สวามี ทตอาตมนันฑะ - ความกว้างใหญ่ไพศาลของ จิตสำนึก—คำสอนพระเวททั้งหลายเรื่องการหลุดพ้น: โมกษะ
The Vastness of Consciousness -- Vedantic Teachings
for Liberation: Moksha
https://youtu.be/KS4aUfBRKx8?si=p-YuW2En3t5wtkWZ
นานมาแล้ว, ฤาษีโบราณทั้งหลาย(the ancient Rishis)ได้สำรวจค้นหาในความลี้ลับทั้งหลายของการสร้างสรรค์(explored the mysteries of Creation) – การเกิดและการตาย(birth and death), สวรรค์และโลก(heaven and earth), ความทุกข์และความหลุดพ้น(suffering and liberation).
พวกเขาได้ไม่ใช่แค่เสาะหาเพียงแค่ปัญญาทางจิตวิญญาณเท่านั้น; แต่พวกเขายังได้เสาะหาความรู้ของจักรวาลด้วยเช่นกัน. (They
sought not only spiritual wisdom; they sought knowledge of cosmos as well.)
พวกเขาได้มุ่งมั่นที่จะเขาใจว่าโลกทำงานอย่างไรกันมายาวนานก่อนที่จะถึงรุ่งอรุณของวิธีการทั้งหลายทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่.
(long before the dawn of modern scientific methods.) แทนที่จะเป็นวิทยาศาสตร์, พวกเขาได้ใช้พลังของจิตทั้งหลายของพวกเขาเอง(they
used the power of their own minds.)
ลองจินตนาการดูว่า เมื่อท่านฤาษีมองจ้องขึ้นไปในตอนกลางคืนและได้เห็นดวงดาวทอดยาวเป็นแนวโค้งมหึมาพาดท้องฟ้า, พวกเขาได้คิดอะไร? เมื่อพวกเขาได้เห็นดวงอาทิตย์เดินทางในแต่ละวันและดวงจันทร์ในช่วงแต่ละดือน, พวกเขาได้คิดอะไร? (when they saw the sun’s daily journey and the monthly phases of the moon, what did they think?)
คำอธิบายทั้งหลายที่พวกเขาได้มุ่งเสนอเป็นที่แตกต่างอย่างที่สุดจากทฤษฎีทั้งหลายของนักปรัชญาตะวันตกทั้งหลายในสมัยนั้น.
ในประเทศกรีซโบราณ(ancient Greece),
นักปรัชญาเมธีทั้งหลายคิดว่า โลกนี้ได้ถูกผิดหุ้มอยู่โดยทรงกลมจินตนภาพขนาดยักษ์.
ดวงดาวทั้งหลายทั้งหมดได้ถูกแปะติดอยู่กับทรงกลมนั้น
ได้ถูกจัดเรียงในแบบแผนทั้งหลายที่คุ้นเคยที่เรารู้จักกันว่าคือ กลุ่มดาว/นักษัตรทั้งหลาย.
(the
Earth was enclosed by a giant celestial sphere1. All
stars are attached to that sphere arranged in familiar patterns we know as
constellations.)
ในขณะที่ทรงกลมนั้นหมุนไป(As the
sphere rotates), จากมุมมองจากโลกของเรา,
เราเห็นดวงดาวทั้งหลายบนทรงกลมนั้นกำลังเคลื่อนที่ข้ามท้องฟ้าไปจากทางตะวันออกสู่ตะวันตก.
(from
our earthly perspective, we see stars on the sphere moving across the night sky
from east to west.)
แต่ชาวกรีกโบราณอธิบายไว้ว่าอย่างไรในการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์,
ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ทั้งหลาย? อ้างอิงตามที่นักปรัชญาเมธีผู้หนึ่งชื่อ พโตเลมีกล่าวไว้(Ptolemy),
ดวงอาทิตย์(sun), ดวงจันทร์และดาวเคราะห์ทั้งหลาย(moon
and planets)ต่างติดอยู่กับทรงกลมทั้งหลายของพวกเขาเอง
ตั้งอยู่ระหว่างโลกและทรงกลมของดวงดาวทั้งหลาย. (are each attached to their
own spheres located between the Earth and the sphere of the stars.)
แต่ละทรงกลมนั้นหมุนไปอย่างเป็นอิสระต่อกัน(Each
sphere rotates independently, according to the celestial body attached to it.) แน่นอนว่า,
พโตเลมีได้ทำมันผิด เมื่อเขาวางโลกไว้ที่จุดศูนย์กลางของจักรวาล.
อีกทั้งเช่นเดียวกัน, เขาก็ไม่สามารถอธิบายได้วางอะไรทอดวางอยู่ภายนอกสุดของทรงกลมนั้น(Ptolemy
got it wrong when he put the Earth at the center of the cosmos. Also, he
couldn’t explain what lies beyond the outmost sphere.) ศิลปินได้พรรณนาให้เห็นไว้ในภาพแกะสลักนี้อันน่าอัศจรรย์,
ถึงใครบางคนเจาะทะลุเปลือกทรงกลมนั้นออกไปแอบมองเข้าไปในอาณาจักรลี้ลับทั้งหลายที่ทอดวางโพ้นเลยออกไปนั้น.
ปราชญ์ทั้งหลายของอินเดียโบราณ, ในอีกด้านหนึ่ง, ได้มองเห็นสวรรค์ทั้งหลายอย่างแตกต่างไปมากจากฝ่ายตะวันตกคู่ตรงข้ามกับพวกเขา. (sages of ancient India, on the other hand, envisioned the heavens very differently than their Western counterparts.)
ฤาษีทั้งหลาย(the
Rishis)พิจารณาเห็นว่า ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์
ดวงดาวและดาวเคราะห์ทั้งหลายเป็นสิ่งทรงปัญญายิ่ง(be intelligent being)หรือพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย(deities)ซึ่งพวกเขาเรียกว่า
เทวดา(Devatas2.)
2 https://en.wikipedia.org/wiki/Devata
ฤาษีทั้งหลาย(the
Rishis)ได้บอกว่า, แต่ละเทพสวรรค์ทั้งหลายเหล่านี้(these
celestial deities)ได้ถูกลิขิตที่จะไปตามวิถีจำเพาะพิเศษผ่านท้องฟ้า,
วิถีที่ได้ลิขิตไว้โดยพระอิศวร, พระผู้เป็นเจ้า/ผู้เป็นใหญ่แห่งจักรวาล (is
ordained to follow the particular path through the sky, the path ordained by
Ishvara3, the God of the cosmos.)
