หน้าเว็บ

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ริชาร์ด วูลฟ์ฟ - อีลอน มัสก์ เป็นสัญลักษณ์จุดจบของอเมริการึ?

ริชาร์ด วูลฟ์ฟ - อีลอน มัสก์ เป็นสัญลักษณ์จุดจบของอเมริการึ?

Richard Wolff: Does Elon Musk Symbolize the End of America?

          https://youtu.be/DdXakhURedY?si=gLDksRRkpnmAScFL

47

โรบินสัน เออร์ฮาร์ดท์(Robinson Erhardt):       อีลอน มัสก์ และ DOGE ทบวงประสิทธิภาพรัฐบาล และคุณมองอย่างไร กับนั่นว่าเหมาะเจาะลงตัวเข้าไปกับสถานการณ์เป็นจักรวรรดิอเมริกัน?  (Elon Musk and Doge1 and how you see that fitting into the state of the American empire.)

            1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5

          * https://www.bbc.com/news/articles/c23vkd57471o

(Richard Wolff):        ไม่มีอะไรใหม่, เริ่มแรก, พิเศษเฉพาะ เกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนั้นที่มีหนึ่งข้อยกเว้น. การเลือกบุคคลหนึ่ง ผู้ที่ไม่ได้รับตำแหน่งงานยอดบนของรัฐบาลให้ทำเรื่องนี้ ที่จะเป็นเหมือนอะไรแบบทำให้เพื่อน, ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรในอะไรที่คุณน่าจะเรียกเขาได้. ผมรู้ว่ามันถูกเรียกว่า ทบวงเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐบาล  แต่ผมไม่เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นการที่พวกเขาสร้างมันขึ้นมา. มันไม่มี, ไม่มีการมีอยู่. และผมไม่คิดว่าพวกเขาได้ผ่านบางระบบราชการมาก่อน, คุณก็รูเ, มีหนอย่างอยู่ที่จะเพิ่มใครสักคนหนึ่งเข้าไปในคณะรัฐบาล.   (There’s nothing new, original, extraordinary about all of that with one exception. The choice of a person who is not given a top government job to do this to have this sort of friend, I don’t know how to describe what you would call him. I know it’s called the department of government efficiency but I don’t believe there is such a they made that up. There is no, there was no existing. And I don’t think they’ve gone through some bureaucratic, you know, there is a way to add a person to the cabinet.)

          คุณสามารถที่จะมี, คุณก็รู้, เราไม่ได้มีอยู่เสมอมี เอ่อ EPA - สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม. เราไม่ได้มีหน่วยงานจำนวนมากแบบนี้นัก. เมื่อเวลาผ่านไป, ถ้าบางอย่างมีความจำเป็นขึ้นมา, คุณก็สามารถทำนั่นได้. คุณสามารถพัฒนาเป็นทบวงเพิ่มประสิทธิภาพรัฐบาลได้นานมาแล้วถ้าคุณต้องการนั่น. แต่ความเข้าใจของผมมันไม่ได้มีอยู่มาก่อนเลย. มันเป็นแค่สิ่งที่สร้างฉากขึ้นมา. ดังนั้น, มันคือไม่ปกติที่บุคคลซึ่งถือว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่งได้รับตำแหน่งที่สำคัญ.  (You could have, you know, we haven’t always had um uh an EPA2. We haven’t always had a whole bunch of agencies. Over time, if something is needed, you could do that. You could have developed a Department of Government efficiency long ago if you wanted that. But my understand it doesn’t exist. It’s just a made-up thing. So, it that is unusual that a person is who’s a friend is given such an important position.)

            2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90

          * สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (Environmental Protection Agency -EPA) หรือ "อีพีเอ" เป็นหน่วยงานระดับประเทศ หรือระดับรัฐบาลกลางของประเทศสหรัฐอเมริกา มีหน้าที่ดูแลปกป้องสุขภาพของมวลมนุษย์และปกป้องสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ ซึ่งได้แก่อากาศ น้ำและแผ่นดิน EPA เริ่มปฏิบัติงานเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2513 จัดตั้งโดยประธานาธิบดีริชาร์ด ...

          และแล้วมันก็ไม่ปกติด้วยเช่นกันนั้น, ที่เพื่อนนั้นคือผู้สนับสนุนทางการเงินรายใหญ่ที่สุดให้ปฏิบัติการทางการเมือง, ผมเชื่อนะว่า, ในประวัติศาสตร์อเมริกัน. ถ้าผมเข้าใจอย่างถูกต้อง, มันคือที่ไหนสักแห่งราว ๆ 300 ล้านดอลลาร์, ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง, ผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่ง ที่เขาได้มีส่วนสนับสนุนมร. ทรัมป์เมื่อครั้งที่แล้วนี้.  (And then it’s also unusual that, that friend is the largest contributor of money to a political operation I believe in American history. If I have understood correctl1y, it’s somewhere around $300 million one way or another through one channel or another that he contributed to Mr. Trump’s effort this last time.)

โรบินสัน เออร์ฮาร์ดท์(Robinson Erhardt):       โอ, ว้าว. (Oh wow.)

(Richard Wolff):        เงินจำนวนมากมายมหึมาเลยล่ะ. และมันก็ยังเป็นบุคคลหนึ่งด้วยเช่นกันผู้ที่กำลังสนับสนุนอยู่. ผมรู้ว่ามันเหมือนเช่นในตอนนี้ที่วันอังคารคือวันเลือกตั้งของรัฐวอิสคอนซินเพื่อ, พวกเขาทำการเลือกผู้พิพากษาศาลสูงสุด. และถ้าผมเข้าใจทางการเมือง, มันคือ...มันเป็นแยกกัน 50/50 กับศาลสูงสุดที่การเลือกตั้งนี้จะเป็นอะไรที่เอียงเทความสมดุลที่เป็นหนทางซี่งศาลจะเป็นไปปแล้ว. และทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา. คุณก็รู้, วิสคอนซินเป็นรัฐที่สำคัญ เพราะว่ามันไม่ไปทางค่ายหนึ่งหรืออีกค่ายหนึ่งใดเลย. มันเป็นครึ่ง-ครึ่ง.  (Huge amounts of money. And it’s also a person who is contributing. I know like now that on Tuesday is an election in Wisconsin for, they elect their Supreme Court judges. So, there’s an election for Supreme Court judge.  And if I understand the political, it’s a…it’s a 50/50 split on the Supreme Court so that this election will kind of tilt the balance which way that court goes. And the left and right. You know, Wisconsin is a state of importance because it’s not either in one camp or the other. It’s half-half.)

          เขากำลังให้เงิน, ผมเชื่อนะ, 100 ดอลลาร์สำหรับผู้ลงคะแนนเลือกตั้งที่ลงชื่อเข้ายื่นคำร้องที่เขามีและที่เขาได้หมุนเวียนอยู่. ตอนนี้, อย่างชัดเจน, ความคิดที่ว่าถ้าผมสามารถได้บุคคลนี้ที่จะมาลงชื่อเพื่อเงิน 100 ดอลลาร์, ผมก้กำลังที่จะให้พวกเขารู้ว่าผมต้องการคะแนนเสียงของพวกเขา. คุณไม่สามารถให้เงินคนอื่นแลกกับการลงคะแนนให้ได้อย่างแท้จริง. เชื่อว่านั่นเป็นอาชญากรรม. ในรัฐทั้งหลายส่วนใหญ่, คุณไม่สามารถทำมันได้. แน่นอนละ, นั่นเป็นอาชญากรรมเพราะว่าถ้าลงเราเคยทำเช่นนั้นแล้ว, ประเทศนี้และแล้วก็จะเกิดความโกรธแค้นแล้วมันก็ได้หยุดลง.  (He is giving money, I believe, $100 to every voter who signs a petition3 that he has and he has circulating. Now, obviously, the idea if I can get this person to sign the petition for $100, I’m going to let them know I want their vote. You can’t literally people money for a vote. Believe that’s a crime. In most states, you can’t do that. Of course, that’s a crime because we used to do that, this country and then there was an outrage and it stopped.)

