หน้าเว็บ

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ศีล 5 ประการนี้ เป็นคุณธรรมที่เป็นมูลฐานให้เกิดระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย



หลวงพ่อพุธ : ตัดกรรม

...โอกาสนี้เป็นวาระ ที่อาตมาภาพจะได้แสดงธรรม แสดงธรรมอันเป็นธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลาย จงกำหนด ทำสติ รู้ที่จิตของเราเอง แต่ละท่านละท่านละท่าน ให้กำหนดรู้ที่จิตของตนเอง และเมื่อเรากำหนดรู้ที่จิตของเราเอง  เราจะรู้ได้ทันทีว่า ที่เราตั้ง ใจที่จะกำหนดรู้จิตของเราเองได้ ความตั้งใจเกิดขึ้นได้ เพราะอาศัยกายเป็นเครื่องช่วย ดังนั้นในเมื่อกายกับจิตยังมีความสัมพันธ์กันอยู่ตราบใด เราก็สามารถที่จะน้อมจิตน้อมใจนึกถึงโน่นถึงนี่โดยเจตนา
ธรรมะที่ว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ประเภทหนึ่งธรรมะอันเป็นอารมณ์สิ่งรู้ ของจิตของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งระลึกของสติของพระพุทธเจ้า หมายถึงธรรมะที่มีอยู่โดยธรรมชาติ ซึ่งเราเรียกกันว่าสภาวะธรรม สภาวะธรรมเรากำหนดหมายเอาอะไร กายกับใจเป็นสภาวะธรรม สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมก็เป็นสภาวะธรรม รวมทั้งวิชาความรู้ที่เราเรียนมาทั้งสายโลกสายธรรม รวมเรียกว่าสภาวะธรรมทั้งนั้น สภาวะธรรมทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีอยู่เก่าแก่ดั้งเดิมตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้ายังไม่ได้อุบัติขึ้นในโลก เพราะว่ากายกับใจของคนที่เกิดก่อนนั้นมีก่อนพระพุทธเจ้า วิชาความรู้และสิ่งต่างๆสถานการณ์สิ่งแวดล้อมมีก่อนพระพุทธเจ้าเกิด  ดังนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าท่านเกิดมาแล้ว ท่านก็มารู้ความจริงของสภาวะธรรมคือ ธรรมชาติทั้งหลายเหล่านั้น
ในศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าไม่เคยประกาศท้าทายว่า เราได้สร้างสิ่งนู่นสิ่งนี่ขึ้นมาในโลก ฉันเป็นคนสร้างโลก พระพุทธเจ้าไม่เคยกล่าว ฉันเป็นคนสร้างมนุษย์ พระพุทธเจ้าไม่เคยกล่าว ฉันเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ พระพุทธเจ้าไม่เคยกล่าว ไม่เคยจริงๆ ไม่เหมือนศาสนาอื่น ศาสนาอื่นเค้าจะกล่าวหรือไม่กล่าว เราไม่สนใจ เพราะเวลานี้เราเป็นชาวพุทธ สนใจไปในเรื่องพระพุทธศาสนา ดังนั้นเรายอมรับว่า พระพุทธเจ้าของเราเนี่ยะ ท่านไม่ได้สร้างอะไรขึ้นในโลกนี้ แต่หากท่านเป็นผู้สามารถสร้างความเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นในโลก และพระองค์เคยประกาศกล่าวท้าทายว่า เราสามารถรู้ธรรม รู้ธรรมะของจริงที่เรียกว่า สัจธรรม คือ อริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่อันนี้ พระพุทธเจ้าท่านประกาศจริงๆว่าท่านรู้ แต่ท่านก็รู้ธรรมที่มันมีอยู่แล้ว ทุกข์จริงๆก็เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วก่อนพระองค์เกิด เหตุให้เกิดทุกข์คือความทะเยอทยานก็มีอยู่ก่อนแล้ว แต่ถ้าว่าจะยังมีไม่สมบูรณ์ก็คือการดับทุกข์ หรือความรู้จริงตามกฏธรรมชาติ ว่าอะไรเป็นเหตุให้ทุกข์เกิด อะไรเป็นเหตุให้ทุกข์ดับ อันนี้คนอื่นรู้ยังไม่ชัดเจน แต่พระพุทธเจ้าของเรานั้น พระองค์รู้แจ้งชัดเจน หายสงสัย ไม่ได้สักแต่ว่ารู้ รู้แล้วคุยกันได้ รู้แล้วสามารถที่จะหนีทุกข์ ทำจิตทำใจของพระองค์ให้หนีทุกข์หนีร้อน พ้นทุกข์พ้นร้อน ที่เคยเวียนว่ายตายเกิดทนทุกข์ทรมานอยู่ในวัฏสงสารนี้ เพราะพระองค์สามารถสร้างคุณธรรมที่ทำคนให้เป็นพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาในจิตในใจหรือในพระทัยของพระองค์ท่าน อันนี้เป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงทราบและทรงรู้ นอกจากจะรู้จริงว่า นี่ทุกข์จริงๆ นี่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วยังสามารถรู้ทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์