คัมภีร์ไตทติริยา
อุปนิษัท(Taittiriya Upanishad3)กล่าวไว้ว่า,
ภิโสเฑติ สุริยา(bhishodeti suryah4),
ดวงอาทิตย์ขึ้นตามที่ได้เชื่อฟัง(the sun rise due to obedience.)
3 https://en.wikipedia.org/wiki/Taittiriya_Upanishad
* https://hmong.in.th/wiki/Taittiriya_Upanishad
4https://www.esamskriti.com/e/Spirituality/UpanishadsCommentary/Taittiriya-Upanishad~-Petal-8-2.aspx
พระอิศวรปกครองสวรรค์ทั้งหลายและโลกโดยการสถาปนากฏทั้งหลายแห่งธรรมชาติ
ที่กำหนดไว้ให้ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์ล
ดวงดาวและดาวเคราะห์ทั้งหลายเดินทางท่องผ่านไปอย่างไรในอวกาศ. (Ishvara
ruled the heavens and earth by establishing the laws of nature which determine
how the sun, moon, stars and planets travel through space.)
แต่แล้ว,
ท่านฤาษีทั้งหลายนั้นเข้าใจในธรรมชาติของอวกาศในตัวมันเองอย่างไร?(But
then, how did the Rishis understand the nature of space itself?) พวกเขาเรียกอวกาศว่า
อากาศะ(Akasha)และพวกเขาได้พิจารณาวินิจฉัยว่า
มันเป็นหนึ่งใน5 ธาตุพื้นฐานตามที่มีอยู่กันอีกคือ ลม(Air),
ไฟ(Fire), น้ำ(Water)
และดิน(Earth). แต่พวกเขาได้สังเกตว่าอากาศะ(Akasha)นี้มีรูปลักษณ์เป็นเอกโดดเด่น
แตกต่างไปจากอันอื่นคือ - มันไร้รูป. (has a unique, distinguishing
features – it is formless.)
ไม่เหมือนกันกับธาตุอื่นๆ, อากาศะ(Akasha)ไม่มีรูปทรง(no
shape), ไม่มีรูปร่าง(no form),
ไม่มีมิติทั้งหลาย (no dimensions-ระยะขนาด).
และในเมื่ออากาศะไร้ซึ่งมิติทั้งหลาย, มันจึงไร้ขอบเขต, ไร้ขีดจำกัด,
และดังนั้นเองจึงแผ่ซ่านไปทั้งหมด. (And since Akasha is
dimensionless, it is boundaryless, limitless, and therefore all-pervasive.)
ดังนั้นเมื่อฤาษีทั้งหลายมองขึ้นไปในท้องฟ้ายามราตรี,
พวกเขาไม่เคยคิดว่าดวงจันทร์และดวงดาวทั้งหลายได้ถูกแปะติดอยู่กับครอบทรงกลมยักษ์ทั้งหลาย(were
attached to giant spheres)แต่ค่อนข้างจะเป็นว่า
ดวงจันทร์และดวงดาวทั้งหลายเดินทาผ่านไปในอวกาศอันไม่มีที่สิ้นสุด, ไร้ขแอบเขต,
ไร้ขีดจำกัด, กว้างใหญ่ไพศาล. (travelled through infinite space,
boundaryless, limitless, vast.)
เมื่อฤาษีและชาวกรีกโบราณทั้งหลาย,
มองขึ้นไปในท้องฟ้าตอนกลางวันและกลางคืน,
พวกเขามองเห็นสิ่งเดียวกันทั้งดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์,
ดวงดาวและดาวเคราะห์ทั้งหลายเดียวกัน, ประสบการณ์รับรู้ทั้งหลายของพวกเขาก็เป็นสิ่งเหมือนกันเดียวกัน,
แต่พวกเขามาสู่ข้อสรุปที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเกี่ยวกับอะไรที่พวกเขาได้ประสบรับรู้.
(Their experiences were identical, but they came to utterly different
conclusions about what they experienced.) ทำไม?(why?)
เพราะว่าพวกเขาแปลความหมายประสบการณ์รับรู้ทั้งหลายของพวกเขาอย่างแตกต่างกัน(Because
they interpreted their experiences differently.)
เราทั้งหมดต่างทราบดีว่าประสบการณ์รับรู้สามารถนำเราไปผิดทางได้อย่างไร.
เราได้ถูกหลอกทั้งหมดโดยมายาภาพทั้งหลายจากการมอง, เหมือนเช่นการเห็นช้อนที่งอนี้
หรือการมองเห็นเรือดูเหมือนว่าลอยอยู่ในอากาศเมื่อมันที่จริงแล้วลอยอยู่บนผิวน้ำที่ใสเป็นแก้วผลึก.
(We all know how experience can mislead us. We’ve all been fooled by
optical illusions, like seeing this bent spoon or seeing a boat seem to float
in the air when it’s actually floating on crystal clear
water.) ตัวอย่างอันโปรดปรานของฉันก็คือการเฝ้าดูดวงอาทิตย์อัสดงอันงดงาม.
ขณะที่ดวงอาทิตย์จมลงช้าๆใต้ดเส้นขอบฟ้า,
มันง่ายที่จะลืมไปแล้วคิดว่าดวงอาทิตย์ไม่ได้เดินทางผ่านไปในท้องฟ้าจริงๆ. (A
favorite example of mine is watching a beautiful sunset. As the sun slowly dips
below the horizon, it’s easy to forget that the sun doesn’t really travel
through the sky.) ดวงอาทิตย์ยังคงประจำที่อยู่นิ่งๆ,
เป็นโลกเองที่เคลื่อนที่ไป. (The sun remains stationary, It’s the
Earth that moves.)
ขณะที่โลกกำลังหมุนไป ดวงอาทิตย์ก็ดูเหมือนกำลังตกลง/อัสดง. (As the Earth rotates, the Sun seem to set.) ดวงอาทิตย์ไม่ได้ตกลงไป, มันเป็นเส้นขอบฟ้าที่เคลื่อนขึ้นมา. (the Sun doesn’t go down, it’s the horizon that moves up.) กระนั้น, เราจึงยังคงพูดกันว่า ดวงอาทิตย์กำลังตกลงไป, เหมือนเช่นที่ชาวกรีกโบราณทั้งหลายพูดว่า ดวงจันทร์และดวงดาวทั้งหลายได้ถูกแปะติดอยู่กับครอบทรงกลม. (Yet, we still say that the Sun goes down, just like the ancient Greeks said that the moon and stars are attached to giant sphere.)
