อะริสโตเติล - ทำไมสังคมมักจะสร้างผู้โง่เง่าขึ้นมามีอำนาจเสมอ
Why Society Will Always Create Idiots in Power?-
Aristotle
https://youtu.be/m8ESKdSsNzk?si=V--2yFG_5nX3KHdS
คุณได้เห็นมันมาก่อน.
วิศกวกรเงียบๆผู้คลี่คลายแก้ไขปัญหายากที่สุดได้แต่เฝ้ามองดูสหายร่วมงานเสียงดังไร้งานการใดปรากฏได้รับการสนับสนุนเลื่อนตำแหน่งเป็นอันดับแรก.
นักการเมืองผู้ที่แทบไม่สามารถเรียบเรียงประโยคให้ถูกต้องสมบูรณ์ใดในบางครั้งก็ชนะการเลือกตั้งหลายล้านคะแนนเสียง.
บุคคลผู้หนึ่งในกลุ่มเพื่อนของคุณผู้พูดคุยมากที่สุดแต่รู้น้อยที่สุดก็จบลงด้วยการเป็นผู้นำของทุกคนอื่น.
และทุกครั้งคุณสงสัยใจในสิ่งเหมือนกันนี้. ทำไมสิ่งเหล่านี้คอยแต่จะบังเกิดขึ้น? ทำไมผู้คนที่มีความสามารถมากที่สุดช่างบ่อยครั้งอยู่แต่ในเงามืดทั้งหลาย
ในขณะที่เหล่าผู้ที่ดูเหมือนจะคุณสมบัติไม่ผ่านกลับขึ้นมาสู่ยอดบน? นี่ระบบได้พังพินาศไปแล้วหรือว่ามันมันกำลังทำงานตรงตามที่ได้ถูกออกแบบมา?
(You Have seen it before. The
quiet engineer who solves the hardest problems watches his loud clueless
colleague get promoted first. The politician who can barely form a coherent sentence
somehow wins millions of votes. The person in your friend group who talks the
most but knows the least ends up leading everyone else. And every time you
wonder the same thing. Why does this keep happening? Why do the most capable
people so often stay in the shadows while those who seem unqualified rise to
the top? Is the system broken or is it working exactly as designed?)
ส่วนใหญ่ตลิดมาในชีวิตของคุณ,
คุณได้ถูกสอนให้เชื่อในบางอย่างที่ปลอบประโลมใจ. ว่าสังคมให้รางวัลผูเคนที่มีความปราดเปรื่องของผู้ฉลาดเท่ที่สุดมีความสามารถที่สุดอย่างตามธรรมชาติขึ้นไปสู่ตำแหน่งของอำนาจ.
ว่าเขาเหล่านั้นที่ยอดบนสมควรได้รับตำแหน่งแห่งหนของพวกเขาเพราะพวกเขาสมควรไกด้รับมัน.
มันรู้สึกปลอดภัยที่จะเชื่อเช่นนั้น. มันทำให้คุณคิดว่าใครบางคนที่ฉลาดกว่ากำลังบังคับพวงมาลัยเรือนี้อยู่.
บางคนผู้ที่รู้ว่าเราจะต้องมุ่งหน้าไปที่ไหน. บางคนที่มีความเชื่อมั่นเพียงพอได้ที่จะนำเรายังที่นั่น.
แต่อะริสโตเติ้ลจะบอกคุณว่าความเชื่อเช่นนั้นคือมายาภาพ. (For most of your life, you were
taught to believe something comforting. That society rewards talent that the
smartest most capable people naturally rise to positions of power. That those
at the top earn their place because they deserve it. It feels safe to believe
that. It makes you think someone wiser is steering the ship. Someone who knows
where we are headed. Someone confident enough to lead us there. But Aristotle1 would tell you
this belief is an illusion.)
2,000 ปีล่วงมาแล้ว, เขาได้เตือนเราเกี่ยวกับบางอย่างที่ผู้คนส่วนมากยังคงไม่สามารถมองเห็นได้มาจนทุกวันนี้.
เขาได้มองว่าสังคมเกือบที่ไม่เคยวางสิ่งที่ดีที่สุดของมันไว้ที่ยอดบนเลย
และเข้าได้ค้นพบว่าทำไม. มองดูรอบตัวคุณในธุรกิจ, ในการเมือง,
ในกระทั่งชุมชนของคุณเอง. มีผู้นำกี่รายในวันนี้ที่สร้างแรงบันดาลใจให้เชื่อมั่นได้อย่างแท้จริง?
มากมายกี่รายที่ดูเหกมือนให้ความเชื่อมั่นเพียงพอที่จะให้นำทางชีวิตอีกหลายล้านคน?
และมากมายกี่รายที่ดูเหมืแอนนักแสดงทั้งหลายบนเวทีมากยิ่งไปกว่าสถาปนิกทั้งหลายของอนาคต. (2,000 years ago, he warned us
about something most people still cannot see today. He saw that society almost
never puts its best at the top and he discovered why. Look around you in
business, in politics, in your own community. How many leaders today truly
inspire confidence? How many seem confident enough to guide millions of lives? And
how many look more like performers on a stage than architects of the future?)
นี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ.
มันไม่ใช่ความจลาจล. มันเป็นรูปแบบ, องค์ประกอบที่สร้างสำเร็จติดมาว่าสังคมทั้งหลายของมนุษย์จะรวมตัวกันเป็นองค์ได้อย่างไรด้วยตัวพวกเขาเอง.
อะริสโตเติ้ลยืนอยู่ที่เอเธนส์, สถานกำเนิดของประชาธิปไตย,
และได้เฝ้าดูพลเมืองธรรมดาสามัญเลือกผู้นำของพวกเขา. เขาได้ฟังการโต้วาทีที่ในแองโกรา,
จัตุรัสชุมนุมชนที่ซึ่งเสียงทั้งหลายมาปะทะกันแอละสัญญาทั้งหลายปลิวว่อนไปในอากาศ
ผู้คนคิดว่าพวกเขากำลังเลือกสิ่งที่ดีที่สุด แต่อะริสโตเติเลได้มองเห็นความสัจจริง. (This is not an accident. It is
not chaos. It is a pattern, a built-in feature of how human societies organize
themselves. Aristotle stood in Athens, the birthplace of democracy, and watched
ordinary citizens choose their leaders. He listened to the debates in the agora2, the crowed
square where voices crashed and promises filed the air people thought they were
choosing the best but Aristotle saw the truth.)
2 https://en.wikipedia.org/wiki/Agora
* Agora (อาโกรา)
ในภาษากรีกโบราณหมายถึง พื้นที่สาธารณะกลาง ในนครรัฐกรีกโบราณ ซึ่งเป็นทั้ง ตลาด และ ศูนย์รวมการชุมนุม ทางสังคม
การเมือง ศิลปะ และธุรกิจ. คำนี้มีความหมายว่า "สถานที่รวมตัว" และเป็นหัวใจหลักของชีวิตในเมืองสมัยกรีกโบราณ โดยมีอาโกราแห่งเอเธนส์เป็นตัวอย่างที่รู้จักกันดีที่สุด.
ผู้คนไม่ไกดกำลังเลือกความฉลาด,
ปัญญา หรือศีลธรรม. พวกเขากำลังเลือกความคุ้นเคย พวกเขากำลังเลือกผู้ที่ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัย.
แม้ว่าเมื่อเหล่าผู้นำนั้นได้ขาดความสามารถรอบรู้ที่จะนำทางพวกเขาไปข้างหน้า และความเข้าใจทัศนะนั้นได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง.
ถ้าสังคมให้รางวัลอุ่นใจอยู่เหนือความสามารถ, ถ้ามันยกระดับเหล่าผู้แสดงบทบาทอย่างต่อเนื่อง,
แล้วเราก็อาจจะได้เข้าใจผิดในอะไรคืออำนาจที่เป็นจริง. (People were not selecting brilliance,
wisdom or virtue. They were selecting familiarity they were choosing those who
made them feel safe. Even when those leaders lacked the competence to guide
them forward and that insight changes everything. If society rewards comfort over
competence, if it consistently elevates those who play the role rather than
those who have the substance, then we maybe we have misunderstood what power
really is.)
เพราะสำหรับอะริสโตเติ้ลแล้ว,
อำนาจไม่เคยได้เกี่ยวกับการสิ่งที่ดีที่สุดไว้ยอดบน. มันคือเกี่ยวกับว่าการรักษาระบบให้มีชีวิตอยู่.
อะริสโตเติ้ลไม่ได้ศึกษาแค่การเมือง. เขาได้ศึกษาผู้คน. และจากการสังเกตผู้คน,
เขาได้เข้าใจถึงสังคม. ในเอเธนส์, สถานที่เกิดชองประชาธิปไตย, พลเมืองมารวมตัวกันที่จะเลือกผู้นำทั้งหลายของเขา.
พวกเขาได้โต้วาทีกันในจัตุรัสชุมนุมทั้งหลาย, โต้เถียงประชุมทั้งหลายกันยาวนาน,
และลงคะแนนเสียงของพวกเขาโดยเชื่อว่าพวกเขาได้กำลังจัดแต่งรูปทรงอนาคต. มันคือความคิดเชิงปฏิวัติ.
