หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (34)

 

                  เหล่ามือเคลื่อนไหวไป, เหล่าริมฝีปากขยับ---

                  เหล่าความคิดทะลักจากเหล่าคำพูดของเขา,

                  และดวงตาของเขาตะกละหิว!

                  เขาคือเกาะแห่งอาณาจักรตัวตน.

         ---คำอธิบาย จาก “คู่มือ มวดดิบ” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน

        

         ท่อฟอสฟอร์ในตอนบนไกลออกไปถึงคูหาหว่านแสงสลัวลงมาบนส่วนในที่แออัด, บอกนัยที่ขนาดใหญ่มหึมาของที่ว่างที่ถูกปิดล้อมโดยก้อนหิน.....ใหญ่, เจสสิกาเห็น, ยิ่งกว่ากระทั่งโถง-ประชุมรวมของเธอที่สำนักเบเน เกสเสอริต. เธอประมาณได้ว่ามีมากกว่าห้าพันผู้คนได้รวมกลุ่มกันข้างนอกนั้นอยู่ภายใต้เพิงตะพักที่ซึ่งเธอได้ยืนอยู่กับสติลจาร์.

         และอีกมากที่กำลังมา.

         อากาศเต็มไปด้วยเสียงพูดพึมพึมกับผู้คน.

         “บุตรชายของเจ้าได้ถูกพาไปยังที่พักของเขา, เสย์ยาดินา.” สติลจาร์พูด. “เจ้าปรารถนาจะให้เขามาร่วมแบ่งปันการตัดสินใจของเจ้านี้ไหม?”

         “เขาสามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของข้าได้หรือ?”

         “อย่างแน่นอน, อากาศด้วยอะไรที่เจ้าพูดออกมาจากปอดของเจ้าเอง, แต่---“

         “การตัดสินใจยังคงเช่นนั้น,” เธอพูด.

         แต่เธอรู้สึกแคลงใจ, กังขาใจว่าถ้าเธอน่าจะใช้พอลเป็นข้อแก้ตัวสำหรับการถอยออกจากวิถีทางอันตรายนี้ดีหรือไม่. มีธิดาที่ยังไม่กำเนิดที่ต้องคิดด้วยเช่นกัน. อะไรที่เป็นอันตรายต่อเลือดเนื้อของมารดาก็เป็นอันตรายต่อเลือดเนื้อของธิดา.

         เหล่าผู้ชายเข้ามาพร้อมด้วยพรมม้วน, คำรามฮึดฮัดด้วยน้ำหนักของพวกมัน, ก่อกวนฝุ่นฟุ้งขึ้นเมื่อสิ่งของบรรทุกมานั่นถูกทิ้งลงบนตะพักยื่น.

         สติลจาร์จับแขนของเธอ, นำเธอกลับเข้าไปในโพรงแตรเสียงที่ก่อรูปอยู่เบื้องหลังเขตจำกัดของตะพักเวที. เขาชี้ไปที่ก้อนหินม้านั่งภายในโพรงแตรเสียงนั้น. “แม่อธิการจะนั่งที่นี่, แต่เจ้าจะพักผ่อนตนเองก่อนจนกว่าเธอมา.”

         “ข้าชอบที่จะยืน,” เจสสิกาพูด.

         เธอเฝ้าดูพวกผู้ชายนั้นกลิ้งม้วนพรมออก, ปูทับพื้นตะพักนั้น, มองออกไปยังฝูงคน. มีอยู่อย่างน้อยก็หนึ่งพันผู้คนบนพื้นหินในตอนนี้.

         และยังคงที่พวกเขามากันอีก.

         ออกไปนอกที่ทะเลทราย, เธอรู้, มันพร้อมเป็นราตรีสีแดงร่วงลงมา, แต่ที่นี่ในโถงถ้ำคูหาเป็นเหมือนยามสนธยาไปตลอดกาล, ความกว้างใหญ่สีเทาแออัดอยู่ด้วยผู้คนมาเพื่อที่จะดูเธอเสี่ยงชีวิต.

         ช่องทางหนึ่งถูกเปิดผ่านฝูงชนมาทางด้านขวามือของเธอ, และเธอมองเห็นพอลกำลังเข้ามาหาขนาบข้างอยู่ด้วยเด็กชายสองคน. มีอาการส่ายอาดๆของความสำคัญ-ในตนเองกับเด็กๆนั้น. พวกเขาเก็บมือไว้อยู่ที่ด้ามมีด, ขมวดคิ้วนิ่วหน้าใส่กำแพงผู้คนของแต่ละด้านขนาบ.

         “ลูกชายของจามิสผู้ที่ตอนนี้เป็นลูกชายของอูซุล,” สติลจาร์พูด. “พวกเขารับหน้าที่ต้อนรับดูแลทั้งหลายอย่างจริงจัง.” เขาเสี่ยงยิ้มให้กับเจสสิกา.

         เจสสิกาจดจำได้ถึงความพยายามที่จะทำให้เธออารมณ์ร่าเริงแจ่มใสขึ้นและรู้สึกขอบคุณสำหรับมัน, แต่ไม่สามารถนำจิตใจของเธอไปจากอันตรายนี้ที่ได้เผชิญหน้าเธออยู่.

         ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากทำมันนี้, เธอคิด. เราต้องเคลื่อนไหวให้ฉับพลันถ้าเราต้องการที่จะมั่นคงปลอดภัยในแห่งหนของเราท่ามกลางฟรีเมนเหล่านี้.

         พอลปีนขึ้นมาบนตะพักนั้น, ทิ้งเด็กชายทั้งสองไว้ที่ข้างล่าง. เขาหยุดลงที่เบื้องหน้าของมารดาของตน, ชำเลืองดูสติลจาร์, แล้วกลับมายังเจสสิกา. “เกิดอะไรกันอยู่หรือ? ข้าคิดว่าข้ากำลังถูกเรียกตัวมายังที่ประชุมสภา.”

         สติลจาร์ชูมือขึ้นให้เงียบ, ให้สัญญาณไปทางซ้ายมือของเขาที่มีเส้นทางหนึ่งได้เปิดอยู่กับผู้ชุมนุม. ชานิลงมาตานช่องทางเปิดนั้น, สีหน้าดุจภูติน้อยของเธอวางไว้อยู่ในแนวของความเศร้าโศก. เธอได้ถอดชุดสติลล์สูทออกแล้วและสวมผ้าคลุมรัดรอบกายสีฟ้าอันงามอ่อนช้อยที่เผยแขนเรียวของเธอ. ใกล้กับไหล่บนแขนซ้ายของเธอ, ผ้าเช็ดหน้าสีเขียวได้ถูกมัดเอาไว้.

         สีเขียวสำหรับการไว้ทุกข์, พอลคิด.

         มันเป็นหนึ่งในธรรมเนียมทั้งหลายที่บุตรชายทั้งสองของจามิสได้อธิบายต่อเขาโดยอ้อม, บอกเขาว่าพวกตนไม่สวมสีเขียวเพราะพวกเขาได้ยอมรับเขาในฐานะบิดาผู้พิทักษ์แล้ว.

         “ท่านคือไลสาน อัล-กาอิบหรือ?” พวกเขาได้ถาม. และพอลได้สัมผัสรู้ถึงจิฮาดในคำเหล่านั้นของพวกเขา, ยักไหล่กับคำถามนั้นออกด้วยข้างหนึ่งของเขาเอง---เรียนรู้แล้วว่าคาเลฟฟ์, คนโตกว่าของเด็กทั้งสอง, สิบขวบ, และเป็นบุตรชายตามธรรมชาติของจีออฟฟ์. ออร์ล็อป, เด็กที่อ่อนวัยกว่า, แปดขวบ, บุตรชายโดยธรรมชาติของจามิส.

         มันเป็นวันแปลกประหลาดกับการมีสองคนนี้ยืนคุ้มกันดูแลอยู่ให้กับเขาเพราะว่าเขาขอให้ทำมัน, กันออกไปซึ่งความสงสัยใคร่รู้, ยินยอมให้เขามีเวลาที่จะพยาบาลความคิดของเขาและความทรงจำของการรู้ล่วงหน้า., ที่จะวางแผนหนีพ้นเพื่อป้องกันจีฮาดนั้น.

         ตอนนี้, ยืนอยู่เคียงข้างมารดาของเขาบนคูหาตะพักยื่นจากผนังและมองออกไปยังฝูงผู้ชุมนุมนั้น, เขากังขาใจว่าถ้าแผนการใดหรือที่สามารถป้องกันการไหล่บ่าอย่างป่าเถื่อนของกองทหารคลั่งศาสนาทั้งหลายนั้นได้.

         ชานิ, ใกล้ชิดอยู่กับตะพักยื่นนั้น, ถูกตามมาในระยะไกลด้วยผู้หญิงสี่คนหามผู้หญิงอีกคนหนึ่งในเสลี่ยงแคร่.

