ลึกในภวังคจิตของมนุษย์คือความต้องการอย่างจำเป็นที่แผ่ซ่านไปทั่วสำหรับจักรวาล ตรรกะที่มีเหตุผล. แต่จักรวาลที่แท้จริงมักจะหนึ่งขั้นโพ้นเลยไปจากตรรกะ.
---จาก
“การพูดทั้งหลาย ของ มวด’ดิบ” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน
ข้าได้นั่งตรงข้ามของผู้ปกครองทั้งหลายมากมายแห่ง
มหาราชสำนัก,
แต่ไม่เคยได้เห็นหมูตัวไหนที่หยาบช้าและอันตรายเยี่ยงเจ้าผู้นี้, ธูเฟอร์
ฮาวัตบอกกับตัวเขา.
“เจ้าต้องพูดอย่างเรียบง่ายกับข้า, ฮาวัต,”
ท่านบารอนกร่นพึมพัม. เอนกลบไปในเก้าอี้แขวนลอยของเขา,
ดวงตาในความยับย่นของไขมันเจาะเข้าไปในฮาวัต.
เมนทาตเฒ่ามองลงไปที่โต๊ะระหว่างเขาและบารอน
วลาดิมีร์ ฮาร์คนเนน, สังเกตจำถึงความอุดมสมบูรณ์ของเนื้อไม้ของมัน.
กระทั่งนี้เป็นองค์ประกอบที่พิจารณาในการประเมินต่อบารอนนี้,
เช่นเดียวกับผนังสีแดงทั้งหลายของห้องประชุมส่วนตัวและกลิ่นจางหอมหวานของสมุนไพรที่ลอยอ้อยอิ่งในอากาศ,
สวมบังกลิ่นคาวสัตว์ในส่วนลึกกว่า.
“เจ้าไม่ได้ให้ข้าส่งคำเตือนนั่นไปยังแร็บบานว่าเป็นเช่นความเพ้อฝันไร้สาระ,”
ท่านบารอนพูด.
ใบหน้าแผ่นหนังเหนียวของฮาวัตยังคงไร้อารมณ์ใด,
ทรยศต่อการไม่มีความเกลียดชังใดที่เขาได้รู้สึก. “ข้าสงสัยความเป็นไปได้ในหลายสิ่ง,
ใต้เท้า,” เขาพูด.
“ใช่. เอาละ, ข้าปรารถนาที่จะรู้ว่ารูปลักษณ์อาร์ราคิสทั้งหลายในความสงสัยทั้งหลายของเจ้าเกี่ยวกับซาลูซา
เซกันดัส(Salusa Secundus* – ดาวเคราะห์ที่มีสภาพเลวร้ายทางนิเวศน์และสังคม-ใช้เป็นคุกของจักรวรรดิ). มันไม่เพียงพอที่เจ้าพูดกับข้าว่าจัรพรรดิอยู่ในความวุ่นวายเกี่ยวกับบางการ
*
https://dune.fandom.com/wiki/Salusa_Secundus/DE
เชื่อมโยงระหว่างอาร์ราคิสและดาวเคราะห์คุกลี้ลับของพระองค์.
ทีนี้, ข้ารีบด่วนส่งคำเตือนออกไปยังแร็บบานเท่านั้นเพราะว่าผู้นำสาส์นต้องออกไปกับยานไฮจ์ไลเนอร์.
เจ้าได้พูดว่าไม่ควรจะมีการล่าช้า. ดีและเยี่ยม. แต่ตอนนี้ข้าจะได้คำอธิบายนั้น.”
เขาพล่ามมากเกินไป, ฮาวัตคิด.
เขาไม่เหมือนลีโตผู้สามารถบอกกับข้าในสิ่งหนึ่งได้เพียงแค่เลิกคิ้วหรือการโบกมือ.
ไม่เหมือนดยุคเฒ่าผู้สามารถแสดงออกประโยคทั้งหมดในวิธที่เขาออกเสียงเน้นแค่คำเดียว.
นี่คือคนงี่เง่า! การทำลายเขาจะเป็นการรับใช้ต่อมนุษยชาติ.
“เจ้าจะไม่ออกไปจากที่นี่จนกว่าข้าจะได้คำอธิบายที่เต็มที่และสมบูรณ์,”
ท่านบารอนพูด. “พวกสุดเลวขอทานในกาแล๊กซี่ถูกส่งไปที่ ซาลูซา เซกันดัส.
อะไรอื่นที่เราจำเป็นที่จะต้องรู้รึ?”
