หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย(32)

 

      แนวคิดของการก้าวไปข้างหน้ากระทำการเฉกเช่นกลไกของการปกป้องที่จะกำบังเราจากความตื่นตระหนกทั้งหลายของอนาคตนั้น.

     ---จาก “รวบรวมคำพูดของ มวดดิบ” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน

 

ในครบรอบวันเกิดที่สิบเจ็ดของเขา, ฟีย์ด-เราธา ฮาร์คอนเนนส์ ได้ฆ่าเป็นคนที่หนึ่งร้อยของทาส-นักสู้แห่งสังเวียนสนามในกีฬาทั้งหลายของครอบครัว. ผู้สังเกตการณ์รับชมทั้งหลายเป็นแขกเยือนจากราชสนักจักรพรรดิ---ท่านเคานท์และเลดี้ เฟนริง---อยู่บนภพบ้านเกิดแห่งไกดิ ไพร์ม เพื่องานนั้น, ได้รับเชิญให้นั่งที่บ่ายนั้นกับครอบครัวใกล้ชิดในคอกทองคำเหนือสนามสังเวียนสามเหลี่ยม.

เพื่อเป็นเกียรติต่อวันสมภพของ ณ-บารอน(na-Baron*)และเพื่อย้ำเตือนต่อบรรดาฮาร์คอนเนนส์ทั้งหลายและข้าราชบริพารว่าฟีย์ด-เราธานั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์, มันเป็นวันหยุดบนไกดิ ไพร์ม. บารอนเฒ่าได้มีพระราชกฤษฎีกาให้เป็นวันหยุดพักเหนือจรดใต้กับแรงงานทั้งหลาย, และความพยายามได้ถูกใช้ไปในนครญาติแห่งฮาร์โคเพื่อรังสรรค์มายาภาพงานรื่นเริงเฉลิมฉลอง: แถบผ้าริ้วธงปลิวไสวจากอาคารทั้งหลาย, สีใหม่ได้ถูกสาดบนผนังต่างๆไปตามราชวิถี.

แต่ออกไปจากหนทางสายหลัก, เคานท์ เฟนริงและท่านหญิงของเขาสังเกตเห็นขยะกองพะเนินทั้งหลาย, ผนังสีน้ำตาลหยาบสกปรกทั้งหลายสะท้อนอยู่ในแอ่งหลุมดินดำมืดของถนนเหล่านั้น, และการลับๆล่อๆกำลังลนลานของผู้คนนั้น.

เขตป้องกันชั้นในกำแพงสีฟ้าของบารอนนั้น, มีความสมบูรณ์อย่างหวาดกลัวเต็มเปี่ยม, แต่ท่านเคานท์และท่านหญิงของเขาเห็นราคาที่ถูกจ่ายไปนั้น---ยามรักษาการณ์ทั้งหลาย, ทุกหนแห่งและอาวุธทั้งหลายที่มันวาวแวววับเป็นพิเศษซึ่งบอกได้ด้วยสายตาที่ฝึกฝนมาว่าพวกมันได้ถูกใช้เป็นอย่างสม่ำเสมอ. มีด่านตรวจทั้งหลายสำหรับผู้ผ่านทางเป็นประจำจากพื้นที่หนึ่งไปยังพื้นที่หนึ่งกระทั่งภายในเขตป้องกันชั้นใน. คนใช้ทั้งหลายเผยให้เห็นการฝึกฝนเยี่ยงทหารออกมาในวิธีที่พวกเขาเดินเหิน, ในแบบของไหล่ผึ่งผาย.....ในวิธีที่สายตาของพวกเขาเฝ้ามองและเฝ้ามองและเฝ้ามอง.

“มีการบีบบังคับอยู่,” ท่านเคานท์ฮัมต่อท่านหญิงของเขาในภาษาลับของพวกเขา. “ท่านบารอนกำลังแค่เริ่มต้นที่จะเห็นราคาที่เขาได้จ่ายจริงๆเพื่อกำจัดให้ตัวเขาพ้นจากดยุค ลีโต.”

“บางครั้งฉันต้องเล่าใหม่ให้ท่านอีกครั้งถึงตำนานของนกฟีนิกซ์,” เธอพูด.

พวกเขาอยู่ในโถงต้อนรับของการรอคอยต่อไปที่จะไปยังเกมกีฬาของครอบครัว. มันไม่ใช่เป็นโถงใหญ่โต---บางทีสักสี่สิบเมตรทางยาวและครึ่งของนั้นทางกว้าง---แต่เสาปลอมทั้งหลายไปตามด้านข้างทั้งหลายได้ถูกสร้างรูปให้เป็นปลายเรียวขึ้นอย่างผลุนผลัน, และเพดานที่โค้งบาง, ทั้งหมดสร้างมายาภาพของพื้นที่ว่างที่ดูมหึมายิ่งขึ้น.

“อา-ห-ห, มานี่แล้วท่านบารอน,” ท่านเคานท์พูด.

ท่านบารอนเคลื่อนลงมาตามความยาวของโถงด้วยท่าเดินร่อน-ประหลาดสื่อให้รู้ถึงความจำเป็นของเครื่องนำทางพยุงลอยแขวน-น้ำหนัก. แก้มห้อยย้อยของเขาพะเยิบพะยาบขึ้นลง; เครื่องแขวนลอยกระตุกและเลื่อนขยับอยู่ภายใต้เสื้อคลุมสีส้มของเขา. แหวนทั้งหลายระยิบระยับบนมือของเขาและมณีโอปาไฟริ์ส่องจรัสที่พวกมันถักทออยู่ในเสื้อคลุมนั้น.

ที่ข้อศอกของท่านบารอนเดินอยู่ด้วยฟีย์ด-เราธา. ผมสีดำของเขาถุดสวมแต่งอยู่ในลอนผมทั้งหลายที่ดูเหมือนม่เข้ากันกับความหรูหราเหนือดวงตาอึมครึม. เขาสวมเสื้อคลุมทูนิครัดรุม-สีดำและกางเกงที่มีแนะนัยของทรงระฆังที่ก้น. รองเท้าสวมสลิปเปอร์ส้นนุ่มปิดเท้าเล็กๆของเขา.

เลดี้ เฟนริง, สังเกตเห็นว่าท่าเดินโอ่ของชายหนุ่มและกล้ามเนื้อลื่นไหลภายใต้เสื้อคลุมทูนิคนั้นและคิดในใจ: นี่อีกรายผู้ที่จะไม่ยอมปล่อยตนเองให้ไปถึงอวบอ้วน.

ท่านบารอนหยุดตรงหน้าของพวกเขา, ดึงแขนของฟีย์ด-เราธาในแบบกุมยึดเป็นเจ้าของ, พูด, “หลานของข้า, ณ-บารอน, ฟีย์ด-เราธา ฮาร์คอนเนน.” และ, หันใบหน้าเด็ก-อวบอ้วนไปยัง ฟีย์ด-เราธา. เขาพูด, “เคานท์และท่านผู้หญิง เฟนริง ผู้ที่ฉันเคยได้พูดถึง.”

ฟีย์ด-เราธาจุ่มศีรษะของเขาลงด้วยมรรยาทตามที่ถูกกำหนด. เขาจ้องมองท่านผู้หญิง เฟนริง. เธอผมสีทองและระหง, ร่างอันสมบูรณ์แบบของเธอนั้นสวมใส่ในชุดกาวน์ลื่นไหลของสีน้ำตาลอ่อน---รัดแนบเรียบง่ายกับรูปร่างโดยปราศจากสิ่งประดับประดา. ดวงตาเทา-เขียวจ้องมองกลับมายังเขา. เธอมีความสงบเยือกเย็นปลอดโปร่งของเบเน เกสเสอริตอยู่กับเธอซึ่งชายหนุ่มนี้พบว่าเป็นที่น่ากวนใจอย่างมีเลศนัย.

“อืม-ม-ม-ม-อา-ฮืม-ม-ม-ม,”ท่านเคานท์พูด. เขาศึกษาฟีย์ด-เราธา. “เป็น, อืม-ม-ม-ม, ชายหนุ่มที่ชัดเจน, อา, ที่.....อืม-ม-ม-ม...รัก?” ท่านเคานท์ชำเลืองยังท่านบารอน. “บารอนที่รัก, ท่านพูดว่าท่านได้พูดถึงเรากับชายหนุ่มอันชัดเจนนี้? ท่านได้พูดอะไรไว้หรือ?”

“ข้าบอกกบหลานของข้าถึงความนิยมชมชื่นอย่างใหญ่หลวงขององค์จักรพรรดิที่ยึดถือในตัวท่าน, เคานท์ เฟนริง,” ท่านบารอนพูด. และเขาคิด: จดจำเขาเอาไว้ให้ดี, ฟีย์ด! นักฆ่ากับกิริยามรรยาทของกระต่าย---นี่เป็นชนิดที่อันตรายมากที่สุด.

“แน่นอนเลย!เคานท์พูด, และเขายิ้มให้กับท่านผู้หญิงของเขา.

ฟีย์ด-เราธาพบว่าการกระทำและคำพูดของชายผู้นี้เกือบจะเป็นการหมิ่นแคลน. พวกเขาหยุดแค่ระยะสั้นๆของบางอย่างให้โจ่งแจ้งที่จะต้องการการสังเกตเห็นกันได้. ชายหนุ่มเพ่งความสนใจของเขากับท่านเคานท์: ชายร่างเล็ก, ท่าทางอ่อนแอ. ใบหน้าซูบผอมเรียวเหมือนพังพอนที่มีดวงตาโตใหญ่เกินไป. มีสีเทาที่ขมับทั้งสอง. และการเคลื่อนไหวของเขา---เขาเคลื่อนมือหรือหันศีรษะไปทางหนึ่ง, แล้วเขาพูดอีกทางหนึ่ง. มันยุ่งยากที่จะตามติด.

“อืม-ม-ม-ม-ม-อาห์-ห-ห-หืม-ม-ม, ท่านยกเอาเรื่องเช่นนี้มา, อืม-ม-ม-ม, ความถูกต้องนี้หาได้ยาก,” ท่านเคานท์พูด, มองตรงไปที่ไหล่ของท่านบารอน. “ข้า.....อา, ยินดีด้วยกับ หืม-ม-ม ความสมบูรณ์เยี่ยมของท่านใน อาห์-ห-ห รัชทายาท. ในแสงสว่างทั้งหลายของ หืม-ม-ม-ม ผู้อาวุโส, ใครก็อาจพูดเช่นนี้.”

“ท่านใจดีมากเกินไป,”ท่านบารอนพูด. เขาโค้งคารวะ, แต่ฟีย์ด-เราธาสังเกตว่าดวงตาของท่านปิตุลาของเขานั้นไม่ได้เห็นด้วยกับการนอบน้อมนั้น.

“เมื่อท่านได้ อืม-ม-ม เหน็บแหนม, นั่น อาห์-ห-ห ชี้แนะว่าท่าน อืม-ม-ม-ม กำลังคิดลึกซึ้งทั้งหลายนั้นอยู่,” ท่านเคานท์พูด.

เขาไปนั่นอีกแล้ว, ฟีย์ด-เราธาคิด. มันฟังดูเหมือนเขากำลังดูหมิ่น, แต่ไม่มีอะไรใดที่เจ้าสามารถท้าเรียกให้ออกมาประมือกันเพื่อความพึงพอใจตนได้.

การฟังต่อคำพูดชายผู้นี้ให้ฟีย์ด-เราธาได้รู้สึกว่าศีรษะของเขาได้ถูกผลักดันผ่านตมเลนของ.....อืม-ม-ม-อาห์-ห-ห-หืม-ม-ม-ม! ฟีย์ด-เราธาหันความสนใจของเขากลับมายังท่านหญิงเฟนริง.

