หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2568

พระอาจารย์ชยสาโร - พระธรรมเทศนา เรื่อง 'มาก เร็ว ง่าย'

พระอาจารย์ชยสาโร - พระธรรมเทศนา เรื่อง 'มาก เร็ว ง่าย'

ปฏิบัติธรรมบ้านบุญ วันอาทิตย์ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๘

          https://www.youtube.com/live/5544YaR7eJo?si=Q1KoaS7kWH1qHaLw

          นะโมตัสสะ ภะคะวะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

          นะโมตัสสะ ภะคะวะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

นะโมตัสสะ ภะคะวะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

          พุทธัง ธัมมัง สังฆัง อุนุตพรัง ปัจจัยยัง นะมะสามิ.

          อ่า...ปีนี้อาตมา ช่วย ดู ช่วยเตรียม ช่วยเขียนweb) อยู่ออนไลน์(online) อย่างปลอดภัย อย่างรู้เท่าทัน ไม่เป็นเหยื่อของใคร ทีนี้ข้อมูลที่ได้นั้นคงเป็นประโยชน์กับเราทุกคน ไม่ใช่เฉพาะเด็ก คือในโลกออนไลน์ เราเป็นผู้บริโภค ในกรณีเรา เวลาเราบริโภคฟรี ได้อ่านได้บันเทิง ฟรี แต่ที่จริงมันไม่ฟรี อย่างน้อยเราควรจะถามตัวเองว่า อะไรคือสิ่งที่มีค่าที่สุด ในชีวิต อาตมาว่าข้อหนึ่ง ก็คือเวลา เวลาเป็นของเรา จะดูออนไลน์ ออนไลน์ก็ต้องการเวลาของเรา เราแลกเปลี่ยน เราก็ได้อ่านได้ความารู้ได้ความบันเทิง ในอะไรอะไร แต่เราแลกเปลี่ยนกับเวลาของเรา ไม่ใช่ว่าได้ฟรี เวลานั้นเราอาจจะได้ใช้ในเรื่องอื่น เป็นเรื่องที่ดีกว่าก็ได้ เราเลือก สละเวลาขแองเรากับจอ มันคุ้มมั้ย? เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องคิด.

          ทีนี้ในเมื่อเราเป็นผู้บริโภคแล้ว สิ่งที่บริโภคคือ สินค้า แต่เราก็เป็นสินค้าเหมือนกัน ก็เราให้เวลาแล้วเราก็ให้ข้อมูลเราด้วย แล้วเราให้ตาเราด้วย ทีนี้การโฆษณาต้องการ ความใส่ใจ ความสนใจของเรา สิ่งใดที่สามารถให้เราอยู่ให้เราดูนานๆ สิ่งนั้นก็ได้กำไร เลยโจทย์ของเขาก็คือ ทำยังไงเราจึงจะได้บริโภคของเขา ให้มาก ก็ต้องดู ๒ อย่าง ๑. จุดอ่อนของเรา ๒. ความต้องการของเรา ทำไงเราจึงจะใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อเกิดประโยชน์แก่เขา.

          ทีนี้ในการวิจัยเรื่องนี้ ปรากฏว่าสิ่งหนึ่งที่จะทำให้คนคลิ๊ก คลิ๊กแล้วอยู่ได้นาน อันดับหนึ่งคือความโกรธ ความโกรธเป็นสิ่งที่ผลักดัน พฤติกรรม อย่างมากที่สุด ดังนั้นถ้าเราสามารถกระตุ้นให้ดเราเราโกรธ ความโกรธก็เป็นประโยชน์แก่เขา เพราะจะทำให้เราอยากอ่านต่อ ยิ่งโกรธก็ยิ่งบริโภค สิ่งที่เป็นเชื้อของความโกรธ แล้วทางพุทธเรามองความโกรธอย่างไร? คือในพุทธศาสนา ท่าทีต่อความโกรธนี้ชัดเจนมาก ชัดเจน หมายถึงว่าไม่มีบริบทไหน ไม่มีเวลาไหน ไม่มีโอกาสไหน ที่ความโกรธเป็นสิ่งที่ดี ในศาสนาอื่น ท่าทีต่อความโกรธ มันจะไม่ตรงไปตรงมาเหมือนในศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นช่องโหว่ มันก็จะมีconcept ของความโกรธที่เหมาะสม เช่น ถ้าโกรธความชั่ว ถือว่าดี นี้ก็ดเป็นกระแสหนึ่งที่ค่อนข้างมีอิทธิพลมากในอารยธรรมตะวันตก.

ในสมัยนี้ถ้า อ่า ถ้าจำเป็นต้องสู้กับศัตรูที่มี อำนาจมากกว่าเรา แบบแทบไม่มีหวังจะชนะ ทำยังไงเราจึงไม่ท้อแท้ ไม่ เอ่อ ไม่เลิกรา คำตอบมันจะ(เป็นการ) ทำให้โกรธ จะโกรธไม่เลิก พอโกรธก็จะกระตุ้นให้ทำต่อ ทั้ง ๆที่ไม่มีโอกาสชนะ เพราะในอารยธรรมตะวันตกซึ่งมี อิทธิพลต่อเรามากที่สุด ทุกวันนี้ หนึ่ง (คือ)กระแสทางศาสนา บอกความโกรธ เหมาะสมในบางกรณี อย่างเช่น โกรธคนไม่ดี โกรธคนไม่ดี เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่จะชนะ ฝ่ายมารฝ่ายซาตาน ที่สอง ความโกรธเป็นกำลังในการต่อสู้ เมื่อเราชักจะท้อแท้ชักจะไม่ไหวแล้ว ท่าที เมื่อมันมีเงื่อนไขอย่างนี้ ก็เป็นช่องโหว่ให้คนmanipulateให้เราได้ ใช่มั้ย?

