จิตควอนตัม: ฟิสิกส์ควอนตัม รับผิดชอบต่อ จิตสำนึก และเจตจำนงเสรี หรือ?
Quantum Mind: Is quantum physics responsible for consciousness &
free will1?
https://youtu.be/bqk1oL42r5s?si=ruQudjrOUFMz6W-x
บทนำ
+
ในปี 1805, วิศวกรชาวสวิส อองรี ไมลลาร์เดต์(Henri Maillardet2)สร้างเครื่องมือที่ทำงานได้ด้วยตนเอง(built
an automation3)ที่สามารถวาดภาพได้ 4 ภาพ และเขียน 3 บทกวี. เครื่องอัต-
2 https://en.wikipedia.org/wiki/Henri_Maillardet
โนมัตินี้ สามารถดูได้ที่พิพิธภัณฑ์ในฟิลาเดลเฟีย,
รัฐเพนซิลวาเนีย. แต่นี่ก็ไม่ใช่อันดับแรก. เครื่องอัตโนมัติทั้งหลาย(automations)ได้มีอยู่ไปทั่วมาหลายศตวรรษแล้ว.
มีอะไรที่ไม่มากไปกว่านาฬิกากลไกเลียนแบบมนุษย์สีสันลวดลายทั้งหลาย,
ซึ่งประกอบด้วยขดลวด, เฟือง และคานคันโยกทั้งหลาย(not much more than
fancy humanoid mechanical clocks, consist of
springs, gears and levers).
วันนี้เรามีแบบรุ่นทันสมัยทั้งหลายของเครื่องอัตโนมัติทั้งหลายเหล่านี้(the modern versions of these automations), เช่น รถยนต์ที่ขับด้วยตนเอง, หุ่นยนต์, โดรน และเครื่องจักรอื่นๆกับอิเล็คทรอนิกส์ละเอียดอันเลิศหรูทั้งหลาย ที่อนุญาตให้พวกเขาที่จะเห็นด้วยตัวตรวจจับทั้งหลายของพวกเขา, และมีปฏิกิริยาต่อสภาพแวดล้อมของพวกเขาได้(self-driving cars, robots, drones and other machines with sophisticated electronics that allow them to see with their sensors, and react to their environment).
บางรายสามารถกระทั่งทำการตัดสินใจทั้งหลายตั้งอยู่บนพื้นการเรียนรู้ของเครื่องกลไก
และโปรแกรมประยุกต์อื่นทั้งหลาย(some
can even make decisions based on machine learning and other adaptive programs). เหล่านี้เครื่องจักรกลทั้งหลายที่มีสำนึกของจิตหรือ?(are
these conscious machines?)
มีคำกล้าวอ้างเชิงปรัชญาคตินิยมลดทอน(a
reductionist4
claim)ว่า เรามนุษย์ไม่ไกลจากการถูกย้ายออกไปจากเครื่องจักรกลทั้งหลายเหล่านี้.
ว่าเราคือแบบรุ่นหรูเลิศของรถยนต์ทั้งหลายที่ขับ, ทำการตัดสินใจได้ด้วยตนเอง(we
human are not that far removed from these machines. That we are sophisticated
version of self-driving, decision making cars).
4 https://en.wikipedia.org/wiki/Reductionism
พวกเขาอ้างว่า
ทุกสิ่งเกี่ยวกับเราลดย่อปรับปรุงอย่างสัมบูรณ์สิ้นจากฟิสิกส์,
ว่าเราเป็นเพียงผลลัพธ์ของกลุ่มชุดที่อยู่ภายใต้,
ไม่เปลี่ยนแปลงของกฎทั้งหลายทางธรรมชาติ
และกฏข้อบังคับที่กำหนดตัดสินใจพฤติกรรมของเรา. และจิตสำนึกใดที่ได้รับรู้,
ก็เป็นมากแค่ผลลัพธ์ของฟิสิกส์ที่อยู่ข้างใต้นั้น,
ดังเช่นเครื่องอัตโนมัติทั้งหลาย
คือผลลัพธ์ของการเคลื่อนไหวของเฟืองและคันโยกทั้งหลาย(they claim that
everything about us reduces ultimately to physics, that we are mere results of
an underlying, unchanging set of physical laws and rules that determine our
behavior. And any perceived consciousness, is just as much a result of the
underlying physics, as automatons are a result of the movement of gears and
levers).
อย่างสัมบูรณ์สิ้นแล้ว(ultimately), เจตจำนงเสรี(free will – ความคิดอิสระในการเลือก)ที่เราเชื่อว่าเรามี(we believe we have), อาจไม่ได้มีอยู่จริง(may
not really exist)เพราะว่า ที่แก่นแกนแล้ว, เราได้ผูกยึดอยู่โดยรากฐานทั้งหลายเชิงคณิตศาสตร์ของความเป็นจริง(because
at the core, we are bound by the mathematical underpinnings of reality). ว่าจักรวาลทั้งปวงนี้เป็นอะไรเลิศหรูซับซ้อนของนาฬิกาทั้งหลายโดยกฎทั้งหลายของฟิสิกส์,
และเราก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบกลไกนั้น,
เป็นผู้อยู่ใต้การปกครองของชุดกฏเดียวกันกับที่ปกครองขบวนการทั้งหลายทั้งหมด,
รวมทั้งอันทั้งหลายที่ได้เข้ามายึดตำแหน่งแห่งหนในสมองของเรา,
ผลลัพธ์ทั้งหลายนั้นในจิตสำนึก(that the entire universe is a
sophisticated kind of clocks ruled by the laws of physics, and we are as part
of that mechanism, are subject to the
same set of laws that govern all the processes, including the ones taking place
in our brain, that results in consciousness).
และเหล่านี้สามารถหลอกลวงเราได้ที่จะคิดว่า เรามีความแตกต่างกันของการควบคุมใดเหนือชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของเรา. เราเป็นแค่เครื่องอัตโนมัติอันหรูเลิศทั้งหลายเองหรือ?(And these can delude us to think that we have any semblance of control over our inevitable destiny. Are we just sophisticated automatons?)
คุณอาจจะพูดว่า, เอาละ, แล้วเรื่องอะไรเกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัมล่ะ?
มันไม่ได้เป็นอย่างเนื้อแท้ ไม่จำลองกำหนดเอาไว้รึ?
