ริชาร์ด
วูลฟ์ฟ – “อเมริกา กำลังจะเผชิญหน้าชั่วโมงอันมืดมิดที่สุดของมัน”
Richard Wolff: “America Is About to Face Its DARKEST
Hour”
https://youtu.be/1iIuNx12BkA?si=dDn59-mOEUYtm2Q0
คุณเคยรู้ไหมว่ากว่า
60% ของคนอเมริกันในตอนนี้เชื่อว่าประเทศกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ผิด?
และนั่นไม่ใช่แค่การคุยกันเรื่องการเมือง. จากการตื่นตระหนกระบาดไปทั่วในหนี้ประเทศที่พุ่งขึ้นทะยานฟ้า
ไปจนถึงโรคสุขภาพจิต, ความโกลาหลเรื่องภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง, และคนรุ่นนี้ที่สูญเสียศรัทธาในความฝันคนอเมริกัน,
บางอย่างลึกไปกว่าการแตกร้าวของผิวหน้า. (Did you know over 60% of
Americans now believe the country is headed in the wrong direction? And that’s
not just politics talking. From skyrocketing national debt to mental health
epidemics, climate chaos, and a generation losing faith in the American dream,
something deeper is breaking the surface.)
เศรษฐกิจของเราเป็นที่เปราะบาง.
ผู้คนของเราได้ถูกแบ่งแยกกันออก. และสถาบันทั้งหลายของเรากำลังสูญเสียความน่าเชื่อถือในตอนนี้.
นี่ไม่ใช่การปลุกปั่นให้หวาดกลัว. มันเป็นการส่งสัญญาณปลุกตื่น. อะไรถ้าเราไม่ได้กำลังเฝ้าดูแค่ช่วงขรุขระลำบากของชีวิตเพียงชั่วคราว,
แต่คือการเริ่มต้นของความเสื่อมสลายของชาติ? อะไรถ้าการหายนะใหญ่คราวหน้าไม่ใช่อีกหลายปีไป,
แต่ได้บังเกิดขึ้นแล้วในแบบเคลื่อนไหวช้าๆในตอนนี้, พาดผ่าน 10 แนวรบทั้งหลายที่แตกต่างกันทางด้านหน้า,
อเมริกากำลังเลื่อนไถลอย่างเงียบๆลงไปสู่อะไรที่อาจกลายเป็นชั่วโมงมี่มืดที่สุดชองมันอันยังไม่ถึง.
(Our economy is fragile. Our
people are divided. And our institutions are losing credibility by the day.
This isn’t fear-mongering. It’s a wake-up call. What if we’re not watching a temporary
rough patch, but the beginning of a national unraveling? What if the next major
disaster isn’t years away, but already happening in slow motion right now,
across 10 different fronts, America is quietly sliding into what may become its
darkest hour yet.)
ในวิดีโอนี้,
เรากำลังแยกแยะลงไปถึง 10 สัญญาณเตือนภัยทั้งหลายนั้นที่ผู้เชี่ยวชาย,
นักเศรษฐศาสตร์, และพลเมืองทั้งหลายในทุกวันนี้กำลังวิตกกังวลถึง. บางสิ่งเหล้านี้อาจจะทำให้คุณตื่นตกใจ.
อันอื่นทั้งหลายอาจเข้าไปใกล้ถึงบ้านแล้ว. อยู่ไปจนถึงตอนจบ,
เพราะว่าการเข้าใจในอะไรที่กำลังบังเกิดขึ้นอาจจะเป็นก้าวขั้นแรกที่จะเปลี่ยนแปลงมัน. (In this video, we’re breaking
down 10 warning signs that experts, economists, and everyday citizens are
worried about. Some of these may shock you. Others may hit close to home. Stay
till the end, because understanding what’s happening might be the first step to
changing it.)
หมายเลข หนึ่ง,
ภาวะเศรษฐกิจล่มสลายกำลังบังเกิดขึ้น.
เศรษฐกิจของอเมริกาอาจจะมองดูแข็งแรงบนผิวหน้า,
แต่ภายใต้นั้นทอดวางอยู่ด้วยระเบิดเวลาที่กำลังเดินติ๊กๆ. หนี้สาธารณะได้ข้ามตะปัดตุเป๋ไปถึงกว่า
35 ล้านล้านดอลลาร์, และมันกำลังพุ่งขึ้นเป็นวินาที. อะไรที่เลวร้ายไปกว่านั้น,
เพียงดอกเบี้ยตามลำพังอยู่กับหนี้นั้นได้ถูกคาดว่าจะเกินไปกว่าอะไรที่เราได้ใช้จ่ายไปในงบประมาณทางทหารภายในสองสามปีนี้. (Number one, economic
collapse looming. America’s economy might look strong on the surface, but underneath
lies a ticking time bomb. The national debt has crossed a staggering $35
trillion, and it’s rising by the second. What’s worse, the interest alone on
that debt is expected to surpass what we spend on the entire military within
just a few years.)
นั่นหมายความว่ามากขึ้นไปอีกในภาษีดอลลาร์ทั้งหลายของคุณก็จะไปยังแต่ที่ความผิดพลาดในอดีตทั้งหลาย
มากกว่าจะได้สร้างอนาคตที่ดีขึ้น. นักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายได้เตือนภัยว่าวงจรหนี้สินที่ไม่ยั่งยืนประเภทนี้ได้นำมาสู่ความหายนะของชาติซึ่งทั้งหลายงครั้งหนึ่งเคยเรืองอำนาจ,
และอเมริกากำลังเริ่มต้นที่จะแสดงให้เห็นถึงการแตกร้าวเช่นเดียวกันนั้น. เงินเฟ้อเช่นเดียวกันก็ได้กัดกร่อนอยู่ในชีวิตทุกวัน.
ราคาสินค้าสำหรับอาหาร, ค่าเช่าบ้าน, ค้ารักษาพยาบาล, และการศึกษา
ก้าวเลยออกไปจากการเติบโตของค่าจ้างรายได้. ครอบครัวทั้งหลายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นชนชั้นกลาง
ตอนนี้คือการอยู่อย่างประทังชีวิตไป. (That means more of your tax
dollars will go toward paying off past mistakes than building a better future.
Economists warned that this kind of unsustainable debt spiral has already brought
down once powerful nations, and America is starting to show the same cracks.
Inflation has also chipped away at everyday life. Prices for food, rent, healthcare,
and education are outpacing wage growth. Families that were once middle class
are now barely scraping by.)
การป่วยฉุกเฉินเพียงครั้งเดียวหรือการสูญเสียงานอาชีพ
สามารถส่งให้ทั้งบ้านที่อยู่อาศัยนั้นเข้าไปสู่การร่วงหลุดไปในภาวะตกต่ำทางการเงิน.
และในขณะที่วอลล์ สตรีทอาจจะเฉลิมฉลองตลาดหุ้นที่พุ่งขึ้นสถภิติใหม่ทั้งหลาย,
เมน สตรีทรู้สึกรีดคั้นได้มากขึ้นกว่าที่เคย. การแบ่งแยกระหว่างผู้ร่ำรวยกับผู้อื่นที่เหลืออยู่ก็กำลังกว้างห่างออกไป.
และความคล่องตัวทางเศรษฐกิจ, ความฝันอเมริกันในตัวมันเอง,
กำลังเลื่อนไถลออกไปเกินเอื้อมสำหรับผู้คนหลายล้าน. (A single medical emergency or
job loss can send an entire household into a financial freefall. And while Wall
Street may celebrate new stock market highs, Main Street is feeling the squeeze
more than ever. The divide between the rich and the rest is widening. And
economic mobility1, the
American dream itself, is slipping out of reach for millions.)
1 "Economic mobility" แปลว่า "ความคล่องตัวทางเศรษฐกิจ" หรือ
"การเคลื่อนย้ายทางเศรษฐกิจ" หมายถึง
การที่บุคคลหรือครอบครัวสามารถย้ายไปสู่สถานะทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นหรือต่ำลงได้
- ความหมาย:
คือความสามารถในการเลื่อนลำดับชั้นทางเศรษฐกิจ
(เศรษฐสถานะ) โดยอาจพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงรายได้, อาชีพ, หรือความมั่งคั่ง
- ตัวอย่าง:
- การเคลื่อนย้ายขึ้น: การที่คนคนหนึ่งได้งานที่ดีขึ้น มีเงินเดือนเพิ่มขึ้น หรือการที่ลูกหลานในครอบครัวยากจนสามารถมีรายได้สูงกว่าพ่อแม่ได้
- การเคลื่อนย้ายลง: การที่คนตกงาน หรือมีความมั่งคั่งลดลง
- ประเภท:
อาจแบ่งได้เป็น
- ความคล่องตัวภายในรุ่น (Intra-generational mobility): การเปลี่ยนแปลงสถานะทางเศรษฐกิจของบุคคลในช่วงชีวิตของตนเอง
- ความคล่องตัวระหว่างรุ่น (Inter-generational mobility): การเปลี่ยนแปลงสถานะทางเศรษฐกิจของลูกหลานเมื่อเทียบกับพ่อแม่
อะไรที่ทำให้สิ่งนี้กระทั่งอันตรายมากยิ่งขึ้นก็คือการที่มันทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกันไปหมด.
วิกฤตการณ์หนี้สินไม่ได้ทำความเจ็บปวดแค่ทางเศรษฐกิจ. มันทำความอ่อนแอให้กับความเชื่อมั่นไปทั่วโลกในดอลลาร์,
เชื้อเชิญความไม่มีเสถียรภาพในตลาดทั้งหลาย, และจำกัดความสามารถของเราที่จะตอบสนองต่อความฉุกเฉินทั้งหลายของอนาคต.
ถ้าสหรัฐอเมริกาไม่สามารถลงทุนได้ในโครงสร้างพื้นฐาน, การดูแลสุขภาพอนามัย,
หรือการศึกษา เพราะมันกำลังจมลงไปในหนี้สิน, แล้วปัญหาทุกอย่างอื่นที่เราเผชิญหน้าก็กลายเป็นกระทั่งยากมากขึ้นที่จะคลี่คลายแก้ไขได้.
เศรษฐกิจไม่ได้เป็นแค่เกี่ยวกับเงิน. มันเป็นเกี่ยวกับอำนาจ, เสถียรภาพ,
และการอยู่รอด. (What makes this even more
dangerous is how interconnected everything is. A debt crisis doesn’t just hurt
the economy. It weakens global confidence in the dollar, invites instability in
markets, and limits our ability to respond to future emergencies. If the US
can’t afford to invest in infrastructure, health care, or education because
it’s drowning in debt, then every other problem we face becomes even harder to
solve. The economy isn’t just about money. It’s about power, stability, and
survival.)
