หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2566

ไพศาล พืชมงคล - เคล็ดวิชาเคลื่อนขยายเส้นเอ็น (ตอนที่่ 2)

 

เคล็ดวิชาเคลื่อนขยายเส้นเอ็น ตอนที่ ๒

         กระบวนท่าแรกที่มีชื่อว่า “อินทรีขยุ้มเหยื่อ”นั้น จะต้องทำความเข้าใจถึงที่มาก่อน คือลักษณะของนกอินทรีขยุ้มเหยื่อ หรือเหยี่ยวขยุ้มก็ได้ว่า ประสาททั้งหลายกับกรงเล็บนั้นสัมพันธ์กันอย่างไร

         ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นหลักแห่งการวินิจฉัยอรรถคดีก็มีบัญญัติว่า ผู้พิพากษาซึ่งจะพิจารณาตัดสินคดีนั้นจะต้องเล็งสายตาและปัญญาสอดส่องประเด็นอันพิพาททั้งปวงตลอดจนข้ออ้าง ข้อเถียง และพยานหลักฐานแม่นยำแล้วจึงถลาลงโฉบเอาเหยื่อนั้นไป

         แม้ในธรรมชาติที่เป็นจริงของอินทรีหรือเหยี่ยวที่จะจับเหยื่อเป็นอาหาร ย่มอบินอยู่ในที่สูง สำรวมประสาททั้งกายให้มีความพร้อมสูงสุด เพ่งสายตาเล็งเปแหมายอย่างแม่นยำในขณะเดียวกันก็สู่กรงเล็บแล้วถลาลงไปที่เหยื่ออย่างรวดเร็วพอได้ระยะอันเหมาะก็กางกรงเล็บอันคมกริบนั้นตะครุบเอาเหยื่ออย่างหนักหน่วงแม่นยำ แล้วโฉบขึ้นไปบนอากาศ

         แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างประสาทภายในกับส่วนสมอง และบัญชาการมายังปีก หาง และกรงเล็บ ในขณะเข้าโจมตีก็ลู่กรงเล็บลงเพื่อไม่ให้ปะทะกับอากาศ ครั้นได้ระยะอันเหมาะก็ขยายกรงเล็บและเดินพลังอย่างหนักหน่วง ถลาลงโจมตีเอากรงเล็บขยุ้มจับเหยื่อถลาขึ้นไปบนอากาศ

         ธรรมชาติเป็นเช่นนั้น โบราณาจารย์ทั้งหลาย แม้ในวิชาพระธรรมศาสตร์ก็ได้เห็นและเข้าใจธรรมชาตินี้ โบราณาจารย์ทางด้านกำลังภายในก็รู้และเข้าใจในธรรมชาตินี้ จึงปรับแปรมาใช้เป็นกระบวนท่าแรก

         เมื่อเข้าใจธรรมชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างสมอง ประสาท การบังคับร่างกายเคลื่อนพลังปราณ การขยับนิ้วทั้งมือและเท้าดังนี้แล้ว ก็จะรู้และเข้าใจถึงหลักการพื้นฐานแห่งวิชาพลังภายในกระบวนท่านี้

         จากนี้ไปก็จะเป็นการเริ่มปฏิบัติหรือฝึกปฏิบัติในกระบวนท่าที่หนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกว่า “อินทรีขยุ้มเหยื่อ”

         เริ่มต้นด้วยการยกมือทั้งสองข้างที่วางราบตรงไว้ข้างลำตัวขึ้นมาไว้ในลักษณะตั้งฉากกับลำตัว ข้อศอกชิดลำตัวและติดกับพื้น ตอนที่ยกมือขึ้นมาให้หุบนิ้วทั้งห้า เอาปลายนิ้วจรดกันแล้วค่อยๆเกร็งแขนจากแขนท่อนบนขึ้นไปยังแขนท่อนล่าง ขึ้นไปยังที่มือและปลายนิ้วทั้งห้า แล้วขยับเคลื่อนการเกร็งโดยลำดับอีกครั้วงหนึ่ง ลงไปยังจุดเดิม แล้วเคลื่อนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