         เจสสิกาเมินต่อการเข้ามาของชานิ, เพ่งความสนใจทั้งหมดของเธอจับอยู่ที่ผู้หญิงที่อบู่บนเสลี่ยงแคร่นั้น---หญิงชราน่าเกลียด, สิ่งโบราณที่เหี่ยวย่นยับแห้งในชุดคลุมยาวสีดำด้วยหมวกผ้าคลุมศีรษะที่ถูกเหวี่ยงเปิดไปไวทางด้านหลังเพื่อเผยให้เห็นปมขดสีเทาของผมและลำคออันเป็นเกลียวดุจเชือก.

         ผู้หามเสลี่ยงแคร่ส่งวางภาระหนักของพวกเขาลงอย่างนุ่มนวลบนตะพักยื่นนั้นจากด้านล่าง, และชานีประคองช่วยหญิงชรานั้นให้ลุกขึ้นยืน.

         แล้วนี่คือแม่อธิการของพวกเขาสินะ, เจสสิกาคิด.

         หญิงชรานั้นเอนร่างหนักบนชานิขณะที่เธอเดินโขยกเขยกเข้ามายังเจสสิกา, มองดูเหมือนที่ตั้งวางรวมสะสมไม้เท้าแขวนไว้ด้วยผ้าคลุมดำ. หล่อนหยุดตรงหน้าของเจสสิกา, มองจ้องขึ้นในชั่วขณะนานพักหนึ่งก่อนการพูดในเสียบกระซิบแหบห้าว.

 

         “แล้วเจ้าคือผู้หนึ่งนั้นสินะ.” ศีรษะชราอีกพยักเพยิดครั้งหนึ่งอย่างน่าอันตรายกับลำคอผอมแห้งนั้น. “ชาเดาท์ มาเปสทำถูกแล้วที่เวทนาเจ้า.”

         เจสสิกาพูดอย่างรดเร็ว, อย่างหมิ่นเหยียด: “ข้าไม่จำเป็นต้องมีใครเวทนา.”

         “นั่นยังคงมีอยู่ให้ได้เห็นกัน,” แหบพร่ามาจากหญิงชรานั้น. หล่อนหันไปอย่างเร็วจนน่าแปลกใจและเผชิญหน้ากับผู้ชุมนุมนั้น. “บอกพวกเขา, สติลจาร์.”

         “ข้าต้องทำหรือ?” เขาถาม.

         “เราคือผู้คนแห่งมิสร์,” หญิงชรานั้นแหบครูด. “ตั้งแต่ซุนหนี่บรรพบุรุษทั้งหลายของเราหลบหนีจาก นีโลติค อัล-อัวรัวบา, เราได้รู้จักการหนีและการตาย. ผู้เยาว์ไปต่อนั่นที่ผู้คนของเราจะไม่ตาย.”

         สติลจาร์สูดหายใจลึก, ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว.

         เจสสิการู้สึกได้ถึงเงียบสงัดครอบคลุมไปทั่วคูหาถ้ำที่มีฝูงคนชุมนุม---ราวยี่สิบพันผู้คนในตอนนี้, กำลังยืนอย่างนิ่งเงียบ, เกือบจะปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ. มันทำให้เธอรู้สึกขึ้นมาทันทีทันใดว่าเธอนั้นเล็กและถูกเติมเต็มด้วยความระแวดระวังอันตราย.

         “คืนนี้เราต้องไปจากสิฐคามนี้ที่ได้เป็นสถานพักพิงกำบังแก่เรามานานเหลือเกินและเราจะไปกันทางทิศใต้เข้าสู่ทะเลทราย,” สติลจาร์พูด. เสียงของเขาดังลั่นออกผ่านไปตามใบหน้าทั้งหลายที่แหงนมองขึ้นมา, ก้องสะท้อนกังวานด้วยแรงขับให้กับมันโดยโพรงแตรเสียงด้านหลังของตะพักเวที.

         ยังคงที่ฝูงชนได้นิ่งงันสงบอยู่.

         “ท่านแม่อธิการบอกกับข้าว่าท่านไม่สามารถรอดชีวิตจากฮัจเราะ(hajra*)อีกครั้งหนึ่งได้,” สติลจาร์พูด. “เราเคยมีชีวิตอยู่มาก่อนโดยปราศจากแม่อธิการ, แต่มันไม่ดีต่อผู้คนที่เสาะหาบ้านใหม่ในในความทุกข์ยากทั้งหลายเยี่ยงนี้.

         * https://en.wikipedia.org/wiki/Hajra

         ตอนนี้, ฝูงชุมนุมได้ไม่อยู่นิ่ง, พึมพัมกันด้วยการกระซิบกระซาบและก่อคลื่นกระแสของความไม่เงียบขึ้น.

         “นั่นเรื่องนี้อาจไม่เป็นการบังเอิญ,” สติลจาร์พูด, “ผู้มาใหม่ของเรา เสย์ยาดินา เจสสิกา แห่งฺความแปลกพิกล, ได้ถูกยินยอมให้เข้าพิธีในเวลานี้. เธอจะมานะในการที่จะผ่านเข้าไปภายในซึ่งเราไม่สูญเสียพละกำลังของแม่อธิการของเรา.”

         เจสสิกาแห่งฺความแปลกพิกล, เจสสิกาคิด. เธอเห็นพอลกำลังจ้องมายังเธอ, ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยคำถามทั้งหลาย, แต่ปากของเขาปิดเงียบแน่นด้วยความแปลกประหลาดทั้งปวงรายรอบพวกเขา.

         ถ้าข้าตายในการมานะนี้, อะไรที่เขาจะกลายไปเป็นนะ? เจสสิกาถามตัวเธอ. อีกครั้งที่เธอรู้สึกถึงความเคลือบแคลงกังวลใจเติมลงในจิตใจของเธอ.

         ชานินำหญิงชราแม่อธิการไปยังม้านั่งหินนั้นในตอนลึกขอโพรงแตรเสียง, แล้วกลับมายืนข้างสติลจาร์.

         “ที่เราอาจไม่ได้สูญเสียไปทั้งหมดถ้าเจสสิกาแห่งความแปลกพิกลจะล้มเหลว,” สติลจาร์พูด, “ชานิ, ลูกสาวแห่งเลียต, จะเป็นผู้อุทิศตัวให้กับการเสย์ยาดินาในครั้งนี้.” เขาขยับร่างหนึ่งก้าวไปทางด้านข้าง.

         จากตอนลึกของโพรงแตรเสียง, เสียงของหญิงชราก็ดังออกมาสู่พวกเขา, เสียงกระซิบที่ถูกขยายดังขึ้น, แหบห้าวและเสียดแทง:ชานิได้กลับมาจากฮัจเราะของเธอ---ชานิได้เห็นน้ำทั้งหลายนั้นแล้ว.”

         “ข้าขออุทิศลูกสาวแห่งเลียตนี้ให้กับในพิธีเสย์ยาดินา,” แหบครูดมาของหญิงชรานั้น.

         “เธอถูกยอมรับ,” ฝูงชนตอบรับ.

         พอลแทบไม่ได้ยินเสียงของพิธีนั้น, ความสนใจของเขายังคงศูนย์กลางอยู่ที่อะไรที่ได้เคยพูดไว้ถึงมารดาของเขา.

         ถ้าเธอจะล้มเหลว?

         เขาหันและมองกลับไปยังผู้ที่พวกเขาเรียกว่าแม่อธิการ, ศึกษาร่างที่เหี่ยวแห้งยับย่นนั้น, ไร้ก้นบึ้งลึกของดวงตาสีฟ้าจับแน่นของเธอ. เธอดูราวกับสายลมโชยจะพัดโบกหอบพาเธอจากไปได้, กระนั้นก็ยังมีอะไรเกี่ยวกับเธอที่ชี้แนะว่าเธออาจจะยืนหยัดไร้การแตะต้องจากสิ่งใดได้ในเส้นทางของพายุหมุนรุนแรง. เธอได้มีรัศมีของพลังเช่นเดียวกันกับที่เขาจำได้จากแม่อธิการ ไกอัส เฮเลน โมฮิยัม ผู้ที่ได้ทดสอบเขาด้วยความเจ็บปวดในวิถีแห่งก็อม จาบบาร์.

         “ข้า, แม่อธิการ รามาลโล, ผู้ที่เสียงของข้าพูดเฉกเช่นแห่งมหาชน, พูดนี้ต่อพวกเจ้า,” หญิงชราพูด. “มันเป็นการเหมาะสมแล้วที่ชานิเข้าสู่เสย์ยาดินา.”

         “มันเหมาะสมแล้ว,” ฝูงชนตอบรับ.