เพราะจุดอ่อนของเรา จุดหนึ่งคือ คนส่วนใหญ่อยากจะเป็นคนดี ใช่มั้ย? แต่ในขณะเดียวกัน มักจะงมงายในคำว่า “ดี” ใครว่าดี ก็เอาแหละ ใช่มั้ย? เราอยากเป็นคนดี อยากเป็นคนดี ถ้าเป็นคนก็ต้องทำอย่างงี้ ต้องคิดอย่างนี้ ต้องรู้สึกอย่างนี้ มันเป็น คือความง่ายก็คือ ลักษณะที่ว่า รับอะไรมาโดยไม่กลั่นกรอง ตามกระแสของมันเลย ซึ่งความงมงายก็มีหลายประเภท แต่โดยเอกลักษณ์ก็เป็นอย่างนี้ ฉะนั้นถ้าเรางมงายในคำว่าดี เป็นจุดอ่อนที่ผู้แสวงหาผลประโยชน์จากเราจะใช้ตลอด ฉะนั้นเรา ก็ว่า ถ้าเป็นคนดี ต้องโกรธคนชั่ว ฉะนั้นถ้าเขาสามารถใส่ภาพของคนใดคนหนึ่ง กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ชาติใดชาติหนึ่ง ว่าชั่ว เหมือนกับเปิดไฟเขียว โกรธก็ไม่บาป เพราะเราโกรธสิ่งและคนที่ไม่ดี นี่อันตรายอย่างยิ่งกับคนเรา ดูในประวัติศาสตร์ที่มีการฆ่าคนอย่างโหดร้าย คนที่ฆ่านี่ทำไมเขากล้าทำอย่างนั้น จะว่าเขาชั่วแต่มันก็ไม่ชั่วหรอก แต่เข้าใจผิดว่า สิ่งที่เขาทำ ถูกต้อง สิ่งที่เขาทำ เหมาะสม เพราะเขาทำในนามของความดี คนดีทำอย่างนี้เค้าจะต้องทำ.

แต่พุทธศาสนาเรา ไม่ ไม่ให้คิดอย่างนั้นง่ายๆอย่างนั้น เพราะพุทธองค์ให้เราคำนึงถึง กฎแห่งกรรม กฎแห่งกรรมเป็นของสากล ไม่ขึ้นอยู่กับศาสนาใดศาสนาหนึ่ง จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่เกี่ยว ถ้ามีเจตนาจะทำร้าย เจตนานั้นแหละ การเกิดขึ้นของเจตนานั้น ในจิตในสมองของเรา นั่นคือตัวกรรม ใช่มั้ย? ถ้าทำตามนี้ ก็เป็นกายกรรม วจีกรรม เจตนาจะทำก็เป็นมโนกรรม ทุกอย่างมันเริ่มต้นที่จิต.

ฉะนั้นในอาตมา ๒๐ - ๓๐ ปีที่ผ่านมาก็กลับไปต่างประเทศบ่อย มีช่วงหนึ่งทุก ๒ ปี ต่อมาก็ทุก พ่อแม่อายุมากแล้วก็ไปทุกปี ในความเปลี่ยนแปลง ในสังคมตะวันตก ที่เห็นได้ชัด เอ๊ะ ทำไมคนโกรธกันเหลือเกิน อารมณ์มันก้าวร้าวกว่าสมัยก่อน อย่างเห็นได้ชัด คนโกรธ และยินดีจะโกรธ แล้วก็มีผู้กระตุ้นให้โกรธ เพราะคนที่โกรธนี่ก็จะ manipulate จะบงการเขาได้ง่าย ฉะนั้นชาวพุทธเราต้องเห็นว่า โกรธคือกิเลส โกรธจะนำไปสู่การทำบาปกรรม เป็นการสร้าทุกข์กับตัวเอง สร้างทุกข์กับคนอื่น.

ฉะนั้น ไอ้เหตุผลว่า ทำไมจะต้องโกรธ เขาคนนั้นเป็นคนชั่วจริงเหรอ? เป็นคนร้ายจริงเหรอ? เขาทำอย่างนั้นจริงๆเหรอ? ยังไม่ต้องคิดในประเด็นเหล่านี้ซึ่งยากที่เราจะพิสูจน์ได้ในทุกข้อ มันเหลือวิสัย แต่เราเอาประสบการณ์ตรงของเราว่า ความโกรธเกิดมาจาก เขาพูดอะไร? เขาให้เราเห็นอะไรที่ทำให้เราโกรธ? เขาต้องการให้เราโกรธมั้ย? เขาต้องการเพื่ออะไร? นี่คือการใช้สติป้องกันอันตราย เพเราะสิ่งที่เราบริโภค สิ่งที่เราอ่าน สิ่งที่เราดู สิ่งที่เราฟังน่ะ โห ทุกวันนี้ไม่รู้หรอกว่ามันจริงหรือไม่จริง ใช่มั้ย? แต่สิ่งที่เรารู้ได้เลยก็คือ ความรู้สึกในใจเราว่าเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล ถ้าเป็นอกุศลแล้ว ต้องระมัดระวังที่สุด ว่าไอ้อกุศลนั้น มันกำลังเพิ่มมากขึ้นมั้ย? หรือว่าลดน้อยลง ถ้าดูcontent ดูเนื้อหาอย่างนี้ ทำให้ความโกรธ เราเพิ่มมากขึ้นมั้ย? งั้นก็ไม่เหมาะกับเรา.

