หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2566

หลวงปู่พุทธะอิสระ - ปราณโอสถ (คำปราภของครูบาอาจารย์)

 คำปรารภของครูบาอาจารย์

หลวงปู่พุทธะอิสระ

 

         มันเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายกับการที่จะเอาผลไม้ตะกร้าหนึ่งนำมาแยกให้ตรงกับประเภทของผลไม้ที่มีสุก มีหวาน มีเปรี้ยว มีมัน มีเค็ม มีเผ็ด ผลไม้ตะกร้านั้นก็คือ ความรู้ของครูที่นี่ ที่จริงพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้แยกในพระธรรมขันธ์ทั้งแปดหมื่นสี่พัน พระองค์ทรงเจอะเจอโรคอะไรกด็จะวางยาให้ตรงต่อโรคนั้น พุทธสาวกเท่านั้นที่จะมาทำหน้าที่แยกแยะโดยการทำสังคายนา ก็คือจัดหมวด หมู่พระธรรมให้เป็นสุตตันตปิฎก พระธรรมปิฎก และวินัยปิฎก ชั่วชีวิตของพระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่านี่คือวินัยปิฎก นี่คือพระอภิธรรมปิฎกหรือนี่คือพระสุตตันตปิฎก แต่หลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานไปแล้ว พวกพุทธสาวกทั้งหลายจึงมาแยกแยะหมวดหมู่ให้ง่ายต่อการเข้าถึงและเรียบนรู้ หลวงปู่ไม้ใช่พระพุทธเจ้า แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าวิชาความรู้ที่สั่งสอนอบรมมานี้ ในแผ่นดินนี้ไม่มีใครเขาสอน มันก็คือผลไม้ที่ครูคนนี้เรียนรู้มาแล้วเก็บสั่งสมมาจากประสบการณ์ข้ามภพข้ามชาติ ฉะนั้นการจะมาแบ่งให้เป็นรสเปรี้ยว รสหวาน รสมัน รสเผ็ด รสเค็ม ให้มันตรงต่อจริตและนิสัยของศิษย์ผู้เรียนรู้ศึกษา บางทีบางครั้งเห็นคนที่จะต้องกินรสเปรี้ยวมากกว่าคนที่จะต้องกินรสหวาน ก็จะต้องเลือกเอาผลไม้ชนิดนี้ออกขายก่อน ออกแจกก่อนเพื่อจะให้คนที่กินรู้สึกสะดุ้งรู้สึกตัว รู้สึกที่จะเข้าถึงรสชาติและฤทธิ์พิษของผลไม้ที่มันจะสามารถชำระชะ หรือทำลายโรคได้ระดับหนึ่ง แต่เป็นเรื่องไม่ง่ายกับการที่จะดึงเอาประโยชน์ของผลไม้ในหนึ่งตะกร้าออกมาจำแนกให้ชัดเจนทุกเรื่องทุกราว หน้าที่ของศิษย์ที่ดีก็ต้องทำหน้าที่เหมือนพุทธสาวก คือแยกแยะหมวดหมู่ของคำสอนที่ครูมีให้มา ไม่ใช่ทำหน้าที่ให้ครูมาแยกแยะ เพราะว่าโรคแต่ละคน ครูก็จะมีคำสอนแตกต่างกัน ถ้าลูกศิษย์เห็นคุณค่าของคำสอนนี้ก็ต้องทำหน้าที่แยกแยะจดบันทึกเรียบเรียงข้อมูลเพื่อให้คนชั้นหลังๆ ได้มาเข้าถึงคำสอนนั้นๆ ได้อย่างตรงไปตรงมา ถุกกับจริตและนิสัยของตนของตน

         หลวงปู่อยากบอกว่าความรู้ที่สอนนี่มันไม่มีสอนในตำรา ไม่มีครูคนไหนเขาอบรมสั่งสอนมา แต่เป็นความรู้ที่สั่งสมมาจากประสบการณ์ที่ข้ามภพข้ามชาติ เพราะฉะนั้นเมื่อศิษย์ได้รับไปแล้ว ก็ควรจะศึกษาสั่งสมและแยกแยะให้ชัดเจน และใหก้รู้ว่าขั้นตอนในการเข้าถึงยารักษาโรคของตนนั้นควรจะอยู่ในระดับใด และอยากบอกว่าต่อไปนี้ให้ทุกคนได้จดบันทึกเอาไว้บ้าง อย่ามาอาศัยแต่กำลังของครู หลวงปู่ก้แก่ลงไปทุกวัน กระบวนการเรียนรู้ศึกษาอบรม ก็ได้สอนได้อบรมตามเหตุตามปัจจัยให้เหมาะสม ฉะนั้นก็รู้จักจด รู้จักจำ รู้จักวิเคราะห์ รู้จักจัดหมวดหมู่ เหมือนกับคำสอนเรื่องอาการจิต 10 อย่าง

         การเดิน การมีความเพียร มันเป็นเครื่องเผาผลาญอกุศลและเผาผลาญกิเลส ขันติ ความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง “วิริเยทุกดขมัตเจติ” บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร  ทั้งสองสิ่งนี้บางคนเมื่อยบางคนเปลี้ย บางคนเพลียแต่ก็มีความอดทนอดกลั้นเป็นเครื่องเผาผลาญ ในขณะเดียวกันก็ช่วยกำจัดความไร้สติ ความขาดสัมปชัญญะ ความไม่มีสมาธิ ทำให้สติ สมาธิและสัมปชัญญะตั้งมั่น

         มาถึงช่วงสุดท้ายในการใช้สติ สมาธิและสัมปชัญญะ มันเหมือนว่าเราควบคุมคอนโทรลพลังภายในกายได้ การที่หลวงปู่สอนให้เดินลมไปตามจุดต่างๆ ในอารมณ์กรรมฐานทีร่ง่าด้วยเรื่องปราณโอสถ เราจะต้องรู้ให้ได้ว่าลมเดินผ่านจุดนั้น เช่นเมื่อลมเข้าจมูก ก็ต้องรู้ให้ได้ว่าลมเข้าจมูก ลมขึ้นหน้าผากก็ให้รู้ให้ได้ว่าลมขึ้นหน้าผาก ลมตั้งอยู่ที่กลางกระหม่อมก็ต้องรู้สึกให้ได้ว่ากลางกระหม่อมเรามันร้อน จิตดวงหนึ่งรู้ลม จิตอีกดวงหนึ่งก็ต้องรู้ความร้อน จิตดวงหนึ่งรู้ว่าการเคลื่อนลม จิตอีกดวงหนึ่งก็รู้ว่าลมได้ผ่านจุดที่กำหนดอย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นเราหลับตาลืมตาพริบตาเดียวจิตมันเกิดดับเป็นพันดวง ในพันดวงนั้นจิตมันประกอบไปด้วยกุศลกับอกุศลกับอัพยา-กฤตจิต คือเฉยๆ เราจะทำอย่างไรให้จิตที่เราหลับตาลืมตามันกลายเป็นจิตที่เราได้กำไรทุกดวง มีกำไรทุกดวง ดวงหนึ่งรู้ลมอีกดวงหนึ่งก็รู้ว่าลมผ่าน ดวงต่อไปก็รู้ว่าผ่านในจุดที่ต้องการให้ผ่าน ดวงต่อไปก็รู้ว่าลมได้เคลื่อนไปในจุดอื่นแล้ว ดวงต่อไปก็รู้ว่าลมได้ผ่านในจุดอื่นๆด้วย อย่างนี้เป็นต้น คือมันจะต้องรู้อย่างต่อเนื่องเป็นสายจนกระทั่งลมนั้นมันโดนพ่นออกมาอย่างนี้เป็นต้น เมื่อทำได้อย่างนี้รู้ตลอดสายอย่างนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องวิชาปราณโอสถ แม้ลมเจ็ดฐานก็สามารถทำสำเร็จได้

         ที่หลวงปู่ต้องมาแยกมันเป็นแต่ละขั้นๆ จริงๆแล้วเวลาที่หลวงปู่ฝึกหรือศึกษาไม่ได้มาแยกมัน เหมือนเราเก็บผลไม้มาจากต้น แล้วรวมใส่ในตะกร้า สุกลูกไหนก็จะเก็บกินลูกนั้น ลูกไหนยังไม่สุกก็ยังไม่หยิบมากิน หน้าที่ของลูกหลาน มันง่ายมาก ไม่ได้เก็บผลไม้ แต่อ้าปาก แล้วหลวงปู่ป้อน ฉะนั้น ต้องหาวิธีจดบันทึกเอาไว้ อย่าปล่อยให้มันสูญไปหรือหมดไป.



วันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2566

หลวงปู่พุทธะอิสระ - ปราณโอสถ (คำนำ)

 คำนำ

 

         หนังสือ ปราณโอสถ เล่มนี้จัดทำขึ้นตามดำริของครูบาอาจารย์หลวงปู่พุทธะอิสระ ซึ่งท่านมีเมตตามอบให้จิโรจน์ ทีปกานนท์ ญาติธรรมอาวุโสเป็นผู้ดำเนินการ เพื่อแจกให้กับคณะศิษย์เนื่องในวันปีใหม่ 2554

         หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมขั้นตอนการปฏิบัติปราณโอสถ ขั้นที่ 1-10 ซึ่งองค์ครูบาอาจารย์หลวงปู่พุทธะอิสระได้เมตตาอบรมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 2551-2553 โดยได้นำเสนอขั้นตอนการปฏิบัติแต่ละขั้นพร้อมภาพและคำอธิบาย และรวบรวมข้อวิจารณ์ของครูบาอาจารย์ และผลการปฏอิบัติอย่างถูกต้อง มาร้อยเรียงอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อเป็นคู่มือแนวทางการศึกษาปฏิบัติแก่ผู้สนใจ รวมทั้งใช้ในการฝึกฝนเพื่อเตรียมตัวสอบกรรมฐานที่ครูบาอาจารย์ท่านให้จัดสอบปฏิบัติทีละคน โดยท่านเมตตาเป็นอาจารย์ผู้สอบเอง เพื่อให้ศิษย์มีความเพียรปฏิบัติได้อย่างถูกต้องจริงจัง ประจักษ์แจ้งใจตนต่อผลสำเร็จในธณรมะแต่ละขั้นที่ตนทำได้ถึงแล้ว

         วิชาปราณโอสถ เป็นหนึ่งในกลุ่มวิชาเจริญสติเพื่อการฟื้นฟูรักษาสุขภาพ ที่ครูบาอาจารย์ท่านได้คติดค้นขึ้น โดยใช้หลักสัมมาสติในมรรคาปฏิปทา พัฒนาสติและสัมปชัญญะอย่างต่อเนื่องจนเกิดสัมมาสมาธิ ท่านมีเมตตาอย่างสูงสุดนำมาถ่ายทอดสั่งสอนศิษย์โดยนำมาประกอบกับบทเพลง พระสูตรปรัชญาปารมิตา ซึ่งเป็นพระสูตรสูงสุดของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ซึ่งมีความไพเราะ บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ทำให้การเจริญกรรมฐานมีรูปแบบพิเศษที่ง่าย ฝึกได้พร้อมๆกันจำนวนมาก และปฏิบัติได้ดีแม้จะเป็นผู้ที่ไม่เคยรู้จักการเจริญสติมาก่อน

         ครูบาอาจารย์ได้กล่าวเสมอว่า การศึกษาปฏิบัติธรรมในวิชาปราณโอสถ ต้องเริ่มเป็นขั้นบันได เริ่มจากหยาบไปละเอียด จิตจะค่อยๆประณีตขึ้นไปเรื่อยๆ ตัวรู้จะชัดแจ้งมากขึ้น สติจะตั้งได้เยอะขึ้น และจะเผชิญต่อทุกปัญหาได้อย่างกล้าหาญ ไม่ตกใจ ไม่หวาดผวา มีสติตรึกตรองได้เยอะขึ้น มีวิธีคิดที่ฉลาดและคิดเป็น แก้ปัญหาได้ฉับไวและตรงจุด ทั้งหมดเกิดจากการค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจากการฝึกไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันให้มีความสงบเย็น ตั้งมั่น ในขณะเดียวกันก็สามารถคิด ทำการงานต่างๆ มากมายได้อย่างถูกต้อง แม่นยำฉับไว มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยให้มีสุขภาพกายที่แข็งแรง มีพละกำลังพร้อมต่อการทำการงานต่างๆ เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ส่วนผู้ป่วยก็สามารถใช้วิชานี้เพื่อฟื้นฟูสุขภาพความไม่สมดุลต่างๆ ของตนเองได้

         ขออนุโมทนาต่อคณะศิษย์หลายท่านที่ได้ส่งมอบข้อมูล ภาพถ่าย และช่วยกันรวบรวมจัดทำหนังสือ วิชาปราณโอสถ เล่มนี้ขึ้น เพื่อมิให้คำสอนอันมีค่านี้สูญหาย หรือกระจัดกระจาย อีกทั้งยังสามารถเป็นแนวทางการศึกษาแก่ผู้สนใจที่ไม่สามารถมาร่วมอบรม หรือมาไม่ทันช่วงเวลาการอบรมดังกล่าว ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมจัดทำ และท่านสาธุชนที่มีศรัทธานำวิชาปราณโอสถไปศึกษาปฏิบัติ ได้มีความเจริญก้าวหน้าในธรรมจนได้รับผลสำเร็จสูงสุดในการปฏิบัติ คือได้น้อมนำพระธรรมอันศักดิ์สิทธิ์มาเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต มีชีวิตที่สำเร็จประโยชน์สูงสุด เป็นที่พึ่งของตนเองและสังคม เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของสังคมไทยต่อไป.

