แนวคิดของการก้าวไปข้างหน้ากระทำการเฉกเช่นกลไกของการปกป้องที่จะกำบังเราจากความตื่นตระหนกทั้งหลายของอนาคตนั้น.
---จาก “รวบรวมคำพูดของ มวด’ดิบ” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน
ในครบรอบวันเกิดที่สิบเจ็ดของเขา,
ฟีย์ด-เราธา ฮาร์คอนเนนส์
ได้ฆ่าเป็นคนที่หนึ่งร้อยของทาส-นักสู้แห่งสังเวียนสนามในกีฬาทั้งหลายของครอบครัว.
ผู้สังเกตการณ์รับชมทั้งหลายเป็นแขกเยือนจากราชสนักจักรพรรดิ---ท่านเคานท์และเลดี้
เฟนริง---อยู่บนภพบ้านเกิดแห่งไกดิ ไพร์ม เพื่องานนั้น,
ได้รับเชิญให้นั่งที่บ่ายนั้นกับครอบครัวใกล้ชิดในคอกทองคำเหนือสนามสังเวียนสามเหลี่ยม.
เพื่อเป็นเกียรติต่อวันสมภพของ
ณ-บารอน(na-Baron*)และเพื่อย้ำเตือนต่อบรรดาฮาร์คอนเนนส์ทั้งหลายและข้าราชบริพารว่าฟีย์ด-เราธานั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์,
มันเป็นวันหยุดบนไกดิ ไพร์ม. บารอนเฒ่าได้มีพระราชกฤษฎีกาให้เป็นวันหยุดพักเหนือจรดใต้กับแรงงานทั้งหลาย,
และความพยายามได้ถูกใช้ไปในนครญาติแห่งฮาร์โคเพื่อรังสรรค์มายาภาพงานรื่นเริงเฉลิมฉลอง:
แถบผ้าริ้วธงปลิวไสวจากอาคารทั้งหลาย,
สีใหม่ได้ถูกสาดบนผนังต่างๆไปตามราชวิถี.
แต่ออกไปจากหนทางสายหลัก,
เคานท์ เฟนริงและท่านหญิงของเขาสังเกตเห็นขยะกองพะเนินทั้งหลาย,
ผนังสีน้ำตาลหยาบสกปรกทั้งหลายสะท้อนอยู่ในแอ่งหลุมดินดำมืดของถนนเหล่านั้น,
และการลับๆล่อๆกำลังลนลานของผู้คนนั้น.
เขตป้องกันชั้นในกำแพงสีฟ้าของบารอนนั้น,
มีความสมบูรณ์อย่างหวาดกลัวเต็มเปี่ยม, แต่ท่านเคานท์และท่านหญิงของเขาเห็นราคาที่ถูกจ่ายไปนั้น---ยามรักษาการณ์ทั้งหลาย,
ทุกหนแห่งและอาวุธทั้งหลายที่มันวาวแวววับเป็นพิเศษซึ่งบอกได้ด้วยสายตาที่ฝึกฝนมาว่าพวกมันได้ถูกใช้เป็นอย่างสม่ำเสมอ.
มีด่านตรวจทั้งหลายสำหรับผู้ผ่านทางเป็นประจำจากพื้นที่หนึ่งไปยังพื้นที่หนึ่งกระทั่งภายในเขตป้องกันชั้นใน.
คนใช้ทั้งหลายเผยให้เห็นการฝึกฝนเยี่ยงทหารออกมาในวิธีที่พวกเขาเดินเหิน,
ในแบบของไหล่ผึ่งผาย.....ในวิธีที่สายตาของพวกเขาเฝ้ามองและเฝ้ามองและเฝ้ามอง.
“มีการบีบบังคับอยู่,”
ท่านเคานท์ฮัมต่อท่านหญิงของเขาในภาษาลับของพวกเขา. “ท่านบารอนกำลังแค่เริ่มต้นที่จะเห็นราคาที่เขาได้จ่ายจริงๆเพื่อกำจัดให้ตัวเขาพ้นจากดยุค
ลีโต.”
“บางครั้งฉันต้องเล่าใหม่ให้ท่านอีกครั้งถึงตำนานของนกฟีนิกซ์,”
เธอพูด.
พวกเขาอยู่ในโถงต้อนรับของการรอคอยต่อไปที่จะไปยังเกมกีฬาของครอบครัว.
มันไม่ใช่เป็นโถงใหญ่โต---บางทีสักสี่สิบเมตรทางยาวและครึ่งของนั้นทางกว้าง---แต่เสาปลอมทั้งหลายไปตามด้านข้างทั้งหลายได้ถูกสร้างรูปให้เป็นปลายเรียวขึ้นอย่างผลุนผลัน,
และเพดานที่โค้งบาง, ทั้งหมดสร้างมายาภาพของพื้นที่ว่างที่ดูมหึมายิ่งขึ้น.
“อา-ห-ห,
มานี่แล้วท่านบารอน,” ท่านเคานท์พูด.
ท่านบารอนเคลื่อนลงมาตามความยาวของโถงด้วยท่าเดินร่อน-ประหลาดสื่อให้รู้ถึงความจำเป็นของเครื่องนำทางพยุงลอยแขวน-น้ำหนัก.
แก้มห้อยย้อยของเขาพะเยิบพะยาบขึ้นลง;
เครื่องแขวนลอยกระตุกและเลื่อนขยับอยู่ภายใต้เสื้อคลุมสีส้มของเขา.
แหวนทั้งหลายระยิบระยับบนมือของเขาและมณีโอปาไฟริ์ส่องจรัสที่พวกมันถักทออยู่ในเสื้อคลุมนั้น.
ที่ข้อศอกของท่านบารอนเดินอยู่ด้วยฟีย์ด-เราธา.
ผมสีดำของเขาถุดสวมแต่งอยู่ในลอนผมทั้งหลายที่ดูเหมือนม่เข้ากันกับความหรูหราเหนือดวงตาอึมครึม.
เขาสวมเสื้อคลุมทูนิครัดรุม-สีดำและกางเกงที่มีแนะนัยของทรงระฆังที่ก้น. รองเท้าสวมสลิปเปอร์ส้นนุ่มปิดเท้าเล็กๆของเขา.
เลดี้
เฟนริง,
สังเกตเห็นว่าท่าเดินโอ่ของชายหนุ่มและกล้ามเนื้อลื่นไหลภายใต้เสื้อคลุมทูนิคนั้นและคิดในใจ: นี่อีกรายผู้ที่จะไม่ยอมปล่อยตนเองให้ไปถึงอวบอ้วน.
ท่านบารอนหยุดตรงหน้าของพวกเขา,
ดึงแขนของฟีย์ด-เราธาในแบบกุมยึดเป็นเจ้าของ, พูด, “หลานของข้า, ณ-บารอน,
ฟีย์ด-เราธา ฮาร์คอนเนน.” และ, หันใบหน้าเด็ก-อวบอ้วนไปยัง ฟีย์ด-เราธา.
เขาพูด, “เคานท์และท่านผู้หญิง เฟนริง ผู้ที่ฉันเคยได้พูดถึง.”
ฟีย์ด-เราธาจุ่มศีรษะของเขาลงด้วยมรรยาทตามที่ถูกกำหนด.
เขาจ้องมองท่านผู้หญิง เฟนริง. เธอผมสีทองและระหง,
ร่างอันสมบูรณ์แบบของเธอนั้นสวมใส่ในชุดกาวน์ลื่นไหลของสีน้ำตาลอ่อน---รัดแนบเรียบง่ายกับรูปร่างโดยปราศจากสิ่งประดับประดา.
ดวงตาเทา-เขียวจ้องมองกลับมายังเขา. เธอมีความสงบเยือกเย็นปลอดโปร่งของเบเน
เกสเสอริตอยู่กับเธอซึ่งชายหนุ่มนี้พบว่าเป็นที่น่ากวนใจอย่างมีเลศนัย.
“อืม-ม-ม-ม-อา-ฮืม-ม-ม-ม,”ท่านเคานท์พูด.
เขาศึกษาฟีย์ด-เราธา. “เป็น, อืม-ม-ม-ม, ชายหนุ่มที่ชัดเจน, อา,
ที่.....อืม-ม-ม-ม...รัก?” ท่านเคานท์ชำเลืองยังท่านบารอน. “บารอนที่รัก,
ท่านพูดว่าท่านได้พูดถึงเรากับชายหนุ่มอันชัดเจนนี้?
ท่านได้พูดอะไรไว้หรือ?”
“ข้าบอกกบหลานของข้าถึงความนิยมชมชื่นอย่างใหญ่หลวงขององค์จักรพรรดิที่ยึดถือในตัวท่าน,
เคานท์ เฟนริง,” ท่านบารอนพูด. และเขาคิด: จดจำเขาเอาไว้ให้ดี, ฟีย์ด!
นักฆ่ากับกิริยามรรยาทของกระต่าย---นี่เป็นชนิดที่อันตรายมากที่สุด.
“แน่นอนเลย!” เคานท์พูด, และเขายิ้มให้กับท่านผู้หญิงของเขา.
ฟีย์ด-เราธาพบว่าการกระทำและคำพูดของชายผู้นี้เกือบจะเป็นการหมิ่นแคลน.
พวกเขาหยุดแค่ระยะสั้นๆของบางอย่างให้โจ่งแจ้งที่จะต้องการการสังเกตเห็นกันได้.
ชายหนุ่มเพ่งความสนใจของเขากับท่านเคานท์: ชายร่างเล็ก,
ท่าทางอ่อนแอ. ใบหน้าซูบผอมเรียวเหมือนพังพอนที่มีดวงตาโตใหญ่เกินไป. มีสีเทาที่ขมับทั้งสอง.
และการเคลื่อนไหวของเขา---เขาเคลื่อนมือหรือหันศีรษะไปทางหนึ่ง,
แล้วเขาพูดอีกทางหนึ่ง. มันยุ่งยากที่จะตามติด.
“อืม-ม-ม-ม-ม-อาห์-ห-ห-หืม-ม-ม,
ท่านยกเอาเรื่องเช่นนี้มา, อืม-ม-ม-ม, ความถูกต้องนี้หาได้ยาก,” ท่านเคานท์พูด,
มองตรงไปที่ไหล่ของท่านบารอน. “ข้า.....อา, ยินดีด้วยกับ หืม-ม-ม
ความสมบูรณ์เยี่ยมของท่านใน อาห์-ห-ห รัชทายาท. ในแสงสว่างทั้งหลายของ หืม-ม-ม-ม
ผู้อาวุโส, ใครก็อาจพูดเช่นนี้.”
“ท่านใจดีมากเกินไป,”ท่านบารอนพูด.
เขาโค้งคารวะ, แต่ฟีย์ด-เราธาสังเกตว่าดวงตาของท่านปิตุลาของเขานั้นไม่ได้เห็นด้วยกับการนอบน้อมนั้น.
“เมื่อท่านได้
อืม-ม-ม เหน็บแหนม, นั่น อาห์-ห-ห ชี้แนะว่าท่าน อืม-ม-ม-ม
กำลังคิดลึกซึ้งทั้งหลายนั้นอยู่,” ท่านเคานท์พูด.
เขาไปนั่นอีกแล้ว, ฟีย์ด-เราธาคิด.
มันฟังดูเหมือนเขากำลังดูหมิ่น, แต่ไม่มีอะไรใดที่เจ้าสามารถท้าเรียกให้ออกมาประมือกันเพื่อความพึงพอใจตนได้.
การฟังต่อคำพูดชายผู้นี้ให้ฟีย์ด-เราธาได้รู้สึกว่าศีรษะของเขาได้ถูกผลักดันผ่านตมเลนของ.....อืม-ม-ม-อาห์-ห-ห-หืม-ม-ม-ม! ฟีย์ด-เราธาหันความสนใจของเขากลับมายังท่านหญิงเฟนริง.