และเอาละในตอนนี้,
ไฟสัญญาณเตือนทั้งหลายกำลังวาบขึ้นเป็นสีแดงแล้ว. (And right
now, the warning lights are flashing red.)
หมายเลข สอง, การแบ่งแยกทางการเมืองได้มาถึงจุดแตกหัก.
อเมริกามักจะมีความแตกต่างทางการเมืองของตนอยู่เสมอ, แต่ในทุกวันนี้มันแตกต่างไป.
การแบ่งแยกกันระหว่างฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาได้หันไปเป็นสงครามวัฒนธรรมที่ความปรองดองได้ถูกมองว่าเป็นความอ่อนแอ,
ศัตรูไม่ได้เป็นต่างประเทศ, เป็นพี่น้องร่วมชาติของพวกเขาเอง. อ้างอิงตาม Pew
Research, ความขัดแย้งทางการเมือง/การแบ่งขั้วทางการเมืองในสหรัฐอเมริกาได้มาถึงระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่. (Number two, political
division reaching a breaking point. America has always had its political
differences, but today it’s different. The divide between left and right has
turned into a cultural war where compromise is seen as weakness enemies aren’t
foreign, their fellow citizens. According to Pew Research,
the political polarization3
in
the US is at its highest level in modern history.)
2"Political division" แปลว่า "การแบ่งแยกทางการเมือง" หรือ "เขตการปกครอง" หมายถึง
การจัดแบ่งรัฐหรือดินแดนออกเป็นหน่วยย่อยๆ เพื่อการบริหารจัดการ เช่น รัฐ จังหวัด
หรือเขต
การแบ่งแยกทางการเมือง (Political division): เป็นการแบ่งเขตทางภูมิศาสตร์เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองและการปกครอง
เขตการปกครอง (Administrative division): คำนี้มักใช้แทนกันได้
หมายถึง หน่วยงานบริหารที่ถูกจัดตั้งขึ้น
ตัวอย่าง: การแบ่งเขตการปกครองของประเทศไทย
เช่น จังหวัด และอำเภอ ถือเป็น political division หรือเขตการปกครอง
3 https://en.wikipedia.org/wiki/Political_polarization
พรรคเดโมแครตส์และพรรครีพับลิกันส์
ไม่ได้แต่เพียงไม่เห็นด้วยกันในวาระประเด็นทั้งหลาย, พวกเขาไม่ไว้ใจกัน, ไม่ชอบกัน,
และบ่อยครั้งใส่ร้ายป้ายสีกัน. ผลลัพธ์ก็คือ, ภาวะชะงักงันในการบริหารงานรัฐบาล,
ความไม่สงบทางการเมืองในถนน, และการเติบโตขึ้นเป็นจำนวนมากที่ผู้คนสูญเสียความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยของตนเอง.
ความโกรธไม่ได้มีเพียงที่ในวอชิงตัน. มันมีอยู่ในห้องนั่งเล่น, โรงเรียน, และสื่อสังคมที่ป้อนข่าวสารทั้งหลาย.
ครอบครัวทั้งหลายกำลังฉีกขาดออกจากกันเพราะมุมมองทางการเมืองทั้งหลาย.
มิตรภาพทั้งหลายกำลังถึงจุดจบ, และทุกวันการสนทนาทั้งหลายกำลังหันเข้าไปสู่สนามรบทางมโนคติ/ความนึกคิด.
สื่อคือผู้เติมเชื้อเพลิงทั้งหลายให้กับไฟ, เสนอแต่เพียงเสียงสะท้อนขแองผู้คน
มากกว่าความสัจจริง. (Democrats
and Republicans not only disagree on issues, they distrust, dislike, and often
demonize each other. The result, gridlock in government4, civil
unrest in the streets, and a growing number of people losing faith in democracy
itself. The anger isn’t just in Washington. It’s in living rooms, schools, and
social media feeds. Families are being torn apart over political views. Friendships
are ending, and everyday conversations are turning into ideological
battlegrounds. The media fuels the fire, offering echo chambers instead of
truth.)
4 https://en.wikipedia.org/wiki/Gridlock_(politics)
- ในทางการเมืองภาวะชะงักงันทาง การเมือง หรือ ภาวะ ชะงักงันทางการเมืองคือสถานการณ์ที่ยากต่อการผ่านกฎหมายที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน
รัฐบาลจะชะงักงันเมื่อสัดส่วนระหว่างร่างกฎหมายที่ผ่านและวาระการประชุมของสภานิติบัญญัติลดลง ภาวะชะงักงันอาจเกิดขึ้นได้เมื่อสภานิติบัญญัติ สองสภา หรือฝ่ายบริหารและสภานิติบัญญัติถูกควบคุมโดยพรรคการเมือง ที่แตกต่างกัน หรือไม่สามารถตกลงกันได้ด้วย เหตุผลอื่น
อัลกอริธึมผลักเราเข้าไปในความเชื่อของตัวเราเอง,
ทำให้อีกด้านหนึ่งดูเหมือนจะสุดโต่งและเป็นอันตรายมากกว่าที่พวกนั้นเป็นจริง. ในสภาพแวดล้อมนี้,
ไม่มีห้องให้สำหรับการคุยกัน, มีเพียงการแบ่งแยกกัน. ระดับของการแบ่งขั้วกันทางการเมืองนี้ทำความอ่อนแอให้กับประเทศจากภายในออกไปสู่ภายนอก.
เมื่อผู้คนไม่ได้เชื่ออีกต่อไปในการแบ่งปันคุณค่าหรืออนาคตทั่วไปร่วมกัน, มันไม่ใช่แค่การไม่เห็นด้วยแล้ว.
มันเกี่ยวกับการร่วงหล่นลงไปแตกกระจาย. การเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรง.
การไว้วางใจในสถาบันทั้งหลายพังพาบลง. และความก้าวหน้าในวาระประเด็นสำคัญจริงๆเหมือนเช่น
การดูแลสุขภาพ, การศึกษา, และภูมิอากาศ ก็ค่อยๆหมุนช้าและหยุดลง.
(Algorithms5 push
us deeper into our own beliefs, making the other side seem more extreme and
dangerous than they really are. In this environment, there’s no room for
dialogue, only division. This level of polarization weakens a country from the
inside out. When people no longer believe in shared values or a common future,
it’s not just about disagreeing. It’s about falling apart. The risk of violence
increases. Trust in institutions collapses. And progress on real issues like
health care, education, and climate grinds to a halt.)
5 อัลกอริทึม (Algorithm) คือ ชุดของขั้นตอนหรือคำสั่งที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนและเป็นลำดับ เพื่อใช้ในการแก้ปัญหา หรือทำงานเฉพาะอย่างให้สำเร็จลุล่วง โดยสามารถอธิบายด้วยภาษาคน ภาษาโปรแกรม หรือสัญลักษณ์ต่างๆ ก็ได้
เปรียบเสมือนตำราอาหารที่มีขั้นตอนบอกว่าต้องทำอะไรบ้างตั้งแต่การเตรียมส่วนผสมไปจนถึงอาหารที่เสร็จสมบูรณ์
ลักษณะสำคัญของอัลกอริทึม
- มีความชัดเจน (Unambiguous):
แต่ละขั้นตอนในอัลกอริทึมจะต้องมีความชัดเจน
ไม่กำกวม เพื่อให้คอมพิวเตอร์หรือผู้ปฏิบัติงานเข้าใจได้ตรงกัน
- มีลำดับ
(Sequential):
การทำงานต้องเป็นไปตามลำดับที่กำหนดไว้ ตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุด
- มีผลลัพธ์
(Finite):
อัลกอริทึมต้องสิ้นสุดลงและให้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
- สามารถดำเนินการได้
(Effective):
ทุกขั้นตอนต้องทำได้จริง และต้องได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง
บ้านที่แตกแยกก็ยืนอยู่ไม่ได้. และอเมริกาในตอนนี้ก็เข้าไปใกล้อย่างอันตรายที่จะพิสูจน์ว่านั่นคือความสัจจริง.
ถ้าเราไม่ค้นหาหนทางที่จะเชื่อมสะพานการแบ่งแยกทั้งหลายเหล่านี้, ที่จะกระทั่งเมื่อเราไม่เห็นด้วยต่อกัน,
แล้วการคุกคามอันยิ่งใหญ่ที่สุดต่อประเทศนี้ก็จะไม่มาจากแรงกำลังภายนอกทั้งหลาย,
แต่มาจากภายในนี้เอง. (A
house divided can’t stand. And America is now dangerously close to proving that
true. If we don’t find a way to bridge these divides, to
even when we disagree, then the greatest threat to the country won’t come from
outside forces, but from within.)
หมายเลข สาม,
สภาพภูมิอากาศที่สุดขั้วและความล้มเหลวในโครงสร้างพื้นฐาน. อเมริกาได้รู้สึกถึงความร้อนได้อย่างชัดเจน.
ไฟป่าที่ในแคลิฟอร์เนีย, น้ำท่วมฉับพลันที่ในนิวยอร์ค,
และคลื่นความร้อนที่ทำลายสถิติข้ามผ่านทางตอนใต้ ไม่ได้เป็นแค่เหตุการณ์ครั้งหนึ่งในทั้งหลายของรอบสิบปีอีกต่อไป.
พวกมันกำลังบังเกิดขึ้นทุกปีและพวกมันกำลังเริ่มเลวร้ายมากขึ้น.
อ้างอิงจากข้อมูลของNASA และ NOAA,
ทศวรรษที่ผ่านมาได้พบเห็นการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของเหตุการณ์สภาพภูมิอากาศสุดขั้วทั้งหลายมัดติดอยู่กับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ. (Number
three, climate extremes and failing infrastructures.
America is already feeling the heat literally. Wildfires in California, flash
floods in New York, and record-breaking heat waves across the South are no
longer once in a decade events. They’re happening every year and they’re
getting worse. According to data from NASA6 and
NOAA7, the past decade has seen a sharp
increase in extreme weather events tied to climate change.)
6
NASA คือ องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (National Aeronautics and Space Administration) เป็นหน่วยงานอิสระของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่รับผิดชอบโครงการอวกาศและงานวิจัยด้านการบินและอวกาศของสหรัฐฯ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2501
เพื่อรับผิดชอบโครงการอวกาศพลเรือนทั้งหมด
7 NOAA ย่อมาจาก องค์การบริหารสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติ (National Oceanic and Atmospheric Administration) เป็นหน่วยงานวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่มุ่งเน้นการศึกษาและทำความเข้าใจสภาวะของมหาสมุทร ทางน้ำ
และชั้นบรรยากาศ NOAA ทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น
การพยากรณ์อากาศ การวิจัยด้านสมุทรศาสตร์และสภาพแวดล้อม และการออกอากาศข้อมูลพยากรณ์อากาศฉุกเฉินผ่านสถานีวิทยุ
แต่มันไม่ได้เป็นเพียงสภาพแวดล้อมที่อยู่ภายใต้แรงกดดัน.