คณะศิษย์ผู้จัดทำ




วันศุกร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2566

ไพศาล พืชมงคล - วิธีเจริญอายุด้วยอิทธบาท

 วิธีเจริญอายุด้วยอิทธิบาท

 

         ๑. ความในพระสูตร “ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้...ดูกร อานนท์ ผู้หนึ่งผู้ใดเจริญอิทธิบาทสี่ ทำให้มาก ทำให้เป็นประหนึ่งยาน ทำให้เป็นประหนึ่งวัตถุที่ตั้งไว้เนืองๆ อบรมไว้ ปรารภด้วยดีโดยชอบแล้ว ผู้นั้นเมื่อปรารถนาก็พึงดำรงชีวิตได้ตลอดกัปหรือเกินกว่ากัป”

         ๒. ความหมายของความในพระสูตร

         “ทำให้มาก” หมายถึงการเจริญอิทธิบาทสี่ โดยอาศัยสมาธิใหก้มากดให้ต่อเนื่อง

         “ทำให้เป็นประหนึ่งยาน” คือการอาศัยอิทธิบาทในสมาธิเป็นตัวขับเคลื่อนเพื่อทำให้ความ “ปรารถนา” ปรากฏเป็นจริง

         “ทำให้เป็นประหนึ่งวัตถุ” คือการเจริญอิทธิบาทโดยกำลังสมาธิจนจิตมีความตั้งมั่นสูงสุด ไม่มีโทมนัส โสมนัส มีแต่ความเป็นอุเบกขาและสติมั่นคง

         “อบรมไว้” คือการเจริญอิทธิบาทโดยอาศัยกำลังสมาธิให้มีความก้าวหน้ามั่นคงเป็นลำดับไป

         “ปรารถนาด้วยดีโดยชอบ” คือการพิจารณาเห็นความจริงตามธรรมชาติว่าอายุ และอิทธิบาทธรรมยืนยาวได้ถึงกัปหรือกว่ากัป และอิทธิบาทธรรมคือยานหรือเครื่องมือในการทำให้อายุสังขารเป็นธรนรมชาติ คือยืนยาวถึงกัปหรือกว่ากัป แล้วมีความปรารถนาที่จะมีอายุถึงกัปหรือกว่ากัป

         “เมื่อปรารถนา” คือการตั้งอธิษฐานหรือกระทำอธิษฐานฤทธิ์ ปรารถนาให้อายุ สังขารยืนยาวตลอดกัปหรือเกินกว่ากัป (คำว่าปรารถนาโดยทั่วไปอาจมีความหมายโน้มไปในลักษณะที่มีกิเลสเจือปน แต่ปรารถนาในที่นี้มีความหมายในลักษณะที่ใกล้เคียงกับคำที่ว่าเจตนา นั่นคือเมื่อปรารถนาด้วยดีโดยชอบแล้วจิตก็น้อมไปตั้งอธิษฐานโดยมีเจตนาให้อายุ สังขารเจริญตลอดกัปหรือกว่ากัป นี่คือปัญหาของภาษาที่อาจทำให้ความเข้าใจไขว้เขวห่างไกลออกไปจากพุทธธรรม

         ๓. ตัวอย่างในระยะใกล้ของการเจริญอิทธิบาทสี่

         ในโพธิกาลและอดีตกาลโพ้นมีแบบอย่างมากมาย แต่เฉพาะในระยะใกล้นี้ก็มีตัวอย่างให้เห็นถึงการเจริญอิทธิบาทสี่ เช่น

         ๓.๑ กรณีสมเด็จพระสังฆราชเจ้าองค์พระอุปัชฌาย์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอุปแสมบท ครั้งนั้นสมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงประชวรหกนัก มีอาการมาก ไม่อาจทรงพระวรกายตั้งอยู่ใหก้เป็นปกติได้นานๆ ถึงขนาดที่ทรงวิตกว่าเมื่อถึงกาลพิธีอุปสมบทอาจจะไม่สามารถลงพระอุโบสถได้ แต่ในที่สุดก็ทรงรำลึกถึงความในพระสูตรข้างต้น ดังนั้นเมื่อถึงเวลาจะลงพระอุโบสถเพื่อทำพิธีอุปสมบทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพะระสังฆราชเจ้าก็ได้เข้าสมาธิเจริญอิทธิบาท แต่ทรงตั้งปรารถนาเพียงแค่ให้สามารถดำรงพระวรกายเพื่อทำพิธีอุปสมบทให้เสร็จสิ้นเท่านั้น และตลอดเวลาดังกล่าวก็ทรงปฏิบัติหน้าที่พระอุปัชฌาย์ได้บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดพิธีด้วยกำลังอำนาจสมาธิและอิทธิบาทนั้น

          ๓.๒ เมื่อครั้งที่ท่านเจ้าคุณพุทธทาสอาพาธหนัก มีอาการมาก มีอาการหัวใจวาย เส้นเลือดหัวใจตีบ น้ำท่วมปอด และความดันโลหิตสูงมาก คณะแพทย์หลววงลงไปที่ไชยา แล้วอัญเชิญกระแสพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปถวายท่านเจ้าคุณถึงเตียงผู้ป่วย เมื่อท่านเจ้าคุณพยุงกายในท่านั่งสมาธิบนเตียงผู้ป่วยแล้ว แพทย์หลวงได้อัญเชิญพระราชกระแสว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขออาราธนาว่าอย่าเพิ่งดับขันธ์ ขอให้อยู่ช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนาก่อน ครั้งนั้นท่านเจ้าคุณอึ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า และกล่าวว่าอาตมารับอาราธนาแต่จะอยู่เพียงเท่าที่เหตุปัจจัยจะอำนวยให้เท่านั้น

         คืนวันนั้นท้านเจ้าคุณได้เข้าสมาธิ เจริญอิทธิบาทสี่ตามที่รับอาราธนา ในวันรุ่งขึ้นอาการเส้นเลือดหัวใจตีบหายไป อาการน้ำท่วมปอดลดลงเกือบหมด ความดันโลหิตสูงลดลงเป็นปกติ หลังจากพักฟื้นระยะหนึ่งท่านเจ้าคุณก็หายเป็นปกติและปฏิบัติศาสนกิจต่อมาอีกหกลายปี จนถึงปลายปีก่อนดับขันธ์เป็นเดือนธันวาคม ท่านเจ้าคุณได้ปลงอายุสังขารท่ามกลางพุทธบริษัทจำนวนมากว่าได้รับอาราธนาพระเจ้าอยู่หัวไว้ และได้อยู่ต่อมาเป็นเวลาสมควรแล้ว ภาระหน้าที่หมดแล้ว เหตุปัจจัยที่จะอยู่ไม่มีแล้ว จึงขอลาท่านทั้งหลาย

         เหตุการณ์ในวันนั้นในพลันที่ท่านเจ้าคุณปลงอายุสังขารเสร็จ สายลมกระโชกแรง ใบไม้ร่วงกราวทั้งสวนโมกข์ พุทธบริษัทร่ำไห้ทั่วทั้งลานธรรม และมีการแจ้งข่าวเรื่องท่านเจ้าคุณปลงอายุสังขารไปยังสานุศิษย์โดยถ้วนหน้ากัน

         ๓.๓ เมื่อครั้งที่สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริยานก วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงประชวรหนัก มีอาการมาก มีข่าวลือไปถึงเขมรว่าทรงสิ้นพระชนม์แล้ว แต่ปรากฏว่าไม่เป็นความจริง

         ในครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จเยี่ยมสมเด็จพระสังฆราชถึงเตียงที่ประทับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสว่าพระอาจารย์ พระอาจารย์ หม่อมฉันและพระราชินีมาเยี่ยม ยาที่ไหนดี หมอที่ไหนดี ก็หามาช่วยรักษาพระอาจารย์หมดแล้ว ต่อไปนี้พระอาจารย์ต้องช่วยพระองค์เองแล้ว จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินกลับ

         สมเด็จพระสังฆราชทรงเล่าให้ผู้ใกล้ชิดฟังว่า ในเวลานั้นพระองค์เข้าอยู่ในภวังค์โคม่า)แล้ว ครั้นได้ยินพระสุรเสียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สติก็ฟื้นกลับมา ทรงได้ยินกระแสพระราชดำรัสชัดเจน ทรงรู้สึกพระองค์ว่าทรงพยักหน้า และทรงรำลึกถึงความในพระสูตรข้างต้นนี้ พระสติก็ตั้งมั่น และทรงเจริญอิทธิบาทสี่ ทำให้พระองค์สร่างคลายจากพระอาการประชวร

 

         ๔. อิทธิบาทสี่คืออะไร?

         อิทธิบาทสี่เป็นวิหารธรรมชนิดหนึ่ง คือเป็นที่ตั้ง ที่อาศัยของจิต เนื่องจากร่างกายต้องมีอาคารเป็นที่พักอาศัย หลบร้อนหลบหนาวให้ปลอดภัยจากอันตราย จิตก็มีอาคารเป็นที่พักอาศัย คือวิหารธณรม หากไม่มีวิหารธรรมจิตก็จะเปลี่ยวเปล่าล่อนจ้อนร้อนรุ่มและเป็นอันตรายได้โดยง่าย วิหารธณรมใดจิตเข้าไปตั้งอาศัยก็ได้ชื่อว่าจิตสถิตในวิหารธรรมนั้น เช่นพรหมวิหาร อานาปนสติวิหาร อิทธิบาทวิหาร อริยวิหาร ตถาคตวิหาร เป็นต้น อริยวิหารและตถาคตวิหารนั้นเป็น

วิหารธรรมขั้นสูง ตั้งแต่การบรรลุถึงอรูปฌานจนถึงภูมิพระอรหันต์ ส่วนพรหมวิหาร อานาปานสติวิหาร อิทธิบาทวิหาร เป็นวิหารธรรมที่คนธรรมดาทั่วไปเข้าถึงได้ และเมื่อเจริญธรรมเหล่านั้นแล้วก็สามารถตั้งจิตไว้ในวิหารธรรมเหล่านั้นได้ และสามารถยกระดับที่สูงขึ้นไปได้ ดังที่พระตถาคตเจ้าตรัสว่าพระองค์มีปกติอยู่ในอานาปานสติวิหาร

         อิทธิบาทสี่เป็นองค์ธรรมแห่งความสำเร็จ  ประกอบด้วยฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา ความสำเร็จทั้งปแวงไม่ว่าในทางโลกหรือทางธรรมจักสำเร็จได้ด้วยอิทธิบาททั้งนั้น หากขาดอิทธิบาทแล้วก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ การฝึกฝนอบรมจิตและการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาพระตถาคตเจ้าจึงทรงเน้นทรงย้ำเป็นอันมากว่าต้องอาศัยอิทธิบาท

         อิทธิบาทเป็นรากฐานหรือบาทฐานของอิทธิปาฏิหาริย์ นั่นคือการกระทำความสำเร็จอย่างอัศจรรย์ต้อวงอาศัยอิทธิบาท เหตุนี้อิทธิบาทธรรมสี่ประการคือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา จึงได้ชื่อว่าอิทธิบาท ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่าเท้าหรือรากฐานของการกระทำความสำเร็จที่อัศจรรย์ ถ้าไม่มีเท้าก็เดินไม่ได้ฉันใด ไม่มีอิทธิบาทก็กระทำอิทธิปาฏิหาริย์ไม่ได้ฉันนั้น

         เพราะการกระทำอิทธิปาฏิหาริย์นั้นต้องอาศัยกำลังสี่อย่าง คือ กำลังสมาธิ กำลังฌาน ดำลังอิทธิบาท และกำลังอธิษฐาน กำลังทั้งหมดนี้กำลังอิทธิบาทืก็คือกำลังเท้าหรือรากฐานของการทำความสำเร็จที่อัศจรรย์นั่นเอง

         ในอดีตกาลโพ้น การมีอายุตลอดกดัปเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดา ดังที่พระตถาคตเจ้าทรงตรัสไว้ในหลายที่ว่า ในกัปก่อนๆอายุมนุษย์เกินกว่าหมื่นปีก็มี และค่อยๆลดลงโดยลำดับ เพราะมนุษย(ทำเหตุปัจจัยให้อายุลดลงเอง และทรงตรัสว่าในปัจจุบันกัปนี้มนุษย์มีอายุแค่ ๑๐๐ ปี มากน้อยไปกว่านี้ก็ไม่มาก แต่ความหมายของคำว่ากัปในปัจจุบัน กัปคือ ๑๒๐ ปี ดังนั้น จึงทรงแสดงไว้ในมหาปรินิพพานสูตรว่าผู้ที่เจริญอิทธิบาทสี่สามารถปรารถนาใหก้มีอายุตลอดกัปหรือกว่ากัปได้ คือ มีอายุถึง ๑๒๐ ปีหรือเกินกว่า ๑๒๐ ปีได้

         พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้มีพระคุณอันประเสริฐ ทรงเลิศในธรรม ทรงแจ้งในคำตรัสสอนของพระบรมศาสดาในประการนี้อย่างดีเป็นแน่ ดังที่ทรงตรัสในกาลมหามงคลสมัยวันเฉลิมพระชนมพรรษาปีหนึ่งว่าพระองค์จะมีพระชนมายุ ๑๒๐ ปี

         ๕. วิธีเจริญอิทธิบาทสี่ตามความในพระสูตร

         โดยวิธีฝึกฝนอบรมจิตเพื่อบรรลุถึงวิมุตตะมิตินั้นมีอยู่สามหนทาง คือหนทางวชิรวิมุต ปัญญาวิมุต และเจโตวิมุต ดังนั้นผู้ที่ฝึกฝนอบรมจิตไม่ว่าหนทางไหนก็มีวิสัยและสามารถเจริญอิทธิบาทได้ทั้งสิ้น ยกเว้นก็แต่ผู้ที่เดินหนทางวชิรมุตในขั้นต้น กำลังของจิตและสมาธิอาจจะห่างไกลและไม่เป็นระบบที่จะมีกำลังพอเพียง ในขณะที่ผู้ที่ฝึกฝนอบรมในหนทางปัญญาวิมุตและเจโตวิมุตกำลังจิต กำลังสมาธิจะก่อตัวเกิดขึ้นเป็นลำดับๆไป

         การเจริญอิทธิบาทสี่เพื่อการเจริญอายุนั้น เป็นอธิษฐานฤทธิ์ชนิดหกนึ่ง ดังนั้นจึงง่ายและสะดวกสำหรับผู้ปฏิบัติในหนทางเจโตวิมุต คือตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ปฐมฌานไปจนถึงจตุตถฌานก็อยู่ในวิสัยที่จะเจริญอิทธิบาทสี่เพื่อปรารถนาความมีอายุยืนตลอดกัปได้ทั้งนั้น

         สำหรับผู้ปฏิบัติในหนทางปัญญาวิมุตในขั้นต้นของกายกายานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น กำลังจิตและกำลังสมาธิยังอ่อนอยู่ ไม่อยู่ในขีดขั้นที่จะเจริญอิทธิบาทสี่ให้เป็นผลได้ แต่เมื่อใดที่กายสงบรำงับ เวทนาสงบรำงับ คือปฏิบัติถึงขั้นที่สี่ของเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานแล้วก็เริ่มตั้งแต่อยู่ในวิสัยที่จะเจริญอิทธิบาทสี่ให้เป็นผลได้

         การเจริญอิทธิบาทสี่ให้เป็นผลได้อย่างสมบูรณ์แน่นอนก็คือ การเจริญอิทธิบาทสี่ในขณะที่ได้จตุตถฌานแล้ว นามกายแปรสภาพเป็นทิพยกดายแล้ว กำลังสมาธิ กำลังฌาน และกำลังอิทธิบาทอยู่ในขั้นสูง และกำลังอธิษฐานก็อยู่ในขั้นสูง จึงกระทำอธิษฐานฤทธิ์ด้วยอิทธิบาทได้อย่างสมบูรณ์

         แต่ลบำดับของการได้ผลตั้งแต่ขั้นต้นๆก็มีอยู่ นั่นคือเริ่มตั้งแต่จิตเป็นสมาหิโตคือตั้งมันเป็นปาริสุทโธคือมีความบริสุทธิ์ เป็นกัมมนิโย คือมีกำลังควรแก่การทำงานของจิตตามฐานะและลำดับภูมิ ก็อยู่ในวิสัยที่จะเจริญอิทธิบาทสี่ได้ ต้างกันก็ตรงระดับของภูมิธรรม ถ้าภูมิธรรมต่ำก็ได้ผลน้อยไม่เต็มที่ ภูมิธรรมสูงก็ได้ผลมากด ที่ได้ผลน้อยคือได้ผลไม่ถึง ๑๒๐ ปี หรือยังมีโณคร้ายกลุ้มรุมบ้าง ถ้าได้ผลสมบูรณ์ก็ได้ปผลถึงกัป และมีสุขภาพกายใจดีด้วย

         โดยสรุป เมื่อจะเจริญอิทธิบาทสี่ก็ต้องทำจิตใจให้เป็นสมาธิและมีอารมณ์ปีติ สุข เกิดขึ้น คือตั้งแต่ปีติ สุข ที่เกิดแต่วิเวกเป็นลำดับไป เป็นปีติ สุข เกิดแต่สมาธิ และละปีติ สุข จนเป็นอุเบกขาในที่สุด

         สำหรับผู้ที่บรรลุถึงจตุตถฌานหรือบรรลุถึงจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานแล้ว เมื่อจะเจริญอิทธิบาทสี่ก็ต้องถอนอารมณ์ออกจากอุเบกขา ออกจากอัปนาสมาธิสู่อุปจารสมาธิ และกำหกนดอารมณ์ปีติ สุข ที่ปราศจากอามิสใหก้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ในอารมณ์นี้คืออารมณ์ที่จะเจริญอิทธิบาท เพราะในอารมณ์อุเบกขานั้นตั้งอธิษฐานได้

         ระดับของสมาธิในอัปปนาสมาธิก็ตั้งอธิษฐานไม่ได้ การเจริญอิทธิบาทจึงต้องถอนกำลังสมาธิออกมาจากอัปปนาสมาธิมาอยู่ที่อุปจารสมาธิก่อนเสมอ

         แม้อิทธิบาทจะประกอบด้วยองค์สี่ แต่แท้จริงก็เป็นองค์เดียว ดุจดังเชือกที่มีด้ายร้อยรวมกันถึง ๔ เส้น ด้ายทั้ง ๔ เส้นก็คือเชือกเส้นเดียวคืออิทธิบาท

         โดยสรุป ลำดับและขั้นตอนในการเจริญอิทธิบาทสี่เพื่อการเจริญอายุจึงเป็นดังต่อไปนี้

         ขั้นที่หนึ่ง  เข้าสมาธิ เจริญสมาธิจนจิตเป็นสมาหิโต ปาริสุทโธ และกัมมนิโย เข้าสู่ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน(หรือเจริญกายนุปัสสนาสติปัฏฐานสู่เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน) ถ้าภูมิธรรมไม่ถึงขั้นที่สุดก็เจริญเอาเท่าที่เข้าถึงและดำรงจิตอยู่ในอุเบกขา (ชนิดเดียวกับอุเบกขาสัมโพชฌงค์) ในภาวะเช่นนี้กำลังสมาธิเข้าถึงอัปปนาสมาธิ กำลังฌานเข้าถึงภูมิธรรมแห่งฌานที่เข้าถึง

         ขั้นที่สอง  ถอนสมาธิออกจากอัปปนาสมาธิสู่อุปจารสมาธิ และถอนกำพลังฌานออกจากอุเบกขามาอยู่ที่ปีติและสุขที่ปราศจากอามิส และอาศัยกำลังสมาธิในอุปจารสมาธิ

         ขั้นที่สาม  เจริญอิทธิบาทสี่ในอุปจารสมาธิ และในอารมณ์ฌานปีติสุขที่ปราศจากอามิสในเอกคตารมณ์นั้น กำหนดจิตให้มีฉันทะในการมีอายุตลอดกัปหรือกว่ากัป เพ่งกำลังจิตด้วยความเพียรหกรือกำลังแห่งวิริยะ เพื่อจะมีอายุตลอดกัปหรือกว่ากัป พิจารณาด้วยปัญญาเห็นเหตุแห่งการมีอายุยืนตลอดกัป และเห็นเหตุที่ทำให้อายุไม่ยืนตลอดกัป ใส่ใจที่ความมีอายุยืนตลอดกัป และกำหกนดในจิตละวางหรือดับเหตุที่ทำให้อายุไม่ยืนตลอดกัป เจริญเหตุปแจจัยที่ทำให้อายุยืนตลอดกัป

         ในสภาวธรรมเช่นนี้จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว เคลียเคล้าอยู่ด้วยปีติและสุขปราศจากอามิสในกำลังอุปจารสมาธิ โดยกำลังอิทธิบาทเจริญขึ้นในระดับที่ผสมผปสานเป็นหนึ่งเดียวกัน

         ขั้นทมี่สี่  เป็นขั้นกระทำอธิษฐานฤทธิ์ คือ ตั้งความปรารถนาด้วยกำลังอธิษฐานของจิตปรารภความปรารถนาที่ตจะมีอายุยืนตลอดกัปหรือกว่ากัป โดยมีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่ดีสมบูรณ์ เจริญอยู่เช่นนั้นตามความในพระสูตรเป็นที่พอใจแล้วจึงถอนจิตออกจากฌาน จากสมาธิ สู่ความเป็นปกติ กระทำเช่นนี้เนืองๆ คือกระทำให้มาก อำนาจแห่งอธิษฐานฤทธิ์ก็จะทำให้มีอายุยืนตลอดกัปหรือกว่ากัป ดังคำตรัสของพระตถาคตเจ้านั้น

         นั่นเป็นการเจริญอิทธิบาทสี่ประกอบกับการทำพอธิษฐานฤทธิ์ ซึ่งเป็นปกติของสามัญชนที่มีวิสัยเข้าถึงและทำได้ สำหรับผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดินนั้นมีฤทธิ์พิเศษโดยธรรมชาติ เหมือนกับธรรมชาติของนกที่บินไปในอากาศได้ เรียกว่า “บุญฤทธิ์” ดังนั้นผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งมีบุญฤทธิ์โดยธรรมชาติ จึงอยู่ในวิสัยที่จะเจริญอิทธิบาทให้ได้ผลมากและสมบูรณ์มากกว่าคนทั่วไป.



วันพฤหัสบดีที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2566

ไพศาล พืขมงคล - พลังเอกธาตุ (ตอนจบ)

 

พลังเอกธาตุ

ตอนจบ

 

        จังหวะการเคลื่อนไหวของร่างกายที่สัมพันธ์กับการสูดปราณขับพิษ และการวางจิตให้รู้สึกตัวอยู่ทุกเมื่อ ในขณะที่ลมปราณเข้าออกดร่างกายนั้น เป็นรากฐานของพลังเอกธาตุจั้งแต่ท่าแรกจนถึงท่าสุดท้าย การสูดปราณเข้าทางจมูกและขับพิษออกท่างปากเป็นเคล็ดของการสูดปราณขับพิษของทั้งสามกระบวนท่าด้วย

         ครั้นจะเริ่มท่าที่สองก็เคลื่อนออกจากท่าเตรียมตัวในปลายท่าที่หนึ่งไปยังท่าเตรียนมพร้อมต่อไป คือย่อเข่าลงมาเล็กน้อยเหมือนกับก่อนเริ่มต้นท่าแรก ผ่อนคลายร่างกาย ลมหายใจและจิตใจให้เบาสบายสัก ๒-๓ อึดใจ ท่าที่สองนี้มีชื่อ “ปลุกพลังสานโลก”

         เพราะคนเรานี้มีขุมพลังอยู่สามแห่งคือบริเวณทรวงอกแห่งหนึ่ง บริเวณสะดือแห่งหนึ่ง และบริเวณท้องน้อยอีกแห่งหนึ่ง การทำงานมาก การพักผ่อนน้อย การล่วงวัยไปตามกาล ย่อมทำให้ขุมพลังงานอ่อนกำลังริบหรี่ลง กระบวนท่าที่สองจึงมุ่งหมายปลุกดพลังทั้งสามโลกนี้ให้กระชุ่มกระชวยฟื้นคืนกำลังอีกครั้งหนึ่ง

         แหล่งพลังแห่งแรกคือทรวงอก เป็นต้นกำเนิดของลมภายในกาย เป็นแหล่งพลังงานธาตุลม เพราะธาตุลมเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะลงมือปฏิบัติการทั้งปวงที่มีผลต่อร่างกายก็ที่ขุมพลังแห่งนี้ จึงจัดได้ว่าเป็นขุมพลังชีวิตและที่เรียกลมหายใจว่าปราณก็เพราะปฏิบัติการของลมที่ขุมพลังแห่งนี้นั่นเอง แหล่งพลังธาตุลมในกายจะทำหน้าที่ฟอกเลือด และขับกระแสเฃือดไปหฃ่อเฃี้ยงร่างกายตั้งแต่เกิดจนตายอีกด้วย จึงเป็นจุดสัมพันธ์ของธาตุดินกับธาตุน้ำภายในกาย

         ขุมพลังนี้ไม่ทำงานหรือทำงานไม่ได้ ณ เวลาใด ชีวิตก็จะสิ้นสุดลง ณ เวลานั้น

         แหล่งพลังที่สองคือบริเวณสะดือและรัศมีโดยรอบข้างละ ๓ องคุลีเป็นรอบใน และรัศมีโดยรอบข้างละ ๑ คืบเป็นรอบนอก