...พฤติกรรมนั่นที่ในระดับควอนตัมสามารถที่จะไม่มีวันคาดทำนายได้,
นั่นเราสามารถเพียงแค่รู้ถึงความอาจจะเป็นจริงได้ของผลลัพธ์ทั้งหลายที่แน่ชัด,
แต่ไม่มีวันสามารถที่จะคาดทำนายมันได้ในทันที นอกกเสียจากว่าการวัดจะได้ถูกทำขึ้น?
และการไม่อาจคาดทำนายได้ของกฏแห่งธรรมชาตินี้
ไม่ได้ให้เราอย่างน้อยที่สุดบางระดับของเจตจำนงเสรีเลยหรือ? (You
might say, well, what about quantum mechanics? Isn’t it inherently not deterministic?
…that behavior at the quantum level can never be predicted, that we can only
know the probability of certain outcomes, but never be able to predict it in
advance unless a measurement is made? And doesn’t this unpredictability of
nature laws give us at least some degree of free will?)
เอาละ, นั่นเป็นคำถามอันยิ่งใหญ่, ที่นักวิทยาศาสตร์แท้จริงทั้งหลาย,
ที่มีชื่อเสียงน่าจดจำที่สุด เซอร์ โรเจอร์ เพนโรสได้พยายามที่จะพุ่งเข้าใส่กับมัน.
มีฟิสิกส์ควอนตัมได้เชื่อมต่อกับจิตสำนึกบ้างไหม ที่ยืนยันได้ว่าเรามีเจตจำนงเสรี?
เราสามารถรู้ความจริงได้ไหม?
เราอาจเป็นสามารถที่จะเข้ามาใกล้โดยการมองที่หลักฐานบนทั้งสองด้านของการโต้แย้งกันนี้...นั่นคือที่จะมาในตอนนี้แล้ว!
(Well, that is a great question, that certain scientists, most notably Sir
Roger Penrose tried to tackle. Is there a quantum physics connection to
consciousness that ensures that we have free will? Can we know the truth? We
may be able to come close by looking at the evidence on both sides of the
argument…That’s coming up right now!
ก่อนที่เราจะพุ่งลงไปสู่จิตสำนึกควอนตัม(quantum consciousness), ผมอยากจะขอบคุณ มาเจลแลน ทีวี(Magellan TV), สปอนเซอร์วันนี้สำหรับที่ทำให้ตอนชุดนี้เป็นไปได้(for making this episode possible). ผมได้แรงบันดาลใจหลังจากการชมสารคดีอันน่าหลงใหลมราชื่อว่า จิตและจิตสำนึก(after watching a fascinating documentary called Mind and Consciousness). ที่พูดคุยเกี่ยวกับความคิดทั้งหลายในจิตสำนึก(the ideas in consciousness) และการที่นั่นนำไปสู่การโต้อภิปรายกันในเรื่องวิทยาศาสตร์(science)กับศาสนา(religion).
มาเจลแลน ทีวี(Magellan TV)เป็นรูปแบบใหม่ของการให้บริการสารคดี โดยการรับส่งสัญญานมัลติมีเดีย ผ่านทางอินเตอร์เน็ต(streaming documentary service)ที่ถูกก่อตั้งโดยผู้สร้างภาพยนตร์และผู้ผลิตรายการทั้งหลาย(filmmakers and producers)ผู้นำมาสู่คุณด้วยเนื้อหาสารคดีที่มีคุณค่าสูง(premium documentary content). ผมคิดว่าคุณจะได้รับความประทับใจได้.
สาระในเรื่องราวนั้นประกอบด้วย
ประวัติศาสตร์(history), ธรรมชาติ(nature), วัฒนธรรม(culture)และวิทยาศาสตร์(science).
คุณสามารถรับชมได้บนเครื่องมือทั้งหลายของคุณ(on your
devices)ในเวลาใดก็ได้โดยไม่มีการรบกวนแทรกขัดทั้งหลาย(with
no interruptions)ในระดับ4K. ผมปลื้มใจมากที่มาเจลแลน
ได้ให้ข้อเสนอพิเศษแก่ผู้ชมรายการอาร์วิน แอชนี้(for Arvin Ash
viewers)ในตอนนี้. ถ้าคุณใช้ลิงก์ในคำบรรยายเพิ่มเติมข้างล่างนี้(link
in the description), คุณจะได้ทดลองชมฟรีหนึ่งเดือน(a
free one-month trial). ผมขอแนะนำอย่างสูงในมาเจลแลน ทีวี,
แต่ให้แน่ใจว่าได้ใช้ลิงก์ ในคำบรรยายเพิ่มเติมข้างล่างนี้ด้วย.
คตินิยมลดทอน(Reductionism4)
4 https://en.wikipedia.org/wiki/Reductionism
พูดอย่างคร่าวๆ(roughly
speaking), ปรัชญาคตินิยมลดทอน(reductionism)คือความคิดที่ว่าระบบสลับซับซ้อนใดๆคือ ผลรวมของส่วนปัจเจกทั้งหลายที่ง่ายกว่าและเป็นมูลฐานยิ่งกว่า(any
complex system is the sum of its simpler more fundamental individual parts).
ตัวอย่างเช่น,
เหตุผลของการลดทอน โดยนักปรัชญาวัตถุนิยม ก็คือว่า ความสลับซับซ้อนของจิตสำนึกของคุณ
คือผลรวมของปฏิกิริยาสัมพัทธ์เชิงเคมีและไฟฟ้าที่ได้บังเกิดขึ้นในสมองของคุณ(a
reductive approach by a materialist5 would be that complexity of your consciousness
is the sum of all the chemical and electrical interactions that occur in your
brain). วัตถุและพลังงาน, และกฏทั้งหลายที่ตัดสินว่าพวกเขาจะปฏิสัมพัทธ์อย่างไรทั้งหมดอยู่ที่นั้น(matter
and energy, and the laws that determine how they interacts is all there is).
ฟิสิกส์เป็นอย่างมูลฐานที่แก่นแกนของความสลับซับซ้อนของการระลึกรับรู้ใดๆ(Physics
is fundamentally at the core of any perceived complexity. There is nothing else).