         หญิงชรานั้นผงกศีรษะรับ, กระซิบ: “ข้าให้เธอด้วยท้องฟ้าสีเงินทั้งหลาย, ทะเลทรายสีทองและก้อนหินทั้งหลายของมันอันเปล่งประกาย, ทุ่งสีเขียวที่ซึ่งนั่นจะเป็น. ข้าให้สิ่งเหล่านี้ต่อเสย์ยาดินา ชานิ. และเพื่อว่าไม่ให้เธอลืมซึ่งเธอได้เป็นผู้รับใช้ของพวกเราทั้งหมด, ต่อเธอลดลงสู่การพิธีกรรมแห่งน้ำเชื้อนี้. ของให้มันเป็นเช่นไช-ฮูลุดจะมีมัน.” เธอยกแขนเรียวดุจไม้เท้าสีน้ำตาลขึ้น, ทิ้งมันลง.

         เจสสิกา, รู้สึกถึงพิธีกรรมใกล้ล้อมเข้ามาหาเธอด้วยกระแสที่ได้กวาดเธอพ้นเลยการหันกลับได้ไปทั้งหมดแล้ว, เหลือบมองอีกครั้งยังใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของพอล, แล้วเตรียมตัวของเธอเองสำหรับการพิสูจน์ตนนี้.

         “ให้นายกองน้ำก้าวมาข้างหน้า,” ชานิพูดด้วยแต่เพียงสั่นรัวบางเบาที่สุดของความไม่แน่ใจในน้ำเสียงของเด็กกึ่งสาว.

         ตอนนี้เจสสิการู้สึกตนเองอยู่ที่จุดรวมของอันตราย, รู้ว่ามันแสดงตนต่อการเฝ้ามองเต็มที่ของฝูงชนนี้, ในความเงียบสงัด.

         คณะของชายกลุ่มหนึ่งทำทางของมันผ่านช่องทางคดเคี้ยวได้เปิดออกในฝูงชน, เคลื่อนที่ขึ้นมาจากด้านหลังเป็นแถวคู่. แต่ละคู่แบกถุงหนังหนึ่งเล็กใบหนึ่ง, ราวสองเท่าของศีรษะคน. ถุงเหล่านั้นดูแกว่งกระฉอกหนัก.

         ผู้นำหน้าทั้งสองวางสัมภาระหนักของตนที่เท้าของชานิบนตะพักนั้นและถอยกลับไป.

         เจสสิกามองดูที่ถุงนั้น, แล้วที่ชายเหล่านั้น. พวกเขาได้เหวี่ยงหมวกผ้าคลุมศีรษะออกไปทางด้านหลัง, เปิดให้เห็นผมยาวมัดเป็นม้วนที่ฐานต้นคอ, หลุมดำของดวงตาพวกเขาจ้องกลับมายังเธอโดยปราศจากการวอกแวก.

         กลิ่นฟูฟ่องของอบเชยฟุ้งขึ้นมาจากถุงนั้น, ล่องลอยในอากาศผ่านเจสสิกาไป. เครื่องเทศ! เธอกังขาใจ.

         “นั่นคือน้ำหรือ?” ชานิถาม.

         นายกองน้ำด้านซ้ายมือ, ชายผู้หนึ่งด้วยแผลเป็นสีม่วงพาดข้ามสันจมูกของเขา, พยักกน้าหนึ่งครั้ง. “มีน้ำ, เสย์ยาดินา,” เขาพูด, “แต่เราไม่สามารถดื่มมันได้.”

         “มีน้ำเชื้อ?” ชานิถาม.

         “มีน้ำเชื้อ,” ชายนั้นบอก.

         ชานิคุกเข่าลงและวางมือของเธอลงที่ถุงกระเพื่อมกระฉอกนั้น. “พรได้ประทานในน้ำและน้ำเชื้อของมันแล้ว.”

         มีความคุ้นเคยต่อพิธีกรรมนั้น, และเจสสิกามองกลับไปที่แม่อธิการ โรมาลโล. ดวงตาของหญิงชรานั้นได้ปิดลงและเธอนั่งคุดคู้มาข้างหน้าดุจหลับใหล.

         เสย์ยาดินา, เจสสิกา,” ชานิพูด.

         เจสสิกาหันกลับมาเพื่อมองเห็นเด็กสาวจ้องขึ้นมาที่เธอ.

         “ท่านเคยลิ้มน้ำพรศักดิ์สิทธิ์นี้มาไหม?” ชานิถาม.

         ก่อนที่เจสสิกาสามารถตอบได้, ชานิพูด: “มันไม่เป็นไปได้ที่ท่านเคยได้ลิ้มรสน้ำพรศักดิ์สิทธิ์นี้. ท่านเป็นผู้นอกพิภพและไม่มีสิทธิ์.”

         เสียงถอนหายใจดังผ่านฝูงชุมนุม, การกระซิบกระซาบของเหล่าเสื้อคลุมนั้นทำให้ขนต้นคอของเจสสิกาชูชัน.

         “พืชผลนั้นมหึมาและผู้สร้างนั้นได้ถูกทำลาย,” ชานิพูด. เธอเริ่มแก้มัดขดปากท่อที่ติดอยู่กับตอนบนของถุงที่กระเพื่อมอยู่นั้น.

         ตอนนี้, เจสสิการู้สึกถึงกลิ่นอายของอันตรายกำลังเดือดอยู่รอบตัวเธอ. เธอชำเลืองไปที่พอล, มองเห็นว่าเขาติดอยู่ในความลึกลับของพิธีกรรมนี้และมองอยู่แต่ที่ชานิเพียงผู้เดียว.

         เขาได้เห็นชั่วขณะหนึ่งนี้ไหม? เจสสิกาสงสัย. เธอวางมือลงที่หน้าท้องของเธอ, คิดถึงธิดาที่ยังไม่กำเนิดที่นั่น, ถามตัวเธอเอง: ข้ามีสิทธิที่จะเสี่ยงเราทั้งสองหรือ?

         ชานิยกพวยน้ำนั้นมายังเจสสิกา, พูด: “นี้คือชีววารี(Water of Life-น้ำแห่งชีวิต), น้ำซึ่งยิ่งใหญ่กว่าน้ำ---คาน, น้ำซึ่งให้อิสระแก่จิตวิญญาณ. ถ้าท่านเป็นแม่อธิการ, มันเปิดจักรวาลต่อท่าน. ขอให้ไช-ฮูลุดได้ตัดสินในตอนนี้.”

         เจสสิการู้สึกตนเองไม่สามารถเลือกขาดได้ระหว่างน้าที่ต่อลูกที่ยังไม่กำเนิดและหน้าที่ต่อพอล. สำหรับพอล, เธอรู้, เธอควรจะรับพวยน้ำนี้และดื่มสิ่งที่บรรจุอยู่ในถุงนั้น, แต่ขณะที่เธอโน้มลงไปยังพวยน้ำที่ยื่นมา, ประสาทสัมผัสทั้งหลายของเธอบอกว่ามันเป็นสิ่งที่อันตราย.

         สิ่งที่อยู่ในถุงนั้นมีกลิ่นขมมีเลศนัยคล้ายคลึงกับยาพิษทั้งหลายที่เธอรู้จัก, แต่ก็ไม่เหมือนกับพวกนั้น, ด้วย.

         “ท่านต้องดื่มมันในตอนนี้,” ชานิพูด.

         ไม่มีการหันกลับได้อีกแล้ว, เจสสิกาเตือนตนเอง. แต่ไม่มีอะไรในการฝึกฝนมาของเธอทั้งหมดใน เบเน เกสเสอริตเข้ามาสู่จิตของเธอที่จะช่วยเธอผ่านฉับพลันนี้.

         มันคืออะไรรึ? เจสสิกาถามตนเอง. เหล้า? ยา?

         เธอโน้มร่างลงไปเหนือพวยน้ำนั้น, ได้กลิ่นสารเอสเตอร์ทั้งหลายของอบเชย, จำได้ถึงการเมามายของดันแคน ไอดาโฮ. เหล้าเครื่องเทศ? เธอถามตัวเอง. เธอดึงหลอดท่อนั้นเข้ามาสู่ปากของเธอ, ดูดขึ้นมาในจิบเพียงเล็กน้อยมากที่สุด. มันมีรสชาติของเครื่องเทศ, เผ็ดร้อนเบาบางกัดที่บนลิ้น.

         ชานิกดลงไปที่ถุงหนังนั้น. ก้อนใหญ่เต็มคำทะลักเข้าไปในปากของเจสสิกาและก่อนที่เธอจะสามารถช่วยตนเองได้, เธอกลืนมันลงไป, ต่อสู้เพื่อรักษาไว้ซึ่งความนิ่งสงบและไว้เกียรติ.

         “ยอมรับในความตายเล็กน้อยนั้นเลวร้ายเสียยิ่งกว่าความตายของมันเอง,” ชานิพูด. เธอจ้องมองเจสสิกา, รอคอย.

