หน้าเว็บ

วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ยุคมืดทางวิญญาณ_โดย พุทธทาสภิกขุ



ยุคมืดทางวิญญาณ

          ยุคมืดทางวิญญาณ  คือ  ลูกตาของเรานี้ไม่ได้บอด  และมนุษย์เรามีความก้าวหน้าในทางการแพทย์  อาจจะเปลี่ยนลูกตาได้  อย่างนี้เป็นต้น; ลูกตานี้  ไม่ได้บอด  แต่แล้วมันบอดในฝ่ายวิญญาณ,  ในทางดวงตาฝ่ายวิญญาณ, หรือบอดในตัววิญญาณนั่นเอง, มันมืดในทางวิญญาณ.  นี่คือโลกในยุคมืด  มันมืดอย่างนี้  เพราะอำนาจของโมหะ  ซึ่งเป็นอันธการคือการกระทำที่เป็น  ความมืดเหมือนกับตาบอด, โมหะ หรือ อันธการ นั้นคือสิ่งเดียวกัน.  ทีนี้เมื่อมืดแล้วมันก็เป็นพาลไปได้ทุกอย่างทุกประการ, พาละ หรือ เป็นพาลนั่นแหละ,  มันจะมีความเป็นพาลได้ทุกอย่างทุกประการ, ในเมื่อเมื่อเรามันมืด, มันมีวิญญาณมืด.
          คำว่า “พาล” นี้คุณเรียนแต่หนังสือไทย  คุณไม่รู้ว่าคำว่า “พาล” นี้เขาแปลว่าอ่อน, แปลว่าโ.;  ไม่ใช่แปลว่าอันธพาลรังแกผู้อื่น.  เขาแปลว่ามันอ่อนยังอ่อนอยู่, แล้วก็โง่  แล้วก็รังแกผู้อื่น  นั้นเป็นธรรมดา.  ตัวหนังสือแท้ๆมันแปลว่า อ่อน หรือโง่; เด็กคลอดออกมาจากท้องแม่  ยังเล็กๆเป็นทารก  นี้เรียกว่าเป็น “พาล” เหมือนกัน  เป็นพาลทั้งที่มันไม่ได้ทำผิดอะไร  ไม่ได้รังแกใครสักที,  แต่ภาษาบาลีก็เรียกว่า “พาละ” แปลว่ายังอ่อนอยู่.  ผลไม้ยังอ่อนอยู่  อะไรยังอ่อนอยู่  ก็เรียกว่า พาละ.  ทีนี้สูงขึ้นมาจนโตแล้ว  ความเป็นพาลนั้นมันไปอยู่ที่ความโง่.  เราอาจจะพูดได้ว่า  เด็กๆเพิ่งคลอดออกมานี้  ยังไม่รู้อะไรก็เหมือนกับโง่  คือยังไม่รู้อะไร, หรือว่า ปัญญายังไม่ develope ออกมา,  นี้ก็ยังถือว่าโง่.
          ความเป็นพาลก็คือ  ความอ่อน, อ่อนต่อทุกสิ่ง  อ่อนต่อวิชาความรู้อ่อนต่อความเจริญทางร่างกาย  อะไรก็อ่อนไปทั้งนั้นแหละ;  แล้วมันก็มีความหมายเป็นความรู้  ยังไม่รู้;  นี่เรียกว่า “โมหะพื้นฐาน”; เรามีความเป็นพาลเป็นโมหะพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว.  คนพาล คือ คนโง่  หรือคนอ่อน;  แล้วจะทำอะไรได้บ้าง  มันก็ทำผิดหมด, ทำผิดหมดเลยทุกอย่างที่มันจะผิดได้  สำหรับคนอ่อนแอและคนโง่.  ทีนี้สำหรับยุคปัจจุบันนี้  โลกในอารยธรรมเทคโนโลยีอะไรนี่มันยิ่งเป็นพาลมากขึ้น.  คุณจะฟังถูกหรือฟังไม่ถูก : มันเฉลียวฉลาด  ที่สุดในเทคโนโลยี  หรืออุตสาหกรรม  แต่มันมีความเป็นพาลมากขึ้น;  เป็นคนอ่อน  หรือคนโง่  ไม่ประสีประสาต่อพระเจ้า  หรือต่อสิ่งสูงสุดมากขึ้น, จนกระทั่งไม่รู้ว่า  เกิดมาทำไม.  มันหลับหูหลับตาด้วยเรื่องวัตถุนิยม  แล้วมันก็ไม่ต้องการรู้ว่าเกิดมาทำไม.
          คุณดูให้ดีๆว่า  ยุคนี้ยุคอารยธรรมแผนใหม่นี้  เป็นยุคที่มนุษย์ไม่มีบิดามารดา  ครูบาอาจารย์  ไม่มีพระเจ้า  ไม่มีศาสนา  ไม่มีบุญ  ไม่มีบาป  ไม่มีนรก  ไม่มีสวรรค์นะ;  แต่ในโบราณเขามีแต่ความคิดเรื่องที่จะมี, หรือเคารพบิดามารดา  ครูบาอาจารย์  คนเฒ่าคนแก่;  กลุ่มนี้เอาเป็นกลุ่มหนึ่งก่อน  คือบิดามารดา  ครูบาอาจารย์  คนเฒ่าคนแก่.  เอาละ  ผมไม่อยากจะพูดดูถูกคุณอีกตามเคยว่า  คุณมีอายุน้อย  ไม่ทันเห็นสมัยที่คนเรานี้เคารพคนเฒ่าคนแก่อย่างยิ่ง  เหมือนในสมัยโบราณเมื่อ 5-60 ปี 70-80 ปี.
          ผมเมื่อเด็กๆ เป็นเด็กวัด  อยู่วัด;  ไหว้คนแก่ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้ง  เพราะอาจารย์บังคับ.  เราวิ่งเล่นอยู่กลางสนามหญ้ากลางลานวัด  ถ้าคนแก่ผ่านวัด  เดินไปธุระ  ก็ต้องไหว้;  ไม่ไหว้ก้ถุกเฆี่ยน  ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น.  ทำงานอยู่แท้ๆ ทำงานขุดดินทำสวนครัวอยู่;  เผอิญวัดที่ผมอยู่เป็นทางผ่านกลางวัดไปสู่ฝ่ายโน้น;  มีคนเฒ่าคนแก่มา, ต้องทิ้งจอบไหว้ คุกเข่าไหว้.  คนแก่ในที่นี้ไม่จำเพาะว่าคนดี คนไม่ดี คนบ้าคนบออะไร  ไม่ต้องวินิจฉัย;  เพราะเราไม่อาจจะวินิจฉัยได้ว่า  เป็นคนแก่ที่ดีหรือไม่ดี.  ถ้าเห็นคนแก่แล้วไม่ไหว้ละก้ถุกเฆี่ยน.  คนแก่ที่ดี  ที่มีเกียรตินั้นก็รู้กันอยู่แล้ว  ก็ไหว้ด้วยความเต็มใจ;  แต่ที่ไหว้คนแก่  ที่ไม่รู้จักนี้มันกระอักกระอ่วน;  แล้วบางคนเราก็เหมากันเอาเองว่า  เป็นคนบ้าๆบอๆ  แต่ทีนี้หัวของเขาหงอกขาว  ก็ต้องไหว้.  นี้สมัยผมเป็นเด้ก, สมัยคุณคงไม่ได้เห็นกระมัง, คือเป็นอะไรกันไปเสียตั้งแต่เด็กแล้ว.  ทีนี้โดยทั่วไปประชาชนพลเมืองนี้ก็เคารพคนเฒ่าคนแก่, หมู่บ้านหนึ่งต้องมีคนเฒ่าคนแก่.  ถ้าจะวานขนทราย  ไปบอกคนแก่ประจำหมู่บ้านคนเดียว, ลูกหลานมาทั้งบ้านเป็นหางไปเลย, ขนทรายพักเดียวได้กองเบ้อเร่อ.  เดี๋ยวนี้ทำได้ที่ไหน  ในสวนโมกข์เวลานี้ทรายกองนั้นตั้ง 5000 บาท ต้องซื้อ  รุ่นนี้รุ่นหลังนี้  ทั้งหมดที่เราซื้อ;  ถ้าเป็นสมัยก่อนอำนาจของคนแก่ดึงดูดลูกหลานมาเป็นหาง-เป็นพวง ขนทรายได้ไม่ต้องเสียสตางค์.  นี่มันเนื่องกันอยู่อย่างนี้.