“เรา
อาห์-ห-ห ใช้เวลาของชายหนุ่มนี้มากเกินไปแล้ว,” เธอพูด. “ดิฉันเข้าใจว่าเขาต้องไปปรากฏที่สนามสังเวียนวันนี้.”
เทียบกับนางกำนัลสาวทั้งหลายแห่งฮาเร็มจักรพรรดิ,
เธอเป็นที่น่ารักผู้หนึ่ง! ฟีย์ด-เราธาคิด.
เขาพูด: “ข้าจะทำการฆ่าเพื่อท่านในวันนี้, ท่านหญิงที่รัก.
ข้าจะทำการอุทิศนี้ในสังเวียน, ก็ด้วยคำอนุญาตของท่าน.”
เธอตอบกลับการจ้องมาของเขาอย่างสงบเงียบ,
แต่เสียงของเธอนำไปด้วยแซ่สะบัดขณะที่เธอพูด: “เจ้าไม่ได้คำอนุญาตของข้าหรอก.”
“ฟีย์ด!” ท่านบารอนพูด. และเขาคิด: เจ้าเด็กดื้อนี่! มันอยากให้เจ้ายมฑูตเคานท์ท้าดวลมันออกมาเลยรึ?
แต่ท่านเคานท์เพียงแต่ยิ้มและพูดว่า,
“หืม-ม-ม-ม-อืม-ม-ม.”
“เจ้าจริงๆต้องไปเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสังเวียน,
ฟีย์ด,” ท่านบารอนพูด. “เจ้าต้องไปพักเสียก่อนและไม่ทำเสี่ยงโง่เขลาอันใด.”
ฟียด์-เราธาค้อมคำนับ,
ใบหน้าของเขาหมองคล้ำลงด้วยความขุ่นเคือง.
“ข้าแน่ใจว่าทุกสิ่งจะเป็นดังที่ท่านประสงค์, ท่านลุง.” เขาพยักหน้ากับเคานท์
เฟนริง. “ใต้เท้า,” ยังท่านหญิง: “ท่านหญิงที่เคารพ.”
และเขาหันไป, ก้าวยาวออกไปจากโถง, แทบไม่ได้ชำเลืองมองกลุ่มของญาติผู้เยาว์ที่อยู่ใกล้ประตูสองชั้นนั้น.
“เขายังเยาว์เกินไป,”
ท่านบารอนถอนหายใจ.
“อืม-ม-ม-อ้าห์
จริงแท้เลย หืมมม,” ท่านเคานฺพูด.
และท่านหญิงเฟนริงคิด: จะเป็นชายหนุ่มผู้ที่ท่านแม่อธิการได้หมายถึงหรือ? นี่เป็นสายเลือดที่เราต้องสงวนรักษาไว้หรือ?
“เรามีมากกว่าหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะไปยังสนามสังเวียนนั้น,”
ท่านบารอนพูด. “บางทีเราควรจะได้มีสนทนาเล็กๆของเราในตอนนี้, เคานท์
เฟนริง.” เขาเอียงศีรษะมันวาวของเขาไปยังด้านขวามือ.
“มีความก้าวหน้าที่สามารถพิจารณาได้ที่จะต้องถูกถกเถียงกันอยู่.”
และบารอนคิด: เราจงมาดูกันในตอนนี้ว่าเด็กรับใช้ของจักรพรรดิได้ข้ามราชสาส์นอะไรก็ตามที่เขาถือไว้โดยปราศจากจะได้เคยงี่เง่าเกินกว่าที่จะเอ่ยพูดมันออกมาไหม.
ท่านเคานท์พูดกับท่านหญิงของเขา: “อืม-ม-ม-ม-อ้าห์-ห-ห-หืม-ม-ม, เจ้า มม-ม จะ อ้าห์-ห-ห อภัยต่อเรา,
ที่รัก?”
“แต่ละวัน,
บางครั้งแต่ละชั่วโมง, ก็นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่,” เธอพูด. “มม-ม-ม-ม.”
และเธอยิ้มอย่างอ่อนหวานกับท่านบารอนก่อนที่จะหันร่างจากไป. กระโปรงยาวของเธอส่งเสียงเฟี้ยวฟ้าวและเธอเดินด้วยหลังตั้งตรงก้าวยาวเยี่ยงราชนิกูลไปยังประตูสองชั้นที่ปลายสุดของโถง.
ท่านบารอนสังเหตไว้ว่าการสนทนาทั้งหมดในท่ามกลางหมู่ยุวราชสำนักที่นั้นได้หยุดลงทันทีที่เธอเข้าไปถึง,
ว่าดวงตาทั้งหลายตามติดร่างของเธอกันไปอย่างไร. เบเน เกสเสอริต! ท่านบารอนคิด. เอกภพนี้ควรจะดียิ่งขึ้นกว่าที่ได้กำจัดพวกนี้ไปให้หมด!
“มีกรวยของความเงียบอยู่ระหว่างแนวแถวเสาค้ำทางด้านนี้บนซ้ายมือของเรา,”
ท่านบารอนบอก. “เราสามารถคุยกันที่นั่นได้โดยไม่ต้องกลัวการที่จะถูกได้ยิน.”
เขานำทางนั้นไปด้วยท่าเดินเป๋ส่ายไปมาเข้าไปในสนามพลังปิดตายกั้นเสียงนั้น,
รู้สึกได้ถึงเสียงทั้งหลายที่มีอยู่ให้โถงนั้นมัวค่อยลงและไกลออกไป.
ท่านเคานท์เคลื่อนขึ้นไปข้างบารอน,
และพวกเขาหัน, เผชิญหน้ายังผนังนั้นเพื่อที่ริมฝีปากของพวกเขาไม่สามารถจะถูกอ่านได้.
“เราไม่ได้พอใจกับวิธีที่ท่านได้สั่งให้พวกซาร์เดาการ์ออกจากอาร์ราคิส,
“ ท่านเคานท์พูด.
พูดตรงชัดเลย! ท่านบารอนคิด.
“พวกซาร์เดาการ์ไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้นานกว่านั้นโดยปราศจากการเสี่ยงว่าผู้อื่นจะค้นพบว่าองค์จักรพรรดิได้ช่วยเหลือข้า,”
ท่านบารอนพูด.
“แต่หลานของท่านแรบบานไม่ได้ปรากฏว่ากดดันอย่างแข็งแรงเพียงพอต่อการคลี่คลายแก้ไขของปัญหาชนฟรีเมน.”
“อะไรหรือที่องค์จักรพรรดิปรารถนา?
ท่านบารอนถาม. “ไม่มีความสามารถจะเป็นมากกว่าล้นมือของพวกฟรีเมนเหลืออยู่บนอาร์ราคีส.
ทะเลทรายตอนใต้นั้นไม่สามารถอยู่อาศัยได้.
ทะเลทรายตอนเหนือถูกกวาดล้างอยู่สม่ำเสมอโดยกองทหารของเรา.”
“ใครเป็นคนบอกว่าทะเลทรายตอนใต้นั้นไม่สามารถอยู่อาศัยได้หรือ?”
“นักพิภพนิเวศวิทยาของท่านเองเป็นผู้บอก,
ท่านเคานท์ที่รัก.”
“แต่
ดอกเตอร์ คายนิ์ส นั้นตายไปแล้ว.”
“อา,
ใช่...โชคไม่ดี, นั่น.”
“เราได้มีคำบอกเล่าจากการบินผ่านเหนือพื้นที่ตอนใต้ที่ไปถึงนั้น,”
ท่านเคานท์. “มีหลักฐานของพืชมีชีวิตปรากฏ.”
“แล้วพวกกิลด์ตกลงที่จะเฝ้าดูจากทางอวกาศให้รึ?”
“ท่านก็รู้ดีกว่านั้น,
บารอน. องค์จักรพรรดิไม่สามารถตั้งสถานีตามกฎหมายที่จะเฝ้าระวังกับอาร์ราคีส.”
“และฉันก็ไม่สามารถจ่ายให้การนั้น,”
ท่านบารอนพูด. “ใครทำการบินผ่านเหนือที่นั้นรึ?”
“พวก...ลักลอบขนสินค้าเถื่อน.”
“ใครบางคนได้โกหกต่อท่านแล้ว,
เคานท์,” ท่านบารอนพูด. “พวกลักลอบค้าของเถื่อนนั่นไม่สามารถนำร่องเข้าไปถึงตอนใต้ได้ดีกว่าคนของแร็บบานทำได้.
พายุทั้งหลาย, ประจุไฟฟ้าสถิตจากทราย, และอะไรทั้งหลายนั้น, ท่านก็รู้.
เครื่องกำหนดทิศทางนำร่องทั้งหลายต่างถูกซัดหมอบเร็วกว่าที่พวกเขาจะสามารถติดตั้งมันได้ซะอีก.”
“เราจะถกเถียงกันในเรื่องหลากหลายรูปแบบของประจุไฟฟ้าสถิตนั่นในเวลาอื่น,”
ท่านเคานท์พูด.
อ้าห์-ห-ห-ห, บารอนคิด.
“ท่านได้ค้นพบบางอย่างผิดพลาดในบัญชีรายการของข้าสิงั้นรึ? เขาถามสั่ง.
“เมื่อท่านจินตนการถึงความผิดพลาดทั้งหลายนั่นก็ไม่สามารถเป็นการป้องกันตัวได้แล้ว,”
ท่านเคานท์พูด.
เขากำลังพยายามที่จะกระตุ้นปลุกความโกรธของข้า, ท่านบารอนคิด.
เขาสูดหายใจลึกสองครั้งเพื่อสงบตนเอง. เขาสามารถได้กลิ่นเหงื่อของตนเอง,
และสายรัดบังเหียนทั้งหลายของเครื่องพยุงลอยภายใต้เสื้อคลุมของเขาที่เริ่มรู้สึกคันและน่ารำคาญ.
“องค์จักรพรรดิไม่สามารถเป็นที่ไม่มีความสุขใจได้เกี่ยวกับการตายของสนมและเด็กชายนั้น,”
ท่านบารอนพูด. “พวกเขาบินหลบหนีเข้าไปในทะเลทราย. มีพายุมาลูกหนึ่ง.”
“ใช่,
มีอุบัติเหตุที่ไม่เหมาะสมอยู่มากมายเกินไป,” ท่านเคานท์เห็นด้วย.
“ข้าไม่ชอบในน้ำเสียงของท่านเลยนะ,
เคานท์,” ท่านบารอนพูด.
“ความโกรธเป็นเรื่องหนึ่ง,
ความรุนแรงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง,” ท่านเคานท์พูด.
“ให้ข้าเตือนอันตรายให้กับท่าน:
อุบัติเหตุอย่างโชคร้ายที่อาจบังเกิดขึ้นกับข้าได้ในที่นี่มหาราชสำนักทั้งหมดก็น่าที่จะเรียนรู้ได้ว่าท่านได้ทำอะไรที่บนอาร์ราคีส.
พวกเขาได้สงสัยมายาวนานอยู่แล้วว่าท่านทำธุรกิจอย่างไร.”
“มีเพียงธุรกิจเมื่อเร็วนี้เท่านั้นที่ข้าสามารถนึกขึ้นมาได้,”
ท่านบารอนพูด, “คือการขนส่งของหลายกองพลของซาร์เดาการ์ยังอาร์ราคีส.”
“ท่านคิดว่าท่านจะถือเรื่องนั้นอยู่เหนือเศียรขององคืจักรพรรดิได้รึ?”
“ข้าจะไม่คิดอะไรของมันทั้งนั้น!”
ท่านเคานท์ยิ้ม.