ฉะนั้นการtryนี้ การเก็บข้อมูลน่ะ มันจะว่าเป็นจริง มันเกิดจริง มันไม่ใช่ประเด็นเสมอไป สมมติว่าเรา เอ่อ มีคนๆหนึ่ง เราอยากจะรู้ว่า คนทั่วไปมองเขายังไง? สัมภาษณ์คนร้อยคน คนกลุ่มหนึ่งบอกว่าชอบเขา คนกลุ่มหนึ่งก็บอกว่าเฉยๆ แล้วก็จะมีกลุ่มหนึ่งในร้อยคน อาจจะมีหนึ่งคนสองคน ที่บอกว่า โอ้ คนนี้แย่มาก ร้ายมาก ไม่ไหวจริงแล้ว แล้วเราก็สัมภาษณ์ก็เฉพาะคนนั้น แล้วทำเป็นข่าว โกหกมั้ย? ก็ไม่โกหก เขาก็เป็นหนึ่งในร้อยคน พูดความจริงเท่าที่เขาเห็น แต่เขาเลือก ทำไมเขาเลือกคนนั้น ทำไมเขาไม่เลือกคนที่รู้สึก ก็ไม่รู้ เค้าก็ไม่รู้ เค้าเฉยๆนะ...มันไม่เป็นข่าว ใช่มั้ย? ใครอยากจะดูข่าวเรื่องคนเฉยๆ? ถ้าสัมภาษณ์คนไทยว่า เห็นด้วยกับเรื่องนี้รึเปล่า? คนที่เป็นกลางเนี่ยะ ส่วนมากก็มีข้อดีบ้างข้อเสียบ้าง อย่างนี้ไม่รู้ละ เค้าไม่ให้เป็นข่าวหรอก เค้าจะให้คนที่มีอารมณ์ เพราะมันน่าดูกว่า ใช่มั้ย?

ฉะนั้น การเลือกสิ่งที่เค้าเสนอให้เรานี้ เซนเซอร์อยู่ในตัว หรือเป็นการพยายามจะสร้างความรู้สึกในตัวเรา ผู้บริโภค เราถึงต้องรู้จักดูแลจิตใจตัวเอง ทีนี้ยังมีคนจำนวนไม่น้อยก็ว่า เอ๊ะ หลับตาทำไม?  นั่งสมาธิทำไม? ไม่เกิดประโยชน์อะไร? นี่เรียกว่างมงายงั้นใช่มั้ย? เอ้า ถ้าเราไม่ให้เวลากับการศึกษา การเรียนรู้ เรื่องจิตใจตัวเอง จะป้องกันอันตรายจากสิ่งแวดล้อมได้ยังไง เมื่อเค้าจะ(มา)หลอก จะรู้เหรอ? ถ้าเขารู้จุดอ่อนของเขา เขาก็เจาะอยู่ตรงนั้นเลยนะ และถ้าไม่ภาวนา ไม่มีสติ จะมีวิธีป้องกันอันตรายได้อย่างไรล่ะ?

ทีนี้เรื่องฝึกจิตนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งที่อาตมามาอ่านเรื่องเค้าวิเคราะห์ เรื่องการmanipulateใน...ในสื่อ เค้าก็พูดตรงกับที่เรา...เราคิดกันที่โรงเรียนว่า การให้ข้อเท็จจริงนี่ ให้เหตุผล ไม่พอที่จะให้ใครป้องกันอันตราย เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มันbypassสมอง มันตรงไปที่กิเลส เราก็จะคุยในเรื่องเหตุผลไม่ได้ เห็นมั้ยสังเกตทุกวันนี้ ไอ้การที่จะพูดคุยเรื่องเหตุปผล ไม่ได้ผล เพราะว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เหตุผล บางคนก็มีเหตุผลของตน หรือแม้ว่าเราพูดกับเหตุผลเค้า ไม่ดี เขาก็ไม่สนใจ เพราะเขาสนใจความรู้สึก เขามี่ความรู้สึกอย่างนี้ เขาพอใจ ถ้าสิ่งที่เป็นเหตุผลน้อย เราไม่มีเหตุผลทางความรู้สึกที่เคเพอใจ เค้าจะเลือกมากกว่า เหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ นี่เราก็ต้องแก้ปัญหา ทั้งทางเหตุผล ทางสมอง และทางจิตใจด้วย ถ้าไม่ภาวนานี่ ทำไม่ได้หรอก ทำไม่เป็น.

ดังนั้นความโกรธนี่ ถ้าโกรธแล้วผิด โกรธแล้วโง่ โกรธแล้วไม่เห็นตามความเป็นจริง โกรธแล้วอันตราย อันนี้ก็ความโกรธนี้ต้องเด็ดขาด ไม่ให้แม้แต่นิดเดียว อนุโลมอะลุ้มอล่วยกับความโกรธไม่ได้  วันก่อนได้พูดเรื่อง อ่า ชาวต่างชาติ แล้วคนที่อยู่เมืองนอกนานนี่ การตั้งคำถามนี้มักจะมีคำว่าbalanceเสียตลอดเวลา ทำไมbalanceเรื่องนั้นเรื่องนี้ อาตมาว่า อย่าไปด่วนสรุปว่าทุกอย่างที่มี ๒ อย่างนี่ ไม่ใช่ว่าต้องหาbalanceมันจึงเป็นทางสายกลาง อาตมาก็ยกตัวอย่าง สมมติว่าใครบอกว่า ทำยังไงถึงจะbalanceความต้องการ กินเหล้ากับการรักษาศีล ๕ มันbalanceไม่ได้นะ มันต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ทุกอย่างจะต้องbalanceไปหมด balance ความโกรธกับความไม่โกรธ ก็เหมือนbalanceการกินเหล้ากับการรักษาศีล มันไปด้วยกันไม่ได้.