ในด้านตรงข้ามของการกล่าวอ้างที่ว่านี้
แขวนติดอยู่กับการสังเกตการณ์เชิงอัตวิสัยและภววิสัย ที่ชีวิตและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตสำนึก
ในอย่างใดก็ตามได้แตกต่างกันออกไป(Opposition to this claim hinges on
the subjective and objective observation6 that life and specially consciousness
is somehow different).
ตัวอย่างเช่น,
ถ้ามนุษย์ไม่ได้เป็นอะไรนอกไปจากสสาร/วัตถุและพลังงาน,
เมื่ออะไรคือความแตกต่างระหว่างบุคคลหนึ่งที่กำลังมีชีวิตอยู่,
กับบุคคลเดียวกันที่ได้ทันทีทันใดภายหลังการตายของเขา. สสาร/วัตถุและพลังงานทั้งหมดของบุคคลนั้นก็จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป(nothing
more than matter and energy, when what would be the difference between a
person who is alive, and the same person immediately after
his death. All the matter and energy of the person would not have changed).
กระนั้น, บางสิ่งได้แตกต่าง(Yet something is different). อะไรคือความแตกต่างนั้น?(what is that difference?)
ดูเหมือนว่าจะเป็นหนึ่งความแตกต่างหลัก
– และนั่นคือจิตสำนึก(There seems to be one main difference –
and that is consciousness).
ในปี
1641, เรเน’ เดส์การ์ตสิ์(Rene’
Descartes7)ได้เสนอความคิดของปีศาจร้ายหรืออัจฉริยะชั่วร้าย(the
idea of malicious demon or evil genius8). เขาถามว่า ถ้าปีศาจหนึ่งที่
8 https://en.wikipedia.org/wiki/Evil_demon
“พลังอำนาจสูงสุด(utmost power)และฉลาดแกมโกง(cunning)ได้ใช้สอยพลังงานทั้งหลายทั้งหมดของเขาเพื่อที่จะหลอกลวงฉัน...(use
all his energies in order to deceive me…)”. เดส์การ์ตสิ์บอกว่าปีศาจร้ายเช่นนั้นสามารถที่จะยึดครองจิตใจของเขาได้ที่จะสร้างสรรค์
ความฝันหรือมายาภาพ เกี่ยวกับความเป็นจริงที่เขาได้อาศัยอยู่ภายใน,
ที่ไม่มีอะไรอาจดำรงอยู่จริง(such a demon could take over his mind to
create a dream or an illusion about the reality that he lives in, that nothing
may actually exist). เขาถามว่า, “อะไรถ้าเกิดว่าฉันไม่มีดวงตา(eyes) หรือว่าเนื้อ(fresh) หรือสัมผัสรู้ใดๆอื่น,
แต่เชื่อว่าฉันมีล่ะ(or any other senses, but believe that I do).”
ไม่เพียงแค่ความเป็นจริงทางกายภาพของเราเท่านั้น(not
only our physical reality), แต่การตัดสินใจใดๆทั้งหลาย
หรือเจตจำนงเสรี เราอาจรับรู้ที่จะมี,
สามารถด้วยเช่นกันที่เป็นส่วนหนึ่งของการหลอกลวงที่ซับซ้อนนี้(but any
decisions or free-will may perceive to have, could also be part of this
elaborate hoax). ในภาพยนตร์, เรื่อง “The Matrix”ได้สำรวจค้นความคิดในสิ่งนี้ในบริบทของนิยายวิทยาศาสตร์(explores
this idea in science fiction context).
แล้วจะมีหนทางใดสำหรับเราจะรู้ถึงความจริงนั้นหรือไม่?(Would
there be any way for us to know the truth?) เดส์การ์ตสิ์บอกว่า,
มีหนึ่งสิ่งที่แม้กระทั่งปีศาจชั่วร้ายก็ไม่สามารถลวงหลอกฉันได้,
และนี้คือสัมผัสรู้ของการมีอยู่ของฉัน(there is one thing that even the
evil demon could not delude me of, and this is my sense of my existence). เพราะว่าถ้าฉันไม่ได้มีอยู่จริงๆ, ปีศาจนั้นก็น่าจะต้องสร้างสรรค์มายาภาพแห่งการมีอยู่(if
I don’t really exist, the demon would have to create the illusion of existence).
แต่เพื่อที่จะสร้างสรรค์ความคิดนี้(But
in or der to create this thought), เขาจะจำเป็นต้องการนักคิด(he
would need a thinker). เขาได้กล่าวคำพูดที่มีชื่อเสียงโด่งดังของเขาว่า,
“ฉันคิด, ดังนั้นจึงเป็นฉัน(I think, therefore I am).” ฉันสามารถถูกหลอกได้เท่านั้น ถ้าจิตของฉันมีอยู่,
ทุกสิ่งอื่นๆสามารถเป็นแต่มโหะคติ(I can only be fooled if my mind
exists, everything else can be a delusion).
และถ้าจิตของผมไม่สามารถถูกหลอกได้เกี่ยวกับการมีอยู่ของผม,
แต่ทุกส่วนอื่นๆของร่างกายของผมสามารถ(ถูกหลอกได้-ผู้ถอดความ), แล้วอ้างอิงตามที่เดส์การ์ตสิ์ว่า, จิตของผมต้องเป็นที่แยกจากร่างกายของผม.
และความคิดของจิต-ร่างกายเป็นเชิงทวินิยม,
ในบางครั้งได้ถูกใช้เพื่อที่จะวินิจฉัยเจตจำนงเสรี เพราะว่าถ้าจิตนั้นได้ถูกแยกจากฺร่างกาย,
แล้วมันก็ย่อมไม่ได้เป็นอะไรทางกายภาพ
และไม่เป็นผู้อยู่ในบังคับของกฎทั้งหลายของฟิสิกส์.
การเลือกทั้งหลายนั้นถ้าได้ทำขึ้นโดยจิตที่ไม่ใช่เป็นเชิงกายภาพนี้ ก็จะเป็นของผมเองโดยทั้งปวง.
และนั่นคืออะไรที่เป็นเจตจำนงเสรี(and if my mind cannot be
fooled about my existence, but every other parts of my body can, then according
to Descartes, my mind must be separate from my body. And this idea of mind-body
dualism, is sometimes used to justify free-will, because if the mind is
separated from the body, then it is non-physical and not subject to the laws of
physics. The choices if made by this non-physical mind are then entirely my
own. And that’s what free-will is).
