ทำไม โสกราตีส เกลียดประชาธิปไตย
Why Socrates Hated Democracy
https://youtu.be/fLJBzhcSWTk?si=iM4ifFdOYHvwVk7Y
บทนำ
เราเคยคิดกับเรื่องของประชาธิปไตยอย่างสูง, และโดย
การแผ่ขยาย(by extension), เอเธนส์ โบราณ,
อารยธรรมที่ให้กำเนิดแก่มัน. วิหารพาร์เธนอน(Parthenon1)ได้กลายเป็นเกือบจะภาษิต/คำขวัญของคุณค่าทางประชาธิปไตยทั้งหลาย(by
word for democratic values),
ที่ผู้นำทางประชาธิปไตยมากมายหลายคนชอบที่จะถ่ายรูปกับที่นั่น.
เพลโต
และ โสกราตีส(Plato and Socrates)
มันจึงเป็นที่น่าตกตะลึงอย่างยิ่งที่ค้นพบว่า
หนึ่งในนักปรัชญาที่มีผลสำเร็จของงานอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายของชาวกรีกโบราณ(one
of Ancient Greece’s great achievements Philosophy), ได้สงสัยเป็นอย่างมากเอากับความสำเร็จอื่นของมัน,
ประชาธิปไตย(Democracy2).
บิดาแห่งการสถาปนาปรัชญากรีก – โสกราตีส(Socrates3) - ได้ถูกวาดภาพไว้, ในบทสนทนาทั้งหลายของ เพลโต(Plato4), ว่าเป็นการมองโลกในแง่ร้ายอย่างมหึมาเกี่ยวกับธุรกิจการงานทั้งปวงของประชาธิปไตย.(as hugely pessimistic about the whole business of democracy).
4https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%95
ในตำราที่หกแห่งอุตมรัฐ/สาธารณกิจ(Book Six of
The Republic5) เพลโตได้อธิบาย
5https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90
ไว้ว่า โสกราตีสได้เริ่มตกลงไปในการสนทนากับตัวละครหนึ่งที่เรียกกันว่าอะดีแมนทัส และพยายามที่จะทำให้เขาเห็นข้อบกพร่องของประชาธิปไตย โดยเปรียบเทียบสังคมหนึ่งกับเรือลำหนึ่ง. (falling into conversation with a character called Adeimantus6 and trying to get him to see the flaws of democracy by comparing a society to a ship).
6 https://en.wikipedia.org/wiki/Adeimantus_of_Collytus
ถ้าเจ้ากำลังมุ่งหน้าออกไปสู่การเดินทางในทะเล, โสกราตีสถาม,
ใครในอุดมคติของเจ้าที่ต้องการให้เป็นผู้ตัดสินใจ,
ใครเป็นผู้ทำหน้าที่ควบคุมยานนั้น?
แคใครคนใดหรือผู้คนที่มีการศึกษาในกฏและการบังคับบัญชาทั้งหลายของการเดินเรือ?
แน่นอนว่าเป็นอย่างหลังสิ, อะดีแมนทัสบอก, แล้วทำไมเช่นนั้นล่ะ,
โสกราตีสตอบโต้, เราต้องคอยคิดอยู่แค่ว่า
คนแก่รายใดก็ได้ควรจะเป็นที่เหมาะที่จะตัดสินว่า
ใครควรจะเป็นผู้ปกครองประเทศเช่นนั้นหรือ? (Who would you ideally
want deciding, who was in charge of the vessel? Just anyone or people educated
in the rules and demands of seafaring? The latter of course, says Adeimantus,
so why then, so why then, responds Socrates, do we keep thinking that any old person
should be fit to judge who should be rule the country?
ประชาธิปไตย(Democracy)
จุดชี้ของโสกราตีสคือว่า การลงคะแนนในการเลือกตั้งนั้นเป็นทักษะหนึ่ง,
ไม่ใช่การสุ่มเลือกโดยการรู้เอง/สหัสชญาณ. (Socrates’s point is
that voting in an election is a skill, not a random intuition7).
และเหมือนกับทักษะใดๆ, มันจำเป็นต้องถูกสอนอย่างเป็นระบบต่อผู้คน.