(Because for Aristotle,
power was never about putting the best at the top. It was about keeping the
system alive. Aristotle did not just study politics. He studied people. And
from observing people, he understood society. In Athens, the birthplace of
democracy, citizen gathered to choose their leaders. They debated in crowded squares,
argued in long assemblies, and cast their votes believing they were shaping the
future. It was a revolutionary idea.)
เป็นครั้งปแรกในประวัติศาสตร์, ผู้คนสามัญได้มีอำนาจที่จะตัดสินใจว่าใครได้เป็นผู้ปกครองของพวกเขา
แต่อะริสโตเติ้ลได้เฝ้าดูการทดลองตอนเริ่มต้นเหล่านี้ด้วยดวงตาอันมีศักยภาพแหลมคม,
และอะไรที่เขาเห็นได้รบกวนเขา. ชายผู้ที่ได้ถูกเลือกให้เป็นผู้นำนั้นแทบจะหาเรียกว่าความชาญฉลาดไม่ได้เลย.
พวกเขาแทบจะหาความสามารถไม่ได้เลยมากที่สุดและเกือบไม่มีวิสัยทัศน์มากที่สุดด้วย. อะริสโตเติ้ลถามตัวเขาเองว่าทำไม,
ทำไมผู้คนจะไม่เลือกที่ดีที่สุดในหมู่พวกเขาขึ้นมาเป็นผู้นำ? ทำไมพวกเขาจะแทนที่อนาคตร่วมกันของพวกเขาไปในมือของใครบางคนที่มีคุณสมบัติผ่านน้อยกว่าผู้อื่น?
(For the first time in
history, ordinary people had the power to decide who ruled them. But Aristotle
watched these early experiments with sharp, patent eyes, and what he saw
disturbed him. The men chosen to lead were rarely the most brilliant. They were
rarely the most capable and almost never the most visionary. Aristotle asked
himself why, why would people not want the best among them to lead? Why would
they place their collective future in the hands of someone less qualified?)
คำตอบที่เขาได้ค้นพบเป็นที่น่าตื่นตระหนกยิ่ง. สังคมไม่ได้เลือกผู้นำที่จะทำความยอดเยี่ยมล้ำเลิศสุดขีด
สังคมเลือกผู้นำที่จะหลีกเลี่ยงการพังพาบลง. การจะอธิบายในเรื้องนี้, อะริสโตเติ้ลได้เสนอคำอุปมาที่ยืนยงมายาวนานอันหนึ่ง.
เขามองว่าสังคมเป็นร่างกายชีวิตหนึ่ง. ทุกส่วนของร่างกายก็มีบทบาทหน้าที่ของตนอั้นหน่ง.
บางส่วนคิดเหมือนเช่นสมอง. บางกระทำเหมือนเช่นมือ. ส่วนอื่นทำการปกป้องการหล่อเลี้ยงและดำรงชีวิต
แต่หัวใจนั้นมีเป้าประสงค์แตกต่างอย่างหนึ่ง. งานของมันก็คือไม่ประดิษฐ์หรือหาเหตุผลใด.
งานของมันคือธำรงไว้ซึ่งจังหวะที่คอยรักษาชีวอินทรีย์ทั้งปวงให้มีชีวิต. (The answer he discovered was
unsettling. Society does not choose leaders to maximize excellence Society
chooses leaders to avoid collapse. To explain this, Aristotle offered one of his
most enduring metaphors. He saw society as a living body. Every part of that body
has a role. Some parts think like the brain. Some act like the hands. Others
protect nourish and sustain life but the heart has a different purpose. Its job
is not to invent or to reason. Its job is to maintain the rhythm that keeps the
entire organism alive.)
สำหรับอะริสโตเติ้ลแล้ว, ผู้นำทั้งหลายไม่ได้ถูกหมายความว่าคือสมอง.
พวกเขาถูกหมายความว่าคือหัวใจ. บทบาทของพวกเขาไม่ใช่เป็นผู้ชาญฉลาดที่สุดในห้อง.
บทบาทของพวกเชาคือยึดกุมเอาทุกคนให้อยู่ในห้องด้วยกัน. และนี้คือที่ซึ่งการออกแบบนั้นกลายเป็นที่ชัดเจนว่า
ผู้นำที่ล้ำเลิศนั้นคือผู้ที่มองไกลไปข้างหน้าเกินไปนั้น บ่อยครั้งดึงเอาสังคมแยกขาดออกจากกัน
ความคิดทั้งหลายของพวกเขาเป็นที่ข่มขู่คุกคามคุณค่าที่สถาปนาไว้แล้ว. วิสัยทัศน์ของพวกเขาสร้างความหวาดกลัวต่อเหล่าผู้ที่ไม่สามารถตามได้ทัน.
และเช่นนั้นเองที่ไม่ช้าก็เร็ว, ระบบนั้นก็จะปฏิเสธพวกเขา. (For Aristotle, leaders are not
meant to be the brain. They are meant to be the heart. Their role is not to be
the smartest person in the room. Their role is to hold the room together. And
this is where the design becomes clear a brilliant leader who sees too far
ahead often pulls society apart their ideas threaten established values. Their
vision frightens those who cannot keep up. And so sooner or later, the system
rejects them.)
สังคม, อะริสโตเติ้ลได้โต้แย้งว่ามีสัญชาตญาณประเภทอนุรักษ์-ตนเอง
มันจะไม่ตามใครบางคนผู้ที่เคลื่อนที่เร็วไปนัก. มันจะไม่ไว้วางใจใครบางคนผู้ที่คิดแตกต่างออกไปจนเกินไปนัก.
แทนที่การนั้น, มันจะยกหนุนบุคคลผู้ที่รู้สึกว่าปลอดภัย,
ผู้ที่สะท้อนถึงอัตลักษณ์ของฝูงชนกลับมายังพวกเขา.
ผู้ที่ให้สัญญาว่าจะไม่เขย่าสั่นคลอนฐานรากทั้งหลายแรงเกินไปนัก. นั่นคือทำไมอะริสโตเติ้ลได้เชื่อว่ารัฐบาลที่ดีที่สุดจะไม่ช่สิ่งที่ดำเนินการบริหารโดยปัจเจกชนทั้งหลายที่ชาญฉลาดที่สุด,
แต่โดยผู้ที่คือผู้นำทั้งหลายที่เข้ากันได้ในบุคลิก, ความหวาดกลัว,
และความอยากทั้งหลายของผู้คน. (Society, Aristotle argued has a
kind of instinct for self-preservation it will not follow someone who moves too
fast. It will not trust someone who thinks too differently. Instead, it
elevates the person who feels safe, the one who reflects the crowd’s identity
back to them. The one who promises not to shake the foundations too hard. That
is why Aristotle believed the best government was not the one run by the
smartest individuals, but the one whose leaders matched the character, fears, and
desires of its people.)
“ระบอบการปกครองที่ดีสุดก็คืออันที่ลงตัวเข้ากับผู้คนของมัน.”
และนี้คือปรัชญาโบราณ. มันเป็นตรรกะเดียวกันที่คุณมองเห็นได้ในทุกวันนี้
ในบริษัททั้งหลายที่ผู้จัดคล้ายเหมือนกันได้ถูกเลือกขึ้นมาเหนือวิศวกรผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล.
ในทางการเมืองที่ผู้พูดที่มีเสน่ห์ก็ชนะเหนือผู้เชี่ยวชาญนโยบาย. แม้กระทั่งในชุมชนเล็กๆทั้งหลายที่ซึ่งเสียงที่ดังที่สุดกลายเป็นผู้นำ
ไม่ใช่ผู้ที่ฉลาดที่สุด. นี้ไม่ใช่ความล้มเหกลวผิดพลาด. นี้คืออย่างไรที่ระบบได้ถูกออกแบบมาเพื่อความอยู่รอด.
อะริสโตเติ้ลมองเห็นมันได้กระจ่างชัด. อำนาจไม่ได้แสวงหาความฉลาดล้ำเลิศ.
มันแสวงหาความสมดุล. มันแสวงหาความมั่นคง/เสถียรภาพ. มันแสวงหาใครบางคนผู้สามารถกุมยึดชีวอินทรีย์/อวัยวะทั้งหลายเข้าไว้ด้วยกันได้
แม้ว่าบุคคลนั้นจะไม่ได้มีความสามารถเชี่ยวชาญที่สุด. (“The best
regime is the one that fits its people.” And this is not just ancient
philosophy. It is the same logic you see today in companies where the likeable
manager is chosen over the visionary engineer. In politics where the charismatic
speaker wins over the policy expert. Even in small communities where the
loudest voice becomes the leader not the wisest one. This is not failure. This
is how the system was designed to survive. Aristotle saw it clearly. Power does
not seek brilliance. It seeks balance. It seeks stability. It seeks someone who
can hold the organism together even if that person is not the most competent.)