เจตจำนงเสรี(Free Will)
ในตอนนี้ผมกำลังใช้เจตจำนงเสรีและจิตสำนึกอย่างสามารถสับเปลี่ยนกันได้ในที่นี้.
และนัก
ปรัชญาพิสุทธิ์อาจจะเถียงว่าผมกับมัน(Now
I am using free-will and consciousness interchangeably here. And philosophy
purist may ding me for it).
แต่เหตุผลก็เพราะ
เจตจำนงเสรี(free-will)เป็นหนึ่งในรูปลักษณ์ของจิตสำนึกของเรา
ที่เรากำลังพยายามที่จะไปให้ถึงรากนั้นกันในที่นี้(is one aspect of our
consciousness that we are trying to get at the root of here).
ความคิดของการเลือก(the idea of choice). มันดูเหมือนว่าสำหรับผมแล้ว,
จิตสำนึก ที่ปราศจากการเลือกก็ไม่ได้ไกลไปจากเครื่องอัตโนมัติ/หุ่นยนต์ทั้งหลาย.
แต่เจตจำนงเสรีคืออะไรที่ทำให้จิตสำนึกและจิตของเราโดดเด่นเป็นหนึ่งเดียว(it
seems to me consciousness without choice is not far removed from the
automatons. But free-will is what makes our consciousness and our mind unique).
ดังนั้น
วิทยาศาสตร์ใดที่แสดงให้เห็นว่าเจตจำนงเสรีมีขึ้นมาได้อย่างไร
ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะเข้าใจ(So any science that shows how free-will
arises is important to understand).
ปรากฏออกมาว่ามี
3 ข้อเลือกสำหรับที่ว่าจิตสำนึกสามารถมีขึ้นมาได้อย่างไร(There
appears to be 3 choices for how consciousness arises). หนึ่ง
คือความคิดของเดส์การ์ตสิ์ – ทวิลักษณะนิยม, ที่ซึ่งมันไม่ได้ถูกควบคุมโดยกฎแห่งฟิสิกส์, แต่บางทีเป็นนิรันดร์และมักจะแสดงให้เห็นมนจักรวาล(One
is the idea of Descartes – Dualism} where it is not controlled by physical
laws, but is perhaps eternal and always been present in the universe).
การเข้าถึงทั้งหลายของลัทธิศาสน์และความเชื่อถือเชิงจิตวิญญาณก็คล้ายคลึงกับมุมมองนี้. แต่สิ่งนี้โดยคำจำกัดความจะเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ ในเมื่อมันไม่ได้เป็นผู้อยู่ในอำนาจของกฏทั้งหลายเชิงฟิสิกส์(Many religious and spiritual approaches are similar to this viewpoint. But this would by definition be supernatural since it is not subject to physical laws).
อย่างที่สองคือ
มุมมองของปรัชญาวัตถุนิยม ว่าจิตสำนึกไม่ได้คือเอกราชของฟิสิกส์เชิงสัญ-
นิยม, แต่คือผลโดยตรงที่เนื่องมาจากมัน. มันไม่เป็นอะไรมากไปกว่าคุณสมบัติอุบัติของการปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายทางเซลล์ประสาทอันสลับซับซ้อน, และผลลัพธ์การการะทำทางเคมีและไฟฟ้าในสมอง. ไม่มีอะไรโพ้นเลยมันไปอีก(is the materialistic9 point of view that consciousness is not independent of conventional physics, but is a direct consequence of it. It is nothing more than the emergent property10 of complex neurological interconnections, and results from the chemical and electrical activity in the brain. There is nothing beyond it).
แต่มุมมองนี้ก็ยังก่อให้เกิดการอธิบายอันยากของเจตจำนงเสรี(But
this view also poses the difficulty explaining free-will).
มีความเป็นไปได้อย่างที่สาม,
และนั่นคือว่า, จิตสำนึกเป็นผลมาจากกระบวนการอันเป็นหนึ่งเดียวและเป็นอย่างกายภาพ
ที่ยังไม่ได้รับการเข้าใจกันเต็มที่(there is a third possibility, and
that is, that consciousness results from discrete and unique physical processes
that are not yet fully understood). นี่ไม่ใช่ปรัชญาทวินิยม(dualism)ของเดสการ์ตสิ์ที่ได้ปลุกผีเหนือธรรมชาติขึ้น, แต่กล่าวอย่างสาระสำคัญว่า
จิตสำนึกเป็นเอกโดดเด่นเหลือเกินที่มันไม่สามารถถูกอธิบายได้โดยกระบวนการทั้งหลายที่เราเข้าใจกันได้ในปัจจุบันนี้,
แต่เป็นที่สามารถอธิบายได้เชิงวิทยาศาสตร์อย่างสัมบูรณ์(of Descartes
that invokes the supernatural, but essentially says that consciousness is so
unique that it cannot be fully described by the processes we currently
understand, but is ultimately scientifically explainable).
เราแค่ต้องค้นพบให้ได้ว่า
วิทยาศาสตร์นั่นคืออะไร(We just have to discover what that science is). เข้าไปที่โรเจอร์ เพนโรสผู้โอบกอดความคิดที่สามนี้.
เขาได้ร่วมกับเพื่อนนักวิสัญญีแพทย์ สจ๊วร์ต แฮมารอฟฟ์
ที่แสดงว่ามีรูปลักษณ์ทั้งหลายของสมองทำงานหน้าที่ซึ่งไม่สามารถระบุได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎทางกลศาสตร์ควอนตัม.
มีโครงสร้างทั้งหลายอย่างดีในสมองที่เรียกว่าไมโครทูบูลสิ์,
ทำด้วยโปรตีนทั้งหลายที่เรียกว่า ทูบูลิน, ซึ่งอำนวยความสะดวกสนับสนุนการส่งผ่านของสารสื่อประสาททั้งหลายใน
เซลล์ประสาททั้งหลายของเซลล์สมอง(enter Roger Penrose who
embraced this third idea. He partnered up with anesthesiologist Stuart Hameroff
to show that there are aspects of brain functioning that are non-determinable
based on the laws of quantum mechanics. There are fine
structures in the brain called microtubules11, made of proteins called tubulin, that
facilitate the delivery of neurotransmitters12 in the neurons of brain cells).