         และเจสสิกาจ้องตอบกลับไป. ยังคงกุมพวยน้ำนั้นอยู่ในปากของเธอ. เธอสัมผัสรสชาติสิ่งที่บรรจุอยู่ในถุงนั้นในนาสิกของเธอ, ในเพดานปากของเธอ, ในแก้มของเธอ, ในดวงตาของเธอ---ความหวานที่กำลังกัด, ในตอนนี้.

         เย็นยะเยียบ!

         อีกครั้ง, ชานิส่งก้อนของเหลวนั้นเข้าสู่ในปากของเจสสิกา.

         ละเอียดอ่อน.

         เจสสิกาศึกษาใบหน้ของชานิ---รูปลักษณ์ดุจภูติตัวเล็ก---มองเห็นร่องรอยของเลียต-คายนิ์สที่นั้นราวกับยังไม่ได้ยึดเข้าที่ทางโดยเวลา.

         นี่คือยาที่พวกเขาป้อนให้ฉัน, เจสสิกาบอกกับตัวเอง.

         แต่มันเป็นไม่เหมือนยาอื่นใดในประสบการณ์รับรู้ของเธอ, และในการฝึกฝนของเบเน เกสเสอริตรวมทั้งรสชาติของยามากมายทั้งหลาย.

         รูปลักษณ์ของชานิช่างกระจ่างชัดเหลือเกิน, ราวกับภาพร่างในแสงสว่าง.

         ยา.

         ความเงียบสงัดหมุนวนปักหลักลงรอบตัวเจสสิกาง ทุกเส้นใยของร่างกายของเธอยอมรับต่อความจริงที่ว่าบางอย่างอันลึกล้ำได้บังเกิดขึ้นต่อมัน. เธอรู้สึกได้ว่าเธอคือผงธุลีของสัมปชัญญะ, เล็กยิ่งกว่าอนุภาคย่อยของปรมาณู, กระนั้นก็ยังมีความสามารถที่จะเคลื่อนไหวและสัมผัสรู้ในสิ่งรายล้อมรอบเธอได้. เหมือนวิวรณ์เผยออกฉับพลัน---ม่านที่ถูกเหวี่ยงเปิดออกไป---เธอตระหนักได้ว่าเธอได้กลายเป็นตื่นรู้ต่อการแผ่ยืดออกของพลังวัตรแห่งจิตของตนเอง. เธอเป็นเพียงธุลี, กระนั้นก็ไม่ใช่ธุลี.

         ถ้ำคูหายังคงอยู่รอบเธอ---ผู้คนเหล่านั้น. เธอสัมผัสรู้พวกเขา: พอล, ชานิ, แม่อธิการ โรมาลโล.

         แม่อธิการ!

         ที่สำนักศึกษามีคำเล่าลือทั้งหลายว่าบางรายไม่สามารถรอดชีวิตจากพิธีกรรมแม่อธิการได้, ว่ายานั้นเอาพวกเขาไป.

         เจสสิกาเพ่งความสนใจของเธอกับแม่อธิการ โรมาลโล, ระแวดระวังในตอนนี้ว่าทั้งหมดนี้ได้บังเกิดขึ้นในชั่วขณะหนึ่งของเวลาฉับพลันที่หยุดนิ่งเยือกแข็ง---เวลาที่ยืดออกไปสำหรับเธอตามลำพัง.

         ทำไมเวลาถึงได้ยืดออก? เธอถามตัวเธอเอง. เธอจ้องไปที่การแสดงออกซึ่งหยุดนิ่งเยือกแข็งรอบตัวเธอ, มองเห็นฝุ่นธุลีหนึ่งเหนือศีรษะของชานิ, หยุดอยู่ตรงนั้น.

         รอคอย.

         คำตอบนั้นสำหรับฉับพลันนี้มาเหมือนการระเบิดในจิตสำนึกของเธอ: เวลาส่วนตัวของเธอเองได้ถูกยืดขยายออกไปเพื่อช่วยชีวิตของเธอ.

         เธอเพ่งสมาธิที่การแผ่ขยายออกไปของพลังจัตรแห่งจิตของเธอเอง, มองภายใน, และถูกประจันอย่างทันทีทันใดเข้ากับแกนโพรงเซลล์, หลุมแห่งความดำมืดจากสิ่งซึ่งเธอได้หดตัวถอย.

         นั่นเป็นที่ที่เราไม่สามารถมองดูได้, เธอคิด. มีสถานที่ที่แม่อธิการทั้งหลายได้ลังเลยิ่งที่จะเอ่ยถึง---ที่ซึ่งมีเพียงควิทสาตซ์ ฮาเดรัคอาจมองไปได้.

         ความตระหนักรู้นี้กลับมาในขนาดเล็กๆของความเชื่อมั่นในตนเอง, และอีกครั้งเธอกล้าเสี่ยงที่จะเพ่งสมาธิไปกับการแผ่ขยายของพลวัตรแห่งจิตนั้น, กลายเป็นธุลี-ตัวตนที่ค้นหาภายในเธอต่ออันตราย.

         เธอพบมันภายในยานี้ที่เธอได้กลืนลงไป.

         สิ่งนี้เป็นอนุภาคทั้งหลายที่กำลังเริงระบำภายในเธอ, การเคลื่อนไหวทั้งหลายของมันช่างรวดเร็วที่กระทั่งเวลาที่หยุดนิ่งเยือกแข็งก็ไม่สามารถหยุดพวกมันได้. อนุภาคเริงระบำ. เธอเริ่มจดจำได้โครงสร้างที่คุ้นเคยทั้งหลาย, การเชื่อมต่อของปรมาณู: ปรมาณูคาร์บอนตรงนี้, ขดม้วนกำลังโบกไหว.....อณูกลูโคส. หนึ่งสายโซ่ทั้งปวงของอณูอยู่ประจันกับเธอ, และเธอจดจำได้ถึงโปรตีน.....สัณฐานของโปรตีน-เมธิล.

         อาห์-ห-ห!

         มันเป็นถอนหายใจที่ไร้เสียงของจิตใจภายในกายของเธอขณะที่เธอเห็นธรรมชาติของยาพิษนี้.

         ด้วยการแหย่สืบตรวจเข้าไปด้วยพลังวัตรแห่งจิตของเธอ, เธอเคลื่อนเข้าไปในมัน, ย้ายธุลีออกซิเจน, ยินยอมให้ธุลีคาร์บอนอีกอันหนึ่งเข้าเชื่อมประสาน, ติดแปะอีกครั้งของการเชื่อมโยงของออกซิเจน.....ไฮโดรเจน.

         การเปลี่ยนแปลงแผ่ขยายออก.....เร็วขึ้นและเร็วยิ่งขึ้นขณะที่ปฏิกิริยาที่ถูกกระตุ้นเร่งเปิดพื้นผิวของการผัสสะของมัน.

         เวลาที่ยืดออกไปนั้นผ่อนคลายการยึดกุมของมันต่อเธอ, และเธอสัมผัสรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหว. ท่อพวยน้ำจากถุงนั้นได้ถูกแตะยังปากของเธอ---อย่างนุ่มนวล, เก็บรวบรวมหยดของความชื้น.

         ชานิกำลังเอาตัวเร่งปฏิกิริยาจากร่างของฉันไปเปลี่ยนแปลงยาพิษนี้ในถุงนั้น, เจสสิกาคิด. ทำไม?

         ใครบางคนช่วยเธอให้สบายขึ้นด้วยการอยู่ในท่านั่ง. เธอมองเห็นหญิงชราแม่อธิการ โรมาลโลถูกพามานั่งอยู่ข้างเธอบนพื้นตะพักที่ปูไว้ด้วยพรม. มือแห้งเหี่ยวของหล่อนแตะอยู่ที่ลำคอของเธอ.

         และมีธุลีพลวัตรแห่งจิตอีกอันหนึ่งภายในสัมปชัญญะของเธอ! เจสสิกาพยายามที่จะปฏิเสธไม่ยอมรับมัน, แต่ธุลีนั้นกวาดเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น.....ใกล้ยิ่งขึ้น.

         พวกมันสัมผัสแล้ว!

         มันเหมือนปริเวทนาอันสัมบูรณ์สุด, การเป็นสองคนในคราเดียว, ไม่ใช่โทรจิต, แต่เป็นสัมปชัญญะร่วมกัน.

         กับหญิงชราแม่อธิการ!

         แต่เจสสิกามองเห็นว่าแม่อธิการนั้นไม่ได้คิดว่าตนเองนั้นชรา. ภาพทัศน์คลี่ม้วนตัวออกต่อหน้าดวงตาของจิตร่วมกัน: เด็กสาวกับจิตวิญญาณกำลังเริงระบำและเบิกบานอันเยาว์วัย.

