ริชาร์ด
วูลฟ์ฟ – อธิบายถึงการที่จีนเอาชนะฝ่ายตะวันตก ในระบอบทุนนิยม ได้อย่างไร
Richard Wolff Explains How China Beats The West At
Capitalism ft. Richard Wolff (TMBS 101)
https://youtu.be/r6i5qVbL2ys?si=-TwACp1OCzG6Hk4C
ไมเคิล บรูคส์: แล้วคุณก็ได้สนใจ 2008 เทอร์โบของมันไหม? (so are you interested it’s a, it’s 2008 turbo)...(มันเป็น 11 ไมลสิ์-วูลฟ์ฟ). เป็น 11 ไมลสิ์. และผมอยากให้คุณเซ็นอันนี้, อันนี้, และนี่หมายความว่า คุณจะไม่ให้การสนับสนุนกฎหมายบีบมะนาวนั่นกับมัน(that you not will be enforcing the lemon laws on it). แล้วในตอนนั้นคุณก็สามารถได้รถยนต์ของคุณ, ท่านศาสตราจารย์วูลฟ์ฟ, ขอบคุณอย่างมากครับ. ผมชื่นชมมากเลย. ผมเพิ่งขายรถยนต์คันหนึ่งให้ศาสตราจารย์วูลฟ์ฟ. ขอบคุณครับ. โอ้, เดี๋ยวก่อน. นี่เป็นลายเซ็นแบบนักกฎหมายเลยอ่ะ, มันเหมือนกับถูกออกแบบมาที่จะไม่จำเป็นต้องยึดถืออ้างสิทธิ์อะไรเล็กๆน้อยๆได้ในศาล. หะหะหะ.
ร่วมอยู่กับเราในตอนนี้คือท่านศาสตราจารย์ริขาร์ด
วูลฟ์ฟ, ผู้ที่เป็นหนึ่งในผู้นำทางและบรมครูของเรา. แน่นอนว่า, คุณสามารถพบงานที่พลาดไม่ได้ของเขา
“ประชาธิปไตยในการทำงาน”, ในหน้าอุปถัมภ์ของพวกเขา, กดติดตาม/บริจาคในทันทียูทูบของพวกเขาด้วยเช่นกัน.
และแน่นอนว่า, เขายังเป็นศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ที่โรงเรียนใหม่. นั่นคือวูลฟ์ฟ,
ขอบคุณเป็นอย่างมากสำหรับการกลับมา (ดีใจที่ได้มาครับ-วูลฟ์ฟ),
เป็นความพึงพอใจอย่างยิ่งในเสียงซึ่งทุกคนตอบรับ(professor Richard Wolff, one of
our guides and mentors. Of course, you can find his indispensable work at
“democracy at work”, on their patreon page subscribe immediately to their
YouTube as well. And of course, he also is a professor of economy at the new
school. That’s a Wolff, thank you so much for coming back(glad to be here), a
pleasure is everybody sounding good).
อย่างแรกของทั้งหมด, ผมมักจะต้องแค่ถาม,
เราไม่ได้มีผู้ตอกย้ำตอกแย้งมัน แต่อย่างไรที่เขากำลังทำ
เขาก็ทำมันไปได้ด้วยดีมาก.
คุณรู้สึกสบายขึ้นมากไหมเมื่อเขาพูดคุยเกี่ยวกับอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่เศรษฐศาสตร์โดยตรง
(ไม่). โอเค.(First of all, I always have to just ask, we don’t have a
belabor it but how’s he doing he’s doing very well, he’s doing better. Do you
feel more comfortable when he’s talking about something that isn’t exactly
economics (no). Okay.
ริชาร์ด
วูลฟ์ฟ: เขามีพิสัยกว้างไกลมากในการก้าวข้ามความแตกต่าง(he
ranges brilliantly across the different…).
ไมเคิล
บรูคส์: นั่นดูเหมือนคุณได้พูดว่านั่นเกี่ยวกับผลเล็กน้อยแบบตัดต่อ,
แบบสไตลสิ์ของทรัมป์เล็กน้อยที่ตัดต่อกับเรื่องนั้น(a little
Trump style on that).
แล้ว, ท่านศาสตราจารย์วูลฟ์ฟ,
เราแค่มาเริ่มต้นกันที่ภาพใหญ่มาก, ประเทสจีนเป็นที่ที่น่าจับตาจับในอย่างแน่นอนต่อผู้คนจำนวนมาก.
มันเป็น...ทุกอย่างจากอะไรทั้งหลาย, คุณก็รู้, ชาติพันธุ์ต่างด้าวอันดีเลิศของ...การสนทนาอย่างแน่นอน.
มันเป็นที่ซึ่ง, ผมเดาเอาว่าได้เข้ามาแทนที่เหมือนญี่ปุ่นของยุคปี 1980,
ในเรื่องของความน่ากลัวที่ถูกสร้างขึ้นมา, แต่มันก็ยัง, คุณรู้,
มันไม่ใช่ที่ซึ่งน่ารัก/โรแมนติก ไม่ว่าจะเกี่ยวกับความไร้เดียงสา,
ไม่ว่าจะพลังอำนาจอันเหลือเชื่อ, คุณก็รู้, มันเป็นพลังอำนาจที่กำลังพวยพุ่งขึ้น(let’s
just start very big picture, China is a place that rightly fascinates a lot of
people. It’s ah…everything from the sort of, you know, exotic fine racism
of…certain discourse. It’s a place, I guess is replaced like Japan of 1980s, in
terms of fear-mongering, but it’s also, you know, it’s not a place to romance
either be naïve about , either it’s an incredibly powerful, you know, it’s a
rising power).
มันได้เรีนกตนเองว่าคือประเทศคอมมิวนิสต์
และมันดูเหมือนว่ากำลังฝึกปฏิบัติในระบบทุนนิยม อย่างอุกอาจเท่าๆกับเช่นใครอื่นบนโลกนี้.(It’s
calls itself a communist country and it seems to practice capitalism as
aggressively as anybody on Earth.
คุณสามารถที่จะให้เรา, ไม่ว่าจะในวิธีใดก็ตามแต่ที่คุณชอบที่จะทำมัน,
ในวิถีทางที่จะเข้าใจว่า อะไรคือเศรษฐกิจ ของสาธารณรัฐ ประชาชนจีน? (Can
you give us, however way you want to do it, the pathway to understanding what
the economy is of the People’s Republic of China?)