“เรา อาห์-ห-ห ใช้เวลาของชายหนุ่มนี้มากเกินไปแล้ว,” เธอพูด. “ดิฉันเข้าใจว่าเขาต้องไปปรากฏที่สนามสังเวียนวันนี้.”

เทียบกับนางกำนัลสาวทั้งหลายแห่งฮาเร็มจักรพรรดิ, เธอเป็นที่น่ารักผู้หนึ่ง! ฟีย์ด-เราธาคิด. เขาพูด: “ข้าจะทำการฆ่าเพื่อท่านในวันนี้, ท่านหญิงที่รัก. ข้าจะทำการอุทิศนี้ในสังเวียน, ก็ด้วยคำอนุญาตของท่าน.”

เธอตอบกลับการจ้องมาของเขาอย่างสงบเงียบ, แต่เสียงของเธอนำไปด้วยแซ่สะบัดขณะที่เธอพูด: “เจ้าไม่ได้คำอนุญาตของข้าหรอก.”

ฟีย์ด!” ท่านบารอนพูด. และเขาคิด: เจ้าเด็กดื้อนี่! มันอยากให้เจ้ายมฑูตเคานท์ท้าดวลมันออกมาเลยรึ?

แต่ท่านเคานท์เพียงแต่ยิ้มและพูดว่า, “หืม-ม-ม-ม-อืม-ม-ม.”

“เจ้าจริงๆต้องไปเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสังเวียน, ฟีย์ด,” ท่านบารอนพูด. “เจ้าต้องไปพักเสียก่อนและไม่ทำเสี่ยงโง่เขลาอันใด.”

ฟียด์-เราธาค้อมคำนับ, ใบหน้าของเขาหมองคล้ำลงด้วยความขุ่นเคือง. “ข้าแน่ใจว่าทุกสิ่งจะเป็นดังที่ท่านประสงค์, ท่านลุง.” เขาพยักหน้ากับเคานท์ เฟนริง. “ใต้เท้า,” ยังท่านหญิง: “ท่านหญิงที่เคารพ.” และเขาหันไป, ก้าวยาวออกไปจากโถง, แทบไม่ได้ชำเลืองมองกลุ่มของญาติผู้เยาว์ที่อยู่ใกล้ประตูสองชั้นนั้น.

“เขายังเยาว์เกินไป,” ท่านบารอนถอนหายใจ.

“อืม-ม-ม-อ้าห์ จริงแท้เลย หืมมม,” ท่านเคานฺพูด.

และท่านหญิงเฟนริงคิด: จะเป็นชายหนุ่มผู้ที่ท่านแม่อธิการได้หมายถึงหรือ? นี่เป็นสายเลือดที่เราต้องสงวนรักษาไว้หรือ?

“เรามีมากกว่าหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะไปยังสนามสังเวียนนั้น,” ท่านบารอนพูด. “บางทีเราควรจะได้มีสนทนาเล็กๆของเราในตอนนี้, เคานท์ เฟนริง.” เขาเอียงศีรษะมันวาวของเขาไปยังด้านขวามือ. “มีความก้าวหน้าที่สามารถพิจารณาได้ที่จะต้องถูกถกเถียงกันอยู่.”

และบารอนคิด: เราจงมาดูกันในตอนนี้ว่าเด็กรับใช้ของจักรพรรดิได้ข้ามราชสาส์นอะไรก็ตามที่เขาถือไว้โดยปราศจากจะได้เคยงี่เง่าเกินกว่าที่จะเอ่ยพูดมันออกมาไหม.

ท่านเคานท์พูดกับท่านหญิงของเขา: “อืม-ม-ม-ม-อ้าห์-ห-ห-หืม-ม-ม, เจ้า มม-ม จะ อ้าห์-ห-ห อภัยต่อเรา, ที่รัก?”

“แต่ละวัน, บางครั้งแต่ละชั่วโมง, ก็นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่,” เธอพูด. “มม-ม-ม-ม.” และเธอยิ้มอย่างอ่อนหวานกับท่านบารอนก่อนที่จะหันร่างจากไป. กระโปรงยาวของเธอส่งเสียงเฟี้ยวฟ้าวและเธอเดินด้วยหลังตั้งตรงก้าวยาวเยี่ยงราชนิกูลไปยังประตูสองชั้นที่ปลายสุดของโถง.

ท่านบารอนสังเหตไว้ว่าการสนทนาทั้งหมดในท่ามกลางหมู่ยุวราชสำนักที่นั้นได้หยุดลงทันทีที่เธอเข้าไปถึง, ว่าดวงตาทั้งหลายตามติดร่างของเธอกันไปอย่างไร. เบเน เกสเสอริต! ท่านบารอนคิด. เอกภพนี้ควรจะดียิ่งขึ้นกว่าที่ได้กำจัดพวกนี้ไปให้หมด!

“มีกรวยของความเงียบอยู่ระหว่างแนวแถวเสาค้ำทางด้านนี้บนซ้ายมือของเรา,” ท่านบารอนบอก. “เราสามารถคุยกันที่นั่นได้โดยไม่ต้องกลัวการที่จะถูกได้ยิน.” เขานำทางนั้นไปด้วยท่าเดินเป๋ส่ายไปมาเข้าไปในสนามพลังปิดตายกั้นเสียงนั้น, รู้สึกได้ถึงเสียงทั้งหลายที่มีอยู่ให้โถงนั้นมัวค่อยลงและไกลออกไป.

ท่านเคานท์เคลื่อนขึ้นไปข้างบารอน, และพวกเขาหัน, เผชิญหน้ายังผนังนั้นเพื่อที่ริมฝีปากของพวกเขาไม่สามารถจะถูกอ่านได้.

“เราไม่ได้พอใจกับวิธีที่ท่านได้สั่งให้พวกซาร์เดาการ์ออกจากอาร์ราคิส, “ ท่านเคานท์พูด.

พูดตรงชัดเลย! ท่านบารอนคิด.

“พวกซาร์เดาการ์ไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้นานกว่านั้นโดยปราศจากการเสี่ยงว่าผู้อื่นจะค้นพบว่าองค์จักรพรรดิได้ช่วยเหลือข้า,” ท่านบารอนพูด.

“แต่หลานของท่านแรบบานไม่ได้ปรากฏว่ากดดันอย่างแข็งแรงเพียงพอต่อการคลี่คลายแก้ไขของปัญหาชนฟรีเมน.”

“อะไรหรือที่องค์จักรพรรดิปรารถนา? ท่านบารอนถาม. “ไม่มีความสามารถจะเป็นมากกว่าล้นมือของพวกฟรีเมนเหลืออยู่บนอาร์ราคีส. ทะเลทรายตอนใต้นั้นไม่สามารถอยู่อาศัยได้. ทะเลทรายตอนเหนือถูกกวาดล้างอยู่สม่ำเสมอโดยกองทหารของเรา.”

“ใครเป็นคนบอกว่าทะเลทรายตอนใต้นั้นไม่สามารถอยู่อาศัยได้หรือ?”

“นักพิภพนิเวศวิทยาของท่านเองเป็นผู้บอก, ท่านเคานท์ที่รัก.”

“แต่ ดอกเตอร์ คายนิ์ส นั้นตายไปแล้ว.”

“อา, ใช่...โชคไม่ดี, นั่น.”

“เราได้มีคำบอกเล่าจากการบินผ่านเหนือพื้นที่ตอนใต้ที่ไปถึงนั้น,” ท่านเคานท์. “มีหลักฐานของพืชมีชีวิตปรากฏ.”

“แล้วพวกกิลด์ตกลงที่จะเฝ้าดูจากทางอวกาศให้รึ?”

“ท่านก็รู้ดีกว่านั้น, บารอน. องค์จักรพรรดิไม่สามารถตั้งสถานีตามกฎหมายที่จะเฝ้าระวังกับอาร์ราคีส.”

“และฉันก็ไม่สามารถจ่ายให้การนั้น,” ท่านบารอนพูด. “ใครทำการบินผ่านเหนือที่นั้นรึ?”

“พวก...ลักลอบขนสินค้าเถื่อน.”

“ใครบางคนได้โกหกต่อท่านแล้ว, เคานท์,” ท่านบารอนพูด. “พวกลักลอบค้าของเถื่อนนั่นไม่สามารถนำร่องเข้าไปถึงตอนใต้ได้ดีกว่าคนของแร็บบานทำได้. พายุทั้งหลาย, ประจุไฟฟ้าสถิตจากทราย, และอะไรทั้งหลายนั้น, ท่านก็รู้. เครื่องกำหนดทิศทางนำร่องทั้งหลายต่างถูกซัดหมอบเร็วกว่าที่พวกเขาจะสามารถติดตั้งมันได้ซะอีก.”

“เราจะถกเถียงกันในเรื่องหลากหลายรูปแบบของประจุไฟฟ้าสถิตนั่นในเวลาอื่น,” ท่านเคานท์พูด.

อ้าห์-ห-ห-ห, บารอนคิด. “ท่านได้ค้นพบบางอย่างผิดพลาดในบัญชีรายการของข้าสิงั้นรึ? เขาถามสั่ง.

“เมื่อท่านจินตนการถึงความผิดพลาดทั้งหลายนั่นก็ไม่สามารถเป็นการป้องกันตัวได้แล้ว,” ท่านเคานท์พูด.

เขากำลังพยายามที่จะกระตุ้นปลุกความโกรธของข้า, ท่านบารอนคิด. เขาสูดหายใจลึกสองครั้งเพื่อสงบตนเอง. เขาสามารถได้กลิ่นเหงื่อของตนเอง, และสายรัดบังเหียนทั้งหลายของเครื่องพยุงลอยภายใต้เสื้อคลุมของเขาที่เริ่มรู้สึกคันและน่ารำคาญ.

“องค์จักรพรรดิไม่สามารถเป็นที่ไม่มีความสุขใจได้เกี่ยวกับการตายของสนมและเด็กชายนั้น,” ท่านบารอนพูด. “พวกเขาบินหลบหนีเข้าไปในทะเลทราย. มีพายุมาลูกหนึ่ง.”

“ใช่, มีอุบัติเหตุที่ไม่เหมาะสมอยู่มากมายเกินไป,” ท่านเคานท์เห็นด้วย.

“ข้าไม่ชอบในน้ำเสียงของท่านเลยนะ, เคานท์,” ท่านบารอนพูด.

“ความโกรธเป็นเรื่องหนึ่ง, ความรุนแรงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง,” ท่านเคานท์พูด. “ให้ข้าเตือนอันตรายให้กับท่าน: อุบัติเหตุอย่างโชคร้ายที่อาจบังเกิดขึ้นกับข้าได้ในที่นี่มหาราชสำนักทั้งหมดก็น่าที่จะเรียนรู้ได้ว่าท่านได้ทำอะไรที่บนอาร์ราคีส. พวกเขาได้สงสัยมายาวนานอยู่แล้วว่าท่านทำธุรกิจอย่างไร.”

“มีเพียงธุรกิจเมื่อเร็วนี้เท่านั้นที่ข้าสามารถนึกขึ้นมาได้,” ท่านบารอนพูด, “คือการขนส่งของหลายกองพลของซาร์เดาการ์ยังอาร์ราคีส.”

“ท่านคิดว่าท่านจะถือเรื่องนั้นอยู่เหนือเศียรขององคืจักรพรรดิได้รึ?”

“ข้าจะไม่คิดอะไรของมันทั้งนั้น!