เพนโรสและแฮมารอฟฟ์(Penrose
and Hameroff)แสดงให้เห็นว่า ทูบูลินนั้น(the
tubulin)สามารถที่จะสับเปลี่ยนระหว่างสองสถานะของปฏิกิริยาฟอสฟอรีเลชั่น/
การติดหมู่ฟอสฟอรีลเข้าไปในโมเลกุลนั้น และสมมติฐานที่ว่ามันยังสามารถที่จะมีอยู่ในสภาวะทับซ้อนตำแหน่ง
ของสถานะทั้งสองเหล่านี้ได้(can switch between two states of
phosphorylation13
and hypothesize that it can also exist in a superposition14 of these two states).
14 https://www.bbc.com/thai/articles/c6pg25e1n55o
ถ้าสิ่งนี้ เช่นนั้นแล้วแต่ละโมเลกุลทูบูลิน สามารถกระทำเป็นเช่นชิ้นควอมตัมหนึ่ง, ที่เรียกว่า คูบิต. และไมโครทูบูลสิ์เหล่านี้สามารถที่จะเป็นเครื่องประมวลผลรับผิดชอบสำหรับความทรงจำ. จิตสำนึกเป็นผลลัพธ์ของการพังพับลงของสถาวะการทับซ้อนตำแหน่งของทูบูลินนี้, พวกเขาโต้แย้ง(if this is true then each tubulin molecule could act as a quantum bit, a qubit15. And these microtubules could be computing devices responsible for memory. Consciousness is the result of the collapse of the superposed states of this tubulin, they argue).
และในเมื่อการพับลงเชิงควอนตัมนี้ไม่สามารถคาดทำนายได้,
ผลเชิงกลศาสตร์ควอนตัมนี้ในสมองนั้น ก็สามารถเป็นสำนึกของจิตของเจตจำนงเสรีได้(And
since this quantum collapse is not predictable, this quantum mechanical effect
in the brain could be the root of
conscious free-will).
โรเจอร์
เพนโรส(Roger Penrose)เป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่,
ดังนั้นทฤษฎีนี้ไม่สามารถที่จะถูกยกเลิกได้(cannot be dismissed). แต่รูปปั้นของเขาไม่ได้ป้องกันคำวิจารณ์อันแสบไส้ทั้งหลายของความคิดของเขานี้,
ที่น่าสะดุดตามากที่สุดมาจากMIT(Massachusetts Institute of
Technology – สถาบันเทคโนโลยีแมสซาซูเซตส์)
นักฟิสิกส์แมกซ์ เทกมาร์ค(Max Tegmark)ผู้ที่ได้ทำการวิเคราะห์อย่างละเอียดและสรุปว่า สมองนั้นเปียกเกินไปและอุ่นเกินไป
สำหรับผลกระทบทั้งหลายเชิงควอนตัมอันละเอียดอ่อน(the brain is too wet
and warm for delicate quantum effects).
สภาวะการทับซ้อนตำแหน่งของสถานะเชิงควอนตัม(Superposition)
นี้หมายความว่าอะไร? ภาวะทับซ้อนตำแหน่งของสถานะทั้งหลายเชิงควอนตัม เป็นความยากอันเหลือร้ายที่จะคงรักษาไว้(what does this mean? Superposition of quantum states is notoriously difficult to maintain). มันต้องการแยกออกจากระบบอะไรเช่นนั้นที่ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ด้วยกับอะตอมทั้งหลายอื่นๆ หรือวัสดุอื่นอันคลาสสิคทั้งหลายอย่างเช่น ของเหลวและโครงสร้างทั้งหลายในสมองนั้น, เพราะว่า, ในภาษาของกลศาสตร์ควอนตัม, ระบบควอนตัมจะกลายเป็นถูกพัวพันยุ่งเหยิงกับสภาพแวดล้อมของมันและหลุดออกจากการยึดเกาะกัน/ไร้สมดุล จนกระทั่งมันจะไม่อยู่ในสภาวะการทับซ้อนตำแหน่ง อีกต่อไป(it requires isolation such that the system does not interact with other atoms or any other classical materials such as the various fluids and structures in the brain, because, in the language of quantum mechanics, the quantum system would become entangled with its environment, and decohere so that it would no longer be in superposition).
คิดถึงสิ่งนี้
เป็นเช่นการพังพับลงของฟังก์ชั่นคลื่นในการตีความที่โคเปนเฮเกน(Think
of this as the wave function collapse in the Copenhagen interpretation). แม็ก เท็กมาร์ค(Max Tegmark)ได้แสดงให้เห็นเชิงคณิตศาสตร์ว่า
สภาวะทับซ้อนตำแหน่งสถานะใดๆในไมโครทูบูลสิ์นั้นภายใน เศษ 1
ส่วนสามพันล้านวินาที(showed mathematically that any superposed state
in microtubules would decohere within 10^ - 13 seconds /trillionths of a
second.) สิ่งนี้เป็นเลข 10
ยกกำลังของระดับขนาดที่เร็วกว่าเวลาที่มันใช้สำหรับกระบวนการทางสมองใดๆที่เรารู้จักกันให้บังเกิดขึ้น.
ด้วยความเร็วยิ่งขนาดนั้นของผลกระทบทั้งหลายเชิงกลศาสตร์ควอนตัม
จึงมีอิทธิพลต่อการทำหน้าที่การงานของสมองเป็นที่ยากมากที่จะจินตนาการได้(This
is 10 orders of magnitude faster than it takes time for any known brain process
to occur. So such fast quantum mechanics effects influencing brain functioning
is hard to imagine).
แฮมารอฟฟ์และเพนโรสได้ทำการทบทวนปรับปรุงทฤษฎีทั้งหลายของพวกเขามานานกว่าหลายปี
ตั้งอยู่บนพื้นฐานของบางคำวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหลาย,
แต่ทฤษฎีนั้นก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอย่างสูง,
และโดยทั่วไปไม่ได้รับการโอบกอดโดยนักฟิสิกส์ทั้งหลายส่วนใหญ่(have
revised their theory over the years based on some of the criticisms, but the
theory remains highly controversial, and is generally not embraced by most
physicists).