คำอธิบายสรุปทั้งสองเหล่านี้นั้นผิด.
และทั้งสองต่างเนื่องมาจากการแปลความหมายทั้งหลายของประสบการณ์รับรู้ผิดไป(Both
of these conclusions are wrong. And both are due to the incorrect
interpretations of experience.)
ท่านฤาษีทั้งหลายนั้นได้ตรวจสอบประสบการณ์รับรู้ของพวกเขาอย่างระมัดระวัง,
มุ่งไปสู่ญาณทั้งหลายที่บรรลุภายในอย่างยิ่งใหญ่, ทั้งอย่างทางโลกและอย่างทางวิญญาณ.
(leading
to great insights, both worldly and spiritually.) ในบางครั้งพวกเขาได้ครุ่นคิดไตร่ตรองโลกรอบตัวพวกเขาและสวรรค์เบื้องบน,
แต่ในอีกด้านหนึ่ง,
พวกเขาก็ปิดดวงตาของพวกเขาและกำกับความสนใจของพวกเขาอยู่ภายในเพื่อเสาะหาความรู้เชิงจิตวิญญาณ,
ความรู้ของความเป็นจริง, ความเป็นจริงอันเนื่องจากการที่ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์,
และดวงดาวทั้งหลายมีอยู่, ความเป็นจริงอันเนื่องจากการที่คุณและฉันมีอยู่,
ความเป็นจริงอันเนื่องจาการที่ประสบการณ์รับรู้ในตัวมันเองก็มีอยู่. (Sometimes
they contemplated the world around them and heaven above, but at the other
times, they closed their eyes and direct their attention within to seek
spiritual knowledge, knowledge of reality, the reality because of which the
sun, moon, and star exist, the reality because of which you and I exist, the
reality because of which experience itself exist.)
และในการที่เข้าใจธรรมชาติของประสบการณ์รับรู้ในตัวมันเอง,
ฤาษีทั้งหลายนั้นจำเป็นต้องสืบค้นลึกลงไปในธรรมชาติของจิต,
เพราะว่าประสบการณ์รับรู้ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นที่ในจิตทั้งหลายของเรา. (And to
understand the nature of experience itself, the Rishis had to inquire deeply
into the nature of mind, because all the experience takes place in our minds.) การสืบค้นนั้นได้ถูกบันทึกไว้ในเคนะ อุปนิษัท ที่ซึ่งฤาษีนั้นได้ถามว่า,
“เคเนสิทัม ปาตาติ เพรสิตัม มานาหะ, มันคืออะไรที่ทำให้จิตนั้นคิด? (“That
inquiry recorded in the Kena Upanishad where the Rishi askes, keneshitum patati
preshitum manah, what is it that makes the mind think?) จิตและประสาทสัมผัสรู้ของเราทำงานอย่างไร?”
(How do our minds and senses work?”)
ประสบการณ์รับรู้ทั้งหมดเกิดที่ในจิตทั้งหลายของเรา(All
experience takes place in our minds.) ตัวอย่าวงเช่น,
เมื่อคุณมองเห็นต้นไม้หนึ่ง, เลนส์ทั้งหลายของดวงตาของคุณเพ่งจุดภาพของต้นไม้นั้นไปบนด้านหลังของดวงตาแต่ละข้าง.
ที่นั้นเอง, เรตินา/จอตา เปลี่ยนรูปภาพกลับหัวขนาดจิ๋วของต้นไม้ไปเป็นสัญญาณทั้งหลาย
ที่เดินทางไปตามเส้นประสาทตาสู่สมองของคุณ. (when you see a tree, the lenses
of your eyes focus an image of the tree onto the back of each eye. There, the
retina5 transforms a tiny up-side down image of
the tree into signals which travel along the optic nerve6 to
your brain.)
5https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B8%B2
6 https://il.mahidol.ac.th/e-media/nervous/chapter3.htm
เครือข่ายสมองอันทรงพลังของคุณของนิวรอน/เซลล์ประสาททั้งหลาย
ตอบสนองโดยการผลิตสร้างภาพต้นไม้ต้นนั้นขึ้นมาในจิตของคุณ. (Your
brain’s powerful network of neurons responds by producing an image of the tree
in your mind. You see tree only when its image appears in your mind.)
ในวิถีเช่นเดียวกัน, สัญญาณทั้งหลายจากประสาททั้งหลายในหูของคุณทำให้เกิดเสียงทั้งหลายขึ้นในจิตของคุณ. (In a similar way, signals from nerves inside your ears causes sounds to arise in your mind.)
และสัญญาณทั้งหลายจาก จมูก(nose),
ลิ้น(tongue), และผิวหนัง(skin)
ทำให้เกิดความรู้สึก/เวทนาทั้งหลาย(sensations)อื่นๆขึ้นที่ในจิตของคุณ(to
arise in your mind.) คุณรู้ว่าอะไรบังเกิดขึ้นในจิตของคุณ.(You
know what happen in your mind.)
ทุกเหตุการณ์ทางจิตใจได้ถูกสังเกตโดยคุณ, มีประจักษ์พยานโดยคุณ.(Every mental event is observed by you, witnessed by you.) เหตุการณ์ทางจิตใจถูกเรียกว่า วริตติ/กระแสทั้งหลายแห่งจิตสำนึก ในภาษาสันสกฤต. (A mental event is called vtitti7 in Sanskrit.)
7 https://en.wikipedia.org/wiki/Vritti
แต่ละวริตติเป็นเหมือนระลอกคลื่นในสระ.
(Each vtitti is like a ripple in a pond.) ขึ้นอยู่กับว่าอะไรถูกโยนลงมาในสระนั้น,
ระลอกคลื่นทั้งหลายก็ก่อรูปขึ้น – ระลอกคลื่นเล็กๆกับวัตถุที่เล็ก,
ระลอกคลื่นใหญ่ๆกับวัตถุที่ใหญ่. (Depending on what’s thrown into a
pond, ripples are formed – small ripples for small objects, large ripples for
large objects.)