ข้อที่สองก็คือ ไอ้ที่อันดับ ไอ้ที่มีผลต่อจิตใจเรามากที่สุด คือความต้องการของมนุษย์ ที่จะเป็นส่วนร่วมของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่จะมีสังคม เราต้องการมาสังคม และ เอ่อ บางทีคุยเรื่องธรรมะ ธรรมะกับสังคม การปรับตัวเข้าสังคม อะไรๆอย่างนี้ ก็ทำให้เข้าใจว่า มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเรียกว่า สังคม สังคมโลก สังคมไทย มันไม่ใช่ สังคมมันหลายสังคม ยิ่งในยุคออนไลน์ เนี่ยะ มีสังคมให้เลือก สังคมคือคนที่ที่เป็นพวกพ้อง ที่มีความคิดคล้ายกัน มีความต้องการคล้ายกัน มุมมองเหมือนกัน นี่ก็คือสังคม แต่เราก็ต้องเลือกสังคม พุทธองค์ตรัสไว้ว่าอย่าคบพาล แต่ที่นี้ออนไลน์นี้ โอกาสจะคบพาลนี่ง่ายขึ้นเยอะ ทีนี้การที่เราต้องการมีความรู้สึกเป็นหนึ่งของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง พวกใดพวกหนึ่งน่ะ ทำให้เขาบงการอารมณ์เราได้ง่าย ผลักดันอารมณ์เราได้ง่าย อย่างเช่นการกดlike การshare ไอ้สิ่งที่ทำไว้มันviralน่ะ ที่คนที่กดน่ะ หลายครั้งน่ะ มันไม่ใช่ว่าเห็นด้วยเสมอไป แต่มันเป็นการประกาศว่า คนอยู่ในกลุ่มนี้ กลุ่มนี้เห็น ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ฉันเป็นคนกลุ่มนี้ จะต้องshareจะต้องclick จะต้องlike แล้วมันไม่ใช่เรื่องของเหตุผล เพราะพเป็นการเทียบกับการอวดฐานะ อย่างการแต่งตัว แบบนี้เป็นการแสดง บางอย่าง เป็นการประกาศบางอย่าง เกี่ยวกับเราคือใครในสังคมไหน การถือกระเป๋า การอะไร การขับรถ ทุกอย่างมันไม่ได้อยู่ที่ วัตถุที่ใช้สอยอย่างเดียว อาตมาจึงบอกหลายครั้งว่า ต้องให้สังคมเราไปวัตถุนิยมมากกว่านี้ คนนิยมวัตถุน้อยเกินไป ถ้านิยมวัตถุนี่ ต้องนิยมที่คุณสมบัติของวัตถุ ไม่ได้อยู่ที่ยี่ห้อ ยี่ห้อไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัววัตถุ ใช่มั้ย? มันเป็นเรื่องของการอวดฐานะ การสดงว่าเราคือใคร หรือต้องการให้คนมองเราอย่างไร.

แต่เราก็ต้องสังเกตตัวนี้ ความกลัวเหงา อยากมีพรรคพวก อยากเป็น เอ่อ เป็นส่วนร่วมของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อยากให้ทุกคนมองแล้วว่าเป็นคนในกลุ่มนั้น ในพวก เพราะนี่เป็นจุดอ่อน จุดอ่อนที่คนไม่หวังดีต่อเรา หรือที่หวังหาผลประโยชน์กับเรา ก็สามารถใช้อยู่ตลอด ฉะนั้นตวามรู้สึกอย่างนี้ อย่างจะละเอียดกว่าความโกรธ ใช่มั้ย? จะไม่มีอาการปรากฏในเวลานั้น อย่างชัดเจน ความโกรธก็เป็นกิเลสที่ค่อนข้างจะหยาบ รู้ตัวไม่ยากเท่าไหร่ ไอ้ที่ความเหงา อยากให้เขามองเราอย่างใดอย่างหนึ่ง อยากให้เขาถือว่าเราเป็นคนในกลุ่มนี้ อ่า ทำให้คนแสดงออกในทางที่ไร้เหตุผล ทีนี้ เวลาคนพูดอะไรที่ไร้เหตุผล เราอยากจะพูดกับเขายังไง ส่วนมากเราต้องคิดว่า เราต้องให้เหตุผล ให้เขารู้ตัวว่า สิ่งที่เขาพูด ไม่มีเหตุผล แต่การใช้เหตุผล การอ้างเหตุผล ไม่ใช่เรื่องเหตุผลเสมอไป มันเป็นการแสดงว่า ฉันเป็นคนหนึ่งที่คิดอย่างนี้ อยู่ในกลุ่มที่เชื่ออย่างนี้ เป็นความสุข เป็นความพอใจ ไม่ใช่เรื่องของสมองอย่างเดียว ฉะนั้นเราต้องระวังตัวเอง ถ้า ถ้าใครพูดอะไร ทำอะไรถ้าเป็นฝ่ายเรา เขาเป็นพวกเรา แล้วเราก็ต้องสนับสนุน เพียงเพราะว่า เราเป็นคนที่อยู่ในกลุ่มนี้ ชาตินี้ หรือศาสนานี้.