“สภาพทั้งหลายนั้นบนดาวเคราะห์ราชทัณฑ์โหดเหี้ยมทารุณรุนแรงยิ่งกว่าที่ใดอื่น,”
ฮาวัตพูด. “ท่านได้ยินว่าอัตราการต้องตายในหมู่นักโทษรายใหม่ทั้งหลายนั้นสูงยิงกว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์.
ท่านได้ยินว่าท่านจักรพรรดิทดลองฝีกทุกรูปแบบของการทารุณที่นั้น.
ท่านได้ยินมาทั้งหมดนี้และไม่ได้ถามคำถามทังหลายหรือ?”
“องค์จักรพรรดิไม่ได้อนุญาตให้มหาราชสำนักในการที่จะสืบสอบคุกของพระองค์,”
ท่านบารอนคำรามขู่. “แต่พระองค์ก็ไม่ได้มองเข้ามาในคุกมืดทั้งหลายของข้า,
เช่นกัน.”
“และความแปลกหาได้ยากเกี่ยวกับซาลูซา
เซกันดัสคือ.....อาห์.....” ฮาวัตเอานิ้วกระดูกหนึ่งแตะริมฝีปากของเขา
“.....การทำให้หมดกำลังใจ.”
“แล้วเขาไม่ได้ภูมิใจในบางอย่างของอะไรทั้งหลายที่เขาต้องทำที่นั่น!”
ฮาวัตยอมให้ความจางที่สุดของรอยยิ้มมาสัมผัสที่ริมฝีปากมืดคล้ำของเขา.
ดวงตาของเขาแวววาวในแสงของท่อเรืองแสงขณะที่เขาจ้องมองยังบารอน.
“และท่านก็ไม่เคยได้สงสัยใจว่าจักรพรรดิได้ซาร์เดาการ์ของเขามาจากที่ไหนรึ?”
บารอนแบะริมฝีปากอวบอ้วนของเขา.
นี้ทำให้รูปลักษณ์ของเขาดูท่าทางเหมือนเด็กทารกยื่นปากโกรธ,
และเสียงของเขาแบกมาด้วยน้ำเสียงของความงอนขณะที่เขาพูด: “ทำไม.....เขาถึงสรรหาเอา.....นั่นที่จะพูด,
ทั้งที่มีทหารเกณฑ์อยู่มากมายและเขาได้ขึ้นบัญชีจาก---”
“ฟ่าววววว!” ฮาวัตแทรกขัด.
“นิทานทั้งหลายที่ท่านได้ยินเกี่ยวกับพฤติการณ์กล้าหาญทั้งหลายของพวกซาร์เดาการ์,
พวกนั้นไม่ใช่ข่างลือ, ใช่ไหม?
พวกที่เป็นอันดับแรกของบัญชีจากจำนวนจำกัดที่รอดชีวิตทั้งหลายของผู้ได้ต่อสู้กับซาร์เดาการ์,
เอ๋?”
“พวกซาร์เดาการ์เป็นนักรบที่ยอดเยี่ยม,
ไม่ต้องสงสัยในมันเลย,” ท่านบารอนพูด. “แต่ข้าคิดว่ากองทหารของข้าเอง---”
“เทียบกันแล้วได้แค่เป็นกลุ่มทัศนาจรวันหยุด!” ฮาวัตหยัน.
“ท่านคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าทำไมจักรพรรดิถึงหันมาลงมือกับราชสำนัก อะไทรดิส?”
“นี่ไม่ใช่ขอบเขตเปิดต่อการคาดคะเนพิเคราะห์ของเจ้า,”
ท่านบารอนเตือน.
มันเป็นไปได้ไหมว่ากระทั่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ได้กระตุ้นผลักดันจักรพรรดิในเรื่องนี้?
ฮาวัตถามตนเอง.
“พื้นที่ใดๆก็เปิดต่อการคาดคะเนพิเคราะห์ของข้าถ้ามันได้เป็นอะไรที่ท่านได้จ้างข้ามาทำ,”
ฮาวัตพูด. “ข้าเป็นเมนทาต.
ท่านไม่อาจระงับขีดเส้นข้อมูลข่าวสารหรือการคำนวณไปจากเมนทาต.”
นานชั่วขณะหนึ่ง, ท่านบารอนจ้องมายังเขา,
แล้ว: “พูดอะไรที่เจ้าต้องพูด, เมยทาต.”