ท่านเคานท์ยิ้ม. “ผู้บัญชาการซาร์เดาการ์น่าจะสามารถค้นหาได้ว่าใครได้สารภาพว่าพวกเขาได้กระทำการโดยปราศจากคำสั่งทั้งหลายเพราะว่าพวกเขาต้องการรบกับพวกเศษสวะฟรีเมนของท่านนั้น.”

“หลายคนคงกังขาไปกับคำสารภาพเยี่ยงนั้น,” ท่านบารอนพูด, แต่คำขู่นั้นทิ่มแทงเขา. ซาร์เดาการ์มีวินัยเยี่ยงขนาดนั้นจริงรึ? เขาสงสัยอยู่ในใจ.

“องค์จักรพรรดิได้ปรารถนาที่จะตรวจสอบบัญชีทั้งลายของท่าน,”

“เวลาใดก็ได้.”

“ท่าน.....อาห์.....ไม่มีคำคัดค้านทั้งหลายหรือ?”

“ไม่มีเลย. ผู้อำนวยการโชอัม กัมปะนีของข้าการตรวจสอบที่ละเอียดอย่างใกล้ชิดที่สุด.” และเขาคิด: ให้เขานำเอาข้อกล่าวหาผิดๆมาสู่ข้าและมันได้ถูกเปิดเผยออกมาเลย. ข้าจะยืนอยู่ที่นั่น, อุกอาจ, แล้วพูดว่า: “จงดูข้า, ข้าถูกหาว่าผิด.” แล้วปล่อยให้เขานำข้อกล่าวหาใดๆอื่นมาสู่ข้า, แม้กระทั่งอันที่เป็นจริง. มหาราชสำนักจะไม่เชื่อถือการโจมตีครั้งที่สองของผู้กล่าวหาเมื่อครั้งแรกนั้นพิสูจน์แล้วว่าเป็นการใส่ร้าย.

 “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบัญชีทั้งหลายของท่านจะรับการตรวจสอบละเอียดอย่างใกล้ชิดที่สุด,” ท่านเคานท์พึมพำ.

“ทำไมองค์จักรพรรดิถึงได้สนใจนักในการทำลายล้างพวกฟรีเมนหรือ?” บารอนถาม.

“ท่านปรารถนาจะให้ประเด็นถูกเปลี่ยนเรื่อง, เอ๋?” ท่านเคานท์ยักไหล่. “เป็นซาร์เดาการ์ที่ปรารถนามัน, ไม่ใช่องค์จักรพรรดิ. พวกเขาจำเป็นต้องฝึกฝนการฆ่า...และพวกเขาเกลียดชังที่จะเห็นภารกิจถูกทิ้งไว้ไม่เสร็จ.”

เขาคิดจะให้ข้าตกใจกลัวโดยเตือนข้าถึงที่ว่าเขาได้รับการสนับสนุนโดยพวกนักฆ่ากระหายเลือดนี้หรือ? บารอนกังขาใจ.

“จำนวนหนึ่งขอบางการฆ่านั้นมักจะได้เป็นแขนของธุรกิจ,” ท่านบารอนพูด, “แต่เส้นได้ถูกขีดเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง. บางคนต้องถูกทิ้งให้เหลือไว้ทำงานเรื่องเครื่องเทศ.”

ท่านเคานท์ปล่อยสั้นๆของการหัวเราะกร้าวออกมา. “ท่านคิดว่าท่านสามารถกุมบังเหียนกับพวกฟรีเมนได้รึ?”

“ไม่เคยมีความเพียงพอของพวกเขากับการนั้น,” ท่านบารอนพูด. “แต่การฆ่าได้ทำให้ประชากรที่เหลือของข้านั้นไม่สบายใจ. มันไปถึงจุดที่ข้ากำลังพิจารณาตัดสินใจในวิธีการคลี่คลายต่อปัญหาของชนอาร์ราคีน, ท่านเฟนริงที่รักของข้า. และข้าต้องสารภาพว่าองค์จักรพรรดิสมควรได้รับเครดิตสำหรับแรงบันดาลใจนี้.”

“อ้าห์-ห-ห?”

“ท่านก็เห็น, ท่านเคานท์. ข้ามีดาวเคราะห์ราชทัณฑ์ขององค์จักรพรรดิ, ซาลูซา เซคันดัส, ที่ดาลใจให้กับข้า.”

ท่านเคานท์จ้องมองเขาด้วยความเข้มแวววับ. “อะไรที่เป็นไปได้ของการเชื่อมต่อนั่นระหว่าง อาร์ราคีส และ ซาลูซา เซคันดัส หรือ?”

ท่านบารอนรู้สึกถึงความตื่นระวังในดวงตาของเฟนริง, พูด: “ยังไม่เชื่อมต่อกันหรอก.”

“ยังรึ?”

“ท่านต้องยอมรับว่ามันเป็นหนทางหนึ่งที่จะพัฒนาการบังคับใช้กฎหมายงานสำคัญบนอาร์ราคิส---ใช้สถานที่นั้นเป็นดาวเคราะห์ราชทัณฑ์.”

“ท่านคาดหวังว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของนักโทษรึ?”

“ยังมีสถานการณ์ความไม่สงบอยู่,” ท่านบารอนยอมรับ. “ข้าได้จำเป็นต้องบีบเค้นค่อนข้างรุนแรง, เฟนริง. อย่างไรก็ตาม, ท่านก็รู้ว่าราคานั้นข้าเป็นผู้จ่ายพวกกิลด์เวรนั้นที่จะขนย้ายกองกำลังฉันท์มิตรของเรานี้มายังอาร์ราคิส. เงินนั้นต้องมาจากที่ไหนสักแห่ง.

“ข้าแนะนำท่านไม่ให้ใช้อาร์ราคิสเป็นดาวเคราะห์ราชทัณฑ์โดยปราศจากการอนุญาตขององค์จักรพรรดิ, บารอน.”

“แน่นอนล่ะว่าไม่,” ท่านบารอนพูด, และเขาสงสัยในใจกับความเย็นยะเยียบในน้ำเสียงของเฟนริง.

“อีกเหตุเรื่องหนึ่ง,” ท่านเคานท์พูด. “เราเรียนรู้ว่าเมนทาตของดยุค, ธูเฟอร์ ฮาวัต, ไม่ได้ตายและอยู่ในการจ้างใช้งานของท่าน.”

“ข้าไม่สามารถเอาตนเองไปทำความเสียเปล่าประโยชน์กับเขา,” ท่านบารอนพูด.

“ท่านโกหกต่อผู้บัญชาการซาร์เดาการ์เมื่อท่านบอกว่าธูเฟอร์ ฮาวัต ได้เสียชีวิตแล้ว.”

“เป็นเพียงศุภมุสาเท่านั้น, ท่านเคานท์ที่รัก. ข้าไม่มีท้องทนหิวได้พอที่จะถกเถียงนานเอากับเขานัก.”

ฮาวัตเป็นผู้ทรยศตัวจริงไหม?”

“โอ, คุณพระ! มันเป็นหมอเท็จผู้นั้น.” ท่านบารอนเช็ดปาดการไหลของเหงื่อที่ต้นคอของเขา. “ท่านต้องเข้าใจ, เฟนริง. ข้านั้นไม่มีเมนทาต. ท่านก็รู้เรื่องนั้น. ข้าไม่เคยปราศจากเมนทาตเลยมาก่อน. มันไม่มีความมั่นคงมากที่สุด.”

“ท่านทำอย่างไรหรือให้ฮาวัตที่ย้ายข้างความจงรักภักดีได้?”

ดยุคของเขานั้นตายไปแล้ว.” ท่านบารอนเค้นรอยยิ้มออกมา. “ไม่มีอะไรที่ต้องหวาดกลัวจากตัวฮาวัต, ท่านเคานท์ที่รัก. เลือดเนื้อของพวกเมนทาตได้ถูกทำให้อิ่มตัวด้วยยาพิษที่แฝงอยู่. เราบริหารจัดการยาต้านพิษในอาหารของพวกเขา. ปราศจากยาต้านพิษของเรา, ยาพิษนั้นก็ถูกกดปุ่มทำงาน---เขาจะตายในสองสามวัน.”

“ยกเลิกยาถอนพิษนั้นเสีย.” ท่านเคานท์บอก.

“แต่เขามีประโยชน์อยู่!

“และเขารู้หลายเรื่องมากเกินไปที่ไม่มีคนที่มีชีวิตใดควรจะรู้.”

“ท่านได้บอกเองว่าองค์จักรพรรดิไม่ได้หวาดกลัวการถูกเปิดเผย.”

“อย่าเล่มเกมกับข้า, บารอน!

“เมื่อข้าเห็นคำสั่งเช่นนั้นเหนือตราประทับจักรพรรดิข้าก็จะเชื่อฟังมัน,” บารอนพูด. “แต่ข้าจะไม่ยอมรับคำพร่ำเพ้อของท่าน.”

“ท่านคิดว่าเป็นคำพร่ำเพ้อรึ?”

“มันสามารถเป็นอย่างอื่นได้อีกรึ? องค์จักรพรรดิทำสัญญาผูกมัดไว้กับข้า, ด้วยเช่นกัน, เฟนริง. ข้ากันเอาพระองค์ออกจากเรื่องยุ่งยากของดยุคดื้อด้านนั้น.”

“ด้วยความช่วยเหลือของซาร์เดาการ์จำนวนเล็กน้อย.”

“ที่ใดอื่นหรือซึ่งองค์จักรพรรดิน่าจะหาเจอจากราชสำนักที่จะจัดให้ได้ในเครื่องแบบแปลงร่างที่จะซ่อนหัตถ์ขององค์ท่านในธุรกิจนี้ได้?”

“พระองค์ได้ถามตนเองในคำถามนี้แล้ว, บารอน, แต่ด้วยความแตกต่างในการเน้นย้ำเพียงเล็กน้อย.”

ท่านบารอนศึกษาดูเฟนริง, สังเกตไว้ถึงความแข็งทื่อของกล้ามเนื้อกรามนั้น, การควบคุมไว้อย่างระมัดระวัง. “อ้า-ห-ห-ห, ตอนนี้,” ท่านบารอนพูด. “ข้าหวังว่าองค์จักรพรรดิไม่ได้เชื่อว่าพระองค์สามารถเคลื่อนไหวต่อต้านตัวข้าอย่างเป็นความลับสุดยอดได้หรอกนะ.”

“พระองค์หวังว่ามันจะไม่กลายไปเป็นความจำเป็นเช่นนั้น.”

“องค์จักรพรรดิไม่สามารถเชื่อได้หรอก ว่าข้ากำลังข่มขู่พระองค์!” ท่านบารอนยอมให้ความโกรธและปริเวทนาขึ้นมาริมขอบน้ำเสียงของตน, คิดว่า: ปล่อยให้เขาเข้าใจผิดในการนั้น! ข้าสามารถวางตัวเองลงบนบัลลังก์ขณะที่ยังคงการทุบตียอดอกของข้าอยู่กับที่ว่าข้านั้นได้ทำผิด.

เสียงของท่านเคานท์กลายเป็นแห้งแล้งและห่างไกลขณะที่เขาพูด, “องค์จักรพรรดิเชื่อในอะไรที่สัมผัสรู้ของพระองค์บอกกับท่าน.”

“องค์จักรพรรดิกล้าหรือที่จะกล่าวโทษข้าด้วยข้อหากบฏต่อมหาสภา ลานสราอาด?” และบารอนกลั้นลมหายใจของตนด้วยความหวังของมัน.

“องค์จักรพรรดิไม่จำเป็นต้องกล้าอะไร.”