         ภายในสัมปชัญญะร่วมกัน, เด็กสาวนั้นพูด, “ใช่, นั่นแหละที่ฉันเป็นเช่นไร.”

         เจสสิกาทำได้แต่เพียงยอมรับคำพูดนั้น, ไม่ตอบสนองใดต่อพวกมัน.

         “เจ้าจะได้มันทั้งหมดในไม่ช้านี้, เจสสิกา,” ภาพทัศน์กลับในพูด.

         นี้เป็นภาพหลอนประสาท, เจสสิกาบอกกับตัวเธอเอง.

         “เจ้ารู้ได้ดีกว่านั้น,” ภาพทัศน์กลับในพูด. “รื่นไหลตามไปในตอนนี้, อย่าต่อสู้กับข้า. ไม่มีเวลาอีกมากแล้ว. เรา.....” มีการหยุดชงักไปนานชั่วขณะหนึ่ง, แล้ว: “เจ้าควรจะได้บอกกับเราว่าเจ้าตั้งครรภ์!

         เจสสิกาพบว่าเสียงที่พูดคุยนั้นอยู่ภายในสัมปชัญญะร่วมกัน. “ทำไม?”

         “การเปลี่ยนแปลงเจ้าทั้งสอง! พระแม่ศักดิ์สิทธิ์, เราได้ทำอะไรลงไป?”

         เจสสิกาสัมผัสรู้ถึงแรงบังคับเคลื่อนย้ายในสัมปชัญญะร่วมกัน, เห็นธุลี-ปรากฏอีกอันหนึ่งด้วยดวงตากลับในนั้น. ธุลีอื่นนั้นพุ่งอย่างบ้าคลั่งที่นี่, ที่นั่น, วนวง. มันเปล่งรังสีอันตื่นตระหนกล้วน.

         “เจ้าจะต้องเข้มแข็งไว้,” ภาพ-ปรากฏของแม่อธิการชราพูด. “จงขอบคุณว่าเป็นธิดาที่เจ้าตั้งครรภ์อยู่. สิ่งนี้จะฆ่าตัวอ่อนเพศชาย. ตอนนี้.....อย่างระมัดระวัง, อย่างนุ่มนวล.....สัมผัสปรากฏ-ธิดาของเจ้า. จงเป็นธิดา-ปรากฏของเจ้า. ซึมซับความกลัวนั้น.....ปลอบโยน.....ใช้ความกล้าหาญของเจ้าและความเข้มแข็งของเจ้า.....อย่างนุ่มนวลในตอนนี้.....อย่างนุ่มนวล.....”

         ธุลีอื่นนั้นหมุนวนกวาดเข้าใกล้, และเจสสิกาบังคับตนเองให้สัมผัสมัน.

         ความตื่นตระหนกรุกรานเข้ามาเหนือเธอ.

         เธอต่อสู้มันด้วยวิธีเดียวเท่านั้นที่เธอรู้: ข้าจะไม่กลัว. ความกลัวคือฆาตกรของจิต.

         บทสวดนั้นนำมาซึ่งการเสแสร้งของความนิ่ง. ธุลีอื่นนั้นนอนเฉยเมยต่อเธอ.

         คำพูดนั้นใช้การไม่ได้, เจสสิกาบอกกับตัวเธอเอง.

         เธอลดระดับตัวเองลงสู่ปฏิกิริยาทางอารมณ์ขั้นพื้นฐาน, เปล่งรังสีของความรัก, ปลอบโยน, กอดอุ้มอุ่นของการปกป้อง.

         ความตื่นตระหนกถดถอย.

         อีกครั้ง, การปรากฏของแม่อธิการเฒ่าแสดงสิทธิ์ของตัวมัน, แต่ตอนนี้มีเพิ่มพูนเป็นสามเท่าของสัมปชัญญะร่วมกัน---สองนั้นทำงานและหนึ่งนั้นนอนซึมซับอย่างเงียบสงบ.

         “เวลาได้บังคับข้า.” แม่อธิการพูดภายในสัมปชัญญะนั้น. “ข้ามีอีกมากที่จะให้กับเจ้า. และข้าไม่รู้ว่าธิดาของเจ้าจะสามารถยอมรับทั้งหมดของสิ่งนี้ได้หรือไม่ในขณะที่ยังคงจิตปกติอยู่. แต่มันต้องเป็น: ความจำเป็นทั้งหลายของเผ่านี้คือสิ่งสำคัญสูงสุด.”

         “อะไร---“

         “เงียบเอาไว้เถิดและยอมรับ!

         ประสบการณ์รับรู้เริ่มต้นคลี่ม้วนออกต่อหน้าเจสสิกา. มันเหมือนกับการแถบปาฐกม้วนยาวในเครื่องฉายภาพของการฝึกฝนที่สำนักศึกษาเบเน เกสเสอริต...แต่เร็วยิ่งกว่า.....เร็วจนมองไม่เห็น.

         กระนั้น.....ก็อย่างชัดแจ้ง.

         เธอรู้ในแต่ละประสบการณ์นั้นขณะที่มันได้บังเกิด: มีคนรักหนึ่ง---เป็นชาย, ไว้เครา, มีดวงตาของฟรีเมน, และเจสสิกาห็นความเข้มแข็งและความอ่อนโยนของเขา, ทั้งหมดของเขาในแว่บหนึ่งของชั่วชณะ, ผ่านความทรงจำของแม่อธิการ.

         ไม่มีเวลาแล้วในตอนนี้ที่จะคิดถึงอะไรที่สิ่งนี้อาจจะได้กระทำต่อตัวอ่อน-หนึ่งธิดานี้, มีเพียงเวลาที่จะยอมรับและบันทึกไว้เท่านั้น. ประสบการณ์รับรู้ทั้งหลายไหลรินเทเข้ามาในเจสสิกา---เกิด, ชีวิต, ตาย---สาระสำคัญและไม่สำคัญทั้งหลาย, การรินออกของเวลาในหนึ่งทัศนีย์เดียว.

         ทำไมควรที่เม็ดทรายหนึ่งจากยอดผาติดอยู่กับในความทรงจำนั้นหรือ? เธอถามตนเอง.

         สายเกินไปแล้ว, เจสสิกามองเห็นอะไรที่กำลังบังเกิดขึ้น: หญิงชรานั้นกำลังตายและ, ในการตายนั้น, เทรินประสบการณ์รับรู้ทั้งหลายของเธอเข้ามาในสัมปชัญญะของเจสสิกาดุจน้ำถูกเทลงใส่ถ้วยหนึ่ง. อีกธุลีอื่นจางายกลับคืนไปสู่สัมปชัญญะก่อน-กำเนิดขณะที่เจสสิกาเฝ้าดูมัน. และ, กำลังตาย-ใน-มโนคติ, แม่อธิการเฒ่าจากชีวิตของเธอไปในความทรงจำของเจสสิกาด้วยหนึ่งพร่ามัวของการการถอนหายใจในคำพูด.

         “ข้ารอคอยมานานแล้วต่อเจ้า,” เธอพูด. “นี่คือชีวิตข้า.”

         นั่นเองที่มันเป็น, เปิดผนึกหุ้มออก, ทั้งหมดของมัน.

         กระทั่งชั่วขณะของความตาย.

         ข้าตอนนี้คือแม่อธิการ, เจสสิกาตระหนักรู้.

         และเธอรู้ด้วยสัมปชัญญะโดยทั่วไปว่าเธอได้กลายไปเป็น, ในความสัจ, อย่างแท้จริงกับอะไรที่หมายถึงด้วยแม่อธิการ เบเน เกสเสอริต. ยาพิษนั้นได้เปลี่ยนรูปเธอ.

         นี่ไม่ได้แน่ชัดนักว่าพวกเขาทำมันได้อย่างไรที่สำนักศึกษาเบเน เกสเสอริต, เธอรู้. ไม่มีใครได้เคยแนะนำเธอต่อความลึกลับทั้งหลายของมัน, แต่เธอรู้.

         ผลลัพธ์ตอนจบนั้นเป็นเหมือนกัน.

         เจสสิกาสัมผัสได้ว่าธุลี-ธิดานั้นยังคงสัมผัสเธออยู่ข้างในสัมปชัญญะ, ตรวจสอบมันโดยปราศจากการตอบสนอง.

         สัมผัสอันตื่นตระหนกของความโดดเดี่ยวคืบคลานผ่านเจสสิกาในความตระหนักรู้ของอะไรที่ได้บังเกิดขึ้นกับเธอ. เธอเห็นชีวิตของเธอเองเป็นเช่นลายรูปแบบที่ถูกทำให้เชื่องช้าลงและชีวิตทั้งหมดรอบตัวเธอได้ถูกเร่งเร็วขึ้นจนกระทั่งการเริงระบำเล่นอยู่ถายในได้กระจ่างชัดยิ่งขึ้น.