“จักรพรรดิ ปาดิชาห์หันเข้าใส่อะไทรดิสเพราะปรมาจารย์สงคราม
เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค และ ดันแคน ไอดาโฮ ของท่านดยุค
ที่ได้ฝึกฝนกองกำลังรบ---กองกำลังรบเล็กๆ---ที่จะอยู่ในเส้นผมดีเท่าๆกับซาร์เดาการ์.
บางส่วนของพวกเขากระทั่งดีกว่า. และท่านดยุคได้อยู่ในตำแหน่งที่จะขยายกองกำลังของเขา,
ที่จะทำมันทุกชิ้นเล็กชิ้นน้อยให้เข้มแข็งเท่าเทียมกับของจักรพรรดิ.”
ท่านบารอนชั่งน้ำหนักการเปิดโปงนี้,
แล้ว: “อะไรที่อาร์ราคิสมามีส่วนกับเรื่องนี้รึ?”
“มันมีให้ซึ่งกลุ่มของผู้รับคัดเกณฑ์ใหม่อยู่พร้อมที่ถูกปรับสภาพต่อการฝึกอันโหดหี้ยมที่สุดจากการรอดชีวิตที่ขมขื่นที่สุด.”
ท่านบารอนส่ายศีรษะของเขา.
“เจ้าไม่สามารถหมายถึงพวกฟรีเมนนั่นได้?”
“ข้าหมายถึงพวกฟรีเมน.”
“ฮ๊า! แล้วทำไมเตือนแร็บบาน? ไม่สามารถมีเป็นมากกว่ากำมือเดียวของพวกฟรีเมนเหลืออยู่หลังจากการสังหารหมู่ของซาร์เดาการ์และการกดขี่ของแร็บบาน.”
ฮาวัตดำเนินต่อไปในการจ้องมองที่เขาอย่างเงียบๆ”
“ไม่มากไปกว่ากำมือเดียว!” บารอนพูดซ้ำ. “แร็บบานได้ฆ่าไปหกพันของพวกนั้นเพียงแค่เมื่อปีที่แล้วเท่านั้น!”
ยังคง, ฮาวัตจ้องมองเขา.
“และปีก่อนหน้านี้มันเป็นเก้าพัน,” ท่านบารอนพูด.
“และก่อนที่พวกเขาจะออกมาจากที่นั่น, พวกซาร์เดาการ์ต้องได้ลงบัญชีไว้อย่างน้อยที่สุดก็ยี่สิบล่ะ.”
“อะไรคือที่กองกำลังของแร็บบานสูญเสียไปสำหรับสองปีที่ผ่านมาล่ะ?”
ฮาวัตถาม.
บารอนถูแก้มอูมย้อยของตน. “เอาละ,
เขาได้เกณฑ์รายใหม่เพิ่มค่อนข้างอย่างหนัก, เพื่อทพให้แน่ใจ.
เจ้าหน้าที่ทั้งหลายของเขาค่อนข้างจะให้สัญญาฟุ่มเฟือยและ---”
“เราจะพูดได้ไหมว่าเป็นสามสิบ-พันในตัวเลขกลมๆ?”
ฮาวัตถาม.
“นั่นจะดูเหมือนว่าค่อนข้างสูงไปเล็กน้อย,”
ท่านบารอนพูด.
“เกือบจะตรงกันข้าม,” ฮาวัตพูด.
“ข้าสามารถอ่านระหว่างบรรทัดทั้งหลายของรายงานจากแร็บบานได้เช่นเดียวกับที่ท่านสามารถ.
และท่านอย่างชัดเจนเลยว่าต้องได้เข้าใจรายงานทั้งหลายของข้าจากเจ้าหน้าที่ของเรา.”
“อาร์ราคิสเป็นดาวเคราะห์ที่หฤโหด,”
ท่านบารอนพูด. “การสูญเสียจากพายุสามารถ---”
“เราทั้งคู่ต่างก็รู้ถึงตัวเลขที่งอกเข้ามาจากพายุ,”
ฮาวัตพูด.
“แล้วอะไรถ้าเขาได้สูญเสียไปสามสิบ-พันล่ะ?”
ท่านบารอนบัญชาถาม, และเลือดฉีดเข้มคล้ำใบหน้าของเขา.
“ตามการนับของท่านเอง,” ฮาวัตพูด,
“เขาได้ฆ่าไปสิบห้า-พันกว่าในสองปีขณะที่สูญเสียไปเป็นสองเท่าของตัวเลขนั้น.
ท่านพูดว่าซาร์เดาการ์ลงบัญชีไปยี่สิล-พัน, อย่างเป็นไปได้ว่ามากกว่านั้นอีกเล็กน้อย.