          คความไม่มีคนเฒ่าคนแก่  กับมีคนเฒ่าคนแก่  มันผิดกันลิบลับเลย.  สมัยนั้นคนเฒ่าคนแก่ห้ามทีเดียวมันหยุดหมด, อันธพาลบไม่มี.  ดังนั้นคนสมัยนั้นจึงนอนบนแคร่ใต้ถุนเรือน  ตากลมได้จนสว่างอย่างสบาย.  เดี๋ยวนี้ไปนอนอย่างนั้นเข้า  ถุกยิงตาย; เพราะว่าวัฒนธรรมที่มีจติใจอ่อนโยนสุภาพมันหมดไป  เพราะไม่มีคนเฒ่าคนแก่.  เพราะฉะนั้นการเคารพคนเฒ่าคนแก่นั้น  มันเป็นอะไร  ที่วิเศษสูงสุด, แม้จะรวมคนแก่โง่ บ้าๆบอๆเข้าไว้ในกลุ่มนั้นด้วยก็ยังดี, คือมันทำให้เด้กๆมีจิตใจอ่อนโยน.
          การเคารพบิดามารดาก็ไม่เหมือนสมัยโน้น  ซึ่งต้องกราบเท้าพ่อแม่ทุกคืน  เดี๋ยวนี้ก็ไม่ทำกัน.  ครูบาอาจารย์ สมัยนี้ก็เป็นของล้อเล่น, เรียกอ้ายเรียกอะไรเหมือนกับศัตรู  อย่างนี้ก็มี.  ครูบาอาจารย์ ในระเบียบมหาวิทยาลัยที่เมืองนอก  ผมไม่เคยไปเรียน  แต่ได้ยินได้ฟังเขาเล่ามาว่าไม่มีครูบาอาจารย์, ไม่มีความรู้สึกเคารพอย่างครูบาอาจารย์, หยอกล้อเล่นเหมือนเพื่อนกัน.  ครูบาอาจารย์ต้องทำเฉย  เพราะเป็นประชาธิปไตย,  ลูกศิษย์อยากจุดประทัดโยนใส่ตีนครูบาอาจารย์ก็ทำได้;  ไม่ถือว่าผิดอะไรไม่ถือว่าเสียหายอะไร.  มันเกิดเป็นความไม่มีครูบาอาจารย์ขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัวเลย.  ความหมายของบิดามารดา  ครูบาอาจารย์  คนเฒ่าคนแก่  หายหมด;  ในโลกสมัยปัจจุบันอารยธรรมแผนปัจจุบันมันนำผลมาอย่างนี้  เพราะทุกคนมันบูชาเนื้อหนัง.
          ทีนี้ก็มองต่อไป  ถึงพระเจ้า  ถึงศาสนา  ซึ่งสูงไปกว่า  มันก็ไม่มีอีก, พระเจ้าตายแล้ว;  ศ่าสนาก็ไม่จำเป็น  เอาไว้เพียงเป็นเครื่องมือการเมือง  พวกหนุ่มๆชาวต่างประเทศที่เราเรียกว่า ฝรั่ง ชาติไหนบ้าง ผมก็ไม่ทราบ พวก Peace Corp โดยมากมาที่นี่.  เราถามว่า  นับถือศาสนาอะไร?  ส่วนมากตั้ง 80 เปอร์เซ็นต์, เฉลี่ยแล้วราวๆนั้นตอบว่า  “ผมไม่ศาสนา”  ด้วยความภาคภูมิใจที่ตอบอย่างนี้ ว่า “ผมไม่มีศาสนา”  “แล้วเลือดเนื้อของคุณเป็นศาสนาอะไร?” ทดลองถามอย่างนี้;  หมายถึงบิดามารดาเป็นคริสเตียน เป็นอะร?  เขาตอบว่า “ผมเป็นคนไม่มีศาสนา, กำลังเป็นคนไม่มีศาสนา, ไม่อยากมีศาสนา”  “แล้วมาที่นี่ทำไม?”  “เพื่อศึกษาวิชาสำหรับแก้ปัยหาชีวิต”.  นี่แหละคือโ.ที่สุดเลย;  นั่นแหละคือศาสนา;  เครื่องแก้ปัญหาในชีวิตนั้นแหละคือศาสาแล้ว, แต่เขาปฏิเสธ  เป็นคนไม่มีศาสนา  ทั้งๆที่กำลังมาหาสิ่งที่เรียกว่า ศาสนา.  เขาถุกสอนให้มองอะไรไปในแง่ของวิทยาศาสตร์  หรือกฏของธรรมชาติ  เรื่องวิทยาศาสตร์ไปหมด, ไม่มองไปในลักษณะที่จะเรียกว่าศาสนา;  แต่นั่นแหละคือศาสนา  การทำตนให้ถุกต้องตามกฏของธรรมชาติ  นั้นแหละคือศาสนาอย่างยิ่ง  มันดับทุกข์ได้สิ้นเชิง.
          นี่เขามองข้ามศาสนา  จนสมัครเป็นผู้ไม่มีศาสนา  ไม่มีพระเจ้า, พระเจ้าตายแล้วทั้งนั้น.  ทีนี้มันก้ะลอยไม่มีบุญ  ไม่มีบาป  ไม่มีนรก  ไม่มีสวรรค์ไปเลย, บุญบาป  ไม่รู้ไม่ชี้, จะรู้จะชี้แต่ประโยชน์ที่ตนจะได้, มันจะเป็นเรื่องบุญ  หรือเรื่องบาป  ไม่รับรู้  ต้องการแต่ประโยชน์ที่ตนจะได้, มันจะเป็นเรื่องบุญ  หรือเรื่องบาป  ไม่รับรู้  ต้องการแต่ประโยชน์เป็นวัตถุ.  ถ้าจะให้เรียกว่าบุญ  ก็ว่า  นั่นแหละคือบุญละ, คือได้นั่นแหละดี;  ส่วนนรกสวรรค์ไม่ต้องพูดถึงกัน.  ที่เขียนไว้ในคัมภีร์หรือฝาผนังโบสถ์  ถือว่าเป็นเรื่องไม่ต้องพูถึงกัน.  ที่เขียนไว้ในคัมภีร์หรือฝาผนังโบสถ์  ถือว่าเป็นเรื่องบ้าๆบอๆๆไม่ต้องพูดกัน;  ประโยชน์นั่นแหละคือสวรรค์.  นรกก็ไม่ต้องกลัว  เพราะว่าประโยชน์นั้นมันเป็นสวรรค์เสียแล้ว.