บารอนหมุนตัวไปด้วยเครื่องพยุงลอยทั้งหลายของเขาเพื่อซ่อนการแสดงออกของเขา. มันสามารถบังเกิดขึ้นได้ในช่วงชีวิตของฉัน? เขาคิด. จักรพรรดิรึ? ปล่อยเขาทำผิดกับข้าเถอะ! แล้ว—สินบนและข่มขู่รีดไถ, การปลุกระดมของมหาราชสำนัก: พวกเขาแห่บินเป็นฝูงมาใต้ธงริ้วของข้าเหมืองเหล่าไพร่สามัญชนวิ่งหาที่พักพิง. สิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวเหนือสิ่งใดทั้งหมดอื่นอีกคือ ซาร์เดาการ์ขององค์จักรพรรดิถูกปล่อยลงไปเหนือพวกเขาทีละหนึ่งราชสำนัก.

“เป็นความหวังอย่างจริงใจขององค์จักรพรรดิที่พระองค์จะไม่ต้องฟ้องร้องท่านในข้อหากบฏ,” ท่านฺเคานท์พูด.

ท่านบารอนพบว่ามันยากที่จะรักษาความแข็งกร้าวออกไปจากน้ำเสียงของเขาและอนุญาตแต่เพียงการแสดงออกถึงความปวดร้าว, แต่เขาก็จัดการมันได้. “ข้าได้เป็นไพร่ฟ้าที่จงรักภักดีมากที่สุดมาโดยตลอด. คำพูดเหล่านี้ทำให้ข้าเจ็บปวดเกินเลยไปกว่าความสามารถทางกายใจที่จะแสดงออกมาได้.”

“อืม-ม-ม-ม-อ้าห์-หืม-ม-ม,” ท่านเคานท์บอก.

ท่านบารอนยังคงหันหลังให้กับท่านเคานท์, พยักหน้า. ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นว่า, “ถึงเวลาที่จะไปยังสนามสังเวียนกันแล้ว.”

“ใช่แล้ว.”

พวกเขาเคลื่อนออกไปจากกรวยของความเงียบ, เคียงข้างกัน, เดินไปยังกลุ่มก่อนของเหล่ายุวราชสำนักที่ปลายสุดของห้องโถง. ระฆังเริ่มดังขึ้นอย่างช้าๆมาจากที่ดสักแห่งในการแจ้งการรักษาเวลา---เตือนล่วงหน้ายี่สิบนาทีสำหรับการไปรวมตัวกันที่สนามสังเวียน.

ยุวราชสำนักนั้นรอคอยท่านให้นำขบวนไปอยู่,” ท่านเคานท์พูด, พยักหน้าไปยังผู้คนที่พวกเขาก้าวไปหา.

ความหมายสองนัย.....สองความนัย, บารอนคิด.

เขามองขึ้นไปที่เครื่องรางอันใหม่ที่ทางออกของห้องโถงของเขา---ศีรษะของวัวติดตั้งอยู่และภาพเขียนสีน้ำมันของดยุคเฒ่า อะไทรดิส, บิดาของดยุค ลีโตคนที่แล้ว. พวกเขาเติมเต็มท่านบารอนด้วยสัมผัสรู้พิกลของลางสังหรณ์, และเขากังขาใจว่าความคิดอะไรทั้งหลายของเครื่องลางพวกนี้ได้ดลใจให้ ดยุค ลีโต ตอนที่พวกเขาแขวนมันในห้องโถงแห่งคาลาดานแล้วย้ายมาถึงบนอาร์ราคีสนี้---ท่านบิดาผู้กล้าหาญและศีรษะของวัวที่ได้ฆ่าเขานี่นะ.

“มนุษย์ชาติได้ อ้า มีเพียงหนึ่ง อืม-ม-ม ศาสตร์เท่านั้น,” ท่านเคานท์พูดขณะที่พวกเขาได้จัดขบวนพาเหรดของผู้ติดตามทั้งหลายของพวกเขาและโผล่ออกไปจากห้องโถงเข้าไปสู่ห้องพักคอย---ที่ว่างแคบๆที่มีหน้าต่างสูงทั้งหลายและพื้นปูลวดลายกระเบื้องขาวและม่วง.

“และศาสตร์นั้นคืออะไรรึ?” ท่านบารอนถาม.

“มันคือ อืม-ม-ม-อาห์-ห ศาสตร์ของ อาห์-ห-ห ความไม่พอใจ,” ท่านเคานท์พูด.

ยุวราชสำนัก เบื้องหลังพวกเขา, ใบหน้าเหมือนแกะและตอบสนอง, ที่หัวเราะด้วยแค่น้ำเสียงที่ถูกต้องของการชื่นชม, แต่เสียงที่พาตัวโน้ตที่ผิดเพี้ยนไปจากกลุ่มคอร์ดขณะที่มันเป็นปรปักษ์กับการระเบิดออกทันทีของยานยนต์ที่เข้ามาใส่พวกเขาเมื่อหน้ากระดาษทั้งหลายเหวี่ยงเปิดประตูข้างนอกทั้งหลายออก, เผยให้เห็นแถวของยานรถภาคพื้นดินทั้งหลาย, ธงสามเหลี่ยมมีด้ามจับติดอยู่ต่างพลิ้วสะบัดอยู่ในลม.

ท่านบารอนขึ้นน้ำเสียงของเขาเพื่อเอาชนะเสียงอื้ออึงในทันทีนั้น, พูด, “ข้าหวังว่าท่านจะไม่ถูกทำให้ไม่พอใจกับการแสดงของหลานชายข้าในวันนี้, เคานท์ เฟนริง.”

“ข้า อ้าห์-ห-ห ได้ถูกเติม อืม-ม-ม แต่เพียงด้วย หืม-ม-ม สัมผัสรับรู้ของการรอคอยคาดหวัง, ใช่,” ท่านเคานท์พูด. “มักจะอยู่ใน อ้าห์-ห-ห กระบวนดำเนินการต่อไปด้วยคำพูด, ใครก็ อืม-ม-ม อ้าห์-ห-ห ต้องพิจารณาได้ว่า อ้าห์-ห-ห สำนักงานของต้นตอ.”

ท่านบารอนซ่อนบังความแข็งทื่อฉับพลันของความประหลาดใจโดยก้าวงุ่มง่ามลงไปจากช่องทางออก. กระบวนดำเนินการต่อไปด้วยคำพูด! นั่นคือรายงานของอาชญากล่าวหาราชอาณาจักร!

แต่ท่านเคานท์หัวเราะคลึ่กๆในลำคอเพื่อทำให้มันดูเหมือนเป็นมุขตลก, และตบที่แขนของบารอน.

ตลอดทางไปสู่สนามสังเวียน, กระนั้น, ท่านบารอนนั่งลงในเบาะหุ้มเกราะทั้งหลายของรถของตน, ทิ้งสายตาชำเลืองอย่างซ่อนเร้นไปยังท่านเคานท์ที่นั่งอยู่ด้านข้างของเขา, สงสัยในใจว่าทำไมเด็กรับใช้ของจักรพรรดิได้คิดว่ามันคือความจำเป็นที่จะทำมุขตลกชนิดพิเศษแบบนั้นขึ้นมาต่อหน้าเหล่ายุวราชสำนัก. มันเป็นที่ชัดเจนว่าเฟนริงมักจะทำบางอย่างใดที่เขารู้สึกไม่เป็นที่จำเป็น, หรือใช้สองคำพูดในที่ซึ่งน่าจะใช้แค่หนึ่งคำ, หรือรั้งตัวเขาเองไว้กับความหมายเดียวในวลีเดียว.

พวกเขาได้นั่งในคอกทองคำเหนือสังเวียนรูปสามเหลี่ยม---เสียงเป่าเขาแผดดังขึ้น, ที่นั่งลดหลั่นกันลงมาอยู่เหนือนั้นและรายรอบพวกเขาร่วมประสมเข้าด้วยกับเสียงดังโกลาหลของผู้คนและโบกธงริ้วกัน---เมื่อคำตอบนั้นมายังท่านบารอน.

“ท่านบารอนที่รักของข้า,” ท่านเคานท์พูด, เอนเข้าไปใกล้ชิดหูของเขา, ท่านรู้ดี, ไม่ใช่หรือ, ว่าองค์จักรพรรดิไม่ได้ให้การแซงค์ชั่นอย่างเป็นทางการต่อการเลือกทายาทของท่าน?”

บารอนรู้สึกว่าตัวของเขาเองได้อยู่อย่างทันทีทันใดภายในกรวยส่วนตัวของความเงียบที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยการตื่นตระหนกของเขา. เขาจ้องไปที่เฟนริง, เกือบที่จะมองไม่เห็นท่านหญิงของเคานท์ผ่านเลยพ้นยามรักษาการณ์เข้ามาร่วมงานเลี้ยงในคอกทองคำ.

“นั่นจริงแล้วว่าทำไมข้าถึงได้มาที่นี่ในวันนี้,” ท่านเคานท์พูด. “องค์จักรพรรดิปรารถนาที่จะให้ข้าได้รายงานไม่ว่าท่านได้เลือกสรรผู้สืบทอดอันควรค่าหรือไม่. ไม่มีอะไรเหมือนกับสังเวียนสนามที่จะเผยออกมาให้เห็นควาจริงของบุคคลใดจากภายใต้หน้ากากได้, เอ๋?”

“องค์จักรพรรดิได้สัญญากับข้าในอิสระในการเลือกทายาท!บารอนบอกเสียงแหบห้าว.

“เราจะเห็นกัน,” เฟนริงพูด, และหันหนีไปเพื่อต้อนรับท่านหญิงของเขา. เธอนั่งลง, ยิ้มให้กับท่านบารอน, แล้วให้ความสนใจของเธอไปยังพื้นทรายภายใต้พวกเขาที่ซึ่งฟียด์-เราธากำลังปรากฏออกมาในอย่างว่องไวและรัดแน่น---ถุงมือสีดำและมีดยาวในมือขวาของเขา, ถุงมือสีเขาและมีดสั้นในมือซ้ายของเขา.

“ขาวสำหรับยาพิษ, ดำสำหรับความพิสุทธิ์,” ท่านหญิงเฟนริง พูด. “จารีตอันหาได้ยาก, ไม่ใช่หรือ, ที่รัก?”

“อืม-ม-ม-ม,” ท่านเคานท์พูด.

เสียงเชียร์ต้อนรับดังขึ้นจากเฉลียงคนดูของเหล่าญาติ, และฟียด์-เราธาหยุดร่างลงเพื่อน้อมรับมัน, เงยหน้าขึ้นมาและกวาดมองใบหน้าทั้งหลาย---เห็นพี่น้องและญาติทั้งหลายของเขา, เหล่ากึ่งพี่น้องทั้งหลาย, เหล่าสนมนางกำนัลและญาติแปลกหน้าเอาท์-ฟรีน(out-freyn). พวกเขา

* http://www.glossaria.net/en/dune/out-freyn

ช่างมีปากทรัมเป็ตสีชมพูกันอยู่มากมาย, พูดคุยเสียงดังกันไม่หยุดในท่ามกลางเสื้อผ้าหลากสีสันกระพือสะบัดและธงริ้วทั้งหลาย.

         มันมาสู่ฟียด์-เราธาแล้วนั่นว่าตำแหน่งอัดแน่นทั้งหลายของใบหน้านั้นจะมองเพียงแค่อย่างละโมภต่อเลือดของตัวเขาเช่นเดียวกับที่เป็นของทาส-นักสู้เกลดิเอเตอร์. ไม่มีความกังขาสงสัยใจเลยถึงผลลัพธ์ที่จะออกมาในการต่อสู้นี้, แน่นอน. นี่เป็นเพียงแค่รูปโครงของอันตรายโดยไร้แก่นสาระของมัน---กระนั้น.