ริชาร์ด
วูลฟ์ฟ: แน่นอนเลย. อย่างแรกอะไรที่พวกเขาพูด,
พวกเขาอ้างถึงตัวพวกเองว่าเป็นสังคมนิยม(refer themselves as a
Socialism1).
เพราะคุณรู้ว่าผู้คนส่วนใหญ่ในโลกของสังคมนิยมนั้น
ไม่เรียกตัวพวกเขาเองว่าเป็นคอมมิวนิสต์, นั่นที่จริงแล้วเป็นฝ่ายศัตรูของพวกเขามากกว่าที่พวกเขาเรียกเช่นนั้น(most
people in the socialist world did not calls themselves communist2,
that’s really more their enemy who called that).
มันเป็นความจริงที่พวกเขาบ่อยปกครองรัฐโดยพรรคคอมมิวนิสต์(often
governed by a communist party), แต่คำว่าคอมมูนิสต์นั้น เมื่อมันถูกนำไปใช้โดยพรรคการเมืองหนึ่งก็ต้องทำโดยดูว่าเป้าประสงค์ของพวกเขาคือเช่นไร,
ไม่ใช่แค่การกล่าวอ้างเกี่ยวกับอะไรที่ได้มีอยู่(had to do with what their
objective were, not a claim about what existed).
ดังนั้นในรัสเซีย(in
Russia), สำหรับสหภาพโซเวียต(in Soviet Union),
ลัทธิคอมมูนิสม์ได้ถูกจินตนาการเป็นเช่นอะไรบางอย่างที่พวกเขากำลังเคลื่อนไหวไปสู่
และได้หวังว่าสักวันที่จะไปถึง(communism was envisioned as something they
were moving toward and hoped someday to get to). แต่ไอ้หนูเอ๋ย, มันเป็นหนทางยาวไกลออกไป
และพวกเขาไม่ได้อ้างว่าพวกเขาได้ไปถึงที่นั้นแล้ว.
ที่จริงแล้ว(in
fact), นั่นเป็นสิ่งที่น่าจะเป็นแบบว่า การกล่าวหาที่ไม่สามารถยอมรับได้
ที่ควรจะได้ถูกขจัดลบล้างออกไป(that would have been a kind of
unacceptable claim that would have been debunked). ชาวจีนยังบอกอีกว่า,
พวกเขาเป็นสังคมนิยมแบบพิเศษ(a special kind of socialism),
ประโยคที่ว่าพวกเขาชอบคือ เป็นสังคมนิยมด้วยคุณลักษณะทั้งหลายแบบจีน(socialism
with Chinese characteristics).
โอเค, แล้วนั่นน่าจะหมายความว่าอะไร?(what
does it mean?), ส่วนใหญ่ของศตวรรษที่ 19 และ 20,สังคมนิยมทั่วโลกอย่างเบื้องต้นได้เพ่งเน้นจุดอยู่ที่สองสิ่ง
ซึ่งแตกต่างไปจากทุนนิยม (for most of the 19th and 20th
century, socialist around the world basically focused on two things that
distinguished them from Capitalism). หนึ่ง, ในทางตรงข้ามกับทุนนิยม
ที่เอกชนเป็นเจ้าขององค์กร/กิจการส่วนตนโดยพลเมืองที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันกับรัฐ.
สังคมนิยมเป็นในทางตรงกันข้าม, ถูกก่อความคิดขึ้นเป็นเช่นการกระทำของรัฐบาลในนามของผู้คนเข้ามาทั้งหมดและยึดครองเหนือเศรษฐกิจ,
องค์กร/กิจการ, โรงงาน, ร้านค้า, สำนักงาน ทั้งหลาย(whereas
had private enterprise owned by citizen who had no relationship to state.
Socialism in contrast, was conceived of as the government acting on behalf of
the people as a whole coming in and taking over economic, enterprises,
factories, stores, offices).
ความคิดนั้นง่ายๆ
ถ้าคุณมีทุนนิยม, เปอร์เซ็นต์เล็กน้อยหนึ่งของผู้คนที่เป็นเจ้าของผลผลิตที่หมายถึงนั้น,
พวกเขาเป็นเจ้าขององค์กร/กิจการ, คิดถึงปัจเจกบุคคลทั้งหลาย, ครอบครัว,
หรือกระทั่งผู้ถือหุ้น, คุณก็รู้ดี, สัก 10%ของผู้ถือหุ้น, ในสหรัฐ
อเมริกา เป็น 85% ของหุ้นทั้งหลาย. ดังนั้นคุณกำลังพูดถึงเปอร์เซนต์จำนวนน้อยมากของผู้คนที่เป็นเจ้าของทุกอย่าง
และทำมันทั้งหมดในการตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ, คุณก็รู้, เช่น จะผลิตอย่างไร,
จะผลิตที่ไหน, จะผลิตอะไร, และอะไรที่จะทำกับกำไรทั้งหลายนั้น.(the idea
was simple if you have Capitalism, a small percent of people own the mean of
production they own the enterprises, think of the individuals, the family, or
even the shareholders, you know, 10% of shareholders, in United States on 85%
of the shares. So you’re talking a very small percentage of the people own
everything and make all the big decision, you know, how to produce, where to
produce, what to produce, and what to do with the profits).
ดังนั้นข้อโต้แย้งสังคมนิยมนั้นคือว่า
นั่นเป็นไม่ได้ประชาธิปไตยหรือที่จำนวนเล็กน้อยของผู้คนซึ่งมีอำนาจทางเศรษฐกิจทั้งหมด?
พวกเขาใช้มันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะควบคุมทางการเมือง,
ดังนั้นระบอบการเมืองไม่ได้แก้เปลี่ยนระบอบการปกครองของพวกเขาภายในระบบเศรษฐกิจ
และเช่นนั้นเองที่ผู้คนมหาศาลได้ถูกกันออกไปอย่างมีประสิทธิภาพ. และนักสังคมนิยมทั้งหลายเองก็ระบุอัตลักษณ์ตัวพวกเขาเองว่าเป็น
ผู้คนที่กำลังทำลายสถานการณ์นั้นให้แยกออกจากกัน, นำมาซึ่งปัจจัย/ทุนการผลิตกลับมาสู่ในมือของทุกคน
โดยการมีรัฐบาลอย่างสมมติว่าเป็นตัวแทนของประโยชน์เข้านึดครอง(so the
socialist argument was that’s undemocratic that’s a small number of people who
have all this economic power? They will inevitably use it to control the
politics, so that the political system doesn’t undo their domination within the
economic system and so the massive people are effectively frozen out. And the Socialists
then identify themselves as the people that are breaking that situation apart,
bringing the means of production2 back
into the hands of everybody by having the government presumably representing
everybody take over).