ในวิถีเดียวกัน,
ขึ้นอยู่กับว่าอะไรที่คุณประสบรับรู้, วริตติก็ก่อรูปขึ้นในจิตของคุณสอดคล้องตรงกันกับประสบการณ์รับรู้ทั้งหลายเหล่านั้น.
(vritti are formed in your mind corresponding to those experiences.)
มีสามแบบของวริตติ (There
are three types of vrittis): สัญญาขันธ์/การจำได้หมายรู้(perceptions), สังขารขันธ์/ความคิดปรุงแต่ง(thoughts), และเวทนาขันธ์/อารมณ์รู้สึก(emotions).
การจำได้หมายรู้ทั้งหลาย(perceptions)ถูกวริตติ(vritti)ผลิตสร้างขึ้นโดยประสาทสัมผัสทั้งหลายของคุณ(produced by your senses) เมื่อคุณเห็น(see), ได้ยิน(hear), ลิ้มรส(taste), หรือสัมผัส(touch)ในอะไรบางอย่าง. และขณะที่วริตติทั้งหลายเหล่านี้อุบัติขึ้นในจิตของคุณ, พวกเขาก็ถูกสังเกตพบโดยคุณ. (They are observed by you.)
ความคิดปรุงแต่งทั้งหลาย(thoughts)ถูกวริตติ(vritti)ผลิตสร้างขึ้นโดยจิตของคุณในตัวมันเอง.
(are vritti produced by your mind itself.)
เมื่อคุณคิดเกี่ยวกับปัยหาทั้งหลายที่ทำงาน
หรือว่าอะไรที่จะซื้อจากในร้านขายสินค้า, จิตของคุณวริตติขึ้นสอดคล้องกับความคิดทั้งหลายเหล่านี้.
และขณะที่วริตติทั้งหล่ายเหล่านี้อุบัติขึ้นในจิตของคุณ,
พวกเขาก็ถูกสังเกตพบโดยคุณ. (When you think about problems at
work or what to buy from the store, your mind vrittis corresponding to these
thoughts. And as these vritti arise in your mind they are observed by you.)
อารมณ์รู้สึกทั้งหลายของคุณคืออีกประเภทหนึ่งของของวริตติที่ผลิตสร้างโดยจิตของคุณ(Your
emotions are another kind of vritti produced by your mind.)
เมื่อคุณรู้สึกมีความสุข(happy), เศร้า(sad) หรือ คับข้องใจ(frustrated), จิตของคุณผลิตสร้างวริตติสอดคล้องต้องกันกับอารมณ์รู้สึกทั้งหลายของคุณนั้น.
(Your mind produces vritti corresponding to your emotions.) และในขณะที่วริตติทั้งหลายเหล่านี้อุบัติขึ้นในจิตของคุณ,
พวกเขาก็กลายเป็นที่รู้ต่อคุณด้วยเช่นกัน. (they too become known to
you.)
ใครคือพยานแห่งวริตติของคุณ?
(Who is the witness of your vritti?)
ใครคือผู้ที่รู้ถึงความจำได้หมายรู้ทั้งหลาย(perceptions),
ความคิดทั้งหลาย(thoughts), และอารมณ์รู้สึกทั้งหลาย(emotions)
ของคุณ?
คำตอบง่ายๆก็คือ คุณ
คือผู้รู้นั้น. (The simple answer is that You are the knower.) คุณคือผู้สังเกตที่มีสำนึกจิตของวริตติทั้งหลายเหล่านี้. (You
are the conscious observer of these vrittis.)
คุณคือพยานผู้มีสัมปชัญญะ/ตื่นรู้เต็มที่.
(You
are the awareful witness.)
ตามที่คัมภีร์เคนะ
อุปนิษัทกล่าวไว้, (As the Kena Upanishad says,)
สโรตรัสยะ สโรตรัม(shrotrasys shrotrum),
เจ้าคือหูของหูนั้น. (You are the ear of the ear.)
ผู้โดยที่คือความจำได้หมายรู้ทั้งหลายทั้งหมดได้รู้. (the
one by whom all perceptions are known.) และ
มานะโส มานะหะ(manaso manah), เจ้าคือจิตของจิตนั้น,
(You
are the mind of the mind.), ผู้โดยที่ความคิดทั้งหลายของคุณ
และอารมณ์รู้สึกทั้งหลายของคุณได้รู้. (the one by whom your
thoughts and your emotions are known.)
ในที่นี้, คำนั้นว่า คุณ(You)ไม่ได้บ่งบอกถึงร่างกาย
หรือ บุคลิกภาพ ของคุณ(doesn’t refer to your body or
personality), มันบ่งบอกถึงธรรมชาติมูลฐานของคุณเฉกเช่น
การมีชีวิตที่มีสำนึกจิตและสัมปชัญญะ/ตื่นรู้เต็มที่(it
refers to your fundamental nature as a conscious, awareful being.)
คุณ(You),
ในฐานะจิตสำนึก/วิญญาณขันธ์ อันบริสุทธิ์(as pure consciousness),
คือผู้รู้แห่งวริตติทั้งหลายของคุณ(are
the knower of your vrittis.)
ในภาพนี้, น้ำสีฟ้าแสดงแทนถึงจิตสำนึกของคุณ, และระลอกคลื่นทั้งหลายแสดงแทนถึงวริตติทั้งหลายของคุณ. (In this image, the blue water represents your consciousness, and the ripples represent your vrittis.)
จิตของคุณเป็นเหมือนสระของจิตสำนึก/
วิญญาณขันธ์. (Your mind is like a pool of consciousness.)
ทันทีที่ระลอกคลื่นอุบัติขึ้นในน้ำ, เช่นเดียวกัน, วริตติทั้งหลายอุบัติขึ้นในจิตสำนึกของคุณ.
(Just
as ripples arise in water, so too, vrittis arise in your consciousness.) และเมื่อวริตติทั้งหลายอุบัติขึ้น, พวกเขากลายเป็นที่รู้ต่อคุณ,
ว่าคือ ความจำได้หมายรู้, ความคิดปรุงแต่ง, และอารมณ์รู้สึกทั้งหลายของคุณ.
(they became known to you, known as your perceptions, thoughts, and
emotions.)
ขณะที่วริตติทั้งหลายทั้งหมดอุบัติขึ้นและเลือนหายไป,
กิจการกระทำทั้งหลายของพวกเขาก็ถูกังเกตรู้ หรือ มีพยานรับรู้. (As all
vrittis arise and fade away, their activity is observed or witnessed.)