         ฟียด์-เราธาชูมีดทั้งสองของเขาสู่ดวงอาทิตย์, ทำความเคารพสามมุมของสังเวียนสนามในกิริยาโบราณ. มีดสั้นในมือสวมถุงมือขาว(ขาว, สัญลักษณ์ของยาพิษ)เข้าไปแรกก่อนสู่ฝักของมัน. แล้วมีดยาวในมือสวมถุงมือสีดำ---คมมีดที่สะอาดไร้มลทินที่ตอนนี้ไม่บริสุทธิ์, อาวุธลับของเขาที่จะพลิกผันวันนี้เข้าไปสู่ชัยชนะส่วนตัวอันผ่องแผ้ว: ยาพิษบนคมมีดสีดำ.

         การปรับแต่งโล่หุ้มร่างของเขาใช้เวลาเพียงชั่วขณะ, และเขาหยุดเพื่อสัมผัสรู้ถึงการกระชับผิวหนังที่หน้าผากของเขาเพื่อทำให้แน่ใจต่อเขาว่าเขาได้รับการปกป้องอย่างเหมาะสม.

         ชั่วขณะนี้ได้ดำเนินตนเองของมันไปอย่างหน่วงช้า, และฟียด์-เราธาลากดึงมันออกมาด้วยมืออันแน่นอนของนักแสดงมือฉมัง, พยักหน้าให้กับผู้ดูแลและผู้หลอกล่อของเขา, ตรวจสอบอุปกรณ์ของพวกนั้นด้วยสายตาวัด---โซ่ตรวนอยู่ในที่ด้วยหนามแหลมคมและแวววาว, ง้าวและตะขอเบ็ดโบกไปมาด้วยชายธงสีฟ้าของพวกเขา.

         ฟียด์-เราธา ส่งสัญญาณนักดนตรี.

         เพลงสวนสนามช้าๆเริ่มต้นขึ้น, ก้องกังวานโอ่อ่าเอิกเกริกแบบโบราณ, และฟียด์-เราธานำขบวนของเขาข้ามสนามสังเวียนเพื่อทำการโค้งเคารพที่เบื้องล่างคอกประทับของลุงของตน. เขาคว้าจับกุญแจพิธีขณะที่มันได้ถูกโยนมา.

         ดนตรีหยุดลง.

         ในความเงียบที่แทรกเข้ามาทันทีนั้น, เขาถอยกลับหลังมาสองก้าว, ชูกุญแจขึ้นและตะโกน. “ข้าอุทิศความสัจนี้ต่อ.....” และเขาหยุดชงัก, รู้ดีว่าลุงของเขาจะคิดอย่างไร: เจ้าหนุ่มโง่นี่กำลังจะอุทิศต่อคุณหญิง เฟนริง ไม่ว่าอย่างไรก็ตามและก่อเรื่องอึกทึก!

         “.....แด่ท่านผู้เป็นลุงและผู้ซึ่งอุปถัมภ์ของข้า, ท่านบารอน วลาดิมีร์ ฮาร์คอนเนน!ฟียด์-เราธาตะโกน.

         และเขาก็พึงพอใจที่ได้เห็นลุงของเขาถอนหายใจ.

         ดนตรีเริ่มขึ้นใหม่ด้วยเพลงสวนสนามเร็ว, และฟียด์-เราธานำคนของเขาก้าวซอยเท้ากลับข้ามสนามสังเวียนไปยังประตูเฝ้าระวังที่อนุญาตให้แต่เฉพาะผู้ที่ติดสายคาดระบุอัตลักษณ์อย่างถูกต้องเท่านั้น. ฟียด์-เราธาภูมิใจในตนเองที่เขาไม่เคยใช้ประตู-เฝ้าระวังนี้และมักจะเป็นของผู้ติดตามทั้งหลาย. แต่มันก็ดีที่จะรู้ว่าพวกเขาใช้ประโยชน์ได้ในวันเช่นนี้---แผนการพิเศษทั้งหลายบางครั้งก็เกี่ยวพันกับอันตรายอย่างพิเศษ.

         อีกครั้ง, ความเงียบก็ปักหลักเหนือสนามสังเวียน.

         ฟียด์-เราธาหันกลับ, เผชิญหน้ากับประตูใหญ่สีแดงตรงกันข้ามกับเขาที่ซึ่งนักสู้สังเวียนแกลดิเอเตอร์จะโผล่พุ่งผ่านออกมา.

         แกลดิเอเตอร์พิเศษนั้น.

         แผนการที่ธูเฟอร์ ฮาวัตได้คิดขึ้นใหม่เป็นที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาอย่างน่ายกย่อง, ฟียด์-เราธาคิด. ทาสนั้นจะไม่ถูกวางยา---นั่นจะเป็นที่อันตรายยิ่งกว่า. แทนที่เช่นนั้น, คำรหัสจะถูกกระหน่ำเข้าไปในภวังค์จิตของคนผู้นั้นในการที่จะตรึงหยุดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อในชั่วขณะวิกฤต. ฟียด์-เราธาพลิกทวนคำสำคัญนั้นในจิตใจของเขา, มันจะปรากฏออกมาว่าทาสที่ไม่ได้ถูกวางยานั้นได้ถลันร่างเข้าสู่สนามสังเวียนเพื่อที่ฆ่า ทายาท-บารอน. และหลักฐานทั้งหมดที่ได้จัดแต่งอย่างระมัดระวังไว้ก็จะชี้ไปยังเจ้านายของทาส.

         เสียงฮัมต่ำๆดังขึ้นจากเซอร์โว-มอเตอร์ของประตูสีแดงนั้นขณะที่พวกมันพร้อมที่จะทำงานในการเปิดออก.

         ฟียด์-เราธาเพ่งสมาธิความตื่นระวังทั้งหมดของเขาไปยังประตูนั้น. ขณะแรกนี้เป็นอย่างวิกฤตอันหนึ่ง. การปรากฏตัวของแกลดิเอเตอร์ขณะที่เขาพุ่งพรวดออกมาบอกต่อดวงตาที่ได้รับการได้ฝึกฝนมาว่ามันจำเป็นมากที่ต้องรู้. แกลดิเอเตอร์ทั้งหมดถูกคาดหวังว่าจะถูกฉีดยามอมประสาทอีแล็คคา(elacca drug*)เพื่อดึงเอาความพร้อม-ฆ่าในความคิดต่อสู้ออกมา---แต่เจ้าต้อง

         * https://en.wikipedia.org/wiki/Glossary_of_Dune_(franchise)_terminology

เฝ้าดูว่าพวกนั้นถือมีดหนักอย่างไร, วิธีไหนที่พวกหมุนหันในการป้องกันตัว, ว่าพวกเขาที่จริงแล้วระแวดระวังต่อฝูงผู้ชมบนอัฒจันท์หรือไม่. วิธีที่ทาสผู้หนึ่งชันศีรษะของตนขึ้นสามารถที่จะให้เบาะแสสำคัญมากที่สุดที่จะตอบโต้และเสแสร้ง.

         ประตูสีแดงเหวี่ยงเปิดออก.

         ที่พุ่งออกมาเป็นชายร่างสูง, เต็มด้วยมัดกล้ามกับศีรษะที่โกนเกลี้ยงและเบ้าตาลึกเป็นหลุมดำ. ผิวของเขาเป็นสีแคร์รอทดังที่มันควรจะเป็นจากยามอมเมาอีเล็คค่า, แต่ฟียด์-เราธารู้ว่าสีนั้นเป็นการเขียนทา. ทาสนั้นอยู่ในชุดแนบรัดลีโอทาร์ดสีเขียวและเข็มขัดสีแดงของเครื่องกึ่งโล่ห์พลัง---ลูกศรของเข็มขัดชี้ทางซ้ายเพื่อบ่งบอกว่าด้านซ้ายของทาสนั้นมีพลังโล่ป้องกัน. เขากุมมีดในแบบดาบตามสมัยนิยม, ชูออกมาเบื้องหน้าเล็กน้อยในท่วงท่านักสู้สังเวียนที่ถูกฝึกฝนมา. อย่างช้าๆ, เขาก้าวเข้ามาสู่สนามสังเวียน, หันด้านโล่พลังของเขามายังฟียด์-เราธาและกลุ่มนั้นที่ประตู-เฝ้าระวังนั้น.

         “ข้าหาชอบไม่ในท่าทางของเจ้าคนนี้,” คนถือตะของ้าวรายหนึ่งของฟียด์-เราธาพูดขึ้น.

         “เขามีสีแบบนั่น,” ฟียด์-เราธาบอก.

         “มันยังยืนในท่าของนักสู้อีกด้วย,” ผู้ช่วยเหลืออีกรายพูด.

         ฟียด์-เราธาขยับเข้าไปข้างหน้าสองก้าวสู่บนพื้นทราย, ศึกษาทาสผู้นี้.

         “มันทำอะไรกับแขนนั่นของมันน่ะ?” คนหลอกล่อรายหนึ่งถาม.

         ความสนใจของฟียด์-เราธาไปยังรอยขีดข่วนเลือดซึมอยู่ที่ท่อนล่างแขนซ้าย, ไล่ตามท่อนแขนนั้นลงไปที่มือดังที่มันชี้ไปด้วยการวาดด้วยเลือดยังตะโพกซ้ายของชุดลีโอตาร์ดเขียว---รูปร่างเปียกตรงนั้น: เค้าโครงแบบทางการของเหยี่ยว.

         เหยี่ยว!

         ฟียด์-เราธาเลยขึ้นมองเข้าไปในเบ้าตาลึกดำนั้น, เห็นพวกมันจ้องวาวมาที่เขาด้วยความตื่นระวังที่ไม่ธรรมดา.

         มันเป็นหนึ่งในนักสู้ของดยุค ลีโตที่เราจับมาจากอาร์ราคีส! ฟียด์-เราธาคิด. นี่ไม่ใช่แกลดิเอเตอร์ง่ายธรรมดา! ความเย็นยะเยียบวิ่งผ่านตัวเขา, และเขาสงสัยในใจว่าถ้าฮาวัตมีแผนการอื่นอีกหรือสำหรับสนามสังเวียนนี้---หลอกลวงในลอกลวง. และมีแค่นายทาสที่เท่านั้นได้เตรียมรับการกล่าวโทษ.

         หัวหน้าลูกมือของฟียด์-เราธาพูดที่ข้างหูของเขา: “ข้าหาไม่ชอบท่าทางของเจ้าผู้นี้, ใต้เท้า. ให้ข้าเหวี่ยงตะของ้าวใส่แขนข้างมีดของมันสักครั้งสองครั้งเพื่อลองมันก่อนเถิด.”

         “ข้าจะจัดตะของ้าวของข้าเอง,” ฟียด์-เราธาบอก. เขาดึงตะของ้าวด้ามยาวสองอันออกมาจากคนถือ, ขยับชั่งน้ำหนักของมัน, ทดสอบความสมดุล. ตะของ้าวเหล่านี้, ด้วยเช่นกัน, ถูกคาดหวังว่าจะอาบด้วยยา---แต่ไม่ใช่คราวนี้, และหัวหน้าลูกมือนั้นอาจตายเพราะนั่นได้. แต่มันเป็นส่วนทั้งหมดของแผนการ.

         “เจ้าจะปรากฏผลจากการนี้ออกมาเยี่ยงวีรบุรุษ,” ฮาวัตได้บอกไว้. “ได้ฆ่าแกลดิเอเตอร์ของเจ้าเยี่ยงชายต่อชายและแทนที่จะเป็นการทรยศเสแสร้ง. เจ้านายทาสนั่นจะถูกประหารและคนของเจ้าจะได้ก้าวเข้ามาแทนที่.”