ดังนั้น,
ความคิดแรกของการเป็นสังคมนิยมก็คือว่า รัฐบาลเข้ามา, ยึดครองที่ดินและโรงงานทั้งหลายและอะไรอื่นๆ,
เพื่อที่จะดำเนินการพวกนั้นเพื่อผลประโยชน์ของทุกคน, มากกว่าจะเป็นแบบทุนนิยมที่เป็นเพื่อคนกลุ่มน้อยซึ่งเป็นเจ้าของพวกมัน(So the
first idea of Socialism was that the government comes in, takes over the land
and the factories and so on, in order to run them for the benefit of everybody,
rather than as in the Capitalism for the
owning minority).
และในความคิดใหญ่อันที่สองในเรื่องสังคมนิยม
ปะทะกับ ทุนนิยม ในศตวรรษที่ 19 และ 20, ต้องทำกับตลาดทั้งหลายที่ระบบกลไกของการกระจ่าย/แจกจ่าย/จำหน่าย. การกระจาย/แจกจ่าย/จำหน่ายอย่างแรก,
ทรัพยากรที่ไปสู่การผลิตและแล้วเป็นการแจกจ่าย/จำหน่ายผลผลิตทั้งหลายที่ออกมาจากการผลิตนั้น.
และในทุนนิยม, คุณเฉลิมฉลองที่ตลาดว่าเป็น สถาบันของการจัดจำหน่ายจ่ายแจกทั้งหลาย(And
the second big idea of Socialism versus Capitalism in both the 19th
and 20th century, had to do with markets that the mechanism of
distributing. First distributing the resources go into production and then
distributing the products that come out of production. And in Capitalism, you
celebrate the market that is the institution that distributes).
ในปรัชญาสังคมนิยม,
การโต้แย้งค้านก็มีทำขึ้น, เอาละ เช่นนี้อีกครั้ง, เป็นอคติในขั้นมูลฐาน, ทำไม?
เพราะว่า ตลาดทำการแจกจ่ายในอะไรที่หาได้ยากไปแต่ยังผู้คนที่มีเงินมากที่สุด.
และสังคมนิยมได้คัดค้านโต้แย้งในเรื่องนี้ แล้วนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลทั้งหลายว่าทำไมมันถึงสังคมนิยมได้มีชื่อเสียงรู้จักกันยิ่งนัก
และเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว. นั่นเป็นการผิดศีลธรรมโดยมูลฐาน(In
Socialism, the argument was made, well here again, that’s fundamentally unjust,
why ? Because a market allocates whatever is scarce to the people with the most
money. And a Socialist argued back then which is one of the reasons why it was
so popular Socialism and grew so quickly. That this is fundamentally immoral).
ไมเคิล บรูคส์: เราสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์นี้ในเรื่อง
คุณค่าในการใช้ กับคุณค่าในการแลกเปลี่ยน ได้หรือไม่ครับ?(Can
we correlate this with use value versus exchange value)...
ริชาร์ด
วูลฟ์ฟ: เป็นส่วนหนึ่งกัน(in part). คุณสามารถทำได้. (it resembles that kind of an argument).
ไมเคิล บรูคส์: โอเค.
ริชาร์ด วูลฟ์ฟ:
มันเป็นหนทางที่ง่ายที่กว่าจะว่าเช่นนั้น, มันพูดได้ง่ายกว่า. นี่นะ,
ถ้าน้ำนมหาได้ยาก, แม่วัวป่วยจาก ไวรัส หรืออะไรก็ตาม, ถ้าน้ำนมนั้นหาได้ยากและคนรวยหนึ่งมีแมวอยู่หลายตัวที่เป็นสัตว์เลี้ยงทั้งหลายฒ
และก็มีคนจนหนึ่งที่มีลูกๆหลายคน, ตลาดก็จะทำการจำหน่ายจ่ายแจกไปยังคนที่เลี้ยงแมว
และถิ่นที่อยู่กำหนดภาวการณ์ในเวลานั้นของพวกเขา.(a more simple way to
put it, it’s simply to say. Look, if milk is scarce, the cow got sick or some
virus called whatever, if milk is scarce and a rich person has several cats as
pets and a poor person has several children, the market will allocate the
scarce milk to the guy with the cats and resident profiled in their times).
ไมเคิล
บรูคส์: ผมขอโทษ---ใช่
แต่ช่วงระหว่างเหตุพายุเฮอริเคนแซนดี, พวกเขามีเรื่องน้ำร้อนๆ, ใช่,
ผู้คนขาดแคลนต้องการเรื่องน้ำและผู้คนเสียค่าใช้จ่าย, เอาละ,
นี่เป็น...นี้เป็นเรื่องร้ายแรง. อย่างแรกผมกำลังคิดถึงยังกับตัวอย่างของคุณนี้,
มีผู้คนที่คุณรู้, นี่เป็นเรื่องถูกต้องเลยในการเริ่มต้น,
มันใช้เวลาเป็นปีๆสำหรับเพื่อนบ้านทั้งหลายที่ชัดเจนในสแตนเตน ไอส์แลนด์,
ในบรูคลินและที่อื่นๆ, ใช่เลย(during hurricane Sandy,
they did a the water heat, right, people charge for water and people charge,
well, this was…that was serious. First I’m thinking of though is just an
example of you, have people who you know, this is right at the beginning. It
took years for certain neighborhoods in Staten Island, in Brooklyn and so on,
to get back on, right).
เรื่องนี้ที่อัปเปอร์ เวสต์
ไซด์ และของผู้คน, ไฟฟ้าได้ดับไปราวสองสามวัน
และผู้หญิงรายนี้ทำเปแนเรื่องตลก, เธอบอกว่า, โอ้ เย้ เรากำลังใช้ซินแฟนเดลในห้องน้ำ.