         แหล่งพลังนี้เป็นต้นกำเนิดธาตุน้ำ น้ำทั้งปวงที่เข้าสู่ร่างกายจะเริ่มปฏิบัติการตามหน้าที่ ณ แหล่งพลังนี้ ทั้งในส่วนที่สร้างน้ำเลือด น้ำดี น้ำเมือกด และสรรพน้ำทั้งหลายที่มีอยู่ในร่างกาย แล้วขับส่งไปปฏิบัติภารกิจตามจุดต่างๆที่มีอยู่ในร่างกาย

         แหล่งพลังแห่งนี้นอกจากเป็นต้นกำเนิดธาตุน้ำแล้ว ยังถือว่าเป็นต้นกำเนิดธาตุไฟอีกด้วย เป็นแหล่งที่อาหาร น้ำ ทำปฏิกิริยาก่อเกิดเป็นพลังงานให้กับร่างกายโดยตรง สิ่งที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้แหล่งพลังงานนี้ก็เก็บไว้แล้วขับเคลื่อนไปใช้ ส่วนที่เป็นเศษปฏิกูลเหลือใช้ก็ขับถ่ายทิ้งออกไปทางทวารต่างๆทั้งสิบทวารนั้น

         ความแข็งแรงสมบูรณ์และเป็นปกติของร่างกายตั้งต้นจากแหล่งพลังที่สองแห่งนี้ นี่เป็นด้านหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่งแหล่งบ่มเพาะความชราและโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายก็ก่อตัวขึ้นที่แหล่งพลังแห่งที่สองนี้เช่นเดียวกัน

         แหล่งพลังที่สามเป็นแหล่งพลังที่เป็นต้นกำเนิดของชีวิตและเผ่าพันธุ์ เป็นแหล่งที่กลั่นธาตุความเป็นคนจากพ่อแม่ เพื่อสืบเผป่าพันธุ์ต่อไปไม่มีที่สุด เป็นแหล่งบ่มเพาะชีวิตใหม่ที่ปฏิสนธิขึ้นแล้ว เป็นแหล่งผลิตสารชนิดหนึ่งที่ทำให้คนเรามีความรู้สึกสัญชาตญาณในการสืบเผ้าพันธุ์ จัดว่าเป็นแหล่งพลังธาตุดิน และเป็นแหล่งผลิตปุ๋ยหรือฮอร์โมนที่หล่อเลี้ยงกล่อมเกลาอารมณ์ความรู้สึกทั้งปแวงส่งไปยังอวัยวะต่างๆของร่างกายอีกด้วย

         จะมีความรู้สึกทางเพศและน้อยมากประการใด วิปริตพิสดารปกติสามัญประการใด ก็ขึ้นอยู่กับแหล่งพลังเหล่านี้ ที่จะก่อตั้ง ขับเคลื่อนและส่งผทั้งสิ้น

         ท่าที่สองนี้มีสองกระบวนคือ

         กระบวนแรก เกร็งกำลัง สูเพลังปราณเข้าสู่ร่างกาย เคลื่อนมือออกจากท่าพนม แต่ยังคงประกบฝ่ามือทั้งสองไว้ติดกัน ยืดมือที่ประกบกันนั้นออกไปทางเบื้องหน้า โดยลำแขนทั้งสองขนานกับพื้นดินในลักษณะที่ออกพลังเต็มที่ พร้อมๆกับการขับพิษออกจากร่างกายโดยพลังปราณ  กำหนดให้ลมออกจากร่างกายหมดสิ้น พร้อมๆกับมือทั้งสองที่เหยียดตรง โดยปลายนิ้วทั้งสิบช้ไปยังเบื้องหน้า จากนั้นจึงเบนมือทางด้านซ้ายออกไปทางด้านข้าง ในขณะที่มือด้านขวาค่อยๆลูบไล่ตามฝ่ามือลงมาถึงลำแขนจนกระทั่งถึงหัวไหล่แล้วลากมายังทรวงอกกดดรีดผ่านลิ้นปี่ สะดือไปสุดที่ปลายท้องน้อย ในระหว่างนั้นเกร็งกำลังดูดพลังปราณเข้าสู่ร่างกายอย่างเต็มที่ พอลำแขนซ้ายชี้ตรงไปทางด้านข้างลำตัว ฝ่ามือด้านขวาก็จะเลื่อนลงไปถึงปลายท้องน้อย และลมปราณก็แน่นเต็มอยู่ในทรวงอกถึงท้องน้อยพอดี จากนั้นจึงเกร็งกำลังค่อยๆยกแขนขวาเหยียดตรงขึ้น ในขณะที่แขนด้านซ้ายค่อยๆเคลื่อนย้ายเข้ามาประกบกับแขนด้านขวา พร้อมๆกับการเกร็งลมปราณขับพิษออกจากร่างกาย เมื่อมือซ้ายขวาประกบกันเบื้องหน้าพอดีก็ต้องขับพิษทางปราณออกจากร่างกายให้หมดสิ้นพร้อมกันด้วย

         กระบวนที่สอง  เป็นอย่างเดียวกันกับกระบวนที่หนึ่ง เพียงแต่เคลื่อนมือขวาออกไปทางด้านขวา และดำเนินการเหมือนกับกระบวนท่าที่หนึ่งทุกประการ แล้วจบลงตรงที่แขนซ้ายขวาเหยียดตรงไปข้างหน้า ในขณะที่ฝ่ามือทั้งสองยังคงปแระกบเข้าหากดัน ในช่วงนั้นเป็นข่วงที่เดินลมปราณขับพิษออกหมดพอดี

         ณ ปลายท่าที่สองนี้ สติจะมีความมั่นคงยิ่งขึ้น แขนทั้งสองชี้ตรงอยู่เบื้องหน้า ฝ่ามือทั้งสองประกบติดกันและได้ขับลมปราณออกจากร่างกดายหมดสิ้นแล้ว จากนั้นจึงก้าวไปสู่ท่าคลาย คือค่อยๆยืดตัวขึ้นสู่ท่าตรง โดยหายใจเข้าตามสบายๆ และดดึงมือทั้งสองกลับมาอยู่ในท่าพนม ในขณะที่ร่างกายสู่สภาวะท่าตรง จะพร้อมๆกับหายใจเข้าเต็มปอด และพร้อมๆกับมือทั้งสองพนมอยู่หน้าทรวงอก โดยจิตรู้ตัวทั่วพร้อมถึงอาการทั้งปวงที่เป็นไป ไม่มีอารมณ์อื่นแทรกให้วอกแวกอีกเลย

         ในท่าที่สองนี้กายภายนอกเคลื่อนไหวในท่วงทำนองเนิบนาบหนักหน่วงสม่ำเสมอเหมือนกับท่าแรก โดยขับลมปราณเข้าออกปแระสานสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของกาย มีความสม่ำเสมอ ยาว ประณีต ละเอียดอ่อน ในท่วงทำนองเดียวกันกับร่างกาย ภายใต้ความรู้สึกนึกคิดที่เป็นองค์เดียวเท่านั้น

         การเยื้องย่างของร่างกายที่ประสานกับพลังลมปราณเข้าออกและจิตใจที่ตั้งมั่นของท่าที่สองนี้ จะมีผลต่อหลอดเลือดทั่วร่างกายให้สลัดหรือสลายตัวมลภาวะที่เป็นพิษหรือตะกอนที่เกาะติดหมักหมมอยู่ให้หลุดออกไป และปลุกกระตุ้นแหล่งพลังสำคัญของร่างกายสามแห่งคือทรวงอก สะดือ และท้องน้อยให้พร้อมที่จะรับการเป็นพิษหรือตะกอนที่เกาะติดหมักหมมอยู่ให้หลุดออกไป และปลุกกระตุ้นแหล่งพลังสำคัญของร่างกายสามแห่งคือทรวงอก สะดือและท้องน้อยให้พร้อมที่จะรับการออกกำลังต่อไป

         ท่อน้ำตามบ้านเมื่อนานวันเข้าสกปรกเกรอะกรัง ทำให้น้ำไหลไม่สะดวกเพราะมีขยะฝุ่นตะกอนหรือเขม่าจำนวนมากเกาะติดตันอยู่ ครั้นสิ่งปฏิกูลเหล่านี้หลุดออกไปแล้วหรือถูกกำจัดออกไปแล้ว น้ำจะไหลไปตามท่ออย่างสะดวกฉันใด เลือดในกายทั้งปวงเมื่อได้ถูกกำจัดเขม่าตะกอนมลพิษหรือไขมันต่างๆที่เกาะตามหลอดเลือดและท่อเลือดทั้งหลายออกไปแล้ว ก็จะไหกลเวียนได้อย่างเต็มที่ สามารถไปทั่วถึงทุกเส้นเลือด กระทั่งเส้นเลือดฝอยที่เล็กที่สุดทั้งในส่วนร่างกายและสมอง

         ท่าที่สองนี้จึงเป็นท่าที่ทำให้เกิดความกระชุ่มกระชวยหรือฟื้นความเป็นหนุ่มสาวขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่กำลังทั้งกาย อวัยวะภายใน และจิตใจก็ได้รับการออกกำลังไปพร้อมกันด้วย

         ท่าที่สองจะสบายเบากว่าท่าแรก ดังนั้นจึงสามารถสัมผัสถึงความรู้สึกที่เบาสบายและความโล่งปลอดโปร่งที่บังเกิดขึ้นทั้งแก่ร่างกายภายนอก ร่างกายภายใน และจิตใจอันเป็นปแระธานนั้นอย่างชัดเจน

         ออกกำลังในท่าที่สองนี้คราวละ ๓-๕ ครั้งเช่นเดียวกับท่าแรก

         เมื่อออกกำลังสิ้นกระบวนที่สองของท่าทึ่สองแล้ว ร่างกายก็จะกลับมาอยู่ในท่าเตรียมอีก ปล่อยกาย ปราณ และใจให้ผ่อนคลายตามสบาย แต่ควบคุมให้มีจังหวะท่วงทำนองที่สม่ำเสมอ ประณีตจนรู้สึกเบาหวิวอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงค่อยๆเตรียมพร้อมที่จะก้าวไปสู่ท่าที่สาม

         ท่าที่สามมีชื่อว่า “เสริมพลังสามโลก” ซึ่งต่อเนื่องจากการปลุกพลังสามโลกแล้ว จากนั้นก็จะเป็นการเสริมสร้างพลังสามโลก ทำให้ขุมกำลังทั้งสามออกกำลังและเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งก็คือการให้ขุมกำลังทั้งสามของร่างกายได้อออกกำลังนั่นเอง

         เมื่อผ่อนคลายในปลายท่าที่สองเต็มที่แล้ว ก็ก้าวเข้าสู่ท่าเตรียมพร้อมเหมือนกับต้นของท่าแรกและท่าที่สอง คือมีลักษณาการยืนถ่างขาย่อตัว มือพนมอยู่ที่ทรวงอก ในขณะที่ขับลมปราณออกจากร่างกายจนหมดสิ้น

         เหตุที่ต้องขับลมปราณออกจากร่างกายจนหมดสิ้นก่อนที่จะเรนิ่มต้นท่าที่สามเป็นความสามัญของชีวิต เพราะชีวิตทั้งหลายเริ่มต้นด้วยการหายใจเข้าก่อน นั่นคือก่อนที่จะหายใจเข้ามีความว่างเปล่าภายในปอด เมื่อชีวิตเริ่มขึ้นแล้วลมปราณจึงเข้าสู่ร่างกาย เหตุนี้ก่อนเริ่มต้นของทั้งสามท่าจึงต้องทำให้ปอดว่างเปล่า คือก้าวไปสู่จุดเริ่มต้นของชีวิตนั่นเอง

         จากนั้นจึงเริ่มท่าที่สามด้วยการค้อยๆ เอาฝ่ามือขวาทาบตรงทรวงอก เอาฝ่ามือซ้ายทาบบนหลังฝ่ามือขวา พร้อมๆกดับการเกร็งกำลังสูดลมปราณเข้าสู่ร่างกายอย่างเต็มที่ด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอประสานกัน และจิตกำหนดความรู้สึกไม่คลาดเคลื่อนห่างเหแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียสว ในขณะที่มือทั้งสองปแระกบอยู่ที่หน้าอกเสร็จ ลมปราณก็จะเข้าเต็มปอดพอดีจากนั้นจึงเกร็งกำลังเคลื่อนฝ่ามือทั้งสองโดยรอบทรวงอกในลักษณะวงกลมวนตามเข็มนาฬิกาอย่างช้าๆ หนักแน่น พร้อมๆกับการขับพิษออกทางปราณในท่วงทำนองและจังหวะที่ขนานพร้อมๆกัน

         ฝ่ามือทั้งสองกดวนรอบทรวงอกครบสามรอบก็จะเป็นจังหวะพอดีกับการขับปราณออกจนหมดสิ้น จากนั้นจึงค่อยๆเลื่อนฝ่ามือทั้งสองในท่าที่ประกบกดันอยู่เหมือนเดิมไปตั้งอยู่ที่บริเวณสะดือ พร้อมๆกับการดูดพลังปราณเข้าปอดอย่างเต็มที่ถึงที่สุด เคลื่อนฝ่ามือทั้งสองถึงเวณรอบสะดือเสร็จก็จะต้องดูดพลังปราณเข้าปอดเต็มที่พร้อมกัน จากนั้นค่อยๆขับพิษออกทางราณ ประสานกับการเคลื่อนฝ่ามือทั้งสองวนขวาโดยรอบสะดือทั้งรอบในและรอบนอก คือในรอบรัศมี ๓ องคุลีและรอบรัศมี ๑ คืบ วนครบ ๓ รอบให้เสร็จพร้อมกับการขับปราณออกจากปอดจนหมดสิ้น

         เสร็จแล้วงจึงค่อยๆเคลื่อนฝ่ามือทั้งสองลงไปสู่บริเวณท้องน้อย พร้อมๆกับการดูดพลังปราณเข้าสู่ร่างกาย เหมือนกับที่ทรวงอกและสะดือ แล้วปฏิบัติเช่นเดียวกับทั้งสองแหล่งพลังนั้น

         ได้แสดงเรื่องพลักเอกธาตุสมควรแก่การแล้ว ถือเสียว่าเป็นการรู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม หรือแม้จะลองปฏิบัติก็ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่ต้องตกเป็นทาสของการซื้อหาอุปกรณ์ เหมือนกับการออกกำลังกายแบบฝ่ายตะวันตก แต่ประโยชน์ที่จะได้ใหญ่หลวงยิ่งนัก

         ขอความมีสุขภาพอนามัยที่ดี ความมีอายุยืนนาน จงบังเกิดแก่ท่านทั้งปวงที่ได้ทดลองฝึกพลังเอกธาตุถ้วนหน้ากัน.