แลพข้าได้เห็นประกาศการขนย้ายที่เอาพวกเขากลับมาจากอาร์ราคิส.
ถ้าพวกเขาฆ่าไปยี่สิบ-พัน, พวกเขาก็สูญเสียไปเกือบห้าต่อหนึ่ง.
ทำไมท่านจะไม่เผชิญหน้ากับตัวเลขนั้น, และทำความเข้าใจว่าพวกมันหมายถึงอะไรล่ะ?”
ท่านบารอนพูดอย่างเย็นเยือกในจังหวะทำนอง:
“นี่คืองานของเจ้า, เมนทาต. พวกมันหมายถึงอะไรล่ะ?”
“ข้าให้ท่านด้วยตัวเลขนับหัวของดันแคน
ไอดาโฮในสิฐคามที่เขาได้ไปเยือน,” ฮาวัตพูด. “มันลงตัวเหมาะสมทั้งหมด.
ถ้าพวกเขาได้มีแค่เพียงสองร้อยกับอีกห้าสิบในชุมชนสิฐคามทั้งหลายเช่นนั้น,
ประชากรของพวกเขาน่าจะอยู่ในราวห้าล้าน.
จากการคำนวณดีที่สุดของข้าคือว่าพวกเขามีอย่างน้อยที่สุดมากเป็นสองเท่าในชุมชนมากมายนั้น.
ท่านจำเป็นกระจายประชากรของท่านออกไปบนดาวเคราะห์เช่นนั้น.”
“สิบล้านรึ?”
คางย้วยย้อยของท่านบารอนสั่นระริกด้วยความทึ่งใจ.
“อย่างน้อยที่สุด.”
ท่านบารอนแบะริมฝีปากอวบอ้วนของตน.
ตาวาวเหมือนลูกปัดจ้องมาโดยปราศจากการกระพริบยังฮาวัต. นี่เป็นคำนวณจริงของเมนทาตรึ?
เขากังขาใจ. นี่เป็นไปได้อย่างไรและไม่มีใครสงสัยคาดเดา?
“เราไม่ได้กระทั่งตัดอย่างหนักหน่วงเข้าไปในรูปลักษณ์ของอัตราการเกิด-ที่เติบโตขึ้นอีกด้วย,”
ฮาวัตพูด. “เราได้แค่สางมันออกมาบางส่วนของตัวอย่างที่สำเร็จน้อยของพวกเขา,
แล้วปล่อยส่วนที่แข็งแรงให้เติบโตแข็งแรงขึ้น---เหมือนกับที่ซาลูซา เซกันดัส.”
“ซาลูซา เซกันดัส!” ท่านบารอนคำรามขู่. “เรื่องนี้ไปเกี่ยวอะไรกับดาวเคราะห์ราชทัณฑ์ของจักรพรรดิ?”
“คนที่รอดชีวิตจากซาลูซา เซกันดัสเริ่มต้นออกมาแข็งแกร่งขึ้นกว่าคนอื่นเป็นส่วนมาก,”
ฮาวัตพูด. “เมื่อท่านเติมสิ่งที่ดีที่สุดของการฝึกทางทหาร---”
“ไร้สาระ! โดยการโต้แย้งของเจ้า. ข้าสามารถเกณฑ์พลใหม่จากกลุ่มพวกฟรีเมนภายหลังจากวิธีที่พวกเขาได้ถูกข่มเหงกดขี่โดยหลานของข้า.”
ฮาวัตพูดในเสียงอ่อนเบา:
“ท่านไม่ได้กดขี่ใครในกองทหารของท่านหรอกรึ?”
“เอ้อ.....ข้า.....แต่---”
“การกดขี่ข่มเหงเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน,”
ฮาวัตพูด. “นักรบของท่านทั้งหลายน่าจะดีมากกว่าพวกที่รายล้อมพวกเขาอยู่,
เอ๋? พวกเขาเห็นทางเลือกที่ไม่น่าพึงใจที่จะเป็นทหารของท่านบารอน, เอ๋?”
ท่านบารอนเงียบเสียงลง,
ตาไม่เพ่งจับสิ่งใด. ความเป็นไปได้ทั้งหลาย---แร็บบานไม่รู้ไม่ตั้งใจที่จะได้ให้ราชสำนัก
ฮาร์คอนเนน ด้วยอาวุธสุดยอดของมันรึ?”
ทันทีนั้นเขาพูด:
“เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรกับความจงรักภักดีกับการเกณฑ์พลเช่นนั้น?”