ฮะ ฮะ ฮะ (สำหรับบนเครื่องบิน, ใช่มั้ย) พวกเขากำลังชักโครกด้วยซิดเลย
ละมันเป็นการผจญภัยเล็กๆน้อยๆสำหรับพวกเขา)(This
is the Upper West Side and people’s, electricity had been out for a couple of had
been out for a couple of days and this woman was joking, she said, oh yeah
we’re using Zinfandel in the toilets. Ha ha ha). (to
flight exam, right, they’re flushing with zid right and it was a nice little
adventure for them).
ริชาร์ด
วูลฟ์ฟ: ดังนั้นนักสังคมนิยมทั้งหลายได้มีวันลงสนามโดยการพูดว่า,
ตลาดทั้งหลายไม่ได้เป็นอะไรที่เราต้องการ.
ตลาดทั้งหลายคือหนทางทั้งหลายของการจำหน่ายจ่ายแจกที่เป็นสนับสนุนกับผู้คนที่มีเงินมากกว่า,
เพราะว่าพวกเขาคือผู้ที่สามารถได้อะไรที่พวกเขาต้องการ
และผู้คนอื่นไม่สามารถทำได้. (ใช่เลย)(So the Socialists had a
field day by saying, markets are not what we want. Markets are ways of
distributing that favor the people with the more money, because they the ones
who can get what they want and other people can’t) (right)
และดังนั้น,
ความคิดของระบอบสังคมนิยมก็คือ คุณยึดเอาปัจจัยการผลิตจากเอกชน
และทำพวกมันให้เป็นสังคมนิยม และคุณกดข่มตลาดทั้งหลายและวางแผนทดแทน,
พูดอีกอย่างหนึ่งคือ, คุณมีการสนทนาประชาธิปไตยเชิงทฤษฎี,
อะไรคือเกณฑ์ของการจำหน่างจ่ายแจก/แบ่งปัน. ดังนั้น, ดังตัวอย่าง,
เด็กย่อมมีลำดับความสำคัญก่อนสัตว์เลี้ยงสำหรับนมที่ขาดแคลน หรือผ้าอ้อมที่ชาดแคลน
หรืออะไรก็ตามอื่นที่มีขึ้น(And so the idea of Socialism was you
take the private means of production and socialized them and you repress the
markets and substitute planning, in other words, you have a theoretically a
democratic conversation, what is the criteria for distributing. So, for
example, a child higher priority than a pet for scarce milk or scarce diapers
or whatever else there is).
และเช่นกัน ระบอบสังคมนิยมได้เข้ายึดอุตสาหกรรม,
ทำให้มันเป็นของสังคม, ให้รัฐบาลบริหารจัดการมันและทำการวางแผน. และมันคือความคิดนั้น,
เอาละ, ถ้านั่นคือความคิดของคุณ ดังนั้นคุณก็สามารถเข้าใจได้ว่าทำใมภายหลังการปฏิวัติรัสเซีย
1917, นั่นเป็นอะไรแบบนั้นจริงๆที่พวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้นกับที่ดินที่พวกเขาแจกจ่ายไปให้ทุกคน
ละเมิด/ขัดกับทุกอย่างที่นักสังคมนิยมทั้งหลายมักจะได้พูดกันเอาไว้เสมอ.
เพราะว่าพวกเขาได้จำเป็นต้องทำเพื่อเหตุผลทางการเมืองที่จะยึดอยู่ที่ชาวนารัสเซีย,
สิ่งแรกที่เลนิน, สตาลิน, ทร็อตสกี้ ทำ,
คือการแจกจ่ายแบ่งปันที่ดินให้กับชาวไร่ชาวนา
ผู้ที่ได้อดอยาก/ต้องการมันมานานหลายทศวรรษ (And so Socialism was take over
the industry, socialize it, have the government run it and planning. And that was
the idea, well, if that is your idea then you can understand why after the
Russian Revolution 1917, that’s really kind of what they did not with the land
that they distribute to everybody violating everything that Socialists had
always said. Because they had to for political reasons to hold on to the
Russian peasantry, the first thing that Lenin, Stalin, Trosky did, was
distribute land to the peasants who had been hungry for it for four centuries).
นั่นคือทำไม,
ตัวอย่างเช่น, เมื่อผู้คนพูดว่า, ระบอบสังคมนิยมได้ต่อต้านการถือครองทรัพย์สินส่วนบุคคล,
ผมมักจะมองพวกเขาและแล้วพวกเขาทำเช่นนั้น และว่า,
คุณมีความคิดเล็กคิดน้อยที่ดีในอะไรที่คุณพูดถึงว่าโซเวียตทำอย่างแรกก็คือแจกจ่ายแบ่งปันที่ดิน,
สิ่งสำคัญที่สุดในทรัพยากรปัจจัยการผลิตที่พวกเขามี,
ในฐานะทรัพย์สินส่วนบุคคลของชาวไร่ชาวนา. แต่พวกเขาได้ยึดครองอุตสาหกรรมจริงๆ
และพวกเขาได้วางแผน/กำหนดเศรษฐกิจของพวกเขา(That’s why for example, when
people say, Socialism is against private property I always look at them and
then they did, you have a good faintest idea what you’re talking about the
first thing the Soviets did was distribute the land, the most important
resource they had, as the private
property of individual peasants. But they did take over the industry and they
did plan their economy).
ชาวจีนได้ทำในพื้นฐานนั้นด้วยเช่นกัน.
สองสิ่งแตกต่างขนานใหญ่ระหว่างจีนกับรัสเซีย คือในประเด็นว่าพวกเขาพัฒนาอย่างไร,
นั่นคือชาวจีนตัดสินใจตั้งแต่เริ่มแรก,
ว่าพวกเขากำลังที่จะกลายเป็นเศรษฐกิจส่งออก. พวกเขากำลังจะผลิดเพื่อส่วนที่เหลือชองโลก,
บางอย่างที่รัสเซียเองไม่ได้คิดจะทำหรือไม่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะการปิดประเทศตัวเองของพวกเขา,
มันมีการปนกันอยู่บ้างเล็กน้อย(The Chinese have basically done that
too. The two big differences between China and Russia in terms of how they
develop, was that the Chinese decided early on, that they were going to become
an export economy. They were going to produce for the rest of the world,
something the Russians either didn’t think to do or couldn’t do because of
their isolation, it’s a little mixer of both).