เราชาวพุทธพากันนับถือพระพุทธศาสนา เราปฏิญญานตน ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก หมายความว่าเราจะรับเอาพระองค์เป็นพระบรมศาสดา คือเป็นครูสั่งตน เวลานี้สมมุติว่า พวกท่านทั้งหลายกำลังเดินเข้ามาสู่สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง แต่พอกล้าไปเข้าโรงเรียนแห่งหนึ่ง และเมื่อก้าวเข้าไปสู่สถาบันนั้น ท่านจะต้องดูให้รู้จักระเบียบของสถาบันนั้นๆ เริ่มต้นท่าก็เสียค่าธรรมเนียมเข้าเรียน ระเบียบการปฏิบัติภายในสำ...ภายในโรงเรียน เมื่อท่านเข้าไปสู่สถาบันนั้นท่านก็จะต้องปฏิบัติตามกฏระเบียบของสถาบัน ซึ่งสุดแท้แต่สถบันเค้าจะตั้งขึ้น ในทำนองเดียวกัน เมื่อเรามาสู่สถาบันแห่งพระพุทธศาสนา และได้ปฏิญานตนรับเอาพระพุทธเจ้าเป็นพระบรมครูผู้ที่จะอบรมสั่งสอนเรา เมื่อเรากล่าวคำปฏิญานถึงท่านว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก ถ้าหากว่าพระองคืประทับนั่งอยู่ต่อหน้าเรา พระองค์คงจะรับสั่งถามว่า เธอจะเอาจริงมั๊ย? ถ้าเราตอบว่าจะเอาจริง และถ้าเอาจริงฉันก็จะให้ข้อปฏิบัติ ข้อปฏิบัติเพียง 5 ข้อ ข้อปฏิบัติ 5 ข้อนั้นคืออะไร พระเจ้าข้า? ข้อปฏิบัติ 5 ข้อนั้นคือ ศีล 5 ข้อนั้นเอง ถ้าเราตอบท่านว่า ไม่สามารถจะรับปฏิบัติได้ พระองค์ก็คงจะบอกว่า เมื่อรับปฏิบัติไม่ได้ ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะอะไร? เพราะข้อปฏิบัติอันเป็นจุดเริ่มต้นของบุคคลผู้เข้ามาสู่สถาบันของเราตถาคต จะต้องปฏิบัติตามกฏ 5 ข้อนี้ เพราะฉะนั้น ตามขนบธรรมเนียม เราจะทำบุญกุศลอะไรให้ทาน หรือจะฟังธรรม ฟังพระสวดมนต์ เราก็ต้องปฏิญานตนถึงพระพุทธเจ้า แล้วก็รับเอาศีล 5 เป็นหลักปฏิบัติ เพราะมันเป็นกฏ เป็นระเบียบ เป็นข้อปฏิบัติที่เราจะต้องพยายามปฏิบัติให้ได้ ในฐานะที่เป็นอุบาสกอุบาสิกา ภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา  เพราะว่าศีล 5 ประการนี้มันเป็นจุดกำเนิดแห่งการทำความดี “สัพพะปากัสสะ อะกะระณัง  การไม่ทำบาปทั้งปวง” การไม่ทำบาปทั้งปวงก็คือหมายถึงว่า การไม่ประพฤติผิดศีล 5  ถ้าใครจะไม่ทำบาปทั้งปวงต้องยึดเอา 5 ข้อนี้เป็นหลักปฏิบัติ  ทำไม? เพราะศีล 5 ประหารนี้เป็นบัญญัติ ที่อาศัยหลักความจริงโดยธรรมชาติ ฆ่าสัตว์เป็นบาป ไม่มีใคร... ไม่มีใครไปแต่งตั้งหรือสร้างตัวบาปขึ้นมากัดคนผู้ฆ่าสัตว์ แต่หากมันเป็นกฏความจริงของธรรมชาติมาแต่ดั้งเดิม  อทินาทานการลักขโมย กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท สุรา ข้อทั้งหลายเหล่านี้ถ้าละเมิดล่วงเกินและปฏิบัติผิดลงไป บาปกันทุกคนไม่เลือกหน้า เพราะมันเป็นบาปโดยกฏของธรรมชาติ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ใครทำลงไปแล้วจะนึกว่า ฉันทำเล่น ฉันไม่ต้องการผล ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเจตนาที่จะทำบาปตามศีล 5 ข้อนั้น ถ้าหากเป็นเจตนาสมบูรณ์ ในเมื่อทำสำเร็จลงไปด้วยเจตนาคือความตั้งใจ ผลบาปก็บังเกิดขึ้นโดยกฏของธรรมชาติที่จะบันทึกเอาไว้ จิตใต้สำนึกจะบันทึกเอาผลงาน คือการกระทำนั้นไว้โดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้น เพราะศีล 5 นี้เป็นกฏเกณฑ์ที่เราจะพึงปฏิบัติ เพื่อละเว้นบาปกรรมโดยเจตนาตามกฏของธรรมชาติ อันนี้พูดถึงว่า เจตนาที่จะละความชั่วหรือการไม่ทำบาปทั้งปวง ถ้าใครสงสัยก็ให้พิจารณาดูศีล 5 ข้อนี้เท่านั้น ญาติโยมผู้ที่ยังไม่สมาทานศีล 8 รับทานข้าวเย็นก็ไม่บาป ฟ้อนรำขับร้องประโคมดนตรี ดูการเล่นเป็นเสี้ยนหนามก็ไม่บาป  ประดับตกแต่งด้วยเครื่องของหอมเครื่องย้อมเครื่องทา ก็ไม่บาป ไม่เห็นมีคัมภีร์ใดที่พระพุทธเจ้าท่านว่าบาป แต่ถ้าหากว่าใครได้ตั้งใจสมาทานว่าจะปฏิบัติ ในข้อดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ปฏิบัติไม่ได้เป็นการโกหกตัวเอง เป็นการเสียสัจจะ ถ้าผู้ทรงเทพเป็นการหลอกลวงชาวโลก มันเป็นกลายเป็นบาปเพราะการหลอกลวง แต่โดยธรรมชาติ ถ้าเราไม่มีเจตนาที่จะไปรับเอาศีลนั้นๆมาปฏิบัติ เราอยู่เป็นฆราวาส ปฏิบัติศีล 5 ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ดี เราทำอย่างอื่นบาปกรรมมันไม่มี รับทานข้าวเย็นก็ไม่มีบาป หรือละเมิดล่วงเกินตั้งแต่ข้อวิกาลโภไปจนถึงข้อชาตะรูก็ไม่บาป สำหรับคฤหัสถ์โดยทั่วๆไป
ดังนั้นถ้าท่านผู้ใดข้องใจสงสัยว่า ที่พระพุทธเจ้าสอนให้ละบาปทั้งปวงนั้นเราจะละกันที่ตรงไหน พึงทำความเข้าใจว่าการละบาปโดยเจตนาหรือความตั้งใจ คือศีล 5 ข้อ ถ้าเราทำความเข้าใจให้ชัดเจนดั่งนี้ เราก็จะไม่ต้องไปไขว่คว้าว่าเราจะไปละอะไรที่ไหน เมื่อเรามีศีลห้าบริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว ศีล 5 ปฏิบัติได้เป็นอุบายบั่นทอนผลเพิ่ม ตัดทอนผลเพิ่มของบาปกรรม ว่าอนุญาตให้ญาติโยมเป็นผู้มีศีล 5 ตั้งแต่ศีล 5 ขึ้นไปหรือจนกระทั่ง 221 ของพระภิกษุสงฆ์สามเณร นับกรรมเดิมแต่เราตั้งเจตนางดเว้นโดยเด็ดขาดแล้ว เป็นการตัดผลเพิ่มของบาปกรรม บาปกรรมที่มีอยู่แต่มีอยู่เมื่อก่อนนี้ จำนวนเท่าไหร่ก็ยังอยู่เพียงแค่นั้นเพราะเราไม่ได้ทำเพิ่ม สัตว์ก็ไม่ได้ฆ่า อทินนาก็ไม่ได้ลักขโมย กาเมสุมิจฉาจารก็ไม่ข่มเหงน้ำใจ มุสาวาทก็ไม่ได้โกหกล่อลวง สุราก็ไม่ได้มัวเมาในสิ่งที่จะทำให้เราเสียผู้เสียคน มันก็หมดปัญหาผลบาปให้ทุกข์ ถ้าหากเราตั้งมีเจตนาตั้งใจจะปฏิบัติต่อเนื่องกันไปจนชั่วชีวิต ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป บาปมันไม่ได้ทุกข์ มีแต่ความดีมันจะเพิ่มขึ้นๆ ในเมื่อไม่ทำบาป มันก็มีแต่ความดีที่จะเพิ่มขึ้นทุกทีๆ ท่านผู้ใดต้องการจะตัด จะตัดกรรมตัดเวร กรรมเวรที่เราทำไว้ตั้งแต่เมื่อก่อนนั้น เราจะไปทำพิธีตัดด้วยการลดน้ำมนต์พระ หรือไปไหว้วอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือจะไปทำพิธีกรรมอันใดเพื่อตัดกรรมตัดเวรที่เราทำไว้แล้วนั้น ไม่มีทาง  ถ้าหากว่าตัดเวรนั้นพอจะมีทางบ้าง เช่นสมมุติว่าเราข้องใจสงสัยว่าเราอาจจะเป็นบาปเป็นกรรม หรือจะมีใครจองกรรมจองเวรเรา คอยพยายามที่จะแก้แค้นเราอยู่ เรานึกได้ เราทำบุญทำกุศลอุทิศส่วนกุศลให้เขา บางทีเขาได้รับส่วนบุญส่วนกุศลจากเราแล้ว เขาได้ดีถึงสุด เขาอาจจะอโหสิกรรมให้เราบ้าง ก็พอที่จะตัดได้ แต่ถ้าเขาไม่ยอมรับอโหสิกรรมก็จนใจเหมือนกัน แต่ว่ากรรมที่เราทำลงไปด้วยกาย ด้วยวาจา ซึ่งมีจิตใจเป็นผู้ตั้งใจหรือบังคับบงการโดยเจตนา ทำลงไปแล้วใครตัดไม่ได้ จะตัดได้ก็ต่อเมื่อบำเพ็ญอรหัตมรรคให้บังเกิดขึ้น สำเร็จอรหันต์ ทิ้งร่างกายสังขารนี้ไปแล้ว ไม่กลับมาเกิดอีก นั่นแหละจึงจะตัดกรรมได้เด็ดขาด แต่ว่า วิธีการตัดกรรมที่เรามองเห็นได้ชัดๆ ทั้งตัดกรรมด้วยทั้งตัดเวรด้วย ก็คือยุติ หยุดการทำบาปทำกรรมตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ในเมื่อเราหยุดโดยเด็ดขาดแล้ว ก็ได้ชื่อว่าเป็นการตัดกรรมตัดเวร สงสัยมั๊ย? ทำไมพระพุทธเจ้าจึงสอนให้เรารักษาศีล 5 มาทำความเข้าใจผลประโยชน์ของการรักษาศีล 5 ในปัจจุบันนี้ให้มันชัดๆซักหน่อย เราก็ไม่ต้องเกิดการท้อแท้ที่จะรักษาศีล 5
พระพุทธเจ้าพระองค์มีความปรารถนาที่จะป้องกันไม่ให้มนุษย์เกิดมีการฆ่ากัน คนไม่มีศีล 5 เป็นเหตุให้ฆ่ากันเราฆ่าเขา เขาต้องพยายามฆ่าเรา เราลักของเขาขโมยของเขา เขาก็พยายามโต้ตอบเรา เราข่มเหงน้ำใจเขา กาเมสุมิจฉาจารเขาพยาบาทเคียดแค้น เขาก็ฆ่าเอา เราไปโกหกหลอกลวงเขาให้เขาเสียทรัพย์สมบัติเกียรติยศชื่อเสียง เขาโกรธเขาก็ฆ่าเอา สุราเมาลงไปแล้วคุมสติไม่อยู่ ประเดี๋ยวพาลพาโลทะเลาะกัน เดี๋ยวก็ได้ฆ่ากัน นี่เรื่องของเรื่องมันเป็นอย่างนี้ อันนี้คือผลฃประโยชน์ที่เราจะมองเห็นได้ในปัจจุบัน เมื่อเรามีศีล 5 เราไม่ฆ่าข่มเหงเบียดเบียนซึ่งกันและกันมันก็มีแต่ความรัก พระพุทธเจ้าต้องการให้มนุษย์มีความรักกัน และอีกอย่างหนึ่ง เพื่อจะให้มนุษย์นี้ยึด้อาธรรม 5 ข้อนี้ เป็นขอบเขตของการใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์โดยความเป็นธรรม ญาติโยมพากันมารักษาศีล ฟังธรรม อะไรพามา? ความอยากใช่มั๊ย? อยากได้คุณธรรม อยากได้ดิบได้ดี อยากได้สวรรค์ อยากได้นิพพาน อยากได้บุตร ความอยากตัวนี้คือความโลภ มันคอยกระตุ้นเตือนใจของเราให้เกิดความอยากได้อยากดีอยากมีอยากเป็น กิเลสตัวเป็นเค้ามูลในจิตในใจของเรานี่ คือ โลภโกรธหลง เชื่อว่าทุกคนได้ฟังเทศน์พระที่ท่านแนะนำให้เราละโลภโกรธหลงกันมา และเราเชื่อมั่นว่าเราพยายามที่จะละโลภโกรธหลงให้ได้ แต่เสร็จแล้วมันก็ไม่มีทาง มันคล้ายๆกับว่ามันเป็นภาระจำยอมที่จะต้องอยู่ด้วยกันจนชั่วชีวิต ถ้าหากว่าเราละได้ตามคำแนะนำของพระ โอ้ มันก็ดีวิเศษนักหนา อาตมาเองก็อยากละเต็มประดา แต่บางครั้งมันก็ฟุ้งขึ้นมาอยู่เหมือนกัน ก็แสดงว่ามันยังละไม่ได้ ทีนี้เรามาปรึกษาหารือกันลองดูว่า ในเมื่อกิเลสโลภโกรธหลงมันมีอยู่ในใจเราละไม่ได้ เราจะทำอย่างไรต่อไป อ้าว อาตมาก็โลภก็โกรธก็หลง ญาติโยมก็โลภก็โกรธก็หลง พากันโลภโกรธหลงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารอันนี้แหละ นับไม่ถ้วน ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติมาแล้ว และมาปัจจุบันนี้ เราก็พยายามที่จะละกิเลสโลภโกรธหลงกัน แต่เสร็จแล้วมันก็ยังละไม่ได้ อ้าว ถ้าเราละไม่ได้ เราจะหาประโยชน์จากมันพอมีทางมั๊ย? เอาอย่างนีดีมั๊ยล่ะ? ชั่งมันเหอะ มันมีอยู่ในจิตในใจของเรา เอาไว้นั้น แต่ว่าพยายามที่จะหาทางใช้มันให้มันเกิดประโยชน์โดยความเป็นธรรม โลภโกรธหลงมีอยู่ เอาไว้ให้มันกระตุ้นเตือนความรู้สึกของเราให้เกิดความทะเยอทยานในความอยากได้อยากมีอยากดีอยากเป็น คนเราทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการที่จะแสวงหาลาภยศสรรเสริญสุขและอำนาจด้วยกันทั้งนั้น ความอยากความต้องการเหล่านั้น มันก็อาศัยความโลภ เป็นสิ่งที่กระตุ้นเตือนให้เรามีความอยากเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าเราใช้ความอยาก หรือความโลภโดยไม่ผิดศีลธรรม โดยไม่ผิดกฎหมาย โดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ในที่สุดตัวเองก็ไม่เดือดร้อนเพราะการใช้ความโลภนั้น เพราะเราใช้อย่างมีขอบเขต ขอบเขตที่จะพึงใช้ให้มันเกิดประโยชน์มีความเป็นธรรม ก็ศีล 5 อีกนั่นแหละ เพราะฉะนั้นเป็นอันได้ใจความว่า กิเลสมีปล่อยให้มันมีไป ในขณะที่เรายังละไม่ได้ แต่เราต้องพยายามดู ดูให้มันรู้ว่าเรามีกิเลสตัวนี้จริงหรือเปล่า? โลภโกรธหลงยังมีอยู่ในจิตในใจหรือเปล่า? ในเมื่อรู้ว่ามีก็ลองละละละ ลองทำทีจะขับไล่มันลองไปดู ถ้าเห็นว่ามันไล่ไม่ได้ ขับออกไปไม่ได้ ละไม่ได้ก็ต้องพยายามหาทางใช้มันให้ถูกทาง กฏเกณฑ์ที่เราจะใช้กิเลสเหล่านี้ไม่ให้เกิดโทษก็คือศีล 5 นั้นเอง และพูดไปพูดมาก็ไม่หนีศีล 5 อีก ประเดี๋ยวท่านผู้ฟังก็จะมาคิดว่า พระองค์นี้เอาแต่เรื่องศีล 5 มาเทศน์ ศีล 5 มันเรื่องภูมิต่ำๆ ประเดี๋ยวจะเข้าใจกันอย่างนั้น ที่พูดแค่นี้ก็เพราะ บางทีญาติโยมอาจจะพยายามที่จะละความโลภความโกรธความหลงอย่างเต็มประดา แต่เสร็จแล้วทำไมมันยังละไม่ได้ บางทีบางท่านเพื่อนฝูงชวนเข้าวัดเข้าวา ก็บอกว่าฉันยังเข้าไม่ได้ เพราะยังโลภยังโกรธยังหลง คือคนที่ยังโลภยังโกรธยังหลงอยู่นั่นแหละยิ่งเข้าวัดดี ถ้าหมดโลภหมดโกรธหมดหลงแล้วเข้าไปเสีย เวลาทำไม? เพราะเรายังไม่หมดโลภหมดโกรธหมดหลง เราจึงพยายามที่จะเข้าวัด เข้าวัดเพื่อหาหลักธรรม มาเป็นหลักปฏิบัติเพื่อเป็นการบั่นทอนกำลังของกิเลสโลภโกรธหลงให้น้อยลง เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังมีโลภมีโกรธมีหลงอยู่ แต่พยายามใช้โลภโกรธหลงให้เกิดประโยชน์ โดยไม่ให้ผิดศีล 5 ข้อใดข้อหนึ่ง ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อบั่นทอนกำลังของกิเลสให้น้อยลง
เพราะฉะนั้นจึงเป็นอันได้ใจความว่า ศีล 5 นี้นอกจากจะเป็นอุบายตัดทอนผลเพิ่มของบาปกรรม ยังเป็นอุบายบั่นทอนกำลังของกิเลส และเป็นขอบเขตของการใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์โดยความเป็นธรรม และอีกอย่างหนึ่ง ศีล 5 นี้จะเป็นคุณธรรมปรับพื้นฐานความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ เคยคิดเคยพิจารณาดูจิตใจตัวเองบ้างมั๊ย? อาตมะเคยดูตัวเองเคยพิจารณาดูตัวเองในบางครั้ง ก็รู้สึกว่าตัวเองนี้ กลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน บางครั้งก็เห็นว่าตัวเองเป็นเปรต บางวครั้งก็เห็นว่าตัวเองเป็นเทวดา บางครั้งก็เห็นตัวเองว่าเป็นมนุษย์ อันนี้เพราะอาศัยหลักมาพิจารณาดูว่า ขณะใดที่จิตใจของเราเกิดความโหดเหี้ยม เพราะอำนาจแห่งความโกรธความโลภความหลง เราก็คิดแต่จะทำอะไรลงไปโดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมและกฎหมายปกครองบ้านเมือง อยากจะทำอะไรก็นึกทำลงไป ถึงแม้ไม่ทำแต่ใจมันก็นึกอยากจะทำ สิ่งที่นึกอยากจะทำนั้นมันไม่มีศีลมีธรรมในขณะนั้น ในขณะนั้นจึงรู้สึกว่า อ้อ เรานี้ จิตใจของเราบางครั้งมันยังเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่นี่ อันนี้เป็นการพิจารณาตัวเอง เรื่องของอาตมาเองนะ ไม่แกล้งว่าโยม ในบางครั้งจิตใจมันรู้สึกว่า  มีหิริความละอายบาป มีโอตตัปปะความสะดุ้งกลัวต่อบาป แม้แต่ความคิดจะทำบาปในที่ลับในที่แจ้ง มันก็ไม่คิด มันมีคุณธรรมอันนี้อยู่ในใจ ในขณะนั้นก็รู้สึกว่า เออ หิริโอตตัปปะมันเป็นคุณธรรมที่ทำคนให้เป็นเทวดา ก็รู้สึกว่า อ้อ เวลานี้เราเป็นเทวดา บางทีมันเกิดขี้เกียจขี้คร้านขึ้นมา ไหว้พระสวดมนต์มันก็ไม่อยากทำ นั่งสมาธิมันก็ไม่อยากทำ มันไม่เอาไหน ประโยชน์ตนไม่คำนึง ประโยชน์ท่านไม่เหลียวแล ทอดอาลัยตายอยากในชีวิต ตอนนั้นก็รู้สึกตัวว่า อ้อ ตอนนี้เรากำลังเป็นเปรต เพราะเปรตแปลว่าผู้ละไปแล้ว บางทีจิตใจมันก้รู้สึกว่า เออ มีความเมตตามีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความรักความสงสารในเพื่อนมนุษย์ในและว์เดียรัจฉานด้วยกัน ไม่คิดที่จะทำอะไร ในขณะนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ อันนี้คือพื้นฐานที่เป็นหลักให้เราพิจารณาตัวเอง ว่าเราเป็นอะไร เราจะได้รู้ข้อบกพร่องของตัวเอง เราจะได้รู้ข้อบกพร่องของตัวเอง แล้วจะได้เพิ่มเติมขึ้นให้อยู่ในระดับพอดิบพอดี ส่วนไหนขาดก็จะได้เพิ่มขึ้น ส่วนไหนเกินก็จะได้ตัดทอนลงให้พอดี ให้รู้ว่าจิตใจของเรานี้มันมีอะไรเป็นมีอะไรอยู่ เราจะได้รู้จักจุดสำหรับแก้จิตใจของเรา ถ้าเรามองไม่เห็นตัวของเราเองเห็นใจอขงเราเอง เราก็ไม่มีทางแก้