“ข้าจะเอาพวกนั้นอยู่ในกลุ่มเล็กๆ,
ไม่ใหญ่กว่าระดับหมวดเต็มกำลัง,” ฮาวัตพูด.
“ข้าจะย้ายพวกเขาจากสภาพถูกกดขี่และกันแยกพวกนั้นด้วยการฝึกปฏิบัติเยี่ยงกลุ่มแกนนำของผู้คนผู้ที่ได้เข้าใจปูมิหลังของพวกเขาแล้ว,
ผู้คนที่สามารถเห็นด้วยซึ่งได้เป็นแบบอย่างให้กับพวกนั้นมาก่อนแล้วจากสภาวะปกครองกดขี่เดียวกัน.
แล้วข้าก็จะเทเติมพวกเขาด้วยความลี้ลับที่ดาวเคราะห์ของเขาได้มีจริงในการฝึกฝนลับๆแฝงอยู่เบื้องหลังเพื่อผลิตสร้างการมีชีวิตขั้นสูงสุดดังเช่นพวกเขานี้. และระหว่างตลอดเวลานั้น,
ข้าจะแสดงให้พวกเขาเห็นว่าอะไรคือสิ่งที่การมีชีวิตขั้นสุดยอดจะสามารถได้รับ: การอยู่อย่างร่ำรวย,
สตรีงาม, คฤหาสน์ดีๆ.....อะไรก็ตามที่พวกเขาปรารถนา.”
ท่านบารอนเริ่มที่จะผงกศีรษะรับ.
“วิธีที่พวกซาร์เดาการ์อยู่ที่บ้าน.”
“พวกพลคัดเกณฑ์นี้จะกายมาเชื่อทันเวลาว่ามีเพียงสถานที่เยี่ยงซาลูซา
เซกันดัสนั้นเป็นที่ถูกต้องเพราะว่ามันได้ผลิตสร้างพวกเขา---เป็นชนชั้นหัวกะทิ.
กองกำลังซาร์เดาการ์ธรรมดาที่สุดมีชีวิตอยู่, ในหลายความนับถือ, ได้รับความยกย่องเทียบเท่ากับสมาชิกใดของมหาราชสำนัก.”
“ช่างเป็นความคิดที่เยี่ยมยิ่งนัก!” ท่านบารอนกระซิบ.
“ท่านเริ่มที่จะแบ่งปันความคาดหวังกังขาทั้งหลายของข้าแล้ว,”
ฮาวัตพูด.
“สิ่งเยี่ยงนี้จะเริ่มต้นขึ้นได้ที่ไหนล่ะ?”
บารอนถาม.
“อ้า. ใช่: ราชสำนัก คอร์ริโน
มีจุดเริ่มต้นที่ไหนหรือ? มีผู้คนบนซาลูซา เซกันดัสอยู่หรือก่อนที่จักรพรรดิจะส่งพวกแรกอย่างไม่คาดหมายของนักโทษทั้งหลายไปที่นั่น?
กระทั่งดยุค ลีโต, ญาติฝ่ายมารดา, ไม่เคยรู้เรื่องอย่างแน่นอน.
คำถามเยี่ยงนี้ทั้งหลายต่างไม่มีใครกล้าถาม.”
ดวงตาของท่านบารอนเคลือบวาวด้วยความคิด.
“ใช่, ถูกเก็บเป็นความลับอย่างระมัดระวังเต็มที่.
พวกเขาได้ใช้ทุกเครื่องมืออุปกรณ์--”
“นอกจากนั้น, มีอะไรต้องปกปิดหรือ?” ฮาวัตถาม.
“ว่าจักรพรรดิ ปาดิชาห์มีดาวเคราะห์ราชทัณฑ์? ทุกคนรู้กันดีในเรื่องนี้.
ว่าเขาคือ---”
“เคานท์ เฟนริง!” ท่านบารอนโพล่ง.
ฮาวัตหยุดพูดกระทันหนัก, ศึกษาบารอนด้วยคิ้วขมวดงุนงง.
“อะไรกับเคานท์ เฟนริงรึ?”
“ในครบรอบวันเกิดหลานของข้าเมื่อหลายปีก่อน,”
ท่านบารอนพูด. “นกแก้วจักรพรรดิ, เคานท์ เฟนริง, มาหาในฐานะผู้สังเกตอย่างเป็นทางการและเพื่อ.....อา,
จัดการตกลงธุรกิจระหว่างจักรพรรดิกับตัวข้า.”
“แล้ว?”