การปล่อยให้การลงคะแนนออกเสียงโดยพลเมืองที่ปราศจากการศึกษา
ก็เป็นเช่นการขาดความรับผิดชอบเท่าๆกับเอาพวกเขาไปรับตำแหน่งการแล่นเรือรบ(แบบใช้พายสมัยโบราณ)ไปยังซานโตสในพายุ.
(needs to be taught systematically to people. Letting the citizenry
vote without an education is as irresponsible as putting them in charge of a
trireme sailing to Santos in a storm).
โสกราตีสได้ประสบโดยตรงด้วยตนเอง,
ประสบการณ์หายนะของความโง่ของผู้ลงคะแนนออกเสียงทั้งหลาย, ในปี 339
ก่อนคริสตศักราช, นักปรัชญานี้ได้ถูกนำขึ้นไต่สวนกับการถูกกล่าวหาชี้ว่าได้ “สร้างความเสื่อมศรัทธาในศาสนา
และเยาวชนในกรุงเอเธนส์”.
คณะพิพากษาชาวเอเธนส์ 500 คนได้ถูกเชิญให้มาชั่งน้ำหนักตัดสินคดีนี้
และตัดสินใจด้วยขอบเขตอันแคบว่า นักปรัชญาท่านนี้มีความผิด.
เขาได้ถูกประหารโดยยาพิษเฮมล็อคในกระบวนการที่ซึ่งเป็น, ตามที่ผู้คนคิด, ทุกสิ่งน่าเศร้าใจเช่นเดียวกับการลงทัณฑ์ต่อพระเยซูที่ได้เกิดขึ้นของชนคริสเตียน.
(catastrophic experience of the foolishness of voters. In 399
BC, the philosopher was put on trial on thumbed up charges of corrupting the
youth of Athens. A jury of 500 Athenians
was invited to weigh up the case and decide by a narrow margin that the
philosopher was guilty. He was to death by hemlock
in a process which is, for thinking people, every bit as tragic as Jesus’s
condemnation has been for Christians).
เยี่ยงการตรึงกางเขน, โสกราติสไม่ใช่ชนชั้นสูงในสามัญสำนึก.
เขาไม่ได้เชื่อว่าคนจำนวนน้อยแคบ ๆควรจะเป็นผู้ลงคะแนนออกเสียงได้เท่านั้น.
เขาได้, อย่างไรก็ตาม.
ยืนยันว่ามีเพียงผู้ที่ได้คิดเกี่ยวกับประเด็นทั้งหลายอย่างมีเหตุผลและลึกซึ้งเท่านั้น
ควรจะเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ลงคะแนนออกเสียง. (was not elitist in the
normal sense. He didn’t believe that a narrow few should only ever vote. He
did, however. Insist that only those who had thought about issues rationally
and deeply should be let near a vote).
เราได้หลงลืมไปถึงความแบ่งแยกแตกต่างนี้
ระหว่างประชาธิปไตยอย่างมีปัญญา กับ สิทธิที่ได้จากการเกิด. เราได้ให้สิทธิการลงคะแนนออกเสียงกับทุกคน
โดยปราศจากการเชื่อต่อมันเข้ากับปัญญา. และโสกราตีสรู้อย่างแน่ชัดว่ามันจะนำไปสู่ที่ใด: นั่นคือการไปสู่สิ่งที่ชาวกรีกได้หวาดกลัวเหนืออื่นใด, ผู้มีชื่อเสียงจากการปลุกปั่นมวลชน.(We
have forgotten this distinction between an intellectual democracy by
birthright. We have given the vote to all without connecting it to wisdom. And
Socrates knew exactly where that would lead: to a system the Greek feared above
all, Demagoguery7).
7 https://en.wikipedia.org/wiki/Demagogue
การมีผู้นำที่ชื่อเสียงจากการปลุกปั่นมวลชน(Demagoguery)
เอเธนส์โบราณ(Ancient
Athens)ได้รับประสบการณ์อันเจ็บปวดของผู้มีชื่อเสียงทั้งหลายจากการปลุกปั่นประชาชนให้แตกแยกกัน(demagogues), ตัวอย่างเช่น, เรื่องฉาวโฉ่ของอัลซิไบอาเดส(the
louche figure of Albiades8), ชายผู้ร่ำรวย(rich), มีเสน่ห์/ลักษณะพิเศษ(charismatic), พูดจานุ่มนวลลื่นไหลอย่างมีฐานะมั่งคั่ง(smooth-talking
wealthy man), ผู้ที่บ่อนเซาะอิสรภาพขั้นพื้นฐานทั้งหลาย(eroded
basic freedoms)และได้ช่วยต่อการผลักดันเอเธนส์ไปสู่การผจญภัยทางทหารอันหายนะของตนในซิซิลี.(helped
to push Athens to its disastrous military adventures in Sicily).