และอีกอย่างหนึ่ง ประการสุดท้าย ศีล 5 ประการนี้ เป็นคุณธรรมที่เป็นมูลฐานให้เกิดระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย เพราะการไม่ฆ่า สำหรับประชาธิปไตยจะต้องเคารพสิทธิมนุษยชน การไม่ฆ่าก็เคารพชีวิตความเป็นอยู่ การไม่ลักขโมยจี้ปล้นฉ้อโกง ก็เคารพสิทธิความมีสมบัติของคนอื่น การไม่ประพฤติผิดกาเมสุมิจฉาจารการไม่โหกหลอกลวง การไม่มัวเมาในสิ่งที่ทำให้เราเสียผู้เสียคน ก็เป็นการเคารพสิทธิของคนอื่นและตัวเองด้วย ดังนั้นศีล 5 ประการนี้ ไม่เฉพาะแต่ชาวพุทธเท่านั้นจะมีความเข้าใจถึงประโยชน์ ชาวต่างประเทศเขาก็เข้าใจดี เช่นอย่างองค์การสหประชาชาติประกาศออกมาเป็นหลักปฏิบัติ ว่าด้วยการเคารพสิทธิมนุษยชน พิจารณาดูแล้วก็คือ ศีล 5 เราดีๆนี้เอง
เอ้า บัดนี้ พูดถึงเรื่องศีล 5 เนี่ยะ เห็นจำพอสมควรแก่กาละเวลา ทีนี้ถ้าหากสมมุติว่า เราจะมายกเอาแต่ศีล 5 นี้แหละเป็นหลักปฏิบัติ ญาติโยมบางคนโดยเฉพาะโยมผู้หญิง เราเป็นผู้หยิงไม่มีโอกาสจะได้บวชเป็นพระเป็นเณร ไม่มีโอกาสจะได้ห่มผ้ากาสาวพัตร์ กลัวว่าปฏิบัติแล้วไม่ถึงมรรคผลนิพพาน อย่าไปเข้าใจผิด เมื่อกล่าวแล้วว่าศีล 5 เป็นพื้นฐานให้เกิดคุณงามความดี เมื่อเรารักษาศีล 5 บิสุทธิ์บริบูรณ์ดี ศีลอื่นๆมันก็เพิ่มขึ้นมาเอง อย่าว่าแต่ศีล 10 ศีล 221 มันจะเพิ่มขึ้นมาเป็นหมื่นๆศีลล้านๆศีล เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นปกติดีแล้ว กายก็สงบวาจาก็สงบ เพราะปราศจากโทษนั้นๆ เมื่อเราปราศจากโทษนั้นๆก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ใจมีความสงบด้วย ใจสงบเพราะเกิดจากศีลนี้  เกิดจากการรักษาศีลให้บริสุทธิ์นี้ มันคืออะไร? เพราะว่าเราไม่ได้ก่อกรรมทำเข็ญให้ใครเดือดร้อน ความหวาดระแวงว่าจะมีคนใดมาประทุษร้ายเราย่อมไม่มี จะหลับก็สบาย จะตื่นก็สบาย จะไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องมีมือปืนคอยคุ้มกัน เพราะว่ามีศีล 5 บริสุทธิ์บริบูรณ์ดีแล้ว นั้นมันยังเป็นเหตุให้มีใจสงบ ไม่ว่าใจสงบดี ไม่หวดระแวงต่อพิษภัยต่างๆ มันก็เป็นจุเริ่มของการ ของสมาธิ ศีลอบรมสมาธิ
บัดนี้ท่านทั้งหลายมีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ตามขั้นตามภูมิของตนแล้ว เรามาคุยกันเรื่องสมาธิ ลองดูบ้าง เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้ฟังบ้าง แต่เข้าใจว่า เรื่องของสมาธินี่ เข้าใจว่าท่านทั้งหลายคงได้ยินได้ฟังและฝึกปฏิบัติมาจนคล่องตัว จนชำนิชำนาญ บางท่านอาจจะมีจิตสงบรู้ธรรมเห็นธรรม หรือขจัดกิเลสออกไปจากจิตใจของตนเองได้มากเป็นกอบเป็นกองแล้ว หลักและวิธีการทำสมาธินั้น เข้าใจว่าท่านฟังและก็ได้รับการอบรมจากครูบาอาจารย์มานานแล้ว แต่ขอสรุปสั้นๆว่าวิธีการทำสมาธิ คือการทำจิตให้มีสิ่งรู้ ทำสติให้มีสิ่งระลึก อันนี้เป็นหลักกลางๆ เมื่อเราทำอะไรนึกถึงอะไร ให้มีสติสัมปชัญญะ หลักวิธีบริกรรมภาวนาหรือหลักที่จะพิจารณาอะไรต่างๆ ซึ่งเราได้ยินได้ฟังกันว่า การปฏิบัติสมาธิคือปฏิบัติสมถะกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เราได้ยินได้ฟังกันมาแล้ว ทีนี้บางท่าน ฝึกสมาธิหรือสอนสมาธิก็ไปติดวิธีการมากเกินไป คำว่าสมถะเป็นชื่อของวิธีการ วิปัสสนาเป็นชื่อของวิธีการ แต่การทำสมาธิคือทำจิตให้มีสิ่งรู้ ทำสติให้มีสิ่งระลึก เมื่อเราบริกรรมภาวนาพุทโธก็ดี ยุบหนอพองหนอก็ดี สัมมาอะระหังก็ดี สิ่งดังกล่าวนั้นเป็นอารมณ์สิ่งรู้ของจิต ถ้าเรามีสติสำทับเข้าไปสิ่งนั้นก็เป็นที่ตั้งของจิต เพราะฉะนั้นการปฏิบัติแบบสมถะ ก็ทำจิตให้มีสิ่งรู้ ทำสติให้มีสิ่งระลึก เป็นชื่อของวิธีการ บริกรรมภาวนาปฏิบัติด้วยวิธีของสมถะ เพ่งกสิณปฏิบัติด้วยวิธีของสมถะ หรือการเจริญอารมณ์สมถะกรรมฐาน 40 ประการนั้น ปฏิบัติตามวิธีการของสมถะ แต่ถ้าเรากำหนดจิตพิจารณาโน่นนี่ พิจารณารูปนามรูปนามรูปนาม อย่างที่พระคุณเจ้าที่ท่านเทศน์ไปก่อนนั้น เรียกว่าปฏิบัติตามวิธีการของวิปัสสนา ทั้ง 2 อย่างนี้ เป็นอุบายวิธีปฏิบัติเพื่อทำจิตให้สงบเป็นสมาธิ มีปีติมีวิตกวิจารณ์ปีติสุขเอกัคคตา เพื่อจะให้เกิดสติปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในธรรมตามเป็นจริง เพราะฉะนั้น นักปฏิบัติอย่าไปติดวิธีการ แม้ว่าท่านผู้ใดอาจจะคิดว่า เราไม่มีเวลาที่เราจะไปนั่งสมาธิบริกรรมภาวนาพุทโธสัมมาอะระหัง อะระหังยุบหนอพองหนอ ลองปฏิบัติอย่างนี้ดู ยืนเดินนั่งนอนรับทานดื่มทำพูดคิดเป็นอารมณ์จิต เมื่อเราเดินมีสติรู้ ยืนมีสติรู้ นั่งมีสติรู้ นอนมีสติรู้ รับทานดื่มทำพูดคิดมีสติรู้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นอารมณ์จิต ทำไมจึงว่าเป็นอารมณ์จิต? เรายืนได้เพราะจิตสั่ง นั่งได้เพราะจิตสั่ง นอนได้เพราะจิตสั่ง เดินได้เพราะจิตสั่ง รับทานดื่มทำพูดคิดได้เพราะจิตสั่ง