         ความรู้สึกของการสัมผัสรู้ถึงสัมปชัญญะของธุลีนั้นได้เลือนหายไปทีละน้อย, ความเข้มข้นของมันคลายออกขณะที่ร่างกายของเธอผ่อนคลายจากการรุกรานของยาพิษนั้น, แต่ยังคงที่เธอรู้สึกได้ถึงธุลีอื่นนั้น, แตะต้องมันด้วยสัมผัสของความผิดในอะไรที่เธอได้ยินยอมให้บังเกิดขึ้นกับมัน.

         ข้าทำมัน, หนูเอย, ไร้รูปร่าง, ลูกสาวตัวน้อยที่รักของข้า, ข้านำเจ้าเข้ามาสู่จักรวาลนี้และเปิดสัมปชัญญะของเจ้าออกต่อทั้งหมดของหลากหลายรูปลักษณ์ของมันโดยปราศจากสิ่งป้องกันใดๆ.

         การไหลล้นออกมาเล็กนิดของรัก-อบอุ่น, เหมือนเงาสะท้อนของอะไรที่เธอได้เทรินเข้าในมัน, มาจากธุลี-อื่นนั้น.

         ก่อนที่เจสสิกาจะสามารถตอบสนองได้, เธอรู้สึกถึงการปรากฏของปทัดฐานแห่งความทรงจำที่เรียกร้อง. มีอะไรบางอย่างที่จำเป็นในการทำ. เธอจัดกลุ่มเพื่อมัน, ตระหนักรู้ว่าเธอได้กำลังถูกกั้นขวางโดยความมึนงงจากยาที่ถูกเปลี่ยนแปลงที่กำลังแผ่ซ่านอยู่ในประสาทสัมผัสของเธอ.

         ข้าสามารถเปลี่ยนแปลงนั่นได้, เธอคิด. ข้าสามารถเอาฤทธิ์ยานี้ออกไปได้และทำให้มันไร้พิษสง. แต่เธอสัมผัสรู้ได้ว่าเรื่องนี้จะเป็นข้อผิดพลาด. ข้ากำลังอยู่ในพิธีกรรมแห่งการร่วมด้วยกัน.

         แล้วเธอก็รู้ว่าอะไรที่เธอต้องทำ.

         เจสสิกาเปิดดวงตาของเธอขึ้น, เหลือบมองที่ถุงน้ำซึ่งในตอนนี้ถูกถืออยู่เหนือเธอโดยชานิ.

         “มันถูกประทานพรศักดิ์สิทธิ์แล้ว,” เจสสิกาพูด. “เขย่าผสมน้ำนั้น, ปล่อยให้การเปลี่ยนแปลงเข้ากันไปทั่วทั้งหมด, ที่ผู้คนจะดื่มร่วมกันได้และแบ่งปันในพรศักดิ์สิทธิ์นั้น.”

         ปล่อยให้ตัวกระตุ้นทำงานของมัน, เธอคิด. ปล่อยให้ผู้คนดื่มมันและมีสัมปชัญญะของแต่ละคนที่เพิ่มสูงขึ้นชั่วขณะสักพัก. ยาพิษนีปลอดภัยแล้วในตอนนี้.....ตอนนี้ที่แม่อธิการได้เปลี่ยนแปลงมันแล้ว.

         ยังคง, ความทรงจำที่เรียกร้องอยู่ได้ทำงานกับเธอ, ทิ่มแทง. มีอีกสิ่งหนึ่งที่เธอต้องทำ, เธอตระหนักได้, แต่ยานี้ทำให้เธอยุ่งยากที่จะเพ่งสมาธิ.

         อาห์-ห-ห-ห-ห.....แม่อธิการชรา.

         “ข้าได้พบกับแม่อธิการ โรมาลโล,” เจสสิกาพูด. “ท่านได้จากไปแล้ว, แต่ท่านยังคงอยู่. จงให้ความทรงจำของท่านเป็นเกียรติในพิธีกรรมนี้.”

         ตอนนี้, ข้าไปได้คำพูดเหล่านี้มาจากที่ไหนหรือ? เจสสิกากังขาใจ.

         และเธอได้ตระหนักได้ว่าพวกนั้นมาจากความทรงจำอื่น, ชีวิตนั้นได้ถูกมอบให้แก่เธอและบัดนี้เป็นส่วนหนึ่งของตัวเธอ. บางอย่างเกี่ยวกับของขวัญนั้นรู้สึกได้ว่ายังไม่สมบูรณ์, ด้วยเช่นกัน.

         “ให้พวกเขาได้รับความสนุกสนานกัน,” ความทรงจำ-อื่นพูดภายในตัวเธอ. “พวกเขาได้ความพึงใจเพียงพอกันสักเล็กน้อยนอกเหนือจากมีชีวิตอยู่. ใช่, และเจ้าและข้าต้องการเวลาเล็กน้อยนี้ที่จะกลายเป็นที่คุ้นเคยก่อนที่ข้าจะถอยจากและเทรินอกหมดผ่านความทรงจำทั้งหลายของเจ้า. เรียบร้อยแล้ว, ข้ารู้สึกว่าตัวข้าเองถูกมัดอยู่กับชิ้นเล็กชิ้นน้อยของเจ้า. อาห์-ห-ห, เจ้ามีจิตที่เต็มไปด้วยสิ่งน่าสนใจทั้งหลาย. สิ่งทั้งหลายมากมายที่ข้าไม่เคยได้จินตนาการ.”

         และความทรงจำ-จิตนั้นได้เปิดเปลือกหุ้มออกภายในเธอเปิดตนเองของมันต่อเจสสิกา, อนุญาตการทัศนาลงระเบียงเดินอันกว้างยังแม่อธิการอื่นจนถึงดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดกับพวกเขา.

         เจสสิกาหดตัวถอย, หวาดกลัวที่เธอจะกลายเป็นลงไปในมหาสมุทรแห่งหนึ่งเดียวนั้น. กระนั้น, ระเบียงช่องทางนั้นยังคงอยู่, เผยออกต่อเจสสิกาว่าวัฒนธรรมของฟรีเมนนั้นเก่าแก่เกินไปกว่าที่เธอได้คาดไว้.

         มีฟรีเมนอยู่บนโพริติน, เธอได้เห็นผู้คนได้เติบโตความอ่อนโยนด้วยดาวเคราะห์อันสุขสบาย, ยอมให้กับจักรวรรดิผู้บุกรุกที่เข้ามาเก็บเกี่ยวและปลูกฝังอาณานิคมมนุษย์ทั้งหลายใน เบลา เทกียูส และ ซาลูซา เสกันดา.

         โอ้, เจสสิกาคร่ำครวญสัมผัสรู้ในการมีส่วนนั้น.

         ไกลลงไปตามระเบียงทางเดิน, ภาพทัศน์-เสียงกรีดร้อง: “พวกมันปฏิเสธเราในฮัจจ์!

         เจสสิกามองเห็นคอกกรงขังทั้งหลายของทาสบนเบลา เทกียูส ลงไปตามระเบียงทางเดินข้างใน, เห็นพวกที่ถูกคัดออกและพวกที่ถูกเลือกซึ่งแผ่กระจายคนไปสู่ รอสแสค และ ฮาร์มอนเธพ. ฉากทั้งหลายของความโหดเหี้ยมทารุณได้เปิดสู่เธอเหมือนกลีบทั้งหลายของดอกไม้สยองขวัญ. และเธอมองเห็นเส้นด้ายของอดีตนั้นร้อยเรียงนำไปโดยเสย์ยาดินาต่อจากเสย์ยาดินา---ตอนแรกด้วยคำบอกของปาก, ในเพลงสวดทะเลทรายทั้งหลาย, แล้วได้กลั่นให้บริสุทธิ์ผ่านแม่อธิการทั้งหลายของพวกเขาเองด้วยการค้นพบถึงยาพิษบน รอสแสค.....และบัดนี้ได้พัฒนาขึ้นสู่พละกำลังอันเฉียบแหลมบนอาราคิสในการค้นพบถึงชีววารี.

         ไกลลงไปในระเบียงเดินชั้นใน, อีกเสียงหนึ่งได้กรีดร้อง: “ไม่มีวันให้อภัย! ไม่มีวันให้อภัย!

         แต่ความสนใจของเจสสิกาถูกเพ่งจับอยู่กับวิวรณ์แห่งชีววารี, มองแหล่งกำเนิดขอเธอ, เธองมัน: และดังที่เธอเห็นการฆ่าของมันในความทรงจำใหม่ของเธอ, เธอกลั้นการหอบหายใจ.

         สิ่งมีชีวิตนั้นจมน้ำตาย!

         “ท่านแม่! แม่เป็นอะไรไหม?”