โสกราตีสทราบดีว่าประชาชนง่ายอย่างไรในการเสาะหาการเลือกตั้ง สามารถแสวงหาประโยชน์จากความปรารถนาของเรากับความต้องการคำตอบง่ายๆ.
เขาขอให้เราจินตนาการถึงการแข่งขันโต้วาทีกันของเลือกตั้งหนึ่งระหว่างสองผู้สมัครแข่งขัน,
หนึ่งนั้นคือผู้เป็นหมอ และอีกรายหนึ่งผู้เป็นเจ้าของร้านขนมหวาน.
เจ้าของร้านขนมหวานก็จะพูดถึงคู่แข่งของเขา: ฟังนะ,
บุคคลผนี้ที่นี่ได้ทำงานชั่วร้ายมามากมายกับพวกท่าน. เขาทำร้ายท่าน, ให้ยาขมๆทั้งหลายแก่ท่าน
และบอกกับท่านว่าอย่าได้กินและดื่มอะไรก็ตามที่พวกท่านชอบ.
เขาจะไม่มีวันให้บริการงานเลี้ยงของอะไรที่มากมายหลากหลายสิ่งอันน่าพึงใจแก่พวกท่านเลย,
เหมือนที่ข้าจะทำให้. (know how easily people seeking election
could exploit our desire for easy answers. He asked us to imagine an election
debate between two candidates, one who was like a doctor and other who was like
a sweet shop owner. The sweet shop owner would say of his rival: look, this
person here has worked many evil on you. He hurts you, gives you bitter potions
and tells you not to eat and drink whatever you like. He’ll never serves you feasts
of many and varied pleasant things like I will).
โสกราตีสขอให้เราพิจารณาการตอบสนองของผู้ฟังว่า: คุณคิดว่าหมอผู้นั้นจะสามารถที่จะตอบอะไรอย่างมีประสิทธิผลได้หรือ?
คำตอบที่แท้จริงได้ก็คือ – ‘ผมทำความยุ่งยากเดือดร้อนให้กับพวกท่าน
และขัดขวางความปรารถนาทั้งหลายของพวกท่าน ก็เพื่อช่วยเหลือพวกท่าน’ นั่นน่าจะเป็นเหตุให้เกิดเสียงโห่ร้องคำรามขึ้นจากผู้ลงคะแนนออกเสียงเลือกแน่
ๆ, คุณไม่คิดเช่นนี้หรือ? (Socrates asked to consider the audience
response: do you think the doctor would be able to reply effectively? The true
answer – ‘I cause you trouble, and go against your desires in order to help
you’ would cause an uproar among the voters, don’t you think?)
บทสรุป(Conclusion)
เราได้หลงลืมไปทั้งหมดถึงคำเตือนที่สำคัญของโสกราตีสต่อประชาธิปไตย.
เราได้ชื่นชอบที่จะคิดว่าประชาธิปไตยคือสิ่งดีไร้เทียทาน – มากกว่าที่จะเป็นอะไรบางอย่างที่แค่เป็นได้เช่นนั้นอย่างมีประสิทธิผลได้ก็เท่า
ๆกับระบบการศึกษา ที่รายล้อมมันอยู่. ดังเช่นผลลัพธ์นั้น,
เราได้เลือกตั้งเจ้าของร้านขนมหวานกันมาอย่างมากมาย, และเลือกหมอที่จะรักษาชีวิตของเราแค่น้อยนิด.(We
have forgotten all about Socrates’s salient warning against democracy. We have
preferred to think of democracy as an unambiguous good – rather than the
something that is only ever as effective as the education system that surrounds
it. As a result, we have elected many sweet shop owners, and very few doctors).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น