คุณควรสังเกตบันทึกไว้ว่า,
ทฤษฎีนั้นมีชื่อเรียก. มันถูกเรียกว่า
การลดทอนรูปธรรมลงอย่างเรียบเรียงบรรเลงร่วมกัน(It is called
Orchestrated objective reduction15, or the Orch OR theory).
แม็ทธิว
ฟิเชอร์(Matthew Fisher15), นักฟิสิกส์ ของ มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย,
ซานตา บาร์บารา(physicist at University of California), ได้แสดงให้เห็นด้วยเช่นกันเชิงคณิตศาสตร์ว่า
อุณหภูมิทั้งหลายจำเป็นต้องคงรักษาอยู่ซึ่งสภาวะทับซ้อนตำแหน่ง
ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความถี่ของการลุกเป็นไฟของเซลล์ประสาท คือราว 10
ยกกำลัง 7องศาเคลวิน, โดยใช้สูตรในที่นี้,
ซึ่งเป็นอย่างแน่นอนว่าสูงกว่ามากต่ออุณหภูมิร่างกาย ที่คือราว 310 องศาเคลวิน หรือราว
98.6 องศาฟาเรนไฮท์(also showed mathematically that the
temperatures needed to maintain superposition based on the frequency of
neuronal firing is about 10^-7 Kevin, using the formula here, which is of
course much higher than body temperature of about 310 Kevin or 98.6 degree Fahrenheit).
15 https://en.wikipedia.org/wiki/Matthew_P._A._Fisher
แล้วสมองนั้นปรากฏว่าเป็นทั้งเปียกเกินไปและอุ่นเกินไปสำหรับกระบวนการควอนตัมแค่ดังที่แม็กซ์
เทกมาร์ค (So the brain appears to be both too wet and too warm
for quantum processing just as Max Tegmark said). ศาสตราจารย์ฟิเชอร์(Professor
Fisher), อย่างไรก็ตาม, ได้ค้นพบช่องโหว่หนึ่ง(did
find a loophole16). เขาได้เสนออีกทฤษฎีอื่นอีกอันหนึ่ง ที่ภาวะการทับซ้อนตำแหน่งเชิงควอนตัม
สามารถบางทียังคงรักษาอยู่, และนั่นคือที่ในนิวเคลียสของอะตอมทั้งหลาย(He
proposed another theory where quantum superposition could perhaps be
maintained, and that is in the nucleus of atoms).
16 https://en.wikipedia.org/wiki/Loophole
บางอะตอมทั้งหลายมีอะไรมีอะไรที่ถูกเรียกว่าการหมุนนิวเคลียส.
สิ่งเหล่านี้เหมือนแม่เหล็กเล็กๆด้วยการที่ขั้วชี้ไปเพียงหนึ่งทาง(Some
atoms have what is called a nuclear spin17. These are like little magnets with
poles pointing in one direction).
และปฏิกิริยาทางเคมีทั้งหลายอันแน่นอน สามารถผลิตสร้างการหมุนอย่างสัมพันธ์กับนิวคลีไอ, ที่ซึ่งการหมุนของหนึ่งนิวเคลียสได้ขึ้นอยู่กับอีกอันหนึ่ง(And certain chemical reactions can produce spin correlated nuclei18, where the spin of one nucleus is depend on another).
ในเมื่อนิวคลีไอโน้มเอียงที่จะแยกออกไปมากยิ่งขึ้นอยู่ที่ศูนย์กลางของอะตอม,
ความสัมพันธ์หรือความพัวพันเชิงควอนตัม,
สามารถเป็นที่คงรักษาอยู่ได้ในระยะเวลาทั้งหลายนานขึ้น(Since nuclei
tend to be more isolated being in the center of atom, the quantum correlation
or entanglement, can be maintained for longer periods of
time).
ฟิเชอร์(Fisher)ระบุชี้ว่า อะตอมในสมองที่น่าจะเป็นผู้สมัครในอุดมคติสำหรับมีความสัมพันธ์ในการหมุนที่เป็นใจกลาง,
และนั่นเป็นฟอสฟอรัส. เขาพบในการทดลองทั้งหลายในห้องปฏิบัติการว่า
เวลาของการแยกออกจากการเกาะกันของไอออนเกลือฟอสเฟต คือราว 1 วินาที,
ที่เยื้องย่างอย่างมีเวลาเพียงพอสำหรับมันที่จะมีและส่งผลกระทบกับกระบวนการทางสมอง(which
would be an ideal candidate for nuclear spin correlation, and that is
phosphorus. He found in lab tests that the decoherence time for phosphate19 ion20 is about 1 second,
which is amble enough time for it to have and effect on brain processing).
19https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95
20https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%99
ไอออนทั้งหลายเช่นนั้นคือหน่วยพื้นฐานของพลังงานภายในเซลล์ในโมเลกุลทั้งหลายที่เรียกว่า ATP21, ที่บรรจุเป็นเส้นของกลุ่มสามฟอสเฟต(which contain a string of three phosphate groups). พฤติกรรมเชิงควอนตัมในการหมุนทั้งหลายของนิวเคลียสฟอสฟอรัส สามารถถูก “ปกป้อง” จากการหลุดแยกการเกาะกัน, ฟิเชอร์บอกว่า, ถ้าไอออนฟอสเฟตทั้งหลายได้ถูกรวมเข้าด้วยกันไปเป็นโมเลกุลทั้งหลายที่ใหญ่ขึ้นก็ถูกเรียกว่า “(The quantum behavior in the phosphorus nuclear spins could be “protected” from decoherence, Fisher says, if the phosphate ions are incorporated into larger molecules called “Posner molecules22”.
22 https://pubs.rsc.org/en/content/articlelanding/2018/cp/c7cp07720c
มีหลักฐานบางอย่างว่า
วัตถุทั้งหลายเหล่านี้สามารถดำรงอยู่ได้ในเซลล์ที่มีชีวิตทั้งหลาย,
และบางทีอาจเล่นบทบาทในการทำงานของเซลล์ประสาท. และนี้คือที่กลศาสตร์ควอนตัมสามารถมีผลกระทบกับจิตสำนึกได้อย่างไร(these
objects can exist in living cells, and may play a role in neuronal functioning23. And this is how
quantum mechanics could affect consciousness).
แต่เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์(But this has not been
proven). สิ่งที่ดีเกี่ยวกับทฤษฎีของฟิเชอร์ก็คือมันสามารถทดสอบได้.