         ฟียด์-เราธาขยับไปข้างหน้าอีกห้าก้าวเข้าไปในสังเวียน, เล่นออกไปกับชั่วขณะนั้น,ศึกษาทาสผู้นั้น. พร้อมแล้ว, เขารู้, ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายอยู่บนอัฒจันทร์เหนือเขาขึ้นไปกำลังระแวดระวังว่ามีอะไรบางอย่างผิด. แกลดิเอเตอร์นั้นมีผิวสีอันถูกต้องสำหรับผู้ที่ถูกวางยา, แต่เขายืนยัดอยู่กับพื้นดินและไม่สั่นเทา. อิซิโอนาโด(มือสมัครเล่น)จะกำลังกระซิบกระซาบในท่ามกลางหมู่ของพวกนั้นในตอนนี้: “ดูท่าทางที่เขายืนอย่างไรนั่นสิ. เขาน่าจะปั่นป่วน---พุ่งเข้าใส่หรือไม่ก็ถอยหลังสิ. ดูวิธีที่เขาสงวนกำลังของเขาไว้, เขารอคอยอยู่ได้อย่างไร. เขาไม่น่าจะรอ.”

         ฟียด์-เราธา รู้สึกความตื่นเต้นของเขาเองติดไฟขึ้น. ให้เป็นความทรยศในจิตใจของฮาวัตเถิด, เขาคิด. ข้าสามารถรับมือกับเจ้าทาสนี้ได้. และเป็นมีดยาวของข้าที่อาบยาพิษอยู่ด้วยในครานี้, ไม่ใช้มีดสั้น. กระทั่งฮาวัตเองก็ไม่รู้การนี้.

         “ไฮ้, ฮาร์คอนเนน!” เจ้าทาสนั้นตะโกน. “เจ้าได้เตรียมตัวที่จะตายหรือ?”

         ความนิ่งตายสนิทเกาะกุมสนามสังเวียน. พวกทาสต้องไม่ประกาศการท้าทาย!

         ตอนนี้, ฟียด์-เราธาได้เห็นกระจ่างในดวงตาของแกลดิเอเตอร์, มองเห็นความดุดันเย็นชาของการสิ้นหวังในพวกมัน. เขาสังเกตจำวิธีที่ชายนั้นยืน, ผ่อนคลายและพร้อม, กล้ามเนื้อเตรียมพร้อมเพื่อชัยชนะ. ทาสสายสนกลในได้นำสารจากฮาวัตไปสู่เจ้าผู้นี้: เจ้าจะได้รับโอกาสในการที่จะฆ่า ทายาท-บารอน.” นั่นมากของเล่ห์ลวงเป็นเช่นที่พวกเขาได้วางแผนการมันเอาไว้, กระนั้น.

         ยิ้มเขม็งแน่นพาดผ่านปากของฟียด์-เราธา. เขายกง้าวตะขอขึ้น, มองเห็นความสำเร็จสำหรับแผนการทั้งหลายของเขาในวิธีที่เจ้าแกลดิเอเตอร์ยืน.

         “ไฮ้! ไฮ้!” เจ้าทาสท้าทาย, และคืบมาข้างหน้าสองก้าว.

         ไม่มีใครในเฉลียงคนดูทั้งหลายสามารคาดคิดถผิดพลาดมันได้ในตอนนี้, ฟียด์-เราธาคิด.

         เจ้าทาสนี้ควรที่จะพิการไปส่วนหนึ่งด้วยยา-ลดความตระหนก. ทุกการเคลื่อนไหวควรจะได้ทรยศต่อความรู้ภายในของมันที่ไม่มีความหวังอะไรเหลือให้กับมัน---มันไม่สามารถชนะได้. มันจะได้ถูกเติมเต็มด้วยนิทานทั้งหลายของยาพิษที่ ทายาท-บารอนได้เลือกให้กับมีดในถุงมือสีขาวของเขา.  ทายาท-บารอนไม่เคยให้ความตายอย่างรวดเร็ว, เขาพึงพอใจในการสาธิตยาพิษอันหาได้ยากนี้, สามารถยืนในสนามสังเวียนชี้ให้เห็นผลข้างเคียงอันน่าสนใจบนร่างของเหยื่อที่บิดดิ้นทุรนทุราย. มีความหวาดกลัวในเจ้าทาสนั้น, ใช่---แต่ไม่ได้ตื่นตระหนก.

         ฟียด์-เราธาชูตะของ้าวขึ้นสูง, พยักหน้าในเกือบเป็นการทักทาย.

         เจ้าแกลดิเอเตอร์กระโจนเข้ามา.

         การตอบโต้เยี่ยงลวงหลอกและป้องกันตนนั้นดีเท่ากับที่ฟียด์-เราธาได้เคยเห็นมา. การฟาดทางด้านข้างหนนี้พลาดโดยเศษเพียงนิดเดียวจากการได้ตัดขาดเส้นเอ็นทั้งหลายที่ขาด้านซ้ายของ ทายาท-บารอน.

         ฟียด์-เราธาเต้นระบำจากไป, ทิ้งตะของ้าวไว้ที่ท่อนบนแขนขวาของเจ้าทาส, ตะขอนั้นฝังจมสุดลงไปในเนื้อที่ชายผู้นั้นไม่สามารถดึงมันออกมาได้โดยไม่ตัดฉีกขาดเส้นเอ็น.

         เสียงหอบหายใจดังฮือขึ้นมาจากกลุ่มระเบียงผู้ดูทั้งหลาย.

         เสียงนั้นเติมเต็มฟียด์-เราธาด้วยปีติยินดี.

         เขารู้ในตอนนี้ว่าอะไรที่ท่านลุงของเขากำลังประสบรับรู้, กำลังนั่งขึ้นอยู่กับเฟนริงทั้งสอง, ผู้สังเกตการณ์ทั้งหลายของราชสำนัก จักรพรรดิ, ข้างตัวเขา. จะไม่มีการรบกวนใดกับการต่อสู้นี้. บรรดารูปการณ์จะได้รับการสังเกตตรวจสอบต่อหน้าพยานทั้งหลาย. และท่านบารอนจะตีความเหตุการณ์แข่งขันทั้งหลายในสนามสังเวียนเพียงแค่หนึ่งเดียว---การคุกคามต่อตนเอง.

         ทาสนั้นถอยหลัง, คาบมีดไว้ในฟันและมัดรัดด้ามตะของ้าวกับแขนของเขาด้วยริ้วธง. “ข้าไม่รู้สึกกับเข็มของเจ้าโว้ย!” เขาตะโกน. อีกครั้งเขาคืบมาข้างหน้า, มีดพร้อม, หันด้านซ้ายมาหา, ร่างของเขาเอนกลับไปข้างหลังเพื่อให้มันในการป้องกันของพื้นผิวอย่างใหญ่หลวงที่สุดจากครึ่ง-โล่พลัง.

         การกระทำนั้น, เช่นกัน, ไม่ได้หลบหนีไปจากระเบียงผู้ดู. เสียงกรีดร้องแหลมมากจากคอกนั่งทั้งหลายของครอบครัว. ลูกมือของฟียด์-เราธาได้ร้องตะโกนถามมาว่าเขาต้องการให้ช่วยหรือไม่.

         เขาโบกมือให้พวกนั้นกลับไปที่ประตู-เฝ้าระวัง.

         ข้าจะให้พวกนั้นด้วยการแสดงอย่างที่พวกเขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน, ฟียด์-เราธาคิด. ไม่มีการฆ่าอย่างหลอกลวงในที่ซึ่งพวกเขาสามารถนั่งเอนหลังและชื่นชมในลีลานั้น. นี้จะเป็นบางอย่างที่จะจัดการพวกเขาที่ไส้พุงแล้วบิดมัน. เมื่อข้าเป็นบารอน, พวกเขาจะจดจำวันนี้และจะไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดของพวกเขาสามารถหลบหนีความกลัวที่มีต่อข้าเพราะวันนี้.

         ฟียด์-เราธาให้พื้นที่อย่างช้าๆก่อนที่การคืบย่างของเจ้าแกลดิเอเตอร์เข้ามาข้างหน้า. ทรายของสนามสังเวียนครูดเสียดสีใต้ฝ่าเท้า. เขาได้ยินเสียงหอบหายใจของเจ้าทาส, ได้กลิ่นเหงื่อของเขาเองและกลิ่นจางๆของเลือดในอากาศ.

         อย่างหนักแน่น, ทายาท-บารอนเคลื่อนถอยหลัง, หันไปทางด้านขวา, ตะของ้าวที่สองของเขาพร้อม. เจ้าทาสเต้นระบำไปทางด้านข้าง. ฟียด์-เราธาปรากฏร่างเซสะดุด, ได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากระเบียงผู้ดู.

         อีกครั้ง, เจ้าทาสกระโจนเข้ามา.

         พระเจ้า, ช่าเป็นนักสู้อะไรเช่นนี้! ฟียด์-เราธาคิดขณะที่เขากระโดดไปด้านข้าง. เพียงแค่ความรวดเร็วของวัยหนุ่มได้ช่วยชีวิตเขา, แต่เขาก็ทิ้งตะของ้าวที่สองฝังลงไปในกล้ามเนื้อต้นแขนขวาของเจ้าทาสนั้น.

         เสียงโหยหวนส่งกำลังใจสาดพร่างลงมาจากระเบียงผู้ดู.

         พวกเขาชื่นชมข้าในตอนนี้, ฟียด์-เราธาคิด. เขาได้ยินความบ้าคลั่งในน้ำเสียงเหล่านั้นเหมือนเช่นที่ฮาวัตได้พูดไว้ว่าเขาจะได้รับ. พวกเขาไม่เคยได้ส่งเสียงชื่นชมให้กำลังใจนักสู้ของตระกูลในวิธีนี้มาก่อน. และเขาคิดด้วยริมขอบของความน่ากลัวบนสิ่งที่ฮาวัตได้บอกกับเขา. “มันง่ายกว่าที่จะตื่นตระหนกโดยศัตรูที่เจ้าชื่นชม.”

อย่างคล่องแคล่ว, ฟียด์-เราธาถอยกลับมายังศูนย์กลางของสนามสังเวียนที่ซึ่งทั้งหมดสามารถมองเห็นได้ชัด. เขาดึงมีดยาวของตนออกมา, คู้ร่างและรอคอยการเข้ามาข้างหน้าของเจ้าทาส.

ชายนั้นใช้เวลาเพียงแค่มัดรัดตะของ้าวอันที่สองแน่นเข้ากับแขนของเขา, แล้วเร่งำล่ตามเข้ามา.

ให้เหล่าครอบครัวตระกูลได้เห็นข้าทำสิ่งนี้, ฟียด์-เราธาคิด. ข้าเป็นศัตรูของพวกเขา: ปล่อยให้พวกเขาคิดถึงข้าอย่างที่พวกเขาเห็นข้าในตอนนี้.

เขาดึงมีดสั้นของเขาออกมา.

“ข้าไม่ได้กลัวเจ้า, เจ้าหมูฮาร์คอนเนน,” เจ้าแกลดิเอเตอร์พูด. “การทรมานของเจ้าทำความเจ็บปวดให้คนที่ตายแล้วไม่ได้หรอกเว้ย. ข้าสามารถตายด้วยคมมีดของข้าเองก่อนที่ลูกมือนั่นจะวางนิ้วลงบนเนื้อของข้า. และข้าจะให้เจ้าได้ตายอยู่เคียงข้างข้า.”