“ผู้บัญชาการซาร์เดาการ์น่าจะสามารถค้นหาได้ว่าใครได้สารภาพว่าพวกเขาได้กระทำการโดยปราศจากคำสั่งทั้งหลายเพราะว่าพวกเขาต้องการรบกับพวกเศษสวะฟรีเมนของท่านนั้น.”
“หลายคนคงกังขาไปกับคำสารภาพเยี่ยงนั้น,”
ท่านบารอนพูด, แต่คำขู่นั้นทิ่มแทงเขา. ซาร์เดาการ์มีวินัยเยี่ยงขนาดนั้นจริงรึ?
เขาสงสัยอยู่ในใจ.
“องค์จักรพรรดิได้ปรารถนาที่จะตรวจสอบบัญชีทั้งลายของท่าน,”
“เวลาใดก็ได้.”
“ท่าน.....อาห์.....ไม่มีคำคัดค้านทั้งหลายหรือ?”
“ไม่มีเลย.
ผู้อำนวยการโชอัม กัมปะนีของข้าการตรวจสอบที่ละเอียดอย่างใกล้ชิดที่สุด.”
และเขาคิด: ให้เขานำเอาข้อกล่าวหาผิดๆมาสู่ข้าและมันได้ถูกเปิดเผยออกมาเลย.
ข้าจะยืนอยู่ที่นั่น, อุกอาจ, แล้วพูดว่า: “จงดูข้า,
ข้าถูกหาว่าผิด.” แล้วปล่อยให้เขานำข้อกล่าวหาใดๆอื่นมาสู่ข้า,
แม้กระทั่งอันที่เป็นจริง. มหาราชสำนักจะไม่เชื่อถือการโจมตีครั้งที่สองของผู้กล่าวหาเมื่อครั้งแรกนั้นพิสูจน์แล้วว่าเป็นการใส่ร้าย.
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบัญชีทั้งหลายของท่านจะรับการตรวจสอบละเอียดอย่างใกล้ชิดที่สุด,”
ท่านเคานท์พึมพำ.
“ทำไมองค์จักรพรรดิถึงได้สนใจนักในการทำลายล้างพวกฟรีเมนหรือ?”
บารอนถาม.
“ท่านปรารถนาจะให้ประเด็นถูกเปลี่ยนเรื่อง,
เอ๋?” ท่านเคานท์ยักไหล่. “เป็นซาร์เดาการ์ที่ปรารถนามัน,
ไม่ใช่องค์จักรพรรดิ.
พวกเขาจำเป็นต้องฝึกฝนการฆ่า...และพวกเขาเกลียดชังที่จะเห็นภารกิจถูกทิ้งไว้ไม่เสร็จ.”
เขาคิดจะให้ข้าตกใจกลัวโดยเตือนข้าถึงที่ว่าเขาได้รับการสนับสนุนโดยพวกนักฆ่ากระหายเลือดนี้หรือ?
บารอนกังขาใจ.
“จำนวนหนึ่งขอบางการฆ่านั้นมักจะได้เป็นแขนของธุรกิจ,”
ท่านบารอนพูด, “แต่เส้นได้ถูกขีดเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง.
บางคนต้องถูกทิ้งให้เหลือไว้ทำงานเรื่องเครื่องเทศ.”
ท่านเคานท์ปล่อยสั้นๆของการหัวเราะกร้าวออกมา.
“ท่านคิดว่าท่านสามารถกุมบังเหียนกับพวกฟรีเมนได้รึ?”
“ไม่เคยมีความเพียงพอของพวกเขากับการนั้น,”
ท่านบารอนพูด. “แต่การฆ่าได้ทำให้ประชากรที่เหลือของข้านั้นไม่สบายใจ.
มันไปถึงจุดที่ข้ากำลังพิจารณาตัดสินใจในวิธีการคลี่คลายต่อปัญหาของชนอาร์ราคีน,
ท่านเฟนริงที่รักของข้า. และข้าต้องสารภาพว่าองค์จักรพรรดิสมควรได้รับเครดิตสำหรับแรงบันดาลใจนี้.”
“อ้าห์-ห-ห?”
“ท่านก็เห็น,
ท่านเคานท์. ข้ามีดาวเคราะห์ราชทัณฑ์ขององค์จักรพรรดิ, ซาลูซา เซคันดัส,
ที่ดาลใจให้กับข้า.”
ท่านเคานท์จ้องมองเขาด้วยความเข้มแวววับ.
“อะไรที่เป็นไปได้ของการเชื่อมต่อนั่นระหว่าง อาร์ราคีส และ ซาลูซา
เซคันดัส หรือ?”
ท่านบารอนรู้สึกถึงความตื่นระวังในดวงตาของเฟนริง,
พูด: “ยังไม่เชื่อมต่อกันหรอก.”
“ยังรึ?”
“ท่านต้องยอมรับว่ามันเป็นหนทางหนึ่งที่จะพัฒนาการบังคับใช้กฎหมายงานสำคัญบนอาร์ราคิส---ใช้สถานที่นั้นเป็นดาวเคราะห์ราชทัณฑ์.”
“ท่านคาดหวังว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของนักโทษรึ?”
“ยังมีสถานการณ์ความไม่สงบอยู่,”
ท่านบารอนยอมรับ. “ข้าได้จำเป็นต้องบีบเค้นค่อนข้างรุนแรง, เฟนริง.
อย่างไรก็ตาม, ท่านก็รู้ว่าราคานั้นข้าเป็นผู้จ่ายพวกกิลด์เวรนั้นที่จะขนย้ายกองกำลังฉันท์มิตรของเรานี้มายังอาร์ราคิส.
เงินนั้นต้องมาจากที่ไหนสักแห่ง.
“ข้าแนะนำท่านไม่ให้ใช้อาร์ราคิสเป็นดาวเคราะห์ราชทัณฑ์โดยปราศจากการอนุญาตขององค์จักรพรรดิ,
บารอน.”
“แน่นอนล่ะว่าไม่,”
ท่านบารอนพูด, และเขาสงสัยในใจกับความเย็นยะเยียบในน้ำเสียงของเฟนริง.
“อีกเหตุเรื่องหนึ่ง,”
ท่านเคานท์พูด. “เราเรียนรู้ว่าเมนทาตของดยุค, ธูเฟอร์
ฮาวัต, ไม่ได้ตายและอยู่ในการจ้างใช้งานของท่าน.”
“ข้าไม่สามารถเอาตนเองไปทำความเสียเปล่าประโยชน์กับเขา,”
ท่านบารอนพูด.
“ท่านโกหกต่อผู้บัญชาการซาร์เดาการ์เมื่อท่านบอกว่าธูเฟอร์
ฮาวัต ได้เสียชีวิตแล้ว.”
“เป็นเพียงศุภมุสาเท่านั้น,
ท่านเคานท์ที่รัก. ข้าไม่มีท้องทนหิวได้พอที่จะถกเถียงนานเอากับเขานัก.”
“ฮาวัตเป็นผู้ทรยศตัวจริงไหม?”
“โอ,
คุณพระ! มันเป็นหมอเท็จผู้นั้น.” ท่านบารอนเช็ดปาดการไหลของเหงื่อที่ต้นคอของเขา.
“ท่านต้องเข้าใจ, เฟนริง. ข้านั้นไม่มีเมนทาต. ท่านก็รู้เรื่องนั้น.
ข้าไม่เคยปราศจากเมนทาตเลยมาก่อน. มันไม่มีความมั่นคงมากที่สุด.”
“ท่านทำอย่างไรหรือให้ฮาวัตที่ย้ายข้างความจงรักภักดีได้?”
“ดยุคของเขานั้นตายไปแล้ว.”
ท่านบารอนเค้นรอยยิ้มออกมา. “ไม่มีอะไรที่ต้องหวาดกลัวจากตัวฮาวัต,
ท่านเคานท์ที่รัก. เลือดเนื้อของพวกเมนทาตได้ถูกทำให้อิ่มตัวด้วยยาพิษที่แฝงอยู่.
เราบริหารจัดการยาต้านพิษในอาหารของพวกเขา. ปราศจากยาต้านพิษของเรา,
ยาพิษนั้นก็ถูกกดปุ่มทำงาน---เขาจะตายในสองสามวัน.”
“ยกเลิกยาถอนพิษนั้นเสีย.”
ท่านเคานท์บอก.
“แต่เขามีประโยชน์อยู่!”
“และเขารู้หลายเรื่องมากเกินไปที่ไม่มีคนที่มีชีวิตใดควรจะรู้.”
“ท่านได้บอกเองว่าองค์จักรพรรดิไม่ได้หวาดกลัวการถูกเปิดเผย.”
“อย่าเล่มเกมกับข้า,
บารอน!”
“เมื่อข้าเห็นคำสั่งเช่นนั้นเหนือตราประทับจักรพรรดิข้าก็จะเชื่อฟังมัน,”
บารอนพูด. “แต่ข้าจะไม่ยอมรับคำพร่ำเพ้อของท่าน.”
“ท่านคิดว่าเป็นคำพร่ำเพ้อรึ?”
“มันสามารถเป็นอย่างอื่นได้อีกรึ?
องค์จักรพรรดิทำสัญญาผูกมัดไว้กับข้า, ด้วยเช่นกัน, เฟนริง.
ข้ากันเอาพระองค์ออกจากเรื่องยุ่งยากของดยุคดื้อด้านนั้น.”
“ด้วยความช่วยเหลือของซาร์เดาการ์จำนวนเล็กน้อย.”
“ที่ใดอื่นหรือซึ่งองค์จักรพรรดิน่าจะหาเจอจากราชสำนักที่จะจัดให้ได้ในเครื่องแบบแปลงร่างที่จะซ่อนหัตถ์ขององค์ท่านในธุรกิจนี้ได้?”
“พระองค์ได้ถามตนเองในคำถามนี้แล้ว,
บารอน, แต่ด้วยความแตกต่างในการเน้นย้ำเพียงเล็กน้อย.”
ท่านบารอนศึกษาดูเฟนริง,
สังเกตไว้ถึงความแข็งทื่อของกล้ามเนื้อกรามนั้น, การควบคุมไว้อย่างระมัดระวัง.
“อ้า-ห-ห-ห, ตอนนี้,” ท่านบารอนพูด. “ข้าหวังว่าองค์จักรพรรดิไม่ได้เชื่อว่าพระองค์สามารถเคลื่อนไหวต่อต้านตัวข้าอย่างเป็นความลับสุดยอดได้หรอกนะ.”
“พระองค์หวังว่ามันจะไม่กลายไปเป็นความจำเป็นเช่นนั้น.”
“องค์จักรพรรดิไม่สามารถเชื่อได้หรอก
ว่าข้ากำลังข่มขู่พระองค์!” ท่านบารอนยอมให้ความโกรธและปริเวทนาขึ้นมาริมขอบน้ำเสียงของตน,
คิดว่า: ปล่อยให้เขาเข้าใจผิดในการนั้น!
ข้าสามารถวางตัวเองลงบนบัลลังก์ขณะที่ยังคงการทุบตียอดอกของข้าอยู่กับที่ว่าข้านั้นได้ทำผิด.
เสียงของท่านเคานท์กลายเป็นแห้งแล้งและห่างไกลขณะที่เขาพูด,
“องค์จักรพรรดิเชื่อในอะไรที่สัมผัสรู้ของพระองค์บอกกับท่าน.”
“องค์จักรพรรดิกล้าหรือที่จะกล่าวโทษข้าด้วยข้อหากบฏต่อมหาสภา
ลานสราอาด?” และบารอนกลั้นลมหายใจของตนด้วยความหวังของมัน.
“องค์จักรพรรดิไม่จำเป็นต้องกล้าอะไร.”