         ขั้นที่สอง ให้อ้านิ้วทั้งห้าออกในลักษณะกางนิ้ว แล้วงุ้มนิ้วเข้ามาประดุจดังกรงเล็บอินทรีและเกร็งพลังไว้ที่นิ้วทั้งห้า จากนั้นก็ขยุ้มนิ้วทั้งห้า จนปลายนิ้วทั้งหมดจรดที่ฝ่ามือ

         ขั้นที่สาม คลายนิ้วที่จรดอยู่ที่ฝ่ามือแล้วค่อยๆกางออกไปยังลักษณะแบมือ

         เมื่อกระทำในขั้นที่สามแล้วก็กลับไปเริ่มขั้นที่หนึ่ง สอง และสามใหม่ กระทำเช่นนี้สัก ๕ นาที ในขณะเดียวกันก็เริ่มเกร็งพลังที่โคนขาเคลื่อนไปยังหน้าแข้ง เท้า และปลายนิ้วเท้า ในลักษณะอย่างเดียวกัน แต่คงไม่เหมือนกันแน่ เพราะนิ้วเท้าสั้น ไม่อาจกระทำในลักษณะงอแบบขยุ้มได้ ก็ให้กระทำในลักษณะงอแบบขยุ้มได้ ก็ให้กระทำและเคลื่อนไหวในทำนองเดียวกันก็เป็นอันใช้ได้

         เมื่อขยับมือและเท้าดังกล่าวแล้ว จากนั้นก็ให้กระทำพร้อมกันทั้งมือและเท้าอีกสัก ๕ นาที

         ในระหว่างปฏิบัตินั้น อาจจะได้ยินเสียงเส้นเอ็นและข้อกระดูกลั่นดังกรุ๊บกรั๊บ หกรือกร๊อบแกร๊บ หรือกรึ๊บกรึ๊บ ก็อย่าได้ตกใจประการใด ให้สังเกตเสียงดังนั้นให้จงดี

         ถ้าลักษณะของเสียงดังกรุ่บกรุ่บ หรือกริ๊บกริ๊บ ก็แสดงว่าข้อกระดูกต่างๆ ยังมีความเป็นปกติดีเป็นส่วนใหญ่ แต่เส้นเอ็นและพังผืดเริ่มจะติดยึดกันบ้างแล้ว การปฏิบัติเช่นนี้จะส่งผลในภายหน้าให้การติดยึดของเอ็นและพังผืดค่อยๆคลายตัวจนมีความเป็นปกติในที่สุด

         ถ้าเสียงดังกร๊อบกร๊อบ ก็แสดงว่าข้อกระดูกต่างๆ เริ่มติดยึดหรือติดขัดหรือเกิดความไม่สะดวกขึ้นแล้ว อันเป็นอาการเริ่มต้นของโรครูมาตอยด์หรือโรคไขข้อ หรือสภาพที่กระดูกเสื่อมไปเพราะอายุขัยที่ล่วงไปก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ต้องใช้อาหารเข้าช่วยบ้าง คือกินอาหการจำพวกที่มีแคลเซียมเพิ่มขึ้น เพื่อบำรุงกระดูกให้สมบูรณ์แข็งแรง

         แต่ถ้าเสียงดังแกร๊บแกร๊บ ก็แสดงว่ากระดูกข้อต่างๆเริ่มบางลง ซึ่งมีมาแต่เหตุสองสถานคือเพราะความแก่ชราอย่างหนึ่ง หรือเพราะโรคข้อกระดูกที่ทำให้ไขกระดูกไม่สมบูรณ์ เปราะบางจึงเกิดเสียงดังแกร๊บแกร๊บ ถ้าถึงขั้นนี้แล้วก็ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อบำรุงกระดูกอย่างจริงจังให้มากขึ้น