อาตมาก็เคยวิจารณ์ในสมัยก่อน เวลาเกิดมี เรื่องไม่ดีเกิดขึ้น อ่า ในเมือง ในเมืองไทย ซึ่งเป็นข่าวซึ่งต่างประเทศ เช่นนักท่องเที่ยว ถูก อ่า ถูกฆ่า ถูกอะไรอ่ะ? ผู้ที่ ผู้ใหญ่ที่ แถลงข่าว มักจะแถลงว่า ทำให้ภาพพจน์ของเมืองไทยเสีย มันนี่ นี่คือโทษของสิ่งที่เกิดขึ้น คือไม่ได้มองที่ ปัญหาจริง ที่เกิดขึ้นและความทุกข์ที่เกิดขึ้น แต่มองที่ผลกระทบต่อภาพพจน์ นี่คือจุดอ่อนที่ทำให้เราไม่อยู่กับความจริงและความถูกต้อง เท่าที่ควร ห่วงภาพพจน์ ต้องการสร้างภาพพจน์ภาพลักษณ์.

อย่างที่สาม คือนิสัยของมนุษย์ที่ว่าเป็นกิเลส อาจจะเป็นธรรมชาติขอมนุษย์ อยากรู้อยากเห็น ชอบความหวือหวา ชอบความตื่นเต้น อย่างชอบเป็นข่าวว่า อาจารย์ชยสาโรโกรธเป็นไฟ ในพฤติกรรมของอาจารย์ไฝที่สวนมะนาว ใครจะไม่คลิ๊ก ทุกคนก็อยาก เอ๊ะ ท่านอาจารย์ท่านโกรธอาจารย์ไฝทำไม? มันอยากรู้อยากเห็น เค้าก็ใช้วิธีนี้แหละ วันนี้ท่านอาจารย์จะแสดงธรรมเรื่อง “โพชฌงค์ ๗ ข้อ ข้อที่ ๖ จะทำให้งง” อืม ถ้าว่าจะสอนเรื่อง โพชฌงค์ ๗ ธรรมดาแล้ว โอเค เป็นวันนี้ เป็นวิชาการหน่อย “ข้อที่ ๖ จะทำให้ตกใจ” “ข้อที่ ๖ จะทำให้งง” ทุกๆอย่างนี้มันเป็นเทคนิค ที่จะกระตุ้นอารมณ์ แต่ถ้าเรามีสติ เรารู้สึกยังไงไหม? เรารู้สึกสติเราก็อ่าน ว่า เอ้อ นี่คือความตื่นเต้น แล้วความตื่นเต้นเกิดขึ้นเพราะอะไร? เพราะศัพท์ที่เขาใช้ เพราะภาพที่เขาใช้ นี่เรามีสติ เป็นที่พึ่ง สิ่งที่เขาพูด จริงหรือไม่จริง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่พอเรารู้ว่า แล้วเหตุผลที่จะต้องอ่านจะต้องฟัง อันนี้อาจจะเป็นเรื่องการพูดคุยในgossip ในนินทาลับหลัง นี่ใช้หลักนี้ได้ด้วยเหมือนกันเลย ว่าเวลาอยากรู้อยากฟัง เพื่ออะไร? เอ แต่สิ่งที่เค้าพูด เค้าว่าจริงนะ เค้าว่าจริงน่ะ หลายคนเค้า... เรื่องจะจริงหรือไม่จริง ฟังเพื่ออะไร? เพราะมันตื่นเต้น ทีนี้ถ้าเรามีสติ รู้เท่าทัน ความรู้สึกตื่นเต้นแล้วก็วางความรู้สึก สติปัญญาเกิดขึ้น.

ความโกรธก็เหมือนกัน ความอยากสร้าง รักษาภาพพจน์ก็เหมือนกัน การ อ่า อยากได้อยากดี พอเราวางอารมณ์ที่เกิดขึ้น เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ จากสิ่งที่มากระตุ้นทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ แล้วสมควรมั้ย? ไม่สมควรมั้ย? เหมาะสมมั้ย? ไม่เหมาะสมมั้ย? เพื่ออะไรมั้ย? สังเกตว่า ความคิดที่ดีๆอย่างนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อเราปล่อยอารมณ์ ปล่อยวางอารมณ์เสียก่อน ไม่งั้นเราก็ตามอารมณ์ ตามกระแสของอารมณ์ ไม่ปลอดภัย.

ความปลอดภัยเกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นในการเลือกสื่อเสมอไป บางทีเราก็พอจะเลือกว่าสื่อนี้ไม่ดี ไม่ควรจะเกี่ยวข้อง อย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ แต่ใน แต่สิ่งที่แม่นกว่า ก็ดูอาการของจิต ถ้ามันเป็นกิเลสอย่างชัดเจน เรื่องความโกรธ ความอิจฉา อะไรเป็นต้นน่ะ อย่าไปตามมันเลย ถ้ามันเป็นความอยากรู้อยากเห็น แล้วมันก็เกิดความตื่นเต้น ก็ให้จิตปกติก่อน พอจึงจะสามารถตั้งคำถามกับตัวเองว่า ดีมั้ย? เป็นกุศลหรือเป็นกุศลล่ะ อะไรเป็นต้น.

