พุทธทาสภิกขุ - ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ประเทศนี้ต้องเป็น - สังคมนิยมประชาธิปไตย โดยธรรม.
จาก
“คำนำ ในการพิมพ์ครั้งที่ ๑” ของหนังสือ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ
หลวงประดิษฐ์มนูธรรม(ปรีดี พนมยงค์) หน้าที่ 3-5.
...หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏวาทกรรมระหว่างสังคมนิยมกับทุนนิยมในแวดวงรับาลและรัฐสภาไทยอีกเลย
แนวทางเศรษฐกิจทุนนิยมแบบตามก้นมหาอำนาจตะวันตก
จึงครอบงำแผนพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศไทยนับตั้งแต่เริ่มใช้อย่างเป็นทางการฉบับแรกในสมัยจอมพลสฤษดิ์
จนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน.
สังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ย่อไม่เหมาะสมกับสังคมไทย แต่การที่ชนชั้นปกครองพยายามมอมเมาราษฎรว่า
ความคิดสังคมนิยมทุกประเภทเป็นลัทธิคอมมิวนิสต์ทั้งหมดนั้น นอกจากจะเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงแล้ว
ยังเป็นการทำลายภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทยที่มีรากฐานมาจากวัฒนธรรมสังคมนิยมอันเก่าแก่ดีงามของพุทธศาสนา.
ท่านพุทธทาสภิกขุผู้ก่อตั้งสวนโมกข์ฯ ในปีเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ยังยืนยันอย่างชัดเจนว่า
“...เจตนารมณ์ของสังคมนิยมมีอยู่ในพุทธศาสนา...เจตนารมณ์ของสังคมนิยมมีอยู่ในพุทธศาสนา...เจตนารมณ์ของสังคมนิยมมีอยู่ในพุทธศาสนา...ในพุทธศาสนาและทุกศาสนามีรากฐานที่ตั้งขึ้นมาบนอุดมคติอันนี้
เพื่อเมตตากรุณาต่อสิ่งทั้งปวง แล้วก็สูงขึ้นมาถึงกับยอมรับรู้ในความเสมอภาคกัน
หรือว่าในเสรีภาพของกันทุกอย่างที่มันจะประสานสัมพันธ์กันไว้ได้ (ดู พุทธทาสภิกขุ “ธัมมิกสัมคมนิยม, โดนัล เค.
สแวเรอร์ บรรณาธิการ. สำนักพิมพ์โกมลคีมทอง จัดพิมพ์, ๒๕๒๙, หน้า ๑๐๓-๑๐๔).
พร้อมกันนั้นท่านพุทธทาสภิกขุได้ปฏิเสธระบบเศรษฐกิจ-การเมืองแบบ
“ประชาธิปไตยเสรีทุนนิยม” อย่างสิ้นเชิง ท่านกล่าวว่า
“คำว่า “เสรีนิยม” นี้ ความหมายมันก็เดินผิดทางแล้ว
เพราะคำว่า Politics นี้ หมายถึง เรื่องคนมากรวมกัน
ถ้าแยกออกเป็นเสรนิยมก็เริ่มผิดความหมายของเรื่อง Politics
ไม่ใช่เรื่องของคนมากเสียแล้ว กลายเป็นเรื่องของคนคนเดียวไปเสีย(อ้างแล้ว หน้า ๖๒)
“ปัญหาสังคมมันตั้งต้นตรงที่เริ่มมีการกอบโกย
เริ่มมียุ้งฉางเริ่มมีความคิดนึกที่จะสะสมกำลังทรัพย์ กำลังอำนาจ กำลังอะไรต่างๆ
เพื่อตจะเอาเปรียบคนอื่น” (อ้างแล้ว
หน้า ๖๒)
ยิ่งกว่านั้นท่านยังประกาศจุดยืนอย่างท้าทาย
ในฐานะชาวพุทธธรรมดาคนหนึ่งว่า “อาตมาในฐานะประชาชน ไม่กัวจะถูกใครจับไปฆ่าไปแกง
เพราะไม่นิยมประชาธิปไตยแบบนี้ (แบบเสรีนิยม) ก็ได้ไม่นิยมแน่ แต่รนิยมประชาธิปไตยแบบสังคมนิยมตามหลักดแห่งพระศาสนา”
(อ้างแล้ว หน้า ๘๔)
การที่ปราชญ์ร่วมสมัยอย่างท่านพุทธทาสภิกขุ
และท่านปรีดี พนมยงค์ มีแนวคิดเชิงเศรษฐศาสตร์-การเมืองที่สอดคล้องกันเช่นนี้
เป็นประเด็นที่สังคมไทยไม่ควรมองข้าม
โดยสารุปก็คือทั้งสองท่านไม่เห็นด้วยกับวิธีรวมศูนย์อำนาจการปกครองแบบลัทธิคอมมิวนิสตฺ
และไม่เห็นด้วยกับการแข่งขันแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอาของระบบทุนนิยมเสรี.
จะเห็นได้ว่า
เจตนารมณ์ของ “สมุดปกเกลือง” คือ
ต้องการปูทางให้ราษฎรเข้ามามีสิทธิ์มีส่วนร่วมในการจัดการเศรษฐกิจตั้งแต่ในระดับชุมชนจนถึงระดับชาติ
และที่สำคัญคือต้องการในสยามประเทศมีเอกราชในทางเศรษฐกิจ
สามารถจัดการกสิกรรมและอุตสาหกรรมให้มีขึ้นอย่างเพียงพอ โดยไม่ต้องอาศัยต่างประเทศ
ทั้งนี้ เพื่อป้องกันอันตรายอันเกิดจากการปิดประตูการค้า ท่านปรีดีเชื่อว่า
ประชาธิอปไตยทางการเมืองได้อย่างเต็มที่ หากไม่มีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจเป็นรากฐานทั้งนี้เพราะอำนาจทางการเมืองจะตกอยู่ในมือของอภิชนเพียงไม่กี่กลุ่มที่เป็นเจ้าของทุนขนาดใหญ่.
ดังปณิธานของท่านปรีดีที่แถลงไว้ในหมวดที่
๑ ของ “สมุดปกเหลือง” ว่า “ข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาที่จะเปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวมาเป็นหลายองค์
ซึ่งเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยแต่เปลือกนอกเท่านั้น ข้าพเจ้ามุ่งสาระสำคัญคือ
บำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษรและถือว่ารัฐธรรมนูญเปรียบประดุจกุญแจที่ไขประตูเปิดช่องทางให้ราษฎรได้มีส่วนมีเสียงในการปกครองให้จัดถูกต้อวงตรงตามความต้องการของตน
และเมื่อประตูที่กีดกั้นอยู่ได้เปิดออกแล้ว รัฐบาลก็จะต้องนำราษฎรผ่านประตูนั้น
เข้าไปสู่ชัยภูมิแห่งความสุขสมบูรณ์”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น