          เดี๋ยวนี้  ถ้าจะถามว่าเขามีศาสนาอะไรกัน?  มันก็คือสิ่งที่เขาบูชาสูงสุด  เป็นสิ่งสูงสุด;  มันก็  ศาสนาเงิน  ศาสนาวัตถุ, บูชาวัตถุ  บูชาความเพลิดเพลินทางเนื้อหนัง.  ในที่สุดก็ไปบูชาเครื่องมือ  ที่จะให้ได้สิ่งเหล่านี้มา  มันก็บูชาเทคโนโลยี;  หายใจเป็นเทคโนโลยีทั้งเข้าทั้งออก.  หายใจออกก็เทคโนโลยี  หายใจเข้าก็เทคโนโลยี; เพราะมันเป็นเครื่องช่วยให้เราได้มนสิ่งที่เราอยาก  กระหาย  คอแห้งอยู่ตลอดเวลา.  นี่ก็เรียกว่าโลกปัจจุบันนี้ถือศาสนาเทคโนโลยี;  ผมว่า  เป็นโรคจิตทราม  ไปบูชาเครื่องมือที่จะได้ความเอร็ดอร่อยทางวัตถุแทนพระเจ้า  แทนศาสนานี้เป็นโรคจิตทราม,  เป็นโมหะ  ที่ว่าเป็นโมหะ  เป็นโรคจิตทราม  เพราะฉะนั้นจึงมีการกระทำสิ่งที่เป็นโมหะ  ที่ว่าเป็นโมหะ  เป็นโรคจิตทราม  เพราะฉะนั้นจึงเป็นการะทำสิ่งที่เป็นโมหะ  ที่ว่าเป็นพาลนั้นคืออ่อนปัญญา  อ่อนกำลัง  อ่อนความคิด  อ่อนไปทุกอย่าง;  ไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำ  เต็มไปด้วยสิ่งไม่ควรจะทำ.
          เหมือนที่เคยพูดว่า  ให้คุณไปเดินสำรวจตลาดที่กรุงเทพฯ, ตลอดย่านการค้าทั้งหมด,  ไปดูว่าอะไรจำเป็นแก่ชีวิต  ที่มีขายอยู่ในร้าน  ในห้างในอะไรเหล่านั้น, จะพบว่าตั้ง 95 เปอร์เซ็นต์  ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิต,  แต่ทำไมมันจึงมีได้ตั้ง 95 เปอร์เซ็นต์?  นี่เพราะมันเป็นความโง่  ความเป็นพาลของมนุษย์เหล่านั้น.   สิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิตมีสัก 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น 95 เปอร์เซ็นต์ไม่จำเป็นเลย;  และยิ่งแพง-ยิ่งแพงๆขึ้นไป  ก็ล้วนแต่สิ่งที่ไม่จำเป็นแก่ชีวิตทั้งนั้น.  ทีนี้ความโง่ความเป็นพาลนั้น  มันเห็นว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิต.  นี่ช่วยระวังให้ดี รวมทั้งตัวคุณเองด้วย  จะไปเห็นสิ่งที่ไม่จำเป็นแก่ชีวิต  กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดแก่ชีวิตไปก็ได้  ถ้าความเป็นพาลมันยังมีอยู่มาก;  มัวไปทำสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ.  ไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำ  นั้นมันยังเบาไป;  สิ่งที่ไม่ต้องการกระทำเลย 100 เปอร์เซ็นต์นี้นี่มันก็ไปทำ.  แล้วมันก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรทำและมีเกียรติที่สุด.
          ผมมีความเห็นอย่างนี้  รู้สึกอย่างนี้  มันก็อาจจะเป็นเพราะความเมาในศาสนา  ในพระเจ้าอะไรไปมากก็ได้;  แต่ผมรู้สึกอย่างนี้  ผมก็พูดอย่างนี้ว่าเดี๋ยวนี้กำลังทำในสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำนี้มากขึ้น.
          จะยกตัวอย่างเช่นการที่กำลังนิยมกันว่าวิเศษที่สุด  มีฝีไม้ลายมือสูงสุด  เช่นการเปลี่ยนหัวใจของมนุษย์  หรือเปลี่ยนอะไรก็ตามในระดับนั้น, ผมว่าไม่จำเป็นจะต้องทำ.  ถ้าทำก็เป็นเรื่องทำด้วยความโง่  คือหลงไปว่า  มันประเสริฐ  มันวิเศษ  มันยาก  มันมีเกียรติ แล้วเราจะต้องทำ  ให้ได้.  แม้การกระทำถึงขนาดนี้  ถึงขนาดที่เปลี่ยนหัวใจนี้ มันโง่, พระเจ้า  ไม่ต้องการให้ทำ  เพราะมันไม่มีผลคุ้มค่า. การที่ลงทุนทำนั้น  มันก็ยุ่งยากลำบากกระทั่งเสียเวลา  เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า.  ถ้าถึงขนาดที่จะต้องเปลี่ยนหัวใจแล้วก็ไม่ต้องทำ, ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า, การเปลี่ยนหัวใจ หรือทำอะไรขนาดนี้  มันจะได้ผลชั่วขณะเล็กน้อยเท่านั้น, มันให้ผลชั่วขณะขณะเล็กน้อยเท่านั้น  เพราะมันฝืนธรรมชาติดีกว่า,  การเปลี่ยนหัวใจ  หรือทำอะไรขนาดนี้  มันจะได้ผลให้ใช้ได้เพียงชั่วเวลาเล็กน้อยเท่านั้น  ไม่คุ้มค่าทำ.  แล้วมันเป็นการฝืนความประสงค์ของพระเจ้า  นั้นก็หมายความว่า  มันทำความยุ่งยากมากเกินกว่าเหตุ,  โดยเหตุผลแล้วไม่ควรทำ  ไม่คุ้มค่ากัน.  ที่ไปอ้างว่าเพื่อเมตตากรุณาเพื่ออะไรนี้  มันกลายเป็นเพื่อทรมานมากกว่า, เพื่อทำให้ได้รับความทรมานมากขึ้นไปกว่าที่ควร, แม้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกก็คล้ายๆกับเป็นคนพิการ  เป็นคนครึ่งพิการไปเท่านั้นแหละ.  นี่แหละไปทำในสิ่งที่ไม่ต้องทำ  ที่พระเจ้าบัญญัติไว้ว่าไม่ต้องทำ;  ไม่ใช่ไม่ควรทำ  มันยิ่งกว่าไม่ควรทำ, คือไม่ต้องทำ.  อย่างนี้ต่อไปจะมีมากขึ้น, จะไปทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ  ในลักษณะอย่างนี้มีอีกหลายๆอย่างจะมากขึ้น.
