(จาก หน้า ๔๘-๕๐ ของหนังสือ “จิตที่ฝึกดีแล้ว-การตรึกในความจริง ความรัก และความสุข”(The Transformed Mind: Reflections on truth, love and happiness) โดย องค์ทะไลลามะ/ผู้แปล เพ็ญนภา หงส์ทอง.)
พุทธศาสนาเชื่อในความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกันระหว่างเหตุและผล ซึ่งทุกข์และสุขก็รวมอยู่ในความสัมพันธ์ของเหตุและผลลักษณะนี้ด้วย เหตุโดยตรงที่ก่อให้เกิดทุกข์และสุขคือกรรม
กรรมหมายถึงการกระทำ สิ่งที่จะขึ้นในวันพรุ่งนี้เป็นผลมาจากการกระทำในวันนี้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนี้เป็นผลมาจากปีที่ผ่านมา
และเหตุการณ์ในศตวรรษนี้ก็เชื่อมโยงกับการกระทำในศตวรรษที่ผ่านๆมา
การกระทำของคนรุ่นก่อนส่งผลต่อคนรุ่นถัดๆมา นี่คือรูปแบบหนึ่งของกรรม อย่างไรก็ดี
มีความแตกต่างระหว่างการกระทำที่คนกลุ่มหนึ่งหรือสิ่งที่มีชีวิตกลุ่มหนึ่งร่วมกันทำ
กับการกระทำของคนคนเดียว ในกรณีของปัจเจก
การกระทำของชีวิตในช่วงต้นย่อมส่งผลต่อชีวิตที่ตามมาของคนผู้นั้น
และอะไรคือเหตุแห่งการกระทำ
อะไรคือแรงจูงใจของจิต และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นจิตคืออะไร
ใช่สมองหรือรูปแบบหนึ่งของพลังงานที่สมองสร้างขึ้นมาหรือไม่
คำตอบคือใช่ทั้งสองอย่าง
ที่ใช่ทั้งสองอย่างเพราะการรับรู้ในระดับหยาบของเราเป็นสิ่งที่สมองสร้างขึ้น
ขณะที่ต้นตอที่แท้จริงของการรับรู้คือจิตละเอียดซึ่งอยู่ในระดับลึกสุด
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสมอง แล้วการรับรู้ในระดับลึกสุดเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็ด้วยสาเหตุสองประการ
คือ เป็นสาเหตุ “หลัก” กับสาเหตุ “รอง”
กว่าจะเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้
มนุษย์ผ่านกระบวนการพัฒนามาแล้วห้าพันล้านปี ในช่วงสามถึงสี่พันล้านปีแรกไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ
มีเพียงเซลล์ปฐมภูมิเท่านั้น แม้จะมีวิวัฒนาการของมนุษย์ แต่คำถามสำคัญก็ยังคงอยู่
จักรวาลหรือกาแล็กซีเกิดขึ้นได้อย่างไร อะไรคือเหตุผล
เราอาจบอกว่ามันไม่มีเหตุผลหรืออยู่ดีๆมันก็เกิดขึ้นเอง แต่นั่นก็ไม่ใช่คำตอบที่น่าพอใจ
คำตอบอีกประการหนึ่งคือ
เป็นผลงานของพระผู้สร้างหรือพระเจ้า แต่แนวคิดนี้ไม่ได้รับการยอมรับในศาสนาพุทธและศาสนาเชน
พุทธศาสนามองว่าจักรวาลดำรงอยู่เพราะผลกรรมของสรรพสัตว์ที่ต้องใช้ประโยชน์จากกาแล็กซีต่างๆ
ลองดูอย่างดูบ้านเป็นตัวอย่าง
บ้านเกิดขึ้นได้เพราะมีคนสร้างมันขึ้นมาเพื่อจะใช้ประโยชน์ ในทำนองเดียวกัน
เพราะมีสรรพสัตว์อยู่อาศัยและใช้ประโยชน์จากกาแล็กซีนี้
กรรมของสรรพสัตว์จึงทำให้เกิดกาแล็กซีนี้ข้น
เราไม่สามารถอธิบายสิ่งเหล่านี้ได้ในเชิงกายภาพ
จะอธิบายได้ก็เพียงฐานความสืบเนื่องของจิต การรับรู้หรือจิตที่ละเอียดที่สุด
ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด นี่เป็นธรรมชาติระดับปรมัตถ์ของจิต ข้าพเจ้ามิได้กำลังพูดถึงธรรมชาติที่สมบูรณ์สุด
เพราะแม้แต่ในระดับสมมติ ปรมัตถธรรมชาติก็ยังเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์
จิตหยาบที่มีการรับรู้ก็มีธรรมชาติปรมัตถ์ของมันเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์
มันสามารถตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของทั้งอารมณ์อกุศลและความคิดฝ่ายกุศล
อารมณ์อกุศลทั้งปวงเกิดจากอวิชชา และอวิชชาก็ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานใดๆเลย
ตามหลักของพุทธปรัชญา สรรพสัตว์ทุกชนิดที่มีจิตและการรับรู้
ล้วนมีศักยภาพที่จะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า เราเรียกการรับรู้ที่ละเอียดนี้ว่า เมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะ
หรือ สุคตหฤทัย หรือ ตถาคตครรภ์(tathagatagarbha) ซึ่งเป็นความเชื่อโดยทั่วไปของพุทธศาสนาโดยเฉพาะนิกายมหายาน
เป้าหมายสูงสุดของหมายานคือพุทธภาวะเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งปวง ความมุ่งมั่นเช่นนั้นเรียกว่า
โพธิจิต ซึ่งเป็นคำสอนสำคัญในฝ่ายมหายานที่ว่าด้วยความรักและปรารถนาดีต่อผู้อื่นอย่างไม่มีประมาณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น