่อไปได้(I pass on my genes).

ดังนั้นคุณค่าของจิตสำนึก(the value of consciousness)ก็กลายเป็นง่ายขึ้นมากที่จะสถาปนา(becomes much easier to establish), เมื่อใดที่คุณสถาปนามิติของมนุษยสัมพันธ์หนึ่งขึ้นได้(once you establish an interpersonal dimension), มากกว่าเมื่อคุณกำลังพยายามที่จะทำมันแค่หนึ่งจิตใจเดียวทีละครั้ง(than when you’re trying to do it one mind at the time).

เราไม่สามารถจริงๆที่จะจินตนาการได้ว่ามันเป็นเหมือนเช่นไรที่มีจิตสำนึกโดยปราศจากวัฒนธรรม(can’t really imagine what it’s like to have consciousness without culture), และมันเป็นคำถามที่ลึกของกระทั่งว่าคุณจะมีจิตสำนึกหรือไม่(a deep question of even whether you would have consciousness), เพราะว่าคุณจำเป็นต้องมีภาษาสำหรับตัวอย่างที่จะแสดงแทนสิ่งทั้งหลายนั้น(need language for example to represent things)ที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น(that are not there).

คุณไม่สามารถได้ภาษาขึ้นมาโดยตัวคุณเอง(you can’t get language by yourself).

คุณจะต้องได้นั่นมาจากวัฒนธรรมของคุณ(you have to have that from your culture).

ดังนั้นความสามารถของคุณในการคิดเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลาย(your ability to think about things)ออกห่างไปไกลจากปัจจุบันนี้(away from the here and now).

สัตว์ส่วนใหญ่ต่างก็มีชีวิตอยู่แต่แค่ในปัจจุบัน(most animals just live in the here and now), ตอบสนองต่ออะไรที่พวกเขามองเห็นอยู่(respond to what they see), และได้กลิ่นและอะไรต่อมิอะไรอื่นตรงหน้า(and smell and so forth).

เราสามารถตอบสนองต่อสิ่งทั้งหลาย(we can respond to things)ไปไกลโพ้นเลยจากที่นี่แลพะเวลานี้(far beyond the here and now).

และจิตสำนึกเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการนั้น(consciousness is crucial for that).

จิตสำนึกทำให้เราสามารถที่จะคิดเลยไปจากปัจจุบันได้(consciousness enables us to think beyond the present)และกระนั้นที่จะกระทำตนในหนทางทั้งหลายซึ่งแตกต่างกันไปมาก(to act in very different ways).

นานหลายศตวรรษแล้ว, เขตแดนของจิตสำนึกนั้นได้ถูกลาดตระเวนตรวจตรา(the territory of consciousness was patrolled)โดยนักปรัชญาทั้งหลาย(philosophers), ผู้ได้ปกป้องตำแหน่งฝ่ายตรงข้ามทั้งหลายด้วยความแข็งขัน(defended opposing positions with vigor), ความแม่นยำ(precision)และความโกรธในบางโอกาส(occasional fury).

แล้วนักวิทยาศาสตร์เซลล์ประสาททั้งหลายก็มาถึง(neuroscientists arrived), ยึดครองพื้นที่สูงของการอธิบายเรื่องนี้(taking the high ground of explanation)ด้วยอาวุธใหม่ทั้งหลายของวิทยาศาสตร์(with new weapons of science).

แต่ก็ยังคง, ความลี้ลับของจิตสำนึกยังคงไม่ได้ถูกคลี่คลาย(the mystery of consciousness remains unsolved).

ใดๆในโลกหรือ, ที่ประสบการณ์รับรู้ภายในสามารถอย่างชัดเจนที่จะเป็นประกายวาบของสมองและทางเคมีทั้งหลายได้?(how on earth can inner experience literally be brain sparks and chemicals?)

ดังนั้นผู้อื่นทั้งหลายจึงได้เคลื่อนเข้ามา(so others moved in).

นักจิตวิทยาพัฒนาการทั้งหลาย(developmental psychologists).

นักจิตวิทยาด้านสังคมทั้งหลาย(social psychologists).

นี่คือรายงานสถานะของปัจจุบัน(a current status): สงครามจิตสำนึกทั้งหลายได้เผยออกมาถึง ความไม่แน่นอน และ ความคลุมเครือ(consciousness battles reveal uncertainty and ambiguity) - และนั่นคือ ความตื่นเต้น(and that’s the excitement).

อย่างแน่นอนล่ะ, ความสลับซับซ้อนและความอุดมสมบูรณ์ของจิตสำนึกมนุษย์(the complexity and richness of human consciousness)ต้องการการพัฒนาทางด้านจิตวิทยา(requires psychological development)และปฏิสัมพันธ์ทางด้านสังคม(social interaction).

แต่, นอกเสียจากว่าเราสามารถอธิบาย”ปัญหาอันแสนยากของการตื่นรู้ภายใน”นี้ได้แล้ว(unless we can explain the “hard problem of inner awareness”) – เราไม่สามารถตอบอย่างเต็มที่ได้ต่อคำถามอันแสนง่ายนี้(we cannot fully answer the simple question) – “อะไรคือจิตสำนึก?”(“what is consciousness?”)

และเราก็(ยัง)ไม่ได้...เข้าไปใกล้ความจริง.

AN WE ARE NO…CLOSER TO TRUTH.

         https://youtu.be/s47EuhlgH4U?si=DQstQEmF9O9v3NRr

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น