บารอนหมุนตัวไปด้วยเครื่องพยุงลอยทั้งหลายของเขาเพื่อซ่อนการแสดงออกของเขา.
มันสามารถบังเกิดขึ้นได้ในช่วงชีวิตของฉัน? เขาคิด. จักรพรรดิรึ?
ปล่อยเขาทำผิดกับข้าเถอะ! แล้ว—สินบนและข่มขู่รีดไถ,
การปลุกระดมของมหาราชสำนัก:
พวกเขาแห่บินเป็นฝูงมาใต้ธงริ้วของข้าเหมืองเหล่าไพร่สามัญชนวิ่งหาที่พักพิง.
สิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวเหนือสิ่งใดทั้งหมดอื่นอีกคือ ซาร์เดาการ์ขององค์จักรพรรดิถูกปล่อยลงไปเหนือพวกเขาทีละหนึ่งราชสำนัก.
“เป็นความหวังอย่างจริงใจขององค์จักรพรรดิที่พระองค์จะไม่ต้องฟ้องร้องท่านในข้อหากบฏ,”
ท่านฺเคานท์พูด.
ท่านบารอนพบว่ามันยากที่จะรักษาความแข็งกร้าวออกไปจากน้ำเสียงของเขาและอนุญาตแต่เพียงการแสดงออกถึงความปวดร้าว,
แต่เขาก็จัดการมันได้. “ข้าได้เป็นไพร่ฟ้าที่จงรักภักดีมากที่สุดมาโดยตลอด.
คำพูดเหล่านี้ทำให้ข้าเจ็บปวดเกินเลยไปกว่าความสามารถทางกายใจที่จะแสดงออกมาได้.”
“อืม-ม-ม-ม-อ้าห์-หืม-ม-ม,”
ท่านเคานท์บอก.
ท่านบารอนยังคงหันหลังให้กับท่านเคานท์,
พยักหน้า. ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นว่า, “ถึงเวลาที่จะไปยังสนามสังเวียนกันแล้ว.”
“ใช่แล้ว.”
พวกเขาเคลื่อนออกไปจากกรวยของความเงียบ,
เคียงข้างกัน, เดินไปยังกลุ่มก่อนของเหล่ายุวราชสำนักที่ปลายสุดของห้องโถง.
ระฆังเริ่มดังขึ้นอย่างช้าๆมาจากที่ดสักแห่งในการแจ้งการรักษาเวลา---เตือนล่วงหน้ายี่สิบนาทีสำหรับการไปรวมตัวกันที่สนามสังเวียน.
“ยุวราชสำนักนั้นรอคอยท่านให้นำขบวนไปอยู่,”
ท่านเคานท์พูด, พยักหน้าไปยังผู้คนที่พวกเขาก้าวไปหา.
ความหมายสองนัย.....สองความนัย, บารอนคิด.
เขามองขึ้นไปที่เครื่องรางอันใหม่ที่ทางออกของห้องโถงของเขา---ศีรษะของวัวติดตั้งอยู่และภาพเขียนสีน้ำมันของดยุคเฒ่า
อะไทรดิส, บิดาของดยุค ลีโตคนที่แล้ว. พวกเขาเติมเต็มท่านบารอนด้วยสัมผัสรู้พิกลของลางสังหรณ์,
และเขากังขาใจว่าความคิดอะไรทั้งหลายของเครื่องลางพวกนี้ได้ดลใจให้ ดยุค ลีโต
ตอนที่พวกเขาแขวนมันในห้องโถงแห่งคาลาดานแล้วย้ายมาถึงบนอาร์ราคีสนี้---ท่านบิดาผู้กล้าหาญและศีรษะของวัวที่ได้ฆ่าเขานี่นะ.
“มนุษย์ชาติได้
อ้า มีเพียงหนึ่ง อืม-ม-ม ศาสตร์เท่านั้น,” ท่านเคานท์พูดขณะที่พวกเขาได้จัดขบวนพาเหรดของผู้ติดตามทั้งหลายของพวกเขาและโผล่ออกไปจากห้องโถงเข้าไปสู่ห้องพักคอย---ที่ว่างแคบๆที่มีหน้าต่างสูงทั้งหลายและพื้นปูลวดลายกระเบื้องขาวและม่วง.
“และศาสตร์นั้นคืออะไรรึ?”
ท่านบารอนถาม.
“มันคือ
อืม-ม-ม-อาห์-ห ศาสตร์ของ อาห์-ห-ห ความไม่พอใจ,” ท่านเคานท์พูด.
ยุวราชสำนัก
เบื้องหลังพวกเขา, ใบหน้าเหมือนแกะและตอบสนอง,
ที่หัวเราะด้วยแค่น้ำเสียงที่ถูกต้องของการชื่นชม,
แต่เสียงที่พาตัวโน้ตที่ผิดเพี้ยนไปจากกลุ่มคอร์ดขณะที่มันเป็นปรปักษ์กับการระเบิดออกทันทีของยานยนต์ที่เข้ามาใส่พวกเขาเมื่อหน้ากระดาษทั้งหลายเหวี่ยงเปิดประตูข้างนอกทั้งหลายออก,
เผยให้เห็นแถวของยานรถภาคพื้นดินทั้งหลาย,
ธงสามเหลี่ยมมีด้ามจับติดอยู่ต่างพลิ้วสะบัดอยู่ในลม.
ท่านบารอนขึ้นน้ำเสียงของเขาเพื่อเอาชนะเสียงอื้ออึงในทันทีนั้น,
พูด, “ข้าหวังว่าท่านจะไม่ถูกทำให้ไม่พอใจกับการแสดงของหลานชายข้าในวันนี้, เคานท์
เฟนริง.”
“ข้า
อ้าห์-ห-ห ได้ถูกเติม อืม-ม-ม แต่เพียงด้วย หืม-ม-ม สัมผัสรับรู้ของการรอคอยคาดหวัง,
ใช่,” ท่านเคานท์พูด. “มักจะอยู่ใน อ้าห์-ห-ห กระบวนดำเนินการต่อไปด้วยคำพูด,
ใครก็ อืม-ม-ม อ้าห์-ห-ห ต้องพิจารณาได้ว่า อ้าห์-ห-ห สำนักงานของต้นตอ.”
ท่านบารอนซ่อนบังความแข็งทื่อฉับพลันของความประหลาดใจโดยก้าวงุ่มง่ามลงไปจากช่องทางออก.
กระบวนดำเนินการต่อไปด้วยคำพูด! นั่นคือรายงานของอาชญากล่าวหาราชอาณาจักร!
แต่ท่านเคานท์หัวเราะคลึ่กๆในลำคอเพื่อทำให้มันดูเหมือนเป็นมุขตลก,
และตบที่แขนของบารอน.
ตลอดทางไปสู่สนามสังเวียน,
กระนั้น, ท่านบารอนนั่งลงในเบาะหุ้มเกราะทั้งหลายของรถของตน,
ทิ้งสายตาชำเลืองอย่างซ่อนเร้นไปยังท่านเคานท์ที่นั่งอยู่ด้านข้างของเขา,
สงสัยในใจว่าทำไมเด็กรับใช้ของจักรพรรดิได้คิดว่ามันคือความจำเป็นที่จะทำมุขตลกชนิดพิเศษแบบนั้นขึ้นมาต่อหน้าเหล่ายุวราชสำนัก.
มันเป็นที่ชัดเจนว่าเฟนริงมักจะทำบางอย่างใดที่เขารู้สึกไม่เป็นที่จำเป็น,
หรือใช้สองคำพูดในที่ซึ่งน่าจะใช้แค่หนึ่งคำ, หรือรั้งตัวเขาเองไว้กับความหมายเดียวในวลีเดียว.
พวกเขาได้นั่งในคอกทองคำเหนือสังเวียนรูปสามเหลี่ยม---เสียงเป่าเขาแผดดังขึ้น,
ที่นั่งลดหลั่นกันลงมาอยู่เหนือนั้นและรายรอบพวกเขาร่วมประสมเข้าด้วยกับเสียงดังโกลาหลของผู้คนและโบกธงริ้วกัน---เมื่อคำตอบนั้นมายังท่านบารอน.
“ท่านบารอนที่รักของข้า,”
ท่านเคานท์พูด, เอนเข้าไปใกล้ชิดหูของเขา, ท่านรู้ดี, ไม่ใช่หรือ, ว่าองค์จักรพรรดิไม่ได้ให้การแซงค์ชั่นอย่างเป็นทางการต่อการเลือกทายาทของท่าน?”
บารอนรู้สึกว่าตัวของเขาเองได้อยู่อย่างทันทีทันใดภายในกรวยส่วนตัวของความเงียบที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยการตื่นตระหนกของเขา.
เขาจ้องไปที่เฟนริง, เกือบที่จะมองไม่เห็นท่านหญิงของเคานท์ผ่านเลยพ้นยามรักษาการณ์เข้ามาร่วมงานเลี้ยงในคอกทองคำ.
“นั่นจริงแล้วว่าทำไมข้าถึงได้มาที่นี่ในวันนี้,”
ท่านเคานท์พูด. “องค์จักรพรรดิปรารถนาที่จะให้ข้าได้รายงานไม่ว่าท่านได้เลือกสรรผู้สืบทอดอันควรค่าหรือไม่.
ไม่มีอะไรเหมือนกับสังเวียนสนามที่จะเผยออกมาให้เห็นควาจริงของบุคคลใดจากภายใต้หน้ากากได้,
เอ๋?”
“องค์จักรพรรดิได้สัญญากับข้าในอิสระในการเลือกทายาท!” บารอนบอกเสียงแหบห้าว.
“เราจะเห็นกัน,”
เฟนริงพูด, และหันหนีไปเพื่อต้อนรับท่านหญิงของเขา. เธอนั่งลง,
ยิ้มให้กับท่านบารอน,
แล้วให้ความสนใจของเธอไปยังพื้นทรายภายใต้พวกเขาที่ซึ่งฟียด์-เราธากำลังปรากฏออกมาในอย่างว่องไวและรัดแน่น---ถุงมือสีดำและมีดยาวในมือขวาของเขา,
ถุงมือสีเขาและมีดสั้นในมือซ้ายของเขา.
“ขาวสำหรับยาพิษ,
ดำสำหรับความพิสุทธิ์,” ท่านหญิงเฟนริง พูด. “จารีตอันหาได้ยาก,
ไม่ใช่หรือ, ที่รัก?”
“อืม-ม-ม-ม,”
ท่านเคานท์พูด.
เสียงเชียร์ต้อนรับดังขึ้นจากเฉลียงคนดูของเหล่าญาติ,
และฟียด์-เราธาหยุดร่างลงเพื่อน้อมรับมัน, เงยหน้าขึ้นมาและกวาดมองใบหน้าทั้งหลาย---เห็นพี่น้องและญาติทั้งหลายของเขา,
เหล่ากึ่งพี่น้องทั้งหลาย, เหล่าสนมนางกำนัลและญาติแปลกหน้าเอาท์-ฟรีน(out-freyn).
พวกเขา
*
http://www.glossaria.net/en/dune/out-freyn
ช่างมีปากทรัมเป็ตสีชมพูกันอยู่มากมาย,
พูดคุยเสียงดังกันไม่หยุดในท่ามกลางเสื้อผ้าหลากสีสันกระพือสะบัดและธงริ้วทั้งหลาย.
มันมาสู่ฟียด์-เราธาแล้วนั่นว่าตำแหน่งอัดแน่นทั้งหลายของใบหน้านั้นจะมองเพียงแค่อย่างละโมภต่อเลือดของตัวเขาเช่นเดียวกับที่เป็นของทาส-นักสู้เกลดิเอเตอร์.
ไม่มีความกังขาสงสัยใจเลยถึงผลลัพธ์ที่จะออกมาในการต่อสู้นี้, แน่นอน.