วันอังคารที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2566

ไพศาล พืชมงคล - พลังเอกธาตุ (ตอนที่ ๒)

 

พลังเอกธาตุ

ตอนที่ ๒

 

         ในท่าเตรียมพร้อมนั้นทวารทั้งสิบซึ่งหมายถึงทวารทั้งเก้าได้แก่ สองหู สองตา สองรูจมูก หนึ่งปาก และสองอวัยวะขับถ่าย บวกด้วยอีกหนึ่งทวารที่สมัยโบราณมองไม่เห็นคือรูขุมขนที่ขับถ่ายหยาดเหงื่อ มีความพร้อมอย่างเต็มที่ ในขณะที่เครื่องจักรใหญ่ทั้งเจ็ดเครื่องซึ่งเป็นอวัยวะภายในก็อยู่ในสภาพพร้อมอย่างเต็มที่

         ในขณะนี้ร่างกายภายนอกได้เริ่มต้นออกกำลัง โดยอาศัยน้ำหนักตัวเองเป็นฐานการออกกำลัง สัมพันธ์กับลมปราณที่โคจรไหลเวียน และสัมพันธ์กับจิตใจที่มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเกาะติดอยู่กับสัมผัสของลมหายใจที่กระทบร่างกายนั้น

         การเตรียมพร้อมของทวารทั้งสิบและเครื่องจักรทั้งเจ็ดต้องใช้กำลังอย่างมากและมีผลอย่างมาก ยกตัวอย่างสักทวารหนึ่งหรือสองทวารก็ได้ นั่นคือเวจทวารหรือทวารหนักและทวารเบา คนเรายามใกล้จะตาย โบราณว่าธาตุไฟจะแตก ระบบควบคุมทวารจะหยุดการทำงาน ทำให้ปัสสาวะ อุจจาระ รดราดโดยไม่รู้สึกตัว ใครมีอาการอย่างนี้ก็บอกได้เลยว่ากำลังจะตายแล้ว

         การทำให้ทวารทั้งสิบอยู่ในความพร้อมเป็นการออกกำลังอย่างหนึ่ง ทำให้ทวารทั้งสิบมีความแข็งแรง มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งก็คือการส่งผลโดยตรงให้ตายช้าและตายยากนั่นเอง

การฝึกพลังเอกธาตุมีสามท่าใหญ่ มีการเคลื่อนไหวทางกายไม่มากนัก มีการเคลื่อนไหวภายในที่เกี่ยวข้องกับลมปราณ หรือเนื่องกับลมปราณที่หนักหน่วง ในขณะที่จิตกำหนดอยู่ที่ลมหายใจ ดังนั้นในท่าที่เตรียมพร้อม พลังทั้งสามคือพลังกาย พลังปราณ และพลังจิตก็จะค่อยๆเริ่มก่อตัว

แม้ว่ารูปกายภายนอกจะมีอาการสงบนิ่งอยู่ในท่าเตรียมความพร้อม แต่เอกภาพของพลังทั้งสามก็ได้ขับเคลื่อนอยู่ภายในแล้ว โดยอาศัยลมปราณทำให้อวัยวะหรือเครื่องจักรภายในทั้งเจ็ดรวมทั้งทวารทั้งสิบได้เริ่มต้นออกกำลังแล้ว มีความร้อนเกิดขึ้นแล้ว พลังงานภายในเผาผลาญมากขึ้นแล้ว เหตุนี้จึงมีเหงื่อไหลซึมซับออกมาได้

ท่าแรกของการฝึกพลังเอกธาตุมีชื่อว่า “ดูดปราณขับพิษ” เป็นการดูดพลังปราณจากจักรวาลหรือธรรมชาติจากดินฟ้าและอากาศ เข้าสู่กายภายใน แล้วขับพิษร้ายที่มีอยู่ในร่างกายออกไป

ในการดูดปราณนั้นจะสูดอากาศเข้าทางจมูกอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ปลายลิ้นกดเพดานปากด้านบนไว้ ทำหน้าอกและหน้าท้องให้โป่งพอง โดยอาการที่สูดอากาศนั้นจะเหมือนกับกระบอกสูบที่กำลังสูบอากาศเข้าสู่ร่างกาย ในขณะที่ท่าทางร่างกายภายนอกก็จะออกท่าทางไปตามกระบวน ซึ่งมีอยู่สี่กระบวน

กระบวนที่หนึ่ง เริ่มจากการดูดปราณเข้าจนเต็มปอดแน่นไปถึงหน้าท้องในจังหวะที่สม่ำเสมอ ในขณะเริ่มสูดปราณนั้นค่อยๆคลายมือจากท่าที่กำลังพนม ยืดตรงลงเบื้องล่างอย่างช้าๆ มีจังหวะสม่ำเสมอขนานเท่ากับการดูดปราณ คือเมื่อสูดปราณเข้าเต็มปอด ฝ่ามือทั้งสองก็จะหงายเหยียดตรงลงเบื้องล่างพร้อมกับเป็นจังหวะเดียวกัน เมื่อมือทั้งสองเหยียดตรงลงเบื้องล่างแล้วค่อยพลิกฝ่ามือทั้งสองหงายไปทางด้านหน้า จากนั้นเป็นการขับพิษโดยค่อยๆยกมือตรงขึ้นไปทางด้านหน้าจนเสมอไหล่ ในขณะเดียวกันก็อ้าปากดขับพิษออกหมดพอดีกับการยกมือขึ้นเสมอไหล่ขนานกับพื้น

จากนั้นค่อยๆเกร็งกำพลังดึงมือทั้งสองกลับเข้ามา จนฝ่ามือทั้งสองชิดกดับไหล่ในลักษณะในลักษณะหงายมือไปทางด้านหน้า ในขณะที่เริ่มดึงมือกลับนั้น ก็จะสูดปราณเข้าสู่ร่างกายอีกครั้งหนึ่งในลักษณะที่สัมพันธ์กับการดึงมือกลับเหมือนกับการดึงกระบอกสูบเพื่อสูลลมเข้าสู่ร่างกายฉะนั้น เมื่อดึงกลับจนหลังมือติดกับหัวไหล่แล้ว ขณะนั้นก็จะเป็นจังหวะดียวกันกับการสูดปราณเข้าเต็มปอดแน่นขนัดพอดี

กระบวนที่สอง  ค่อยๆพลิกฝ่ามือแต่ละข้างไปทางด้านข้าง แล้วขับพิษออกจากร่างกาย พร้อมๆกันกับการเกร็งกำลังดันฝ่ามือทั้งสองข้างออกไปทางด้านข้างด้วยพลังจากด้านในอย่างเต็มที่ โดยฝ่ามือทั้งสองหงายและตั้งตรง เมื่อดันฝ่ามือไปจนสุดแขนจะเป็นเวลาเดียวกับการขับพิษทางปราณออกจากร่างกายหมดสิ้น

จากนั้นค่อยๆเกร็งกำลังดึงมือทั้งสองกลับเข้ามา จนกระทั่งชิดกับหัวไหล่ พร้อมๆกับการสูดปราณเข้าร่างกายจนเต็มปอด เหมือนกับการดึงลูกสูบสูบอากาศเข้าร่างกายจนเต็มที่ให้อากาศเข้าเต็มปอด พร้อมๆกับหลังมือชิดกับหัวไหล่ จากนั้นค่อยๆหงายมือขึ้นข้างบน

กระบวนที่สาม  เดินกำลังภายในคล้ายกับเกร็ง ดันฝ่ามือทั้งสองขึ้นไปบนฟ้า ในขณะที่ขับพิษออกทางปราณด้วยการหายใจออกอย่างช้าๆ หนักหน่วงไปพร้อมกัน เมื่อแขนทั้งสองดันเหยียดตรงขึ้นไปบนฟห้าแล้ว มือทั้งสองก็จะหงายยันฟ้า ในขณะที่ได้ขับพิษออกจากกายโดยทางปราณหมดสิ้นพร้อมกัน จากนั้นจึงเกร็งกำลังดึงแขนทั้งสองลงมาจนชิดหัวไหล่ในท่าเดิม พร้อมๆกับการเดินกำลังสูดปราณเข้าสู่ร่างกายอย่างเต็มที่ เมื่อแขนทั้งสองดึงลงมาชิดลำตัว ฝ่ามือทั้งสองหงายชิดกับหัวไหล่ ลมหายใจก็จะเข้าสู่ปอดอย่างเต็มที่จนรู้สึกไปถึงท้องน้อยพร้อมกัน

กระบวนที่สี่  ค่อยๆพลิกฝ่ามือทั้งสองมาทางด้านหน้า คว่ำฝ่ามือให้ขนานกับพื้นดิน เกร็งกำลังภายในแล้วค่อยๆ ผลักลงไปด้านล่างโดยให้ฝ่ามือขนานกับพื้นดินตลอด พร้อมกับขับพิษออกจากร่างกายทางปราณจนไม่มีเหลือ ในขณะที่รู้สึกว่าหายใจออกหมดสิ้นแล้ว แขนทั้งสองก็จะยืดตรงลงสู฿พื้น ในขณะที่ฝ่ามือยังคงคว่ำขนานอยู่กับพื้นดินพร้อมๆกัน จากนั้นค่อยๆ พลิกฝ่ามือให้งายขึ้นแล้วเกร็งกำลังสูดปราณเข้าร่างกาย พร้อมๆกับการยกแขนและมือขึ้น เมื่อฝ่ามือทั้งสองหงาย ยกมือขึ้นถึงทรวงอกบริเวณราวนมในลักษณะที่ฝ่ามือขนานกับพื้นดินก็สูดปราณเต็มปอดพอดี จากนั้นค่อยๆ/ประกบมือมาอยู่ในท่าพนม

ในปลายท่าที่หนึ่ง ร่างกายโดยรวมจะอยู่ในสภาพยืนย่อตัวเหมือนกับตอนเริ่มต้น ฝ่ามือทั้งสองอยู่ในท่าพนมแนบอยู่ที่ทรวงอก ในขณะที่ลมปราณเต็มแน่นทั้งปอดไปจนถึงท้องน้อยจากนั้นจึงค่อยๆคลายให้ลมปราณออกทางปากพร้อมๆกับยืดตัวขึ้น แล้วชิดขาเข้ามาในท่าเดิม

 ร่างกายนภายนอกออกกำลังเคลื่อนไหว อวัยวะเลฃือดลมภายในขับเคลื่อนอย่างหนักหน่วง ในขณะที่จิตตั้งอยู่ในอารมณ์เดียว ก่อตัวเป็นพลังเอกธาตุที่มีอานุภาพขึ้นอย่างช้าๆ และมั่นคง แต่สำหรับผู้ที่กำลังไม่พอหรือเริ่มฝึกหัดใหม่ๆก็อาจจะหน้ามืดได้ แต่อย่าเพิ่งตกใจ ค่อยๆผ่อนปรน เริ่มจากน้อยไปมาก อย่าหักโหมจนเกดินกำลัง จักไม่เป็นผลดี ความมีประมาณต่างหากที่จะก่อเกิดผลดีแท้

         พยายามฝึกจนแคล่วคล่องสม่ำเสมอเรื่อยไหลดุจกระแสน้ำไม่ขาดทั้งสี่กระบวน เมื่อเป็นปกติดีแล้วออกกำลังในท่าที่หนึ่งคราวละ ๕-๗ ครั้งก็พอ หรือจะถือเอาการไหลซึมของเหงื่อก็ได้ แต่อย่าให้มากเกินไปนัก เพราะยังมีท่าที่สองและท่าที่สามอยู่อีก