          3 "A petition" คือ คำร้อง, ฎีกา, หรือคำร้องเรียน ซึ่งเป็นการยื่นคำขออย่างเป็นทางการต่อผู้มีอำนาจ โดยทั่วไปมักมีลายเซ็นของหลายคนเพื่อสนับสนุนประเด็นหรือความต้องการเฉพาะ 

  • ความหมายทั่วไป: 

เป็นการแสดงความต้องการอย่างเป็นทางการ เช่น การยื่นคำร้องต่อสภาเมืองเพื่อขอให้ดำเนินการบางอย่าง หรือการลงชื่อเพื่อเรียกร้องให้ปกป้องสวนสาธารณะ 

  • ความหมายทางกฎหมาย: 

เป็นคำร้องที่เป็นทางการซึ่งยื่นต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งหรือพิจารณาประเด็นใดประเด็นหนึ่ง 

  • การใช้งาน: 

สามารถใช้ในความหมายของการร้องเรียน อ้อนวอน หรือวิงวอนได้ด้วย 

 

          ดังนั้น, เขากำลังเลี่ยงกฎหมายในการทำสิ่งนี้. บุคคลหนึ่งผู้ที่ให้เงินเพื่อซื้อผู้ลงคะแนนทั้งหลาย ไม่ว่ามันอยู่ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี หรือในวิสคอนซิน หรือใน, ใครจะรู้, ว่ากี่มากมายรายอื่นอีก, ผมยังไม่ได้ทำงานกับเรื่องนี้ และผมเกรงว่ามีใครที่บ้างไหกมได้ถามคำถามนั้น ว่าเขาให้เงินกับใครเช่นนั้นบ้าง. เราต่างก็รู้ว่าเขาได้ไปที่ประเทศเยอรมนี และได้พูดในที่นั้นก่อนที่จะมีการเลือกตั้งเมื่อครั้งที่แล้วของพวกเขา เกี่ยวกับว่าคนเยอรมันควรจะลงคะแนนเลือกตั้งอย่างไรให้กับ เอ่อ ฝ่ายขวา, พรรคปีกขวา-สุดโต่ง. ผมไม่รู้นะว่าคุณคุ้นเคยกับนั่นมั้ย.    (So, he’s skirting that law to do this. A person who gives money to buy voters whether it was in the presidential election or in Wisconsin or in who knows how many other I haven’t done the work and I’m aware of anybody who’s asked the question uh to whom else has he given money. We do know that he went to Germany and spoke there before their last election about how the German people should vote for the um the right, extreme right-wing party. I don’t know if you’re familiar with that.)

          พรรคการเมืองที่เรียกว่าพรรคทางเลือก. อืม, มันได้อยู่ในราว 20% ของการลงคะแนนเลือกตั้ง. ก็ทำได้ดีในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว. เขาได้ไปเยือนเยอรมนี และได้พูดว้านี้คือพรรคการเมืองเดียวเท่านั้น ที่สามารถช่วยเยอรมนีให้รอดได้. เป็นการกระทำที่พิเศษอย่างยิ่งจริงๆ, ในกรณีที่ผู้คนของคุณอาจไม่ทันระแวดระวังถึง, มีอยู่สี่หรือห้าพรรคการเมืองที่ในเยอรมนี. มันเป็นสังคมหลายพรรค. ทั้งหมดของพรรคอื่นๆ, ทั้งห้าพรรคของพวกเขาได้ปฏิญาณตนว่าจะไม่มีวันทำงานร่วมด้วย, ไม่มีทางไปร่วมรัฐบาลผสมกับพรรคทางเลือกนี้. เพราะว่าพวกเขาคิดว่ามันคือพรรคสืบทอด/ทายาทของนาซีในประวัติศาสตร์.   (The party is called Alternative4. Um it got about 20 something% of the vote. Did very well in the last election. He visited Germany and said this is the only party that can save Germany. An extraordinary act, in case your audience is not aware, there are four or five parties in Germany. It’s a multi-party society. All the others parties, all five of them have vowed never to work with, never to have a coalition with that Alternativ because they are thought of as the inheritors of the Nazi history.)

            4 รรคทางเลือกเพื่อเยอรมนี หรือเรียกย่อว่า อาเอฟเด (เยอรมัน: Alternative für Deutschland, AfD) เป็นพรรคการเมืองนิยมฝ่ายขวาไปยังขวาจัดในประเทศเยอรมนี ซึ่งได้ถูกเรียกว่าเป็นประชานิยมฝ่ายขวาและอคตินิยมเกี่ยวกับสหภาพยุโรป (Euroscepticism)

          มัสก์, หน้าที่ปรึกษานำหน้าไปอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาและสนับสนุนกันสุดขีด. คุณต้องการจะรู้ว่าทำไมคนเยอรมันถึงกังวลใจกับสหรัฐอเมริกาก่อนที่คุณจะเอา เอ่อtariff - กำแพงภาษีสินค้านำเข้า ไปเล่นงานกับ BMWsและMercedes ที่กำลังมา และนั่นเป็นที่แย่มากสำหรับคนเยอรมัน. สินค้าส่งออกรถยนต์ของพวกเขามายังสหรัฐอเมริกาเป็นสิ่งสำคัญมากอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจเยอรมัน. ดังนั้น, พวกเขาสามารถพนันลงไปได้เลยว่าพวกเขาเละเทะในตอนนี้แล้วจริงๆ.   (Musk, the leading advisor to the president of the United States officially goes and supports the extreme. You want to know why the Germans are upset with the United States before you get to the uh tax tariff on BMWs and Mercedes which is coming and that’s terrible for the Germans. Their exports of cars United States very important for the German economy. So, they you can bet they are scrambling now really.)

          แต่ก่อนหน้านี้, อะไรประเภทที่เรียกว่าการแทรกแซงการเมืองภายในประเทศแบบนี้, พระเจ้าปลาทูทอดเถิด. และผมไม่รู้ว่าถ้าเขาได้ให้เงิน, ผมไม่รู้ถ้ามันได้เป็นที่รู้กันแล้ว, และผมไม่รู้ว่ามากเท่าไหร่ที่มันอาจเป็น, แต่ได้ให้ไปกับอะไรที่เขาได้ทำไปทุกแห่งอื่นๆ, ผมก็จะไม่แปลกใจเลย. และตั้งแต่เมื่อความมั่งคั่งของเขาได้ถูกขึ้นบัญชีอันดับ, ครั้งสุดท้ายผมเห็นว่าอยู่ในราว 400 พันล้านดอลลาร์, การให้สัก10, 20, หรือ 100, 200 หรือ 300 ล้านดอลลาร์ก็ไม่สำคัญอะไรต่อเขา. มันก็เหมือนกับว่าคุณให้เงินผม 25 เซ็นต์สำหรับการวิ่งแข่งทางการเมืองครั้งหน้า. ขอบคุณอย่างมาก. แต่คุณรู้มั้ย, มันก็แค่ 25 เซ็นต์สำหรับเขา.   (But even before that, this kind of interference in their internal politics, Holy mackerel. And I don’t know if he gave money, I don’t know if it’s known, and I don’t know how much it might be, but given what he’s done everywhere else, I wouldn’t be surprised. And since his wealth is listed, last I saw at around $400 billion, giving 10, 20, or 100 or 200 or 300 million dollars is immaterial to him. It’s like you’re giving me a quarter for my next political race. Thank you very much. But you know, it’s a quarter.)