นี่เป็นเพียงแค่รูปโครงของอันตรายโดยไร้แก่นสาระของมัน---กระนั้น.
ฟียด์-เราธาชูมีดทั้งสองของเขาสู่ดวงอาทิตย์,
ทำความเคารพสามมุมของสังเวียนสนามในกิริยาโบราณ. มีดสั้นในมือสวมถุงมือขาว(ขาว,
สัญลักษณ์ของยาพิษ)เข้าไปแรกก่อนสู่ฝักของมัน.
แล้วมีดยาวในมือสวมถุงมือสีดำ---คมมีดที่สะอาดไร้มลทินที่ตอนนี้ไม่บริสุทธิ์,
อาวุธลับของเขาที่จะพลิกผันวันนี้เข้าไปสู่ชัยชนะส่วนตัวอันผ่องแผ้ว: ยาพิษบนคมมีดสีดำ.
การปรับแต่งโล่หุ้มร่างของเขาใช้เวลาเพียงชั่วขณะ,
และเขาหยุดเพื่อสัมผัสรู้ถึงการกระชับผิวหนังที่หน้าผากของเขาเพื่อทำให้แน่ใจต่อเขาว่าเขาได้รับการปกป้องอย่างเหมาะสม.
ชั่วขณะนี้ได้ดำเนินตนเองของมันไปอย่างหน่วงช้า,
และฟียด์-เราธาลากดึงมันออกมาด้วยมืออันแน่นอนของนักแสดงมือฉมัง,
พยักหน้าให้กับผู้ดูแลและผู้หลอกล่อของเขา,
ตรวจสอบอุปกรณ์ของพวกนั้นด้วยสายตาวัด---โซ่ตรวนอยู่ในที่ด้วยหนามแหลมคมและแวววาว,
ง้าวและตะขอเบ็ดโบกไปมาด้วยชายธงสีฟ้าของพวกเขา.
ฟียด์-เราธา ส่งสัญญาณนักดนตรี.
เพลงสวนสนามช้าๆเริ่มต้นขึ้น,
ก้องกังวานโอ่อ่าเอิกเกริกแบบโบราณ, และฟียด์-เราธานำขบวนของเขาข้ามสนามสังเวียนเพื่อทำการโค้งเคารพที่เบื้องล่างคอกประทับของลุงของตน.
เขาคว้าจับกุญแจพิธีขณะที่มันได้ถูกโยนมา.
ดนตรีหยุดลง.
ในความเงียบที่แทรกเข้ามาทันทีนั้น,
เขาถอยกลับหลังมาสองก้าว, ชูกุญแจขึ้นและตะโกน. “ข้าอุทิศความสัจนี้ต่อ.....”
และเขาหยุดชงัก, รู้ดีว่าลุงของเขาจะคิดอย่างไร: เจ้าหนุ่มโง่นี่กำลังจะอุทิศต่อคุณหญิง
เฟนริง ไม่ว่าอย่างไรก็ตามและก่อเรื่องอึกทึก!
“.....แด่ท่านผู้เป็นลุงและผู้ซึ่งอุปถัมภ์ของข้า,
ท่านบารอน วลาดิมีร์ ฮาร์คอนเนน!” ฟียด์-เราธาตะโกน.
และเขาก็พึงพอใจที่ได้เห็นลุงของเขาถอนหายใจ.
ดนตรีเริ่มขึ้นใหม่ด้วยเพลงสวนสนามเร็ว,
และฟียด์-เราธานำคนของเขาก้าวซอยเท้ากลับข้ามสนามสังเวียนไปยังประตูเฝ้าระวังที่อนุญาตให้แต่เฉพาะผู้ที่ติดสายคาดระบุอัตลักษณ์อย่างถูกต้องเท่านั้น.
ฟียด์-เราธาภูมิใจในตนเองที่เขาไม่เคยใช้ประตู-เฝ้าระวังนี้และมักจะเป็นของผู้ติดตามทั้งหลาย.
แต่มันก็ดีที่จะรู้ว่าพวกเขาใช้ประโยชน์ได้ในวันเช่นนี้---แผนการพิเศษทั้งหลายบางครั้งก็เกี่ยวพันกับอันตรายอย่างพิเศษ.
อีกครั้ง, ความเงียบก็ปักหลักเหนือสนามสังเวียน.
ฟียด์-เราธาหันกลับ,
เผชิญหน้ากับประตูใหญ่สีแดงตรงกันข้ามกับเขาที่ซึ่งนักสู้สังเวียนแกลดิเอเตอร์จะโผล่พุ่งผ่านออกมา.
แกลดิเอเตอร์พิเศษนั้น.
แผนการที่ธูเฟอร์ ฮาวัตได้คิดขึ้นใหม่เป็นที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาอย่างน่ายกย่อง,
ฟียด์-เราธาคิด. ทาสนั้นจะไม่ถูกวางยา---นั่นจะเป็นที่อันตรายยิ่งกว่า.
แทนที่เช่นนั้น, คำรหัสจะถูกกระหน่ำเข้าไปในภวังค์จิตของคนผู้นั้นในการที่จะตรึงหยุดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อในชั่วขณะวิกฤต.
ฟียด์-เราธาพลิกทวนคำสำคัญนั้นในจิตใจของเขา, มันจะปรากฏออกมาว่าทาสที่ไม่ได้ถูกวางยานั้นได้ถลันร่างเข้าสู่สนามสังเวียนเพื่อที่ฆ่า
ทายาท-บารอน.
และหลักฐานทั้งหมดที่ได้จัดแต่งอย่างระมัดระวังไว้ก็จะชี้ไปยังเจ้านายของทาส.
เสียงฮัมต่ำๆดังขึ้นจากเซอร์โว-มอเตอร์ของประตูสีแดงนั้นขณะที่พวกมันพร้อมที่จะทำงานในการเปิดออก.
ฟียด์-เราธาเพ่งสมาธิความตื่นระวังทั้งหมดของเขาไปยังประตูนั้น.
ขณะแรกนี้เป็นอย่างวิกฤตอันหนึ่ง.
การปรากฏตัวของแกลดิเอเตอร์ขณะที่เขาพุ่งพรวดออกมาบอกต่อดวงตาที่ได้รับการได้ฝึกฝนมาว่ามันจำเป็นมากที่ต้องรู้.
แกลดิเอเตอร์ทั้งหมดถูกคาดหวังว่าจะถูกฉีดยามอมประสาทอีแล็คคา(elacca drug*)เพื่อดึงเอาความพร้อม-ฆ่าในความคิดต่อสู้ออกมา---แต่เจ้าต้อง
* https://en.wikipedia.org/wiki/Glossary_of_Dune_(franchise)_terminology
เฝ้าดูว่าพวกนั้นถือมีดหนักอย่างไร,
วิธีไหนที่พวกหมุนหันในการป้องกันตัว,
ว่าพวกเขาที่จริงแล้วระแวดระวังต่อฝูงผู้ชมบนอัฒจันท์หรือไม่. วิธีที่ทาสผู้หนึ่งชันศีรษะของตนขึ้นสามารถที่จะให้เบาะแสสำคัญมากที่สุดที่จะตอบโต้และเสแสร้ง.
ประตูสีแดงเหวี่ยงเปิดออก.
ที่พุ่งออกมาเป็นชายร่างสูง, เต็มด้วยมัดกล้ามกับศีรษะที่โกนเกลี้ยงและเบ้าตาลึกเป็นหลุมดำ.
ผิวของเขาเป็นสีแคร์รอทดังที่มันควรจะเป็นจากยามอมเมาอีเล็คค่า, แต่ฟียด์-เราธารู้ว่าสีนั้นเป็นการเขียนทา.
ทาสนั้นอยู่ในชุดแนบรัดลีโอทาร์ดสีเขียวและเข็มขัดสีแดงของเครื่องกึ่งโล่ห์พลัง---ลูกศรของเข็มขัดชี้ทางซ้ายเพื่อบ่งบอกว่าด้านซ้ายของทาสนั้นมีพลังโล่ป้องกัน.
เขากุมมีดในแบบดาบตามสมัยนิยม,
ชูออกมาเบื้องหน้าเล็กน้อยในท่วงท่านักสู้สังเวียนที่ถูกฝึกฝนมา. อย่างช้าๆ,
เขาก้าวเข้ามาสู่สนามสังเวียน, หันด้านโล่พลังของเขามายังฟียด์-เราธาและกลุ่มนั้นที่ประตู-เฝ้าระวังนั้น.
“ข้าหาชอบไม่ในท่าทางของเจ้าคนนี้,” คนถือตะของ้าวรายหนึ่งของฟียด์-เราธาพูดขึ้น.
“เขามีสีแบบนั่น,” ฟียด์-เราธาบอก.
“มันยังยืนในท่าของนักสู้อีกด้วย,”
ผู้ช่วยเหลืออีกรายพูด.
ฟียด์-เราธาขยับเข้าไปข้างหน้าสองก้าวสู่บนพื้นทราย,
ศึกษาทาสผู้นี้.
“มันทำอะไรกับแขนนั่นของมันน่ะ?”
คนหลอกล่อรายหนึ่งถาม.
ความสนใจของฟียด์-เราธาไปยังรอยขีดข่วนเลือดซึมอยู่ที่ท่อนล่างแขนซ้าย,
ไล่ตามท่อนแขนนั้นลงไปที่มือดังที่มันชี้ไปด้วยการวาดด้วยเลือดยังตะโพกซ้ายของชุดลีโอตาร์ดเขียว---รูปร่างเปียกตรงนั้น: เค้าโครงแบบทางการของเหยี่ยว.
เหยี่ยว!
ฟียด์-เราธาเลยขึ้นมองเข้าไปในเบ้าตาลึกดำนั้น,
เห็นพวกมันจ้องวาวมาที่เขาด้วยความตื่นระวังที่ไม่ธรรมดา.
มันเป็นหนึ่งในนักสู้ของดยุค ลีโตที่เราจับมาจากอาร์ราคีส! ฟียด์-เราธาคิด. นี่ไม่ใช่แกลดิเอเตอร์ง่ายธรรมดา!
ความเย็นยะเยียบวิ่งผ่านตัวเขา, และเขาสงสัยในใจว่าถ้าฮาวัตมีแผนการอื่นอีกหรือสำหรับสนามสังเวียนนี้---หลอกลวงในลอกลวง.
และมีแค่นายทาสที่เท่านั้นได้เตรียมรับการกล่าวโทษ.
หัวหน้าลูกมือของฟียด์-เราธาพูดที่ข้างหูของเขา: “ข้าหาไม่ชอบท่าทางของเจ้าผู้นี้, ใต้เท้า. ให้ข้าเหวี่ยงตะของ้าวใส่แขนข้างมีดของมันสักครั้งสองครั้งเพื่อลองมันก่อนเถิด.”
“ข้าจะจัดตะของ้าวของข้าเอง,” ฟียด์-เราธาบอก.
เขาดึงตะของ้าวด้ามยาวสองอันออกมาจากคนถือ, ขยับชั่งน้ำหนักของมัน,
ทดสอบความสมดุล. ตะของ้าวเหล่านี้, ด้วยเช่นกัน,
ถูกคาดหวังว่าจะอาบด้วยยา---แต่ไม่ใช่คราวนี้, และหัวหน้าลูกมือนั้นอาจตายเพราะนั่นได้.
แต่มันเป็นส่วนทั้งหมดของแผนการ.
“เจ้าจะปรากฏผลจากการนี้ออกมาเยี่ยงวีรบุรุษ,”
ฮาวัตได้บอกไว้. “ได้ฆ่าแกลดิเอเตอร์ของเจ้าเยี่ยงชายต่อชายและแทนที่จะเป็นการทรยศเสแสร้ง.