และเมื่อใดที่คุณเข้าใจการแออกแบบนี้, คุณก็สามารถที่จะไม่มีวันมองความเป้นผู้นำได้ดเช่นเดิมอีกต่อไป.
ถ้าสังคมไม่ได้เลือกผู้นำโดยมีพื้นฐานตั้งอยู่บนความฉลาดล้ำเลิศหรือเก่งกาจสามารถ,
ดังนั้นแล้วหนึ่งคำถามตามธรรมชาติก็จะตามมา. อะไรถึงเกิดขึ้นเช่นนั้นอย่างแท้จริงกับผู้ชาญฉลาดล้ำเลิศ?
พวกเขาไปที่ไหนและทำไมพวกเขาถึงหาได้ยากมาที่จะจลงด้วยการขึ้นไปอยู่ยอดบน? อะริสโตเติ้ลฺเชื่อว่าคำตอบทอดวางอยู่ในธรรมชาติมนุษย์ของตัวมันเอง.
ในหนังสือจริยธรรมนิโคมาเชียนของเขา,
เขาเขียนไว้ว่า สิ่งเรียกร้องสูงสุดของมนุษย์ ไม่ใชอำนาจหรือความมั่งคั่ง
แต่เป็นบางอย่างที่เขาเรียกว่า “ยูไดโมเนีย”, การแสวงหาความดีงามล้ำเลิศของมนุษย์.
และผู้ที่แสวงหาอำนาจ”ยูไดโมเนีย”นั้นบิ่ยครั้งก็จะเป็นสิ่งรบกวนใจ,
ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง. (And
once you understand this design, you can never see leadership the same way
again. If society doesn’t choose its leaders based on brilliance or competence,
then one question naturally follows. What happens to the people who actually
are brilliant? Where do they go and why do they so rarely end up at the top?
Aristotle believed the answer lies in human nature itself. In his Nicomachean
ethnics3,
he wrote that the highest calling of a human being is not power or wealth but
something he called ‘eudaimonia’, the pursuit of human
flourishing4. And for those
who seek ‘eudaimonia’ power is often a distraction, not a destination.)
3 https://en.wikipedia.org/wiki/Nicomachean_Ethics
4 https://en.wikipedia.org/wiki/Flourishing
ลองคิดถึงว่าผู้คนที่มีความสามารถซึ่งคุณรู้จัก, นักวิทยาศาสตร์ผู้หลงใหลการค้นพบ.
วิศวกรผู้แก้ปัญหาที่เป็นไปไม่ได้ทั้งหลาย,
ศิลปินผู้มองเห็นความงดงามที่ผู้คนอื่นมองไม่เห็นอะไร. อะไรที่ขับดันพวกเขาไม่ให้มาควบคุมเหนือผู้อื่นทั้งหลาย
แต่เป็นเพียงเจ้านายของตัวพวกเขาเองทั้งหลาย. อะริสโตเติ้ลเข้าใจในสิ่งนี้.
ความยอดเยี่ยมอย่างแท้จริงอะไรที่เขาเรียกว่า (Think about the most capable people
you know. The scientist obsessed with discovery. The engineer who solves impossible
problems. The artist who sees beauty where are others see nothing. What drives
them is not control over others but mastery over themselves. Aristotle
understood this. The truly excellent what he called the virtuous focus their lived-on
learning creating and improving. They do not spend their days building alliances,
pleasing crowds or manipulating emotions.) การมุ่งเน้นจริยธรรมปละคุณธรรมที่การเรี่ยรู้-สร้างสรรค์และการปรับปรุงแก้ไขคือการใช้ชีวิตของพวกเขา.
พวกเขาไม่ได้ใช้วันเวลาของพวกเขาสร้างพันธมิตรทั้งหลาย,
ไม่ได้คอยเอาใจฝูงชนทั้งหลาย หรือคอยมาบริหารอารมณ์.
เกมเหล่านั้นเป็นของบุคคลประเภทที่แตกต่างไปทั้งสิ้น. และดังนั้น, เมื่อสังคมให้รางวัลแก่ความคุ้นแคยมากกว่าความชาญฉลาด,
ปัจเจกชนผู้มีความสามารถทั้งหลายเหล่านี้ก็ถอยแออกไปด้านข้างอย่างเงียบๆ.
บางรายก็ถอยไปในห้องปฏิบัติทดลองวิจัยค้นคว้าและมหาวิทยาลัยทั้งหลาย.
ผู้อื่นทั้งหลายก็ไปก่อสร้างสิ่งต่างๆที่โลกไม่ได้เข้าใจ.
พวกเขาเลือกที่จะทำงานในตัวมันเองเหนือควสามเป็นปราชญ์ทางการเมือง
แต่มีอีกเหตุผลหนึ่งที่พวกเขาแทบจะหาได้ยากให้ขึ้นนำผู้อื่นอย่างไม่ได้สบายใจนัก. ผู้คนที่ชาญฉลาดที่สุดบ่อยครั้งก็ยากที่สุดที่จะตามทันได้.
(Those games belong to a
different kind of person entirely. And so, when society rewards familiarity
over brilliance, these capable individuals quietly step aside. Some retreat
into research labs and universities. Others build things the world does not yet
understand. They choose the work itself over the sage of politics but there is
another reason they rarely lead one more uncomfortable. The smartest people are
often the hardest to follow.)
อะริสโตเติลได้สังเกตเห็นว่าวิสัยทัศน์ทั้งหลายนั้นโน้มเอียงที่ทุกคนอื่นจะมองเห็นได้.
พวกเขาท้าทายอะไรที่ได้ถูกยอมรับกัน. พวกเขาถามคำถามในกฎกติกาของผู้อื่นที่เห็นว่าเป็นของบยอมรับได้ง่าย
และพวกเขาก็ได้เคลื่อนไปรวดเร็วยิ่งกว่าที่คนส่วนใหญ่ที่สุดจะสามารถตามทันได้. สิ่วเหล่านี้ก่อให้เกิดความขัดแย้งในตัวมันเอง.
คุณสมบัติอย่างยิ่งทั้งหลายที่ทำให้บางคนพิเศษเฉพาะด้วยเช่นกันได้ทำให้พวกเขาคุกคามต่อส่วนรวม
ที่ความคิดของพวกเขาทั้งหลายฟังดูสุดโต่งเกินไป. หนทางคลี่คลายแก้ไขของพวกเขารู้สึกว่าไม่คุ้นเคยมากเกินไป.
ฝูงคนนั้นมองดูที่พวกเขาและคิดว่า, “เขาไม่ใช่พวกเรา.” (Aristotle noticed that visionaries
tend to see possibilities invisible to everyone else. They challenge what is accepted.
They question the rules others take for granted and they move faster than most can
keep up. This creates a paradox5. The very qualities that make someone
extraordinary also make them threatening to the collective their ideas sound
too radical. Their solutions feel too unfamiliar. The crowd looks at them and
thinks, “He is not one of us.”)
5 "this
creates a paradox" แปลว่า "สิ่งนี้สร้าง
ปฏิทรรศน์" หรือ
"สิ่งนี้ก่อให้เกิดความขัดแย้งในตัวเอง" โดย "paradox"
ในภาษาไทยหมายถึง "ปฏิทรรศน์"
ซึ่งเป็นสถานการณ์หรือข้อความที่ดูเหมือนจะขัดแย้งในตัวเอง แต่กลับเผยให้เห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ หรือแสดงให้เห็นถึงข้อบกพร่องของการใช้เหตุผลแบบเดิมๆ
และอย่างเชื่องช้าแต่แน่นอนเหลือเกิน, ผู้พัฒนาอันชาญฉลาดแทบจะหาไม่ได้เลยที่ได้ขึ้นเป็นCEO. ไม่ใช่เพราะเขาขาดทักษะ, แต่เพราะดเขาไม่สามารถหรือว่าจะไม่ได้เล่นในเกมการเมืองอันเป็นที่จำเป็นต้องการที่จะเจริญขึ้น.
เขามุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาทั้งหลาย, ในขณะที่ผู้อื่นมุ่งเน้นไปที่การบริหารจัดกาการรับรู้.
เดาสิว่าใครชนะ. ในทางการเมือง, ผู้แข่งขันที่พูดความสัจจริงแรงกล้าบ่อยครั้งพ่ายแพ้ต่อผู้ที่บอกโกหกอันทำให้สบายใจ.
ฝูงชนชอบมากกว่ากับบุคคลซึ่งสะท้อนความเชื่อทั้งหลายของพวกเขา, ไม่ใช่ผู้ที่ท้าทายประชันขันแข่งขันกับพวกเขา.
แม้กระทั่งในชุมชนขนาดเล็กทั้งหลาย,
บุคลลที่มีความคิดมากที่สุดบ่อยครั้งได้ถูกเมินเฉย ขณะที่เสียงที่ดังที่สุดจัดได้ไปในทิศทางของตน.