โครงสร้างพื้นฐานของอเมริกันกำลังพังทลาย. และมันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรับมือกับความปกติใหม่นี้.
ถนนทั้งหลายกำลังบิดตัวโก่งใต้ความร้อนระอุนี้. อันตรายแท้จริงทอดวางอยู่ในการที่เราไม่เตรียมพร้อมรับมือกันอย่างไร.
ระบบวิกฤติสำคัญทั้งหลายอย่างเช่นโครงข่ายไฟฟ้าในรัฐเท็กซัส หรือเขื่อนกั้นน้ำในหลุยเซียนาได้ล้มเหลวลงไปใต้แรงกดดัน,
ทิ้งให้คนหลายล้านขาดพลังงาน, น้ำสะอาด, ที่พักพิงหลบภัย. (But it’s not just the
environment that’s under pressure. America’s infrastructure is crumbling. And
it wasn’t built to withstand this new normal. Roads are buckling under heat.
Power grids are failing during storms. And outdated water systems are being
pushed to the brink. The real danger lies in how unprepared we are. Critical systems
like the electrical grid in Texas or the levees in Louisiana have already
failed under pressure, leaving millions without power, clean power, or safe
shelter.)
ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายได้เตือนภัยว่าโครงสร้างพื้นฐานของอเมริกา
ถ้าเป็นใบรายงานผลการเรียนก็คงได้แค่ผ่าน. กระนั้นมีเพียงดเล็กน้อยที่ได้ทำไปแล้วเกินไปกว่าแค่ห้าชั่วคราว.
ในขณะที่ความหายนะจากภูมิอากาศทั้งหลายเติบโตขึ้นมากอย่างเข้มข้น, คสวามเปราะบางทั้งหลายเหล่านี้สามารถนำไปสู่ความเสียหายอย่างร้ายแรงทั้งหลาย
ที่มีผลกระทบต่อหลายล้านชีวิตในทันทีทันใด. อะไรบังเกิดขึ้นเมื่อโรงพยาบาลทั้งหลายสูญเสียพลังงานไฟฟ้าเป็นเวลาหลายวัน
หรือว่า พืชผลเสียหายจากภัยแล้งก็ทำให้ราคาสินค้าอาหารกระทั่งสูงขึ้นด้วย?
นี้ไม่ใช่เป็นแค่เกี่ยวกับภูมิอากาศ. มันเกี่ยวกับการอยู่รอด. การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศกำลังเร่งความเร็วมากขึ้นและความสามารถของแอเมริกาในการรับมือกำลังร่วงหล่นไปทางข้างหลัง. (Experts have warned for years that
America’s infrastructure report card barely earns a passing grade. Yet little
is done beyond temporary fives. And as climate disasters grow more intense, these
vulnerabilities could lead to catastrophic failures that impact millions of
lives at once. What happens when hospitals lose power for days or when crops fail
due to drought pushing food prices even higher? This isn’t just about weather.
It’s about survival. Climate change is accelerating and America’s ability to
respond is to respond is falling behind.)
แทนที่การเตรียมพร้อม, เรากลับกำลังมีปฏิกิริยาโต้ตอบ. ช้าเกินไปและเล็กน้อยเกินไป.
ราคาที่ต้องจ่ายกับปฏิกิริยานั้นไม่ได้เป็นแค่ทางการเงิน. มันเป็นมนุษย์.
ถ้าสะพานพังลง, นครทั้งหลายน้ำท่วม, และโครงข่ายไฟฟ้าพลังงานล่มไป, มันจะไม่สำคัญว่าผู้ใดอยู่ในรัฐบาลหรือว่า
GDPเป็นเท่าไหร่.
ปราศจากการลงทุนโดยด่วนในโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นและยุทธศาสตร์ทั้งหลายในการประยุกต์ใช้กับสภาวะภูมิอากาศ,
เหตุการณ์สุดฏโต่งทั้งหลายก็จะไม่ได้เป็นเพียงหัวข้อข่าว. พวกมันจะเป็นรายการตามจริงทุกวันในชีวิตของเรา.และสำหรับหลายล้านคนอเมริกัน,
ว่าอนาคตนั้นได้มาเคาะที่ประตูของพวกคุณแล้ว. (Instead
of preparing, we’re reacting. Too late and too little. The cost of inaction
isn’t just financial. It’s human. If bridges collapse, cities flood, and power
grids fail, it won’t matter who’s in office or what the GDP is. Without urgent
investment in resilient infrastructure and real climate adaptation strategies,
extreme events won’t just be headlines. They’ll be our everyday reality. And
for millions of Americans, that future is already knocking at the door.)
หมายเลข
สี่, วิกฤตการณ์ภาวะสุขภาพจิต. อเมริกากำลังการเติบโตที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า,
แต่ส่งผลกระทบต่อหลายล้านคนในทุกวัน. ความวิตกกังวล, ภาวะซึมเศร้า, หมดไฟในการทำงาน,
และการฆ่าตัวตาย ได้ขึ้นไปถึงอัตราสูงสุดที่เคยมีมาก่อน, โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยหนุ่มสาวและผู้เริ่มจะเป็นผู้ใหญ่ทั้งหลาย.อ้างอิงจากCDC
– ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา, การฆ่าตัวตายในตอนนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเสียชีวิตนท่ามกลาสงผู้คนวัย
10 ถึง 34. นี่คือไม่ใช่แค่วาระประเด็นสุขภาพจิต. มันเป็นวาระแห่งชาติฉุกเฉิน.
(Number four, mental
health crisis7. America
is facing a growing that isn’t visible to the naked eye, but it’s affecting
millions every single day. Anxiety, depression, burnout, and suicide rates have
reached all-time highs, especially among teenagers and young adults. Accord to
the CDC8, suicide is now one of the leading
causes of death among people aged 10 to 34. This isn’t just a mental health
issue. It’s a national emergency.)
7
"Mental
health crisis" แปลว่า ภาวะวิกฤตสุขภาพจิต ซึ่งหมายถึงภาวะฉุกเฉินทางจิตใจที่บุคคลสูญเสียความสามารถในการจัดการกับสถานการณ์ที่ยากลำบากส่งผลให้การกระทำ
ความรู้สึก และพฤติกรรมอาจนำไปสู่การทำร้ายตนเองหรือผู้อื่นได้.
ภาวะนี้เป็นผลมาจากความเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างเฉียบพลันจนทำให้เกิดความเสี่ยงต่อความเป็นอยู่ที่ดีหรือความปลอดภัยของตนเองและคนรอบข้าง.
เบื้องหลังทุกสถิติพวกนั้นคือ
บุคคลหนึ่ง, ครอบครัวหนึ่ง, ชุมชนหนึ่งกำลังเป็นที่พังทลายลงอย่างช้าๆ
โดยอะไรบางอย่างที่บ่อยครั้งเกินไปได้ถูกเมินเฉยเข้าใจผิด. เหตุผลทั้งหลายนั้นสลับซับซ้อนแต่ไม่สามารถปฏิเสธได้.
ความเครียดทางเศรษฐกิจ, การเสพติดสื่อสังคม, การไม่มีเสถียรภาพของการเมือง, และผลกนะทบทั้งหลายที่ห้อยติดอยู่ของโรคระบาด
ได้สร้างสรรค์พายุร้ายอันสมบูรณ์ของอารมณ์รู้สึกและความกดดันทางจิตวิทยา. เด็กๆกำลังเติบโตขึ้นมาในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน,
หวาดกลัว, และดิจิตอลท่วมทะลัก. ผู้ใหญ่ทั้งหลายกำลังทำงานมากขึ้น
แต่ได้รับผลตอบแทนน้อยลงยิ่งขึ้นด้วยเวลาเล็กน้อย หรือการสนับสนุนให้ฟื้นคืนหายคืนทางอารมณ์รู้สึก.
(Behind
every statistic is a person, a family, a community being slowly broken by
something that’s too often ignored misunderstood. The reasons are complex but
undeniable. Economic stress, social media addiction, political instability, and
the lingering effects of the pandemic have created a perfect storm of emotion
and psychological pressure. Kids are growing up in a world filled with
uncertainty, fear, and digital overload. Adults are working more but earning
less with little time or support for emotional recovery.)
แม้กระทั่งการเข้าถึงความช่วยเหลือก็ไม่เสมอภาคกัน.
การให้บริการดูแลสุขภาพจิตได้มีอย่างท่วมท้น, ราคาปพง, หรือไม่สามารถหาได้ไปเลยง่ายๆในมากมายหลายพื้นที่,
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุมชนตามชนบททั้งหลาย. มันไม่ต้องกังขาใจไปเลยว่าผู้คนมากมายเหลือเกินที่ได้ติดกับดัก,
สิ้นหวัง, หรือมึนชาด้าน. อะไรที่อันตายมากที่สุดคือการที่นิ่งเงียบต่อวิกฤตการณ์นี้อย่างไรที่บ่อยครั้งเป็นกัน.
ผู้คนทุกข์ทรมานในการถูกกีดกั้น, ละอายเกินไป, หรือหวาดกลัวที่จะเอื้อมมือออกไป. และเมื่อรุ่นอายุนี้ทั้งหมดเติบโตทางอารมณ์รู้สึกที่แตกสลาย.
มันก็ส่งผลกระทบไปยุงทุกภาคส่วนของสังคม.
(Even access to help is uneven. Mental health services are overwhelmed,
expensive, or simply unavailable in many areas, especially rural communities.
It’s no wonder so many people feel trapped, hopeless, or numb. What’s most
dangerous is how silent this crisis often is. People suffer in isolation, too
ashamed, or afraid to reach out. And when an entire generation grows up feeling
emotionally broken. It affects every part of society.)
การศึกษา, แรงกำลังงาน,
สัมพันธภาพ, หรือกระทั่งผลผลิตระดับชาติ. ถ้าเราไม่บำบัดรักษาสุขภาพจิตด้วยความฉุกเฉินเช่นเดียวกันกับการลงทุนเหมือนเช่นสุขภาพกาย,
เราเสี่ยงที่จะได้เฝ้าดูฐานรากของอนาคตเรากำลังร่วงแตกสลาย.