“ข้า.....อา,
ระหว่างอันหนึ่งของการสนทนาทั้งหลาย,
ข้าเชื่อว่าข้าได้พูบางอย่างเกี่ยวกับการทำดาวเคราะห์คุกของ อาร์ราคิส. เฟนริง---”
“ท่านพูดอะไรไปที่แน่ๆหรือ?” ฮาวัตถาม.
“แน่ๆรึ? นั่นเอบจะนานโขและ---”
“ฝ่าบาท, บารอน,
ถ้าท่านปรารถนาที่จะทำประโยชน์ให้ดีที่สุดของการให้บริการของข้า,
ท่านต้องให้ข้อมูลที่เพียงพอแก่ข้า. การสนทนานี้ได้มีการบันทึกไว้หรือไม่?”
ใบหน้าของท่านบารอนดำคล้ำด้วยโทสะ.
“เจ้านี่เลวพอๆกับไพเตอร์! ข้าไม่ชอบนี้---”
“ไพเตอร์ไม่ได้อยู่กับท่านอีกต่อไปแล้ว,
ฝ่าบาท,” ฮาวัตพูด. “กับเรื่องนั้น, อะไรก็ตามหรือที่ได้บังเกิดกับไพเตอร์?”
“เขากลายเป็นคุ้นเคยเกินไป,
เรียกร้องมากเกินไปกับข้า,” ท่านบารอนพูด.
“ท่านให้ความแน่ใจให้กับข้าว่าท่านไม่ทำเสียเปล่ากับผู้ที่มีประโยชน์,”
ฮาวัตพูด. “ท่านจะไม่ทำเสียเปล่ากับข้าโดยข่มขู่หรือพูดเล่นพูดหัวหรือไม่?
เรากำลังถกกันถึงอะไรที่ท่านได้พูดต่อ เคานท์ เฟนริง.”
อย่างช้าๆ, ท่านบารอนจัดแจงท่าทางของตนเอง.
เมื่อถึงเวลาแล้ว, เขาคิด. ข้าจะจดจำกิริยามรรยาทของเขาต่อข้า. ใช่,
ข้าจะจดจำไว้.
“สักครู่หนึ่ง,” ท่านบารอนพูด,
และเขาคิดย้อนกลับไปยังการพบกันในโถงใหญ่ของเขา.
มันได้ช่วยทำให้เห็นภาพกรวยของความเงียบในที่ที่พวกเขาได้ยืนอยู่.
“ข้าได้พูดบางอย่างเช่นนี้,” ท่านบารอนพูด. “ ‘ท่านจักรพรรดิรู้ว่าการเข่นฆ่าบ้างนั้นได้มักจะเป็นแขนขาของธุรกิจเสมอ.’
ข้าได้อ้างถึงกองกำลังทำงานของเราที่สูญเสียไป. แล้วข้าพูดบางอย่างเกี่ยวกับดาวเคราะห์ราชทัณฑ์ขององค์จักรพรรดิได้ดาลใจข้าที่จะทำตามเขา.”
“เลือดพ่อมด!” ฮาวัตทิ่ม.
“แล้วเฟนริงพูดว่าอะไรรึ?”
“นั่นคือตอนที่เขาเริ่มถามไถ่ข้าเกี่ยวกับเจ้า.”
ฮาวัตเอนหลังกลับ,
หลับตาของเขาลงในอาการคิด. “แล้วนั่นคือทำไมที่พวกเขาจ้องมองค้นหาเข้าไปในอาร์ราคิส,”
เขาพูด. “เอาละ, สิ่งนั้นได้ทำไปแล้ว.” เขาลืมตาของตนขึ้น.
“พวกเขาต้องมีสายลับทั้งหลายอยู่ทั่วไปหมดที่อาร์ราคิสในตอนนี้. สองปี?”
“แต่แน่นอนที่ว่าการชี้แนะไร้เดียงสาของข้านั้นที่---”
“ไม่มีอะไรที่ไร้เดียงสาในสายตาของจักรพรรดิ!
อะไรคือคำแนะนำทั้งหลายของท่านต่อแร็บบานหรือ?”
“เพียงแค่เขาควรจะสั่งสอนอาร์ราคิสในการที่จะหวาดกลัวต่อเรา.”
ฮาวัตส่ายศีรษะของเขา.
“ท่านในตอนนี้มีสองทางเลือก, ท่านบารอน. ท่านสามารถฆ่าชนพื้นเมืองทั้งหลาย,
กวาดพวกเขาออกไปทั้งหมด, หรือ---”
“สูญเปล่ากำลังแรงงานทั้งหมดไปรึ?”