          เอกลักษณ์นั่นที่คุณเป็นผู้บริจาคเงินมหาเบิ้ม กลายเป็นอะไรประเภทผู้ช่วยพิเศษของประธานาธิบดี โดยปราศจากการเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารงานรัฐบาลเหมือนหนทางที่ผู้อื่นเป็นกัน. ดังนั้น, ตัวอย่างเช่น, เขาไม่ต้องไปอยู่ต่อหน้าวุฒิสมาชิกให้ถูกรับรองขึ้นดำรงตำแหน่ง. พวกเขาต้องเอาตัวเขาไปที่นั่น. มันอาจได้ถูกนำออกมาเปิดเผยกันจากการตรวจสอบค้นคว้าของวุฒิสมาชิกทั้งหลายนั้น , ที่พวกเขาถูกคาดหมายให้ทำ, อะไรที่เขาได้ทำมาในชีวิตของเขา, และนั่นอาจจะได้ทำให้มันยุ่งยากมากๆยิ่งสำหรับมร. ทรัมป์ที่จะให้อำนาจอะไรแก่เขาอย่างที่เขามี.  (That’s unique that you that a big huge money donor becomes a kind of an adjunct to the president5 without being part of the administration the way others are. So, for example, he doesn’t have to go before the Senate to be approved. They get to have him there. It might have been brought out by Senate research, which they’re supposed to do, what he has done in his life, and that might have made it much more difficult for Mr. Trump to give him the power he has.)

            5 "An adjunct to the president" หมายถึง ผู้ช่วยประธานาธิบดี หรือ ตำแหน่งเสริมของประธานาธิบดี ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหรือที่ปรึกษาให้กับประธานาธิบดี คำนี้สามารถใช้เรียกตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับสูง เช่น หัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว (White House Chief of Staffก็ได้. 

          คุณก็รู้ว่า, เขามาจากอาฟริกาใต้. อู๊ววว, นั่นอาจจะเป็นวาระประเด็นขึ้นมาได้. อะไรที่เขาได้ทำไว้ที่นั่น, ได้ให้ความสยอดสยองทั้งหลายกับสังคมที่นั่นและประวัติศาสตร์ของมันบ้างไหม?  อย่างไรก็ตาม, ทั้งหมดของเรื่องนั่นได้ถูกหลบเลี่ยงโดยยุทธวิธีนี้. โอเค, นั่นน่าสนใจ. นั่นไม่ปกติ. ยิ่งไปกว่านั้น, ทุกอย่าง...คือเรื่องเดียวกัน. (You know, he comes from South Africa. Ooh, that might be an issue. What did he do there, given the horrors of that society and its history? Anyway, all of that was avoided by this maneuver. Okay, that’s interesting. That’s unusual. Other than that, everything …is the same.)

           https://youtu.be/DdXakhURedY?si=DTs9F1OX5h0hCkHU

   

                     

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2568

เราจบลงได้อย่างไร ด้วยการเลี้ยงดูชนรุ่นถัดมานี้ให้โง่เง่า

เราจบลงได้อย่างไร ด้วยการเลี้ยงดูชนรุ่นถัดมานี้ให้โง่เง่า

How We Ended Up Raising the Stupidest Generation

          https://youtu.be/FuE2CDRcfTQ?si=Dkozwbp7FYvoPiQY

50 ข้อจริงกับคนโง่เง่า (50 facts and idiot)

          ผมได้อ่านประโยคหนึ่งที่ไหนสักแห่งที่พูดไว้ว่า, “คุณสามารถทำให้ 50 บัณฑิตนิ่งเงียบได้ด้วยความจริงเพียงหนึ่งข้อ, แต่คุณไม่สามารถทำให้หนึ่งคนโง่เง่านิ่งเงียบได้ด้วยความจริง 50 ข้อ.” (I read a line somewhere which says, “You can silence 50 scholars with one fact, but you cannot silence an idiot with fifty facts.”

          นี้คือหนึ่งประโยคที่จับเอาโศกนาฏกรรมนี้มาได้อย่างสมบูรณ์ของยุคสมัยวัยเรานี้. เพราะว่าเมื่อการคิดอย่างมีวิจารณญาณตายไป, ความโง่เง่าโดยรวมก็เกิดขึ้นตามธรรมชาติ. ในโลกเช่นนี้, ทุกคนได้ปักใจเชื่อว่าตนเองนั้นถูกและทุกคนอื่นนั้นผิด.   (This one line perfectly captures the tragedy of our age. Because when critical thinking dies, collective stupidity naturally rises. In such a world, everyone is convinced they are right and everyone else is wrong.)

          ความคิดเห็นทั้งหลายเติบโตดังขึ้นกว่าตรรกะ และอารมณ์รู้สึกเติบโตแข็งแรงกว่าหลักฐาน.แต่คำถามจริงคือ, ทำไมสิ่งเหล่านี้บังเกิดขึ้น? ทำไมการคิดแบบวิจารณญาณกำลังตายลงอย่างรวดเร็วในยุคของเรามากกว่าที่เคเกิดขึ้นมาก่อน?  นั่นแหละคืออะไรที่ผมจะสำรวจค้นหาในวิดีโอนี้. แต่ก่อนที่เราจะเข้าใจว่าทำไมมันจางหายไป, เราจำเป็นต้องก้าวกลับไปสักชั่วระยะหนึ่ง.  (Opinions grow louder than logic and emotions grow stronger than evidence. But the real question is, why does this happen? Why is critical thinking dying faster in our time than ever before? That is exactly what I will explore in this video. But before we can understand why it is fading away, we need to step back for a moment.)

          เราจำเป็นต้องถามว่าเมื่อไหร่ที่การคิดอย่างมีวิจารณญาณนี้อุบัติขึ้นมาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษย์? ว่าไปแล้ว, คุณอาจจะได้เป็นผู้คิดมาก, แต่คุณคิดอย่างมีวิจารณญาณจริงๆไหม? ดังนั้น, เรามาเริ่มเข้าไปหามันกันเลย.  (We need to ask when did critical thinking first emerge in human history? What does it actually mean to think critically? After all, you might be thinking a lot, but are you truly thinking critically? So, let’s get into it.)

อะไรคือการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และจุดกำเนิดของมัน (what is critical thinking and its origin)

          การคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นมากกว่าแค่ “การคิดมาก”. มันเป็นนิสัยที่มีวินัยของการสอบถามข้อสมมติฐานทั้งหลาย., แสวงหาหลักฐาน, และประยุกต์เหตุผล ก่อนการยอมรับความเชื่อใด. ในคำพูดง่ายๆ, มันเป็นศิลปะของการไม่ถูกหลอกลวงโดยผู้อื่น หรือโดยจิตของคุณเอง. มันเป็นรากที่ยืดกลับไปถึง 2,000 ปียังกรีซโบราณ. นักปรัชญา, โสกราตีส ได้บุกเบิก (Critical thinking is more than just “thinking a lot”. It is the disciplined habit of questioning assumptions, seeking evidence, and apply reason before accepting any belief. In simple words, it is the art of not being fooled by others or by your own mind. Its roots stretch back over 2,500 years to Ancient Greece. The philosopher Socrates pioneered a probing dialogue1 now known as the Socratic method.)

          1 "A probing dialogue" แปลว่า บทสนทนาที่ใช้การตั้งคำถามเชิงสืบสวน หรือการสอบถามอย่างละเอียด หมายถึงการสนทนาที่มุ่งเน้นการขุดคุ้ยหาข้อมูล ความจริง หรือความเข้าใจในประเด็นที่ซับซ้อน ผ่านการถามคำถามที่เจาะลึกและตรวจสอบประเด็นอย่างรอบด้าน 

 

          โดยการถามอย่างแหลมคม, คำถามอันไม่สร้างความสบายใจทั้งหลาย, เขาได้เปิดเผยถึงข้อขัดแย้งและรากฐานอ่อนแอในอะไรที่ผู้คนคิดซึ่งพวกเขารู้อยู่แล้ว. เขาได้เตือนจำเราถึงความสัจจริงที่ไร้กาลเวลา. “สิ่งเดียวเท่านั้นที่ฉันรู้ คือฉันไม่รู้อะไรเลย.” ความถ่อมตนนี้, การยอมรับความไม่รู้/อวิชชา ก่อนที่จะไล่จับความกระจ่างแจ้ง, เป็นรากฐานอย่างยิ่งของการคิดแบบมีวิจารณญาณ. แต่โสกราตีสก็ได้จ่ายราคาสัมบูรณ์สุดสำหรับคำถามอันไม่ปราณีของเขานั้น.  (By asking sharp, uncomfortable questions, he exposed contradictions and weak foundations in what people thought they knew. He reminded us of a timeless truth. “The only thing I know is that I know nothing.” This humility, admitting ignorance before chasing clarity, is the very foundation of critical thought. But Socrates paid the ultimate price for his relentless questioning.)