มันเป็นเวลาที่จะต้องพูดคุยกันอย่างเปิดกว้าง, กระทำอย่างกล้าหาญ, และสร้างวัฒนธรรมหนึ่งที่การช่วยเหลือไม่ใช่เครื่องหมายของความอ่อนแอ,
แต่คือการก้าวไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง. เพราะว่าประชาชาติหนึ่งไม่สามารถแข็งแรงได้ถ้าผู้คนของมันแตกสลายทางอารมณ์จากข้างใน. (Education, the workforce,
relationships, and even national productivity. If we don’t treat mental health
with the same urgency and investment as physical health, we risk watching the
foundation of our future fall apart. It’s time to talk openly, act boldly, and
build a culture where getting help is not a sign of weakness, but a step
forward strength. Because a nation can’t be strong if its people are mentally
falling apart from the inside.)
หมายเลข ห้า, เสพติดเทคโนโลยีและขาดการติดต่อทางสังคม.
เรามีชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่มีการติดต่อถึงกันได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์. กระนั้นการโดดเดี่ยวลำพังและการปิดกั้นตนเองก็อยู่ที่สถิติสูงๆ.
โดยเฉลี่ยคนอเมริกันได้ใช้เวลาเจ็ดชั่วโมงต่อวันอยู่หน้าจอ,
ส่วนมากของมันกับสื่อสังคม. อะไรที่ครั้งหนึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับการติดต่อสื่อสารได้กลายเป็นแหล่งกำเนิดของความฟุ้งซ่าน
ความแตกแยกและความเหนื่อยล้าทางอารมณ์. การศึกษาจากสถาบันทั้งหลายเหมือนเช่น
ฮาวาร์ดและสแตนฟอร์ด ได้ค้นพบสิ่งเชื่อมโยงอย่างแรงกล้าระหว่างการใช้เวลาหน้าจอมากเกินไปกับความวิตกกังวลที่เพิ่มมากขึ้นฺ,
ภาวการณ์ซึมเศร้า, การไร้ระเบียบความสนใจ, และการมองตัวเองในแง่ลบ,
โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น. การแจ้งเตือนทั้งหลายที่ไหลท่วม, การเปรียบเทียบและการคัดเลือกสรรความสมบูรณ์ทั้งหลาย
ได้เขียนบทขึ้นมาใหม่ให้กับว่า อย่างไรที่เราคิด, รู้สึก, และสัมพันธ์ต่อกันและกัน.
(Number five, technology
addiction and social disconnection. We live in the most connected era in human history.
Yet loneliness and isolation are at record highs. The average American spends
over seven hours a day in front of a screen, much of it on social media. What
was once a tool for connection has become a source of distraction, division,
and emotional exhaustion. Studies from institutions like Havard and Stanford
have found strong links between excessive screen time and rising levels of
anxiety, depression, attention disorders, and low self-esteem, especially among
teens. The constant flood of notifications, comparisons, and curated perfection
rewiring how we think, feel, and relate to each other.)
ผลกระทบทั้งหลายเป็นอยู่ทุกแห่ง. เด็กทั้งหลายกำลังดิ้นรนต่อสู้ที่จะมีสมาธิสนใจในโรงเรียน.
ผู้ใหญ่ทั้งหลายคันพบว่ามันยากที่จะคงไว้ซึ่งสมัพันธภาพอย่างมีความหมายแท้จริง,
และผู้คนมากมายในตอนนี้ใช้เกณฑ์วัดคุณค่าโดยจำนวน like และ followers-ผู้ติดตามทั้งหลาย. แม้กระทั่งการตั้งค่าทางสังคม,
โทรศัพท์มือถือยึดครองหน้าเวทีตรงกลาง, แทนที่การมีปฏิสัมพันธ์กันซึ่งหน้าด้วยการกรองภาพทั้งหลาย,
และการให้เหตุผลแบบสรุปสั้นๆ. และในขณะที่สื่อสังคมให้คำมั่นสัญญาคาดหวังกับการเชื่อมติดต่อ,
อะไรที่มันบ่อยครั้งส่งมาคือ ข้อมูลที่อุปมาอุมัย, ผิดพลาด, โกรธเคือง
และผิดพลาด. มันไม่เป็นที่ประหลาดใจเลยว่า
เวลามากชขึ้นเท่าไหร่ที่ผู้คนใช้ไปในการออนไลน์, พวกเขาก็ยิ่งเหมือนว่าได้รายงานว่ารู้สึกว้าเหว่โดดเดี่ยว,
ไม่เพียงพอ หรือ ท่วมทะลักล้น. (The
effects are everywhere. Children are struggling to focus in school. Adults find
it hard to maintain meaningful relationships, and many people now measure their
worth by likes and followers. Even in social settings9,
phones take center stage, replacing face-to-face interaction with filters
images, and short bursts of validation. And while social media promises
connection, what it often delivers is comparison, outrage, and misinformation.
It’s no surprise that the more time people spend online, the more likely they
are to report feeling lonely, inadequate, or overwhelmed.)
9 "In social settings" แปลว่า ในสถานการณ์ทางสังคม หรือ ในบริบททางสังคม คำนี้หมายถึงสถานที่หรือโอกาสที่ผู้คนมารวมตัวกันเพื่อปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
เช่น งานเลี้ยง, การประชุม, หรือการชุมนุม
- ในสถานการณ์ทางสังคม: ใช้ในบริบททั่วไป เช่น
"การพูดในที่สาธารณะอาจเป็นเรื่องยากในสถานการณ์ทางสังคมบางอย่าง"
- ในบริบททางสังคม: ใช้ในเชิงวิชาการหรือเป็นทางการมากขึ้น
เช่น "งานวิจัยนี้สำรวจพฤติกรรมของผู้คนในบริบททางสังคมต่างๆ"
การเติบโตไม่เป็นอิสรภาพอยู่กับเทคโนโลยีกำลังจัดแต่งรูปไม่เพียงแค่สมอง
แต่เป็นวัฒนธรรมทั้งปวงของเรา. เรากำลังสูญเสียความสามารถที่จะแสดงออก, ที่จะคิดอย่างลึกซึ้ง,
และที่จะมีส่วนร่วมในการสนทนาจริงๆ. ระยะความสนใจกำลังหดตัวลง,
ความเห็นอกเห็นใจก็กำลังลดลง, และการพูดอภิปรายเชิงเหตุผลสุภาพก็กำลังหายไป. ถ้าเราไม่เรียนรู้ที่จะทำความสมดุลชีวิตดิจิตอลกับการติดต่อมนุษย์จริงๆ,
เราก็เสี่ยงที่จะกลายเป็นสังคมซึ่งถูกกระตุ้นเร้าอย่างสม่ำเสมอ
แต่ว่างเปล่าทางอารมณ์รู้สึก. (This
growing dependence on technology is shaping not just our brains but our entire
culture. We’re losing the ability to be present, to think deeply, and to engage
in real conversations. Attention spans are shrinking, empathy is declining, and
civil discourse is disappearing. If we don’t learn to balance digital life with
real human connection, we risk becoming a society that’s constantly stimulated
but emotionally empty.)
มันถึงเป็นเวลาที่เราจะต้องก้าวถอยกลับมา,
ตั้งแนวขอบเขตทั้งหลายกับเครื่องมือทั้งหลายของเรา,
และสร้างใหม่ในสัมพันธภาพและชุมชนทั้งหลายที่ยั่งยืนแท้จริงแก่เรา.
เพราะว่าถ้าเรายังคอยแต่ปล่อยให้เทคโนโลยีควบคุมจัดการเรากับจีซัส,
เราอาจจะในไม่ช้าลืมไปแล้วว่าอะไรที่มันมีความหมายต่อการติดต่อกันที่แท้จริง. (It’s time to take a step back,
set boundaries with our devices, and rebuild the relationships and communities
that truly sustain us. Because if we keep letting technology control us with
Jesus, we may soon forget what it means to truly connect.)
วิดีโอนี้กำลังทำให้คุณคิด, หยุดพักสักวินาทีและบอกกับเราในช่องความคิดเห็นว่าอะไรที่คุณกังวลใหญ่โตที่สุดเกี่ยวกับอนาคตของอเมริกา.
เราอ่านทุกแต่ละความเห็นนั้นๆ. และเอ็, ถ้าคุณชื่นชมนิยมในงานนี้,
ที่เรานำมาสร้างสรรค์นี้, ซัดที่ปุ่มsubscribeเลย,
มันแค่หนึ่งคลิ๊ก, แต่มันคือเชื้อเพลิงให้กับทุกสิ่งที่เราทำ. (If this video is making you think,
pause for a second and tell us in the comments what’s your biggest concern
about America’s future. We read every single one. And hey, if you appreciate the
work, we put into creating this, hit that subscribe button. It’s just one
click, but it fuels everything we do.)
หมายเลข
หก, ช่องโหว่ในห่วงโซ่อุปทาน. เราบ่อยครั้งเบื่อง่ายๆว่าหิ้งวางสินค้าในร้านขายทั้งหลายจะมีถูกเก็บไว้,
ปั้มน้ำมันทั้งหลายจะมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม, และหีบห่อสินค้าจะมาถึงตามเวลา. แต่การระบาดของโรคโควิด
19 เปิดเผยออกมาให้เห็นความอ่อนแอที่ถูกซ่อนอยู่ ที่ยังคงหลอกหลอนคนอเมริกันมาจนทุกวันนี้.
ห่วงฏโซ่อุปทานของเราไปไกลกว่าเปราะบางกว่าที่เราคิด. (Number
six, supply chain vulnerabilities10. We
often take it for granted that store shelves will be stocked, gas stations will
be filled, and packages will arrive on time. But the COVID 19 pandemic exposed
a hidden weakness that still haunts America today. Our supply chains are far
more fragile than we thought.)
10 Supply chain vulnerabilities แปลว่า ช่องโหว่ในห่วงโซ่อุปทาน หมายถึง
จุดอ่อนที่อาจทำให้ระบบห่วงโซ่อุปทานเกิดความเสียหายหรือถูกโจมตีได้
ซึ่งอาจเกิดจากการพึ่งพาบุคคลที่สาม, ซัพพลายเออร์, หรือการใช้ส่วนประกอบจากภายนอก ซึ่งเป็นความเสี่ยงสำคัญทั้งในด้านกายภาพ
(เช่น การหยุดชะงักของการขนส่ง) และความปลอดภัยทางไซเบอร์ (เช่น
การแทรกโค้ดอันตรายผ่านซอฟต์แวร์).
ประเภทของช่องโหว่ในห่วงโซ่อุปทาน
- ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย: การโจมตีทางไซเบอร์ที่มุ่งเป้าไปที่ซัพพลายเออร์เพื่อเข้าถึงระบบของบริษัทเป้าหมายโดยตรง.