(And so slowly but surely, the system filters them out. This happens
everywhere. In companies, the brilliant developer rarely becomes CEO. Not
because she lacks skill, but because she cannot or will not play the political
games needed to rise. She focuses on solving problems, while focus on managing
perceptions. Guess who wins. In politics, the candidate who speaks hard truths
often loses to the one who tells comforting lies. The crowd prefers the person
who reflects their beliefs, not the one who challenges them. Even in small
communities, the most thoughtful person is often ignored while the loudest
voice sets the direction.)
อะริสโตเติ้ลจะพูดว่า, “นี่ไม่ใช่ความสับสนวุ่นวาย.
นี่คือการออกแบบไว้. สังคมปกป้องตัวมันเองโดยการหนุนยกเหล่าผู้ที่เข้ากันได้ลงตัว
และอย่างเงียบๆเคลื่อนย้ายผู้ที่ทำให้สับสนวุ่นวายออกไป.” แต่นี่คือที่บิดผัน.
ไม่ใช่ทั้งหมดของผู้คนชาญฉลาดได้ถูกกำจัดละทิ้ง. บางผู้คนที่ฉลาดล้ำเลิศได้ขึ้นกุมอำนาจ.
ดังนั้น, อะไรที่ทำให้พวกเขาแตกต่างไป? อะริสโตเติ้ลแนะชี้ในเรื่องนี้ในการเมืองของเขา.
ผู้นำทั้งหลายที่ประสบสำเร็จแทบที่จะไม่เป็นนักคิดหรือนักวิสัยทัศน์บริสุทธิ์ล้วน ๆเลย.
(Aristotle would say, “This is not chaos. This is design. Society
protect itself by elevating those who fit and quietly removing those who
disrupt.” But here’s the twist. Not all intelligent people are excluded. Some
brilliant individuals do hold power. So, what makes them different? Aristotle
hinted at this in his politics. The leaders who succeed are rarely the pure
thinkers or visionaries.)
พวกเขาคือผู้ที่สามารถแปลความสลับซับซ้อนเข้าไปสู่ความเรียบง่าย.
พวกเขาเรียนรู้ที่จะพูดภาษาของฝูงชนนั้น. พวกเขารู้ว่าเมื่อไรที่จะดึงรั้งไว้,
เมื่อไรที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัย, และเมื่อไรที่จะซ่อนส่วนปัญญาความฉลาดของพวกตนไว้ที่จะทำให้แปลกแยกต่างถิ่นไปจากคนอื่นๆ.
พูดอีกอย่างอื่นได้ว่า, การจะนำนั้น, กระทั่งผู้ชาญฉลาดที่สุดก็ต้องแสดงอะไรประเภทการกระทำที่จำกัดขอบเขตตนเองไว้ด้วย.
พวกเขาไม่สามารถเป็นตนเองไปหมดทั้งสิ้นได้. พวกเขาต้องกลายเป็นสัญลักษณ์ทั้งหลาย. (They are the ones who can
translate complexity into simplicity. They learn to speak the language of the
crowd. They know when to hold back, when to make people feel safe, and when to
hide the parts of their intelligence that would alienate others. In other words,
to lead, even the smartest must perform a kind of self-limiting act. They
cannot be entirely themselves. They must become symbols.)
และนี่คือความสัจจริงอันเจ็บปวด. ผู้ฉลาดล้ำเลิศมากมายปฏิเสธที่จะทำเช่นนี้.
พวกเขาให้คุณค่าคุณธรรมเหนือกว่าอิทธิพล. พวกเขาอยู่กับความสัจจริงต่องานของพวกเขามากกว่าการน้อมตัวพวกเขาลงให้กับอะไรที่ฝูงชนต้องการให้พวกเขาเป็น. ที่คือทำไมครั้งแล้วครั้งเล่าที่คุณมองเห็นจิตใจพิเศษเฉพาะทั้งหลายถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ในขณะที่การปรับตัวได้บางครั้งสามารถคิดได้รน้อยกว่ากลับได้รับการยกขึ้นสูง. สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าระบบนั้นไม่ยุติธรรมเสมอภาค.
มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นแต่มันได้หมายความว่าระบบนี้ได้คงเส้นคงวาสม่ำเสมอดังเช่นคำโต้แย้งของอะริสโตเติ้ลที่ว่าสังคมเป็นเหมือนร่างกายที่มีชีวิต
ได้ปฏิเสธต่ออะไรที่ดูดซับไม่ได้. (And
here lies a painful truth. Many brilliant people refuse to do this. They value
authenticity over influence. They would rather remain true to their work than
bend themselves into what the crowd wants them to be. Which why again and again
you see extraordinary minds left behind while the adaptable sometimes less
capable sometimes less thoughtful rise. This does not mean the system is fair.
It is not but it does mean the system is consistent Aristotle would argue that
society like a living body reject what it cannot assimilate.)
และผู้คนส่วนใหญ่,
เมื่อได้เผชิญกับใครบางคนที่ไกลหน้าเกินไป, ก็เลือกเอาความสบายอบอุ่นใจมากการการท้าทายประชันขันแข่ง.
พวกเขาเลือกความคุ้นเคยเหนือความพิเศษเฉพาะ. นี้คือทำไมที่คุณได้เห็นมันบังเกิดขึ้
นเป็นพัน ๆ ครั้ง. อัจฉริยะผู้เงียบขรึมได้ถูกมองข้าม, วิสัยทัศน์อันกว้างไกลได้ถูกยกเลิก,
ผู้บอกความสัจจริงถูกให้นิ่งเงียบ, ในขณะที่บางคนซึ่งถูกปากถูกคอมากกว่าได้ขึ้นเวที.
มันรู้สึกผิดเมื่อคุณได้เป็นประจักษ์พยานต่อมัน. มันรู้สึกไม่ยุติธรรมแต่อะริสโตเติ้ลบังคับเราให้มองเห็นอย่างแตกต่างไป.
นี่ไม่ใช่ความผิอดพลาดล้มเหลว. (And
most people, when faced with someone too far ahead, choose comfort over
challenge. They choose the familiar over
the extraordinary. This is why you’ve seen it happen a thousand times. The
quiet genius overlooked, the visionary dismissed, the truth teller silenced,
while someone more palatable takes the stage. It feels wrong when you witness it.
It feels unjust but Aristotle forces us to see differently. This
is not failure.)
นี้คือสิ่งที่ชีวอินทรีย์อยู่รอดชีวิตได้อย่างไร. เพราะสังคม,
เหตุความสำคัญในการอยู่รอดชีวิตทั้งหลายเป็นมากยิ่งกว่าศักยภาพ. เหตุสำคัญทั้งหลายในความสมดุลเป็นมากยิ่งกว่าความฉลาดล้ำเลิศ.
และความปลอดภัยสำหรับผู้คนส่วนใหญ่จะมักมาก่อนความสัจจริง.
เมื่อใดที่คุณมองเห็นรูปแบบนี้, คุณเริ่มต้นที่ตระหนักได้ถึงบางอย่างอื่นอีกด้วย.
มันไม่ได้เป็นแค่ความฉลาดล้ำเลิศที่ถูกกันออกไป. มันเป็นได้ว่ามากมายของพวกเขาเลือกที่จะก้าวหนีไป.
ไม่ได้ออกไปจากความอ่อนแอ, แต่ออกไปจากการปฏิเสธ. การปฏิเสธนั้นที่จะเล่นในเกมหนึ่งที่ได้ถูกออกแบบที่จะให้รางวัลท่วงทีปรากฏอยู่เหนือสาระเนื้อหา
และการเลือกนั้นได้ถูกจัดแต่งรูปร่างโลกที่เราอาศัยอยู่ในทุกวันนี้. (This is how the organism
survives. Because for society, survival matters more than potential. Balance
matters more than brilliance. And safety for most people will always come
before truth. Once you see this pattern, you start to realize something else
too. It is not just that the brilliant is excluded. It is that many of them
choose to step away. Not out of weakness, but out of refusal. Refusal to play a
game designed to reward appearances over substance and that choice has shaped
the world we live in today.)
อะริสโตเติ้ลเข้าใจอะไรบางอย่างที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงดิ้นรนต่อสู้ที่เห็นกันในทุกวันนี้.
ผู้นำทั้งหลายไม่ได้ถูกเลือกเพราะว่าพวกเขาดีที่สุด. พวกเขาถูกเลือกเพราะพวกเขาเหมาะเจาะลงตัว.
และกุญแจที่จะเข้าใจว่าทำไมนอนอยู่ในหนึ่งความสัจจริงเรียบง่าย. สังคมไม่ได้ดำเนินไปตามเหตุผล.
มันดำเนินไปตามอารมณ์รู้สึก. ในการใช้โวหารของเขา, อะริสโตเติ้ลได้อธิบายว่าการชักนำนั้น,
แรงกำลังที่เคลื่อนผู้คนนั้น, มาจากสามธาตุ, คือ logos,
pathos และ ethos. (Aristotle
understood something most people still struggle to see today. Leaders are not chosen
because they are the best. They are chosen because they fit. And the key to
understanding why lies in one simple truth. Society does not run on reason. It
runs on emotion. In his rhetoric Aristotle explained that persuasion, the force
that moves people, come from three elements, logos6, pathos7
and ethos8.)