          กิจการ อวกาศ จะไปโลกพระจันทร์ โลกอังคารนี้  ก็เป็นเรื่องที่ไม่ต้องทำ, ฝืนความประสงค์ของพระเจ้า  เป็นเรื่องบ้าเรื่องบอ  ในโลกนี้ก็จัดให้มีสันติภาพก่อนเถิด  นี้แหละพระเจ้าต้องการ.  ทีนี้ไปทำอย่างนั้นมันไม่ต้องทำ  มันไม่คุ้มค่า  เหมือนกับการเปลี่ยนหัวใจเหมือนกัน.  มันจะต้องลงทุนด้วยความยากลำบาก  หมดเปลืองด้วยอะไรต่างๆ  แล้วก็ได้ผลนิดเดียว  ชั่วเวลาอันสั้นนิดเดียว  หรืองว่าความรู้นี้เป็นความรู้ที่ไม่จำเป็นจะต้องรู้  ยังไม่เกี่ยวกับสันติภาพในโลก.  ความรู้ที่จำเป็นจะต้องรู้คือ  ต้องเกี่ยวกับสันติภาพในโลก.  ดังนั้นถ้าเอาเวลา  เรี่ยวแรง  ความคิด  หัวสมองหรือเงินทอง  ที่ใช้ไปเพื่อการไม่ควรทำนั้น  ไม่ต้องทำ;  มาทำในสิ่งที่ต้องทำนี้  โลกจะดีกว่านี้.  ดังนั้นเมื่อทำไขว้กันเสีย  อย่างนี้  ก็จัดเป็นโมหะ.
          โครงการอวกาศของชาติหนึ่งๆมันเป็นแสนๆล้านบาททั้งนั้น;  เอาเงินนั้นมาจัดให้โลกดีขึ้นกว่านี้  ก็ยังทำได้, แล้วก็ยังได้ผล, ได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย  เป็นชิ้นเป็นอันในระยะยาว.  ฉะนั้นสิ่งที่ยังไม่ต้องทำก็ไม่ต้องทำ;  ไปทำเข้า  นี้เป็นโมหะ เป็นจิตทรามคือ  ไปทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ  แล้วสิ่งที่ควรทำแท้ๆต้องทำแท้ๆกลับไม่ทำ;  เพราะไปหวังที่จะได้เกียรติ  หรืออะไรแปลกๆออกไป  เป็นความเห็นแก่ตัว.  แต่ว่าโครงการอวกาศนี้เขาถือกันว่า  เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสงคราม;  อย่างนี้มันก็ยิ่งเลวร้ายไปใหญ่.  เพื่อจะเป็นโอกาส  เป็นเครื่องมือ  สำหรับทำลายผู้อื่น  ด้วยความรู้ด้านอวกาศ;  อย่างนี้มันยิ่งเลวร้ายไปใหญ่.  แม้แต่ค้นคว้าเพื่อหลักวิชาแท้ๆ  มันก็ยังเป็นความโง่  ไปทำสิ่งที่ยังไม่ต้องทำ  ยังไม่ควรจะทำ;  แล้วละเลยสิ่งที่ต้องทำจึงถือว่าเป็นโรคจิตทราม.
          เรื่องเบ็ดเตล็ด  แต่ว่ามันก็โด่งดังอยู่ในโลก  เช่นเรื่องคุมกำเนิดโดยทางฟิสิกส์  ว่าพลเมืองจะล้นโลก  จะต้องคุมกำเนิด;  แล้วก็ใช้วิธีทางฟิสิกส์  ไม่เกี่ยวกับทางจิตใจ.  นี่คือความโง่.  ไปทำสิ่งที่ไม่ต้องทำเหมือนกัน, แล้วก็ได้ผลร้ายแทนผลดี.  ควบคุมกำเนิดทางฟิสิกส์  คือหมายความว่าใช้ยาใช้วัตถุ  ใช้วิธีการทางเนื้อหนัง;  มันก็เลยเป็นของง่าย  จนกระทั่งเด็กๆก็ทำๆได้.  ทีนี้ไม่เท่าไร  ในกระเป๋าเสื้อ  กระเป๋ากางเกงของเด็กๆรุ่นสาว  รุ่นหนุ่มนี้จะเต็มไปด้วยเครื่องมือคุมกำเนิด;  แล้วศีลธรรมของมนุษย์จะเป็นอย่างไร?  นี่ขอให้มองกันในแง่นี้  ว่าเมื่อคุมกำเนิดทางฟิสิกส์มันแพร่หลายอยู่อย่างนี้  ศีลธรรมของคนในโลกจะเป็นอย่างไร?  มันก็ไม่มีศีลธรรมประเภทที่เกี่ยวกับ  การเมสุมิจฉาหรือว่าศีลธรรมทางเพศเหลืออยู่เลย;  แล้วมันก็จะบูชาเนื้อหนังมากขึ้นๆ  กระทั่งเป็นมนุษย์ที่บูชาเนื้อหนังเป็นพระเจ้ามากขึ้น;  ก็เลยเป็นโลกของมนุษย์ที่เลวกว่าเดิม  มีจิตทรามกว่าเดิม.
          การคุมกำเนิดจะต้องคุมทางวิญญาณ  คือเหมือนกับที่สมัยโบราณเขาได้ใช้มาแล้ว  หรือสั่งสอนอยู่  คือการบังคับทางจิตใจ  อย่าไปทำทางฟิสิกส์;  ทำทางจิตใจ  ตามระเบียบของศาสนา  วัฒนธรรมอะไรต่างๆที่เขาวางไว้  จนเป็นของทำได้ตามธรรมดา.  วัฒนธรรมโบราณของชนชาติยิวหรือชนชาติฮิบรูอะไรอย่างนั้น  ผมมานับดูแล้ว  ในหนึ่งเดือนไปสู่ห้องนอนของภรรยาได้สัก 3-4 วัน เท่านั้น; เพราะมีระเบียบชัดเป็นกฏตายตัวชัดเจน : วันพระไปไม่ได้, เดือนหนึ่งก็เป็นวันพระเข้าไปหลายวันอยู่แล้ว.  วันสะบาธ(Sabbath),  วันนักขัตฤกษ์เข้าไปไม่ได้,  ในระยะมีโลหิตระดูก็เข้าไปไม่ได้, เจ็บป่วยไปไม่ได้, ในระยะมีโลหิตระดูก็เข้าไปไม่ได้, เจ็บป่วยไม่ได้;  มันก็เหลืออยู่สัก 3-4 วันต่อหนึ่งเดือน;  แล้วยังมีบัญญัติว่า  อยู่ในห้องภรรยาได้ไม่เกินสามชั่วโมง, ไม่นอนอยู่ในห้องภรรยาตลอดทั้งคืน  เหมือนคนเดี๋ยวนี้.  แล้วก็ต้องเข้าไปอย่างมีระเบียบแต่งตัวตามระเบียบ,  จะไปนอนเปลือยกันอยู่ในห้องด้วยกันตลอดวันตลอดคืน  ทั้งเดือนทั้งปี  นี้ทำไม่ได้.  มันมีห้ามให้ชัด  นี้คือการคุมกำเนิดทางวิญญาณ.  มันก็เลยไม่มีปัญหาเรื่องพลเมืองล้นโลกได้  ง่ายๆนัก.