จีนเองก็ปิดประเทศในตอนแรกด้วยเช่นกัน
แต่ภายหลังคิสซิงเจอร์ไปเยือนและสิ่งทั้งหลายเปิดออกขึ้น, และสหรัฐ
อเมริกาและยุโรปไม่ได้ประพฤติตนเช่นนั้นในหนทางเดียวกัน,
พวกเขาเริ่มต้นที่จะมองเห็นถนนไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ โดยการเสนออย่างง่ายๆต่อตะวันตก,
ที่จะผลิตทุกอย่างที่ตะวันตกได้กักตุนสะสมไว้เป็นสินค้าโภคภัรฑฑ์และสินค้าทุนทั้งหลาย,
อย่างถูกกว่าและดีกว่า. (The Chinese were isolated at first too
but after Kissinger and things opened up, and also the United States and Europe
didn’t behave in the same way, they began to see a road to economic development
by basically offering to the West, to produce everything the West had
accumulated as consumer goods and capital goods cheaper and better).
ไมเคิล
บรูคส์: ดังนั้นแล้วในยุคปี
70 มีการเปิดประตูทางการเมืองเมื่อนิกสันและคิสซิงเจอร์ไปเยือนเหมา(ใช่),
แล้วก็มีความต่อเนื่องอีกบ้างด้วยคาร์เตอร์, แต่แล้วในยุคปี 80, เติ้ง
เสี่ยวผิงก็ขึ้นมาครองอำนาจและเขา, อะไรนะที่ได้พูด,
เขาได้พูดบางอย่างไว้แบบว่า,
ฉันไม่สนใจหรอกว่าแมวจะมีสีอะไรตราบใดที่มันจับหนูทั้งหลาย.(there’s the
political opening when Nixon and Kissinger visited Mao (right), then there’s
some continuity with Carter. But then in the 80s, Teng
Hsiao-p'ing3 comes
into power and was he, What did he say, he said something like, I don’t care
what color the cat is as long as it catches mice.
และนั่นเป็นสัญญานหนึ่ง(และมันก็ดีที่ได้รวย)...ดัวนั้นนั่นทำไม,
มันเป็นน่าขันที่ เติ้ง เสี่ยวผิง ได้ตกเป็นหน้าปกของหนังสือของเดวิด
ฮาร์วีย์นั่น เกี่ยวกับดเสรีนิยมใหม่ ถึงแม้ว่าเขาเป็นคอมมูนิสต์. มันแบบว่าถ้าคุณได้สังเกตเห็นในปกของหนังสือที่ว่านั้น,
มันมีแทตเชอร์, เรแกน และผมคิดว่าปิโนเชต์ด้วย,
แล้วก็มีชายคนหนึ่งในชุดสูทเหมา,
และคุณก็จะคิดว่าทำไมเขาถึงอยู่ที่นั่นด้วย?
และแล้วคุณก็จะอ่านมันเหมือนมันเป็นแบบว่า โอ้ เขาอยู่ที่ศูนย์กลางของมันจริงๆ(And
that a signal (and it’s good to be rich)…so that’s why, it’s funny Teng Hsiao-p'ing belongs on the
cover of that David Harvey’s book about neoliberalism4even
though he’s a communist. It’s if you notice in the cover of that book, it’s
Thatcher, Reagan and I think Pinochet, and then there’s a guy in a Mao’s suit,
and you would think why is he there? And then you read it like oh he was
actually at the center of it).
ริชาร์ด
วูลฟ์ฟ: แล้วชาวจีนได้พูดว่า, เราจะเป็นที่ที่ผลิตทุกสิ่งที่ตะวันตกต้องการ.
และเช่นนั้นพวกเขาก็ได้เข้ามาสู่ยุทธศาสตร์ที่ต่างออกไปจากโซเวียตส์,
บางส่วน, พวกเขาได้ออกแบบมันบางส่วนที่พวกเขามีทางเลือกที่จะทำมัน. และที่สำคัญมาก
ๆในประเด็นของการดิ้นรนต่อสู้ทั้งหลายในตอนนี้,
พวกเขาได้ทำการตัดสินใจที่จะเป็นสิ่งแตกต่างจากสหภาพโซเวียต
เพราะการเป็นส่วนหนึ่งของการเข้าไปสู่ส่วนที่เหลือของโลกให้ได้รับสิ่งทั้งหลายของพวกเขาได้ขายในสหรัฐ
อเมริกา. ตัวอย่างเช่น,
พวกเขาได้ต้องการที่จะสาธิตแสดงให้เห็นอะไรที่พบกับคุณกันครึ่งทาง. ดังนั้นอะไรที่พวกเขาได้ทำคือสิ่งที่พวกเขาได้พูด, เราจะยินยอมให้มีกิจการเอกชน,
เราจะมีอำนาจเหนือการตลาดอย่างมากโดยรัฐ, การเป็นเจ้าของโดยรัฐและรัฐบริหารจัดกากิจการทั้งหลาย
ที่ยังคงเป็นอยู่ในทุกวันนี้คือสิ่งสำคัญในจีน, แต่เราจะยินยอมให้กิจการเอกชนมีขึ้นได้โดยชาวจีน(we’re
going to be the place that produces everything that the West wants. And so they entered on to a strategy different from the
Soviets, partly, they designed it partly they have the option to do it. And
very, very important in terms of the struggles now, they made the decision to
be different from the Soviet Union because as part of getting in to the rest of
the world getting their stuff sold in United States. For example, they wanted
to demonstrate a kind of will meet you halfway. So what they did was they said,
we will allow private enterprise, we will have the state with a very dominant
position, the state-owned and state operated enterprises which remain to this
day important in China, but we will allow private enterprises by the Chinese).
และกระทั่งมากยิ่งขึ้น,
เรายินยอมให้มีการร่วมกิจการ, ที่ซึ่งเอกชนชาวจีนสามารถทำธุรกิจข้อตกลงร่วมกันกับบริษัทของชาวเยอรมันหรือชาวญี่ปุ่น
หรือชาวอเมริกันได้, และเราจะยินยอมนั่นด้วยเช่นกันกับในชาวตะวันตกทั้งหลายที่พวกเขากำลังจะถูกนำเข้าไปในบริษัทตะวันตกอันน่าตื่นตาตื่นใจทั้งหลายนี้
ที่เริ่มต้นจะเข้าใจว่า สิ่งนี้เป็นกลยุทธที่ประสบสำเร็จเต็มเปี่ยม.