มีพยานรับรู้โดยใคร? (Witnessed
by whom?) เราสามารถถามได้.
(We can ask.)
หนึ่งในการสอบถามทั้งหลายที่ลึกซึ้งมากที่สุดของฤาษีทั้งหลายนั้นได้คือ
การที่ต้องตอบซึ่งคำถามที่ว่า, “อะไรคือธรรมชาติที่แท้จริงของจิตสำนึก?
(What
is the true nature of consciousness?)” ท่านฤาษีทั้งหลายได้ค้นพบว่า
จิตสำนึกนั้นมีบางอย่างเหมือนกันกับอวกาศ(The
Rishis discovered that consciousness has something in common with space.)
ทั้งจิตสำนึกและอวกาศต่างก็ไร้รูป(Both consciousness
and space are formless.)
ทั้งสองต่างไร้มิติ/ขนาด(Both
are dimensionless.)
ไม่ใช่ทั้งสองเลยที่มีขอบเขต หรือ
ขีดจำกัด. (Neither has a boundary or limit.)
ดังนั้นเอง(Therefore),
จิตสำนึก, เหมือนเช่นเดียวกันกับอวกาศ, ต้องเป็นที่ ไร้ขีดจำกัด(consciousness,
like space, must be limitless.)
อ้างอิงตามที่ฤาษีทั้งหลายกล่าวไว้, จิตสำนึกนั้นที่เป็นผู้รู้ซึ่ง
วริตติทั้งหลายของเรา เป็นที่แผ่ซ่านครอบงำไปทั้งหมด(the
consciousness by which our vrittis are known, is all-pervasive.)
นั่นหมายความว่า, จิตสำนึกของคุณ เป็นที่แผ่ซ่านครอบงำไปทั้งหมด(That
means, your consciousness is all-pervasive.)
แต่มีปัญหามหึมาตรงนี้. (But
there’s huge problem here.)
เราไม่ได้ประสบรับรู้ถึงจิตสำนึกในฐานะการเป็นที่แผ่ซ่านครอบงำไปทั่วนั้น.
(We
don’t experience consciousness as being all-pervasive.)
เราเพียงแต่ดูเหมือนว่าจะประสบรับรู้จิตสำนึกแต่ในร่างกายและจิตของเราเท่านั้น.
(We
only seem to experience consciousness inside our bodies and minds.)
จิตสำนึกดูเหมือนจะมีขอบริม,
ขอบเขตจำกัด, อยู่ตรงผิวของหนังของเรา. (Consciousness seems to have an
edge, a boundary, right at the surface of our skin.) จิตสำนึกดูจะติดอยู่ข่างใน(Consciousness
seems to be stuck inside.) ประสาทสัมผัสรู้ของเราเผยให้เห็นถึงการปรากฏของจิตสำนึกตั้งแต่หัวจรดเท้า,
แต่ไม่โพ้นเลยไปกว่านั้น. (Our sense of touch reveals the presence
of consciousness from head to toe, but not beyond.)
ดังนั้นแล้วเราจะสามารถคืนดีกับประสบการณ์รับรู้ที่ถูกจำกัดไว้ของเราได้อย่างไร
กับการค้นพบของท่านมหาฤาษีทั้งหลายว่า จิตสำนึกนั้นไร้ขอบเขตและแผ่ซ่านไปทั้งหมดเหมือนอวกาศ?
(So how can we reconcile our
limited experience with the Rishis’ discovery that consciousness is
boundaryless and all-pervasive like space?)
ในการที่จะตอบคำถามนี้, เราต้องย้อนกลับไปยังการถกเถียงของเราในตอนเริ่มแรก
เกี่ยสวกับว่าประสบการณ์รับรู้สามารถถูกแปลความหมายผิดพลาดได้อย่างไร.(we
have to return to our earlier discussion about how experience can be
misinterpreted.) เป็นไปได้หรือไม่ที่ประสบการณ์รับรู้ของร่างกายทั้งหลายของเราเอง
ด้วยเหตุใดก็ตามทีได้ชักนำเราไปผิดทางในการคิดว่า จิตสำนึกนั้นได้ติดอยู่ข้างใน?
(Is it possible that the experience of our own bodies somehow mislead
us into thinking that consciousness is stuck inside?)
ในอันที่จริงแล้ว, นั่นชัดเจนเลยว่าอะไรบังเกิด.
(that
is exactly what happens.)
ผิวหนังที่ปิดหุ้มร่างกายของคุณอยู่เต็มไปด้วยประสาทรับรู้ทั้งหลาย
ที่คุณรู้สึกเป็นอารมณ์ทั้งหลายได้โดยมันเหมือนเช่น หนาวและร้อน, ลักษณะพื้นผิว,
ความกดดัน และอื่นๆอีกมากมาย. (The skin that covers your body
is full of nerves by which you feel sensations like cold and heat, texture,
pressure and so on.)
ถ้าประสาทสัมผัสรู้สึกทั้งหลายเหล่านั้นล้มเหลวในการทำงานอย่างถูกต้องเหมาะสม,
ร่างกายทั้งปวงของคุณก็จะเป็นที่มึนงงงวย. (If those nerves failed to
work properly, your entire body would be numb.)
คุณเคยนอนทับแขนของคุณและตื่นขึ้นมากับที้มันชาด้านไปหมดบ้างไหม? (Did
you ever sleep on your arm and wake up with it completely numb?) เมื่อบางส่วนของร่างกายของคุณได้มึนชา,
มันก็รู้สึกเหมือนเป็นวัตถุแปลกปลอม, เป็นสิ่งหนึ่งอื่น. (it feels like
a foreign object, a thing.) ความมึนชาด้านทำให้มันดูเหมือนว่าจิตสำนึกได้หายไป,
(Numbness makes it seem like consciousness is absent,) แต่คุณไม่ได้รู้สึกอย่างถูกต้องแท้จริงถึงการห่ายไปของจิตสำนึก; คุณรู้สึกแค่การหายไปของประสาทสัมผัสรู้สึก. (but you don’t actually feel the
absence of consciousness; you feel the absence of sensation.)
ให้ฉันพูดนั่นอีกครั้ง; คุณไม่ได้รู้สึกถึงการหายไปของจิตสำนึก,
คุณรู้สึกถึงการหายไปของประสาทสัมผัสรู้สึก. (you don’t feel the
absence of consciousness, you feel the absence of sensation.)