          ถ้าสมมติว่า  พลเมืองมันจะมากขึ้น  ก็ต้องหาทางออกอย่างอื่น  ไม่ใช่ให้หาทางควบคุมกำเนิดทางฟิสิกส์  ซึ่งทำลายศีลธรรมในจิตใจของคนรถุ่นหนุ่ม  รุ่นสาวเสียหมด.  นี้ผมถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ต้องทำ  ไม่ควรทำอย่างยิ่ง, ก็มาทำ  มาหลงว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ  หรือต้องทำ;  แล้วโลกนี้ก็จะเป็นโลกที่ไม่มีศีลธรรม เพราะเหตุนี้.  นี่แหละคือความเสื่อมทางวิญญาณ  ที่เกิดมาจากการคุมกำเนิดทางฟิสิกส์.  พระเจ้าไม่เห็นด้วย, ธรรมชาติไม่เห็นด้วย, พระธณรมก้ไม่เห็นด้วย.  ลองปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดตามกฏเกณฑ์ของพระเจ้า  ของพระธณรม  ของธรรมชาติ  แล้วปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น;  หรือว่าจะเกิดขึ้นในลักษณะที่พอจะแก้ไขได้  ควบคุมได้.
          นี่เราก็พูดกันมามากแล้ว  เป็นตัวอย่างเท่านั้น  ว่าควรมีจิตทรามทางฝ่ายโมหะในโลกนี้ได้เจริยหนาแน่นขึ้นอย่างไร.
          ดูต่อไปอีกสักอันหนึ่ง  ชิ้นสุดท้าย  คือการศึกษาของโลกสมัยปัจจุบันนี้กลังเป็นโมหะอย่างยิ่ง, ยิ่งเรียนมากขึ้นยิ่งเป็นโมหะ,  ยิ่งเรียนมากยิ่งเป็นโมหะ;  คือไปรู้ในสิ่งที่ไม่ต้องรู้  แล้วไม่รู้ในสิ่งที่ต้องรู้;  ก็เกิดความมืดความเป็นอันธพาลทางวิญญาณขึ้นในจิตใจของคนหนุ่มสาวในโลก.  เพราะฉะนั้นการศึกษาที่จัดตามแผนปัจจุบันนี้  จึงมีผลนำไปสู่ความเป็นฮิปปี้เต็มโลก;  ไม่ใช่เฉพาะมีที่จุดนั้นจุดนี้  ความเป็นฮิปปี้จะเต็มโลกยิ่งขึ้นทุกที.  ดังนั้น  ถือว่าการศึกษา  แผนปัจจุบัน  หรือปรัชญาแผนปัจจุบัน  หรืออะไรแผนปัจจุบันนี้  เป็นการกระทำ  ที่นำไปสู่ความมีฮิปปี้เต็มโลก  มีความมืดบอดทางวิญญาณสูงสุด.
          สรุปแล้วก็ว่าอารยธรรมแผนใหม่คือเทคโนโลยีนี้  นำไปสู่ความมีโลภะ  โทสะ  โมหะ  มากขึ้น;  ส่วนอารยธรรมดัง้เดิมคือ spiritual enlightenment นั้น  มันป้องกันหรือปราบปราม  โลภะ  โทสะ  โมหะ ตลอดเวลา.  ฉะนั้นความมีจิตทรามในอารยธรรมแผนใหม่  ก็คือมันเพิ่มโลภะ โทสะ โมหะ มากขึ้น  ตามรายละเอียดเท่าที่ยกมาพอเป็นตัวอย่างเท่านั้น  ไม่ใช่ทั้งหมด.  เท่าที่เราพูดกันแล้ว  เป็นเพียงตัวอย่าง  ทางโลภะอย่างนั้น,  ทางโทสะ  อย่างนั้น, ทางโมหะอย่างนั้น, เหลือนอกนั้นคุณไปคิดดูเอง.1
 
1          ธรรมโฆษณ์ของพุทธทาส  เรื่องฆราวาสธรรม, ลำดับที่ 17ก.  บนแถบพื้นสีแดง,  เรื่องที่ 19  ภาวะจิตทรามในอารยธรรมแผนใหม่ (โทสะ โมหะ).  บรรรยายวันที่ 8 พฤษภาคม  2513, หน้า 352-360.


                                                ฟ้าสางทางกินดีอยู่ดี

         
          ฟ้าสางทางการกินดีอยู่ดี  นี้ก้พูดบ่อยที่สุดแล้ว.  บางคนนึกออกแล้ว  นึกอยู่ในใจแล้ว  ว่าอาตมาจะพูดว่าอะไร  เพราะพูดเรื่องนี้มาหลายหนเหลือเกิน.  กินดีอยู่ดีกำลังเป็นที่บูชากันอยู่ในโลก, เรียกว่าเป็นแฟชั่นคือทำตามๆกันเขาเรียกว่าแฟชั่น  นี่ทั้งโลกๆพูดถึงกินดีอยู่ดี, กินดีอยู่ดี, บ้านไหนเมืองไหนก็จะพูดถึงเรื่องกินดีอยู่ดี  ตามภาษาของตนแหละ  เขาจะพูดภาษาของเขา  แต่ว่าความหมายมันอยู่ที่ว่า  กินดีอยู่ดี  ซึ่งไม่มีขอบเขต,  แล้วก็โดยไม่รู้สึกตัวด้วย.  กินดีอยู่ดีอย่างไม่มีขอบเขต  แล้วตัวเองก็ไม่รู้สึกตัว  ว่าตนเองนั้นกินดีอยู่ดีอย่างไม่มีขอบเขต, นั่นแหละคือแฟชั่นที่กำลังเป็นในโลก.
          ประเทศเราเป็นประเทศเพิ่งพัฒนา  ก็ไปตามก้นประเทศใหญ่ๆประเทศที่เขากินดีอยู่ดีอย่างนั้น  จะละขนบธรรมเนียมประเพณีของบรรพบุรุษ  ปู่ ย่า ตา ยาย.  ปู่ ย่า ตา ยายของเราเขากินอยู่แต่พอดี, ปู่ ย่า ตา ยาย นี้ไม่ละโมบ โลภ ลาภ ที่จะกินดีอยู่ดีเอร้ดอร่อยไม่มีขอบเขต, นี่ ปู่ ย่า ตา ยาย จะกินให้ดี  จะอยู่ให้ดี  จะแต่งตัวให้สวย  จะอยู่บ้านอยู่ตึกเหมือนวิมาน  แข่งกับเทวดา, อะไรๆก็จะเป็นเรื่องพิเศษ  เรื่องสูงสุด  เรื่องดีๆที่ไม่มีขอบเขตทั้งนั้น.