- ช่องโหว่ด้านการดำเนินงาน: ความเสี่ยงที่เกิดจากความไม่แน่นอนในกระบวนการต่างๆ
เช่น การจัดหาวัตถุดิบ, การผลิต, หรือการขนส่ง.
- ช่องโหว่ด้านกฎระเบียบ: ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายหรือนโยบาย.
- ช่องโหว่ด้านการเงิน: ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในตลาดการเงิน
หรือความผันผวนของราคา.
- ช่องโหว่ด้านสิ่งแวดล้อม: ความเสี่ยงที่เกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ
หรือปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ที่ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทาน.
โรงงานเดี่ยวปิดลงในประเทศอื่น,
การโจมตีทางไซเบอร์กับระบบขนส่งสินค้าทางเรือ, หรือแรงงานหยุดงานที่ท่าเรือหลักใหญ่
สามารถรบกวนการไหลเวียนของอาหาร, ยารักษาโรค, อิเล็กทรอนิกส์,
และเชื้อเพลิง. พาดผ่านประชาชาติ, อะไรที่เคยดูเหมือนการสะอึกทั้งหลายที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยๆ
ในตอนนี้กำลังกลายเป็นการคุกคามประจำ,
และผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายมากมายได้เตือนว่าการแทรกขัดให้หยุดชงักใหญ่ครั้งหน้าจะมาในทันทีได้ทุกขณะ.
(A
single factory shutdown in another country, a cyber-attack on a shipping
system, or a labor strike at a major port can disrupt the flow food, medicine,
electronics, and fuel. Across the nation, what used to seem like rare hiccups
are now becoming regular threats, and many experts warn that the next big
disruption come at any moment.)
อเมริกาได้กลายเป็นที่พึ่งพาอย่างหนักหนาสาหัสกับกิจการโพ้นทะเลสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์ไปจนถึงไมโครชิป.
การจ้างเหมาทั่วโลกนี้ได้ตัดค่าใช้จ่ายบ้าบอไป แต่ได้สร้างสรรค์ความเปราะบางที่อันตราย.
ถ้าเกิดคสวามตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ได้สูงขึ้น, พูดได้ว่าสหรัฐอเมรอิกากับจีน,
หรือถ้าเกิดโรคระบาดอีกอันอื่น, การหายนะทางธรรมชาติ,
หรือสงครามขัดแทรกเข้ามาในเส้นทางการค้าทั้งหลาย, หลายล้านของคนอเมริกันก็จะสามารถรู้สึกได้ถึงผลกระทบทั้งหลายได้เกือบราวแค่ข้ามคืน.
การล่าช้าทั้งหลายในเสบียงสินค้าสำคัญสามารถหมายถึงได้ว่าราคาสินค้าก็จะสูงขึ้น,
การขาดแคลนของรายการที่วิกฤตสำคัญ, และผลกระทบเป็นลูกคลื่นผ่านไปทั่วทุกอุตสาหกรรมจากการดูแลสุขภาพไปจนถึงการขนส่ง. (America has become heavily
dependent on overseas manufacturing for everything from prescription drugs to
microchips. This global outsourcing has cut costs nut created a dangerous
vulnerability. If geopolitical tensions escalate, say the US and China, or if
another pandemic, natural disaster, or war interrupts trade routes, millions of
Americans could feel the effects almost overnight. Delays in vital supplies
could mean higher prices, shortages of critical items, and a ripple effect
through every industry from healthcare to transportation.)
นี้ไม่ได้เป็นแค่วาระประเด็นทางเศรษฐกิจ.
มันเป็นการเกี่ยวข้องถึงความมั่นคงของชาติ.
ประเทศหนึ่งที่ไม่สามารถผลิตหรือขนส่งอะไรที่มันจำเป็นต้องการ
คือประเทศที่ตกอยู่ในความเสี่ยง. ลองจินตนาการว่าโรงพยาบาลทั้งหลายขาดแคลนเวชภัณฑ์ทั้งหลาย,
ร้านของชำปราศจากอาหารสด, หรือปั๊มน้ำมันแห้งผากในระหว่างช่วงวิกฤติ. ความยืดหยุ่นคงทนจำเป็นกลายเป็นลำดับสำคัญยอดบนสุด,
ไม่ใช่แค่อัตราผลกำไร. นั่นหมายถึงการรื้อฟื้นกลับมาลงทุนประกอบกิจการทั้งหลายในประเทศ,
ก่อสร้างระบบกระจายสินค้าทั้งหลายที่ดีฉลาดเก่งขึ้น, และจัดเตรียมชุมชนทั้งหลายที่จะรับมือกับ
ความขาดแคลนชั่วคราว. เพราะว่าลูกโซ่การตื่นตกใจคราวหน้าไม่ได้เป็นสำคัญว่าถ้า,
แต่มันสำคัญอยู่ที่ว่าเมื่อไหร่. และเร็วขึ้นเท่าไหร่ที่เราเตรียมพร้อม,
โอกาสที่ดีกว่าที่เรามีในการรักษาประชาชาติให้มีเสถียรภาพเมื่อชั่วขณะนั้นได้มาถึง. (This isn’t just an economic
issue. It’s a national security concern. A country that can’t produce or
transport what it needs is a country at risk. Imagine hospitals without medical
equipment, grocery stores without fresh food, or gas stations running dry
during a crisis. Resilience needs to become a top priority, not just profit
margins. That means reinvesting in domestic manufacturing, building smarter
logistics systems, and preparing communities to handle temporary shortages. Because
the next chain shock isn’t a matter of if, it’s a matter of when. And the
sooner we prepare, the better chance we have of keeping the nation stable when
that moment arrives.)
หมายเลข
เจ็ด, การสูญเสียความไว้วางใจในสถาบันทั้งหลาย.หนึ่งในสัญญาณอันตรายมากที่สุดของประชาติในการล่มสลายก็คือ
เมื่อผู้คนของตนไม่ไว้วางใจระบบทั้งหลายที่ถูดคาดหมายว่าจะปกป้องและนำทางพวกเขา.
ในอเมริกา, ความไว้วางใจนั้นกำลังผุกร่อนอย่างรวดเร็ว. โพลทั้งหลายจากกัลลอปและ
Pew
Research แสดงให้เห็นว่าลดลงอย่างตรึงใจในความเชื่อมั่นของสาธารณชน
ในทุกสิ่งทุกอย่างจากรัฐบาลและสื่อ ในการบังคับใช้กฎหมาย, การดูแลสุขภาพ,
และแม้กระทั่งระบบยุติธรรม. (Number
seven, loss of trust in institutions. One of the most dangerous signs of a
nation in decline is when its people no longer trust the systems meant to
protect and guide them. In America, that trust is eroding fast. Polls from
Gallup and Pew Research show a drama drop in public confidence in everything
from the government and media to law enforcement healthcare, and even the
justice system.)
ครั้งหนึ่งเมื่อสถาบันที่ได้รับความนับถือทั้งหลายได้ถูกมองด้วยความสงสัยในบางเหตุกรณีที่เป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจนสิ้นเชิง.
การพังทลายของความไว้วางใจนี้ไม่ได้บังเกิดในชั่วข้ามคืน. มันได้สร้างขึ้นอย่างช้าๆและเมื่อมันได้พังพาบลง
มันก็เข้ากุมความเสถียรภาพและเอกภาพดึงลงไปด้วยกับมัน. คนยอเมริกันทั้งหลายถูกถล่มใส่ด้วยข้อมูลข่าวสารที่ขัดแย้งกัน,
การปลุกปั่นทางการเมืองในสื่อ, และความฉ้อฉลที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีความเป็นจริงของสถานการณ์.
การทุจริต, ข้อมูลข่าวสารที่ผิด, และอิทธิพลของภาคธุรกิจ
ได้พร่ามัวเส้นแบ่งระหว่างการบริหการสาธารณะและผลประโยชน์ส่วนตัว. (Once respected institutions are
now viewed with suspicion in some cases outright hostility. This breakdown of
trust doesn’t happen overnight. It builds slowly and when it collapses it takes
stability and unity down with it. Americans are bombarded with conflicting
information, political spin, and scandals that seem to have no real
consequences. Corruption, misinformation, and corporate influence have blurred
the line between public service and personal gain.)
ผู้คนรู้สึกว่าไม่ถูกรับฟัง,
ถูกทำให้เขใจผิดและไร้อำนาจต่อรอง. และนั่นคือการผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างอันตราย.
เมื่อสถาบันทั้งหลายสูญเสียความน่าเชื่อถือ, ผู้คนหันไปทาอื่นเพื่อหาคำตอบทั้งหลาย,
บ่อยครั้งต่อทฤษฎีการสมคบกันกระทำผิดทั้งหลาย, การถูกหลอกลวง, หรือห้องโถงเสียงสะท้อน/กะลาครอบหัวของตนเองที่เพียงแต่เสริมแรงกำลังความหวาดกลัวและความหงุดหงิดไม่ได้ดังใจทั้งหลายของพวกเขา.
ผลลัพธ์นั้นคือสังคมหนึ่งที่ซึ่งแตกละเอียด, หวาดระแวง, และง่ายต่อการชักจูงบงการ.
ปราศจากความไว้วางใจ, แม้กระทั่งระบบที่ดีที่สุดก็ล้มเหลว. พลเมืองทั้งหลายหยุดการไปลงคะแนนออกเสียง,
หยุดการเข้าไปมีส่วนร่วม, และเริ่มต้นเชื่อว่าจะไม่มีอะไรสามารถเปลี่ยนแปลงได้. สัญญาประชาคม/สัญญาทางสังคมต่อกันทั้งหลายอ่อนแอลง,
และความร่วมกันขั้นพื้นฐานเหกมือนเช่นการทำตามกฎหมาย หรือการนับถือวิทยาศาสตร์กลายเป็นยากที่จะยั่งยืนต่อไป.
ถ้าผู้คนน่าเชื่ออีกต่อไปว่าศาลทั้งหลายจะผดุงความยุติธรรม, ข่าวสารทั้งหลายนั้นเป็นความจริง,
หรือผู้นำทั้งหลายนั้นซื่อสัตย์, แล้วประชาธิปไตยตัวมันเองก็เริ่มต้นที่จะล้มกลิ้ง.
(People feel unheard, mislead,
and powerless. And that’s a dangerous combination. When institutions lose
credibility, people turn elsewhere for answers, often to conspiracy theories,
misinformation, or echo chambers11 that
only reinforce their fears and frustrations. The result is a society that’s
fractured, suspicious, and easily manipulated. Without trust, even the best
systems fail. Citizens stop voting, stop participating, and start believing
that nothing can change. Social contracts weaken, and basic cooperation like
following laws or respecting science becomes harder to sustain. If people no
longer believe the courts are fair, the news is true, or leaders are honest,
then democracy itself begins to crumble.)