ฟียด์-เราธายิ้ม, เสนอให้ตอนนี้ด้วยมีดยาว, อันที่อาบพิษ. “ลองอันนี้สิ,” เขาพูด, แล้วแสร้งโจมตีลวงด้วยมีดสั้นในอีกมือหนึ่ง.

เจ้าทาสนั้นเคลื่อนย้ายมีดในมือ, หันเข้าข้างในทั้งปัดป้องและหลอกล่อเพื่อที่จะเกี่ยวคว้ามีดสั้นของทายาท-บารอน---อันที่อยู่ในมือสวมถุงสีขาวที่ตามจารีตธรรมเนียมบอกไว้ว่าอาบยาพิษ.

“เจ้าจะตาย, ฮาร์คอนเนน,” แกลดิเอเตอร์หอบ.

พวกเขาหันข้างต่อสู้กันข้ามทรายนั้นไป. ที่ซึ่งโล่ห์พลังของฟียด์-เราธาเจอกับโล่ห์กึ่ง-พลังของเจ้าทาส, แสงเรืองสีฟ้าจุดให้เห็นการปะทะกัน. อากาศรายรอบพวกเขาเต็มไปด้วยโอโซนจากสนามพลัง.

“ตายด้วยยาพิษของเจ้าเอง!” เจ้าทาสพูดแหบพร่า.

เขาเริ่มต้นบังคับให้มือสวมถุงสีขาวนั้นเข้าไปข้างใน, บิดหันคมมีดที่เขาคิดว่าอาบไว้ด้วยยาพิษ.

ให้พวกเขาเห็นสิ่งนี้! ฟียด์-เราธาคิด. เขานำมีดยาวลงมา, รู้สึกถึงมันดังแกล๊งเข้ากับด้ามตะของ้าวที่มัดรัดอยู่กับแขนของเจ้าทาส.

ฟียด์-เราธารู้สึกได้ถึงชั่วขณะแห่งความท้อแท้. เขาไม่ได้คิดไปถึงด้ามของตะของ้าวจะเป็นประโยชน์สำหรับเจ้าทาส. แต่มันกลายไปเป็นโล่อีกอันหนึ่งของชายผู้นี้. และสิ่งแข็งแกร่งของเจ้าแกลดิเอเตอร์! มีดสั้นนั้นยังถูกดันบังคับเข้าข้างในอย่างไม่หยุดยั้ง, และฟียด์-เราธาเพ่งสมาธิมายังความจริงที่ว่าคนเราก็ตายได้ด้วยมีดที่ไม่ได้อาบยาพิษ.

“สถุล!ฟียด์-เราธาหอบสำลัก.

ที่คำรหัสนั้น, กล้ามเนื้อของเจ้าแกลดิเอเตอร์ได้เชื่อฟังด้วยการคลายผ่อนลงชั่วแล่น. มันเพียงพอสำหรับฟียด์-เราธา. เขาเปิดที่ว่างระหว่างพวกเขาให้เพียงพอสำหรับมีดยาวนั้น. ปลายชุบยาพิษของมันตวัดออกไป, ดึงเส้นสีแดงลงมาตามหน้าอกของเจ้าทาส. มีความเจ็บปวดฉับพลันในยาพิษนั้น. ชายนั้นผละตนเองหลุดออกไป, เซถอยไปด้านหลัง.

ทีนี้, ให้ครอบครัวตระกูลที่รักของข้าได้เฝ้าดู, ฟียด์-เราธาคิด. ให้พวกนั้นคิดเอากับเจ้าทาสนี้ผู้ที่ได้พยายามจะหันมีดที่มันคิดว่าอาบยาพิษและใช้มันเอากับข้า. ให้พวกนั้นกังขาใจว่าเจ้าแกลดิเอเตอร์สามารถเข้ามาในสนามสังเวียนได้อย่างไรในการพร้อมที่จะพยายามทำเช่นนี้. และให้พวกนั้นได้ระแวดระวังอยู่เสมอว่าพวกเขาไม่สมารถรู้ได้อย่างแน่นอนใจว่ามือข้างไหนของข้าที่ถือยาพิษไว้.

ฟียด์-เราธายืนในความเงียบ, เฝ้ามองการเคลื่อนไหวอย่างเชื่องชาของเจ้าทาส. ชายนั้นเคลื่อนที่อยู่ในความระแวดระวังลังเล. มีสิ่งคำสะกดเลือนรางบนใบหน้าของเขาในตอนนี้สำหรับทุกผู้เฝ้าดูที่จะจดจำได้. ความตายถูกเขียนไว้ที่นั้น. เจ้าทาสรู้ว่ามันได้ถูกทำต่อเขาและเขารู้ว่ามันได้จบสิ้นลงอย่างไร. มีดผิดอันที่มียาพิษ.

“เจ้า!” ชายผูนั้นคราง.

ฟียด์-เราธาดึงร่างกลับเพื่อเปิดที่ว่างให้แก่ความตาย. ยาสะกดชาในพิษนั้นยังไม่เกิดฤทธิ์เต็มที่, แต่ความเชื่องช้าของชายนั้นบ่งบอกถึงความคืบหน้าของมัน.

เข้าทาสเดินโงนเงนมาข้างหน้าราวกับถูกดึงลากด้วยเชือก---ลากทีละก้าว. แต่ละก้าวนั้นคือเพียงก้าวเดียวเท่านั้นในจักรวาลของเขา. เขายังคงกุมมีดของเขาแน่น, แต่มันชี้โบกไปมา.

“วันหนึ่ง...หนึ่ง...ในพวกเรา...จะ...เด็ดหัว...เจ้า,” เขาหอบหายใจ.

ปากเบ้เบี้ยวปนเศร้าเล็กน้อยของเขา. เขานั่งลง, ปวกเปียก, แล้วแข็งทื่อและม้วนกลิ้งลงหันไปจากฟียด์-เราธา, ใบหน้าคว่ำลง.

ฟียด์-เราธาไปข้างหน้าในสนามสังเวียนอันเงียบสนิท, เอานิ้วเท้าช้อนใต้ร่างแกลดิเอเตอร์และเขี่ยพลิกร่างทาสนั้นหงายขึ้นเพื่อให้ผู้ชมบนระเบียงอัฒจันทร์ทั้งหลายได้เห็นใบหน้านั้นชัดเจนเมื่อยาพิษเริ่มทำให้มันบิดเบี้ยว, ดึงรั้งทำงานกับกล้ามเนื้อ. แต่แกลดิเอเตอร์หันกลับมาด้วยมีดของตนเอง, ยื่นออกมาจากหน้าอกของเขา.

แทนที่จะเป็นความหงุดหงิด, สำหรับฟียด์-เราธาในการวัดถึงความยกย่องสำหรับการพยายามของทาสผู้นี้ที่ได้จัดการเอาชนะอัมพาตที่จะทำสิ่งนี้ให้กับตัวเขา. ด้วยความยกย่องก็มากับการตระหนักรู้ถึงว่านี่คือของจริงของความกลัว.

นั่นซึ่งทำให้คนเป็นผู้เหนือมนุษย์เป็นที่น่ากลัวอย่างยิ่ง.

ขณะที่เข่าเพ่งไปกับความคิดของเขานั้น, ฟียด์-เราธากลายเป็นสำนึกรู้ถึงการปะทุออกมาของเสียงดังจากอัฒจันทร์และระเบียงที่นั่งรายรอบตัวเขา. พวกเขากำลังโห่ร้องชื่นชมปล่อยละตนเองให้เสียงกันสนั่น.

ฟียด์-เราธาหัน, มองขึ้นไปหาพวกนั้น.

ทั้งหมดกำลังโห่ร้องชื่นชมนอกจากบารอน, ผู้นั่งด้วยมืออยู่ที่คางในอาการใคร่ครวญลึกคิด---และท่านเคานท์กับท่านหญิงของเขา, ทั้งคู่ผู้ซึ่งกำลังจ้องมองลงมาที่เขา, ใบหน้าของพวกเขาสวมหน้ากากของรอยยิ้ม.

เคานท์ เฟนริงหันไปหาท่านหญิงของเขา, พูด: “อาห์-ห-ห-อืม-ม-ม. ปฏิภาณเต็มเปี่ยมนะ อืม-ม-ม-ม-ม ชายหนุ่ม. เอ๋, มม-ม-ม-อาห์, ที่รัก?”

“ระบบประสาท อาห์-ห-ห ที่ตอบสนองว่องไวไหลลื่นมาก,” เธอพูด.

ท่านบารอนมองดูเธอ, ที่เคานท์, หันความสนใของเขามาที่สนามสังเวียน, กำลังคิด: ถ้าบางคนสามารถเข้ามาใกล้เช่นนั้นกับหนึ่งในคนของข้า! โทสะเริ่มเข้ามาแทนที่ความกลัว. ข้าจะให้เจ้านายทาสตายเหนือไฟอย่างช้าๆในคืนนี้.....และถ้าเคานท์นี้กับท่านหญิงของเขาได้ยื่นมือเข้ามาในมัน.....การสนทนาในคอกของบารอนได้อยู่ระยะไกลไปยังฟียด์-เราธา, เสียงนั้นจมลงหายไปกับความดังกระหึ่มของการกระทืบเท้าส่งเสียงชื่นชอบที่มาให้ตอนนี้อยู่รอบทั่วไปหมด.

“หัว! หัว! หัว! หัว!

ท่านบารอนหน้าบึ้งตึง, มองเห็นวิธีที่ฟียด์-เราธาหันมาหาตน. อย่างระทวยระทด, ควบคุมโ?สะของเขาด้วยความยากลำบาก, ท่านบารอนโบกมือของเขาไปยังชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ในสนามสังเวียนข้างร่างที่นอนเหยียดกางของเจ้าทาส. ให้เจ้าเด็กชายนั่นได้หัวไป. เขาสมควรได้รับมันโดยการเปิดเผยถึงเจ้านายทาสนั่น.

ฟียด์-เราธาเห็นสัญญาณของการยอมรับนั้น, คิด: พวกเขาคิดว่าพวกเขาให้เกียรติต่อข้า. ให้พวกเขาเห็นว่าข้าคิดอะไร.

เขาเห็นลูกมือของเขากำลังเข้ามาหาพร้อมด้วยมีด-เลื่อยที่จะทำการมอบเกียรตินั้น, เขาโบกมือให้พวกนั้นถอยกลับไป, ทำท่าบอกซ้ำขณะที่พวกนั้นลังเล. พวกเขาคิดว่าพวกเขาจะมอบเกียรติให้ข้าด้วยแค่ศีรษะนี่รึ! เขาคิด. เขาโน้มร่างลงและไขว้มือของแกลดิเอเตอร์ที่โอบรอบด้ามมีดที่ยื่นออกมา, แล้วย้ายมีดนั้นออกและวางมันลงไปในมือไร้เรี่ยวแรงทั้งสองนั้น.

มันถูกทำลงไปอย่างรวดเร็ว, และเขาก็ยืดกายขึ้น, ให้สัญญานมือไปที่ลูกมือทั้งหลายของเขา. “ฝังเจ้าทาสนี้อย่าให้เสื่อมเสียและให้มีดอยู่ในมือของเขา.” เขาพูด. “ชายผู้นี้สมควรได้รับมัน.”

ในคอกทองคำ, เคานท์ เฟนริงเอนกายเข้าไปใกล้บารอน, พูด: “อิริยาบถที่โอ่อ่ามาก, นั่น—เป็นทักษะศิลป์แท้จริง. หลานของท่านมีรูปแบบลีลาที่ดีเช่นเดียวกับความกล้า.”