การปรากฏหรือหายไปของประสาทสัมผัสรู้สึกทั้งหลายแค่บอกกับคุณเกี่ยวกับประสาทรับรู้ทั้งหลายของคุณนั้นเท่านั้น; (The presence or absence of sensations only tells you about
your nerves;) มันไม่ได้บอกจริงๆในสิ่งใดกับคุณในเรื่องจิตสำนึก.
(it doesn’t really tell you anything about consciousness.)
ในที่นี้, พื้นหลังสีฟ้าแสดงแทนถึงจิตสำนึกที่ไร้ขีดจำกัดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของคุณ เหมือนที่มันแผ่ซ่านไปในทุกสิ่งอื่นในจักรวาล, รวมทั้งเก้าอี้นั้น. (the blue background represents the limitless consciousness that pervades your body like it pervades everything else in the universe, including the chair.) จิตสำนึกได้เท่า ๆกันปรากฏในร่างกายของคุณและเก้าอี้นั้น, แต่เพราะประสาทรับรู้ทั้งหลายของคุณได้ถูกกักจำกัดอยู่ที่ผิวหนังของคุณ, มันดูเหมือนว่าจิตสำนึกนั้นมีอยู่แค่ในร่างกายของคุณเท่านั้น. (Consciousness is equally present in your body and the chair, but because your nerves are confined to your skin, it seems like consciousness is only in your body.)
ถ้าประสาทรับรู้ทั้งหลายของคุณด้วยอันใดก็ตาม
ได้ขยายออกไปในใยผ้าทอของเก้าอี้, นั่นน่าจะเป็นเหมือนอะไร? (If your
nerves somehow expanded into the fabric of the chair, what would that be like?)
เอาละ,
ถ้าบางคนได้นั่งอยู่ในเก้าอี้,
คุณก็น่าจะรู้สึกได้เหมือนกับว่าเขากำลังนั่งอยู่บนคุณ! (Well, if someone sat in the chair, you’d feel like they’re
sitting on you!)
คุณรู้สึกในความรู้สึกรับรู้/เวทนาทั้งหลายได้
ในที่ใดก็ตามซึ่งประสาทสัมผัสทั้งหลายของคุณได้ทำงานอยู่, เช่นนั้นเอง, ความรู้สึกรับรู้ทั้งหลายบอกคุณแค่ประสาทสัมผัสทั้งหลายของคุณเท่านั้น,
ไม่ได้บอกถึงจิตสำนึก. (You feel sensations wherever your
nerves are active, therefore, sensations only tell you about your nerves, not
about consciousness.)
ถึงแม้ว่าจิตสำนึกจะไร้ขอบเขตและแผ่ซ่านไปทั่วทั้งหมด,
ประสาทสัมผัสของคุณไม่สามารถตรวจสอบนี้ได้. (Even though consciousness
is boundaryless and all-pervasive, your nerves can’t verify this.)
ธรรมชาติอันแผ่ซ่านไปทั่วของจิตสำนึกนั้นคือความเป็นจริงที่ต้องถูกเข้าใจด้วยจิตของคุณ,
ไม่ใช่ถูกรับรู้โดยประสาทสัมผัสรู้สึกทั้งหลายของคุณ. (The
all-pervasive nature of consciousness is a reality that must be understood with
your mind, not perceived by your senses.)
คุณไม่สามารถรับรู้จิตสำนึกได้ด้วยประสาทสัมผัสรู้สึกทั้งหลายของคุณ,
แต่คุณสามารถเขใจได้อย่างแน่นอนถึงธรรมชาตอิของจิตสำนึก. (You
can’t perceive consciousness with your senses, but you can certainly understand
the nature of consciousness.)
จิตสำนึกที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่คือ จิตสำนึกของคุณ, ที่โดยความจำได้หมายรู้,
ความคิดนึก, และอารมณ์รู้สึกทั้งหลายของคุณได้รู้จัก. (The
consciousness we’re talking about is your consciousness, the consciousness by
which your perceptions, thoughts, and emotions are known.)
แต่จิตสำนึกของคุณสามารถไปอยู่ที่ในเก้าอี้ได้อย่างไร?
(But
how can your consciousness be in the chair?)
จิตสำนึกขอวงคุณสามารถเป็นที่แผ่ซ่านออกไปทั่วทั้งหมดได้อย่างไร?
(How can your consciousness be all-pervasive?)
ในการที่จะสำรวจค้นหาต่อไปในเรื่องนี้ไกลออกไป,
เรามาลองดูที่การทดลองทางจิตใจกัน. (To explore this further, let’s
try a mental experiment.)
จินตนาการว่าคุณกำลังอยู่ที่นี่ในห้องโถงบรรยายนี้ของเรา, และจะด้วยอะไรก็ตามประสาทสัมผัสรับรู้ทั้งหลายของคุณในการเห็น, การได้ยิน, การแตะต้อง ค่อยๆหยุดการทำงานลง(Imagine that you’re sitting here in our lecture hall, and somehow your senses of sight, hearing and touch gradually stop working.) ในที่สุด, คุณได้ถูกทิ้งให้ตามืดบอด, หูหนวกและมึนชาสนิทสิ้นไปตั้งแต่หัวจรดเท้า. (Eventually, you are left completely blind, deaf, and numb from head to toe.)
ในตอนนี้, ถึงแม้ว่าคุณจะตาบอด, หูหนวก,
และชาด้าน, คุณก็ยังคงเป็นที่มีสำนึกจิตอยู่อย่างเต็มเปี่ยม. (Now,
even though you’re blind, deaf, and numb, you’d still be fully conscious.)
คุณได้พบว่าตัวเองถูกตัดออกจากโลกภายนอกและพิศวงว่า, “เกิดอะไรขึ้น?” (You’d
find yourself cut off from the outside world and wonder, “What happened?”)
ฉันอยู่ที่ไหน? (Where am I?)
โดยปราศจากการมองเห็น, การได้ยิน,
คุณก็จะไม่ได้รู้สึกว่ากำลังนั่งอยู่ในห้องโถงนี้รายล้อมด้วยผู้คน.