ในปี 399 ก่อนคริสตศักราช, เขาได้ถูกกล่าวหาว่าทุจริตต่อคนหนุ่มสาวของเขาและไม่เคารพพระเจ้า. การยืนกรานในการคิดอย่างอิสระได้คุกคามความผาสุกของสังคม, และเขาได้ถูกพิพากษาให้ประหารชีวิต. จากนั้นมานักคิดทั้งหลายเช่น พลาโตและอะริสโตเติ้ลได้ถือคบเพลิงแห่งเหตุผลต่อไปข้างหน้า, สร้างกรอบการทำงานของตรรกะ, การไต่สวน, และกังขาคติ/วิมตินิยม. หลายศตวรรษต่อมาในระหว่างช่วงเวลาแห่งความรู้แจ้งเห็นจริง, นักปรัชญาทั้งหลายอย่างเช่น อิมมานูเอล คานท์เรียกร้องมนุษยชาติให้ลุกขึ้นจากความเพิกเฉยไม่รู้/อวิชชา ด้วยคำขวัญ/คติ “ Sapere aude - จงกล้าที่จะคิดเพื่อตันเอง.”  (In 399 B. CE, he was accused of corrupting they youth and disrespecting the Gods. His insistence on independent thinking threatened the comfort of society, and he was sentenced to death. From there thinkers like Plato and Aristotle carried forward the torch of reason, building the framework of logic, inquiry, and skepticism2. Centuries later during the enlightenment, philosophers such as Imanuel Kant3 called on humanity to rise from ignorance with the motto “Sapere aude” – “Dare to think for yourself.”)

2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1

3 https://en.wikipedia.org/wiki/Immanuel_Kant

          วอลแตริ์และผู้อื่นๆได้ชัยชนะเหนือจิตวิญญาณเดียวกัน, ของการต่อต้านหลักคำสอนตายตัว และได้เฉลิมฉลองเหตุผลว่าเป็นเช่นพื้นฐานรองรับความก้าวหน้า. (Voltaire4 and others championed the same spirit, challenging dogma and celebrating reason as the bedrock of progress.)

            4https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C

          การคิดอย่างมีวิจารณญาณกลายเป็นศิลาฤกษ์ของวิทยาศาสตร์, ประชาธิปไตย, และนวัตกรรม. มันได้ถูกยกกันมายาวนานให้เป็นเครื่องหมายของจิตที่มีการศึกษา. ความสามารถที่จะตรวจสอบการอ้าง, น้ำหนักพยานหลักฐาน, และตัดผ่านมายาภาพ. ปน่นอน, การวิพากษ์วิจารณ์ก็มีอุบัติขึ้นด้วยเช่น. ฟรีดริค นิทช์เช่ครั้งหนึ่งได้กล่าวหาโสกราติสเรื่องให้คุณค่ากับเหตุผลมากเกินไป, ได้เตือนว่าการครอบงำมีอิทธิพลด้วยคำถามเช่นนั้นสามารถที่จะระบายถ่ายเอาชีวิตออกไปจากคววามอุดมร่ำรวยของมัน.  (Critical thinking became the cornerstone of science, democracy, and innovation. It was long considered the mark of an educated mind. The ability to examine claims, weigh evidence, and cut through illusions. Of course, critics also emerged. Friedrich Nietzsche5 once accused Socrates of overvaluing reason, warning that an obsession with questioning could drain life of its richest.)

          5 https://en.wikipedia.org/wiki/Friedrich_Nietzsche

          กระนั้น, แทนที่คำวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหลายเหล่านี้, มรดกของการคิดเชิงวิจารณ์ก็ได้ยืนทนนาน. มันยังคงไว้ในอิสรภาพที่จะถามว่าทำไม, ที่จะไปโพ้นเลยผิวหน้าของความปรากฏอยู่นั้น, และที่จะเสาะหาความกระจ่างชัดในหมู่เมฆคลุมอยู่ด้วยเสียง. แต่ทุกวันนี้. เรากำลังเป็นประจักษ์พยานความเสื่อมถอยของมันลงไปมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน. และทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้นคือสิ่งที่เรากำลังจะมาถกเถียงกันตอนนี้.  (Yet, despite these critiques, the legacy of critical thinking has endured. It remains the freedom to a why, to go beyond the surface of appearances, and to search for clarity in a clouded with noise. But today. We are witnessing its decline more than ever. And why this is happening is what I’m going to discuss now.)

ทำไมการคิดอย่างมีวิจารณญาณกำลังตายไป (why critical thinking is dying)

เหตุผลที่ 1 (reason 1)

          เรามีชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่ทุกคำตอบอยู่ที่แค่คลิ๊กเดียวออกไปเท่านั้น. ในการเหลือบมองครั้งแรก. ความรู้สึกทั้งหลายนี้มีอำนาจเต็ม. เรามีปัญญาของโลกอยู่ในกระเป๋าทั้งหลายของเรา. แต่ในความเป็นจริงนั้นมืดมนไปไกลมากกว่า. เรากำลังจมลงไปในข้อมูล และสมองมนุษย์ไม่เคยได้สร้างกระบวนการจัดการกับอะไรที่ท่วมนี้. นักจิตวิทยาทั้งหลายเรียกมันว่าภาวะข้อมูลท่วมล้น. เมื่อข้อมูลถล่มเข้าใส่เราเร็วกว่าที่เราสามารถสะท้อนกลับได้, บีบบังคับเราให้ใช้ทางลัดทางจิตใจทั้งหลาย.    (We live in an age where every answer is just one click away. At first glance. This feels empowering. We have the wisdom of the world in our pockets. But reality is far darker. We are drowning in information and human brain was never built to process this flood. Psychologists call it information overload6. When data bombards us faster than we can reflect, forcing us to take mental shortcuts.)

          6https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%99

          คิดเกี่ยวกับมันสิ. ถ้าใครสักคนขอให้คุณคำนวณ 56+87, คุณจะหยุดและทำมันออกมาในทันทีโดยเอื้อมไปที่มือถือขแองคุณเลยไหม? เราส่วนมากเลือกทางลัด. ทุกรายละเอียดของชีวิตได้กลายเป็นกูเกิ้ลสามารถทำได้. และขณะเดียวกันที่ทำให้ชีวิตง่ายมากขึ้น, มันก็ยังได้ฝึกฝนเราที่จะถ่ายภาระการคิดของเราออกไปยังเครื่องจักรกลด้วย. เมื่อเวลาผ่านไป, เราก็ลืมว่าจะหาเหตุผลเชิงลึกได้อย่างไรเพราะว่าเราได้หยุดการฝึกฝนปฏิบัติมัน. นปู  (Think about it. If someone asks you to calculate 56+87, do you pause and work it out or do you instantly reach for your phone? Most of us choose the shortcut. Every detail of life has become googleable. And while that makes life easier, it also trains us to offload our thinking onto machines. Over time, we forget how to reason deeply because we stopped practicing it.)

          เจ้าของรางวัลเกียรติคุณโนเบล, ดานีล คาห์เนแมน, ครั้งหนึ่งได้อธิบายบรรยายถึงสองรูปแบบการคิด. ระบบที่หนึ่ง, ที่จารวดเร็ว, อัตโนมัติ, และเป็นปรีชาฌาณ - คิดได้ด้วยตนเองตามสัญชาตญาณ, และระบบที่สอง, ที่จะพเชื่องช้า, มีประสิทธิภาพเต็มที่, และเป็นเหตุเป็นผล. การคิดแบบมีวิจารณญาณมีวิตอยู่ในระบบที่สองนี้. มันเป็นส่วนหนึ่งของเราในการถามทั้งหลาย, การวิเคราะห์, และการคาดเดาทั้งหลายนั้น.  (The Nobel laureate Daniel Kahneman7, once described two modes of thought8. System one, which is fast, automatic, and intuitive, and system two, which is slow, effortful, and rational. Critical thinking lives in system two. It is the part of us that questions, analyzes, and doubts.)