ผมหมายคว่ามว่า, บริษัทตะวันตกทั้งหลายได้มองเห็นว่า
การเติบโตในค่าจ้างทั้งหลาย, ความเติบโตตลาดทั้งหลาย, ความเติบโตในทางเข้าถึงยังตลาดที่ระเบิดขึ้นทั้งหลายนี้,
เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจอย่างไม่น่าเชื่อ และพวกเขาต้องเข้าไปสู่ในมัน.
แล้วพวกเขาก็รีบด่วนเข้าหาชาวจีน และนี่คืออะไรที่ได้เกิดขึ้นแล้ว,
ธุรกรรมได้ทำทับซ้ำแล้วซ้ำอีก, ในธุรกรรมเดียวกัน(And
even more we will allow joint enterprises, in which the private Chinese can cut
a deal with German or Japanese or American companies, and we will allow that as
well the Glee in the West that they were going to be brought into this was
fantastic Western companies began to understand that this was a successful
strategy. I mean that, the Western companies saw that the growth in wages, the
growth in the markets, the growth in access to this exploding market, was
unbelievably attractive and they had to get in on it. And so they rushed to the
Chinese and here’s what was done, a deal was struck over and over again, same
deal).
เราต้องการที่จะนำผลผลิตไปยังจีน,
เราต้องการได้เปรียบของค่าแรงต่ำ หรือ ค่าจ้างต่ำทั้งหลายที่คุณจ่าย,
นั่นเป็นสิ่งน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับเรา. เราสามารถปิดโรงงานที่ซินซินเนติ
และเปิดมันที่ในเซี่ยงไฮ้ ฯลฯ(we want to bring production to
China, we want to take advantage of the poor wages or low wages you pay, that’s
fantastic for us. We can close the factory in Cincinnati and open it in
Shanghai etc.).
หมายเลขสอง,
เราต้องการเข้าถึงตลาดของคุณ, ทำไม, เพราะว่าเสร็จเรียบร้อยในp68xu
1990 และเข้ามาในศตวรรษนี้, ตลาดจีนได้เติบโตเร็วกว่าอเมริกัน.
ถ้าคุณรู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับระบอบทุนนิยม, มันไม่ใช่เป็นเรื่องขนาดของตลาด
แต่เป็นอัตราการเติบโต, ความเร็วที่สำคัญอย่างยิ่งต่อ...ต่อการวางแผนสำหรับอนาคตของคุณ(Number
two, we want access to your market, why, because already by the 1990s and into
this century, the Chinese market was growing faster than the American. If you
know anything about Capitalism, it’s not the size of a market but the rate of
growth, velocity that is crucial to…to planning for your future).
ดังนั้นบริษัทอเมริกันทั้งหลาย,
ตัวอย่างเช่น, เข้ามาแล้วพวกเขาก็ร้องขอสองสิ่ง, แรงงานราคาถูกและการเข้าถึง. และจีนก็บอกว่า, ได้เลย, เราจะให้คุณในแรงงานราคาถูกและเราจะให้การเข้าถึงกับคุณ,
คุณต้องให้เราด้วยเทคโนโลยีของคุณ,
และคุณต้องให้ความช่วยเหลือแก่เราในการเข้าถึงยังตลาดของคุณ,
เพื่อที่เราจะได้สามารถขายสินค้านี้ในกำไรของคุณ เพราะว่าคุณเองกำลังผลิตอยู่ในจีน,
สินค้าพวกนี้ที่คุณต้องการที่จะขายในสหรัฐ อเมริกาด้วยเช่นกัน.
ดังนนั้นเราจะทำนั่นด้วยกัน(So the American companies, for example,
came in and they ask for two things, a cheap labor force and access. And the
Chinese said, fine, we’ll give you the cheap labor and we’ll give the access,
you’ve got to give us your technology, and you’ve got to give us help in
getting access to your market, so we can sell this stuff which is in your
interest because you are producing in China, stuff that you want to sell in the
United States too. So we’ll do that together).
นั่นเป็นเมื่อเราแต่งงานกัน
เพราะว่านั่นจริงๆแล้วคืออะไรระหว่างจีนกับวอลมาร์ตพัฒนามันขึ้น.
พวกเขาทั้งสองพบในสิ่งที่มีซึ่งกันและกันมา, 35 ปีแล้ว. ไม่มีที่วอลมาร์ตอะไรแบบที่เราเหมาโมเมเอาโดยปราศจากของจีนและอะไรอื่นๆ,
เพราะว่าอะไรที่วอลมาร์ตได้ทำ, ก็คือให้เครือข่ายกระจายสินค้าทันที.
สิ่งใดที่ชาวจีนสามารถผลิต, วอลมาร์ตจะนำมันเข้าไปสู่ทุกหมู่บ้านในเมือง,
และทุกร้านสินค้านอกเมือง, ทุกๆแห่ง(That’s when the marriage because
that’s really what it is between China and Walmart develop. The two of them
meet each other have, for 35 years. There would be no Walmart of the sort we
take for granted without the Chinese and vice-versa, because what Walmart did,
is give the Chinese an instant distribution network. Anything the Chinese could
produce, Walmart would bring into every village in town, every suburban mall,
everywhere).
ข้อตกลงธุรกรรมอันน่าตื่นตาตื่นใจ.
แต่นั่นเมื่อคุณได้ในทุกวันนี้, ว่าคนจีนกำลังขโมยเทคโนโลยีของเรา.
นั่นไร้สาระมาก, นั่นเป็นการกระหน่ำตีจีนด้วยความคิดเชิงอุดมคติล้วน ๆ.
ข้อตกลงธุรกิจนั้นได้กระทำไว้แล้ว, พวกเขาได้เทคโนโลยีนั่น
ที่พวกเขาเรียกร้องกับการแลกเปลี่ยนสำหรับแรงงานราคาถูกและการเข้าถึง.
และนั่นเป็นข้อตกลงที่ไม่มีใครถือปืนจ่อหัวใคร. คนอเมริกันไม่ต้องการแบ่งปันเทคโนโลยี,
ก็เดินไปที่อื่นสิ, แต่มันไม่ได้ต้องการ,
เพราะว่ามันได้ตั้งใจที่จะต่อรองแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีนั่นด้วย.