ปัญญาจะเป็นอย่างนี้ ปัญญามันจะต้องมีเงื่อนไข จึงจะทำงาน ถ้าเรายังไม่ชำนาญ อย่างหลวงพ่อชาว่าเป็นผู้ที่ชำนาญที่สุด ท่านบอกว่า โจทย์กับเฉลยเกิดพร้อมกันในสมองท่าน พอมีการกระตุ้น ความเหมาะสมความถูกต้องในการนปฏิบัติต่อสิ่งนั้น ปรากฏพร้อมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสิ่งมากระตุ้น นี่ระดับ...ดับผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่ของเราต้องฝึกก่อน สิ่งที่สำคัญก็ต้อง รู้เท่าทัน สิ่งมาทางตาหูจมูกลิ้นกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลที่เกิดจากจิตใจ อย่างเช่นเกิดความโกรธความแค้น ความหวง หรือความอยากได้ภาพพจน์ เกิดความอยากไกด้ อยากรู้ อยากเห็น เพื่อตอบสนองความตื่นเต้น หรือไม่?

ที่สี่นี่ ที่เป็นจุดอ่อนของคนทุกคน จะว่าเป็นกิเลสก็ไม่เชิง คือความเป็นห่วงชีวิต และพสุขภาพตัวเองและชีวิตและสุขภาพของคนที่เรารัก เขารู้ดีอ่ะนะ ถ้าเขาต้องการให้เราทำอะไรหรือพูดอะไร ถ้าเขาสามารถเห็นว่า ไม่ทำแล้วเป็นอันตรายต่อชีวิตอันตรายต่อสุขภาพ อันตรายต่อประเทศชาติ อันตรายต่อคนรอบข้าง ตรงไหนที่เรามีความรักความผูกพัน ถ้าเรารู้สึก เราเชื่อว่าสิ่งนั้นถูกคุกคาม ไม่ปลอดภัย เราก็พร้อมที่จะทำ พร้อมที่จะพูดอะไรเพื่อจะป้องกันอันตราย แต่เรามักจะไม่ค่อยกลั่นกรอง ว่าใช่หรือไม่ใช่ เพราะมันเป็นเรื่องที่ทำให้เราร้อนเลย ใช่มั้ย? โอ ถ้าอย่างนี้มันเป็นอันตราย กับลูกหลานเรา ต้องรีบทำนะ รีบแก้ ไม่ต้องคิดมากหรอก  เนี่ยะ ที่ว่าไม่ต้องคิดมากนี่แหละ จุดอันตราย.

ดังนั้น เมื่อมีสิ่งที่เรารู้สึกถูกคุกคาม เราถูกคุกคาม ครอบครัวถูกคุกคาม ศาสนาถูกคุกคาม ประเทศชาติถูกคุกคาม ไรพวกนี้ ความรู้สึกอย่างนี้ ความวิตกกังวล ความกลัวเกิดขึ้น ให้รู้ว่า นี้คือความกังวล นี้คือความกลัว รู้เท่าทัน เราก็รู้เท่าทันแล้ว วางให้จิตปกติ ดูชั่งน้ำหนักว่า สมควรจะกลัวมั้ย? เป็นการคุกคามจริงมั้ย? มากน้อยปแค่ไหน? เราก็ไม่หลงงมงาย เพียงเพราะอารมณ์ที่เกิดขึ้น หนึ่งรุนแรง สองเชื่อว่า สิ่งที่ดีสิ่งที่เราเป็นห่วง ชีวิตของเราและคนรอบข้าง ฉะนั้นเมื่อเป็นจุดอ่อน เป็น อ่า เราต้องรู้จักป้องกัน รู้จักป้องกันยังไง? รู้จักป้องกันด้วยการฝึกจิต ให้รู้เท่าทัน สิ่งที่เค้าพูด สิ่งที่เราได้อ่าน สิ่งที่เราดู สิ่งที่ฟังน่ะ ทำให้รู้สึกกลัว ตรงนี้น่ะ เราก็รู้ความกลัว แล้วก็ค่อยกลั่นกรอง และปล่อย อย่างที่ไอ้ที่ผ่านมา ในช่วงเรื่องโควิด เรื่องวัคซีน เรื่องอะไร อู๊ ใช่มั้ย? ทุกทุกอย่าง ถ้าฉีดวั้คซีนจะเป็นยังงั้นๆ ถ้าไม่ฉีดวัคซีนจะเป็นยังงั้นๆ เราก็วิตกกังวล แล้วก็กลัวกันเป็นแถว.

ขอให้พูดซะว่า ไอ้การทำอย่างนี้มัน มันไม่ใช่ว่าจะพิสูจน์ได้โดยเหตุผล แต่ก็ต้องฝึกจิตให้อยู่ใน ในภาวะจิตมีความเป็นกลาง พอที่จะชั่งน้ำหนัก พอที่จะวิเคราะห์ เหตุผลได้ดี ถ้าหากว่าเค้า การสร้างข้อมูลทาง สร้างอะไรที่เป็น เอ่อ ที่ไม่จริง เค้าทำได้เก่งพอ ก็ไม่ใช่ว่าเราจะ ป้องกันตัวได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่าวงน้อยเราก็ทำให้จิตอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด สำหรับที่จะ อ่า รับมือกับปัญหาอันนี้ เรื่องหนึ่ง คือการบอกว่า พวกเราถูกรังแก เนี่ยะ ความรู้สึกว่าโดนรังแกพวกเราโดนรังแกนะ อันนี้ ในทางการเมืองเค้าจะใช้เรื่องนี้มากว่า พวกเรานี้ไม่มีใครรัก ทุกคนเอารัดเอาเปรียบ ทุกคนกำลังรังแกเรา  ถ้าเรารู้สึกว่าเราถูกรังแกนะ ก็เป็นพลังนะ แล้วก็ถ้าอย่างนั้น เราก็ต้องร่วมกัน สามัคคีกันสู้นะ แต่ว่ามันเป็นจริงรึเปล่า?