คุณจะรู้สึกไม่มีสัมผัสรู้ถึงตำแหน่งแห่งหน, (You’d feel no sense of
location,) ไม่มีสัมผัสรู้ของการอยู่ข้างในหรือข้างนอก, (no
sense of being inside or outside,) ไม่มีสัมผัสรู้ชองการอยู่ที่นี่หรือที่นั่น,
(no
sense of being here or there.) และการเป็นชาด้าน,
ไม่สามารถจะรู้สึกได้ถึงร่างกายของคุณ, คุณจะไม่รู้สึกเหมือนว่าจิตสำนึกถูกติดอยู่ข้างในร่างกายของคุณ.
(you’d
feel like consciousness is stuck inside your body.) คุณจะไม่ประสบรับรู้ถึงริมขอบใดๆ
หรือขอบเขตต่อจิตสำนึกของคุณ. (You wouldn’t experience any edge
or boundary to your consciousness.)
และในการหายไปของริมขอบหรือขอบเขตใดๆ,
คุณจะประสบรับรู้ตัวคุณเองเป็นเช่นที่กว้างใหญ่ไพศาล, ไร้ขอบเขต, ไร้ขีดจำกัด.
(And
in the absence of any edge or boundary, you’d experience yourself as being
vast, boundaryless, limitless.)
การทดลองทางจิตใจนี้แสดงให้เห็นว่า
ธรรมชาติที่แท้จริงของจิตสำนึกของคุณสามารถที่จะถูกจดจำได้อย่างไร
เพียงแต่ถ้าคุณไม่ได้ถูกนำไปผิดทางเท่านั้น โดยประสาทสัมผัสรู้ทั้งหลายของคุณ. (This
mental experiment shows how the true nature of your consciousness can be
recognized only if you’re not misled by your senses.) โอเค.
การเป็นบอด, หนวก, และชาด้าน,
คุณก็จะยังคงมีสำนึกของจิตอยู่. (Being blind, deaf, and numb, you’d
still be conscious.) คุณจะยังมีสำนึกจิตของอะไรหรือ? (What
would you be conscious of?)
เอาละ, คุณจะยังคงระแวดระวังได้ถึงความคิดและอารมณ์รู้สึกทั้งหลายของคุณอยู่.
คุณจะระแวดระวังได้ถึงวริตติทั้งหลายของคุณ. (Well,
you’d still be aware of your thoughts and emotions. You’d be aware of your
vrittis.) ในความจริงแล้ว, มันเป็นวริตติทั้งหลายเหล่านี้ที่ทำให้จิตสำนึกของคุณเป็นเอก/โดดเด่นและแยกอยู่หนึ่งเดียว.
(In
fact, it’s these vrittis that make your consciousness unique and individual.)
วริตติทั้งหลายเหล่านี้จำแนกแยกแยะจิตสำนึกของคุณ
จากจิตสำนึกที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งหมด. (These vrittis
differentiate your consciousness from all-pervasive consciousness.)
ในภาพนี้, จิตสำนึกของคุณได้ถูกแสดงเป็นเช่นน้ำ, และจิตสำนึกที่แผ่ซ่านไปทั้งหมดเป็นเช่นพื้นหลังสีฟ้า. แล้ว, อะไรจะบังเกิดขึ้นกับความเป็นเอก/โดดเด่นหนึ่งเดียวของจิตสำนึกของคุณ ถ้าวริตติทั้งหลายหยุดการอุบัติขึ้นในจิตของคุณ? (your consciousness is shown as the water, and all-pervasive consciousness as the blue background. So, what would happen to the uniqueness of your consciousness if vrittis stop rising in your mind?)
อะไรจะบังเกิดขึ้นถ้าจิตของคุณกลายเป็นสงบนิ่งอย่างถึงที่สุด?
(What
would happen if your mind became totally quiet?)
ในการปฏิบัติสมาธิ(In
meditation), ฤาษีทั้งหลายได้สังเกตพบว่าขณะที่วริตติทั้งหลายลดลงออกไป,
ความแตกต่างระหว่างจิตสำนึกของคุณและจิตสำนึกอันแผ่ซ่านไปทั้งหมด
ค่อยๆเลือนจางลง. (the Rishis observed that as the vrittis ebb away,
the distinction between your consciousness and all-pervasive consciousness
gradually fades.)
และในการหายไปทั้งสิ้นของวริตติทั้งหลาย,
ก็ไม่มีหนทางใดที่จะแยกแยะจิตสำนึกของคุณจากจิตสำนึกอันแผ่ซ่านไปทั้งหมดได้เลย.
(And
in complete absence of vrittis, there’s no way to distinguish your
consciousness from all-pervasive consciousness.)
สภาวะนี้เรียกว่า สมาธิ.(This
state is called Samadhi.)
ในสมาธิ(In
Samadhi), จิตสำนึกของคุณได้สูญเสียความเป็นเอกโดดเดี่ยวของมัน
และกลายเป็นหนึ่งเดียวกับจิตสำนึกอันไร้ขอบเขต, แผ่ซ่านไปทั้งหมด. (your
consciousness loses its individually and becomes one with boundaryless,
all-pervasive consciousness.)
ในสมาธิ(In
Samadhi), คุณไม่ได้ประสบรับรู้ตัวคุณเองว่าเป็นเช่นตัวตนบุคคลหนึ่งอันปัจเจก,
ก็ที่สิ้นสุดอีกต่อไป; คุณประสบรับรู้ความกว้างใหญ่ไพศาล. (you
no longer experience yourself as a finite, individual person; you experience
vastness.)
และแล้วหลังจากนั้น,
เมื่อวริตติทั้งหลายนั้นกลับมา, ประสบการณ์รับรู้ความเป็นตนตนบุคคลหนึ่งอันปัจเจกก็กลับมา.
(when the vrittis come back, your experience of being an individual
person returns.)
สิ่งนี้นำไปสู่หัวข้อสุดท้ายของเรา
- เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างจิตสำนึกของคุณ กับ จิตสำนึกอันแผ่ซ่านไปทั้งหมด.
(This leads to our last topic – about the relationship between your
consciousness and all-pervasive consciousness.)
ในสระน้ำเล็กๆหนึ่ง,
แต่ละลูกคลื่นทำด้วยน้ำ และน้ำเป็นเช่นเดิมไม่ว่าจะเป็นคลื่นลูกใหญ่,
คลื่นลูกเล็ก, หรือในเบื้องลึกของสระน้ำนั้นที่ไม่มีระลอกคลื่นทั้งหลาย. (In a
pond, each ripple is made of water and water is the same whether it’s in a big
ripple, a small one, or in the depth of the pond where there are no ripples.)