“ท่านชอบมากกว่าที่จะได้มีจักรพรรดิและมหาราชสำนักที่พระองค์สามารถแกว่งไกวได้ตามด้านหลังของเขามายังที่นี่และแสดงการขูดแผลเน่า,
ถากขุดไกดิ ไพร์มเหมือนน้ำเต้ากลวงรึ?”
ท่านบารอนศึกษาเมนทาตของเขา,
แล้ว: “เขาไม่กล้าทำแน่!”
“เขาจะไม่รึ?”
ท่านบารอนตัวสั่น.
“ทางเลือกของเจ้าคืออะไร?”
“ละทิ้งหลานของท่านเสีย, แร็บบาน.”
“ละทิ้.....”บารอนโพล่งออกมาแล้วหยุดชะงัก,
จ้องมองยังฮาวัต.
“เลิกส่งกองทหารไปให้เขาอีก,
ไม่มีความช่วยเหลือชนิดใด.
อย่าตอบสาส์นอื่นใดมากไปกว่าที่จะบอกว่าท่านได้ยินถึงวิธีแย่มากร้ายแรงที่เขาได้จัดการสิ่งทั้งหลายบนอาร์ราคิสและท่านตั้งใจที่จะหามาตรการแก้ไขในทันทีที่ท่านสามารถทำได้.
ข้าจะจัดแจงปรับแต่งเพื่อมีบางสาส์นของท่านนั้นได้ถูกลอบชิงเอาไปโดยสายลับของจักรพรรดิ.”
“แต่กับเครื่องเทศพวกนั้นล่ะ,
ภาษีรายได้ทั้งหลาย, พวก---”
“บัญชาถามกำไรทั้งหลายตามศักดินาบารอนของท่าน,
แต่จงระมัดระวังถึงการที่ท่านทำคำบัญชาถามทั้งหลายของท่าน. เรียกร้องยึดอยู่กับผลรวมของแร็บบาน.
เราสามารถ---”
ท่านบารอนหงายฝ่ามือทั้งคู่ของเขาขึ้น.
“แต่ข้าจะสามารถแน่ใจได้อย่างไรว่าหลานพังพอนของข้าจะไม่---”
“เรายังคงมีสายลับทั้งหลายของเราอยู่บนอาร์ราคิส.
บอกแร็บบานว่าเขาจะทำโควต้าเครื่องเทศตามที่ท่านตั้งให้เขาหรือว่าเขาจะถูกแทนที่.”
“ข้ารู้จักหลานของข้าดี,” ท่านบารอนพูด.
“เรื่องนี้เพียงแค่ทำให้เขากดขี่ประชากรพวกนั้นมากยิ่งขึ้น.”
“แน่นอนว่าเขาจะทำ!” ฮาวัตงับ.
“ท่านไม่ได้ต้องการให้นั่นหยุดในตอนนี้!
ท่านเพียงแค่ต้องการให้มือของท่านสะอาดเท่านั้น. ปล่อยให้แร็บบานทำซาลูซา
เซกันดัสของท่านให้ท่านเอง. เขามีประชากรทั้งหมดตามที่ต้องการอยู่แล้ว. ถ้าแร็บบานกำลังขับดันผู้คนของเขาเพื่อให้ได้ตามโควต้าเครื่องเทศของท่าน,
เช่นนั้นจักรพรรดิก็ไม่จำเป็นต้องคาดเดาสงสัยอะไรในแรงกระตุ้นอื่น.
นั่นคือเหตุผลเพียงพอสำหรับการเอาดาวเคราะห์นั้นไปขึ้นหิ้ง. และท่าน, ท่านบารอน,
ก็จะไม่แสดงด้วยคำพูดหรือการกระทำใดที่มีเหตุผลอื่นอื่นใดอีกในเรื่องนี้.”
ท่านบารอนไม่สามารถรักษาน้ำเสียงเหน็บแนมของการยกย่องชื่นชมออกมาในเสียงของตนได้.
“อ้า, ฮาวัต, เจ้าเป็นผู้ยอกย้อนซ่อนเงื่อนคนหนึ่ง. ตอนนี้,
เราจะย้ายเข้าไปในอาร์ราคิสได้อย่างไรและใช้อะไรในสิ่งที่แร็บบานได้จัดเตรียมให้?”