และการอ้างในตอนนี้ทั้งหมดว่าพวกเขาบีบบังคับเรานั้นเป็น...จริงๆแล้วมันคือพวกหาประโยชน์ไม่ได้
และมันเป็นพวกงี่เง่าที่หาประโยชน์ไม่ได้เลยด้วย. อย่างไรก็ตาม,
เช่นนั้นแล้ว...(Fantastic deal. But that’s when you hear today, the Chinese
are stealing our technology. That is nonsense, that pure ideological bashing of
China. A deal was struck, they got the technology which they demanded in
exchange for the cheap labor and the access. And that was a deal that nobody
held the gun to anybody’s head. The American didn’t want to share technology,
walks away, but it didn’t want to, because it was willing to parlay that
technology. And to claim now all they forced us is…is really it’s a crock and
it’s a silly kind of crock. Anyway so—(ok, I’m am finish).
อะไรที่จีนทำก็คือการผสมผสานนี้ของกิจการของเอกชนและขแองรัฐ,
ถูกควบคุมโดยพรรคคอมมูนิสต์ จีน อยู่ในอำนาจและถือครองอยู่กับอำนาจนั้น,
ข้อตกลงธุรกรรมทั้งหลายถูกทำขึ้นโดยสองฝ่าย, ทั้งกิจการของรัฐและกิจการของเอกชน
กับ ชาวต่างชาติทั้งหลายเพื่อสันถวไมตรี, เพื่อการเข้าถึงตลาดทั้งหลายภายนอกประเทศ,
เพื่อการส่งออกทั้งหมด เพ่งเน้นไปที่การทำงานทั้งหมดของสิ่งนั้นออกมา. และในเวลาเดียวกัน,
ก็มีอะไรชนิดที่รัฐบาลคอยกำกับควบคุมด้วย, ตัวอย่างเช่น, การขึ้นค่าแรง,
ผมหมายถึงว่า คนจีนได้รู้ถึงเรื่องนี้มานานก่อนทรัมป์ ที่จะทำโปรแกรม/โครงงานในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกเท่าๆกับที่พวกเขาผลิตมันขึ้นมา,
เป็นหนทางที่อัศจรรย์ยิ่งที่จะทำให้เป็นอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็ว(What
the Chinese did is this mixture of private and state enterprise, controlled by
a Communist Party in power and holding on to that power, deals to be made both
by the state enterprises and the private enterprises with foreigners for
goodwill, for access to markets abroad, for the whole export focus to work all
of that out. And at the same time, have a kind of government control so, for
example, wages rose, I mean the Chinese already knew long before Trump that to
make an economic development program as dependent on exports as they had made
it, was the wonderful way to industrialize quickly).
นั่นคือทำไม จีน จึงเป็นมหาอำนาจอย่างยิ่ง,
แต่มันก็เป็นยอันตรายอย่างมากๆด้วยเช่นกัน,
เพราะว่าถ้าสิ่งใดได้บังเกิดขึ้นกับตลาดส่งออกนั้น,
คุณก็จบสิ้น...นั่นนอกเหนือจากการควบคุมกำกับของคุณที่พึ่งพาอยู่กับอะไรที่พวกยูโรเปียนส์จะซื้อจากจีน,
อะไรที่คนอเมริกันจะซื้อ. บทเรียนแรกของพวกเขาที่ทำให้ตระหนกตกใจ
นั่นคือการพังพาบลงในปี 2008 และ 9. เมื่อทันทีนั้นตลาดการส่งออกพังพาบลงสำหรับจีน.
เพราะว่าฝ่ายตะวันตกได้กำลังผ่านเข้าสู่วิกฤตการณ์ที่ไม่สามารถซื้ออะไรได้อย่างที่มันเคยซื้อมาก่อนหน้านี้
และนั่นเป็นการปลุกให้ตื่นขึ้นมาอย่างใหญ่โต และพวกเขาได้ทำการตัดสินขึ้นอีกครั้ง.
เรื่องนี้ก่อนหน้าทรัมป์, พวกเขาปรับการเพ่งเน้นเศรษฐกิจของพวกเขาออกไปจากการส่งออกและสร้างตลาดภายในของพวกเขาเองขึ้นมา.
หนทางเดียวที่จะทำเช่นนั้นได้ก็คือการขึ้นค่าแรง, นั่นคือทำไมค่าแรงในจีนจึงพุ่งสูงขึ้นเหมือนการละครหลายครั้ง
เร็วกว่าอะไรที่เกิดขึ้นกับค่าแรงที่นี่ในสหรัฐ อเมริกา (That’s
why China is so powerful, but it’s also dangerous very, very dangerous, because
if anything were to happen to that export market, you’re done…that’s out of
your control that depends on what the Europeans will buy from China what the
Americans will buy. Their first lesson the shock was the collapse of 2008 and 9
when suddenly the export market collapsed for China. Because the West was going
through a crisis couldn’t buy what it had bought before and that a real big
wake-up call and they make the decision again. This is before Trump, to refocus
their economy away from exports and built up their internal market. The only
way to do that is to raise wages which why the wages in China have gone up so
dramatically many times faster than what happened to wages here in the United
States).
การเปรียบเทียบที่ผมหมายถึง,
คือไม่มีการเทียบกันได้ในค่าแรงที่นี่ ซึ่งอย่างพื้นฐานเป็นที่หยุดนิ่งมา
30 ปีแล้ว, ในจีน
พวกเขาเป็นเกือบสี่หรือห้าเท่าในช่วงปัจจุบันนี้ในอะไรที่พวกเขาได้ค่าแรงเมื่อ 30
ปีก่อน. ดังนั้นมันจึงแตกต่างเท่าๆกับเป็นกลางคืนกับกลางวันเลย. และเช่นนั้นเอง,
เรื่องนี้จึงเป็นความสำเร็จอย่างเต็มเปี่ยม,
มันไม่ใช่คำถามของความเหมือนแบบจำลองของจีน หรือการพิสูจน์รับรองในอะไรที่พวกเขาทำกับเรื่องเสรีภาพประชาชน
ที่เป็นอีกเรื่องสำคุญอื่นอันหนึ่ง(The comparison I mean there is
no comparison here wages are basically stagnated for 30 years in China they’re
about four to five times in real terms today what they were 30 years ago. So
it’s as different as night and day. And so this was successful it’s not a
question of liking the Chinese model or approving what they do with civil
liberty that’s another matter an important one).