6 https://en.wikipedia.org/wiki/Logos
7 https://en.wikipedia.org/wiki/Pathos
8 https://en.wikipedia.org/wiki/Ethos
Logos รคือตรรกะ, ระบอบของข้อจริงและเหตุผล.
Pathos คือ อารมณ์, อำนาจของความรู้สึกทั้งหลาย,
Ethos คือ ความน่าเชื่อถือ/จริยธรรม, สัมผัสรู้สึกคือความไว้ใจและความคุ้นเคย.
และขณะที่เราชอบที่จะเชื่อว่าเราเลือกผู้นำทั้งหลายโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของ
ตรรกะ ความจริงก็คืออารมณ์และจริยธรรมเกือบเสมอไปที่ได้ชัยชนะ.
ผู้คนติดตามดเหล่าผูเที่ดูคุ้นเคย, ไม่ใช่เหล่า(เที่ดูเหมือนเป็นคนนอก/ต่างถิ่นหรือไกลข้างหน้าไปเหนือยุคสมัยของพวกเขา.
นี้คือทำไมตลอดประวัติที่ผ่านมา, สังคมทั้งหลายได้เอาแต่ยกผู้คนที่แสดงตนในบทาทของผู้นำหนึ่งขึ้น,
ถึงแม้ว่าเมื่อพวกเขาขาดแคลนความลึกทางปัญญาในการนำอย่างแท้จริง. (Logos is logic, the realm of facts
and reason. Pathos is emotion, the power of feelings. Ethos is credibility, the
sense of trust and familiarity. And while we like to believe we choose leaders
based on Logos, the truth is Pathos and Ethos almost always win. People follow
those who make them feel safe, not those who challenge them to think harder.
They trust those who look familiar, not those who seem alien or far ahead of
their time. This is why throughout history, societies have consistently elevated
people who perform the role of a leader, even when they lack the depth to truly
lead.)
ลองคิดเกี่ยวกับมันสิ. ในบริษัททั้งหลาย, ผู้จัดที่มีไมตรีจิตผู้ไปได้ดีกับทุกคนก็เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปได้รวดเร็วกว่าผู้เชี่ยวชาญที่เก็บตัวเงียบๆผู้ที่ได้แก้ปัญหายากเย็นที่สุดทั้งหลาย.
ในทางการเมือง, ผู้พูดที่มีเสน่ห์ทั้งหลายชนะการเลือกตั้งในขณะที่นักคิดนักสร้างนโยบายทั้งหลายเลือนหายไปในความสับสน.
บนสื่อสาธารณะทั้งหลาย, ผู้มีอิทธิพลทั้งหลายคือผู้ที่ได้ผลิตสร้างความก้าวหน้าทั้งหลาย,
ยังคงเป็นบุคคลที่ไม่มีใครรู้จัก. มันรูสึกน่าหงุดหงิดที่เมื่อคุณมองเห็นมันอย่างใกล้ชิด,
แต่อะริสโตเติ้ลจะโต้แย้งว่า มันเป็นเหตุผลที่อย่างสมบูรณ์แล้ว
ถ้าเป้าหมายของคุณคือืเสถียรภาพ/ความมั่นคง, ไม่ใช่ความฉลาดล้ำเลิศ,
เพราะว่าหน้าที่ใช้งานทั้งหลายของสังคมเป็นเหมือนระบบนิเวศวิทยา,
ฝูงชนไม่ได้ต้องการใครบางคนที่ทำให้พวกเขารู้สึกด้อยกว่า.
พวกเขาต้องการใครบาคนผู้เป็นกระจกเงาถึงอัตลักษณ์ของพวกเขาสะท้อนกลับไปหาพวกเขา.
ใครบางคนผู้ให้ความมั่นใจแก่พวกเขาได้ว่า, “คุณไม่เป็นไรอย่างที่คุณเป็นอยู่นี้.”
(Think about it. In companies,
the friendly manager who gets along with everyone rises faster than the quiet
expert who actually solved the hardest problems. In
politics the charismatic speaker wins the election while the thoughtful
policymaker fades into obscurity. On social media, influencers who master
entertainment reach millions, researchers who produce breakthroughs remain
unknown. It feels irrational when you see it up close, but Aristotle would argue
it is perfectly rational if your goal is stability, not excellence, because
society functions like an ecosystem, the crowd does not want someone who makes
them feel inferior. They want someone who mirrors their identity back to them.
Someone who reassures them, “You are fine as you are. You belong.”)
และนี่คือสิ่งทอดนอนอยู่ตรงข้ามขัดแย้ง.
ยิ่งมีควสามสามารถมากเท่าไหร่ที่คุณเป็น, ก็ยิ่งน้อยลงกับความสัมพันธ์ทั้งหลายที่คุณเป็นบ่อยครั้ง.
ความชาญฉลาดเลิศมากยิ่งเท่าไรของความคิดทั้งหลายของคุณ, ก็มากยิ่งขึ้นในการคุกคามที่คุณปรากฏต่อเหล่าผู้ที่ไม่สามารถเข้าใจพวกมันได้.
แล้ว, เกิดอะไรขึ้นหรือ? ระบบนั้นกรองออกไปซึ่งผู้นอกวงทั้งหลายและยกขึ้นผู้ที่คุ้นเคย.
ไม่ใช่เพราะความคุ้นเคยนั้นดีกว่า, แต่เพราะความคุ้นเคยนั้นปลอดภัยกว่า.
นี่คือทำไมอะริสโตเติ้ลอธิบายถึงประชาธิปไตยทั้งหลาย
และกระทั่งบริษัททั้งหลาย, ครอบครัวทั้งหลาย
และกลุ่มเล็กๆทั้งหลายในฐานที่เป็นชีวอินทรีย์ก็ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด.
เหมือนร่างกายที่ปฏิเสธอวัยวะแปลกปลอม, สังคมก็ปฏิเสธการรับรู้ว่าเป็นเช่นความแตกต่างมากเกินไป.
แม้กระทั่งเมื่อผู้นำเหล่านั้นสามารถนำความก้าวหน้าพิเศษเฉพาะมาให้ได้, นี่คือปรัชญา.
(And here lies the paradox. The more capable you are, the less
relatable you often seem. The more brilliant your ideas, the more threatening
you appear to those who cannot understand them. So, what happens? The system
filters out the outliers and elevates the familiar. Not because the familiar is
better, but because the familiar feels safer. This is why Aristotle described
democracies and even companies, families and small groups as organisms with a
survival instinct. Like body rejecting a foreign organ, society rejects it perceives
as too different. Even when those leaders could bring extraordinary progress this
isn’t philosophy.)
จิตวิทยาสมัยใหม่ได้ยืนยันมัน. มนุษย์ทั้งหลายมัดลวดติดอยู่กับการเป็นของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง.
จากมุมมองวิวัฒนาการ, ชีวิตหนึ่งได้ถูกยอมรับโดยเผ่าพันธุ์ที่ครั้งหนึ่งได้อยู่รอด
การถูกขับไสออกไปหมายถึงการตาย. ดังนั้น, เมื่อผู้คนเลือกผู้นำทั้งหลาย,
พวกเขาไม่ได้เสาะหาผู้แข่งขันที่สามารถรอบรู้. พวกเขาเสาะหาบุคคลผู้ส่งสัญญาณการเป็นของพวกเขาออกมาดังที่สุด.
บุคคลผู้ที่ดูเหมือนหนึ่งในพวกเรา. และบรรดาผู้โง่เง่าทั้งหลายก็อยู่ในอำนาจอย่างที่เราพูดกันในวันนี้.
พวกเขาไม่ได้ทำผิดพลาด. พวกเขาเป็นผลผลิตทั้งหลายของสัญชาตญาณโบราณ. พวกเขารู้ว่าจะเล่นอย่างไรกับฝูงชน.
พวกเขาบอกกับผู้คนในสิ่งที่พวกนั้นอยากได้ยิน,
ไม่ใช่สิ่งพวกนั้นจำเป็นต้องได้ยิน.(Modern psychology has confirmed it. Humans are wired for belonging.
From an evolutionary standpoint being accepted by the tribe once survival being
cast out meant death. So, when people choose leaders, they do not seek the most
competent candidate. They seek the person who signals belonging the loudest.
The person who seems like one of us. And the idiots in power we say today. they
are not mistakes. They are products of this ancient instinct. They know how to
play the crowd. They tell people what they want to hear, not what they need to
hear.)
พวกเขายิ้มแย้ม, แสดงและส่องความเชื่อมั่นแม้ว่าเมื่อพวกเขาขาดไร้ซึ่งความลึกทางปัญญาที่จะเสริมหนุนมันขึ้นมาให้เป็นจริง.
มันเป็นหนทางที่แปลกประหลาด, พวกเขาคือกระจกเงา. พวกเขาสะท้อนกลับซึ่งศีลธรรม,
ความกลัว, และความปรารถนาของผู้คนผู้ที่เลือกพวกเขา.