เจ้านายทาสนั่นจะถูกประหารและคนของเจ้าจะได้ก้าวเข้ามาแทนที่.”
ฟียด์-เราธาขยับไปข้างหน้าอีกห้าก้าวเข้าไปในสังเวียน,
เล่นออกไปกับชั่วขณะนั้น,ศึกษาทาสผู้นั้น. พร้อมแล้ว, เขารู้,
ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายอยู่บนอัฒจันทร์เหนือเขาขึ้นไปกำลังระแวดระวังว่ามีอะไรบางอย่างผิด.
แกลดิเอเตอร์นั้นมีผิวสีอันถูกต้องสำหรับผู้ที่ถูกวางยา,
แต่เขายืนยัดอยู่กับพื้นดินและไม่สั่นเทา. อิซิโอนาโด(มือสมัครเล่น)จะกำลังกระซิบกระซาบในท่ามกลางหมู่ของพวกนั้นในตอนนี้: “ดูท่าทางที่เขายืนอย่างไรนั่นสิ. เขาน่าจะปั่นป่วน---พุ่งเข้าใส่หรือไม่ก็ถอยหลังสิ.
ดูวิธีที่เขาสงวนกำลังของเขาไว้, เขารอคอยอยู่ได้อย่างไร. เขาไม่น่าจะรอ.”
ฟียด์-เราธา
รู้สึกความตื่นเต้นของเขาเองติดไฟขึ้น. ให้เป็นความทรยศในจิตใจของฮาวัตเถิด,
เขาคิด. ข้าสามารถรับมือกับเจ้าทาสนี้ได้. และเป็นมีดยาวของข้าที่อาบยาพิษอยู่ด้วยในครานี้,
ไม่ใช้มีดสั้น. กระทั่งฮาวัตเองก็ไม่รู้การนี้.
“ไฮ้, ฮาร์คอนเนน!” เจ้าทาสนั้นตะโกน. “เจ้าได้เตรียมตัวที่จะตายหรือ?”
ความนิ่งตายสนิทเกาะกุมสนามสังเวียน. พวกทาสต้องไม่ประกาศการท้าทาย!
ตอนนี้, ฟียด์-เราธาได้เห็นกระจ่างในดวงตาของแกลดิเอเตอร์,
มองเห็นความดุดันเย็นชาของการสิ้นหวังในพวกมัน. เขาสังเกตจำวิธีที่ชายนั้นยืน,
ผ่อนคลายและพร้อม, กล้ามเนื้อเตรียมพร้อมเพื่อชัยชนะ. ทาสสายสนกลในได้นำสารจากฮาวัตไปสู่เจ้าผู้นี้: เจ้าจะได้รับโอกาสในการที่จะฆ่า ทายาท-บารอน.” นั่นมากของเล่ห์ลวงเป็นเช่นที่พวกเขาได้วางแผนการมันเอาไว้,
กระนั้น.
ยิ้มเขม็งแน่นพาดผ่านปากของฟียด์-เราธา.
เขายกง้าวตะขอขึ้น, มองเห็นความสำเร็จสำหรับแผนการทั้งหลายของเขาในวิธีที่เจ้าแกลดิเอเตอร์ยืน.
“ไฮ้! ไฮ้!” เจ้าทาสท้าทาย, และคืบมาข้างหน้าสองก้าว.
ไม่มีใครในเฉลียงคนดูทั้งหลายสามารคาดคิดถผิดพลาดมันได้ในตอนนี้,
ฟียด์-เราธาคิด.
เจ้าทาสนี้ควรที่จะพิการไปส่วนหนึ่งด้วยยา-ลดความตระหนก.
ทุกการเคลื่อนไหวควรจะได้ทรยศต่อความรู้ภายในของมันที่ไม่มีความหวังอะไรเหลือให้กับมัน---มันไม่สามารถชนะได้.
มันจะได้ถูกเติมเต็มด้วยนิทานทั้งหลายของยาพิษที่ ทายาท-บารอนได้เลือกให้กับมีดในถุงมือสีขาวของเขา. ทายาท-บารอนไม่เคยให้ความตายอย่างรวดเร็ว,
เขาพึงพอใจในการสาธิตยาพิษอันหาได้ยากนี้,
สามารถยืนในสนามสังเวียนชี้ให้เห็นผลข้างเคียงอันน่าสนใจบนร่างของเหยื่อที่บิดดิ้นทุรนทุราย.
มีความหวาดกลัวในเจ้าทาสนั้น, ใช่---แต่ไม่ได้ตื่นตระหนก.
ฟียด์-เราธาชูตะของ้าวขึ้นสูง,
พยักหน้าในเกือบเป็นการทักทาย.
เจ้าแกลดิเอเตอร์กระโจนเข้ามา.
การตอบโต้เยี่ยงลวงหลอกและป้องกันตนนั้นดีเท่ากับที่ฟียด์-เราธาได้เคยเห็นมา.
การฟาดทางด้านข้างหนนี้พลาดโดยเศษเพียงนิดเดียวจากการได้ตัดขาดเส้นเอ็นทั้งหลายที่ขาด้านซ้ายของ
ทายาท-บารอน.
ฟียด์-เราธาเต้นระบำจากไป, ทิ้งตะของ้าวไว้ที่ท่อนบนแขนขวาของเจ้าทาส,
ตะขอนั้นฝังจมสุดลงไปในเนื้อที่ชายผู้นั้นไม่สามารถดึงมันออกมาได้โดยไม่ตัดฉีกขาดเส้นเอ็น.
เสียงหอบหายใจดังฮือขึ้นมาจากกลุ่มระเบียงผู้ดูทั้งหลาย.
เสียงนั้นเติมเต็มฟียด์-เราธาด้วยปีติยินดี.
เขารู้ในตอนนี้ว่าอะไรที่ท่านลุงของเขากำลังประสบรับรู้,
กำลังนั่งขึ้นอยู่กับเฟนริงทั้งสอง, ผู้สังเกตการณ์ทั้งหลายของราชสำนัก
จักรพรรดิ, ข้างตัวเขา. จะไม่มีการรบกวนใดกับการต่อสู้นี้.
บรรดารูปการณ์จะได้รับการสังเกตตรวจสอบต่อหน้าพยานทั้งหลาย. และท่านบารอนจะตีความเหตุการณ์แข่งขันทั้งหลายในสนามสังเวียนเพียงแค่หนึ่งเดียว---การคุกคามต่อตนเอง.
ทาสนั้นถอยหลัง, คาบมีดไว้ในฟันและมัดรัดด้ามตะของ้าวกับแขนของเขาด้วยริ้วธง.
“ข้าไม่รู้สึกกับเข็มของเจ้าโว้ย!” เขาตะโกน.
อีกครั้งเขาคืบมาข้างหน้า, มีดพร้อม, หันด้านซ้ายมาหา,
ร่างของเขาเอนกลับไปข้างหลังเพื่อให้มันในการป้องกันของพื้นผิวอย่างใหญ่หลวงที่สุดจากครึ่ง-โล่พลัง.
การกระทำนั้น, เช่นกัน,
ไม่ได้หลบหนีไปจากระเบียงผู้ดู.
เสียงกรีดร้องแหลมมากจากคอกนั่งทั้งหลายของครอบครัว. ลูกมือของฟียด์-เราธาได้ร้องตะโกนถามมาว่าเขาต้องการให้ช่วยหรือไม่.
เขาโบกมือให้พวกนั้นกลับไปที่ประตู-เฝ้าระวัง.
ข้าจะให้พวกนั้นด้วยการแสดงอย่างที่พวกเขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน,
ฟียด์-เราธาคิด. ไม่มีการฆ่าอย่างหลอกลวงในที่ซึ่งพวกเขาสามารถนั่งเอนหลังและชื่นชมในลีลานั้น.
นี้จะเป็นบางอย่างที่จะจัดการพวกเขาที่ไส้พุงแล้วบิดมัน. เมื่อข้าเป็นบารอน,
พวกเขาจะจดจำวันนี้และจะไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดของพวกเขาสามารถหลบหนีความกลัวที่มีต่อข้าเพราะวันนี้.
ฟียด์-เราธาให้พื้นที่อย่างช้าๆก่อนที่การคืบย่างของเจ้าแกลดิเอเตอร์เข้ามาข้างหน้า.
ทรายของสนามสังเวียนครูดเสียดสีใต้ฝ่าเท้า. เขาได้ยินเสียงหอบหายใจของเจ้าทาส,
ได้กลิ่นเหงื่อของเขาเองและกลิ่นจางๆของเลือดในอากาศ.
อย่างหนักแน่น, ทายาท-บารอนเคลื่อนถอยหลัง,
หันไปทางด้านขวา, ตะของ้าวที่สองของเขาพร้อม. เจ้าทาสเต้นระบำไปทางด้านข้าง. ฟียด์-เราธาปรากฏร่างเซสะดุด,
ได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากระเบียงผู้ดู.
อีกครั้ง, เจ้าทาสกระโจนเข้ามา.
พระเจ้า, ช่าเป็นนักสู้อะไรเช่นนี้! ฟียด์-เราธาคิดขณะที่เขากระโดดไปด้านข้าง.
เพียงแค่ความรวดเร็วของวัยหนุ่มได้ช่วยชีวิตเขา, แต่เขาก็ทิ้งตะของ้าวที่สองฝังลงไปในกล้ามเนื้อต้นแขนขวาของเจ้าทาสนั้น.
เสียงโหยหวนส่งกำลังใจสาดพร่างลงมาจากระเบียงผู้ดู.
พวกเขาชื่นชมข้าในตอนนี้, ฟียด์-เราธาคิด.
เขาได้ยินความบ้าคลั่งในน้ำเสียงเหล่านั้นเหมือนเช่นที่ฮาวัตได้พูดไว้ว่าเขาจะได้รับ.
พวกเขาไม่เคยได้ส่งเสียงชื่นชมให้กำลังใจนักสู้ของตระกูลในวิธีนี้มาก่อน.
และเขาคิดด้วยริมขอบของความน่ากลัวบนสิ่งที่ฮาวัตได้บอกกับเขา. “มันง่ายกว่าที่จะตื่นตระหนกโดยศัตรูที่เจ้าชื่นชม.”
อย่างคล่องแคล่ว,
ฟียด์-เราธาถอยกลับมายังศูนย์กลางของสนามสังเวียนที่ซึ่งทั้งหมดสามารถมองเห็นได้ชัด.
เขาดึงมีดยาวของตนออกมา, คู้ร่างและรอคอยการเข้ามาข้างหน้าของเจ้าทาส.
ชายนั้นใช้เวลาเพียงแค่มัดรัดตะของ้าวอันที่สองแน่นเข้ากับแขนของเขา,
แล้วเร่งำล่ตามเข้ามา.
ให้เหล่าครอบครัวตระกูลได้เห็นข้าทำสิ่งนี้,
ฟียด์-เราธาคิด. ข้าเป็นศัตรูของพวกเขา: ปล่อยให้พวกเขาคิดถึงข้าอย่างที่พวกเขาเห็นข้าในตอนนี้.
เขาดึงมีดสั้นของเขาออกมา.
“ข้าไม่ได้กลัวเจ้า,
เจ้าหมูฮาร์คอนเนน,” เจ้าแกลดิเอเตอร์พูด. “การทรมานของเจ้าทำความเจ็บปวดให้คนที่ตายแล้วไม่ได้หรอกเว้ย.
ข้าสามารถตายด้วยคมมีดของข้าเองก่อนที่ลูกมือนั่นจะวางนิ้วลงบนเนื้อของข้า.
และข้าจะให้เจ้าได้ตายอยู่เคียงข้างข้า.”