         แต่พึงระวังว่ายาบำรุงกระดูกทุกชนิดมีผลข้างเคียงมากด อาจเกิดโรคกระเพาะ ลำไส้ หรือแพ้ยาจนตายไปเลยก็ได้ และถ้าตัดใจได้ว่าจะเยียวยาโดยวิถีธรรมชาติก็หมั่นกินอาหารที่บำรุงกระดูก ดื่มน้ำสะอาด หรือปฏิบัติตนโดยการดื่มน้ำ ๕ แก้วก็จะยิ่งได้ผลดี เห็นที่จะฟื้นฟูให้ดีได้ หรืออย่างร้ายอาการก็จะไม่ทรุดจากระดับเดิม

         ระยะเวลาปฏิบัติ ๕ นาทีหรือ ๑๐ นาทีในท่านี้ ให้สังเกตดูโดยแยบคายหรือจะพบว่า อาการตึงหรือความเครียดหรือการติดขัดบริเวณต้นคอหรืออาการปวดบริเวณศีรษะ จะเหมือนมีอะไรมากระตุ้นปรี๊ดปรี๊ด หรือจี๊ดจี๊ด สักครู่หนึ่งก็จะค่อยบรรเทาลงไป

         ในกรณีรู้สึกปวดจี๊ดที่ศีรษะ แสดงว่าการเกร็งกำลังอาจจะมากเกินไปแ ดังนั้นในระยะต้นก็ให้ผป่อนการเกร็งลงมาสักหน่อยหนึ่ง อาการปวดจี๊ดที่ศีรษะก็จะบรรเทาลง จากนั้นจึงค่อยๆเพิ่มพลังขึ้นโดยสอดคล้องกับความรู้สึกเจ็บจี๊ดจี๊ดที่น้อยลงนั้น

         หกากมีอาการเช่นนี้ก็จงรู้เถิดว่ามันมีอะไรมาอุดหรือเกรอะในท่อหรือเส้นเลือดในบริเวณสมองแล้ว แต่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องตกใจ เพราะนี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าพลังที่ขับเคลื่อนไหวนั้น เริ่มกระตุ้นให้สิ่งที่ติดขัดหรือเกรอะกรังหรือตีบตันค่อยๆทะลุทะลวงเป็นลำดับๆไป

         เมื่อเข้าใจอย่างนี้ก็อย่าเป็นคนใจร้อนด่วนหาย เพราะความใจร้อนนั้นไม่เป็นคุณประโยชน์อันใดเลย ทำความเข้าใจเสียว่ายังมีเวลาอีกมากมาย ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ถ้านึกสนุกๆก็นึกเสียว่าเราจะปฏิบัติรักษาตัวแบบนี้ไปสัก ๕๐-๖๐ ปี ก็ไม่เห็นเป็นไร เพราะมีความหมายอยู่ในตัวว่าจะยังไม่ตายใน ๕๐-๖๐ ปีนี้ นี่เป็นเรื่องกล่าวสนุกๆเล่นๆเพื่อเป็นกำลังใจในการฝึกปฏิบัติเท่านั้น

         เพียงไม่ถึง ๕ นาทีที่ปฏิบัติก็จะรู้สึกเหนื่อย บางครั้งก็มีเหงื่อออก เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าอวัยวะภายในได้รับการออกกำลังด้วยวิธีการเดินพลัง ซึ่งเป็นทำนองเดียวกัยบการออกกกำลังภายนอก

         เป็นแต่ว่าการออกกำลังในภายในนี้มันมีผลกระทบและเกิดโดยตรงขึ้นกับหัวใจ ปอด ตับ โต สมอง และประสาททั้งมวล ดังนั้นแม้แต่เวลา ๕ นาทีก็มีผลไม่ต่างกับการจ๊อกกิ้งหรือวิ่งรอบสนาม ๓๐ นาทีเลย