          แฟชั่น  ความนิยมนี้  มันทำลายศีลธรรม, หลงกินดีอยู่ดี  มันก็ไม่ต้องเอาความคิดไหนมาใคร่ครวญว่า  ถุกต้องหรือไม่ถุกต้อง, มันจะเอาแต่กินดีอยู่ดีตะพึด  มันก็ทำลายศีลธรรม  ทำให้เลวกว่าสัตว์.  สัตว์มันไม่หลงกินดีอยู่ดีเหมือนคน  เพราะมันคิดไม่เป็น  มันกินแค่อิ่มเท่านั้นแหละ  แล้วมันจะกินเท่าที่มันหิวเท่านั้นแหละ.  เรื่องกินดีวิเศษ  หยอดน้ำปลาเติมน้ำส้มนั้นมันไม่มี, มันไม่รู้จักนึก  มันกินแต่ให้อิ่ม  อิ่มแล้วก็พอ.
          ตามหลักของพระศาสนา  เราเอาศาสนาทุกศาสนามาใคร่ครวญดูเถอะ, เราจะพบว่า  ทุกศาสนานี้จะมีหลักตรงกันหมด  คือถือว่าการกินอยู่ที่เกินพอดีนั้นบาป; กินดีอยู่ดี  หมายถึงกินพอดีนั้นคือบาป, กินอยู่แต่พอดี นั้นคือไม่บาป.  ศาสนาจึงสอนให้กินพอดีนั้นคือบาป, กินอยู่แต่พอดี  นั้นคือไม่บาป.  ศาสนาจึงสอนให้กินอยู่แต่พอดี;  ถ้ากินดีอยู่ดี  ซึ่งมันไม่มีที่สิ้นสุด  มันก็เกิดพอดี  มันก็คือบาป,  ศาสนาไหนถือว่าไม่บาป  กินให้เกินพอดีเถอะ  ไม่บาป  นั้นไม่ใช่ศาสนา;  นั้นไม่ใช่ศาสนาของมนุษย์ที่ถูกต้องเป็นศาสนาของกิเลส,  เป็นศาสนาของพญามาร  ให้กินดีอยู่ดีไม่มีขอบเขตเป็นศาสนาของพญามาร.
          เพราะไปหลงการกินดีอยู่ดีไม่มีขอบเขต  ลัทธินายทุนเอาเปรียบผู้อื่นมันก็เกิดขึ้นมาในโลก;  ก่อนนี้มันไม่มีหรอก  เพราะทุกคนไม่ปรารถนาจะกินดีอยู่ดีให้เกินขอบเขต.  กินอยู่แต่พอดีมันก็ไม่รู้จะเอาไปทำไม  มันก็ไม่มีความคิดที่จะกอบโกยขูดรีดเป็นนายทุนกระดาษซับ,  นายทุนมีอำนาจขูดรีดกอบโกยเอาหมาด  มันก็เพราะว่า  ต้องการจะกินดีอยู่ดี  ที่ไม่มีขอบเขต.  ถ้าเกิดนายทุนมันก็ต้องเกิดคนต่อสู้  คือคอมมิวนิสต์  นี้เป็นธรรมดา;  ถ้าว่านายทุนไม่ได้เกิดขึ้นมาในโลก  คอมมิวนิสต์ก็ไม่เกิดขึ้นมาในโลก.  ไปคิดดูเถอะ  เพราะมีนายเกิดขึ้นมาในโลก  รวบรัดเอาไว้หมด  เอาไว้มาก  ก็ต้องเกิดผู้ต่อสู้แย่งชิงคือคอมมิวนิสต์.
          ฉะนั้นอย่าไปทาคอมมิวนิสต์  คอมมิวนิสต์มันเกิดเพราะนายทุน,  เพราะมีนายทุนจึงเกิดคอมมิวนิสต์.  นี้จึงจะเห็นได้ว่า  ความกินดีไม่มีขอบเขตนั้น  เป็นเหตุให้เกิดทั้งนายทุน  เป็นเหตุให้เกิดทั้งคอมมิวนิสต์, ให้นายทุนเกิดขึ้นมาในโลก,  ให้คอมมิวนิสต์เกิดขึ้นมาในโลก, ก็เพราะว่าการกินดีอยู่ดี,  หวังที่จะกินดีอยู่ดีอย่างที่ไม่มีขอบเขต.  นี้เรียกว่ามันเป็นบาปกินอยู่เกินพอดี  มันจะทำลายโลก.
          กินดีอยู่ดี  คนหลงกันแล้วมันก็ซื้อกันใหญ่.  ของที่เกินจำเป็น  มันก็เกิดเกินจำเป็นขึ้นมาในโลกเต็มไปมหด.  เดี๋ยวนี้ของจำเป็นเกือบจะไม่มีใครรู้จัก, รู้จักกันแต่ของเกินจำเป็น.  เอาโฆษณาสินค้าในหน้าหนังสือพิมพ์มาพิจารณาดูเถอะ  ทั้งหมดนั่นแหละ  จะเห็นว่ามันเป้นสิ่งที่ไม่จำเป็น  สิ่งที่เกินจำเป็น;  เมื่อไปบูชาไปหลงให้เกินจำเป็น  มันก็เกิดความไม่สมดุล, เกิดความผิดพลาด  เกิดอุตสาหกรรมที่ลวงคนให้เป็นทาสกิเลส, เกิดระบบการค้าหลอกคน  ให้ซื้อหาแต่สิ่งที่ทำลายมนุษย์, เป็นคนหลง  หลงกินหลงใช้หลงแต่งเนื้อแต่งตัว, หลงอะไรต่างๆนานนา เป็นอันตรายแก่มนุษย์เอง.  มนุษย์ที่ว่ามีใจสูง  เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนขี้กิน  ใจต่ำหรือใจสูง.  คำว่ามนุษย์แปลว่าใจสูง;  เดี๋ยวนี้มันก็กลายเป็นคนขี้กิน  กินอยู่เกินพอดี  หมดความเป็นมนุษย์ไป.
          เขาพูดกันว่า  การกินดีอยู่ดีที่เกินจำเป็น  นั้นเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บสมัยใหม่  ขึ้นมาเยอะแยะไปหมด.  ข้อนี้อาตมาก็เชื่อ  แต่ก็ไม่มีปัญญาจะอธิบาย.  ให้ไปถามพวกหมอดู  หมอคงจะบอกได้ว่า โรคใหม่ๆที่เกิดขึ้น  เพราะมนุษย์สมัยนี้กินดีอยู่ดีเกินพอดีนั้นมีโรคอะไรบ้าง  เพราะว่าหลายโรคทีเดียว  โรคใหม่ๆที่เพิ่งเกิดขึ้นมาในสมัยที่มนุษย์นิยมการกินดีอยู่ดี.