เช่นเดียวกัน(Likewise),
แต่ละวริตติทั้งหลายของคุณถูกทำด้วยจิตสำนึกเดียวกัน, (each
of your vrittis is made of the same consciousness,) เดียวกันกับจิตสำนึกอันไร้ขอบเขต, ไร้ขีดจำกัดที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งจักรวาล.
(the same boundaryless, limitless consciousness that pervades the
universe.)
ในความเป็นจริง(In
reality), ไม่มีความแตกต่างใดๆระหว่างจิตสำนึกในวริตติทั้งหลายของคุณและจิตสำนึกที่แผ่ซ่านไปทั้งหมด.
(there’s
no difference between the consciousness in your vrittis and the consciousness
that pervades all.)
มิจิตสำนึกเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น.
(There is only one consciousness.)
จิตสำนึกนั้น ไร้ขีดจำกัด; มันไม่ได้ถูกกักขังไว้โดยกายและจิตของคุณ. (Consciousness
is limitless; it’s not confined by your body and mind.)
ในตอนนี้, คุณไม่ได้ประสบรับรู้ถึงการเป็นที่ไร้ขีดจำกัด
เพราะว่าจิตของคุณนั้นเต็มไปด้วยวริตติทั้งหลาย. (Right
now, you don’t experience being limitless, because your mind is full of
vrittis.)
แต่ถ้าวริตติทั้งหลายเหล่านี้ได้หายไป,
คุณก็จะประสบรับรู้ในทันทีต่อความไพศาล ซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของจิตสำนึก.(But if
these vrittis were absent, you would immediately experience the vastness which
is the true nature of consciousness.)
ไม่ว่าคุณจะประสบรับรู้ต่อมันหรือไม่,
จิตสำนึกของคุณก็ยังคงไร้ขีดจำกัด. (Whether experience
it or not, your consciousness remains limitless.)
ประสบการณ์รับรู้เพียงอย่างเดียวไม่สามารถสถาปนาอะไรที่คือความจริงได้,
เพราะว่าประสบการณ์รับรู้นั้นต้องถูกแปลความหมาย/ตีความอย่างถูกต้อง.(Experience
alone can’t establish what’s true, because experience has to be correctly
interpreted.)
และนั่นคือทำไมเราหันมาสู่การสอนทั้งหลายของ
เวฑานตะ/พระเวท-อุปนิษัท. (That’s why we turn to the
teachings of Vedanta8.)
8 https://en.wikipedia.org/wiki/Vedanta
เราจำเป็นต้องการปัญญาของมหาฤาษีทั้งหลาย
ที่จะแยกแยะถึงธรรมชาติที่แท้จริงของจิตสำนึก. (We need the
wisdom of the Rishis to discern the true nature of consciousness.)
เมื่อคุณเงยมองขึ้นไปในท้องฟ้าตอนกลางคืน,
คุณจะไม่คิดว่าดวงดาวทั้งหลายแปะติดอยู่กับครอบทรงกลมอันหนึ่ง. (When
you look up into the night sky, you’ll never think the stars are attached to a
sphere.) คุณจะไม่แปลความหมาย/ตีความผิดพลาดในประสบการณ์รับรู้นี้,
เพราะว่าคุณได้ครอบครอง/มีความรู้ที่ว่า อวกาศนั้นไร้ขีดจำกัด. (You
won’t misinterpret this experience, because you possess the knowledge that
space is limitless.) และคุณรู้ว่าอวกาศนั้นยังคงไร้ขีดจำกัดอยู่แม้ว่าในที่มีเมฆทั้งหลายปรากฏ.
(And you know that space remains limitless even in the presence of clouds.)
ในวิถีเดียวกัน,
คุณสามารถรู้ได้ว่าจิตสำนึกของคุณยังคงไร้ขีดจำกัด แม้ในการแสดงปรากฏขึ้นของวริตติทั้งหลาย.
(In the same way, you can know that your consciousness remains
limitless even in the presence of vrittis.)
เมฆทั้งหลายดูเหมือนว่าจะบีบจำกัดความไพศาลของอวกาศ,
แต่อวกาศไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใดกับเมฆทั้งหลายนั้น. (Clouds
seem to constrain the vastness of space, but space is utterly unaffected by
clouds.)
ในวิถีเดียวกัน, วริตติทั้งหลายดูเหมือนว่าจะบีบจำกัดความไพศาลของจิตสำนึก,
แต่จิตสำนึกนั้นยังคงไพศาลอยู่แม้ว่าในการแสดงปรากฏของวริตติทั้งหลาย.
(In
the same way, vrittis seem to constrain the vastness of consciousness, but your
consciousness remains vast even in the presence of vrittis.)
ในการที่จะชื่นชมอย่างเต็มเปี่ยมต่อความไพศาลของอวกาศ
ต้องการความรู้ของสวรรค์ทั้งหลาย. (To fully appreciate the vastness
of space requires knowledge of the heavens.)
ในการที่จะชื่นชมอย่างเต็มเปี่ยมต่อความไพศาลของจิตสำนึก
จำเป็นต้องการความรู้ของตัวตนที่แท้จริงของคุณ, อัตมา. (To fully
appreciate the vastness of consciousness requires knowledge of your true self,
Atma9.)
9 https://en.wikipedia.org/wiki/%C4%80tman_(Hinduism)
ถ้าคุณจดจำได้ชัดเจนถึงธรรมชาติที่แท้จริงของอัตมา,
คุณก็ไม่มีวันคิดว่า จิตสำนึกได้ถูกกักติดอยู่ในร่างกายของคุณ. (If you
clearly recognize the true nature of Atma, you’ll never think consciousness is
stuck inside your body.)
เมื่อคุณได้ค้นพบอะไรที่มหาฤาษีทั้งหลายได้ค้นพบ,
เมื่อคุณได้ซึ่งภาพความสัจจริงภายใน/ฌาณ ด้วยความช่วยเหลือจากการสอนทั้งหลายของพวกเขา,
(When you discover what the Rishis discovered, when you gain true
insight with help of their teachings,) คุณก็จะได้รับพรประเสริฐ
คือความตระหนักรู้อันไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า จิตสำนึกของคุณนั้นกว้างใหญ่ไพศาลเท่า
ๆกันกับอวกาศในตัวมันเอง. (you’ll be blessed with the
undeniable realization that your consciousness is as vast as space itself.)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น