ฟียด์-เราธายิ้ม,
เสนอให้ตอนนี้ด้วยมีดยาว, อันที่อาบพิษ. “ลองอันนี้สิ,” เขาพูด, แล้วแสร้งโจมตีลวงด้วยมีดสั้นในอีกมือหนึ่ง.
เจ้าทาสนั้นเคลื่อนย้ายมีดในมือ,
หันเข้าข้างในทั้งปัดป้องและหลอกล่อเพื่อที่จะเกี่ยวคว้ามีดสั้นของทายาท-บารอน---อันที่อยู่ในมือสวมถุงสีขาวที่ตามจารีตธรรมเนียมบอกไว้ว่าอาบยาพิษ.
“เจ้าจะตาย,
ฮาร์คอนเนน,” แกลดิเอเตอร์หอบ.
พวกเขาหันข้างต่อสู้กันข้ามทรายนั้นไป.
ที่ซึ่งโล่ห์พลังของฟียด์-เราธาเจอกับโล่ห์กึ่ง-พลังของเจ้าทาส,
แสงเรืองสีฟ้าจุดให้เห็นการปะทะกัน. อากาศรายรอบพวกเขาเต็มไปด้วยโอโซนจากสนามพลัง.
“ตายด้วยยาพิษของเจ้าเอง!” เจ้าทาสพูดแหบพร่า.
เขาเริ่มต้นบังคับให้มือสวมถุงสีขาวนั้นเข้าไปข้างใน,
บิดหันคมมีดที่เขาคิดว่าอาบไว้ด้วยยาพิษ.
ให้พวกเขาเห็นสิ่งนี้!
ฟียด์-เราธาคิด.
เขานำมีดยาวลงมา,
รู้สึกถึงมันดังแกล๊งเข้ากับด้ามตะของ้าวที่มัดรัดอยู่กับแขนของเจ้าทาส.
ฟียด์-เราธารู้สึกได้ถึงชั่วขณะแห่งความท้อแท้.
เขาไม่ได้คิดไปถึงด้ามของตะของ้าวจะเป็นประโยชน์สำหรับเจ้าทาส.
แต่มันกลายไปเป็นโล่อีกอันหนึ่งของชายผู้นี้. และสิ่งแข็งแกร่งของเจ้าแกลดิเอเตอร์! มีดสั้นนั้นยังถูกดันบังคับเข้าข้างในอย่างไม่หยุดยั้ง, และฟียด์-เราธาเพ่งสมาธิมายังความจริงที่ว่าคนเราก็ตายได้ด้วยมีดที่ไม่ได้อาบยาพิษ.
“สถุล!” ฟียด์-เราธาหอบสำลัก.
ที่คำรหัสนั้น,
กล้ามเนื้อของเจ้าแกลดิเอเตอร์ได้เชื่อฟังด้วยการคลายผ่อนลงชั่วแล่น.
มันเพียงพอสำหรับฟียด์-เราธา.
เขาเปิดที่ว่างระหว่างพวกเขาให้เพียงพอสำหรับมีดยาวนั้น. ปลายชุบยาพิษของมันตวัดออกไป,
ดึงเส้นสีแดงลงมาตามหน้าอกของเจ้าทาส. มีความเจ็บปวดฉับพลันในยาพิษนั้น.
ชายนั้นผละตนเองหลุดออกไป, เซถอยไปด้านหลัง.
ทีนี้,
ให้ครอบครัวตระกูลที่รักของข้าได้เฝ้าดู, ฟียด์-เราธาคิด. ให้พวกนั้นคิดเอากับเจ้าทาสนี้ผู้ที่ได้พยายามจะหันมีดที่มันคิดว่าอาบยาพิษและใช้มันเอากับข้า.
ให้พวกนั้นกังขาใจว่าเจ้าแกลดิเอเตอร์สามารถเข้ามาในสนามสังเวียนได้อย่างไรในการพร้อมที่จะพยายามทำเช่นนี้.
และให้พวกนั้นได้ระแวดระวังอยู่เสมอว่าพวกเขาไม่สมารถรู้ได้อย่างแน่นอนใจว่ามือข้างไหนของข้าที่ถือยาพิษไว้.
ฟียด์-เราธายืนในความเงียบ,
เฝ้ามองการเคลื่อนไหวอย่างเชื่องชาของเจ้าทาส.
ชายนั้นเคลื่อนที่อยู่ในความระแวดระวังลังเล.
มีสิ่งคำสะกดเลือนรางบนใบหน้าของเขาในตอนนี้สำหรับทุกผู้เฝ้าดูที่จะจดจำได้.
ความตายถูกเขียนไว้ที่นั้น. เจ้าทาสรู้ว่ามันได้ถูกทำต่อเขาและเขารู้ว่ามันได้จบสิ้นลงอย่างไร.
มีดผิดอันที่มียาพิษ.
“เจ้า!” ชายผูนั้นคราง.
ฟียด์-เราธาดึงร่างกลับเพื่อเปิดที่ว่างให้แก่ความตาย.
ยาสะกดชาในพิษนั้นยังไม่เกิดฤทธิ์เต็มที่,
แต่ความเชื่องช้าของชายนั้นบ่งบอกถึงความคืบหน้าของมัน.
เข้าทาสเดินโงนเงนมาข้างหน้าราวกับถูกดึงลากด้วยเชือก---ลากทีละก้าว.
แต่ละก้าวนั้นคือเพียงก้าวเดียวเท่านั้นในจักรวาลของเขา.
เขายังคงกุมมีดของเขาแน่น, แต่มันชี้โบกไปมา.
“วันหนึ่ง...หนึ่ง...ในพวกเรา...จะ...เด็ดหัว...เจ้า,”
เขาหอบหายใจ.
ปากเบ้เบี้ยวปนเศร้าเล็กน้อยของเขา.
เขานั่งลง, ปวกเปียก, แล้วแข็งทื่อและม้วนกลิ้งลงหันไปจากฟียด์-เราธา,
ใบหน้าคว่ำลง.
ฟียด์-เราธาไปข้างหน้าในสนามสังเวียนอันเงียบสนิท,
เอานิ้วเท้าช้อนใต้ร่างแกลดิเอเตอร์และเขี่ยพลิกร่างทาสนั้นหงายขึ้นเพื่อให้ผู้ชมบนระเบียงอัฒจันทร์ทั้งหลายได้เห็นใบหน้านั้นชัดเจนเมื่อยาพิษเริ่มทำให้มันบิดเบี้ยว,
ดึงรั้งทำงานกับกล้ามเนื้อ. แต่แกลดิเอเตอร์หันกลับมาด้วยมีดของตนเอง,
ยื่นออกมาจากหน้าอกของเขา.
แทนที่จะเป็นความหงุดหงิด,
สำหรับฟียด์-เราธาในการวัดถึงความยกย่องสำหรับการพยายามของทาสผู้นี้ที่ได้จัดการเอาชนะอัมพาตที่จะทำสิ่งนี้ให้กับตัวเขา.
ด้วยความยกย่องก็มากับการตระหนักรู้ถึงว่านี่คือของจริงของความกลัว.
นั่นซึ่งทำให้คนเป็นผู้เหนือมนุษย์เป็นที่น่ากลัวอย่างยิ่ง.
ขณะที่เข่าเพ่งไปกับความคิดของเขานั้น,
ฟียด์-เราธากลายเป็นสำนึกรู้ถึงการปะทุออกมาของเสียงดังจากอัฒจันทร์และระเบียงที่นั่งรายรอบตัวเขา.
พวกเขากำลังโห่ร้องชื่นชมปล่อยละตนเองให้เสียงกันสนั่น.
ฟียด์-เราธาหัน,
มองขึ้นไปหาพวกนั้น.
ทั้งหมดกำลังโห่ร้องชื่นชมนอกจากบารอน,
ผู้นั่งด้วยมืออยู่ที่คางในอาการใคร่ครวญลึกคิด---และท่านเคานท์กับท่านหญิงของเขา,
ทั้งคู่ผู้ซึ่งกำลังจ้องมองลงมาที่เขา, ใบหน้าของพวกเขาสวมหน้ากากของรอยยิ้ม.
เคานท์
เฟนริงหันไปหาท่านหญิงของเขา,
พูด: “อาห์-ห-ห-อืม-ม-ม. ปฏิภาณเต็มเปี่ยมนะ อืม-ม-ม-ม-ม ชายหนุ่ม. เอ๋, มม-ม-ม-อาห์,
ที่รัก?”
“ระบบประสาท
อาห์-ห-ห ที่ตอบสนองว่องไวไหลลื่นมาก,” เธอพูด.
ท่านบารอนมองดูเธอ,
ที่เคานท์, หันความสนใของเขามาที่สนามสังเวียน, กำลังคิด: ถ้าบางคนสามารถเข้ามาใกล้เช่นนั้นกับหนึ่งในคนของข้า! โทสะเริ่มเข้ามาแทนที่ความกลัว. ข้าจะให้เจ้านายทาสตายเหนือไฟอย่างช้าๆในคืนนี้.....และถ้าเคานท์นี้กับท่านหญิงของเขาได้ยื่นมือเข้ามาในมัน.....การสนทนาในคอกของบารอนได้อยู่ระยะไกลไปยังฟียด์-เราธา,
เสียงนั้นจมลงหายไปกับความดังกระหึ่มของการกระทืบเท้าส่งเสียงชื่นชอบที่มาให้ตอนนี้อยู่รอบทั่วไปหมด.
“หัว! หัว! หัว! หัว!”
ท่านบารอนหน้าบึ้งตึง,
มองเห็นวิธีที่ฟียด์-เราธาหันมาหาตน. อย่างระทวยระทด,
ควบคุมโ?สะของเขาด้วยความยากลำบาก, ท่านบารอนโบกมือของเขาไปยังชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ในสนามสังเวียนข้างร่างที่นอนเหยียดกางของเจ้าทาส.
ให้เจ้าเด็กชายนั่นได้หัวไป. เขาสมควรได้รับมันโดยการเปิดเผยถึงเจ้านายทาสนั่น.
ฟียด์-เราธาเห็นสัญญาณของการยอมรับนั้น,
คิด: พวกเขาคิดว่าพวกเขาให้เกียรติต่อข้า. ให้พวกเขาเห็นว่าข้าคิดอะไร.
เขาเห็นลูกมือของเขากำลังเข้ามาหาพร้อมด้วยมีด-เลื่อยที่จะทำการมอบเกียรตินั้น,
เขาโบกมือให้พวกนั้นถอยกลับไป, ทำท่าบอกซ้ำขณะที่พวกนั้นลังเล. พวกเขาคิดว่าพวกเขาจะมอบเกียรติให้ข้าด้วยแค่ศีรษะนี่รึ! เขาคิด.
เขาโน้มร่างลงและไขว้มือของแกลดิเอเตอร์ที่โอบรอบด้ามมีดที่ยื่นออกมา,
แล้วย้ายมีดนั้นออกและวางมันลงไปในมือไร้เรี่ยวแรงทั้งสองนั้น.
มันถูกทำลงไปอย่างรวดเร็ว,
และเขาก็ยืดกายขึ้น, ให้สัญญานมือไปที่ลูกมือทั้งหลายของเขา.
“ฝังเจ้าทาสนี้อย่าให้เสื่อมเสียและให้มีดอยู่ในมือของเขา.” เขาพูด.
“ชายผู้นี้สมควรได้รับมัน.”
ในคอกทองคำ,
เคานท์ เฟนริงเอนกายเข้าไปใกล้บารอน, พูด: “อิริยาบถที่โอ่อ่ามาก, นั่น—เป็นทักษะศิลป์แท้จริง. หลานของท่านมีรูปแบบลีลาที่ดีเช่นเดียวกับความกล้า.”
“เค้าดูหมิ่นฝูงชนด้วยการปฏิเสธศีรษะนั่น,”
ท่านบารอนพึมพำ.
