หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2567

พุทธทาสภิกขุ - ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ประเทศนี้ต้องเป็น - สังคมนิยมประชาธิปไตย โดยธรรม.

 พุทธทาสภิกขุ - ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ประเทศนี้ต้องเป็น - สังคมนิยมประชาธิปไตย โดยธรรม.




         จาก “คำนำ ในการพิมพ์ครั้งที่ ๑” ของหนังสือ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม(ปรีดี พนมยงค์) หน้าที่ 3-5.

         ...หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏวาทกรรมระหว่างสังคมนิยมกับทุนนิยมในแวดวงรับาลและรัฐสภาไทยอีกเลย แนวทางเศรษฐกิจทุนนิยมแบบตามก้นมหาอำนาจตะวันตก จึงครอบงำแผนพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศไทยนับตั้งแต่เริ่มใช้อย่างเป็นทางการฉบับแรกในสมัยจอมพลสฤษดิ์ จนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน.

         สังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ย่อไม่เหมาะสมกับสังคมไทย แต่การที่ชนชั้นปกครองพยายามมอมเมาราษฎรว่า ความคิดสังคมนิยมทุกประเภทเป็นลัทธิคอมมิวนิสต์ทั้งหมดนั้น นอกจากจะเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงแล้ว ยังเป็นการทำลายภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทยที่มีรากฐานมาจากวัฒนธรรมสังคมนิยมอันเก่าแก่ดีงามของพุทธศาสนา.

         ท่านพุทธทาสภิกขุผู้ก่อตั้งสวนโมกข์ฯ ในปีเปลี่ยนแปลงการปกครอง ยังยืนยันอย่างชัดเจนว่า

         “...เจตนารมณ์ของสังคมนิยมมีอยู่ในพุทธศาสนา...เจตนารมณ์ของสังคมนิยมมีอยู่ในพุทธศาสนา...เจตนารมณ์ของสังคมนิยมมีอยู่ในพุทธศาสนา...ในพุทธศาสนาและทุกศาสนามีรากฐานที่ตั้งขึ้นมาบนอุดมคติอันนี้ เพื่อเมตตากรุณาต่อสิ่งทั้งปวง แล้วก็สูงขึ้นมาถึงกับยอมรับรู้ในความเสมอภาคกัน หรือว่าในเสรีภาพของกันทุกอย่างที่มันจะประสานสัมพันธ์กันไว้ได้ (ดู พุทธทาสภิกขุ “ธัมมิกสัมคมนิยม, โดนัล เค. สแวเรอร์ บรรณาธิการ. สำนักพิมพ์โกมลคีมทอง จัดพิมพ์, ๒๕๒๙, หน้า ๑๐๓-๑๐๔).

         พร้อมกันนั้นท่านพุทธทาสภิกขุได้ปฏิเสธระบบเศรษฐกิจ-การเมืองแบบ “ประชาธิปไตยเสรีทุนนิยม” อย่างสิ้นเชิง ท่านกล่าวว่า

         “คำว่า “เสรีนิยม” นี้ ความหมายมันก็เดินผิดทางแล้ว เพราะคำว่า Politics นี้ หมายถึง เรื่องคนมากรวมกัน ถ้าแยกออกเป็นเสรนิยมก็เริ่มผิดความหมายของเรื่อง Politics ไม่ใช่เรื่องของคนมากเสียแล้ว กลายเป็นเรื่องของคนคนเดียวไปเสีย(อ้างแล้ว หน้า ๖๒)

         “ปัญหาสังคมมันตั้งต้นตรงที่เริ่มมีการกอบโกย เริ่มมียุ้งฉางเริ่มมีความคิดนึกที่จะสะสมกำลังทรัพย์ กำลังอำนาจ กำลังอะไรต่างๆ เพื่อตจะเอาเปรียบคนอื่น” (อ้างแล้ว หน้า ๖๒)

         ยิ่งกว่านั้นท่านยังประกาศจุดยืนอย่างท้าทาย ในฐานะชาวพุทธธรรมดาคนหนึ่งว่า “อาตมาในฐานะประชาชน ไม่กัวจะถูกใครจับไปฆ่าไปแกง เพราะไม่นิยมประชาธิปไตยแบบนี้ (แบบเสรีนิยม) ก็ได้ไม่นิยมแน่ แต่รนิยมประชาธิปไตยแบบสังคมนิยมตามหลักดแห่งพระศาสนา” (อ้างแล้ว หน้า ๘๔)

         การที่ปราชญ์ร่วมสมัยอย่างท่านพุทธทาสภิกขุ และท่านปรีดี พนมยงค์ มีแนวคิดเชิงเศรษฐศาสตร์-การเมืองที่สอดคล้องกันเช่นนี้ เป็นประเด็นที่สังคมไทยไม่ควรมองข้าม โดยสารุปก็คือทั้งสองท่านไม่เห็นด้วยกับวิธีรวมศูนย์อำนาจการปกครองแบบลัทธิคอมมิวนิสตฺ และไม่เห็นด้วยกับการแข่งขันแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอาของระบบทุนนิยมเสรี.

         จะเห็นได้ว่า เจตนารมณ์ของ “สมุดปกเกลือง” คือ ต้องการปูทางให้ราษฎรเข้ามามีสิทธิ์มีส่วนร่วมในการจัดการเศรษฐกิจตั้งแต่ในระดับชุมชนจนถึงระดับชาติ และที่สำคัญคือต้องการในสยามประเทศมีเอกราชในทางเศรษฐกิจ สามารถจัดการกสิกรรมและอุตสาหกรรมให้มีขึ้นอย่างเพียงพอ โดยไม่ต้องอาศัยต่างประเทศ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันอันตรายอันเกิดจากการปิดประตูการค้า ท่านปรีดีเชื่อว่า ประชาธิอปไตยทางการเมืองได้อย่างเต็มที่ หากไม่มีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจเป็นรากฐานทั้งนี้เพราะอำนาจทางการเมืองจะตกอยู่ในมือของอภิชนเพียงไม่กี่กลุ่มที่เป็นเจ้าของทุนขนาดใหญ่.

         ดังปณิธานของท่านปรีดีที่แถลงไว้ในหมวดที่ ๑ ของ “สมุดปกเหลือง” ว่า “ข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาที่จะเปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวมาเป็นหลายองค์ ซึ่งเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยแต่เปลือกนอกเท่านั้น ข้าพเจ้ามุ่งสาระสำคัญคือ บำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษรและถือว่ารัฐธรรมนูญเปรียบประดุจกุญแจที่ไขประตูเปิดช่องทางให้ราษฎรได้มีส่วนมีเสียงในการปกครองให้จัดถูกต้อวงตรงตามความต้องการของตน และเมื่อประตูที่กีดกั้นอยู่ได้เปิดออกแล้ว รัฐบาลก็จะต้องนำราษฎรผ่านประตูนั้น เข้าไปสู่ชัยภูมิแห่งความสุขสมบูรณ์”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น