         เสียงของพอลรุกล้ำกับเธอ, และเจสสิกาดิ้นรนออกจากสัมปชัญญะข้างในนั้นเพื่อมองขึ้นมาหาเขา, สำนึกของหน้าที่ที่มีต่อเขา, แต่ขุ่นเคืองต่อการปรากฏของเขา.

         ฉันก็เหมือนบุคคลซึ่งมือทั้งหลายของตนถูกทำให้ชามึนอยู่, ปราศจากความรู้สึกจากชั่วขณะในตอนแรกของสัมปชัญญะ---จนกระทั่งวันหนึ่งความสามารถที่จะรู้สึกได้ถูกบีบบังคับเข้ามาในพวกเขา.

         ความคิดนั้นแขวนห้อยอยู่ในจิตใจของเธอ, สัมปชัญญะที่ถูกปิดล้อม.

         และฉันพูด: “ดูสิ! ฉันไม่มีมือ!” แต่ผู้คนรายรอบฉันทั้งหมดพูดว่า: “อะไรคือมือรึ?”

         “แม่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” พอลพูดซ้ำ.

         “ใช่.”

         “ไม่เป็นไรกับข้าใช่ไหมที่จะดื่มนั่น?” เขาทำท่าชี้ไปที่ถุงในมือของชานิ. “พวกเขาต้องการให้ข้าดื่มมัน.”

         เธอได้ยินความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเขา, ตระหนักได้ว่าเขาได้ตรวจพบยาพิษนันในสารตั้งต้น, ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง, ที่ทำให้เขากังวลต่อเธอ. มันได้เกิดขึ้นแล้วกับเธอในตอนนั้นที่กังขาในใจเกี่ยวกับขอบเขตจำกัดแห่งการรู้ล่วงหน้าของพอล. คำถามของเขาเผยเปิดออกมากต่อเธอ.

         “ลูกจะดื่มมันก็ได้,” เธอบอก. “มันได้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว.” และเธอมองโพ้นเลยตัวเขาไปที่จะเห็นสติลจาร์กำลังจ้องลงมาที่เธอ, ดวงตามืด-เข้มนั้นกำลังศึกษา.

         “ตอนนี้, เรารู้ว่าเจ้าไม่สามารถจะเป็นผิดได้,” เขาพูด.

         เธอสัมผัสรูถึงความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ในที่นี้, ด้วยเช่นกัน, แต่การทำให้มึนงงของยานั้นได้มีอำนาจอยู่เหนือประสาทสัมผัสทั้งหลายของเธอ. มันช่างอบอุ่นและกล่อมประโลมเหลือเกิน. ช่างเป็นบุญกุศลอย่างยิ่งที่ฟรีเมนเล่านี้ที่นำเธอมาเข้าสู่แอ่งแห่งไมตรีจิตเยี่ยงนี้.

         พอลมองเห็นยานั้นเข้ายึดกุมกับมารดาของเขา.

         เขาสืบค้นใสนความทรงจำของเขา---อดีตที่ติดแน่น, เส้นกระแสไหลหลั่งของอนาคตทั้งหลายที่เป็นไปได้. มันเหมือกับการตรวจดูอย่างละเอียดผ่านปัจจุบันทั้งหลายที่ถูกจับกุมไว้ของเวลา, ทำให้ยุ่งเหยิงต่อเลนส์ของดวงตาข้างใน. เศษชิ้นทั้งหลายนั้นยุ่งยากที่จะเข้าใจได้เมื่อฉกคว้าเอาออกมาจากกระแสไหลท้นนั้น.

         ยานี้---เขาสามารถประกอบรวมความรู้กับมัน, เข้าใจได้ว่าอะไรที่มันเป็นการทำของมารดาของเขา, แต่ความรู้นั้นขาดซึ่งจังหวะของธรรมชาติ, ขาดซึ่งระบบของการสะท้อนร่วมกัน.

         เขาได้ตระหนักรู้ทันทีทันใดว่ามันเป็นหนึ่งสิ่งที่จะเห็นอดีตนั้นวุ่นอยู่กับปัจจุบัน, แต่การทดสอบแท้จริงของปรากฏการณ์ก็คือการที่จะเห็นอดีตนั้นอยู่ในอนาคต.

         สิ่งทั้งหลายดื้อรั้นในการไม่เป็นอะไรที่พวกมันดูเหมือนที่จะเป็น.

         “ดื่มมันสิ,”ชานิพูด. เธอโบกพวยงวงของถุงน้ำนั้นใต้จมูกของเขา.

         พอลยืดตัวขึ้น, จ้องมองชานิ. เขารู้สึกถึงความตื่นเต้นของงานเฉลิมฉลองอยู่ในอากาศ. เขารู้ว่าอะไรจะบังเกิดขึ้นถ้าเขาดื่มยาเครื่องเทศนี้ด้วยด้วยธาตุแท้ของแก่นสารของมันที่ได้นำการเปลี่ยนแปลงมายังเขา. เขาจะกลับคืนสู่ภาพทัศน์ของกาลบริสุทธิ์, ของเวลา(time)-กลายเป็น เทศะ(space). มันจะจับเขาให้เกาะคอนอยู่กับยอดสุดอันงวยงงและต้านทานเขาที่จะเข้าใจ.

         จากด้านหลังของชานิ, สติลจาร์พูด: “ดื่มมันสิ, เจ้าหนุ่ม. เจ้ากำลังทำให้พิธีช้าอยู่.”

         พอลฟังต่อฝูงคนแล้ว, ได้ยินถึงความบ้าคลั่งในน้ำเสียงทั้งหลายนั้น---“ไลสาน อัล-กาอิบ,” พวกเขาพูด. “มวดดิบ!” เขามองลงไปที่มารดาของเขาง เธอปรากฏอยู่ในการหลับอย่างสันติสุขเต็มเปี่ยมในอากัปกิริยาการนั่ง---การหายใจของเธอสม่ำเสมอและลึก. วลีหนึ่งออกมาจากอนาคตที่อดีตอันอ้างว้างของเขาเข้ามาสู่ในจิตของเขา: “เธอนอนหลับในชีววารี.”

         ชานิดึงที่แขนเสื้อของเขา.

         พอลรับงวงพวยน้ำนั้นเข้าไปในปากของเขา, ได้ยินผู้คนนั้นตะโกน. เขารู้สึกถึงก้อนของเหลวเข้าไปในลำคอขณะที่ชานิกดถุงนั้น, สัมผัสรู้ถึงความเคลิบเคลิ้มในฟองฟูมนั้น. ชานิเอาพวยน้ำนั้นออก, ส่งถุงนั้นไปสู่มือที่เอื้อมมาหามันจากพื้นของถ้ำคูหา. ดวงตาของเขาเพ่งจับอยู่ที่แขนของเธอ, แถบผ้าสีเขียวของการไว้ทุกข์ที่นั่น.

         ขณะที่เธอยืดตัวลุกขึ้น, ชานิมองเห็นทิศทางที่จ้องมาของเขา, พูด: “ข้าสามารถำว้ทุกข์ให้เขาได้กระทั่งในตอนความสุขของวารีนี้. นี่เป็นอะไรบางอย่างที่เขาได้มอบไว้ให้แก่พวกเรา.” เธอเอามือของเธอเข้าไปในมือของเขา, ดึงเขาเดินไปตามเพิงตะพักยื่น. “เรามีอะไรเหมือนกันอย่างหนึ่ง, อูซุล: เราต่างก็สูญเสียบิดาไปต่อพวกฮาร์คอนเนนส์.”

         พอลตามเธอไป. เขารู้สึกศีรษะของเขาได้แยกออกไปจากร่างกายของเขาและคืนฟื้นด้วยการเชื่อมติดต่อพิกลทั้งหลาย. ขาของเขาอยู่ไกลออกไปและปวกเปียก.

         พวกเขาเข้าไปในช่องทางด้านข้างแคบๆ, ผนังของมันอยู่ในแสงสลัวหรี่ด้วยลูกโคมเรืองแสงเว้นระยะห่าง. พอลรู้สึกว่ายานั้นกำลังเริ่มที่จะส่งผลกระทบอันโดดเด่นของมันกับเขา, กำลังเปิดเวลาออกเหมือนดอกไม้หนึ่ง. เขาพบว่าต้องการที่จะยันตนเองให้มั่นกับชานิขณะที่พวกเขาผ่านทะลุอุโมงค์ในเงามืดอีกอันหนึ่ง. ส่วนผสมของเกลียวเชือกและความอ่อนนุ่มที่เขารู้สึกภายใต้ผ้าคลุมของเธอก่อกวนเลือดในกายของเขา. ความรู้สึกกวนวนปนด้วยการทำงานของยา, ห่อพับอนาคตและอดีตเข้าเป็นสู่ปัจจุบัน, ทิ้งเขาไว้แค่ชายขอบบอบบางที่สุดของภาพคมชัดไตรทรรศน์.