และเขากำลังทำสิ่งนี้โดยการพยายามที่จะสังเคราะห์จำลองแบบขึ้นเป็นอะไรประเภทสมองควอนตัม.
โดยการทำไอออนของฟลูออเรสเซนต์/ การเรืองแสง ในสสองหลอดทดลอง,
ถ้าเขาพบว่าการเปล่งแสง/เรืองแสงนั้นมีความสัมพันธ์กัน,
แม้ว่าเมื่อสองหลอดทดลองนั้นแยกอยู่ห่างจากกัน, แล้วนั่นน่าจะเป็นควันปืน/ไอพวยพุ่ง
ก็เป็นการพัวพันเชิงควอนตัมได้เกิดขึ้นที่นั้นๆ (The good thing
about Fisher’s theory is that it is testable. And he is doing this by trying to
synthesize a kind of quantum brain. By making these ions fluorescent24 in two test tubes, if
he finds that the fluorescence is correlated, even when the two test tubes are
far apart, then that would be the smoking gun that quantum entanglement is
taking place).
มีอีกทีมทั้งหลายอื่นอีกของนักค้นคว้าวิจัยก็ยังทำงานกับทฤษฎีควอนตัมทั้งหลายที่แตกต่างกันในเรื่องจิตสำนึก. แต่มันน่าจะได้ถูกสังเกตบันทึกไว้ในทฤษฎีทั้งหลายที่เชื่อมโยงกลศาสตร์ควอนตัมกับจิตสำนึก ว่า, จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ได้มีการพิสูจน์ให้เห็นจริงด้วยหลักฐานจากการทดลอง(There are others teams of researchers also working on different quantum theories of consciousness. But it should be noted of the theories linking quantum mechanics to consciousness, so far has been proven correct by experimental evidence).
นักฟิสิกส์ทั้งหลายบางรายได้ชี้ออกมาว่า ผลกระทบเชิงควอนตัมมีอยู่รายรอบเราในโลกของมาโคร/มหภพ. ในการสังเคราะห์แสง, เป็นตัวอย่าง, ผลกระทบเชิงควอนตัมช่วยให้พืชทั้งหลายเปลี่ยนแสงแดดให้เป็นเชื้อเพลิง. ในนกที่อพยพทั้งหลาย ได้แสดงให้เห็นว่ามี “เข็มทิศควอนตัม” ที่สามารถทำให้พวกเขาได้ใช้ประโยชน์จากสนามแม่เหล็กโลกสำหรับการนำร่องบอกทิศทางไปได้(Some physicists point out that quantum effects are all around in the macro world. In photosynthesis, for example, quantum effects help plants turn sunlight into fuel. Migratory birds have been shown to have a “quantum compass” enabling them to exploit Earth’s magnetic field for navigation).
สัมผัสรับรู้กลิ่นของเราสามารถเป็นรากในกลศาสตร์ควอนตัมได้.
ผมเองก็กระทั่งทำวีดิโอเกี่ยวกับปรากฏการณ์การรับกลิ่นนี้(Our
sense of smell could be rooted in quantum mechanics. I even made a video about this
olfactory25
phenomenon). ดังนั้น, บางรายจึงบอกว่า,
มันไม่น่าเป็นถึงขนาดปฏิเสธไปได้เลยทีเดียว ว่ากลศาสตร์ควอนตัมสามารถส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของสมอง(it
should not be out of the question that quantum mechanics could affect brain
functioning as well).
รายอื่นๆพูดว่า
นี่นะ, ถึงแม้ว่าเราได้พบหลักฐานของการส่งผลกระทบทั้งหลายเชิงควอนตัมกลศาสตร์ในสมอง,
คำถานั้นก็ยังคงมีอยู่ว่า เป็นที่แน่ชัดแค่ไหนว่า ผลกระทบทั้งหลายเชิงควอนตัมมีผลลัพธ์อย่างไรในจิตสำนึก
และเจตจำนงเสรี(even
we find evidence of quantum mechanics affects in the brain, the question
still remain how exactly do those quantum effects result in consciousness and
free-will). แค่เพราะว่าการพังพับลงของสภาวะทับซ้อนตำแหน่งทั้งหลายเป็นที่ไม่อาจกำหนดความแน่นอนได้,
กลไกการเชื่อมโยงสู่เจตจำนงเสรีไม่ได้ตรงไปข้างหน้าทีเดียว,
และจำเป็นต้องการได้รับคำอธิบาย(Just because the collapse of
superposed states is non-determinable, the mechanism linking to free-will is
not straight forward, and would need to be explained).
การโต้แย้งหลักเชิงทฤษฎีต่อเรื่องทฤษฎีจิตสำนึกควอนตัมทั้งหลายก็คือ
การยืนยันอ้างว่า สภาวะเชิงควอนตัมทั้งหลายในที่สมองนั้นจะสูญเสียการเกาะยึด
ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงระยะขนาดซึ่งพวกเขาสามารถถูกใช้ประโยชน์ได้สำหรับกระบวนการทางเซลล์ประสาท(The
main theoretical argument against the quantum consciousness theories is the
assertion that quantum states in the brain would lose coherency before they
reached a scale where they could be useful for neural processing).
การดำรงรักษาสภาวะทับซ้อนตำแหน่งเป็นปัญหาที่รู้จักกันดีว่ามีอยู่, ตัวอย่างเช่น, ในการพยายามอย่างกว้างขวางทั่วโลกของการสร้างสรรค์คอมพิวเตอร์ระดับควอนตัม(Maintaining superposition is a known problem that exists for example in the worldwide effort to create a quantum computer. One way to prove these quantum consciousness theories may be to show that a sufficiently complex quantum computer is capable of some consciousness.