11 Echo
chamber แปลว่า "ห้องเสียงสะท้อน" หรือ "ห้องสะท้อนเสียง" เป็นการเปรียบเทียบถึงสภาพแวดล้อมที่คนเราจะได้รับฟังแต่ข้อมูลและความคิดเห็นที่คล้ายคลึงกับตนเองเท่านั้น
ซึ่งมักจะเกิดจากการเลือกรับข้อมูลหรือถูกจำกัดโดยอัลกอริทึมของโซเชียลมีเดีย
ทำให้มีแนวโน้มที่จะยึดติดกับความคิดของตัวเองและไม่เปิดรับมุมมองที่แตกต่าง
ลักษณะสำคัญของ Echo Chamber
- การสะท้อนความคิดเห็น: เป็นพื้นที่ที่ความคิดเห็น
ความเชื่อ หรือข้อมูลชุดหนึ่ง ๆ ถูกแพร่กระจายและตอกย้ำซ้ำ ๆ
- การปิดกั้นข้อมูลที่แตกต่าง: คนในกลุ่มมักจะรับฟังแต่เรื่องเดิม
ๆ และปิดกั้นข้อมูลที่แตกต่าง หรือไม่ยอมรับความคิดเห็นที่ขัดแย้งกัน
- การยึดมั่นในความคิดเดิม: ทำให้คนในสังคมนั้น
ๆ
มีแนวโน้มที่จะเชื่อว่าความคิดของตนเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเป็นความคิดของคนส่วนใหญ่
- ตัวเร่งในยุคโซเชียลมีเดีย: โซเชียลมีเดียมีระบบที่เอื้อต่อการเกิด
Echo Chamber อย่างมาก
โดยการสร้างกลุ่มหรือการแสดงผลข้อมูลที่ตรงกับความสนใจ
ทำให้ผู้ใช้ได้รับแต่เนื้อหาที่ตนเองชอบ
การรื้อฟื้นสร้างความไว้วางใจขึ้นมาใหม่จะไม่เป็นการง่าย,
แต่มันเป็นเนื้อหาสำคัญ. มันเริ่มต้นด้วยความโปร่งใส, ความรับผิดชอบ,
และความกล้าหาญที่จะยอมรับเมื่อระบบทั้งหลายได้พังลง. เพราะเมื่อใดที่ได้จากไปแล้ว,
ทุกวิกฤตการณ์อื่นๆก็กลายเป็นยากยิ่งขึ้นที่จะซ่อมแซมแก้ไขได้.
และประเทศที่ถูกแบ่งแยกด้วยความสงสัย
คือประเทศที่กำลังยืนอยู่บนพื้นดินที่สั่นไหว. (Rebuilding trust won’t be easy,
but it’s essential. It starts with transparency, accountability, and the
courage to admit when systems are broken. Because once is gone, every other
crisis becomes harder to fix. And the country divided by doubt is a country
standing on shaky ground.)
หมายเลข
แปด, การศึกษาที่กำลังล้มเหลว. อเมริกาครั้งหนึ่งได้เป็นที่รู้จักกันว่ามีหนึ่งในระบบการศึกษาที่ทรงพลังอำนาจและนวัตกรรมทั้งหลายมากที่สุดในโลก.
แต่ทุกวันนี้ชื่อเสียงนั่นได้ล้มกลิ้งไปแล้ว. อ้างอิงตามศูนย์สถิติการศึกษาแห่งชาติ,
คะแนนทดสอบการอ่าน, เลขคณิต, และวิทยาศาสตร์ได้ลดต่ำลงพาดข้ามไปทั่วกระดานด้วย
บางการดิ่งลงอย่างเลวร้ายที่สุดพบเห็นในนักเรียนในวัยกำลังจะหนุ่มสาว.
การระบาดของโรคโคหวิด 19 ทำให้สิ่งทั้งหลายเลวร้ายลงไป, เปิดออกให้เห็นความไม่มีคุณภาพเชิงลึกในการเข้าถึงคุณภาพการศึกษา,
เทคโนโลยี, และการสนับสนุน. (Number eight, falling
education system. America was once known for having one of the most powerful
and innovative education systems in the world. But today that reputation is
crumbling. According to the National Center for Education Statistics12, test
scores in reading, math, and science have been declining across the board with
some of the worst drops seen in younger students. The COVID 19 pandemic made
things worse, exposing deep inequalities in access to quality education,
technology, and support.)
12 ศูนย์สถิติการศึกษาแห่งชาติ (The National Center for Education Statistics หรือ NCES) คือ หน่วยงานสถิติหลักของ กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำหน้าที่รวบรวม
วิเคราะห์
และเผยแพร่ข้อมูลสถิติเกี่ยวกับการศึกษาในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงระดับอุดมศึกษา
เพื่อให้ข้อมูลที่เป็นกลางและเป็นประโยชน์ต่อผู้กำหนดนโยบาย นักการศึกษา
และสาธารณชน
- หน้าที่หลัก: รวบรวม เรียบเรียง วิเคราะห์
และรายงานสถิติเกี่ยวกับการศึกษาในสหรัฐอเมริกา
- กลุ่มเป้าหมาย: ผู้กำหนดนโยบายสาธารณะทั้งในระดับรัฐบาลกลางและระดับรัฐ
นักการศึกษา และประชาชนทั่วไป
- การดำเนินงาน: ดำเนินงานภายใต้ สถาบันวิทยาศาสตร์การศึกษา
(IES) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ
- ขอบเขต: ครอบคลุมการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัย ประถมศึกษา
มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา รวมถึงการศึกษาในระดับนานาชาติด้วย
นักเรียนมากมายไม่เคยได้ไล่ตามได้ทันเลย.
และในตอนนี้เรากำลังมองเห็นรุ่นอายุทั้งหมดกำลังร่วงไปอยู่ทางด้านหลังในทักษะพื้นฐานที่จำเป็นทั้งหลายสำหรับอนาคต.
ปัญหานั้นไม่ได้เป็นแค่คะแนนการทดสอบ. มันเป็นระบบทั้งหมด. โรงเรียนที่ขาดงบประมาณ/เงินทุนสนับสนุน,
วิธีการสอนที่ล้าสมัย, ห้องเรียนที่ผู้รียนมากเกินไป, และการขาดแคลนครู,
คือสมุฏฐานโรคร้ายทั้งหมดของวาระประเด็นเชิงลึก. ในหลายส่วนมากมายของประเทศนี้,
โดยเฉพาะในพื้นที่รายได้น้อยและชนบท, นักเรียนทั้งหลายกำลังเข้าเรียนในโรงเรียนที่ปราศจากทรัพยากรที่เหมาะสม,
ตำราเรียนล้าสมัย, หรือกระทั่งการมีเครื่องปรับอากาศซึ่งทำงานได้. (Many students never fully caught
up. And now we’re seeing an entire generation falling behind in basic skills
necessary for the future. The problem isn’t just testing scores. It’s systemic.
Underfunded schools, outdated teaching methods, overcrowded classrooms, and
teacher shortages are all symptoms of a deeper issue. In many parts of the
country, especially low-income and rural areas, students are attending schools
without proper resources, updated textbooks, or even functioning air
conditioning.)
ในขณะเดียวกัน, ครูทั้งหลายก็ได้รับค่าจ้างต่ำกว่าที่ควร,
ทำงานเกินกำลัง, และลาออกทิ้งไปจากงานอาชีพนี้เป็นจำนวนมากกว่าเดิม. มันคือวงจรอุบาทว์.
ครูจำนวนน้อยลงหมายถึงขนาดของห้องเรียนก็โตขึ้น, ซึ่งนำไปสู่ความสนใจรายตัวและผลลัพธ์ที่แย่ลงสำหรับนักเรียนทั้งหลาย.
การเสื่อมถอยลงนี้ไม่ได้ทำร้ายของเด็กนักเรียนทั้งหลาย; ทำร้ายประเทศไปทั้งหมด. ประชากรที่มีระดับการศึกษาต่ำเป็นเหมือนมากกับการดิ้นรนต่อสู้ทางเศรษฐกิจ,
พลาดไปกับข้อมูลข่าวสารที่ผิดพลาด, และไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับตลาดของการเปลี่ยนแปลงงานอย่างรวดเร็วขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีและการแข่งขันระดับโลก.
(Meanwhile, teachers are
underpaid, overworked, and leaving the profession in record numbers. It’s a
vicious cycle. Fewer teachers mean larger class sizes, which lead to less
individual attention and poorer outcomes for students. This decline doesn’t
just hurt students; it hurts the entire country. A poorly educated population
is more likely to struggle economically, fall for misinformation, and be
unprepared for the rapidly changing job market driven by technology and global
competition.)
การศึกษาคือฐานรากของประชาธิปไตย,
นวัตกรรม, และการเคลื่อนย้ายทางสังคม. และในตอนนี้, ฐานรากนั้นกำลังแตกร้าว.
ถ้าเราต้องการที่จะหลีกเลี่ยงต่ออนาคตที่อเมริกาไม่สามารถอีกต่อไปแล้วที่จะแข่งขัน,
ชี้นำ หรือกระทั่งกุมตนเองเขไว้ด้วยกัน,
เราก็ต้องปฏิบัติต่อปัญหาการศึกษาให้เป็นวาระแห่งชาติอย่างที่มันเป็นจริง.
เพราะว่า (Education
is the foundation of democracy, innovation, and social mobility13. And
right now, that foundation is cracking. If we want to avoid a future where
America can no longer compete, lead, or even hold itself together, we must
treat education like the national priority it truly is. Because when we fail
our students, we fail our future. And no nation can rise when its next
generation is being left behind.)
13 Social mobility แปลว่า การเคลื่อนย้ายทางสังคม หรือ การขยับสถานะทางสังคม ซึ่งหมายถึงการที่บุคคล
กลุ่มบุคคล หรือครอบครัวมีการเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคมของตนเองให้ดีขึ้นหรือแย่ลง
โดยการเคลื่อนย้ายนี้อาจเกิดขึ้นได้จากการเปลี่ยนตำแหน่งงาน การศึกษา
หรือปัจจัยอื่น ๆ ในช่วงชีวิต.