          เขาว่ากันว่า  แม้แต่โรคตาเป็นต้อกระจก, ตาเป็นต้อกระจก  จะเป็นแต่เฉพาะคนที่มีการกินดีอยู่ดี.  จริงหรือไม่จริงไปถามหมอดู.  โรคตาต้อกระจกมันมีมากขึ้นๆ  ในโลกยุคปัจจุบันนี้ก็เพราะว่าคนมีการกินดีอยู่ดี,  แล้วมันไม่สมดุลย์อะไรขึ้นมาที่ตานั่นแหละ  แล้วก็ตาเป็นโรคต้อต่างๆนานา.  โรคต้อกระจก ต้ออะไรก็ตาม  เขาว่ากันอย่างนี้;  มีเหตุผล.  เพราะมันผิดสมดุลธรรมชาติ.  ทีนี้มันไม่ได้เป็นเฉพาะที่ตา  ที่ไหนๆก้เป็น  เป็นขึ้นมากมายหลายโรค  หลายสิบโรค  เพราะว่าการกินดีอยู่ดี.  การกินดีอยู่ดีจึงเป็นสิ่งที่ต้องระวัง, ขอให้กินอยุ่แต่พอดี, กินอยู่เกินพอดีนั้นเป็นบาป.
   เดี๋ยวนี้คนเขาพอใจนะ  พอใจกินดีอยู่ดี, กินดีอยู่ดี  ถ้ารัฐบาลไหนประกาศออกมาว่า  ฉันจะช่วยให้ประชาชนกินดีอยู่ดี  รัฐบาลนั้นได้รับความพอใจ  ได้รับการสนับสนุน.  รัฐบาลไหนในโลกก็สัญญากับประชาชนว่าอย่างนี้ทั้งนั้น  เพื่อเรียกร้องความสนับสนุนของประชาชน;  เขาไปยักเรียกเสียว่า  สวัสดิการบ้าง อะไรบ้าง.  สวัสดิการนั้นดูจะเป็นเรื่องกินดีอยู่ดีมุ่งหมายกินดีอยู่ดี, แล้วก็เกินพอดีทั้งนั้น, แล้วสวัสดิการมันจะเล่นงงานมนุษย์ ให้เกิดปัยหาไม่รู้สิ้นสุด.
          รู้เสียเถอะว่า  กินดีอยู่ดีมันไม่มีที่สิ้นสุดนี้  มันไม่มีขอบเขต  มันออกไปได้โดยไม่มีขอบเขต  ปัยหามันก้ออกไปได้,  อย่างน้อยก็ทำให้ทุกคนหลงใหล  ในเรื่องเอร็ดอร่อยทางอายตนะ  ทางตา  ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้น  ทางกาย  ซึ่งเรียกว่าเป็นทาสของอายตนะ  เป็นทาสของอารมณ์  เป็นทาสของกิเลส.  นี่คือผลของการกินดีอยู่ดี  ทำให้คนไม่พอใจรักษาศีลธรรม, ไม่กล้าหาญรักษาศีลธรรม  เพราะจะเอาแต่ตามอำนาจของกิเลส  เพื่อกินดีอยู่ดี  ศีลธรรมมันก็หมดไป.
          กินอยู่แต่พอดี  กินอยู่แต่พอดี  นั่นคือบทกำหนดของธรรมชาติ  ธรรมชาติอันลึกซึ้ง  หรือพระเจ้าก็ตาม  ต้องการให้มนุษย์กินอยู่แต่พอดี, ธรรมชาติกำหนดให้กินอยู่แต่พอดี  ถ้าแกกินอยู่เกินพอดี  แกต้องเป็นโทษ, แกต้องมีโทษ  แกต้องรับบาป  แกต้องเกิดโรค  แกต้องเกิดปัยหารบราฆ่าฟันกัน  อย่างน้อยในตัวแกต้องเกิดโรค.  แล้วแกก็แย่งชิงกันเพื่อกินดีอยู่ดี  แกก้ต้องได้รบราฆ่าฟันกัน  ทำลายล้างกัน.  ฉะนั้นสัตว์เดรัจฉานไม่ค่อยมีปัญหาอย่างนี้  เพราะมันกินอยู่แต่พอดี,  แล้วความคิดมันไม่มีที่จะกินอยู่ดีอย่างไม่มีขอบเขต  มันคิดไม่ได้  มันสมองมันคิดไม่ได้  เพราะฉะนั้นมันไม่ต้องเป็นทุกข์ทรมานเหมือนมนุษย์.
          มนุษย์ที่จะกินดีอยู่ดี  ให้ลูกหลานกินดีอยู่ดี  แต่งเนื้อแต่งตัวดี  อะไรดีๆดี  พ่อแม่ต้องเป็นโรคประสาท  เพื่อให้ลูกหลานได้กินดีอยู่ดี;  นี้ทำไมไม่คิดกันบ้าง?  แต่ว่าที่จริงแล้ว  มันเพิ่งเป็นเช่นนี้เมื่อเร็วๆนี้,  ก่อนนี้มันก็ไม่ได้เป็น.  มนุษย์สมัยคนป่าโน้นเป็นอย่างนี้ไม่ได้  แล้วเขาก็อยู่กันมาอย่างถูกต้อง  เป็นธรรมดาธรรมชาติสมดุลเรื่อยๆมา เรื่อยๆมา,  มายุคเมื่อเร็วๆนี้เอง  ที่มันเกิดเจริญทางวัตถุ  เกิดความเปลี่ยนแปลงมาก  คือรู้จักประดิษฐ์ทางวัตถุ  เรื่องกิน  เรื่องนุ่ง  เรื่องห่ม  เรื่องใช้สอย.
          เมื่อรู้จักทำให้อร่อยสวยงามเพลิดเพลินกว่าธรรมชาติ  เมื่อนั้นแหละปัญหามันตั้งต้น,  ปัญหายุ่งยากของมนุษย์ตั้งต้น  เมื่อรู้จักกินดีอยู่ดีกว่าธรรมชาติ;  ถ้าสมัยก่อนมีเผือกมีมันไปขุดมากิน  ไปไล่เนื้อก็มากิน  บางทีก็กินทั้งดิบๆ  ต่อมารู้จักย่างไฟกเกินมากกว่า  ต่อมารู้จักจิ้มเกลือมันก้กินมากกว่า,  เรียกว่าความเจริญทางวัตถุเพิ่มขึ้นเท่าไร  ปัยหาอย่างนี้มันก็เกิดขึ้นเท่านั้น.  จนกระทั่งว่าเดี๋ยวนี้มันเหลือที่จะกล่าว  มีสิ่งที่เกินจำเป็นมากเหลือเกิน.
          ครั้งหนึ่งอาตมาตกใจ  เพียงแต่ไปเห็นเท่านั้นแหละ  เขาตั้งโต๊ะเลี้ยงอาหารแบบใหม่โต๊ะจีนนั่นแหละ  เฉพาะน้ำจิ้มเท่านั้นตั้ง 20 อย่าง.  คิดดูสิ  บนโต๊ะนั้นเฉพาะน้ำจิ้มเท่านั้นมีตั้ง 20 อย่าง  อย่างนี้ไม่อร่อยมันก็จิ้มอย่างนี้, อย่างนี้ไม่อร่อยมันก้จิ้มอย่างนี้, อย่างนั้นไม่อร่อยมันก็จิ้มอย่างนั้น, มีให้เลือกตั้ง 20 อย่าง  มันก็กินเกินพอดีเพราะว่าเปลี่ยนทีมันก็อร่อยทุกที  มันก็กินเกินพอดี  นั่นแหละความเจริญซึ่งจะฆ่ามนุษย์  ทำให้มีโรคภัยไข้เจ็บ,  ให้มีความเห็นแก่ตัว ให้มีความอิจฉาริษยา, ให้มีความแย่งชิงแล้วก็ทำลายล้างกัน.