เพราะฉะนั้นเรามาฝึกสติสัมปชัญญะของเราให้รู้อยู่ที่ยืนเดินนั่งนอนรับทานดื่มทำพูดคิด อันเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน เป็นอารมณ์ปัจจุบัน เป็นปัจจุบันธรรม จิตรู้สิ่งใด สิ่งนั้นเป็นอารมณ์สิ่งรู้ของจิต  เมื่อมีสติสำทับเข้าไป สิ่งนั้นเป็นที่ตั้งของสติ นี่ยึดเอากันอย่างนี้  มันจึงจะไม่สับสน แต่ถ้าว่าท่านผู้ใดมีเวลาพอที่จะไปนั่งสมาธิบริกรรมภาวนาดังที่กล่าวแล้วนั้นก็ทำ ถ้าหากว่าไม่มีเวลาทำ ก็พยายามฝึกสติ ฝึกสติย่างเดียวเท่านั้น ถ้าท่านจะสงสัยข้องใจว่า ถ้าจะไม่นั่งสมาธิ เพียงแต่ฝึกสติอยู่กับการยืนเดินนั่งนอนรับทานดื่มทำพูดคิดเท่านั้น จิตก็สงบเป็นสมาธิได้ไหม? ขอตอบยืนยันว่าได้ ขอให้ทำจริง
ท่านอาจารย์เสาร์ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ของพระธุดงคืกรรมฐานในสายตะวันออกเฉียงเหนือ ท่านบอกว่าเวลานี้จิตถ้ามันไม่สงบ มีแต่ความคิด ก็ถามว่า จิตเสื่อมหรือเป็นอย่างไร ท่านอาจารย์? เอ้า ถ้ามันเอาแต่สงบอย่างเดียว มันก็ไม่ก้าวหน้า เพราะฉะนั้นอย่าลืมนึกถึงหลักที่ว่า สีละปะริภาวิโต สะมาธิ มะหัปผะโล โหติ มะหานิสังโส สะมาธิปะริภาวิตา ปัญญา มะหัปผะลา โหติ มะหานิสังสา
ปัญญาปะริภาวิตัง จิตตัง สัมมะเทวะ อาสะเวหิ วิมุจจะติ” ศีลอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา ปัญญาอบรมจิต เพราะฉะนั้นในเมื่อเรามีศีลบริสุทธิ์สะอาดดีแล้ว สมาธิก็คือการฝึกสติ ผู้ที่เคยทำสมาธิภาวนาจิตสงบลงจนกระทั่งตัวหาย จนรู้สึกว่ามีแต่จิตดวงเดียวใสสว่างอยู่ ในเมื่อจิตถอนออกมาจากสมาธิ หรือทำหนักๆเข้า จิตมันจะไม่เข้าไปสู่ความสงบเช่นนั้น เมื่อสมาธิมีพลังแก่กล้าดีแล้ว ทำให้สติสัมปชัญญะดีขึ้น แล้วมันจะออกมากำหนดอยู่กับการยืนเดินนั่งนอนรับทานดื่มทำพูดคิดตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะขยับไปทางไหน สติจะมาทำหน้าที่ เวลาทำงานสติอยู่กับงาน เวลาเดินสติอยู่กับเดิน นั่งสติอยู่กับนั่ง รับทานดื่มทำพูดคิด สติอยู่กับสิ่งนั้นๆตลอดเวลา พอเสร็จแล้วเรามีสติอยู่ตลอดเวลา เราก็มีความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี บุคคลผู้ที่จะมี...บุคคลผู้ที่มีความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่ว เขาจะต้องมีความตั้งใจอยู่เสมอว่า ฉันจะละชั่ว ประพฤติดี ทำใจให้บริสุทธิ์ ทีนี้ศีลที่เรามีแล้ว บริสุทธิ์สะอาดดีแล้วหมดปัญหา
ต่อไปทำใจให้มันมีความมั่นคงต่อการกำหนดรู้อารมณ์จิตในปัจจุบัน ให้มากๆ ยืนเดินนั่งนอนรับทานดื่มทำพูดคิดเป็นอารมณ์ปัจจุบัน เมื่อเรามีสติรู้พร้อมอยู่กับอารมณ์ปัจจุบันนี้ สติมีสิ่ง...จิตมีสิ่งรู้สติมีสิ่งระลึก กำหนดก็รู้อยู่ตลอดเวลาย่อมได้พลังงานทางสติ เมื่อสติมีพลังแก่กล้าขึ้น ก็จะกลายเป็นปัญญา และสามารถกำหนดหมายรู้การยืนเดินนั่งนอนรับทานดื่มทำพูดคิด ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เพราะเรามีเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอนี่ ทีนี้ถ้าหากว่าสิ่งใดมันมาขัดใจ เกิดความยินดีเกิดความยินร้าย แล้วก็เกิดความดีใจเสียใจ ความดีใจเสียใจนั้นคือ การแสดงออกซึ่งความทุกข์ใจ ทุกข์ใจปรากฏขึ้น ผู้มีสติสัมปชัญญะมีปัญญา สามารถกำหนดรู้ตัวทุกข์นั้นว่า นี่คือทุกข์อริยสัจที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ทีนี้เมื่อเราฝึกหัดมีสติสัมปชัญญะ ทุกข์เกิดขึ้นสุขเกิดขึ้น ทุกข์ดับไป สุขดับไป ทุกข์เกิดขึ้นหรือสุขทุกข์เกิดสลับกันไปอยู่ตลอดเวลา ผู้มีสติปัญญาจะกำหนดรู้ว่านอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ แล้วก็จะเกิดความรู้จริงเห็นแจ้งขึ้นมาว่า “ยังกิญจิ สมุทยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธัมมันติ” สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา “ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง” นั่นจุดสุดยอดของการรู้ธรรมเห็นธรรมอันละเอียดในจิต มีแต่เกิดดับเกิดดับเกิดดับอยู่นั่นแหละ ทีนี้ในขณะใดจิตมีความสัมพันธ์กับกายอยู่ เราก็จะมองเห็นสุขทุกข์ คือสุขเวทนาทุกขเวทนาที่เกิดกับกาย ช่วงใดที่จิตไปกำหนดดูแต่อารมณ์จิตอย่างเดียวไม่เกี่ยวพันกับร่างกาย ก็เป็นการกำหนดรู้จิต เรียกว่าจิตตานุปัสนา ถ้าจิตไปกำหนดรู้ธรรมที่เป็นนิวรณ์นึกกุศลอกุศล หรือกำหนดรู้ปีติสุข เอกัคคตา ซึ่งกำหนดรู้ขึ้นภายในจิต ก็เรียกว่าธรรมานุปัสนาสติปัฏฐาน