“เค้าดูหมิ่นฝูงชนด้วยการปฏิเสธศีรษะนั่น,” ท่านบารอนพึมพำ.

“ไม่เป็นเข่นนั้นหรอก,” ท่านหญิง เฟนริงพูด. เธอหันมา, มองดูขึ้นยังอัฒจันทร์รายรอบพวกเขา.

และบารอนสังเกตถึงเส้นคอระหงของเธอ---กล้ามเนื้อที่ไหลลื่นน่ารักจริงแท้---เหมือนของเด็กชายละอ่อน.

“พวกเชาชอบในสิ่งที่หลานของท่านได้ทำ,” เธอพูด.

ขณะที่การนำเข้าท่วงท่าชี้บอกของฟียด์-เราธาแทงทิ่มเข้าไปยังที่นั่งอันระยะไกลส่วนใหญ่, ขณะที่ผู้คนเห็นเหล่าลูกมือแบกร่างแกลดิเอเตอร์ที่ตายนั้นออกไปในสภาพท่าทางเช่นนั้น, ท่านบารอนเฝ้ามองพวกนั้นและตระหนักได้ว่าเธอได้แปลความปฏิกิริยาเหล่านั้นอย่างถูกต้องแล้ว. ผู้คนเหล่านั้นกำลังโห่ร้องคลุ้มคลั่ง, ตบมือกันในแต่ละคน, กรีดร้องและกระทืบเท้า.

ท่านบารอนพูดอย่างเหนื่อยอ่อน. “ข้าจะสั่งให้เป็นวันหยุดเฉลิมฉลอง. ท่านไม่สามารถส่งผู้คนกลับไปบ้านในอาการแบบนี้ได้, พลังงานของพวกเขายังใช้กันไม่หมดสิ้น. พวกเขาต้องเห็นว่าข้านั้นก็ได้ร่วมแบ่งปันความยินดีปรีดาของพวกเขาด้วย.” เขาให้สัญญานมือไปที่ยามรักษาการณ์ของตน, และคนรับใช้หนึ่งเหนือพวกเขาก็ได้โบกสะบัดธงริ้วฮาร์คอนเนนสามเหลี่ยมสีส้มลงเหนือคอกนั้น---หนึ่ง, สอง, สามครั้ง---สัญญานสำหรับการเฉลิมฉลอง.

ฟียด์-เราธาเดินข้ามสนามสังเวียนมายุดยืนอยู่ใต้ล่างของคอกทองคำ, อาวุธของเขาสอดเข้าในฝัก, แขนห้อยอยู่ข้างลำตัวของเขา. เหนือเสียงบ้าคลั่งไม่หยุดของฝูงชน, เขาตะโกน: “งานฉ,องหรือ, ท่านลุง?”

เสียงดังทั้งหลายเริ่มซาลงขณะที่ผู้คนมองเห็นการสนทนาและรอคอยฟัง.

“ในเกียรติของเจ้า, ฟียด์!บารอนตะโกนลงไป. และอีกครั้ง, เขาให้โบกธงเป็นสัญญาน.

ข้ามไปทั่วสนามสังเวียน, แผงกั้นทั้งหลายได้ถูกลดลงและบรรดาชายหนุ่มทั้งหลายก็กระโจนลงมาสู่ในสนามสังเวียน, วิ่งแข่งกันเข้ามาหาฟียด์-เราธา.

“ท่านสั่งให้กำแพงโ,ห์กั้นนั้นลดลงรึ, ท่านบารอน?” เคานท์ เฟนริงถาม.

“ไม่มีใครจะทำร้ายเจ้าหนุ่มนั่นหรอก,” ท่านบารอนพูด. “เขาคือวีรบุรุษ.”

กลุ่มมวลชนแรกพุ่งเข้าไปถึงฟียด์-เราธา, ยกเขาขึ้นบ่าของพวกเขา, เริ่มต้นขบวนแห่ไปรอบสนามสังเวียน.

“เขาสามารถเดินได้โดยไม่มีอาวุธและปราศจากโล่ห์พลังผ่านย่านยากจนที่สุดของฮาร์โกในคืนนี้,” ท่านบารอนพูด. “พวกนั้นอาจจะให้เขากระทั่งมื้อสุดท้ายของอาหารและเคื่องดื่มของพวกตนแค่ได้เขาเป็นแขกเยือน.”

ท่านบารอนดันตัวเองขึ้นจากเก้าอี้ของตน, ตั้งหลักน้ำหนักของตัวเขาเข้ากับเครื่องพยุงแขวนลอยทั้งหลาย. “ท่านจะให้อภัยต่อข้า, ได้โปรด. พวกนี้คือเหตุสำคัญที่ต้องการความสนใจของข้าอย่างกระทันหัน. ยามรักษาการณ์นั้นจะคอยดูแลท่านไปยังที่พัก.”

ท่านเคานท์ลุกขึ้น, โค้งคำนับ. “อย่างแน่นอน, ท่านบารอน. เรากำลังตั้งตารองานฉลองอยู่. ข้าได้ อาห์-ห-ห-อืม-ม-ม ไม่เคยเห็นงานฉลองของฮาร์คอนเนน.”

“ใช่แล้ว,” ท่านบารอน. “งานฉลอง.” เขาหันหันไป, ถูกใส่ซองล้อมโดยพวกยามรักษาการณ์ขณะที่เขาก้าวเข้าไปในช่องางออกส่วนตัวของคอกระเบียงนั้น.

กัปตันยามรักษาการณ์ผู้หนึ่งโค้งคำนับต่อท่านเคานท์ เฟนริง. “คำสั่งของท่านล่ะขอรับ, ใต้เท้า?”

“เราจะ อ้าห์-ห-ห รอคอยให้ อืม-ม-ม กลุ่มเบียดเสียดเลวร้ายท้ายสุดได้ผ่านไปก่อน,” ท่านเคานท์บอก.

“ขอรับ, ใต้เท้า.” ชายนั้นโค้งคำนับตนเองแล้วถอยกลับไปสามก้าว.

เคานท์ เฟนริงหันใบหน้ามาทางท่านหญิงของเขา, พูดอีกครั้งในการรัวลิ้น-รหัสส่วนตัว. “เจ้าได้เห็นมัน, แล้วสินะ?”

ในการรัวลิ้น

เช่นเดียวกัน, เธอพูด: “เจ้าหนุ่มนั่นรู้ว่าแกลดิเอเตอร์จะไม่ได้ถูกวางยามอม. มีชั่วขณะหนึ่งที่เกิดความหวาดกลัว, ใช่, แต่ไม่ได้แปลกใจ.”

“มันถูกวางแผนการเอาไว้แล้ว,” เขาพูด. “การแสดงทั้งปวงนี้.”

“ไร้ข้อสงสัยเลย.”

“มีกลิ่นอายของฮาวัต.”

“จริงแท้,” เธอพูด.

“ข้าได้สั่งไปก่อนหน้านี้แล้วว่าให้ท่านบารอนกำจัดฮาวัต.”

“นั่นคือความบกพร่อง, ที่รัก.”

“ข้าเห็นนั่นแล้วในตอนนี้.”

“พวกฮาร์คอนเนนส์อาจจะได้มีบารอนคนใหม่ก่อนจะนานนี้.”

“ถ้านั่นเป็นแผนการของฮาวัต.”

“นั่นจะแบกรับผิดชอบการตรวจสอบ, ความจริง,” เธอพูด.

“คนหนุ่มนั้นน่าจะเป็นที่พัฒนาขึ้นได้ที่จะอยู่ในการควบคุม.”

“สำหรับเรา...หลังจากคืนนี้,” เธอพูด.

“เจ้าไม่ได้คาดหวังในการหว่านเสน่ห์ยุ่งยากเลยนะ, แม่ไก่ตัวน้อยของข้าง.”

“ไม่เลย, ที่รัก. ท่านก็เห็นว่าเขาได้มองข้ายังไง.”

ใช่, และข้าเห็นในตอนนี้ว่าทำไมเราต้องได้สายโลหิตนั้น.”

“จริงแท้เลย, และมันชัดเจนว่าเราต้องยึดกุมกับเขาไว้. ข้าจะหว่านเพาะลึกลงไปในอัตตาที่ลึกที่สุดของเขาด้วยคำวลีปราณ-ภิณฑุทั้งหลายที่จะโน้มน้อมเขาลงมา.”

“เราจะจากไปให้เร็วที่สุดที่จะเป็นไปได้---ทันทีที่เจ้าแน่ใจ,” เขาพูด.

เธอสั่นเทา. “อย่างแน่นอนเทียว. ข้าคงจะไม่ต้องการที่จะมีลูกในสถานที่น่าสยองขวัญนี้หรอก.”

“สิ่งทั้งหลายที่เราทำในนามของมนุษยชาติ,” เขาพูด.

“ของท่านนั้นเป็นส่วนที่ง่าย,” เธอพูด.

มีบางอคติโบราณที่ข้าเอาชนะ,” เขาพูด. “พวกนั้นค่อนข้างดึกดำบรรพ์, เธอก็รู้.”

“ที่รักผู้น่าสงสารของข้า,” เธอพูด, และแปะแก้มของเขา. “ท่านก็รู้ว่านี้คือหนทางเดียวเท่านั้นเป็นที่แน่ใจได้ของการสงวนสายโลหิตเอาไว้ได้.”

เขาพูดในน้ำเสียงแห้งแล้ง: “ข้าเข้าใจอย่างแน่นอนในอะไรที่เราทำ.”

“เราจะไม่ล้ม,” เธอพูด.

“ความรู้สึกผิดเริ่มต้นเป็นเช่นอารมณ์ของความล้มเหลว,” เขาเตือน.

“จะไม่มีความรู้สึกผิด,” เธอพูด. “การสะกด-มัดจิตของเจ้าฟียด์-เราธานั่นและลูกของเขาในครรโภทของข้า---แล้วเราก็จะไป.”

“เจ้าลุงนั้น,”เขาพูด. “เธอเคยเห็นอะไรที่บิดเบี้ยวเช่นนี้ไหม?”

“เขาดุร้ายน่าดู,” เธอพูด, “แต่เจ้าหลานนั้นสามารถเจริญเติบโตดีที่จะเป็นตัวร้ายกว่าได้.”

“ขอบคุณต่อเจ้าลุงนั่น. เธอรู้ไหม, เมื่อเธอคิดว่าอะไรที่เด็กหนุ่มนี้ได้ถูกเลี้ยงดูโดยใครอื่นบางคนแล้ว---ด้วยรหัสตระกูลอะไทรดิสเพื่อชี้นำเขา, เป็นตัวอย่าง.”

“มันน่าเศร้า,” เธอพูด.

“เพราะนั่นเราจะได้ช่วยไว้ได้ทั้งอะไทรดิสหนุ่มและรายนี้. จากอะไรที่ข้าได้ยินมาถึงเรื่องหนุ่มพอล---เด็กหนุ่มที่น่ายกย่องมากที่สุด, เลือดผสมของสายพันธุ์และการฝึกฝนที่ดี.” เขาส่ายศีรษะของตน. “แต่เราไม่ควรสูญเปล่าความเศร้าไปกับชนชั้นสูงที่ไม่มีโชค.”

“มีคำกล่าวไว้ของเบเน เกสเสอริตอยู่,” เธอพูด.

“เจ้าได้พูดเอาไว้สำหรับทุกสิ่ง!” เขาประท้วง.

“ท่านจะชอบอันนี้,” เธอพูด. “มันว่า: อย่าได้นับความตายของมนุษย์จนกว่าเจ้าจะได้เห็นร่างศพของเขา. และกระนั้นแล้วเจ้าก็ยังสามารถทำความผิดพลาดได้อยู่.”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น