แต่ถ้าคุณกำลังจะพูคุยกันถึงเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจ, จีนได้พัฒนาเศรษฐกิจของพวกเขา,
เป็นเศรษฐกิจสำหรับหนึ่ง, เกือบหนึ่งพันห้าร้อยล้านประชาชน,
หนึ่งในที่ที่เคยยากจนที่สุดบนดาวเคราะห์นี้,
ในตอนนึคือพลังอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับที่สอง
และในอีกภายในหนึ่งทศวรรษก็ดูเหมือนว่าจะขึ้นมาแทนที่สหรัฐ อเมริกา, ในผลผลิตที่แท้จริง(But if
you’re gonna be talking about economics, the Chinese have developed their
economy an economy of one, almost one-and-a-half billion people, one of the
poorest places on this planet, is now the second economic power and within a
decade will likely overtake the United States in sheer output).
นี่เป็นผลสัมฤทธิ์ที่ไม่น่าเชื่อ,
การพัฒนาทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วอันยิ่งใหญ่กว่าประเทศทุนนิยมใดๆที่เคยได้รับผลสำเร็จมาอย่างมาก.
ปีนี้, เป็นตัวอย่าง, ฝ่าย...ตะวันตกได้กดตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนแล้ว
ไว้ที่ 6.2 %...อืมมม, เย้, สหรัฐ อเมริกา แค่ 2%, เสียใจด้วย, และนั่นได้เป็นอัตราส่วน 2 .31 เท่า ที่คือทำไมว่า
ช่องว่างที่เคยมีจึงกำลังแคบลง และพวกเขากำลังจะไล่ทัน เพราะว่าในปีที่ย่ำแย่เอง,
พวกเขาก็ยังเติบโตเป็น -3 เท่า เร็วกว่าที่เราทำได้ในประเทศนี้(This is
an unbelievable achievement, it is a greater more rapid economic development
than any Capitalist country has achieved by a lot. This year for example
the…the West press crows Chinese economic growth only is only 6.2 percent
…mmm…yeah the Unites States is 2 percent, sorry, and that’s been the ratio two
to three to one which is why the gap is narrowing and they’re catching up
because in a bad year they growth too three times faster than we do in this
country).
และพวกเขาได้ทำเช่นนั้นมานานแล้ว และผมคิดว่าเส้นใต้ของอะไรทั้งหมดที่คุณกำลังมองเห็นในตอนนี้
คืออะไรชนิดที่เป็นตื่นวิตกกังวลไปตามที่ มร.ทรัมป์และเหล่าภาคส่วนเศรษฐกิจอเมริกันทั้งหลาย,
ซึ่งเราได้นำเสนอ, หรืออย่างน้อยที่สุดก็ได้ทำเช่นนั้น,
มันได้ช่วยสนับสนุนเขาผู้ที่ตระหนักถึงเรื่องนั้นว่า นี้คือตอนนี้คือ เกมใหม่ทั้งปวง
ที่พวกเขาได้รอคอยอยู่. พวกเขาอาจจะได้เคยสามารถที่จะทุกเปรี้ยงกับจีนได้ในตอนเริ่มแรกก่อนนี้,
ถ้าพวกเขาได้ติดตามต่อจากสงครามเกาหลีด้วยการบุกสู่จีน
ซึ่งบางคนก็ได้ต้องการจะทำเช่นนั้น. แต่ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถทำได้,
มันสายเกินไปแล้ว และนั่นคือความหงุดหงิดและโมโหและเสียอารมณ์.
มันเหมือนกันเล็กน้อยกับบริติช, ที่ต้องเผชิญหน้ากับอาณานิคมเก่าเล็กๆของตน,
สหรัฐ อเมริกา ขับไล่พวกเขาออกมา,ทำยุทธการขับไล่พวกเขาออกมา,
ได้เอาชนะพวกเขาในตอนนี้.
และตอนนี้มันเป็นสุนัขที่ถูกทำให้หางกระดิกในขระที่พวกเขานิ่งเฉยๆ...(And
they’ve been doing that a long time and I think the bottom line of all of what
you’re seeing now is a kind-of wake up anxiety on the part of Mr.Trump and
those sectors of the American economy he represents or at least it does support him who realizing that this
is now a whole new game that they waited. They may have been able to smash
China earlier if they had you followed up the Korean War with an attack on
China which some wanted to do. But by now they can’t, it’s too late and that
the frustration and rage and upset. It’s a little bit like the British, having
to face that their old little colony, the United States out, maneuvered them
out, ranked them. And now it’s the dog being wagged while they still…)
ไมเคิล บรูคส์: ผมคิดว่าพวกเขายังคงไม่สามารถทำรับมือกับคุณได้,
ถ้าคุณมองดูที่ความเพ้อฝันทั้งหลายของเบร็กซิตของพวกเขา, ว่าพวกเขาจะเบ่งกล้ามทำทางไปอย่างไรเข้าไปในบางการครอบงำตลาดโลก(I
think they still can’t deal with you if you look at their Brexit fantasies
them, how they gonna muscle their way into some global market dominance).
คุณเพิ่งได้รับชมวิดีโอรายการไมเคิล
บรูคส์โชว์ และคุณสามารถชมฉบับเต็มทั้งหมดของรายการสดของเราได้ทุกคืนวันอังคารในตอนราว
7:00 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออก. และกดปุ่มsubscribe/ติดตามเพื่อจะได้คลิปทั้งหลายทั้งหมดที่คุณต้องการ,
เรากำลังทำการครอบคลุมไปทั่วโลก, เรากำลังเพ่งเน้นอยู่กับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ,
งานปัญญาในมุมมืดที่เรากำลังสนุกสนานกัน. เราทำการขุดค้นลงลึกด้วยแขกรับเชิญที่น่าทึ่งมากมาย.
แน่นอนว่า, ได้โปรดมาเป็นผู้สนับสนุนเราสำหรับสิ่งทั้งปวงที่ patron.com/tMBS
หรือติดตามที่ช่อง YouTubeนี้ และช่วยรักษาความเติบโตของเรานี้ให้อยู่ต่อไป และได้เนื้อหานั้นออกมาที่ปุ่มติดตามข้างล่างนี้(You’ve
just watched a Michael Brools show video and you can watch all of our full main
live shows every Tuesday night at around 7:00 pm Eastern Time. And subscribe to
get all of the clips that you want, we’re covering the globe we’re focusing on
international relation the intellectual dark web we’re having fun. We’re doing
deep dives with a lot of amazing guests. Of course , become a patron for the
whole thing at patron.com/tMBS or
subscribe to this YouTube channel and help us keep growing and get that content
out there subscribe below).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น