         ท่าแรกของการฝึกพลังเอกธาตุจะช่วยขจัดมลภาวะหรือพิษร้ายทั้งหลานยในร่างกายออกไปให้หมดสิ้น แล้วซึมซับดูดเอาพลังปราณจากธรรมชาติทุกๆทางเข้าสู่ร่างกายเพื่อความสดชื่นแจ่มใส เพื่อความมีอนามัยที่ดียิ่ง เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของเลือด และอวัยวะภายในที่สำคัญคือปอดและหลอดลม ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อระบบเลือดลมต่างๆ

         ชีวิตประจำวันของคนเราซึมซับเอาสิ่งมีพิษ ของพิษ อากาศเป็นพิษ สารพิษเข้าสู่ร่างกาย ทั้งโดยรู้ตัวและโดยไม่รู้ตัว หกากหมักหมมอยู่ในร่างกายนานวันเข้าก็จะเป็นบ่อเกิดแห่งโรค ท่าที่หนึ่งแห่งการฝึกพลังเอกธาตุก็คือการทำร่างกายภายในให้สะอาด กำจัดและขับออกซึ่งสิ่งพิษทั้งมวล ทำให้เลือดลมในกายสะอาดบริสุทธิ์ส่งผลให้เกิดความสดชื่นที่สัมผัสได้ในขณะนั้นเลย

         ร่างกายภายนอก อวัยวะภายในและจิตใจที่ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวเป็นเอกภาพ เป็นหนึ่งเดียวกับลักษณะเช่นนี้ จึงมีผลทั้งเป็นการออกกำลังกายภายนอก เป็นการออกกำลังกายภายในและออกกำลังใจพร้อมๆกัน

         ทวารทั้งสิบที่มีความพร้อมสูงสุดจะค่อยๆได้รับการฝึกฝนในการออกกำลังให้มีพลังและแข็งแรง และมีระบบการควบคุมที่แข็งแรงไม่สลายตัวได้ง่าย ไม่สูญเสียการควบคุมโดยง่าย นั่นก็คือไม่ตายง่ายๆ หรือความมีอายุยืนนั่นเอง

         ปมเงื่อนของการฝึกพลังเอกธาตุท่าแรก ก็คือจังหวะที่นุ่มนวลสม่ำเสมอ ไม่กระโชกโฮกฮาก ไม่กระชากฮึดฮัดตั้งแต่เริ่มต้นจนที่สุดการเคลื่อนไหวของร่างกายสัมพันธ์เป็นเอกภาพกับลมหายใจเข้าออก โดยจิตรับรู้ความเคลื่อนไหวไม่คลาดคลาย จนเกิดความเป็นเอกภาพแน่วแน่ทั้งกาย ปราณ และจิต

         ความสำเร็จสูงสุดของการฝึกท่าแรกอยู่ที่ความสม่ำเสมอนุ่มนวลต่อเนื่อง และไม่ขาดสายของความสัมพันธ์ของการเคลื่อนไหวร่างกาย การหายใจและจิตใจมีความสมดุลระหว่างความเต็มกับความว่างในการดูดปราณขับพิษอย่างเต็มที่

         ความเต็มนั่นหมายถึงการสูดปราณเข้าเต็มปอดเต็มที่ รู้สึกได้ถึงท้องน้อยหรือสะดือเสมือนหนึ่งรู้สึกว่าในทรววงอก ในท้อง และในกาย อัดแน่นไปด้วยปราณแห่งธรรมชาติอันบริสุทธิ์

         ส่วนความว่างนั้นหมายถึงภาวะที่ขับพิษออกทางปราณหมดสิ้น หมดจดและเต็มที่ รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าภายในปอด ในทรวงอก และในกาย ไม่มีลมหรือปราณหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย หรือรู้สึกได้ว่าร่างกายนั้นมีความว่างเปล่าเบาบาง โดยไม่มีลมหายใจหลงเหลืออยู่อีกเลย

         เอกภาพของทั้งสามสิ่งจะอยู่ภายใต้การรับรู้ความคุมของจิตที่ตั้งมั่น รับรู้อยู่ตลอดเวลาที่ลมหายใจเคลื่อนเข้าออก รู้อยู่ตลอดเวลาถึงร่างกายที่เยื้องย้ายไปตามกระบวนท่า ภาวะจิตเช่นนี้มีความตั้งมั่น มีความบริสุทธิ์และมีพลังควรแก่การทำหน้าที่ของจิตเพิ่มขึ้นเป็นลบำดับของการฝึก

         แต่ธรรมดาของจิตใจคนเราย่อมมีความรู้สึกนึกคิดเรื่องอื่นเข้ามาปะปนหรือแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ มีอารมณ์ความรู้สึกดทุกข์สุข อยากได้ใคร่ดี มีความโกรธ ความเกลียด ความรัก ความหลง ความโลภเจือเคล้าอยู่สม่ำเสมอ แต่เมื่อเริ่มต้นการฝึกก็ต้องในการละวางอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดนี้ให้ค่อยๆจางหายออกไปจากจิตใจ เหลืออยู่ก็แต่ความรู้สึกที่รับรู้การหายใจและการเคลื่อนไหวของร่างกายที่เป็นเอกภาพ

         จนกระทั่งเมื่อใดที่จิตอยู่ในความว่าง ในขณะที่ปราณเคลื่อนไหกวเข้าออก ร่างกายเยื้องย่างไปตามกระบวนท่าโดยไม่ติดขัดสม่ำเสมอ หนักหน่วง ประณีตแล้วค่อยแปรไปถึงขั้นเบาหวิวปลิวได้ดุจปุยนุ่นนั่นแล้ว จึงนับถึงการบรรลุจุดสูงสุดของการฝึกพลังเอกธาตุท่าที่หนึ่ง.



วันจันทร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2566

ไพศาล พืชมงคล -พลังเอกธาตุ (ตอนที่ ๑)

 

พลังเอกธาตุ

ตอนที่ ๑

 

ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เกี่ยวกับเรื่องการออกกำลังกายที่เพิ่งออกมาใหม่ก็ซ้ำกับของเก่าที่เคยระบุไว้ว่าการออกกำลังกายจะเป็นผลดีต่อการป้องกันไม่ให้เป็นโรคหัวใจ และเป็นผลดีต่อสุขภาพอนามัย ดังนั้นจึงไม่มีอะไรใหม่จากผลวิจัยเก่าๆ ที่เคยออกมาแล้วยกเว้นข้อที่ว่าการออกกำลังกายนั้นจะมีผลดีต่อหลอดเลือดและการทำงานของสมองด้วย

ผลดีที่ว่านั้นเป็นผลที่พึงเกิดขึ้นตามธรรมดาของการออกกำลังกาย แต่เป็นผลที่พูดถึงกันแต่ด้านเดียว ในขณะที่อีกด้านหนึ่งกลับไม่ได้พูด เพราะปรากฏเสมอมาว่าคนออกกำลังกายจำนวนหนึ่งบาดเจ็บหรือถึงแก่ความตายเร็วกว่าปกติ

การออกกำลังกายมากเกินไปที่กำลังตัวเองจะรับได้ก็ดี การออกกำลังกายโดยไม่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตนเองก็ดี ย่อมมีผลร้ายและอาจทำให้ถึงแก่ความตายได้

การออกกำลังกายที่พร่หลายอยู่ในทุกวันนี้เป็นแบบตะวันตก โดยมีวาระซ่อนเร้นอยู่ที่การโฆษณาขายสินค้าเกี่ยวกับการออกกำลังกายเดี่ยวกับออกกำลังกาย ตั้งแต่เครื่องแต่งกายไปจนถึงอุปกรณ์ในการออกกำลังกาย และการปฏิบัติบางอย่างหลังจากการออกกำลังกาย ซึ่งล้วนเป็นสินค้าราคาแพง และต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก

การออกกำลังกายแบบนี้มักจะถือเกณฑ์จากการไหลของเหงื่แอคือทำให้เหงื่อออกประมาณ ๒๐ นาที ก็จะถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีหนักๆเข้าก็ไม่ต้องออกกกำลังกาย แต่ไปใช้วิธีอย่างอื่น เช่น การอบเพื่อให้เหงื่อออกตามที่กำหนด ซึ่งต้องใช้อุปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องมือที่นำเข้ามาจากต่างประเทศในราคาสุดแสนจะแพง

การออกกำลังกายแบบตะวันตกนิยมอย่างมากก็แค่ทำให้เหงื่อออกแล้วรู้สึกสบายกาย สบายตัว อาบน้ำแล้วก็สดชื่น และสำคัญผิดคิดว่านั่นคือ การออกกำลังกายที่ได้ผล

ถ้าจะถามว่ากระดูก ผิวหนัง ผม ขน ได้ออกกำลังกายบ้างหรือไม่ ก็คงตอบได้ว่าไม่มีการออกกำลัง แต่ที่เหงื่อออกก็เพราะว่ามีการใช้พลังงานในร่างกายมาก มีการเผาผลาญพลังงานมาก จึงบังเกิดความร้อนและทำให้เหงื่อออก เมื่อเหงื่อออกมาก ร่างกายก็ต้องการน้ำ ครั้นดื่มน้ำก็สดชื่น นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากการออกกำลังกายตามแบบแผนปัจจุบัน

แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงต้องยอมรับว่า การออกกำลังกายไม่ว่าด้วยวิธีการไหนๆ ย่อมมีประโยชน์แก่ร่างกายและชีวิตมากกว่าการไม่ออกกำลังกาย คงเหลือแต่ว่าทำอย่างไรจึงจะเปิดโอกาสให้คนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนยากจนและเป็นคนชั้นกลางสามารถได้รับประโยชน์จากการออกกำลังกายโดยไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย ไม่ต้องเสียเวลามาก และไม่ต้องตกเป็นทาสของการโฆษณาสินค้าและอุปกรณ์การกีฬาของตะวันตก

ความจริงการออกกำลังกายที่เป็นผลดีต่อสุขภาพอนามัยและชีวิตโดยไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย ไม่ต้องยุ่งยาก ก็มีอยู่หลากหลายวิธี

ชาวนาทำนา ชาวสวนทำสวน ชาวบ้านทำมาค้าขาย เป็นทั้งการออกกำลังกายและเป็นทั้งการประกอบอาชีพ เป็นสิ่งที่มีและกระทำกันอยู่ดาษดื่น แต่ไม่โด่งไม่ดังเพราะไม่ได้ออกโทรทัศน์โฆษณา ไม่มีการรณรงค์ทางสื่อมวลชน เพราะไม่มีผลต่อการขายอุปกรณ์สินค้าในการออกกกำลังกายนั้น แต่เป็นการออกกำลังกายที่ได้ผลจริง และเห็นผลมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จนกระทั่งปัจจุบันนี้

การออกบิณฑบาตของพระสงฆ์ รวมทั้งการเดินจงกรม แม้กระทั่งสิ่งที่กล่าวถึงในหนังสือประเภทบู๊เฮี๊ยบ เกี่ยวกับการฝึกลมปราณและกำลังภายในก็เป็นการออกกำลังกายชนิดหนึ่งซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพอนามัยและชีวิตเช่นเดียวกัน

การออกกำลังกายโดยการฝึกฝนชนิดหนึ่งที่เรียกว่าพลังเอกธาตุก็เป็นการออกกำลังกายที่ได้ผลมาก ทั้งต่อสุขภาพร่างกายและชีวิต โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย ไม่ต้องมีเครื่องแต่งกายให้ยุ่งยากลำบาก และไม่เสียเวลามาก ที่ไหนมีพื้นและอากาศหายใจก็สามารถใช้ในการฝึกพลังเอกธาตุได้ทั้งสิ้น

การฝึกพลังเอกธาตุเป็นการออกกำลังกายที่สอดคล้องกับความลี้ลับอันมีอยู่ตามธรรมชาติ เป็นแต่ว่าคทั่วไปไม่ค่อยจะสนใจหรือมองข้ามไปเท่านั้น เหตุนี้จึงจำต้องทำความรู้จักและความเข้าใจพื้นฐานเพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากการฝึกพลังเอกธาตุต่อไป

ร่างกายของคนเรานั้นมีเครื่องจักรใหญ่อยู่ ๕ ตัว คือ ปอด หัวใจ ตับ ไต และม้าม และมีเครื่องวจักรสำคัญเกี่ยวเนื่องกับเครื่องจักรใหญ่นี้อีก ๒ ชนิด คือ ระบบท่อต่างๆโดยเฉพาะท่อของเลือดในร่างกายและสมอง เครื่องจักรใหญ่ ๕ เครื่อง และเครื่องจักรสำคัญอีก ๒ เครื่องนี่แหละที่ทำให้ชีวิตดำเนินไป ทำให้ชีวิตนี้มีความเป็นปกติ ทำให้ชีวิตนี้แข็งแรงสมบูรณ์และมีอายุยืนยาว