ความหมายโดยละเอียด
- การเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคม: การขยับจากสถานะทางสังคมหนึ่งไปยังอีกสถานะหนึ่ง
ซึ่งอาจเป็นการเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น (เช่น จากพนักงานโรงงานไปเป็นผู้บริหาร)
หรือลดระดับลง (เช่น การถูกลดตำแหน่งงาน)
- การวัดผล: มักวัดได้จากการเปรียบเทียบสถานะทางสังคมของบุคคลในสองช่วงเวลา
เช่น ในปัจจุบันเมื่อเทียบกับตอนที่ตนเองเป็นเด็ก
หรือเมื่อเทียบกับสถานะของพ่อแม่
- ปัจจัยที่มีผล: มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายทางสังคม
เช่น โอกาสทางการศึกษา การเข้าถึงทรัพยากร ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
และอุปสรรคทางสังคม
- ความสัมพันธ์กับความยุติธรรม: ในสังคมที่มีความคล่องตัวทางสังคมสูง
มักหมายถึงสังคมที่มีความยุติธรรมและโอกาสที่เท่าเทียมกันมากขึ้น
ทำให้บุคคลสามารถพัฒนาและเลื่อนสถานะของตนเองได้ตามความสามารถ
โดยไม่ถูกจำกัดด้วยภูมิหลังทางครอบครัว
หมายเลข
เก้า, อิทธิพลระดับโลกที่ถดถอยลง. หลายทศวรรษมา, อเมริกาได้ถูกมองว่าเป็นเช่นผู้นำโลก,
ไม่ใช่แค่อำนาจทางทหาร, แต่ในทางนโยบายต่างประเทศ, นวัตกรรม,
และอำนาจทางจริยธรรม. แต่อิทธิพลนั่นกำลังเลือนจางหายไปในตอนนี้.
ประเทศทั้งหลายที่ครั้งหนึ่งเคยพึ่งพาอยู่ในความเป็นผู้นำของสหรัฐอเมริกากำลังเริ่มต้นที่จะมองไปที่แห่งอื่น,
รวบรวมก่อตั้งพันธมิตรทั้งหลายใหม่ ที่แยกออกไปหรือแม้กระทั่งท้าทายผลประโยชน์ของอเมริกา.
จากการเจริญรุ่งเรืองของจีน ในฐานะมหาอำนาจโลกที่กำลังเปลี่ยนถ่ายก่อนอำนาจทั้งหลายเหมือนเช่น
BRICS,
ระเบียบโลกกำลังรื้อเขียนขึ้นมาใหม่ และอเมริกาอย่างช้าๆกำลังสูญเสียที่นั่งของตนที่หัวโต๊ะ.
(Number nine, declining
global influence. For decades, America was seen as the world’s leader, not just
in military power, but in diplomacy, innovation, and moral authority14. But
that influence is now fading. Countries that once relied on US leadership are
beginning to look elsewhere, forming new alliances that exclude or even
challenge American interests. From the rise of China as a global superpower to
shifting power blocks like bricks, the world order is being rewritten and
America is slowly losing its seat at the head of the table.)
14 "Moral authority" แปลว่า "อำนาจทางศีลธรรม" หรือ "ธรรมอำนาจ" ซึ่งหมายถึงอำนาจที่มาจากหลักการหรือความจริงทางศีลธรรมที่น่าเชื่อถือ
โดยเป็นอำนาจที่ใช้ในการชี้นำหรือให้คำแนะนำทางศีลธรรมแก่ผู้อื่น เช่น
บิดามีอำนาจทางศีลธรรมในครอบครัว
หรือผู้นำทางศาสนามีอำนาจทางศีลธรรมในหมู่ผู้ศรัทธา
ความหมายโดยละเอียด
- อำนาจที่ไม่ได้มาจากกฎหมาย: ไม่เหมือนกับอำนาจตามกฎหมายที่มาจากตำแหน่งหรือกฎระเบียบ
อำนาจทางศีลธรรมมาจากความเชื่อมั่นในหลักการที่ดีและถูกต้อง
- แหล่งที่มาของคำแนะนำ: เป็นแหล่งข้อมูลที่บุคคลเชื่อถือได้สำหรับคำแนะนำทางศีลธรรม
เช่น คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนา หรือคำสอนจากผู้นำทางจิตวิญญาณ
- การยกตัวอย่าง:
- ศาสนา: พระสงฆ์หรือคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เป็นแหล่งอำนาจทางศีลธรรมสำหรับผู้นับถือศาสนา
- ครอบครัว: บิดามีอำนาจทางศีลธรรมในการดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัว
- หลักการ: ความจริงพื้นฐานที่ไม่ใช่กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร
เมื่อใดที่ความสัมพันธ์ทางการทูตอันทรงพลังกำลังอ่อนแอ
และความน่าเชื่อถือบนเวทีโลกของอเมริกากำลังถูกตั้งคำถามมากขึ้นกว่าที่เคยมีมา.
ความเสื่อมถอยนี้ไม่ได้แค่เกี่ยวกับทางการเมืองระหว่างประเทศ. มันมีผลกระทบที่ตามมาแท้จริงในทุกวันของคนอเมริกัน.
การสูญเสียอิทธิพลระดับโลกหมายถึงการสูญเสียอิทธิพลในการต่อรองทางการค้า,
ความมั่นคงปลอดภัยระหว่างประเทศ, และกระทั่งเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ. ดอลลาร์สหรัฐ,
ที่ได้รับการพิจารณาให้เป็นทุนสำรองเงินตราของโลกมายาวนาน, กำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันเพิ่มมากขึ้นเมื่อประเทศทั้งหลายได้ค้นพบทางเลือกอื่น.
(Once powerful diplomatic
relationships are weakening and America’s credibility on the world stage is
being questioned more than ever. This decline isn’t just about international
politics. It has real consequences for everyday Americans. Losing global
influence means losing leverage in trade deals, international security, and
even economic stability. The US dollar, long considered the world’s reserve
currency, is under increasing pressure as countries explore alternatives.)
ถ้าความไว้วางใจในความเป็นผู้นำขอฃสหรัฐอเมริกายังคงดำเนินการถดถอยอยู่ต่อไป,
มันก็สามารถนำไปสู่ราคาสินค้าสูงขึ้น, พันธมิตรอ่อนแอลง, และความสามารถถูกลดน้อยลงในการที่จะตอบสนองต่อการคุมคามระดับโลก.
เมื่อประชาชาติอื่นๆไม่มองเห็นอีกต่อไปว่าสหรัฐอเมริกาเป็นหุ้นส่วนที่พึ่งพาได้
หรือเป็นผู้นำทางจริยธรรม, มันก็สร้างสรรค์สูญญกาศทางอำนาจที่ได้ถูกเติมเต็มโดยระบอบการปกครองทั้งหลายอื่นที่ยึดคุณค่าทั้งหลายซึ่งแตกต่างออกไป.
อันตรายตรงนี้เป็นที่ละเอียดอ่อนแต่รุนแรงจริงจัง. อิทธิพลไม่ใช่ได้หายไปในชั่วข้ามคืน.
มันค่อยๆจางเลือนไปอย่างช้าๆจรนกระทั่งวันหนึ่งมันก็หายไป. ถ้าคนอเมริกันเป็นแค่เสียงหนึ่งบนโต๊ะแทนที่จะได้เป็นหนึ่งในการชี้นำมัน,
ความสามารถของตนเองที่จะปกป้องผลประโยชน์ของตนและสนับสนุนเสริมเสถียรภาพโลกก็จะหดย่นย่อตัวลงอย่างน้าตกตลึง.
(If trust in American leadership
continues to erode, it could lead to higher costs, weaker alliances, and a
reduced ability to respond to global threats. When other nations no longer see
the US as a reliable partner or moral leader, it creates power vacuums that get
filled by regimes with very different values. The danger here is subtle but
serious. Influence doesn’t disappear overnight. It fades slowly until one day it’s
gone. If American just another voice at the table instead of the one guiding
it, its ability to protect its interests and promote global stability will
shrink dramatically.)
โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว. และถ้าสหรัฐอเมริกาไม่ได้ประยุกต์,
ลงทุนในนโยบายต่างประเทศ, และฟื้นฟูรื้อสร้างความสัมพันธ์ระดับโลกขึ้นมาใหม่,
มันเป็นความเสี่ยงที่กำลังกลายเป็นผู้ยืนดูข้างสนามในการตัดสินใจทั้งหลายที่ปรับรูปร่างก่อแต่งอนาคต.
อิทธิพลไม่ใช่ตัวค้ำประกัน. มันเป็นที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรง.
อิทธิพลกำลังลื่นไถลไปจากนิ้วมือของเรา.
(The world is changing fast. And if the US doesn’t adapt,
invest in diplomacy and rebuilt its global relationships, it risks becoming a
bystander in decisions that shape the future. Influence is not a guarantee.
It’s earned. And right now, that influence is slipping through our fingers.)
หมายเลข
สิบ, การผุกร่อนของเอกลักษณ์ของชาติ. อเมริกาได้ถูกบรรยายอยู่เสมอว่าเป็นหม้อหลอมรวม,
สถานที่ผู้คนซึ่งมีภูมิหลังทั้งหลายทั้งหมดสามารถมาอยู่ร่วมกันภายใต้ศรัทธาความเชื่ออันได้แบ่งปันกันในอิสรภาพ,
โอกาส, และการแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าเดิม. แต่ในทุกวันนี้,
สัมผัสสำนึกแห่งเอกลักษณ์สามัญร่วมกันนั้นกำลังเริ่มต้นที่จะทะลายคลายออกพังลง.
ตุณค่าและหลักการทั้งหลายที่ครั้งหนึ่งเป็นเอกภาพหลอมรวมประเทศนี้
ในตอนนี้เป็นที่โต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อน. กำหนดนิยามขึ้นใหม่
หรือปฏิเสธโดยสิ้นเชิง. (Number
ten, erosion of national identity. America has always been described as a
melting pot15, a place where people of all
backgrounds could come together under a shared belief in freedom, opportunity,
and the pursuit of a better life. But today, that sense of common identity is
starting to unravel. The values and principles that once united the country are
now hotly debated. Redefined or outright rejected.)
15 "A melting pot" แปลว่า หม้อหลอมรวม หรือ หม้อหลอมละลาย และมีความหมายเชิงเปรียบเทียบหมายถึง สถานที่หรือสถานการณ์ที่ผู้คน วัฒนธรรม ความคิด หรือสิ่งต่างๆ
มาจากหลากหลายที่มารวมเข้าไว้ด้วยกัน จนเกิดเป็นส่วนผสมใหม่ที่กลมกลืนหรือแตกต่างออกไป
ความหมายหลัก
- ในเชิงรูปธรรม: หมายถึง "หม้อหลอม"
ที่ใช้ในกระบวนการทางอุตสาหกรรมหรือการทดลอง
- ในเชิงนามธรรม: หมายถึง การผสมผสานทางวัฒนธรรมหรือความคิด ที่เกิดขึ้นในสังคม
- ตัวอย่าง: สหรัฐอเมริกาถูกเรียกว่า "melting pot" เพราะเป็นที่รวมของผู้อพยพจากทั่วโลกที่มีวัฒนธรรมหลากหลายมาหลอมรวมกัน
ความหมายเชิงเปรียบเทียบ
- แหล่งรวมที่หลากหลาย: เป็นสถานที่ที่ผู้คนจากพื้นเพที่แตกต่างกันเข้ามาอาศัยและใช้ชีวิตร่วมกัน
- กระบวนการสร้างสรรค์: ใช้ในความหมายของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
โดยการนำเอาองค์ประกอบที่แตกต่างมาผสมผสานเข้าด้วยกัน
- สถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอน: ในบางครั้งอาจใช้ในความหมายของสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
เช่น "in the melting pot"
มากยิ่งมากขึ้นของคนอเมริกันกำลังถามคำถามที่ยุ่งยาก.