          7 https://en.wikipedia.org/wiki/Daniel_Kahneman

          8 "Two modes of thought" สามารถแปลได้ว่า "สองรูปแบบการคิด" หรือ "สองโหมดแห่งการคิด" โดยทั่วไปมักอ้างอิงถึงทฤษฎีที่แบ่งรูปแบบการคิดของมนุษย์ออกเป็นสองประเภท ได้แก่ รูปแบบที่มุ่งเน้นและรูปแบบที่กระจาย 

เป็นการใช้สมาธิและความตั้งใจเพื่อแก้ปัญหาอย่างเจาะจง

เป็นสภาวะที่ผ่อนคลายกว่า ซึ่งทำให้สมองเชื่อมโยงแนวคิดที่หลากหลายและสร้างสรรค์ได้

 

แต่นี่คือปัญหา. เมื่อแอพ, เครื่องคำนวณทั้งหลาย, และAIปัญญาประดิษฐ์ได้ทำงานหนักแทนเรา, ระบบที่สองก็จะถูกทิ้งไว้ให้เฉื่อยชาลง. เหมือนกล้ามเนื้อที่ไม่เคยได้ออกกำลังกาย, การมีเหตุผลเชิงลึกของเราก็จะเริ่มต้นที่จะพฝ่อลีบไป. นั่นคือทำไมผู้คนมากมายในทุกวันนี้จำไม่ได้ในคำตอบด้วยตนเอง, แต่แค่รู้ว่าจะหามันได้ที่ไหนเท่านั้น. การศึกษาทั้งหลายกระทั่งแสดงให้เห็นว่าการพึ่งพาดเครื่องมือค้นหาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราน้อยลงไปในการจดจำให้ขึ้นใจ. นั่นคืออะไรที่นักวิจัยค้นคว้าได้เรียกมันว่า โรคกูเกิ้ล/ภาวะหลงลืมเพราะดิจิตอล.   (But here’s the problem. When apps, calculators, and AI do the hard work for us, system 2 is left idle. Like a muscle that is never exercised, our deeper reasoning begins to atrophy. This is why many people today remember not the answer itself, but only where to find it. Studies even show that constant reliance on search engines makes us less likely to commit knowledge to memory. Is what researchers call the Google effect9.)

9 Google effect (หรือ ภาวะหลงลืมทางดิจิทัล) หมายถึง แนวโน้มที่จะลืมข้อมูลที่สามารถค้นหาได้ง่ายทางอินเทอร์เน็ต เนื่องจากสมองจะเชื่อว่าข้อมูลเหล่านั้นสามารถกลับไปค้นหาใหม่ได้ตลอดเวลา จึงเลือกที่จะไม่จดจำข้อมูลบางอย่างไว้ 

  • ลักษณะอาการ

สมองมีแนวโน้มจะหลงลืมข้อมูลที่เรารู้อยู่แล้วว่าสามารถค้นหาได้ง่ายผ่านเครื่องมือค้นหาอย่าง Google 

  • สาเหตุ

การพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป ทำให้เราไม่ต้องพยายามจดจำข้อมูลบางอย่าง เช่น เบอร์โทรศัพท์ของคนสนิท หรือวันเกิดของเพื่อน 

  • ผลกระทบ

แม้ว่าผลกระทบนี้อาจช่วยให้สมองไม่ต้องเก็บข้อมูลที่ไม่จำเป็น แต่ก็มีความเสี่ยง เช่น เมื่อแบตเตอรี่หมดหรือไม่มีอินเทอร์เน็ต ก็อาจทำให้ไม่สามารถติดต่อใครได้เพราะจำข้อมูลไม่ได้เลย 

 

เราจ้างปัญญาจากภายนอก, อ่านแค่พาดหัวข่าวทั้งหลาย และเชื่อใจในผลลัพธ์แรกที่เจอแล้วประทับใจ. ผลจากการนั้นก็คือ, ความเกียจคร้านทางจิตใจ. โลกของเราเคลื่อนที่เร็วเหลือเกินจนเราไม่หยุดลงเพื่อสะท้อนเงากลับ. เราชื่นชอบหัวข่าวแบบทันด่วนมากกว่าเหตุผลอันสลับซับซ้อน, ฟังดูดีเหนือกว่าการวิเคราะห์, ด้วยรู้โดยสัญชาตญาณเหนือการตรวจสแอบอย่างถี่ถ้วน. วิธีโสกราตีสของการถาม, ถามว่าทำไมและปฏิเสธที่จะยอมรับคำตอบง่ายๆ, ได้ถูกแทนที่ด้วยวัฒนธรรมของ “กูเกิ้ลมันและลืมมันไปซะ.” popular result. The result, mental laziness. Our world moves so fast that we don’t stop to reflect. We prefer instant headlines over complex reasoning, sound bites over analysis, intuition over scrutiny. The Socrates method of questioning, asking why and refusing to accept easy answers, has been replaced by a culture of ‘Google it and Forget it.’)

ข้อมูลท่วมล้นได้ให้มายาภาพของความรู้แก่เรา แต้ได้ฉีกวิ่นเอาไปซึ่งวินัยของการคิด. และในความนิ่งเงียบนั้น, การคิดแบบมีวิจารณญาณก็ตายลงไปอย่างเงียบๆ. ข้อมูลท่วมล้นอาจจะทำให้จิตของเรามัวหมองลง, แต่บางอย่างกระทั่งอันตรายมากยิ่งกว่าที่ติดตามมา. ความสบายของการเพียงแต่ได้ยินเท่านั้นในอะไรที่เราได้เชื่อไปแล้ว. และนี่คืออะไรที่ผมกำลังจะถกเถียงต่อไปนี้.  (Information overload given us the illusion of knowledge but stripped away the discipline of thought. And in that silence, critical thinking quietly dies. Information overload may dull our minds, but something even more dangerous follows. The comfort of only hearing what we already believe. And this is what I am going to discuss now.)

เหตุผลที่ 2 (reason 2)

          ถ้าข้อมูลท่วมล้นทำความอ่อนแอให้กับความสามารถในการคิดของเรา,แ ห้องโถงเสียงสะท้อนทั้งหลายก็ทำลายเจตจำนงที่จะคิด. ในโลกทุกวันนี้, เรามีชีวิตอยู่ในจำนวนนับไม่ถ้วนของเผ่าพันธุ์, การเมือง, ศาสนา, วัฒนธรรม, หรือกระทั่งได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานงานอดิเรกและความสนใจทั้งหลาย. มนุษย์ทั้งหลายโดยธรรมชาติเสาะหาผู้คนออกมาที่เห็นด้วยกับพวกเขา. แต่เทคโนโลยีได้ขายาสัญชาตญาณนี้ออกไปอีกจนถึงระดับอันตราย.   อัลกอริทึ่ม ขั้นตอนกำหนดการทำงานของสื่อสังคม ในตอนนี้แกะตามรอยทุกคลิ๊ก, ของlike, และcomment, และป้อนให้เราด้วยเนื้อหาที่เข้ากันได้กับความเชื่อของเราที่ผ่านมา. ผลลัพธ์ก็คือ, เราจบลงด้วยหการถูกรายล้อมด้วยความคิดเห็นที่ฟังดูเหมือนความคิดเห็นของตัวเราเอง.   (If information overload weakens our ability to think, echo chambers10 destroy our willingness to think. In today’s world, we live inside countless tribes, political, religious, cultural, or even based on hobbies and interests. Human beings naturally seek out people who agree with them. But technology has magnified this instinct to dangerous levels. Social media algorithms now track every click, like, and comment, then feed us content that matches our past beliefs. The result, we end up surrounded by opinion that sound just like our own,)

            10https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99

 