สิ่งนี้อธิบายถึงว่าทำไมวัฏจักรนี้จึงวนซ้ำไปเรื่อยไม่สิ้นสุด. ทุกครั้งที่ผู้มีความสามารถและวิสัยทัศน์กว้างไกลก้าวออกมาข้างหน้าใครบางคนอื่น,
มีความสัมพันธ์ต่อผู้อื่นมากขึ้น, มีความคล้ายคลึงกับผู้คนมากขึ้น, เป็นที่คุกคามน้อยลง,
ก็ได้รับเอาแสงไฟสาดส่องมาแทน. และสังคมก็คอยเคลื่อนที่ไปในวงเวียนทั้งหลายในความเชื่อว่ามันได้เลือกแล้วอย่างฉลาด
ในขณะที่ ปฏิเสธอย่างเงียบๆกับผู้คนจริงแท้ยิ่งสามารถเคลื่อนมันไปข้างหน้าให้ได้. (They smile, perform and project
confidence even when they lack the depth to back it up. In a strange way, they
are mirrors. They reflect back the values, fears, and desires of the people who
choose them. This explains why the cycle repeats endlessly. Every time a
capable visionary step forward someone else, more relatable, more likable, less
threatening, takes the spotlight instead. And society keeps moving in circles
believing it has chosen wisely while quietly rejecting the very people who
could move it forward.)
ผลที่ตามมาเห็นได้ในทุกที่. มองที่บริษัททั้งหลายที่นวัตกรรมตายไปกับผู้นำที่ปลอดภัยและคาดเดาได้นั้น.
ดูที่รัฐบาลทั้งหลายที่มีชื่อเสียงกับการแก้ไขระยะสั้น, ระยะยาวแบบทรัมป์. มองที่วัฒนธรรมทั้งหลายมีความบันเทิงเริงใจมีน้ำหนักมากกว่าความสัจจริง
เพราะผู้ชมเลือกการหลั่งโดพามีนมากกว่าความไม่สบายใจ. (The
consequences are everywhere. Look at companies where innovation dies under safe,
predictable leadership. Look at governments where short-term popularity trumps
long-term solution. Look at cultures where entertainment outweighs truth
because audiences chose dopamine9 over discomfort.)
9 Dopamine แปลว่า
โดพามีน
ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทและฮอร์โมนที่สร้างขึ้นตามธรรมชาติในสมอง มีบทบาทสำคัญในหลายหน้าที่ เช่น ความจำ, การเคลื่อนไหว,
แรงจูงใจ, อารมณ์ และสมาธิ
โดพามีนมักถูกเรียกว่าเป็น “สารแห่งความสุข”
เนื่องจากจะหลั่งออกมาเมื่อเราได้รับรางวัลหรือประสบความสำเร็จ ทำให้เรารู้สึกดีและอยากทำสิ่งนั้นซ้ำอีก
และกระนั้นอะริสโตเติ้ลก็ยังจะเตือนจำให้เราว่านี้ไม่ใช่ความผิดพลาดของระบบ.
นี้คือระบบ. เพราะว่าเมื่แอการรอดชีวิตคือเป้าหมาย,
ความสะดวกสบายเอาชนะความฉลาดเก่งสามารถในทุกครั้ง. ความคุ้นเคยเอาชนะความก้าวหน้า.
ความมั่นคงเอาชนะความเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์. ดังนั้น, เมือ่คุณได้มองเห็นผู้โง่เง่าอยู่ในอำนาจ,
ใครบางคนผู้ดูดเหมือนไม่ผ่านคุณสมบัติ กระนั้นด้วยอย่างไรก็ตามกลับนั่งอยู่ที่ยอดบน,
คุณไม่ได้กำลังมองดูคก้าวหน้าที่พังทลาย. คุณกำลังมองดูการทำหน้าที่ประโยชน์อย่างสมบูรณ์อันหนึ่ง.
สังคมก็เหมือนร่างกายมีชีวิตอันหนึ่ง, เลือกอะไรที่จะรักษามันให้มีชีวิตในวันนี้.
แม้กระทั่งว่ามันต้องจ่ายด้วยศักยภาพของวันพรุ่งนี้. นั่นคือทำใมญาณทัศนะของอะริสโตเติ้ลยังคงรู้สึกให้กังวลได้อยู่ภายหลัง
2,000 ปีมาแล้ว. มันบีบบังคับเราให้ต้องเผชิญหน้าต่อความสัจจริงอันหนักหนา. (And
yet Aristotle would remind us this is not a flaw in the system. This is the
system. Because when survival is the goal, comfort beats brilliance every time.
Familiarity beats progress. Stability beats transformation. So, when you see an
idiot in power, someone who seems unqualified yet somehow sits at the top, you
are not looking at a broken progress. You are looking at a perfectly
functioning one. Society like any living body, chooses what keeps it alive
today. Even if it costs potential tomorrow. That is why Aristotle’s insight
still feels unsettling after 2,000 years. It forced us to confront a hard
truth.)
อำนาจไม่เกี่ยวกับความฉลาดล้ำ.
ผู้นำทั้งหลายที่เราได้นี้ไม่ดีที่สุดในหมู่พวกเรา.
พวกเขาเป่นผู้ที่ประสบสำเร็จในการแสดงบทบาทมากที่สุดที่เราได้คาดหลังให้พวกเขาเล่นแสดง.
เมื่อใดที่คุณเห็นสิ่งนี้, คุณก็เริ่มที่จะเข้าใจว่าทำไมโลกถึงดูเป็นหนทางที่มันเป็นนี้.
ทำไมวัฏจักรนี้ไม่เคยดูเหมือนจะแตกพังทลาย. ทำไมประวัติศาสตร์คอยวนซ้ำตัวมันเองไม่ว่าอย่างไรมี่ได้ก้าวหน้าไปที่เราคิดว่าเราได้กลายมาเป็น.
เพราะว่าระบบไม่ได้ให้รางวัลผู้สามารถคิดได้ไกลที่สุด.
มันให้รางวัลผู้ที่เข้ากันได้ลงตัวดีที่สุด.
(Power is not about excellence. It is about compatibility. The
leaders we get e not the best among us. They are the ones who most successfully
perform the role we expect them to play. Once you see this, you start to
understand why the world looks the way it does. Why the cycle never seems to
break. Why history keeps repeating itself no matter how advanced we think we’ve
become. Because the system doesn’t reward who can think the farthest. It
rewards who can fit the best.)
ถึงในตอนนี้, มันอาจจะฟังเหมือนกับว่าสังคมได้ทำผิดพลาด.
ที่ไปยกหนุนผู้นำที่คุณสมบัติไม่ผ่านว่าเป็นสัญญาณว่าระบบพังพินาศ. แต่อะริสโตเติ้ลจะไม่เห็นด้วย.
เขาได้เชื่อว่าสิ่งนี้คือผลที่ออกมานั้นไม่ได้เป็นอุบัติเหตุ. มันเป็นรูปโฉมของสังคมทั้งหลายที่อยู่รอดชีวิต.
เพราะว่าความเป็นผู้นำนั้นไม่ได้เป็นแค่เกี่ยวกัญปัญญาหรือความสามารถฉลาดดเลิศ.
มันก็ยังเกี่ยวกับการถือยึดความสามัคคีอยู่ร่วมกัน. (By now, it might sound like society
has made a mistake. That elevating unqualified leader is a sign the system is
broken. But Aristotle would disagree. He believed this outcome was not an accident.
It was a feature of how societies survive. Because leadership is not just about
intelligence or competence. It is also about holding the collective together.)
จินตนาการถึงสังคมเป็นเช่น โครงสร้างเปราะบาง.
หลายล้านของปั จเจกชนทั้งหลายด้วยความขัดแย้งในความจำเป็นต้องการ,
ความหวาดกลัวและพความอยาก, แต่ละก็ดึงในทิศทางแตกต่างกัน. ถ้าคุณเอาบางคนที่สุดโต่งที่ยอดบน,
บางคนผู้ที่เคลื่อนที่รวดเร็วกว่าเพื่อนฝูงผู้อื่นที่เหลือจะสามารถตามทันได้,
โครงสร้างทั้งหมดเสี่ยงที่จะพังพาบ. และดังนั้น, อะริสโตเติ้ลโต้แย้งว่า, “สังคมทั้งหลายขาดจิตสำนึกในการเลือกผู้นำทั้งหลายผู้ที่กระทำแสดงเหมือนตัวดูดซับแรงช็อคทั้งหลาย,
ผู้นำทั้งหลายซึ่งนุ่มนวลกับแรงกระแทกหรือความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว, ผู้นำที่แปลความสลับซับซ้อนไปสู่ความสะดวกสบาย,
ผู้นำที่รักษาสงวนไว้ซึ่งความมั่นคง/เสถียรภาพ แม้ว่าจะอยู่ที่ค่าตอบแทนการนั้นคือความก้าวหน้า.
นั่นคือทำไมผู้โง่เง่ามากมายเหลือเกินจึงขึ้นมาดำรงอยู่ในอำนาจ. บทมบาทชของพวกเขาไม่ได้ที่จะเป็นการสร้างนวัตกรรม.