ที่มันกระทั่งหมายถึงว่าการที่จะเป็นคนอเมริกันกันอีกต่อไปแล้วคืออะไร?
ปราศจากวิสัยทัศน์ที่แบ่งปัน, ประเทศหนึ่งก็กลายเป็นที่รวมคนแปลกหน้าแทนที่จะเป็นผู้คนที่เป็นหนึ่งเดียวกัน.
การผุกร่อนของเอกลักษณ์/ตัวตนที่แสดงออกมาในทางวัฒนธรรม, การเมือง,
และชีวิตประจำวัน. ลัทธิชาตินิยมในตอนนี้บ่อยครั้งเป็นการทมองผ่านเลนส์ขยายของผู้คลั่งชาติ.
ธงชาติ, เพลงชาติ. และแม้กระทั่งตรารากฐานเหมือนเช่นรัฐธรรมนูญ
ก็ได้กลายแหล่งกำเนิดของการแบ่งแยกมากกว่าความมีเอกภาพ. กลุ่มทั้งหลายที่แตกต่างกัน
มีชีวิตอยู่กับความเป็นจริงทั้งหลายที่แยกจากกันซึ่งมีอิทธิพลขึ้นโดยแหล่งข่าว,
ทัศนคติ, และคุณค่าทางวัฒนธรรมทั้งหลาย. (More
and more Americans are asking a difficult question. What does it even mean to
be American anymore? Without a shared vision, a country becomes a collection of
strangers instead of united people. This erosion of identity plays out in
culture, politics, and daily life. Patriotism is now often viewed through a
partisan lens. The national flag, the anthem. And even foundational documents
like the Constitution have become sources of division rather than unity. Different
groups live in separate realities influenced by conflicting news sources,
ideologies, and cultural values.)
ความแตกแยกอันลึกซึ้งนี้ไม่ได้เป็นแค่ความไม่สะดวกสบาย.
มันคืออันตราย. ปราศจากความเห็นสามัญพื้นฐานเดียวกัน, ความไว้วางในหายไป,
ความร่วมมือกันพังทลาย, และความภูมิใจในชาติกลายไปเป็นเผ่าพันธุ์นิยม.
ประเทศหนึ่งที่ปราศจากเอกลักษณ์ที่ถูกแบ่งปันก็จะดิ้นรนต่อสู้ในการที่ที่จะคลี่คลายแก้ไขปัญหาทั้งหลาย,
ปกป้องผู้คนของตน, หรือเคลื่อนที่ไปข้างหน้ากับเจตจำนง. เมื่อพลเมืองทั้งหลายไม่ได้รู้สึกถึงการเชื่อมต่อกันศซึ่งกันและกันอีกต่อไป,
เมื่อพวกเขามองเพื่อนบ้านเป็นเช่นศัตรูทั้งหลายแทนที่คือพันธมิตร, ผืนผ้าถักทอของสังคมก็เริ่มต้นถูกฉีกขาด.
เราไม่ได้ต้องเห็นด้วยกันไปในทุกสิ่ง, แต่เราจำเป็นที่จะต้องเห็นพ้องกันกับบางอย่างในหลักการพื้นฐานเบื้องต้นที่ยึดโยงประชาติไว้ด้วยกัน.
(This
deep fragmentation isn’t just uncomfortable, it’s dangerous. Without common
ground, trust disappears, cooperation breaks down, and national pride turns
into tribalism. A country without a shared identity struggles to solve
problems, protect its people, or move forward with purpose. When citizens no
longer feel connected to one another, when they view neighbors as enemies
instead allies, the social fabric begins to tear. We don’t have to agree on
everything, but we need to agree on something on the basic principles that hold
a nation together.)
ถ้าเราสูญเสียนั่นไป,
ทุกอย่างอื่นนั่น, เศรษฐกิจของเรา, ความมั่นคงปลอดภัยของเรา, ประชาธิปไตยของเราก็จะกลายเป็นความเปราะบางได้.
ความแข็งแรงของอเมริกาเคยได้มาจากความสามารถของมันอยู่เสมอจากที่จะรวมผู้คนเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียวด้วยความแตกต่างของเรื่องราวทั้งหลายอยู่รายรอบความฝันทั่วไปร่วมกัน.
ถ้าความฝันนั่นตายลงไป, มันก็จะไม่ใช้เวลานานนักก่อนที่ประเทศนี้จะเริ่มต้นร่วงลงมาแตกกระจายจากภายใน.
ดังอย่างที่เราได้เห็น, อเมริกาไม่ได้เผชิญหน้าแค่หนึ่งวิกฤตการณ์. มันกำลังเผชิญหน้ากับ
10 ภัยคุกคามที่หลอมรวมกันที่กำลังอย่างเงียบๆปรับเปลี่ยนอนาคตของชาติ.
จากการพังพาบของความไว้วางใจสาธารณะไปถึงการหกคะเมนของระบบการศึกษา, จากการเพิ่มสูงขึ้นกับปัญหาการดูแลสุขภาพดิ้นรนต่อสู้ไปถึงการจางหายไปของอิทธิพลระดับโลก,
เหล่านี้ไม่ใช่เป็นปัญหาทั้งหลายที่แยกขาดปิดกั้นออกจากกัน. พวกมันได้ติดต่อถึงกันในเชิงลึก,
ป้อนอาหารให้แก่กันและกันเหมือนเช่นปฏิกิริยาลูกโซ่. (If we
lose that, everything else, our economy, our security, our democracy becomes
vulnerable. America’s strength has always come from its ability to unite people
with different stories around a common dream. If that dream dies, it won’t take
long before the country starts to fall apart from within. As we’ve seen,
America isn’t facing just one crisis. It’s facing 10 converging threats that
are quietly reshaping the nation’s future. From the collapse of public trust to
a crumbling education system, from rising mental health struggles to the fading
global influence, these aren’t isolated problems. They’re deeply connected,
feeding into each other like a chain reaction.)
และถ้าเรายังคงดำเนินต่อไปที่จะเพิกเฉยต่อพวกมัน,
ผลลัพธ์ก็สามารถเป็นจุดพลิกผันสำคัญที่ส่งประเทศเข้าไปสู่ชั่วโมงอันมืดมิดที่สุดของตนที่ยังไปไม่ถึงนั้น.
แต่นี่คือความสัจจริง. ความตื่นรู้/สัมปชัญญะคือกเวชขั้นแรกไปสู่ความเปลี่ยนแปลง.
ถ้าคุณกำลังดูอยู่รายการนี้, คุณก็ได้กำลังทำอะไรบางอย่างไปแล้วที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ทำ.
คุณกำลังให้ความสนใจ. และนั่นเป็นสิ่งสำคัญในขณะที่ปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ คือความสัจจริง,
พวกเขาก็ไม่ได้เป็นไปไม่ได้ที่จะคลี่คลายแก้ไขมัน. พวกเขาจำเป็นต้องการการลงมือกระทำ,
เอกภาพ, และการกลับมามุ่งมั่นใหม่อีกครั้ง ที่จะสร้างใหม่อีกครั้งในฐานรากทั้งหลายของประเทศนี้ในทางเศรษฐกิจ,
สังคมและจริยธรรม. อนาคตนั้นไม่ได้เริ่มต้นขึ้นด้วยก้อนหิน.
มันยังคงเป็นการถูกเขียนไว้, และทุหกคนของพวกเราก็มีบทบาทในการก่อรูปมันกันขึ้นมา. (And if we continue to ignore
them, the result could be a tipping point that send the country into its
darkest hour yet. But here’s the truth. Awareness is the first step toward
change. If you’re watching this, you’re already doing something most people don’t.
You’re paying attention. And that matters because while these problems are
real, they are not impossible to solve. They require action, unity, and a
renewed commitment to rebuilding the foundations of this country economically,
socially and morally. The future is not set in stone. It’s still being written,
and every one of us has a role in shaping it.)
ดังนั้น, จงถามตัวคุณเอง, ว่าอเมริกาประเภทอะไรที่คุณต้องการจะมีชีวิตอยู่ในมัน?
และอย่างสำคัญมากยิ่งไปกว่านั้น, อะไรที่คุณมีเจตจำนงจะทำเพื่อปกป้องมัน? ไม่ว่ามันจะอยู่ในการให้ข้อมูลอย่างไร,
จงพูดออกมา, หรืออย่างง่ายๆก็แบ่งปันวิดีโอนี้ออกไป, การกระทำเล็กๆทั้งหลายสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนย้ายขนาดใหญ่กว่าได้,
แต่เพียงแค่เรากระทำด้วยกันเท่านั้น. เราไม่ได้แค่วิดีโอทั้งหลาย. เราขุดลึกลงไป,
ค้นคว้าวิจัยอย่างหนัก, และพยายามที่จะนำมาสู่พวกคุณในคว่ามจริงที่ผู้อื่นทั้งหลายไม่ได้ทำ. (So, ask yourself, what kind of
America you want to live in? And more importantly, what are you willing to do
to protect it? Whether it’s staying informed, speaking up, or simply sharing
this video, small actions can lead to bigger shifts, but only if we act
together. We don’t just make videos. We dig deep, research hard, and try to
bring you the truth others won’t.)
ดังนั้น, ถ้าสิ่งนี้กระแทกบ้านเพื่อคุณ,
ทิ้งความคิดทั้งหลายของคุณไว้ในช่อง”ความคิดเห็น”. เรารักที่จะได้ยินทัศนภาพของพวกคุณ.
และถ้าคุณต้องการที่จะสนับสนุนอะไรที่เราทำ, ติดตามช่องรายการของเรา. มันแค่หนึ่งคลิ๊ก,
แต่ทำให้ปฏิบัติการนี้มีชีวิตได้ต่อไป. (So, if
this hit home for you, drop your thoughts in the comments. We’d love to hear
your perspective. And if you want to support what we do, subscribe to the
channel. It’s just one click, but it keeps this mission alive.)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น