          นี้คือห้องโถงเสียงสะท้อน, สถานที่ซึ่งเราเพียงได้ยินเสียงของตัวเราเองเท่านั้นก้องสะท้อนกลับมาหาเรา. ถ้าคุณเชื่อ A, คุณก็แทบที่จะไม่ได้เผชิญหน้าติดต่อกับกรณีอื่นที่แข็งแรงกับการไม่ใช่ A เลย. เวลาผ่านไป, จิตนั้นก็เริ่มเกียจคร้าน. มันยอมรับเมื่อใดก็ตามที่ยืนยันตัวมันเองในมุมมองโลกของตัวมันและละทิ้งส่วนที่เหลือโดยถือว่าเป็นของปลอม, ลำเอียง, หรือโง่เง่า. นี่คือความมีอคติยืนยัน, ทางลัดจิตใจที่ชอบมากกว่าในความสบายใจเหนือความท้าทาย. และในยุคสมัยของเผ่าพันธุ์ดิจิตอลอั้นไร้ที่สิ้นสุดนี้, เกือบทุกคนก็ได้ติดอยู่ในหนึ่งกับดัก.   (This is the echo chamber, a place where we only hear our own voices echoed back at us. If you believe A, you will rarely encounter a strong case for not A. Over time, the mind gets lazy. It accepts whenever confirms its worldview and dismisses the rest as fake, biased, or stupid. This is confirmation bias, the mental shortcut that prefers comfort over challenge. And in an age of endless digital tribes, almost everyone is trapped in one.)

อะไรที่เลวร้ายยิ่งกว่า, ห้องโถงเสียงสะท้อนทั้งหลายไม่ได้แค่ค้นพบอยู่ในกลุ่มสมคบคิดกันทั้งหลาย หรือกลุ่มบ้าคลั่งลัทธิ. แม้กระทั่งช่างสงสัยระแวง, ผู้ไม่เชื่อถือพระเจ้าใด, และผู้ประกาศตนเป็นนักเหตุผลนิยมก็ตาม ก็สามารถก่อรูปวงเวียนปิดปลายทั้งหลายกับที่ซึ่งสมมติฐานทั้งหลายของพวกเขาไม่เคยได้ถูกถาม. เมื่อความคิดเห็นของกลุ่มรู้สึกปลอดภัย, เหตุปผลเชิงลึกของเรา, ระบบของเราด้วยเช่นกัน, แทนที่จะตั้งคำถาม, เราก็สอดคล้องไปด้วย. ผลลัพธ์จากการคิดแบบกลุ่ม.   (What’s worse, echo chambers are not just found in conspiracy groups or fanatical cults. Even skeptics, atheists, and self-proclaimed rationalists can form closed circles where their assumptions are never questioned. When the group’s opinion feels safe, our deeper reasoning, our system too, goes silent. Instead of questioning, we conform. The effect is group think.)

แต่ละเผ่าพันธุ์ปักใจเชื่อว่าตัวมันเองนั้นมีความสัจจริงเพียงหนึ่งเดียว, ในขณะที่ผู้อื่นภายนอกเผ่าได้ถูกตีตราว่าบอด, โง่, หรือกระทั่งชั่วร้าย. ห้องโถงเสียงสะท้อนทั้งหลายได้ขยายพันธุ์จุดบอด. ผู้คนหยุดการถาม. “ทำไมฉันต้องเชื่อสิ่งนี้?” และแทนที่ด้วยการพูดว่า, “นี้เป็นเพียงแค่แอะไรที่เราเชื่อกัน.”คำถามอันซื่อสัตย์ทั้งหลายเริ่มต้นที่จะรู้สึกเหมือนเป็นการทรยศ. ผลลัพธ์ก็คือสังคมที่ซึ่งยึดมั่นตามหลักการถูกแทนที่ด้วยคำสนทนาและความจงรักภักดีต่อเผ่าพันธุ์ มากไปกว่าความจงรักภักดีต่อความสัจจริง. นี้ตรงกันข้ามอย่างชัดเจนของจิตวิญญาณโสกราตีส. ความกล้าหาญที่จะแสวงหาความสัจจริงอยู่เหนือความสบายใจแม้ว่ามันจะเป็นความเจ็บปวดก็ตาม.   (Each tribe convinces itself that we alone have the truth, while outsiders are branded as blind, foolish, or even evil. Echo chambers breed blind spots. People stop asking, “Why do I believe this?” And instead say, “This is just what we believe.” Honest questions start to feel like betrayal. The result is a society where dogma replaces dialogue and loyalty to the tribe matters more than loyalty to truth. This is exact opposite of the Socratic spirit. The courage to seek truth over comfort even when it hurts.)

เหตุผลที่ 3 (reason 3)

          ถ้าข้อมูลท่วมล้นทำความอ่อนแอใหกับจิต และห้องโถงเสียงสะท้อนดักมันติดกับเอาไว้, ดังนั้นความน่าตื่นเต้นก็เป็นผู้ชักเชิดจัดการมัน. สื่อสมัยใหม่, ไม่ว่ามันจะเป็นช่องทางข่าวทั้งหลาย, การ feeds - ป้อนสู่สังคม, influencers - ผู้มีอิทธิพลทางสื่อ, ได้เป็นปรมาจารย์ศิลปะของการละคร. พวกเขารู้ภถึงสิ่งหนึ่งเป็นอย่างดี. การขายความโกรธ. ความสนใจทางการเงิน, และไม่มีอะไรตะครุบความสนใจได้รวดเร็วไปกว่าการพูดอวดโอ่เกินจริง. หัวข้อเรื่องทั้งหลายนั้นไม่ได้เพื่อที่จะรายงานข้อมูล, แต่เพื่อกระตุ้นปลุกเร้าอารมณ์.  (If information overload weakens the mind and echo chambers trap it, then sensationalism11 manipulates it. Modern media, whether it’s news outlets, social feeds, influencers, has mastered the art of drama. They know one thing very well. Outrage sells. Attention is currency, and nothing grabs attention faster than exaggeration. Headlines are designed not to inform, but to provoke.)

            11  https://en.wikipedia.org/wiki/Sensationalism

 

         

            เรื่องราวทั้งหลายบ่อยครั้งได้ถูกตีกรอบในหนทางที่น่าตื่นตระหนกตกใจที่เป็นไปได้. คุณจะไม่เชื่อเรื่องนี้หรือโลกกำลังจบสิ้นถ้าคุณไม่กระทำอะไรในตอนนี้. แม้กระทั่งผู้การศึกษาทั้งหลายและนักสร้างสรรค์ที่ซื่อสัตย์ทั้งหลายก็รู้สึกถูกกดดดันต่อการพูดโอ้อวดโดยปราศจากการละคร, ไม่มีหนึ่งคลิ๊ก. ในข้อจริงแล้ว, ผมยอมรับนั่นว่าในบางครั้งผมก็ใช้หัวข้อที่สุดโต่งเหมือนเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะรู้สึกสันติเพื่อกึงผู้คนเข้ามา. มันเป็นช่วงเวลาหนักหนาสาหัสของเรากัน. คุณต้องเล่นเกมการโอ้อวด หรือไม่ข่าวสารของคุณก็สูญหายไป. แต่นี้คือสาเหตุที่ดีที่จะทำให้คุณเฝ้าดูวิดีโอทั้งหลายเหมือนเช่นนี้.   (Stories are often framed in the most shocking way possible. You won’t believe this or the world is ending if you don’t act now. Even educators and honest creators feel pressured to exaggerate because without drama, no one clicks. In fact, I admit that I sometimes use extreme titles like the only way to feel peace just to draw people in. It’s an irony of our time. You must play the game of exaggeration or your message gets lost. But this is for a good cause to make you watch videos like this.)