“นั่นเป็นเรื่องง่ายที่สุดของทั้งหมด,
ท่านบารอน. ถ้าท่านตั้งโควต้าในแต่ละปีให้สูงขึ้นอีกเล็กน้อยกว่าอันเดิมก่อนหน้านี้,
เหตุทั้งหลายจะในไม่ช้าไปถึงศีรษะที่นั่น. ผลผลิตจะดิ่งลง. ท่านสามารถย้ายแร็บบานออกและเข้าไปยึดควบคุมด้วยตนเอง.....เพื่อแก้ไขความยุ่งเหยิงให้ถูกต้อง.”
“มันลงตัว,” ท่านบารอน. “แต่ข้าสามารถรู้สึกว่าตัวข้าเองเหน็ดเหนื่อยกับทั้งหมดนี้.
ข้ากำลังเตรียมอีกผู้หนึ่งที่จะเข้าไปยึดกุมอาร์ราคิสเพื่อข้า.”
ฮาวัตศึกษาใบหน้าอ้วนกลมตรงข้ามกับเขา.
อย่างช้าๆสายลับ-ทหารชราเริ่มต้นที่จะพยักศีรษะของตนเองรับ. “ฟียด์-เราธา,”
เขาพูด. “แล้วนั่นก็คือเหตุผลสำหรับการกดขี่ในตอนนี้. ท่านเป็นผู้เจ้าเล่ห์มากเอง,
ท่านบารอน. บางทีเราสามารถสหการทั้งสองแผนการเหล่านี้. ใช่. ฟียด์-เราธาของท่านสามารถไปที่อาร์ราคิสเป็นเช่นผู้กอบกู้.
เขาสามารถเอาชนะประชาชนเหล่านั้น. ใช่.”
ท่านบารอนยิ้ม.
และเบื้องหลังรอยยิ้มของเขานั้น, เขาถามตนเอง: ทีนี้,
เรื่องนี้ลงตัวกับแผนการส่วนตัวของฮาวัตได้อย่างไรรึ?
และฮาวัต,
มองเห็นว่าเขาถูกอนุญาตให้ไปได้, ลุกขึ้นและออกจากห้อง-ผนังสีแดงนั้น.
ขณะที่เขาเดิน, เขาไม่สามารถวางความไม่รู้ที่ก่อกวนซึ่งเพาะปลูกเข้ามาในทุกการคำนวณประเมินเกี่ยวกับอาร์ราคิส.
ผู้นำทางลัทธิศาสน์ที่เกอร์นีย์ ฮัลเล็คพวกลักลอบค้าของเถื่อนพูดถึง, ชื่อ มวด’ดิบนี้.
บางทีข้าไม่ควรได้บอกกับบารอนที่จะปล่อยลัทธิศาสน์นี้บานสะพรั่งในที่ที่มันจะเป็น,
แม้ในหมู่ชนพื้นบ้านของแอ่งอ่างและพื้นผิวโลกนั้น, เขาบอกกับตนเอง. แต่มันรู้จักกันดีว่าการปราบปรามนั้นเองที่สร้างให้ลัทธิศาสน์ได้บานสะพรั่ง.
และเขาคิดเกี่ยวกับรายงานของฮัลเล็คเกี่ยวกับกลยุทธการรบของฟรีเมน.
กลยุทธทั้งหลายนั้นปะทะเปรี้ยงเข้ากับฮัลเล็คตัวเขาเอง.....และไอดาโฮ.....และแม้กระทั่งกับฮาวัต.
ไอดาโฮรอดชีวิตไหม?
เขาถามตนเอง.
แต่นี้เป็นคำถามที่ไร้ประโยชน์. เขายังไม่ได้ถามตัวเขาเองว่ามันเป็นไปได้หรือไม่ที่พอลได้รอดชีวิต.
เขารู้ว่าบารอนได้ปักใจแน่วแน่ว่าอะไทรดิสทั้งหมดได้เสียชีวิตไปแล้ว.
แม่มดเบเน เกสเสอริตได้เป็นอาวุธของเขา, บารอนได้ยอมรับ.
และนั่นสามารถกมายความได้เพียงว่าเป็นจุดจบของทั้งหมด---กระทั่งบุตรชายของหญิงผู้นั้นเอง.
ยาพิษแห่งความชังอะไรหรือที่หล่อนต้องได้มีต่ออะไทรดิส,
เขาคิด. อะไรบางอย่างที่เหมือนกันกับที่ข้าได้ยึดถือเอาไว้ในความเกลียดชังต่อบารอนผู้นี้.
การฟาดฟันของข้าจะเป็นที่สิ้นสุดและสมบูรณ์เหมือนเช่นของหล่อนไหม?