ดังนั้นผู้ที่มาบริกรรมภาวนาพุทโธพุทโธพุทโธพุทโธพุทโธ หรือทำสติตามรู้อารมณ์จิตของตนก็ดี หรือบริกรรมภาวนาอย่างอื่น พิจารณาอย่างอื่นก็ดี ในเมื่อพิจารณาหนักๆเข้า ก็ได้กล่าวแล้วว่าธรรมชาติของจิตถ้ามีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก มันจะเพิ่มพลังงานขึ้นทุกที และเมื่อเพิ่มพลังงานหนักขึ้นหนักขึ้น สติสัมปชัญญะก็ดีจิตก็มีความมั่นคง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม จิตมันก็จะมีอาการสงบวูบลงไป นิ่ง สว่าง มีปีติมีความสุข มีความเป็นหนึ่งสบาย จักขุง อุทะปาทิ จิตสงบนิ่งสว่างไสว จักษุบังเกิดขึ้นแล้ว ขณะนี้จิตอยู่ในฌานที่หนึ่งยังมีวิตกวิจาร จิตไหลเกิดความรู้ความคิดอ่านขึ้นมา มีสติกำหนดรู้ ญาณัง อุทะปาทิ ความคิดความอ่านความรู้ธรรมะที่ผุดขึ้น เรียกว่า อุทานะธรรม เป็น ปัญญา อุทะปาทิ ทีนี้สติสัมปชัญญะที่รู้พร้อมอยู่โดยอัตโนมัติ อะไรเกิดขึ้นดับไปก็รู้หมด ความรู้แจ้งเห็นจริงเรียกว่า วิชชา อุทะปาทิ  ในเมื่อ วิชา อุทะปาทิ บังเกิดขึ้น รู้แจ้งเห้นจริง หายสงสัยข้องใจ จิตดตัดกระแสแห่งวิตกวิจาร วิ่งเข้าไปสู่ เอกัคคตา จิตสงบละเอียด กายหายไปหมด ยังเหลือแต่จิตดวงเดียวลอยเด่นอยู่ ในช่วงนี้ จิตมีแต่รู้ ตื่น เบิกบาน ความรู้นี้ได้ตัดขาดไปหมดแล้ว จิตวิ่งเข้าไปสู่สมาธิขั้นละเอียด ถ้าจะว่าโดยจิตก็เรียกว่า อัปปนาจิต ว่าโดยสมาธิเรียกว่า อัปปนาสมาธิ ว่าโดยฌานเรียกว่า อัปปนาฌาน  หรือที่เขาเรียกว่า ฌานที่สี่
เพราะฉะนั้น การบริกรรมภาวนาก็ดี การพิจารณาอะไรก็ดี ในเมื่อจิตมันตัดข้อสงสัยข้อข้องใจ ปล่อยวางวิตกวิจาร ปีติสุข แล้ววิ่งเข้าไปสู่ เอกัคคตา มันก็จะมีสภาวะเป็นดั่งนี้ เพราะฉะนั้น อันนี้อีกอันหนึ่ง ท่านทั้งหลายผู้ภาวนานี้ สิ่งที่ควรจะระมัดระวัง เอ้า สำหรับเรื่องความเป็นไปของสมาธิตามขั้นตอนนั้นๆ ท่านทั้งหลายฟังมามากแล้ว ก็ไม่กล่าวถึง จะขอเตือนสิ่งที่อาจจะทำให้เราเข้าใจผิด ความเข้าใจผิดนั้นๆ บางทีก็เป็นพิษเป็นภัย หรือภัยอย่างร้ายแรง เช่นอย่างในขณะที่เราภาวนาแล้ว จิตของเราสงบนิ่งเป็นสมาธิ มีปีติมีความสุขสบาย แต่มาภายหลังนี้จิตมันไม่ค่อยสงบเสียแล้ว จะไม่กำหนดหรือไม่กำหนดมันก็มีสมาธิอ่อนๆอยู่ แต่มันก็มีความรู้ความคิดผุดขึ้นมาอยู่ไม่หยุดหย่อน ยืนเดินนั่งนอนรับทานดื่มทำพูดคิด มันมีสติอยู่รู้อยู่ เห็นอยู่มีอยู่เป็นอยู่ตลอดเวลา เมื่อก่อนนี้จิตสงบดีจนกระทั่งตัวหาย แต่เวลานี้ไม่ค่อยสงบ แต่ความคิดมันเกิดขึ้นอยู่เรื่อย คิดแล้วก็ทำให้สมองปลอดโปร่ง มีสติสัมปชัญญะขึ้น ยิ่งคิดจิตยิ่งสบาย ยิ่งคิดจิตยิ่งผ่องใส ยิ่งคิดยิ่งมีปีติและความสุข บางทีอาจจะไปถามใครสักคนหนึ่ง ทำไมหนอเมื่อก่อนนี้ สมาธิจิตสงบสว่างไสวดี แต่เวลานี้สงบนิดหน่อย มีแต่ความคิดฟุ้งฟุ้งฟุ้งขึ้นมา ไปถามคนไม่รู้เรื่อง ประเดี๋ยวว่าเดี๋ยวคุณจะเป็นโรคประสาทตาย อย่าลืมว่า สมาธิอบรมปัญญา ในเมื่อมีสมาธิแล้ว มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์แล้ว สมาธิกับตัวสตินั่นแหละมันบันดาลให้เกิดปัญญา ปัญญาก็คือความคิด ความคิดที่มีสติรู้ทันอยู่ทุกขณะจิต เรียกว่า ปัญญาในสมาธิ อันนี้ขอทำความเข้าใจไว้ก่อน ถ้าใครไปจากนี้แล้วอย่าไปสงสัย เพราะฉะนั้นในช่วงแห่งการปฏิบัติ จงถือคติถือเคล็ดอย่างนี้ ขณะที่บริกรรมภาวนาพุทโธพุทโธพุทโธพุทโธพุทโธอยู่ ถ้าจิตทิ้งพุทโธปั๊บไปคิดอย่างอื่น ปล่อยให้มันคิดไปเถอะ แต่ให้มีสติตามรู้ไป และในช่วงใดที่จิตมันคิดขึ้นมาเอง คิดอย่างรั้งไม่อยู่ก็ปล่อยให้มันคิดไป อย่าไปเข้าใจว่าจิตฟุ้งซ่าน ความสงบของจิตมีอยู่ 2 อย่าง อย่างหนึ่งสงบนิ่งโดยไม่มีอะไร อีกอย่างหนึ่งความคิดนี่มันฟุ้งฟุ้งฟุ้งฟุ้งขึ้นมาอยู่เสมอ แต่ว่าจิตเป็นกลางโดยเที่ยงธรรม อย่างดีก็ทำให้มีปีติมีความสุข เพราะความคิดนั้น ในลักษณะอย่างนี้ก็ควรปล่อยให้มันคิดไป อย่าไปห้าม จะให้แต่มันหยุดนิ่งอยู่อย่างเดียว อันนี่พึงสังเกตไว้อย่างนี้
และอีกประการหนึ่งส่วนใหญ่ คนที่ภาวนาแล้วจิตสงบสว่าง กระแสจิตส่งออกไปข้างนอก บางทีก็ไปเห็นภาพนิมิตต่างๆ ภาพนิมิตเป็นคนเป็นสัตว์เป็นเทวดาอินทร์พรหมยมยักษ์ บางทีก็เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมา อืม ดีใจ พระพุทธเจ้าเสด็จมาแล้ว อืม พระองค์จะมาโปรดเราแล้ว พระองคืจะมาโปรดเราแล้ว จิตสำนึกมันรายงานมาอย่างนั้น บางทีก้เผลอไปน้อมจิตน้อมใจเอาพระพุทธเจ้าเข้ามา บางทีอาจจะนึกว่า อืม ให้พระพุทธเจ้ามาเหยียบบนบ่าเบื้องขวา พอนึกอย่างนั้นจะปรากฏว่า พระพุทธเจ้าก้าวเข้ามาเหยียบบ่าเบื้องขวา แล้วผู้อาราธนาพระพุทธเจ้ามานั้น บ่าขวาจะเอียงเท่เร่ลงไป หนักพนะพุทธเจ้า ทีนี้ เอ้า อาราธนาพระพุทธเจ้าเหยียบบ่าเบื้องซ้าย ประเดี๋ยวก็หลังกดลงไป หนักพระพุทธเจ้า ทีนี้ เมื่อพระพุทธเจ้าเข้ามาถึงจิตถึงใจแล้ว ทีนี้ สภาพจิตที่สงบ มีปีติมีความสุขสบายปลอดโปร่ง