หน้าเว็บ

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2564

จิตที่ฝึกดีแล้ว - หน้า ๔๘-๕๐

 (จาก หน้า ๔๘-๕๐ ของหนังสือ “จิตที่ฝึกดีแล้ว-การตรึกในความจริง ความรัก และความสุข”(The Transformed Mind: Reflections on truth, love and happiness) โดย องค์ทะไลลามะ/ผู้แปล เพ็ญนภา หงส์ทอง.)

         พุทธศาสนาเชื่อในความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกันระหว่างเหตุและผล ซึ่งทุกข์และสุขก็รวมอยู่ในความสัมพันธ์ของเหตุและผลลักษณะนี้ด้วย เหตุโดยตรงที่ก่อให้เกิดทุกข์และสุขคือกรรม กรรมหมายถึงการกระทำ สิ่งที่จะขึ้นในวันพรุ่งนี้เป็นผลมาจากการกระทำในวันนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนี้เป็นผลมาจากปีที่ผ่านมา และเหตุการณ์ในศตวรรษนี้ก็เชื่อมโยงกับการกระทำในศตวรรษที่ผ่านๆมา การกระทำของคนรุ่นก่อนส่งผลต่อคนรุ่นถัดๆมา นี่คือรูปแบบหนึ่งของกรรม อย่างไรก็ดี มีความแตกต่างระหว่างการกระทำที่คนกลุ่มหนึ่งหรือสิ่งที่มีชีวิตกลุ่มหนึ่งร่วมกันทำ กับการกระทำของคนคนเดียว ในกรณีของปัจเจก การกระทำของชีวิตในช่วงต้นย่อมส่งผลต่อชีวิตที่ตามมาของคนผู้นั้น

         และอะไรคือเหตุแห่งการกระทำ อะไรคือแรงจูงใจของจิต และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นจิตคืออะไร ใช่สมองหรือรูปแบบหนึ่งของพลังงานที่สมองสร้างขึ้นมาหรือไม่ คำตอบคือใช่ทั้งสองอย่าง ที่ใช่ทั้งสองอย่างเพราะการรับรู้ในระดับหยาบของเราเป็นสิ่งที่สมองสร้างขึ้น ขณะที่ต้นตอที่แท้จริงของการรับรู้คือจิตละเอียดซึ่งอยู่ในระดับลึกสุด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสมอง แล้วการรับรู้ในระดับลึกสุดเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็ด้วยสาเหตุสองประการ คือ เป็นสาเหตุ “หลัก” กับสาเหตุ “รอง”

         กว่าจะเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้ มนุษย์ผ่านกระบวนการพัฒนามาแล้วห้าพันล้านปี ในช่วงสามถึงสี่พันล้านปีแรกไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ มีเพียงเซลล์ปฐมภูมิเท่านั้น แม้จะมีวิวัฒนาการของมนุษย์ แต่คำถามสำคัญก็ยังคงอยู่ จักรวาลหรือกาแล็กซีเกิดขึ้นได้อย่างไร อะไรคือเหตุผล เราอาจบอกว่ามันไม่มีเหตุผลหรืออยู่ดีๆมันก็เกิดขึ้นเอง แต่นั่นก็ไม่ใช่คำตอบที่น่าพอใจ

         คำตอบอีกประการหนึ่งคือ เป็นผลงานของพระผู้สร้างหรือพระเจ้า แต่แนวคิดนี้ไม่ได้รับการยอมรับในศาสนาพุทธและศาสนาเชน พุทธศาสนามองว่าจักรวาลดำรงอยู่เพราะผลกรรมของสรรพสัตว์ที่ต้องใช้ประโยชน์จากกาแล็กซีต่างๆ ลองดูอย่างดูบ้านเป็นตัวอย่าง บ้านเกิดขึ้นได้เพราะมีคนสร้างมันขึ้นมาเพื่อจะใช้ประโยชน์ ในทำนองเดียวกัน เพราะมีสรรพสัตว์อยู่อาศัยและใช้ประโยชน์จากกาแล็กซีนี้ กรรมของสรรพสัตว์จึงทำให้เกิดกาแล็กซีนี้ข้น

         เราไม่สามารถอธิบายสิ่งเหล่านี้ได้ในเชิงกายภาพ จะอธิบายได้ก็เพียงฐานความสืบเนื่องของจิต การรับรู้หรือจิตที่ละเอียดที่สุด ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด นี่เป็นธรรมชาติระดับปรมัตถ์ของจิต ข้าพเจ้ามิได้กำลังพูดถึงธรรมชาติที่สมบูรณ์สุด เพราะแม้แต่ในระดับสมมติ ปรมัตถธรรมชาติก็ยังเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ จิตหยาบที่มีการรับรู้ก็มีธรรมชาติปรมัตถ์ของมันเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ มันสามารถตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของทั้งอารมณ์อกุศลและความคิดฝ่ายกุศล อารมณ์อกุศลทั้งปวงเกิดจากอวิชชา และอวิชชาก็ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานใดๆเลย

         ตามหลักของพุทธปรัชญา สรรพสัตว์ทุกชนิดที่มีจิตและการรับรู้ ล้วนมีศักยภาพที่จะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า เราเรียกการรับรู้ที่ละเอียดนี้ว่า เมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะ หรือ สุคตหฤทัย หรือ ตถาคตครรภ์(tathagatagarbha) ซึ่งเป็นความเชื่อโดยทั่วไปของพุทธศาสนาโดยเฉพาะนิกายมหายาน เป้าหมายสูงสุดของหมายานคือพุทธภาวะเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งปวง ความมุ่งมั่นเช่นนั้นเรียกว่า โพธิจิต ซึ่งเป็นคำสอนสำคัญในฝ่ายมหายานที่ว่าด้วยความรักและปรารถนาดีต่อผู้อื่นอย่างไม่มีประมาณ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น