         “ข้ารู้จักเจ้า, ชานิ,” เขากระซิบ. “เราได้นั่งอยู่ริมตะพักเหนือทะเลทรายขณะที่ข้าปลอบประโลมความหวาดกลัวของเจ้า. เราได้ลูบไล้กันในความมืดของสิฐคาม. เราได้.....”เขาพบว่าตนเองกำลังสูญเสียความคมชัดไป, พยายามที่จะสั่นศีรษะของตน, ล้มคว่ำลง.

         ชานหยัดยันร่างของเขาขึ้นมา, นำเขาผ่านผ้าแขวนหน้าทึบเข้าไปในความอบอุ่นสีเหลืองของที่พักส่วนตัว---โต๊ะเตี้ยทั้งหลาย, หมอนอิง, ฟูกนอนภายใต้ผืนผ้าสีส้มปูอยู่.

         พอลเริ่มระแวดระวังว่าพวกเขาได้หยุดลง, ว่าชานิยืนประจันหน้าเขาอยู่, และว่าดวงตาของเธอทรยศออกมาถึงท่าทีของความตื่นตระหนกเงียบๆ.

         “เจ้าต้องบอกข้า,” เธอกระซิบ.

         “เจ้าคือ สิฮายะ,” เขาพูด, “น้ำพุทะเลทราย.”

         “เมื่อเผ่าแบ่งปันวารีนั้น,” เธอพูด. “เราร่วมกัน---ทั้งหมดของเรา. เรา...แบ่งปัน. ข้าสามารถ...สัมผัสรู้ถึงผู้อื่นกับข้า, แต่ข้ากลัวที่จะแบ่งปันกับเจ้า.”

         “ทำไม?”

         เขาพยายามที่จะเพ่งมาที่เธอ, แต่อดีตและอนาคตกำลังรวมปนเข้าหากันเข้าไปเป็นปัจจุบัน, พร่ามัวภาพทัศน์ของเธอ. เขาเห็นเธอไม่อาจนับได้ในหลายหนทางและหลายท่าทางและหลายฉาก.

         “มีบางอย่างน่ากลัวในตัวเจ้า,” เธอพูด. “เมื่อข้าพาเจ้ามาจากผู้อื่น.....ข้าทำมันเพราะว่าข้าสามารถรู้สึกถึงอะไรที่ผู้ต้องการ. เจ้า.....กดดันผู้คน. เจ้า.....ทำให้เราเห็นสิ่งนั้น!

         เขาบังคับตนเองที่จะพูดอย่างชัดเจน: “เจ้าเห็นอะไร?”

         เธอก้มลงมองที่มือของเธอ. “ข้าเห็นเด็กคนหนึ่ง...ในอ้อมแขนของข้า. เป็นลูกของเรา, ของเจ้าและของข้า.” เธอเอามือมาที่ปากของตน. “เขาสามารถรู้ทุกรูปลักษณ์ของเจ้าได้ล่ะ?”

         พวกเขามีเชาว์ปัญญาอยู่เล็กน้อย, จิตของเขาบอกแก่ตัวเขา. แต่พวกเขากดข่มมันไว้เพราะมันน่ากลัว.

         ในชั่วขณะของความกระจ่างชัด, เขาเห็นว่าชานิตัวสั่นเทาอย่างไร.

         “อะไรหรือที่เจ้าต้องการจะพูด?” เขาถาม.

         อูซุล,” เธอกระซิบ, และยังคงสั่นเทาอยู่.

         “เจ้าไม่สามารถกลับเข้าไปในอนาคตได้,” เขาพูด.

         ความรู้สึกเห็นใจลึกล้ำต่อเธอกวาดผ่านเขาไป. เขาดึงร่างเธอมาหาตน, ลูบล้ศีรษะของเธอ. “ชานิ, ชานิ, อย่ากลัว.”

         อูซุล, ช่วยข้าด้วย,” เธอร้อง.

         ขณะที่เธอพูด, เขารู้สึกได้ถึงฤทธิ์ของยาได้ทำงานของมันสมบูรณ์สิ้นแล้วในตัวเขา, ฉีกม่านทังหลายออกไปเพื่อให้เขาได้เห็นอนาคตอันห่างไกลสับสนอลหม่านพร่ามัว.

         “เจ้าเงียบเหลือเกิน,” ชานิพูด.

         เขายึดตัวเองให้สงบเยือกเย็นอยู่ในสัมปชัญญะนั้น, มองเห็นเวลาที่ยืดออกไปในมิติพิกลของมัน, สร้างสมดุลอย่างประณีตกระนั้นก็ยังหมุนวน, แคบแต่ยืดยาวไปเหมือนตาข่ายเก็บรวบไร้คณานับของโลกและแรงกำลังทั้งหลาย, ลวดขึงตึงที่เขาต้องเดินไป, ที่ยังแกว่งไปมาที่เขาต้องทรงดุลยภาพอยู่บนมัน.

         บนหนึ่งด้านเขาสามารถมองเห็นราชอาณาจักร, ฮาร์คอนเนนที่ชื่อว่าฟียด์-เราธาผู้พุ่งเข้าหาเขาเหมือนดาบมรณะ, กิลด์ที่เจ้าเล่ห์และวางแผนการร้าย, เบเน เกสเสอริตด้วยแผนอุบายของพวกเขาในการคัดเลือกการเพาะพันธุ์. พวกเขาวางรวมกันเป็นกลุ่มก้อนเหมือนพายุฝนบนเส้นขอบฟ้าของเขา, ถูกกั้นขวางโดยไม่มากไปกว่าชนฟรีเมนและมวดดิบของพวกเขา, ยักษ์หลับฟรีเมนทรงตัวอยู่เพื่อสงครามศาสนาบ้าคลั่งข้ามไปทั่วจักรวาล.

         พอลรู้สึกว่าตนเองอยู่ที่ศูนย์กลาง, ที่ดุมแกนที่โครงสร้างทั้งปวงได้หมุนวนรอบ, เดินนำเส้นลวดบางของสันติภาพด้วยมาตรแห่งความสุข. ชานิเคียงข้างเขา. เขาสามารถเห็นมันกำลังยืดเหยียดไปข้างหน้าของเขา, เวลาของสัมพันธภาพเงียบสงบในสิฐคามซ่อนเร้น, ชั่วขณะแห่งสันติระหว่างช่วงทั้งหลายของความรุนแรง.

         “ไม่มีที่อื่นใดอีกสำหรับสันติสุข,” เขาพูด.

         อูซุล, เจ้ากำลังร้องไห้,” ชานิพึมพำ. “อูซุล, ความเข้มแข็งของข้า, เจ้าให้ความชื้นแก่ผู้ตายหรือ? แก่ความตายของผู้ใดหรือ?”

         “แก่หลายผู้คนที่ยังไม่ตาย,” เขาพูด.

         “งั้นก็ปล่อยให้พวกเขาได้มีเวลาของชีวิตของพวกเขาเถิด,” เธอพูด.

         เขาสัมผัสรู้ผ่านหมอกของยานั้นว่าเธอพูดถูกต้องอย่างไร, ดึงเธอเข้ามาแนบตัวขาด้วยแรงคุคั่ง. “สิฮายิ!” เขาพูด.

         เธอเอาฝ่ามือยันที่แก้มของเขา, “ข้าไม่หวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว, อูซุล. มองข้าสิง ข้าเห็นอะไรที่เจ้าเห็นเมื่อเจ้ากอดข้าเช่นนี้.”

         “เจ้าเห็นอะไรหรือ?” เขาถามสั่ง.

         “ข้าเห็นเราให้ความรักแก่กันและกันในเวลาแห่งความเงียบสงบระหว่างพายุทั้งหลาย. มันคืออะไรที่เราถูกหมายให้ต้องทำ.”

         ยานั้นได้ตัวเขาไปอีกครั้งและเขาคิด: ช่างมากมายหลายคราเหลือเกินที่เจ้าได้ให้แก่ข้าด้วยความปลอบประโลมใจและความลืมพ้นไปสิ้นทั้งหลายนั้น. เขารู้สึกใหม่อีกของความเหนือแสงด้วยมโนภาพนูนสูงของเวลาของมัน, สัมผัสรู้ถึงอนาคตของเขาที่กำลังกลายเป็นความทรงจำทั้งหลาย---ความน่าอดสูทั้งหลายที่อ่อนโยนของความรักทางกายภาพ, การแบ่งปันและร่วมกันของตัวตน, ความอ่อนนุ่มและความรุนแรง.

         “เจ้าเป็นผู้แข็งแกร่ง, ชานิ,” เขาพึมพำ. “อยู่กับข้านะ.”

         “เสมอเลยล่ะ,” เธอพูด, และจุมพิตเขาที่แก้ม.

 

(จบบรรพที่ สอง)

        

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น