จะเปลี่ยนทันที เปลี่ยนเป็นอย่างไร เปลี่ยนเป็นเหมือนหนึ่งว่า หัวใจถุกบีบ อึดอัดแน่นไปหมด สมาธิที่ปลอดโปร่งเป็นอิสระแก่ตัวเอง ตกเข้าไปอยู่ในอำนาจของสิ่งที่เข้ามาแทรกสิงนั้น แสดงว่าพระพุทธเจ้าปลอม เราเข้าใจผิด จึงไปน้อมเอาภาพนิมิตเข้ามาในตัว กลายเป็นการทรงวิญญาณ โดยลักษณะอย่างนี้ ชาวพุทธเปลี่ยนศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาอื่น โดยไม่ได้ตั้งใจ นี่นักภาวนาทั้งหลายเนี่ยะ ขอให้ระมัดระวังที่ตรงนี้ เราภาวนาเพื่อจะทำจิตของเราให้สงบเป็นสมาธิ เป็นอิสระแก่ตัว อย่างสมมุติว่าเราภาวนายุบหนอพองหนอยุบหนอพองหนอ พอจิตสงบวูบนิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน บางทีจิตก็นิ่ง รู้ตื่นเบิกบานอยู่เสมอ ไม่รู้สึกนึกคิดอะไรอื่น มีแต่ความสว่าง มีแต่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ในช่วงนี้ จิตเป็น อัตตาสีตะ มีตนเป็นเกราะ อัตตะ สะระณา มีตนเป็นที่ระลึก อัตตาหิ อัตโน นาโถ มีตนเป็นที่พึ่งของตน ถ้าใครภาวนาทำจิตให้ถึงจุดนี้ จะรู้สึกว่า มีความสบายใจ เบา รู้ตื่นเบิกบานปลอดโปร่ง ถ้าหากว่ากายยังมีอยู่ ก็จะมีปีติและความสุขปรากฏขึ้น แต่ถ้ากายหายไปจะเหลืออยู่แต่ความเป็นกลางของจิต จะว่าสุขก็ไม่ใช่ทุกข์ก็ไม่ใช่  มีแต่ความเป็นกลางซึ่งเรียกว่า อุเบกขา กับ เอกัคคะตา จุดนี้จิตเป็นตัวของตัวโดยเด็ดขาด ไม่มีอำนาจสิ่งใดจะมาแทรกสิง แต่ในช่วงที่จิตยังไม่เข้าถึงจุดนี้ พอจิตสว่างแล้วกายยังปรากฏอยู่ เราไปหลงน้อมเอาสิ่งอื่นเข้ามาในจิตในใจของเราเนี่ยะ เสร็จแล้วเราก็จะกลายเป็นทรงจ้าวเข้าผี เพราะอันนี้ควรระมัดระวังให้จงหนัก    
เอาละบัดนี้ ได้บรรยายธรรมะพอเป้นคติเตือนใจของบรรดาท่านทั้งหลาย ขอสรุปลง การปฏิบัติธรรมสำคัญอยู่ที่ทำตนอยู่ที่การมีศีล ศีล 5 เป็นพื้นบานให้เกิดคุณงามความดี เป็นอุบายตัดทอนผลเพิ่มของบาปกรรม  เป็นอุบายบั่นทอนกำลังของกิเลส เป็นอุบายป้องกันไม่ให้มนุษย์เกิดมีการฆ่ากัน  เป็นคุณธรรมปรับพื้นฐานความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ เป็นคุณธรรมเป็นขอบเขตของการใช้กิเลสให้...โดยให้เกิดประโยชน์โดยความเป็นธรรม สำหรับการทำสมาธิ หลักโดยทั่วไปก็คือทำจิตให้มีสิ่งรู้ ทำสติให้มีสิ่งระลึก จิตรู้อะไรก็ให้มีสติ บริกรรมภาวนาก็ให้มีสติ จะพิจารณาก็ให้มีสติ เกิดปัญญาขึ้นมาก็ให้มีสติ ทีนี้ในขณะใดจิตต้องการจะสงบนิ่ง ว่างก็ปล่อยให้ว่าง คิดก็ปล่อยให้คิด แต่ให้มีสติตามรู้ไป สรุปลงแล้วแผนของการปฏิบัติสมาธิอยู่ตลอดเวลา ไม่เลือกกาลไม่เลือกเวลา ให้เอายืนเดินนั่งนอนรับทานดื่มกินทำพูดคิดเป็นอารมณ์จิต ให้มีสติรู้พร้อมอยู่กับสิ่งเหล่านี้  อย่าไปถือว่า ทำสมาธิคือนั่งขัดสมาธิหลับตาเพียงอย่างเดียว สมาธิเราต้องทำอยู่ทุกขณะจิตทุกลมหายใจ จะไปเอาเฉพาะแต่นั่งหลับตามันไม่เพียงพอ เวลามันน้อย ดังนั้นถ้าหากเราฝึกสติให้มันรู้พร้อมอยู่ที่การยืนเดินนั่งนอนรับทานดื่มทำพูดคิด เราจะได้สมาธิ ได้พลังสติสนับสนุนกิจการอันเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน เราสามารถที่จะนำธรรมไปใช้เพื่อประโยชน์แก่ชีวิตประจำวันได้ตลอดกาล
ในท้ายที่สุดนี้ ด้วยอำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย จงดลบันดาลให้ท่านทั้งหลาย มีจิตใจมีแนวโน้มเข้าไปสู่สภาวะรู้ ตื่น เบิกบาน อันเป็นคุณธรรมที่ทำคนให้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ปรารถนามรรคผล นิพพาน ก็ให้สำเร็จตามปณิธานความปรารถนาโดยทั่วกันทุกท่านเทอญ โดยบรรยายก็สมควรแก่เวลา เอวัง ด้วยประการฉะนี้ เอ้า เสร็จแล้วก็จะได้ถือโอกาสเจริญพรลา ตั้งใจรับพรโดยความเป็นภาษาบาลีอีกทีหนึ่ง “ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปุเรนติ สาคะรัง เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถา มะณิ โชติระโส ยะถา... สัพพีติโย วิวัชชันตุ  มา เต ภะวัตวันตะราโย  สัพพีติโย วิวัชชันตุ  มา เต ภะวัตวันตะราโย  สัพพีติโย วิวัชชันตุ  มา เต ภะวัตวันตะราโย อะภิวาทะนะสีลิสสะ จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ สัพพะโรโค วินัสสะตุ สุขี ทีฆายุโก ภะวะ สัพพะโรโค วินัสสะตุ สุขี ทีฆายุโก ภะวะ สัพพะโรโค วินัสสะตุ สุขี ทีฆายุโก ภะวะ ฯ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน อายุ วัณโณ สุขัง พะลังฯ 


                        
 - พระธรรมเทศนา ตัดกรรม หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
www.facebook.com/ศูนย์เผยแผ่ธรรมะออนไลน์ กัณฑกะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น