“ไม่เป็นเข่นนั้นหรอก,”
ท่านหญิง เฟนริงพูด. เธอหันมา, มองดูขึ้นยังอัฒจันทร์รายรอบพวกเขา.
และบารอนสังเกตถึงเส้นคอระหงของเธอ---กล้ามเนื้อที่ไหลลื่นน่ารักจริงแท้---เหมือนของเด็กชายละอ่อน.
“พวกเชาชอบในสิ่งที่หลานของท่านได้ทำ,”
เธอพูด.
ขณะที่การนำเข้าท่วงท่าชี้บอกของฟียด์-เราธาแทงทิ่มเข้าไปยังที่นั่งอันระยะไกลส่วนใหญ่,
ขณะที่ผู้คนเห็นเหล่าลูกมือแบกร่างแกลดิเอเตอร์ที่ตายนั้นออกไปในสภาพท่าทางเช่นนั้น,
ท่านบารอนเฝ้ามองพวกนั้นและตระหนักได้ว่าเธอได้แปลความปฏิกิริยาเหล่านั้นอย่างถูกต้องแล้ว.
ผู้คนเหล่านั้นกำลังโห่ร้องคลุ้มคลั่ง, ตบมือกันในแต่ละคน, กรีดร้องและกระทืบเท้า.
ท่านบารอนพูดอย่างเหนื่อยอ่อน.
“ข้าจะสั่งให้เป็นวันหยุดเฉลิมฉลอง.
ท่านไม่สามารถส่งผู้คนกลับไปบ้านในอาการแบบนี้ได้,
พลังงานของพวกเขายังใช้กันไม่หมดสิ้น.
พวกเขาต้องเห็นว่าข้านั้นก็ได้ร่วมแบ่งปันความยินดีปรีดาของพวกเขาด้วย.”
เขาให้สัญญานมือไปที่ยามรักษาการณ์ของตน, และคนรับใช้หนึ่งเหนือพวกเขาก็ได้โบกสะบัดธงริ้วฮาร์คอนเนนสามเหลี่ยมสีส้มลงเหนือคอกนั้น---หนึ่ง,
สอง, สามครั้ง---สัญญานสำหรับการเฉลิมฉลอง.
ฟียด์-เราธาเดินข้ามสนามสังเวียนมายุดยืนอยู่ใต้ล่างของคอกทองคำ,
อาวุธของเขาสอดเข้าในฝัก, แขนห้อยอยู่ข้างลำตัวของเขา. เหนือเสียงบ้าคลั่งไม่หยุดของฝูงชน,
เขาตะโกน:
“งานฉ,องหรือ, ท่านลุง?”
เสียงดังทั้งหลายเริ่มซาลงขณะที่ผู้คนมองเห็นการสนทนาและรอคอยฟัง.
“ในเกียรติของเจ้า,
ฟียด์!” บารอนตะโกนลงไป. และอีกครั้ง, เขาให้โบกธงเป็นสัญญาน.
ข้ามไปทั่วสนามสังเวียน,
แผงกั้นทั้งหลายได้ถูกลดลงและบรรดาชายหนุ่มทั้งหลายก็กระโจนลงมาสู่ในสนามสังเวียน,
วิ่งแข่งกันเข้ามาหาฟียด์-เราธา.
“ท่านสั่งให้กำแพงโ,ห์กั้นนั้นลดลงรึ,
ท่านบารอน?” เคานท์ เฟนริงถาม.
“ไม่มีใครจะทำร้ายเจ้าหนุ่มนั่นหรอก,”
ท่านบารอนพูด. “เขาคือวีรบุรุษ.”
กลุ่มมวลชนแรกพุ่งเข้าไปถึงฟียด์-เราธา,
ยกเขาขึ้นบ่าของพวกเขา, เริ่มต้นขบวนแห่ไปรอบสนามสังเวียน.
“เขาสามารถเดินได้โดยไม่มีอาวุธและปราศจากโล่ห์พลังผ่านย่านยากจนที่สุดของฮาร์โกในคืนนี้,”
ท่านบารอนพูด. “พวกนั้นอาจจะให้เขากระทั่งมื้อสุดท้ายของอาหารและเคื่องดื่มของพวกตนแค่ได้เขาเป็นแขกเยือน.”
ท่านบารอนดันตัวเองขึ้นจากเก้าอี้ของตน,
ตั้งหลักน้ำหนักของตัวเขาเข้ากับเครื่องพยุงแขวนลอยทั้งหลาย. “ท่านจะให้อภัยต่อข้า,
ได้โปรด. พวกนี้คือเหตุสำคัญที่ต้องการความสนใจของข้าอย่างกระทันหัน.
ยามรักษาการณ์นั้นจะคอยดูแลท่านไปยังที่พัก.”
ท่านเคานท์ลุกขึ้น,
โค้งคำนับ. “อย่างแน่นอน, ท่านบารอน. เรากำลังตั้งตารองานฉลองอยู่. ข้าได้
อาห์-ห-ห-อืม-ม-ม ไม่เคยเห็นงานฉลองของฮาร์คอนเนน.”
“ใช่แล้ว,”
ท่านบารอน. “งานฉลอง.” เขาหันหันไป, ถูกใส่ซองล้อมโดยพวกยามรักษาการณ์ขณะที่เขาก้าวเข้าไปในช่องางออกส่วนตัวของคอกระเบียงนั้น.
กัปตันยามรักษาการณ์ผู้หนึ่งโค้งคำนับต่อท่านเคานท์
เฟนริง. “คำสั่งของท่านล่ะขอรับ, ใต้เท้า?”
“เราจะ
อ้าห์-ห-ห รอคอยให้ อืม-ม-ม กลุ่มเบียดเสียดเลวร้ายท้ายสุดได้ผ่านไปก่อน,” ท่านเคานท์บอก.
“ขอรับ,
ใต้เท้า.” ชายนั้นโค้งคำนับตนเองแล้วถอยกลับไปสามก้าว.
เคานท์
เฟนริงหันใบหน้ามาทางท่านหญิงของเขา,
พูดอีกครั้งในการรัวลิ้น-รหัสส่วนตัว. “เจ้าได้เห็นมัน, แล้วสินะ?”
ในการรัวลิ้น
เช่นเดียวกัน,
เธอพูด: “เจ้าหนุ่มนั่นรู้ว่าแกลดิเอเตอร์จะไม่ได้ถูกวางยามอม.
มีชั่วขณะหนึ่งที่เกิดความหวาดกลัว, ใช่, แต่ไม่ได้แปลกใจ.”
“มันถูกวางแผนการเอาไว้แล้ว,”
เขาพูด. “การแสดงทั้งปวงนี้.”
“ไร้ข้อสงสัยเลย.”
“มีกลิ่นอายของฮาวัต.”
“จริงแท้,”
เธอพูด.
“ข้าได้สั่งไปก่อนหน้านี้แล้วว่าให้ท่านบารอนกำจัดฮาวัต.”
“นั่นคือความบกพร่อง,
ที่รัก.”
“ข้าเห็นนั่นแล้วในตอนนี้.”
“พวกฮาร์คอนเนนส์อาจจะได้มีบารอนคนใหม่ก่อนจะนานนี้.”
“ถ้านั่นเป็นแผนการของฮาวัต.”
“นั่นจะแบกรับผิดชอบการตรวจสอบ,
ความจริง,” เธอพูด.
“คนหนุ่มนั้นน่าจะเป็นที่พัฒนาขึ้นได้ที่จะอยู่ในการควบคุม.”
“สำหรับเรา...หลังจากคืนนี้,”
เธอพูด.
“เจ้าไม่ได้คาดหวังในการหว่านเสน่ห์ยุ่งยากเลยนะ,
แม่ไก่ตัวน้อยของข้าง.”
“ไม่เลย,
ที่รัก. ท่านก็เห็นว่าเขาได้มองข้ายังไง.”
ใช่,
และข้าเห็นในตอนนี้ว่าทำไมเราต้องได้สายโลหิตนั้น.”
“จริงแท้เลย,
และมันชัดเจนว่าเราต้องยึดกุมกับเขาไว้. ข้าจะหว่านเพาะลึกลงไปในอัตตาที่ลึกที่สุดของเขาด้วยคำวลีปราณ-ภิณฑุทั้งหลายที่จะโน้มน้อมเขาลงมา.”
“เราจะจากไปให้เร็วที่สุดที่จะเป็นไปได้---ทันทีที่เจ้าแน่ใจ,”
เขาพูด.
เธอสั่นเทา.
“อย่างแน่นอนเทียว. ข้าคงจะไม่ต้องการที่จะมีลูกในสถานที่น่าสยองขวัญนี้หรอก.”
“สิ่งทั้งหลายที่เราทำในนามของมนุษยชาติ,”
เขาพูด.
“ของท่านนั้นเป็นส่วนที่ง่าย,”
เธอพูด.
“มีบางอคติโบราณที่ข้าเอาชนะ,”
เขาพูด. “พวกนั้นค่อนข้างดึกดำบรรพ์, เธอก็รู้.”
“ที่รักผู้น่าสงสารของข้า,”
เธอพูด, และแปะแก้มของเขา. “ท่านก็รู้ว่านี้คือหนทางเดียวเท่านั้นเป็นที่แน่ใจได้ของการสงวนสายโลหิตเอาไว้ได้.”
เขาพูดในน้ำเสียงแห้งแล้ง: “ข้าเข้าใจอย่างแน่นอนในอะไรที่เราทำ.”
“เราจะไม่ล้ม,”
เธอพูด.
“ความรู้สึกผิดเริ่มต้นเป็นเช่นอารมณ์ของความล้มเหลว,”
เขาเตือน.
“จะไม่มีความรู้สึกผิด,”
เธอพูด. “การสะกด-มัดจิตของเจ้าฟียด์-เราธานั่นและลูกของเขาในครรโภทของข้า---แล้วเราก็จะไป.”
“เจ้าลุงนั้น,”เขาพูด.
“เธอเคยเห็นอะไรที่บิดเบี้ยวเช่นนี้ไหม?”
“เขาดุร้ายน่าดู,”
เธอพูด, “แต่เจ้าหลานนั้นสามารถเจริญเติบโตดีที่จะเป็นตัวร้ายกว่าได้.”
“ขอบคุณต่อเจ้าลุงนั่น.
เธอรู้ไหม, เมื่อเธอคิดว่าอะไรที่เด็กหนุ่มนี้ได้ถูกเลี้ยงดูโดยใครอื่นบางคนแล้ว---ด้วยรหัสตระกูลอะไทรดิสเพื่อชี้นำเขา,
เป็นตัวอย่าง.”
“มันน่าเศร้า,”
เธอพูด.
“เพราะนั่นเราจะได้ช่วยไว้ได้ทั้งอะไทรดิสหนุ่มและรายนี้.
จากอะไรที่ข้าได้ยินมาถึงเรื่องหนุ่มพอล---เด็กหนุ่มที่น่ายกย่องมากที่สุด,
เลือดผสมของสายพันธุ์และการฝึกฝนที่ดี.” เขาส่ายศีรษะของตน. “แต่เราไม่ควรสูญเปล่าความเศร้าไปกับชนชั้นสูงที่ไม่มีโชค.”
“มีคำกล่าวไว้ของเบเน
เกสเสอริตอยู่,” เธอพูด.
“เจ้าได้พูดเอาไว้สำหรับทุกสิ่ง!” เขาประท้วง.
“ท่านจะชอบอันนี้,”
เธอพูด. “มันว่า: ‘อย่าได้นับความตายของมนุษย์จนกว่าเจ้าจะได้เห็นร่างศพของเขา.
และกระนั้นแล้วเจ้าก็ยังสามารถทำความผิดพลาดได้อยู่.”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น