          แต่ในเหตุกรณีอื่นๆ, ปัญหาคือกระแสความฮือฮานี้ทำให้เราทื่อมะลื่อลง. เมื่อทุกสิ่งได้ถูกโฆษณาเป็นเช่นเหตุวิกฤติ, ก็ไม่มีอะไรให้รู้สึกมีค่าต่อการไว้วางใจได้อีกต่อไป. ผู้คนเสียความอดทนสำหรับความแตกต่างเพียงเล็กน้อย และอารมณ์รู้สึกทั้งหลายของพวกเขาได้เข้ายึดครองที่ซึ่งตรรกะควรจะอยู่. การคิดแบบมีวิจารณญาณดิ้นรนต่อสู้ในสภาพแวดล้อมที่ทุกหัวพาดข่าวกรีดร้องว่าคือเหตุฉุกเฉิน, ทุกpostเรียกร้องให้มีปฏิกิริยาในทันทีทันใด, และทุกประเด็นได้ถูกชี้บอกว่าเป็นสงครามของความเป็นความตาย. นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่.   (But in other cases, the problem is this constant hype numbs us. When everything is advertised as a crisis, nothing feels trustworthy anymore. People lose patience for nuance and their emotions take over where logic should be. Critical thinking struggles in an environment where every headline screams emergency, every post demands instant reaction, and every issue is addressed as a life-or-death battle. This is not new.)

          การหนังสือพิมพ์ได้ติดตามกฎเหล่านี้กันมาโดยตลอด. ถ้ามันเลือดตกยางออก, มันก็ขึ้นไปนำ. แต่ 247 ข่าวของทุกวันนี้วนเวียนเติมเชื้อเพลิงด้วยอัลกอริทึ่ม-ข้อกำหนดทำงานทั้งหลายและกำไรขับดันให้หนึ่งคลิ๊ก, ผลักดันกระตุ้นเร้าอารมณ์รู้สึกไปสู่สุดโต่ง. ป้ายข่าวแทรก, อวดโอ่สถิติทั้งหลาย, และวลีใส่-ความกลัว เป็นเหมือน แย่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ได้ถูกใช้อย่างสม่ำเสมอ, แม้เมื่อสถานการณ์นั้นต้องการการวิเคราะห์อย่างสงบ.   (Journalism has long followed the rule. If it bleeds, it leads. But today’s 247 news cycle fueled by algorithms and profit-driven clicks, pushes sensationalism to an extreme. Breaking news banners, exaggerated statistics, and fear-loaded phrase like record lows or worst ever are used constantly, even when the situation requires calm analysis.)

          ผลลัพธ์นั้น, คือประชากรหนึ่งที่มักจะกระตือรือร้น/กระวนกระวายอยู่เสมอ, วอกแวกอยู่เสมอ, และแทบจะหาการครุ่นคิดไตร่ตรองแทบไม่ได้. เราคลิ๊ก, เรา share, เราตื่นตระหนก, แต่เราไม่ได้หยุดเพื่อจะคิด. ในโลกที่ทุกสิ่งน่าตื่นเต้นมากที่สุดขึ้นไปถึงระดับที่สาม, การอภิปรายกันอย่างมีเหตุผลกลายเป็นสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้. (The result, a population that is always anxious, always distracted, and rarely thoughtful. We click, we share, we panic, but we don’t pause to think. In a world where everything is hyped to the third degree, rational discourse becomes almost impossible.)

ความน่าตื่นเต้นสร้างกระแสข่าวลือที่ไม่พอใจในที่ซึ่งเชื่องช้าและครุ่นคิด ถึงแม้ว่าความรู้สึกผิดที่ผิดทางแทนที่การถามแบบโสกราตีส. เราถูกทิ้งให้เกิดปฏิกิริยาเข่ากระตุก. และอีกครั้งหนึ่ง, คามโง่เง่าหมู่ก็เติบโตแข็งแรงมากขึ้น. แต่คำถามที่แท้จริงคือ เราจะสามารถหยุดสิ่งนี้ได้อย่างไร? และนี้คือสิ่งที่ผมกำลังจะถกเถียงกันในตอนนี้.   (Sensationalism creates a rumor mill of outrage where slow and careful thought feels out of place instead of Socratic questioning. We are left with knee-jerk reactions. And once again, collective stupidity grows stronger. But the real question is how can we stop this? And this is what I am going to discuss now.)

ทำอย่างไรที่จะจุดไฟการคิดแบบมีวิจารณญาณของคุณขึ้นมาได้อีกครั้ง (how to rekindle your critical thinking 5 ways)

1. เพิ่มความกล้าในการใคร่รู้. ความใคร่รู้คือยาถอนพิษความเกียจคร้านทางจิตใจ. ไอน์สไตน์ครั้งหนึ่งเคยยอมรับว่า, “ผมไม่ได้มีความชาญฉลาดพิเศษเฉพาะอะไร ผมเพียงแต่หลงใหลในความใคร่รู้เท่านั้น.” (Encourage curiosity. Curiosity is the antidote to mental laziness. Einstein once admitted, “I have no special talents. I am only passionately curious.”)

          ผู้คนที่ใคร่รู้ไม่สามารถหยุดได้ที่คำตอบแรก. พวกเขาถามว่าทำไมครั้งแล้วครั้งเล่า. ก่อนที่จะยอมรับการกล่าวอ้างใด, หยุดแล้วถามตนเองว่า, “อะไรคือหลักฐานนั้น? ฉันรู้ได้อย่างไรในเรื่องนี้? อะไรถ้าสิ่งตรงข้ามนี้เป็นความจริงขึ้นมา?” คุณภาพในการคิดของเราได้ถูกเปิดเผยโดยคุณภาพของคำถามทั้งหลายของเรา. การอ่านอย่างกว้างขวาง, การเขียนบันทึก, หรือการเข้าร่วมการอภิปรายถกเถียงทั้งหลาย และโต้วาทีทั้งหลาย สามารถช่วยคุณให้ฟื้นฟูที่จิตวิญญาณโสกราตีสของการสืบสวน. (Curious people don’t stop at the first answer. They ask why again and again. Before accepting any claim, pause and ask yourself, “What is the evidence? How do I know this? What if the opposite were true?” The quality of our thinking is revealed by the quality of our questions. Reading, widely, journaling, or joining discussions and debates can help you revive that Socratic spirit of inquiry.)

2. ช้าลงและคิด. ในโลกของการเรียกร้องให้มีปฏิกิริยาในทันที, จงเรียนรู้ที่จะต้านทาน.  เมื่อคุณมองเห็นหัวพาดข่าวที่น่าตื่นตกใจ, อย่าแค่อ่านคร่าวๆ. อ่านทั้งบทความนั้นเต็มๆ, แกะรอยไปถึงแหล่งกำเนิด, และสะท้อนแออกมา. หลีกเลี่ยงการทำงานหลายชนิดพร้อมกันด้วยความคิดที่สลับซับซ้อน.   (Slow down and think. In a world that demands instant reactions, learn to resist. When you see a shocking headline, don’t just skim. Read the full articles, trace the source, and reflect. Avoid multitasking when deal with complex ideas.)

การปฏิบัติสมาธิและสติ สามารถช่วยคุณฝึกการเพ่งจุดสนใจของคุณด้วยเช่นกัน. จำญาณทัศน์จอง ดานีล คาห์เนแมน, การคิดระบบที่ 2 ของเรา, ประเภทช้า, พากเพียร, นั่นคือที่ซึ่งการวิเคราะห์อย่างแท้จริงมีชีวิตอยู่. เสริมความแข็งแรงให้กับมันด้วยการทำเลขคณิตด้วยตนเอง, เขียนบันทึกข้อโต้แย้งทั้งหลาย, หรือชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียก่อนที่จะทการตัดสินใจทั้งหลาย.  (Meditation and mindfulness can also train your focus. Remember Daniel Conaman’s insight, our system 2 thinking, the slow, effort kind, is where real analysis lives. Strengthen it by doing the math yourself, writing arguments, or weighing pros and cons before making decisions.)

.