          ฉะนั้นรีบยศึกษาธรรมะ,  เดี๋ยวนี้ศึกษาธรรมะ  ให้รู้ข้อนี้, หยุดเป็นทาสของกิเลส, หยุดเป็นทาสของกิเลส  ไม่บูชาความเอร็ดอร่อยของกิเลส.  ความอร่อยนั้นมันเพื่อส่งเสริมกิเลส  เป้นของกิเลส  ไม่ใช่ของธรรมะ  ถ้าของธรรมะไม่ต้องอร่อย  ให้เลี้ยงชีวิตอยู่ได้ให้เป็นปรกติ, เอาแต่เพียงปรกติและสมดุล;  ถ้าถึงขนาดอร่อยแล้วก้เป็นเรื่องของกิเลส.
          แต่ว่าคนที่มีธรรมะแล้ว  ถึงจะอร่อยมันก็ไม่หลงใหลดอก   เอาของอร่อยอย่างไรมาให้คนที่มีธรรมะกิน  มันก็ไม่หลงใหล,  มันเพียงรู้แต่ว่า  โอ้  นี้มันอร่อยโว้ย  เขาเรียกกันว่าอร่อย  แล้วก็ไม่ต้องหลงใหล.  ฉะนั้นคนมีธรรมะจึงไม่เป็นอะไร  กินของอร่อยก็ไม่หลงใหล,  กินของไม่อร่อยก็ไม่ขัดใจ  ปรกติอยู่เสมอ;  นี่เขาเรียกว่ามีธรรมะ.1
  

1          ธรรมโฆษณ์ของพุทธทาส  เรื่อง  ฟ้าสางระหว่าง 50 ปีที่มีสวนโมกข์ [ตอน 2], ลำดับที่ 46.ง  บนแถบพื้นสีม่วง, 
เรื่องที่ 12  ฟ้าสางในทางพุทธศิลปะ.  บรรยายเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2526, หน้า 430-435.



                                                ไม่รู้จักกินอยู่แต่พอดี

          มนุษย์กำลังวิตกกังวลว่า  จะขาดแคลนอาหาร  เขาคำนึงคำนวณกันว่าที่ดินจะไม่พอปลูกพืชผล,  สัตว์ที่เป็นอาหาร ในทะเล ในป่า กำลังจะหมดไป.  ก้ถุกแล้ว  มันจะหมดไปแน่  มันไม่พอแน่,  เพราะว่าความบ้าคลั่งของมนุษย์ในเรื่องความก้าวหน้าทางวัตถุ, มันทำให้เกิดความสับสน  แม้แต่ฝนก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล,  เพราะมนุษย์รบกวนธรรมชาติมากยิ่งขึ้นๆ, การที่มีระเบิดปรมาณูระเบิดอยู่บ่อยๆในโลกหรือว่ามีจรวด  หรือมีอะไรไปกวนบรรยากาศของโลกอยู่เรื่อยๆ และมากขึ้นๆนี้มันต้องมีความผิดแปลกไปจากเดิม.
          ธรรมชาติถูกรบกวนมากเกินไป  แม้แต่ฝนก็จะไม่ตกต้องตามฤดูกาล, แผ่นดินมันก็เสียไป, สัตว์ป่าก็จะไม่มีที่อยู่, ปลาก็จะไม่มีที่ปลอดภัย, เพราะถูกรบกวนด้วยความเจริญของมนุษย์;  พร้อมกันนั้นมนุษย์ก็ทวีจำนวนมากขึ้น,  การขาดแคลนอาหารมันก็ต้องมีขึ้น  มากขึ้น  เป็นปัญหาใหญ่ในการล้างผลาญโดยไม่จำเป็น, ความขาดแคลนจึงเกิดขึ้น.  ถ้าเป็นอยู่ในทางเท่าที่จำเป็น, ความขาดแคลนจึงเกิดขึ้น.  ถ้าเป็นอยู่ในทางเท่าที่จำเป็น  เท่าที่พระเจ้าไม่ห้าม,  ความขาดแคลนจะยังไม่มี;  แล้วก็เป็นอยู่อย่างประกอบด้วยธรรม  มันก็มีความสันโดษมักน้อย  กินอยู่น้อยคือว่ากินอยู่พอดี.
          เดี๋ยวนี้ไปบูชาอยู่ดีทางเนื้อหนัง  ไม่บูชาหลักทางศาสนา  ที่ว่ากินอยู่แต่พอดี  กลับไปถือกินดีอยู่ดี  ขยายออกไปไม่มีสิ้นสุด.  ความขาดแคลนมันก็มีปราฏอยู่เฉพาะหน้า  และรู้สึกขาดแคลนมากขึ้น.  แม้แต่คนชั้นต่ำที่สุด  ก็จะต้องมีตู้เย็น,  จะต้องมีอาหารชนิดที่ใส่ไว้ในตู้เย็น  อย่างนี้มันจะไม่ขาดแคลนอย่างไร  ในเมื่อต้องการพร้อมๆกันอย่างนี้.  คนสมัยก่อนอยู่ได้อย่างอาหารเหลือเฟือ  เพราะว่าเขากินอยู่ต่ำกว่านี้  กินอยู่พอดีกินอยู่พออยู่ได้;  มันจึงเหลือเฟือ.  เดี๋ยวนี้กินอยู่ไม่มีขอบเขต  มันทิ้งเสียวันละเท่าไร,  เศษอาหารที่ทิ้งเสียวันหนึ่งๆเท่าไร.
          คุณจะเห็นได้ว่า  น้ำอัดลม  เราดูดจิบไปนิดหนึ่ง  ไม่ถึงหนึ่งในสี่ของขวดแล้วก็ทิ้งไป  ในวันหนึ่งเท่าไร.  อื่นๆก้เหมือนกันอีก  เอาไปใช้ในทางที่ไม่จำเป็นก็มาก, สุรุ่ยสุร่ายเสียมาก, ปัจจัยหรืออาหารมันก็ขาดแคลน.  ข้อนี้มันรวมอยู่ในข้อที่ว่าทำลายทรัพยากรของธรรมชาติโดยไม่จำเป็นอยู่มาก.  ถ้าปรับการเป็นอยู่กันเสียใหม่ก็จะเหลือเฟือ,  ยังจะมีความเหลือเฟืออยู่นั่นเอง.1


1          ธรรมโฆษณ์ของพุทธทาส  เรื่อง  บรมธรรมภาคปลาย, ลำดับที่ 19.ก  บนแถบพื้นสีแดง, เรื่องที่ 41 อานาปานสติประยุกต์(ต่อ).  บรรยายวันที่ 21 พฤษภาคม 2512,  หน้า 781-783.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น