อย่างเช่นที่อเมริกานะ นี่อาจจะไม่เชื่อว่า ตอนนี้ก็มีกระแสหนึ่งที่ว่า คนผิวขาวถูกรังแก คนผิวขาวถูกเอาเปรียบมาก จำนวสนคนผิวไม่ขาวเพิ่มขึ้นทุกปี คนผิวขาวกำลังอยู่ในสภาพที่เป็นเหยื่อของคนชาติอื่น นี้ก็ทำให้คนผิวขาวโกรธมาก แล้วก็สู้ สู้เพื่อคนผิวขาว ซึ่งแต่ก่อนนี้ถ้าหากว่า racistเนี่ยะก็ถือว่าเป็นการว่า รุนแรง ไม่ค่อยมีใครกล้าว่า แต่ตอนนี้ก็เริ่มจะเป็นที่นิยมอีกแล้ว เพราะอะไร? เพราะโอเค เพราะคนผิวขาวนี้ถูกคุกคาม อันนี้เป็นกระแสที่สร้างขึ้นมาออนไลน์ นี่ท เป็น ที่ทำให้เกิดเป็นปัญหาในสังคม

ดังนั้นในเมื่อเราอ่านอะไร หรือส่งไอ้ที่...พยายามสร้างความสงสาร สงสารเรา สงสารเขา อย่าไปคิดว่า อู๊ สงสารเป็นสิ่งที่ดี  คนเมตตาสงสารนั่นน่ะดี  คนพุทธนั่นน่ะต้องเมตตา แล้วเลยต้องสงสาร แต่ในพุทธองค์สอนว่า ในทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีปัญญากำกับ เมตตากรุณา เป็นความงดงามของผู้มีปัญญา เป็นจุดอ่อนของคนไม่มีปัญญา และเป็นจุดอ่อนที่คนอื่นสามารถใช้เพื่อเป็นเครื่องมือ เพื่อต้องการให้เราทำอะไรที่สร้างผลประโยชน์กับเขา ถ้าเรารักความดีอย่างมีปัญญา สุดยอด แต่ถ้ารักความดีแบบงมงาย ไม่รู้ว่าความดีคืออะไร อันตราย ถ้าเราถือว่าเป็นพุทธ ถือว่าเป็นคนดีแล้ว ต้องเมตตา ต้องสงสาร ถ้าเข้าใจความหมายของเมตตากรุณา มีปัญญากำกับ ดี ไม่มีปัญญากำกับ อันตราย เพราะฉะนั้นเป็นอย่างนี้ เราจึงเห็นว่าทำไมพุทธองค์ถึงย้ำ ถึงเน้นเหลือเกินเรื่องปัญญา ดเพราะทุกสิ่งทุกอย่างดีแค่ไหน ชาดปัญญา กลายเป็นสิ่งที่ไม่ดีได้.

ข้อที่หก นี่เก่าแก่ที่สุด เรื่องความอยากได้ ที่จะได้ ได้กำไร กำไรมาก ได้กำไรเร็ว ได้กำไรง่าย ๓...๓ อะไรที่ เกี่ยวกับเงินและทองน่ะ ๓ ข้อนี้จำไว้ แม่น ระวังที่สุด คำว่า มาก เร็ว ง่าย ๓ ข้อนี้เห็นเมื่อไหร่ หยุด เนี่ยะเค้ารู้ว่าเวลาคนอยากได้ หู อยากได้เร็ว โอ้ อยากได้ง่าย อยากได้เยอะ เนี่ยะ ระวัง เพราะฉะนั้น เราต้องรู้ว่า เวลาเราเกิดตัณหา ความอยากได้ ความรู้สึกที่ว่า อยากได้ มันเป็นยังไง แล้วรู้เท่าทันมั้ย? แล้วมันเริ่มเกิด แล้วก็รู้ตัวว่านี่คือกิเลสนะ หรือเราตามมันเลย ทีนี้สติ ฝึกสติให้รู้ ฝึกสติให้เห็น เมื่อเช้าตอนอบรมสมาธิ บอกว่า เนี่ยะเป็นการฝึกจิตเบื้องต้น เป็นโอกาสที่ดี ที่เราจะมารู้จัก กับสิ่งที่ไม่สงบ พอเรารู้จักเนี่ยะ เราเห็นบ่อยๆ แล้ว มันก็เริ่มเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เราจะไว เพราะคุ้นเคย นี่เจอในการทำสมาธิทุกวัน แน่ะ เอ่อ ระวังนะ ระวังนะ อย่าไปทำตาม.

เพราะฉะนั้น ความโกรธก็ทำให้เราโง่ ความอยากได้ก็ทำให้เราโง่ เราต้องระวัง ในเรื่องการเสี่ยง จะประเมินความเสี่ยงได้ยังไง? เราต้องจิตเป็นกลางนะ ถ้าจิตมีตัณหานี้ ประเมินความเสี่ยงของการลงทุน ของการทำอะไร มันไว้ใจตัวเองไม่ได้หรอก อันนี้เรามีตัวอย่างเยอะแยะไปหมด นอกจากอยากได้ที่เป็นกามตัณหา เราก็มีภวตัณหา -ภวตัณหาในโลกออนไลน์คือ ต้องการlike ต้องการclick ต้องการshare อันเนี้ยะ นี่ก็คือสิ่งที่อยากได้ เพราะเป็นเรื่องของตัณหา ซึ่งก็มีผลต่อพฤติกรรม คือการแสดงออก ฉะนั้นเราต้องรู้เท่า รู้ทัน หลายนี่อาตมาจำทุกข้อไม่ได้ เวลามันจะจบอยู่แล้ว เราจะมีความรู้สึก ไอ้ อีกอันหนึ่ง ที่ต้องระวัง คือนอกจากว่า เค้าอยากจะให้รับความคิด ให้เราทำแล้วพูดอะไรตามความต้องการ หรือเชื่อตามความต้องการ เค้าจะต้องพยายามทำลายความเชื่อ ที่เรามีเดิม เพราะจะได้รับความเชื่อของเขา เพราะฉะนั้น หลังๆนี้ในโลกออนไลน์จะมีความพยายามทำลายความเชื่อมั่นของเรา อย่างเช่นในสถาบันต่างๆ ทำให้เราไม่มั่นใจเลย อันนี้ก็ไม่ใช่แบบ อ่า ความสำนึกในความไม่แน่ไม่นอน แต่ก็ทำให้ เอ่อ ความตัดสินไขว้เขวไป.