บทบาทของพวกเขาคือสร้างความแน่ใจ.
พวกเขายืนอยู่บนเวทีและพูดในสิ่งทั้งหลายที่ฝูงชนจำเป็นต้องการที่จะได้ยิน.
พวกเขาเสริมสร้างความคุ้นเคย.
พวกเขาสัญญาถึงควงามปลอดภัยแม้ว่าว่าเมื่อที่พวกเขาไม่สามารถรับประกันได้.
ในการทำเช่นนั้น ดังนั้นพวกเขาได้รับใช้ให้บริการเจตจำนงในทางจิตวิทยา.
พวกเขาสร้างสรรค์มาภาพของการควบคุมปกครอง.” (Imagine society as a fragile
structure. Millions of individuals with conflicting needs, fears and desires,
each pulling a different direction. If you put someone too radical at the top,
someone who moves faster than the rest can follow, the entire structure risks
collapse. And so, Aristotle argued, “Societies unconsciously choose leaders who
act like shock absorbers, leaders who soften the impact or rapid change,
leaders who translate complexity into comfort, leaders who preserve stability
even at the cost of progress. That is why so many idiots in power exist. Their
role is not to innovate. Their role is to reassure. They stand on the stage and
say the things the crowd needs to hear. They embody the familiar. They promise
safety even when they cannot guarantee it. In doing so they serve a
psychological purpose. They create the illusion of control.”)
อะริสโตเติ้ล(ได้มองเห็นอย่างกระจ่างชัดที่ในเอเธนส์.
ผู้นำทั้งหลายที่ได้รับการเลือกไม่ได้เป็นสถาปนิกแห่งอนาคตใหม่.
พวกเขาเป็นแค่สัญลักษณ์ของอัตลักษณ์ส่วนรวม.
พวกเขาได้สะท้อนกลับในอะไรที่ผู้คนได้เชื่อถือไปแล้ว. ดังนั้น,อ ฝูงชนจึงสามารถรู้สึกว่าอำนาจยังคงเป็นของพวกเขาอยู่.
และพลวัตนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยใน 2,000 ปีที่ล่วงแล้วมา. ในบริษัททั้งหลาย, CEO บ่อยครั้งไม่ใช่ผู้นำความคิดอันชาญฉลาดทางยุทธศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังนวัตกรรม.
พวกดเขาคือใบหนาของสาธารณะ, รูปโฉมของลูกจ้างทั้งหลาย และนักลงทุนทั้งหลายสามารถรวมตัวกันอยู่เบื้องหลังได้.
เบื้องหลังของพวกเขาขแองคณะกรรมการทั้งหมดคือการตัดสินใจที่แท้จริง. Aristotle
saw this clearly in Athens. The leaders chosen were not the architects of new
systems. They were symbols of collective identity. They reflected back what the
people already believed. So, the crowd could feel that power still belong to
them. And this dynamic hasn’t changed in 2,000 years. In companies, the CEO is
often not the strategic mastermind behind innovation. They are the public face;
the figure employees and investors can rally behind. Behind them an entire
board makes the real decisions.)
ในทางการเมือง, ประธานาธิบดีบ่อยครั้งคือนักแสดงบนเวที.
เบื้องหลังคือม่าน, ที่ปรึกษา, ผู้บริจขาคทั้งหลายและกลุ่มผู้ลงทุน ที่ปรับแต่งรูปของนโยบายที่แท้จริง.
แม้ในชุมชนเล็กๆหนึ่ง, ผู้นำบ่อยครั้งก็ไม่ใช่ผู้ที่จัดทำแผนงานทั้งหลาย.
พวกเขาคือผู้ที่ผู้คนไว้วางใจ, ผู้ที่ทำให้ทุกคนรู้สึกอยู่ในแนวแถว,
แม้ว่าผู้อื่นทั้งหลายดึงสายทั้งหลายอยู่เงียบไ. นี่คือความสัจจริงที่ไม่สบายใจได้นัก.
ผู้โง่เง่าทั้งหลายในอำนาจที่เราเย้ยหยันหรือขุ่นเคืองก็ไม่ได้มักจะได้ขับเคลื่อนระบบเสมอ. (In politics, the President is
often the actor on the stage. Behind the curtain, advisers, donors and interest
groups shape the real policies. Even in a small community, the leader often
isn’t the one making plans. They are the one people trust, the one who makes
everyone feel aligned, even others pull the strings in silence. This is the
uncomfortable truth. The idiots in power we mock or resent are not always
driving the system.)
บ่อยครั้งมากขึ้นที่พวกเขาตั้งโล่ป้องกัน.
พวกเขาซึมซับความโกรธ. พวกเขาเบี่ยงเบนความสนใจ. พวกเขาให้สิ่งปรากฏของความเป็นเอกอภาพในขณะที่ผู้อื่นจัดแต่งรูปอนาคตกันอย่างเงียบๆ.
อะริสโตเติ้ลได้เข้าใจถึงความเป็นทวิลักษณ์นี้. ในมุมมองเขา, การเมืองได้มีอยู่เพื่อที่จะคงไว้ซึ่งระเบียบอยู่เหนือใดอื่นทั้งหมด.
และในบางครั้งนั่นหมายความว่าการนำเอาใครบางคนมาที่ข้างหน้าผู้มองดูเหมือนไม่มีพิษภัยเพียงพอที่จะรักษาให้ฝูงชนสงบนิ่งในขณะที่การตัดสินใจแท้จริงทั้งหลายบังเกิดขึ้นอยู่ในที่แห่งอื่น.
(More often they are shields.
They absorb anger they. They distract attention. They give the appearance of
unity while others quietly shape the future. Aristotle understood this duality.
In his view, politics existed to maintain order above all else. And sometimes
that means putting someone at the front who looks harmless enough to keep the
crowd calm while the real decisions happen somewhere else.)
การจัดแต่งเรียบเรียงนี้สร้างความขัดข้องใจแก่เราเพราะเราปรารถนาซึ่งความยุติธรรม.
เราสต้องการที่จะเชื่อว่าอำนาจจะต้องไปสู่เหล่าผู้ที่สมควรได้รับมากที่สุด.
แต่สังคมไม่ได้ใส่ใจในเรื่องความยุติธรรมเช่นนั้น. มันใส่ใจใยดีเกี่ยวกับความอยู่รอด.
และความอยู่รอดต้องการสัญลักษณ์ทั้งหลาย. ลองคิดว่าผู้ที่ถือกุมข่ายใยเข้าด้วยกันแม้ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นผู้ซึ่งกำลังถักทอมัน.
แน่นอน, ระบบนี้มีราคาที่ต้องจ่ายของมัน. คือความก้าวหน้าไปอย่างช้าๆ.
นวัตกรรมทั้งหลายอยู่ในที่ตั้ง. ความธรรมดาสามัญนี้ได้รางวัลในขณะที่ผู้สามารถฉลาดเก่งอยู่อยู่ในเงามืดทั้งหลาย.
แต่จากทัศนภาพของหมูคณะนั้น, การแลกเปลี่ยนนี้สมเหตุสมผล. (This arrangement frustrates us
because we crave fairness. We want to believe power goes to those who deserve
it most. But society does not care about fairness. It cares about survival. And
survival requires symbols. Figure who holds the fabric together even if they
are not the ones stitching it. Of course, this system has costs. Progress slows.
Innovation stalls. Mediocrity gets rewarded while brilliance stays in stays in
the shadows. But from the perspective of the collective, this trade-off makes
sense.)
เสถียรภาพ/ความมั่นคงที่พังพาบลงในความจลาจลวุ่นวายไม่มีอนาคตที่จะใช้ให้เหมาะสมได้อยู่ดี.
นี่คือทำไมเมื่อคุณมองดูอย่างใกล้ชิด, การมีอยู่ของผู้โง่เง่าในอำนาจไม่ได้เป็นความล้มเหลวของระบบ.
ในเป็นกลไกในการรักษาเสถียรภาพ/ควสามมั่นคง. มันคือร่างกายปกป้องตัวมันเอง.
และเมื่อใดที่คุณเข้าใจ คุณก็หยุดการมแองผู้นำทั้งหลายอย่างบริสุทธิ์เป็นเช่นปัจเจกบุคคล.
คุณเริ่มต้นมองพวกเขาเป็นเช่นหน้าที่ใช้งานทั้งหลายภายในชีวอินทรีย์อันใหญ่โต.
บางรายนำไปสู่แรงบันดาลใจ, บางรายนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูป, บางรายนำไปสู่การรักษาจังหวะให้คงที่เพื่อที่ส่วนที่เหลืออย่างเช่นพวกเราสามารถเคลื่อนที่ต่อไปได้. (Stability that collapses in chaos
has no future to optimize anyway. This is why when you look closely, the
presence of idiots in power is not a failure of the system. It is a stabilizing
mechanism. It is the body protecting itself. And once you understand you stop
seeing leaders purely as individuals. You start seeing them as functions within
a larger organism. Some lead to inspire, some lead to transform, and some lead
to keep the rhythm steady so the rest of us can keeping moving.)