ทางการแพทย์แผนตะวันออกจะเน้นการให้ความสำคัญแก่เครื่องจักรใหญ่ ๕ เครื่องและเครื่องจักรสำคัญ ๒ เครื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง และถือว่าโรคภัยทั้งหลายที่บังเกิดแก่กายนี้ ก็เกิดที่เครื่องจักรเหล่านี้เอง

การออกกำลังกายตามแบบแผนตะวันตกด ไม่ได้มีผลทำให้เครื่องจักรเหล่านี้แข็งแรง หรือมีสภาพดีขึ้นแต่ประการใด อย่างมากก็ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นเร็วขึ้น ทำให้หลอดเลือดขยายตัวมากขึ้น แต่ถ้าสภาพนี้ไม่เหมาะสมกับร่างกาย ก็อาจส่งผลร้ายให้ถึงแกด่ความตายได้

การฝึกกำลังภายในหรือการฝึกลมปราณแบบตะวันออกเป็นการออกกำลังกายที่มีผลต่อเครื่องจักรเหล่านี้ โดยผนวกกับการหายใจ หรือที่เรียกว่าการฝึกลมปราณเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการออกกำลัง ทำให้เครื่องจักรเหล่านั้นเมื่อผสมกับลมปราณแล้วก็จะขับเคลื่อนอย่างมีพลังมากยิ่งขึ้น ทำให้มีการออกกำพลังภายในร่างกายโดยที่ภายนอกอาจจะไม่ต้องเคลื่อนไหวมากมายนัก

พระสงฆ์ในพระธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าบิณฑบาตหรือเดินจงกรม มีอาการสามอย่างประกอบกันอย่างเป็นเอกภถาพ คือการเคลื่อนไหวของร่างกาย การขับเคลื่อนลมปราณ และการทำจิตให้ตั้งมั่น คือร่างกายภายนอกออกกำลัง เครื่องจักรภายในทั้ง ๗ ตัวทำงานอย่างประสานกลมกลืน โดยมีจิตใจที่มีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว เปแนกดารออกกำลังกายทั้งภายนอก ภายใน และจิตใจประสมประสานกัน

เช่นเดียวกับพระสงฆ์ในนิกายมหายานหรือวชิรยานที่กระทำพิธีบางอย่างซึ่งมีลักษณะเป็นการออกกายภายนอก ออกกำลังกายภายใน และทำใจให้ตั้งมั่น เช่น การเคาะไม้ในเวลาสวดมนต์ หรือการยืน นั่งก้ม คลาน ในการกราบ เป็นต้น

เหล่านี้ล้วนเป็นเบาะแสที่แสดงให้เห็นถึงสิ่งลี้ลับของการฝึกพลังเอกธาตุหรือการออกกำลังกายที่แอบแฝงอยู่ในวัตรปฏิบัติหรือพิธีกรรมในพระพุทธศาสนา และมีผลทำให้สุขภาพอนามัยดี ทั้งมีชีวิตที่ยืนยาวอีกด้วย แม้ว่าพระสงฆ์เหล่านั้นไม่ได้เล่นกีฬา ไม่ได้ออกกำลังกายแบบตะวันตก รวมทั้งฉันอาหารน้อยยิ่งกว่าน้อย

เพราะเหตุที่การออกกำลังกายที่แท้จริงนั้น ไม่ได้ออกกำลังที่กระดูก ผิวหนัง เนื้อ หรือสิ่งภายนอก แต่เป็นการออกกำลังที่กระดูก ผิวหนัง เนื้อ หรือสิ่งถภายนอก แต่เป็นการออกกำลังที่ตัวเครื่องจักรสำคัญในร่างกาย คือ ปอด หัวใจ ตับ ไต ม้าม ท่อหรือหลอดลเอด และสมอง ผนึกลมปราณและจิตใจ ดังนั้นจึงต้องทำความเข้าใจถึงกระบวนการออกกำลังของแต่ละอย่างและการผนึกแต่ละอย่างเข้าด้วยกัน

เริ่มด้วยกาย การออกกำลังกายที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การวิ่งหรือเดินเร็วๆ แต่อยู่ที่การผนึกกำลัง ดังนั้นวิธีการก็คือการยืนแบบย่อตัว โดยเริ่มต้นจากการยืนตัวตรง เท้าชิด มือพนมไว้ที่ทรวงอก หน้าตรง สายตาทอดไปเบื้องหน้าตามสบาย

เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้วจึงค่อยก้าวขาออกไปทางด้านข้างหรือยืนถ่างขานั่นเอง ค่อยๆย่อตัวลงมาประมาณ ๑ คืบ ในขณะที่มือและหน้ายังอยู่ในท่าเดิม

ท่านี้เรียกว่าท่าเตรียมตัวของการออกกำลังกายโดยการฝึกปรือพลังเอกธาตุ ทดลองดูก็จะเห็นประจักษ์แก่ตนเองว่า การยืนย่อตัวในลักษณะนี้แม้เพียง ๕ นาทีก็จะรู้สึกว่าเหมือนกับการวิ่งรอบสนามฟุตบอลอย่างไรก็อย่างนั้น โดยที่ไม่ต้องเปลืองความสึกหรอของข้อเท้าหรือหัวเข่าแต่ประการใดเลย

ถัดมาก็คือปราณหรือลมหายใจ ลมเมื่ออยู่ภายนอกเรียกว่าอากาศ หากเคลื่อนไหวรุนแรงเรียกว่าพายุ แต่เมื่อไหลบเวียนเข้าสู่ร่างกายเรียกว่าปราณหรือลมปราณ เพราะเป็นลมที่ทำให้ชีวิตนี้ดำรงอยู่และดำเนินไป ตราบใดที่ยังมีปราณหรือลมหายใจอยู่ ตราบนั้นพึงรู้เถิดว่ายังมีชีวิตอยู่และไม่ตาย ถ้าเมื่อใดไม่มีปราณเมื่อนั้นก็ต้องตาย

ลมปราณคือสายพานทอดเชื่อมระหว่างชีวิตกับความตาย มีความสำคัญต่อชีวิตถึงปานนี้ สำมะหาอะไรกับแค่ออกกำลังให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์และมีอายุยืนยาว

แต่เคล็ดลับของการฝึกลมปราณให้เป็นผลดีแก่สุขภาพและชีวิตก็ย่อมมีอยู่

ข้อแรก ในขณะหายใจเข้าออกหรือเวลาลมปราณเข้าออกร่างกาย จะต้องฝึกส่วนอกหรือหน้าท้องให้มีความสัมพันธ์กัน เวลาสูดลมปราณเข้าร่างกาย ส่วนอกและส่วนท้องต้องป่องออกเวลาขับลมปราณออกจากร่างกาย ส่วนอกและส่วนท้องต้องแฟบและต้องมีความสัมพันธ์กันอย่างปราณีต

ข้อสอง ลมปราณเข้าจะต้องให้เข้าทางจมูก ซึ่งข้อนี้สอดคล้องกับหลักทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ในการป้องกันเชื้อโรคต่างๆไ ไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย แต่เวลาออกต้องให้ออกทางปาก จมูกกับปากต้องสัมพันธ์ เวลาลมปราณเข้าจะต้องเอาปลายลิ้นกดเพดานด้านบนไว้ เวลาลมปราณออกจะต้องเปิดปากปล่อยลิ้นลงมา แล้วขับปราณออกให้สม่ำเสมอ ลมปราณต้องให้เข้าลึกดรู้สึกไปถึงสะดือ ส่วนท้องต้องปแองถึงสะดือ เวลาลมปราณออกต้องให้หมดจนอกและท้อแฟบแทบจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่ในทรวงอกและหน้าท้องอีกเลย

ในส่วนของจิต จะต้องฝึกฝนทางจิตไปพร้อมกัน ละวางอารมณ์ ความรู้สึกทั้งหลายที่เกาะกุมจิตอยู่ ทำให้จิตมีอารมณ์ความรู้สึกอย่างเดียวคือให้รู้สึกตัวอยู่เสมอว่า ลมหายใจเข้าหรือออกโดยตั้งความรู้สึกไว้ที่ปลายจมูกหรือหน้าอก หรือหน้าท้องก็ได้ตามแต่ถนัด

ในขณะที่อยู่ในท่าเตรียม ลมหายใจหรือลมปราณเข้าออกอย่างลึกและสัมพันธ์กับทรวงอกและหน้าท้อง ทั้งสัมพันธ์กับจิตใจที่เกาะมั่นอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกเข้าออกของลมปราณขณะผ่านเข้าออกปลายจมูก ทรวงอกหรือหน้าท้องก็จะทำให้กาย ปราณ และจิตเริ่มปผนึกกดันเป็นเอกภาพ ในขณะที่ร่างกายภายนอก เครื่องจักรภายใน และจิตใจได้เริ่มต้นการออกกำลังแล้ว

การฝึกพลังเอกธาตุมีทั้งสิ้น ๓ กระบวนท่า ในลักษณะที่กาย ปราณ และจิตสัมพันธ์กันเป็นเอกภาพ จะได้พรรณนาเป็นลำดับในตอนต่อไป.




วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2566

ไพศาล พืชมงคล - เคล็ดวิชาเคลื่อนขยายเส้นเอ็น (ตอนจบ)

 

เคล็ดวิชาเคลื่อนขยายเส้นเอ็น (ตอนจบ)

 

         กระบวนท่า “เสือบี้เห็บ”เป็นกระบวนท่าที่สองต่อจากกระบวนท่า “อินทรีขยุ้มเหยื่อ” ดังนั้นเมื่อได้ฝึกหรือปฏิบัติกระบวนท่าแรกครบเวลาที่จะฝึกแล้ว ก็เริ่มฝึกหรือปฏิบัติในกระบวนท่าที่สองต่อไปได้เลย

         ในกระบวนท่าทีสองนี้ ปมสำคัญอยู่ที่การเกร็งพลังที่หนักหน่วงเข้มข้นขึ้นกว่ากระบวนท่าแรก

         ในทำนองเดียวกันกับเสือที่ใช้อุ้งเล็บบดขยี้หมัด เหา หรือเห็บที่ซุกซ่อนอาศัยอยู่ในซอกเท้าซึ่งต้องใช้กำลังมาก ต้องเกร็งมาก เพื่อบดขยี้ ตัวหมัด เหา หรือเห็บตัวเล็กๆซึ่งเกาะดูดเลือดอยู่ในซอกเท้านั้น

         หากกำลังและความหนักหน่วงไม่มากพอ ก็จะไม่สามารถบี้หรือบดขยี้หมัด เหา หรือเห็บให้ตายได้ เพราะเหกตุนี้กระบวนท่านี้ จึงต้องใช้การเกร็งกำลังหรือการเคลื่อนกำลังมากขึ้นหรือเพิ่มขึ้นกว่ากระบวนท่าแรกอย่างน้อยก็หกนึ่งเท่าตัว

         อย่างไรแค่ไหนจึงจะเรียกว่าเพิ่มกำลังขึ้นกว่าหนึ่งเท่าตัว ก็ให้สังเกตประมาณเอาด้วยตนเองก็จะรู้ได้ไม่ยากไม่ลำบากเลย

         และเมื่อใช้การเกร็งหรือเดินพลังมากขึ้นเช่นนี้ ก็จะมีเสียงดังปรากฏมากขึ้นกว่ากระบวนท่าแปรกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่พึงตกใจหรือประหลาดใจเช่นเดียวกัน แต่ต้องตั้งข้อสังเกดตเกี่ยวกับเสียงที่ดังนั้นในประการที่ได้พรรณนามาแล้วในกระบวนท่าแรก

         ด้วยความเข้าใจว่าเมื่อใช้พลังหรือเกร็งพลังมากขึ้น ซุ่มเสียงที่ไม่เคยปรากฏก็อาจปรากฏขึ้น ที่เคยปรากฏและเบาบางลงไปแล้วก็จะกลับขึ้นมาใหม่อีก นั่นเป็นเพราะพลังที่เพิ่มขึ้น ค่อยๆฝึก ค่อยๆปฏิบัติ ค่อยๆทำไปโดยลำดับๆ เมื่อกายนี้มีความเป็นปกติตามที่พึงเป็นแล้ว เสียงทั้งหลายก็จะเป็นอันบรรเทาเบาบางหรือหมดไป

         และนั่นย่อมหมายความการตีบตันหรือความเกรอะกรังทั้งหลายได้ถูกขจัดอย่างแรงให้บรรเทาเบาบางและหายไปด้วยเช่นเดียวกัน

         เมื่อเข้าใจปมเงื่อนและกำหนดการเคลื่อนพลังหรือเพิ่มกำลังมากขึ้นเช่นนี้แล้ว ก็มาทำความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระลวนท่าที่สองนี้

         เปแนกระบวนท่าที่มีกิริยาอาการต่อเนื่องจากกระบวนท่าแรก คือยกมือตั้งฉากโดยข้อศอกดติดพื้นชิดกับลำตัวเช่นเดียวกับกระบวนท่าแรก กางนิ้วทั้งห้าออก แล้วงอนิ้วทั้งห้าไว้ที่ระดับข้อนิ้ว ยกเว้นนิ้วหัวแม่มือ ปลายนิ้วหัวแม่มือจะมีลักษณะที่ตั้งฉากกับนิ้วชี้เสมอ โดยนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อยนั้นจะงอในลักษณะตะขอหรือเปิด