ยกตัวอย่าง ฉันทามติของนักวิทยาศาสตร์เรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม ในนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก ที่ถือว่ามีปัญหามาก มีปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะพฤติกรรมของมนุษย์ เก้าสิบเก้าในร้อย อย่างน้อย ทีนี้มันมีฝ่ายหนึ่งอย่างเช่น บริษัทน้ำมัน เป็นต้น ที่พยายามสร้างภาพว่า ที่จริงแล้ว มันเป็นความคิดเห็น แต่ละคนก็มีความคิดเห็น นักวิทยาศาสตร์บางคนก็เห็นว่าเป็นปัญหาเพราะมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์บางคนบอกว่าไม่ใช่ ใครจะรู้ความจริงได้? นี้ก็คือวิธีการเค้า ซึ่งเค้าสนับสนุนให้เงิน ให้ทุน สัมภาษณ์ ทำข่าว นักวิทยาศาสตร์หนึ่งในร้อย ที่ไม่เห็นด้วย พูดเป็นข่าว พูดแล้วเอามาเป็นข่าว เอ้อ ชื่อนี้เคยได้ยิน มันจะ เราจะรู้สึกว่า เอ้อ นี่ฝ่าย ฝ่ายที่ว่าไม่ใช่ก็เยอะเหมือนกัน ที่จริงมันไม่ มันเป็นการ เป็นกลยุทธของพวกที่ต้องการให้เรา เปลี่ยนความคิด ความเชื่อของเรา ซึ่งเราต้องระมัดระวัง เรื่องการอ้างชื่อ ผู้มีชื่อเสียง หรือนักวิชาการต่างๆ ว่า เรื่องนี้เราก็ใช้ตำของหลวงพ่อชาว่า ไม่แน่ แต่เมื่อมันไม่แน่ มันมีหลายชั้นนะ แล้วมาเรื่องนี้จริงหรือไม่จริง ไม่แน่ แต่ค้นคว้าต่อไม่ค้นพบ ที่อาตมาค้นพบว่ามีฉันทามติอย่างน้อยเก้าสิบเก้าต่อหนึ่งในเรื่องนี้.

ทีนี้วันนี้อาตมาก็ได้ ได้ อ่า พยายามจะพูดให้เห็นความสำคัญ ของการฝึกจิต เรียกว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เรียกว่าเป็นเรื่องทางศาสนาแล้วคนหลายคนยังไม่เข้าใจ หรือไม่เห็นความสำคัญ ของการฝึกตนในทางพุทธศาสนา แต่ในโลกปัจจุบันซึ่งมีสิ่งให้ชวนใหโกรธ ชวนให้กังวล ชวนให้ทุกข์หลายประการ เต็มไปเลยนะ ถ้าเราจะหาคำตอบ หรือจะหาวิธีป้องกันตัวเอง หาความสุขด้านนอกอย่างเดียว ไม่สำเร็จ แต่ถ้าเมื่อกลับมากับสิ่งที่เรารู้ได้จริง เป็นประสบการณ์ตรงว่า สิ่งที่พุทธองค์ว่า สัน...ทิฏฐธรรม สันทิฏฐิโก ว่าจิตมันโลภมั้ย? หรือไม่โลภมั้ย? โกรธมั้ย? หรือไม่โกรธมั้ย? หลงมั้ย? หรือไม่หลงมั้ย? อันนี้เป็นสิ่งที่เรารู้ได้ ถ้าโลกนี่ โลภเพราะอะไร? โกรธดเพราะอะไร? หลงเพราะอะไร? วิตกกังวลเพราะอะไร? กลัวเพราะอะไร? เกลียดเพราะอะไร? เราก็ต้องวิเคราะห์ดู.

และถ้าเราจะดูภายในแ ดูจนเป็นจนเห็น ต้องรู้เลยใน real time ในขณะที่ไม่ใช่หลังจากโลภไปแล้วว โกรธไปแล้ว หลงวไปแล้ว ในขณะที่มีสิ่งที่กำลังชวน หรือกระตุ้นให้เราโลภเราโกรธเราหลง ระวังอยู่ตรงนั้นน่ะ นี้ว่าดีที่สุดอยู่ใน เอ่อ ยังมีวิธีจัดการที่ชัดเจน ได้ผลกับสิ่งรอบตัวที่สลับซับซ้อน ดูไม่ออก.

วันนี้ก็ได้แสดงธรรมมาพอสมควรแก่เวลา.

อัน ทะมายัง ธัมมะกะถยะา สาธุ คะรังมาเส ...สาธุ.

https://www.youtube.com/live/5544YaR7eJo?si=psqAy1claCFKE976

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น