นักฟิสิกส์ทั้งหลายได้ต่อต้านต่อความคิดนี้
ชี้ออกมาถึงหลักฐานจากการตรวจสภาพการทำงานของสมองด้วยเครื่องสแกนMRI, หรือการสแกนสร้างภาพที่เกิดขึ้นโดยการสะท้อนคลื่นแม่เหล็ก ว่าในแต่ละส่วนทั้งหลายที่แตกต่างกันของสมอง
สว่างขึ้นโดยขึ้นอยู่กับการคิดหรืออารมณ์รู้สึกทั้งหลาย
ที่แต่ละปัจเจกอาจมี, เชื่อมโยงอย่างโดยตรงกับกิจกรรมของสมองกับอะไรซึ่งพวกเขาพูดว่าคือ
กระบวนการสำนึกของจิต/เจตสิกขึ้นในสมอง(Physics opposed to the
idea point out the evidence from brain fMRI26, or functional magnetic resonance
imaging scans that clearly show for example how different parts of the brain light
up depending on the thoughts or feelings that an individual may have, linking
brain activity directly to what they say is conscious processing in the brain).
สิ่งนี้, พวกเขาบอกว่าเป็นข้อพิสูจน์จากการทดลอง ไม่ใช่เพียงแค่ว่า จิตสำนึกอาศัยอยู่ในสมอง, แต่ยังไม่มีความจำเป็นต้องการใดๆสำหรับการเชื่อมต่อเชิงควอนตัมกลศาสตร์ ต่อกิจกรรมทั้งหลายของสมองในระดับมหภาค(This they say is experimental proof not only that consciousness resides in the brain, but also that there is no need for any quantum mechanical connection to these macro scale brain activities).
ถ้าเราค้นพบว่า การทำงานของสมองเป็นเชิงกายภาพล้วน ๆ, เราก็ยังคงจำเป็นต้องการที่จะอธิบายอะไรที่นักวิทยาศาสตร์ที่รู้จักกัญชาวออสเตรเลีย, เดวิด ชาร์ลเมอร์ เรียกว่า “ปัญหายากของการรับรู้อารมณ์”ของจิตสำนึก, คุณภาพเชิงอัตนัยของประสบการณ์รับรู้ที่คุณมี. ปัญหาที่ง่ายนั้นได้ถูกคิดออกมาได้อย่างเช่นว่า ดวงตาทั้งหลายมองเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างไร, หรือว่าความเจ็บปวดได้ถูกส่งถ่ายอย่างไร. ส่วนปัญหาที่ยากก็คือการอธิบายถึง อารมณ์รู้สึกเชิงอัตนัยเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่คุณอาจเห็น, หรือความเจ็บปวดที่คุณอาจมีอารมณ์รู้สึกจากการได้รับบาดเจ็บ. ประสบการณ์รับรู้สำนึกของจิตเชิงอัตนัยนี้ บางครั้งอ้างอิงถึงว่าเป็นควอเลีย(if we find that brain functioning is purely physical, we would still need to explain what Australian cognitive scientist, David Chalmers calls the “hard problem” of consciousness, the subjective quality
of the experience that you have. The easy problem is figuring out how eyes see things, or how pain is transmitted. The hard problem is explaining your subjective feelings about things you might see, or the pain you might feel from getting hurt. This subjective conscious experience is sometime refer to as qualia27 - ประสบการณ์แห่งการรับรู้ซึ่งเป็นอัตวิสัยจิตวิสัย).
27https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2
มันคืออะไรเกี่ยวกับกระบวนการในสมองที่ให้เราในอารมณ์ทั้งหลายที่เรารู้สึก, ที่จะด้วยเหตุใดก็ตามที ดูจะแตกต่างจากกระบวนการประสาทสัมผัสเชิงกลง่ายๆ(what is it about the processing in the brain that gives us the feelings that we feel, that somehow seem different from simply mechanical sensory processing?)
อะไรที่ให้การอุบัติขึ้นมากับควอเลียนี้
ที่เราเรียกว่าจิตสำนึก?(What give rise to this qualia that we
call consciousness?) หรือว่านี่คือ, อย่างที่นักปรัชญาวัตถุนิยมทั้งหลายชี้ออกมาว่า,
ไม่มีอะไรมากไปกว่าการผสมเข้ารวมกันของระบบประสาทสัมผัสรับรู้ป้อนเข้าทั้งหลายจากทุกส่วนชองร่างกายของคุณ,
ที่ประมวลผลโดยสมอง, เสริมปรับเพิ่มขึ้นอีกโดยความทรงจำทั้งหลาย/
สัญญาขันธ์ที่คุณได้เก็บรักษาไว้, และทำอย่างพิเศษโดยการผสมผสานเป็นหนึ่งเดียวของการจุดไฟร้อนขึ้นของเซลล์ประสาททั้งหลาย
และปฏิกิริยาเคมีในสมองของคุณ(Or is this, as materialists point
out, nothing more than a combination of sensory inputs from all parts of your
body, processed by the brain, enhanced by memories you have retained, and made
special by the unique combinations of firing of neurons and chemistry in your
brain).
มันสามารถเป็นได้หรือไม่ ที่การผสมผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวทั้งหลายนั้นของสิ่งป้อนเข้าทั้งหลาย
และกระบวนการประมวลผลในสมองของเราทั้งหลาย อันเป็นที่ช่างสลับซับซ้อน,
ที่เราอารมณ์รู้สึกถูกกดดันที่จะกำหนดมอบหมายให้มันว่าเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ
หรือกระทั่งมีความหมายเชิงจิตวิญญาณ, เมื่อทั้งหมดของมันอาจจะเป็นแค่กระบวนการเชิงกายภาพอันสลับซับซ้อนสุดเลิศง่ายๆแค่นั้นซึ่งงดงามอันพิสูจน์เป็นจริงได้,
แต่อย่างสัมบูรณ์สุด, คือเครื่องกลไกอัตโนมัติ หรือ?(Could it be that the
combinations of inputs and processing in our brains is so complex, that we feel compelled to assign it a supernatural or
even spiritual meaning, when all it may be is simply complex classical physical
processes of a verifiably beautiful, but ultimately, mechanical automatons?)
ผมอยากจะขอบคุณผู้สนับสนุนอันใจดีทั้งหลายของผม
Parton และYouTube. ถ้าคุณชอบวิดีโอของผมนี้
ก็พิจารณาเข้าร่วมกับพวกเขา. ถ้าคุณมีคำถาม, ทิ้งมันไว้ข้างใต้นี้ เพราะว่าผมพยายามที่จะตอบพวกมันทั้งหมด.
ผมจะมาพบกับคุณอีกในวิดีโอต่อไป, เพื่อนๆทั้งหลาย.
https://youtu.be/bqk1oL42r5s?si=mCwMz-7g8QlCSLWq
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น