         เมื่องอข้อนิ้วเช่นนี้อาจจะมีความรู้สึกปวดหรือเจ็บ หรือตึง หรือติดขัดบ้าง แต่จะน้อยกว่าหรือเท่าๆกับท่าขยุ้มเหยื่อในกระบวนท่าแรก แต่ที่ยังเจ็บ หรือปวด หรือตึงอยู่ก็เพราะเมื่อมีการเดินพลังหรือเพิ่มกำลังมากขึ้น ลักษณะการเกร็งก็จะเพิ่มขึ้น ความเจ็บปวดหรือขัดก็จะมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา

         ถือเสียว่าเป็นการดัดตัวดัดตนอย่างหนึ่งก็ได้ และเมื่อดัดตนในลักษณะนี้บ่อยครั้งเข้าที่ติด ที่ขัด ที่เจ็บ ที่ปแวดก็จะค่อยๆสร่างคลายหายไป แล้วจะงอได้อย่างง่ายดายและสบายๆ

         เมื่อใดที่นิ้วงอได้ตามรูปแบบกระบวนท่านี้ ก็พึงรู้เถิดว่า นิ้วซึ่งเป็นส่วนปลายอวัยวะของมือ ซึ่งประสาทส่วนปลายนิ้วก็เป็นส่วนปลายประสาทด้วย ได้มีความกระชุ่มกระชวย แข็งแรง และมีความเป็นปกติ มีความอ่อน มีความเหนียวหยุ่นคล่องตัว เช่นเดียวกับมือไม้ของเด็กๆ หรือผู้ที่ได้รับการฝึกบัลเล่ต์

         แค่นี้ก็เห็นได้แล้วว่าความหนุ่มสาวได้ บังเกิดขึ้นหรือกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง นี่ก็เป็นอานิสงส์หรือเป็นผลอย่างกระจุ๋มกระจิ๋มของการฝึกหรือการปฏิบัติตนเช่นนี้

         ก็แลเมื่อปลายนิ้วหรือปลายประสาส่วนมือซึ่งเมื่อถึงวัยหนึ่ง เวลาหนึ่งย่อมเชื่องช้าติดขัดเพราะความชรา หรือเพราะวัย หรือเพราะโรคภัยใดๆได้ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติอย่างหนุ่มสาวอีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นเรื่องพึงอัศจรรย์อะไรเช่นนั้น

         เมื่องอนิ้วดังกล่าวแล้ว ก็เกร็งพลัง เดินพลัง และเพิ่มพลังให้มากขึ้น จากนั้นก็ขยับหกัวแม่มือไปทางด้านนิ้วก้อย แล้วโน้มนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อยลงมายังฝ่ามือด้านล่าง ไล่เรียงกันไปโดยลำดับ ให้โคนนิ้วทุกนิ้วเบียดชิดแน่นในลักษณะบดบี้เข้าหากันให้มากที่สุด

         การเคลื่อนนิ้วไล่เรียงเป็นลำดับดังนี้ก็เพื่อฝึกสมองส่วนบัญชาการให้บัญชาการเส้นประสาทและหลอดเลือดที่บังคับนิ้วแต่ละนิ้วให้เคลื่อนไหวเป็นรายนิ้วไป ทำให้เกิดการจำแนกแยกแยะและแม่นยำในการบังคับบัญชาประสาทเส้นเลือดแต่ละนิ้วได้ดังใจ

         เพราะเมื่อคนเรามีอายุถึงวัยหนึ่ง ระบบบังคับบัญชาของสมองและการสั่งการปแระสาทตลอดจนหลอดเลือดต่างๆ จะมีความสับสนเกิดขึ้น เช่น แทนที่จะกระดิกนิ้วเดียว นิ้วก็กระดิกถึงสองนิ้ว หรือสามนิ้วเป็นต้น นี่คือความสับสนของระบบบัญชาการของสมอง ประสาทหลอดเลือด และอวัยวะที่สัมพันธ์กันอยู่

         การฝึกหรือปฏิบัติตอนเริ่มต้นจะกดโน้มนิ้วหกัวแม่มือก่อน แล้วไล่เรียงนิ้วชี้ นิ้วนาง นิ้วกลาง และนิ้วก้อยลงมาข้างล่างในลักษณะประชิดบดขยี้กันโดยลำดับ ครั้นมีความชำนาญแล้วก็ปฏิบัติในทางปฏิโลมต่อไปแ

         การฝึกหรือปฏิบัติในทางปฏิโลมก็คือการโน้มนิ้วก้อยลงมาฝ่ามือข้างล่างก่อน ตามมาด้วยนิ้วนาง นิ้วกลาง นิ้วชี้ และหัวแม่มือตามลำดับในลักษณะเช่นเดียวกัน

         ให้สังเกตดูให้ดีว่าการเดินพลังหรือการเพิ่มกำลังนั้นเพียงพอหรือไม่ และนิ้วแต่ละนิ้วประชิดติดกันในลักษณะบดขยี้บี้กันหรือไม่ พึงเข้าใจว่ากำลังต้องเพียงพอ นิ้วแต่ละนิ้วต้องประชิดติดกันในลักษณะบดขยี้ที่สามารถบี้หรือขยี้เหา เห็บ หรือหมัดให้ตายได้อย่างไรก็ต้องอย่างนั้น

         ปฏิบัติไปเช่นนี้อย่างน้อย ๕-๑๕ นาที คราวนี้จะรู้สึกว่าเหนื่อยกว่ากรับวนท่าแรก เหตุผลอยู่ที่การเพิ่มการเกร็งพลังหรือการเดินพลังที่มากกว่ากระบวนท่าแรกถึงหนึ่งเท่าตัวนั่นเอง

         แต่เมื่อฝึกหรือปฏิบัตินานๆไป ชำนาญเข้าๆ ก็จะเหนื่อยน้อยลง ทำนองเดียวกันกับคนออกกำลังกายวิ่งหรือจ้อกกิ้ง ที่เมื่อปฏิบัติสม่ำเสมอแล้วก็จะทำให้เหนื่อยช้าลง ทำให้หัวใจเต้นช้าลงฉันใดก็ฉันนั้น

         เมื่อฝึกหรือปฏิบัติขนชำนาญมากขึ้นๆ นิ้วทุกดนิ้วก็จะเคลื่อนไหวในลักษณะที่แม่นยำ มีพลังหรือกำลังอย่างหนักหน่วง อย่างคล่องตัวได้ดังใจ เสียงทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็จะค่อยๆหายไป

         การผนึกกาย ปราณ และจิตให้เป็นเอกภาพ ทำนองเดียวกันกับกระบวนท่าแรกก็คือการปฏิบัติในขั้นสูงของกระบวนท่าที่สองนี้เช่นเดียวกัน

         จากนั้นก้เป็นกระบวนท่า “กรายเล็บกรีดพิณ” ซึ่งมีรากฐานมาจากการใช้ความอ่อนโยนของสตรี ใช้ความนุ่มนวลของนิ้วมือที่เรียวงามกรีดกรายเพลงพิณเป็นเสียงพิณอันไพเราะเสนาะโศต

         กระบวนท่านี้เป็นกระบวนท่าสุดท้ายที่แม้ยังมีการเดินหรือเกร็งกำลังอยู่แต่จะลดน้อยลง เพื่อเตรียมตัวปรับสภาพเข้าสู่ความเป็รนปกติธรรมดา แต่ปมเงื่อนอยู่ที่ความอ่อนช้อยนุ่มนวลและเบาสบายเป็นสำคัญ

         ทว่าในท่ามกลางความนุ่มนวลเบาสบายนั้นก็ยังคงต้องเดินและใช้พลังอย่างน้อยเท่ากับกระบวนท่าแรก ซึ่งเป็นหลักการเช่นเดียวกันกับหลักวิชาไท้เก๊ก แม้ภายนอกดูไร้สภาพ เบาหวิว ปลิวไปดุจปุยนุ่น แต่แม้จริงยังแฝงฝังพลังอันหนักหกน่วงปานขุนเขาเอาไว้ด้วย ฉันใดฉันนั้น

         ในการเริ่มต้นกระบวนท่าที่สามนี้ยังคงเป็นการยกมือทั้งสองตั้งฉากกับลำตัวในลักษณะชี้ตรงขึ้นข้างบน เกร็งและเดินพลังในขนาดหรือระดับเดียวกันกับกระบวนท่าแรก

         แต่ต้องรำลึกกำกับไว้เสมอว่าการกรีดกรายนิ้วแต่ละครั้งแต่ละนิ้วต้องมีความนุ่มนวล อ่อนช้อย และเบาสบายเหมือนไร้พลัง

         จากนั้นก็ให้โน้มนิ้วก้อยลงมาที่โคนฝ่ามือตามมาด้วยนิ้วนาง นิ้วกลาง นิ้วชี้ และนิ้วหัวแม่มือ จากนั้น ปฏิบัติอย่างนี้ต่อเนื่องให้ได้ ๕ นาที แล้วปฏิบัติในทางปฏิโลม คือเริ่มที่นิ้วหัวแม่มือโน้มลงมาทางโคนฝ่ามือ ตามมาด้วยนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อย

         ถ้าหากพินิจพิจารณาจะเห็นว่าการกรีดนิ้วแต่ละครั้งก็เหมือนกับสตรีกำลังร่ายรำหรือกำลังกรีดกรายเพลงพิณอยู่ฉะนั้น ดังนั้นความนุ่มนวล อ่อนช้อย สม่ำเสมอ แผ่วเบาหรือเบาสบายดุจปุยนุ่นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น ทำได้ถึงขั้นนั้นก็เรียกว่าเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องครบถ้วนกระบวนการแห่งกระบวนท่าที่สาม

         ขอให้นึกดถึงการฝึกมวยไท้เก๊กที่ดูภายนอกเบาหวิว แต่แท้จริงหนักหกน่วง จะบรรลุถึงขั้นสูงสุดก็ตรงที่ใช้มือชกดไปที่เต้าหู้ ภายนอกเต้าหู้ก็ยังคงสภาพเดิม แต่ภายในแตกเละไปหมด ฉันใดฉันนั้น

         เมื่อเข้าใจถึงวิธีฝึกและวิธีปฏิบัติแต่ละกระบวนท่า ตลอดจนปแมเงื่อนหรือข้อสังเกตต่างๆ ดังพรรณนามาโดยลำดับแล้ว ก็จะเป็นการฝึกหรือปฏิบัติแต่ละกระบวนท่าต่อเนื่องกันไป

         นั่นคืออาจฝึกหรือปฏิบัติได้เป็นสองลักษณะ โดยลักษณะแรก ฝึกหรือปฏิบัติแต่ละกระบวนท่าโดยใช้ดเวลา ๕-๑๐ นาที จากกระบวนท่าแรกไปสู่กระบวนท่าที่สอง และกระบวนท่าที่สาม กระบวนท่าละ ๕-๑๐ นาที รวมเวลาให้ได้ประมาณ ๑๕-๓๐ นาที ก็จะมีผลมาก นี่อย่างหนึ่ง

         หรืออีกอย่างหนึ่งคือฝึกหรือปฏิบัติกระบวนท่าแรกแล้วต่อเนื่องสู่กระบวนท่าที่สองและกระบวนท่าที่สามเป็นลำดับต่อไปเลย เมื่อสิ้นกระบวนท่าที่สามแล้วก็มาเริ่มต้นกระบวนท่าแรกใหม่ไปจนถึงกระบวนท่าที่สามอีก โดยถือเอาเวลารวมกัน ๑๕-๓๐ นาที

         การผนึกกาย ปราณ และจิตให้เป็นเอกภาพของทั้งสามกระบวนท่าสอดคล้องห้วงเวลาที่ฝึกหรือปฏิบัติจะมีผลใหญ่หลวงกว่าการฝึกหรือปฏิบัติเฉพาะกาย หรือเฉพาะกายกับปราณ

         เพราะนอกจากจะทำให้สุขภาพกายและพลังกายหายใจหรือพลังปราณสมบูรณ์ดีแล้ว ยังทำให้จิตเป็นพลัง เป็นจิตตานุภาพอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งจะเพิ่มผลหรืออานิสงส์ขึ้นอีกมากมายหลายเท่านัก

         หลอดเลือด เส้นเลือด เส้นประสาท เส้นเอ็นทั้งหลายจะกลับฟื้นคืนปกติ มีความกระชุ่มกระชวย แม่นยำ คล่องตัว แข็งแรง ฟื้นคืนความหนุ่มสาวอีกครั้งหนึ่ง

         ขอท่านทั้งหลายที่ได้ลองฝึกหรือปฏิบัติตามเคล็ดวิชาเคลื่อนขยายเส้นเอ็นนี้จงเป็นผู้ที่เส้นเลือดสมองไปแตก ไม่ตีบ ไม่ตัน ไม่เหน็บ ไม่ชา ดำรงความหนุ่มสาว ความผ่องใส กระชุ่มกระชวยไว้โดยตลอดไปจนกว่าจะถึงเวลาพริ้มตาลงแล้วเดินทางไกลด้วยกันเถิด.