จังหวะนั้นอาจจะสร้าวความขัดขุ่นใจให้คุณ.
มันอาจจะรั้งยึดเอากลับเอาไว้. แต่ปราศจากมัน, สังคมในตัวมันเองสามารถที่จะคลี่คลายไปได้.
นี่คือข้อขัดแย้งอยู่ในตัวมันเองที่อะริสโตเติ้ลปล่อยทิ้งไว้ให้อยู่กับเรา.
ผู้คนแอย่างยิ่งที่เราเรียกว่าคุณสมบัติไม่ผ่าน, ผู้ที่อย่างยิ่งที่เราเย้ยหยันว่าเป็นคนโง่เง่าในอำนาจทั้งหลายไม่ได้เป็นผู้ขับเคลื่อนระบบอย่างแท้จริง. ถ้าคนโง่เง่าทั้งหลายในอำนาจนั้นไม่ได้เป็นผู้ที่ขับเคลื่อนระบบอย่างแท้จริง,
แล้วใครบางคนอื่นก็ต้องเป็นผู้ทำการนั้น. นี้คือควสามคิกดขแองอะริสโตเติ้ลปล่อยทิ้งเอาไว้ให้เราอยู่ด้วย.
ความคิดหนึ่งที่คนส่วนมากที่สุดหลีกเลี่ยง เพราะว่ามันบีบบังคับคุณที่จะเผชิญหน้าความเป็นไปได้อันไม่สบายอกสบายใจ.
(That rhythm may frustrate
you. It may hold us back. But without it, society itself could unravel. This is
the paradox Aristotle leaves us with. The very people we call unqualified, the
very ones we mock as idiots in power may be the glue keeping everything from
falling apart. If idiots in power are not truly driving the system, then someone else must be. This is the thought Aristotle leaves us
with. A thought most people avoid because it forces you to confront an
uncomfortable possibility.)
อำนาจคือเวทีแสดงและผู้คนที่อยู่ข้างหน้า,
ประธานาธิบดีทั้งหลาย. CEOทั้งหลาย. ผู้นำทั้งหลาย,
คุณรู้จากชื่อของพวกเขาบ่แอยครั้งว่าเป็นนักแสดง. งานของพวกเขาคือการที่จะพูดไปตามบทบรรทัด,
ที่จะส่องไปที่ความมั่นใจ, ที่จะรักษาไว้ให้ฝูงชนสงบ. แต่บทละครนั้นในตัวมันเองก็ถูกเขียนมาจากที่อื่นสักแห่ง.
อะริสโตเติ้ล มองเห็นจุดสังเกตทั้งหลายของเรื่องนี้แม้ว่าอยู่ในเอเธนส์.
เขาสังเกตว่าคนที่ถูหกเลือกให้เป็นผู้นำนั้นได้ถูกบีบจำกัดโดยแรงกำลังซึ่งมองไม่เห็น,
กฎหมาย, สถาบัน, ผู้ร่ำรวยที่อุปถัมภ์และความมุ่งหวังของมวลชนทั้งหลาย. อำนาจของพวกเขานั้นไม่เคยที่สุดสัมบูรณ์.
(Power is the stage and the
people you see at the front, the Presidents. The CEOs, The Leaders, you know by
name are often just actors. Their job is to speak the lines, to project
confidence, to keep the crowd calm. But the script itself that is written
somewhere else. Aristotle saw hints of this even in Athens. He noticed that the
men chosen to lead were constrained by unseen forces, laws, institutions,
wealthy patrons and the expectations of the masses. Their power was never
absolute.)
มันได้ถูกยืมมาใช้ 2,000 ปีต่อมา, ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย.
เบื้องหลังของทุกผู้นำนั้น, มีเครือข่ายที่จัดรูปทางเลือกทั้งหลายของพวกเขา.
คณะกรรมการบริหาร จะควบคุมCEOทั้งหลาย, ผู้บริจาคทั้งหลายจัดรูปนโยบายทั้งหลาย,
กลุ่มผลประโยชน์ที่กำลังดึงสายชักใยอยู่ในเงามืดทั้งหลาย. แม้กระทั่งองค์กรเล็กๆทั้งหลาย,
ใบหน้าของอำนาจบ่อยครั้งเสนอให้บริการการตัดสินใจสำเร็จรูปทั้งหลายที่ได้จัดทำมาแล้วจากทางด้านหลังประตูที่ปิดอยู่.
(It was borrowed 2,000
years later, nothing has changed. Behind every leader, there are networks shaping
their choices. Boards controlling CEOs, donors shaping policies, interest
groups pulling strings from the shadows. Even in small organizations, the face
of power often serves decisions already made behind closed doors.)
นักแสดงทั้งหลายนั้นไม่ได้เปลี่ยน, เวทีแสดงนั้นมีวิวัฒนาการไป,
ปแต่ละครนั้นยังเป็นเหมือนเดิม. และนี้คือที่ซี่งมายาภาพฝังอยู่เบื้องลึก.
เราเชื่อว่าเราเป็นผู้เลือกผู้นำทั้งหลาย. เราเชื่อว่าพวกเขากุมอำนาจที่จะจัดรูปอนาคตของเรา.
แต่บ่อยครั้งมากยิ่งขึ้นที่พวกเขาเป็นแค่สัญลักษณ์เครื่องหมายทั้งหลายที่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใหรานิ่งมั่น,
ให้เรารู้สึกสบายใจอุ่นใจว่ามีใครบางคนกำลังหมุนพวงมาลัยเรืออยู่. อะริสโตเติ้ลได้เตือนเราไว้แล้ว.
สังคมให้รางวัลแก่ผู้ที่เหมาะเจาะลงตัวกับบทบาท, ไม่ใช่เหล่าผู้ที่เขียนบททั้งหลายนั้น. (The actors change, the stage
evolves, but the play remains the same. And this is where the illusion deepens.
We believe we are choosing leaders. We believe they hold the power to shape our
future. But more often they are symbols. Symbols designed to stabilize us, give
us the comforting sense that someone is steering the ship. Aristotle warned us.
Society rewards those who fit the role, not those who write the rules.)
ดังนั้นเมื่อคุณมองเห็นคนโง่เง่าอยู่ในอำนาจ,
ถามตัวคุณเอง, บุคคลนี้หรือที่เป็นผู้ทำหน้าที่ควบคุมอย่างแท้จริง, หรือว่าพวกเขาเล่นง่ายๆไปตามบทส่วนของพวกเขา?
และอย่างสำคัญยิ่งไปกวง่านั้นก็คือเพียงถ้าพวกเขาคือนักแสดงทั้งหลายที่อยู่บนเวทีเท่านั้น.
ใครคือผู้ที่กำลังถือกุมปากกาล่ะ? เพราะว่าเมื่อใดที่คุณได้ตระหนักในเรื่องนี้,
คุณเผชิญหน้าทางเลือกที่คุณสามารถเล่นแสดงต่ออยู่ไปได้มีบทที่ถูกเขียนมาไว้เพื่อคุณ,
เชื่อใจได้กับเวทีและนักแสดงทั้งหลายของมัน, หรือคุณสามารถก้าวถอยหลังไปอยู่หลังม่านและมองดูกลไกทำงานของมันไป.
คุณได้ถูกเตือนแล้วว่าเมื่อใดที่คุณสามารถมองเห็นมัน,
คุณก้ไม่สามารถที่จะไม่มองเห็นเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป. (So, when you see an idiot in
power, ask yourself, is this person truly in control or are they simply playing
their part? And more importantly only if they are actors on a stage. Who is
holding the pen? Because once you realize this, you face a choice you can keep
playing the script written for you, trusting the stage and its actors, or you
can step behind the curtain and see the machinery for what it is. You be warned,
once you see it, you can never unsee it.)
คำถามไม่ใช่อีกต่อไปว่าทำไมผู้โง่เง่าถึงได้ขึ้นสู่อำนาจ.
คำถามที่แท้จริงคือใครได้ประโยชน์ทั้งหลายเมื่อพวกเขาทำเช่นนั้น? ผมต้องการได้ยินจากพวกคุณ.
คุณเชื่อหรือไม่ว่าสังคมได้สร้างผู้นำทั้งหลายเช่นนี้ โดยอุบัติเหตุ
หรือการออกแบบ? ทิ้งความคิดทั้งหลายของพวกคุณไว้ที่ช่องความคิดเห็นที่ผมอ่านได้ข้างล่างนี้.
และถ้าคุณต้องการที่จะคอยสำรวจตรวจค้นรูปแบบอันว่อนไว้ทั้งหลายซึ่งจัดรูปชีวิตของเราอยู่,
ทำให้แน่ใจว่าคุณได้หกดติดตามและอยู่สนใจไปกับเราที่ Thinkmate นี้. (The question is no longer why do idiots rise to power.
The real question is who benefits when they do? I want to hear from you. Do you
believe society creates these leaders by accident or by design? Leave your
thoughts below I read every comment. And you want to keep exploring the hidden
patterns shaping our lives, make sure you subscribe and stay curious with us
here at Thinkmate,)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น