          3. แหล่งข้อมูลที่หลากหลาย. หลบหนีห้องโถงเสียงสะท้อนของคุณ. ตั้งใจเสาะหามุมมองทั้งหลายที่ทายคุณออกมา.  อ่านสื่อจากด้านที่แตกต่างออกไปของขอบเขตของสิ่งนั้น ติดตามนักคิดทั้งหลายที่คุณไม่เห็นด้วย และสำรวจค้นหามุมมองทั้งหลายจากวัฒนธรรมทั้งหลายอื่น. เมื่อคุณเผชิญกับสถิติหรือคำอ้างอะไร, จงแกะรอยพวกมันย้อนกลับไปยังแหล่งกำเนิดดั้งเดิม. เล่นบททนายของปีศาจ/แกล้งแสดงความเห็นขัดแย้ง กับความเชื่อของตัวคุณเอง และเชื้อเชิญผู้อื่นทั้งหลายที่จะตั้งคำถามกับพวกมัน. นี้คือทำอย่างไรที่การยืนยันตนให้อ่อนแอลงได้ถูกเสริมหนุนและเสริมความแข็งแรงความสามารถของคุณที่จะมองอะไรอย่างกระจ่างแจ้ง.  (Diversify your sources. Escape your echo chamber. Deliberately seek out perspectives that challenge you. Read media from different sides of the spectrum. Follow thinkers you disagree with and explore viewpoints from other cultures. When you encounter statistics or claims, trace them back to original sources.  Play devil’s advocate with your own beliefs and invite others to question them. This is how you weaken confirmation bias and strengthens your ability to see clearly.)

          4. ปฏิรูปการศึกษาและความเป็นผู้นำ. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ ต้องถูกปลูกฝังในระดับสังคมด้วยเช่นกัน. โรงเรียนควรที่จะเน้นที่การมีเหตุผล, การโต้วาที, และการวิเคราะห์ ให้อยู่เหนือการใช้ความจำ. โครงการทั้งหลายทางปรัชญา, ตรรกะ, และวิทยาศาสตร์ที่เรียกร้องการใคร่ครวญไต่สวน จะช่วยฝึกฝนจิตวัยเยาว์ทั้งหลาย ที่จะคิด. ผู้ใหญ่ทั้งหลายสามารถทำเช่นเดียวกันได้โดยการศึกษาตรรกะ, วิมตินิยม/กังขานิยม, หรือทำงานกับนักคิดที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย.   (Reform education and leadership. Critical thinking must also be cultivated at a societal level. School should emphasize reasoning, debate, and analysis over wrote memorization. Philosophy, logic, and science projects that demand inquiry help train young minds to think. Adults can do the same by studying logic, skepticism, or works by great thinkers.)

ผู้นำทั้งหลาย, ด้วยเช่นกัน, ต้องเป็นแบบจำลองการคิดวิจารณญาณ, แสดงให้เห็นไม่ใช่แค่ข้อสรุป, แต่รวมไปถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังของพวกมัน. เมื่อสาธารณชนได้คาดคิด/นึกภาพออก และการยอมรับความไม่แน่นอนและแสดงความสอบถามอย่างตรงไปตรงมา, ผู้นำทั้งหลายจัดตั้งตัวอย่างเชิงวัฒนธรรม. นั่นคือการถามทั้งหลายคือความแข็งแรง, ไม่ใช่ความอ่อนแอ.  (Leaders, too, must model critical thought, showing not just conclusions, but the reasoning behind them. When public figures admit uncertainty and demonstrate honest inquiry, they set cultural example. That questioning is strength, not weakness.)

          5. ฝึกปฏิบัติการคิดแบบ “เกิดอะไรขึ้น ถ้า”.  ทุกวัน, หยิบหนึ่งสมมติฐานขึ้นมาและพลิกมัน. ถามว่า, “เกิดอะไรขึ้นถ้าสิ่งนี้ผิด? เกิดอะไรขึ้นถ้าด้านตรงข้ามนี้เป็นความจริง?” นี้คือแบบฝึกหัดอย่างง่ายบีบบังคับจิตของคุณเข้าไปสู่การคิดเชิงลึก.  (Everyday, pick one assumption and flip it. Ask. “What if this is wrong? What if the opposite were true?” This simple exercise forces your mind into deeper reasoning.)

          อีกการฝึกปฏิบัติหนึ่งคือการสอน-กลับ. พยายามที่จะอธิบายความคิดที่สลับซับซ้อนอันหนึ่งค่อใครบางคนอื่น. ถ้าคุณหกคะเมนลง, นั่นเผยให้เห็นช่องว่างในความเข้าใจของตัวคุณเอง. ความกังขานิยมในที่นี้ไม่ใช่การขวางโลก. มันเป็นความหล้าหาญที่จะปรับปรุงความรู้ของคุณด้วยการทดสอบมัน(Another practice is teach-back. Try to explain a complex idea to someone else. If you stumble, that reveals the gaps in your own understanding. Skepticism here is not cynicism12. It’s the courage to refine your knowledge by testing it.)

          12 "Cynicism" แปลว่า คติหยามโลก, คตินิยมขวางโลก หรือ ความเย้ยหยัน ซึ่งเป็นทัศนคติที่ เคลือบแคลงสงสัยในความดีหรือเจตนาที่แท้จริงของผู้อื่น โดยเชื่อว่าคนเรามักทำไปเพราะเห็นแก่ตัว, ต้องการผลประโยชน์ส่วนตัว หรือมีเจตนาแอบแฝง 

ความหมายโดยละเอียด

  • ในแง่ของทัศนคติ: 

เป็นความเชื่อว่าผู้คนขับเคลื่อนด้วยความโลภ, อำนาจ, หรือผลประโยชน์ส่วนตัว และไม่จริงใจเสมอไป เช่น การมองว่านักการเมืองทุกคนเห็นแก่ตัว 

  • ในแง่ของปรัชญา: 

มาจาก "ลัทธิซินิก" (Cynicism) ในสมัยกรีกโบราณ ซึ่งเป็นสำนักคิดที่เชื่อว่าความสุขมาจากการบรรลุคุณธรรมด้วยการดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายตามธรรมชาติ 

  • คำที่เกี่ยวข้อง: 

คำนี้มักมีความหมายคล้ายคลึงกับ "pessimism" (การมองโลกในแง่ร้าย) และอาจสื่อถึงการถากถางหรือเยาะเย้ยอย่างมีเลศนัย เช่น "cynical smile" (รอยยิ้มมีเลศนัย) หรือ "cynical remark" (คำพูดถากถาง) 

          ในท้ายสุด, การจุดไฟการคิดแบบมีวิจารณญาณของคุณขึ้นมา หมายถึงการปฏิเสธที่จะมีชีวิตโดยใช้นักบินอัตโนมัติ. มันคือการเลือกที่จะตั้งคำถามแทนที่จะยอมรับอย่างตาบอด, ที่จะสะท้อนกลับแทนการตอบโต้ปฏิบัติตรงข้าม.  ดังเช่นที่โสกราตีสได้เตือนจำเรามากว่า 2,000 ปีก่อน, ชีวิตที่ไม่ถูกตรวจสอบนั้นไม่คุ้มค่าที่จะมีชีวิตอยู่.  (In the end, rekindling critical thinking means refusing to live autopilot. It’s choosing to question instead of blindly accepting, to reflect instead of react. As Socrates reminded us more than 2,000 years ago, the unexamined life is not worth living.13)

          13 "The unexamined life is not worth living" แปลว่า "ชีวิตที่ไม่ถูกตรวจสอบนั้นไม่คุ้มค่าที่จะมีชีวิตอยู่" ซึ่งเป็นคำกล่าวของนักปรัชญาชาวกรีกนามว่า โสกราตีส 

คำกล่าวนี้หมายความว่าชีวิตที่ปราศจากการใคร่ครวญ การตั้งคำถาม และการทบทวนตนเองนั้นไร้ความหมายและคุณค่า การตรวจสอบชีวิตคือการใช้สติปัญญาไตร่ตรองเกี่ยวกับคุณธรรม ความดี และการดำรงอยู่ของตนเอง เพื่อยกระดับตัวเองให้สูงกว่าการใช้ชีวิตไปวันๆ เฉกเช่นสัตว์ การเพิกเฉยต่อการใคร่ครวญนี้เท่ากับว่าเราไม่ได้ใช้ความเป็นมนุษย์อย่างเต็มที่ 

          https://youtu.be/FuE2CDRcfTQ?si=aT8wzRVbGQ8QL0eT