         เริ่มต้นทำได้อย่างนี้ก็ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี ย่อมมีผลมาก เมื่อหมั่นทำทุกวันเข้าก็จะได้รับผลและอานิสงส์ของการปฏิบัติตนเป็นลำดับๆไป จนในที่สุดสิ่งที่เคล็ดขัดยอกหรือติดขัดในกายหรือสิ่งที่ตีบตันเกรอะกรังอยู่ในประสาท หรือเส้นเลือด หรือท่อเลือดต่างๆก็จะค่อยๆสร่างหายไปจนเป็นปกติ

         การปฏิบัติอย่างนี้มีเป้าหมายทำให้กายนี้มีความเป็นปกติตามสภาพที่พึงเป็น เพราะถึงเป็นวิชาที่ล้ำเลิศประการใดก็ไม่อาจล่วงพ้นกฏแห่งพระไตรลักษณ์ได้ คือไม่อาจห้ามหรือหนีความขราไปได้เลย แต่ว่าให้มันช้าสักหน่อย จนอายุค่อยๆเคลื่อนไปใกล้กัปหรือถึงกัปนั่นแล

         ไม่เกินเดือน ๔๕ วันดอก ก็จะรู้สึกว่าร่างกายมีความเบา มีความคล่องตัว หูตา การเคลื่อนไหวฉับไวขึ้น แม่นยำขึ้น อาการปวดศีรษะหากเคยเป็นก็จะหายไป อาการติดขัดตามคอตามไหล่ แขน ขา หรือเท้าก็จะหายไป นี่เรียกว่าได้นำพากายนี้ให้ถึงซึ่งความเป็นปกติแล้ว

         แต่เท่านั้นก็ยังคงไม่พอ สำหรับผู้ที่มีความปรารถนาให้เกิดความก้าวหน้ามากขึ้นก็ปฏิบัติให้สูงขึ้นได้อีก ทำนองเดียวกับหลักปฏิบัติในวิชาพลังเอกธาตุ คือหลอมกาย ใจ และปราณให้เป็นหนึ่งเดียว

         หมายความว่าเมื่อฝึกฝนแลปฏิบัติจนมีความชำนาญ ร่างกายเข้าสู่ความเป็นปกติแล้ว ก็ใช้โอกาสนั้นฝึกปราณและฝึกใจในระดับที่สูงขึ้นไปด้วย ก็จะได้รับอานิสงส์อันประเสริฐ สมกับที่ได้เกิดมาเป็นเวไนยสัตว์

         เริ่มต้นด้วยการประสานกายกับปราณก่อน นั่นคือเมื่อขยายนิ้วมือออกก็ให้หายใจเข้าให้เต็มปอด เวลาขยุ้มนิ้วก็ให้หายใจออกให้หมดปอด พยายามรักษาความสม่ำเสมอของระยะการขยายหรือการขยุ้มมือกับระยะการหายใจให้สอดคล้องต้องกัน

         หายใจเข้าเต็มปอดเมื่อใด นิ้วมือก็กางขยายเต็มที่เมื่อนั้น

         หายใจออกหมดปอดเมื่อใด นิ้วมือก็ขยุ้มเข้ามาจนจรดฝ่ามือเมื่อนั้น

         นี่คือหลักการประสานงานกายและปราณให้เป็นเอกภาพ ตามหลักวิชาพลังเอกธาตุ

         จากนั้นก็ผนึกจิตหรือใจกับกายและปราณให้เป็นเอกภาพต่อไป โดยสละละวางความนึกคิดทั้งปวงเสีย หันมาสนใจเพ่งเล็งอยู่ที่ปลายนิ้วมือหรือที่ปลายจมูกก็ได้เพียงจุดเดียวตลอดระยะเวลาที่หายใจออกและหายใจเข้า

         ฝึกฝนจนชำนาญก็จะเกิดความสัมพันธ์ที่เป็นเอกภาพระหว่างกาย ใจ และปราณ ซึ่งก็คือการบรรลุถึงขั้นสูงประการหนึ่งในการฝึกพลังเออกธาตุด้วย

         ต่อไปก็จะเป็นกระบวนท่าที่สอง ที่มีชื่อเรียกว่า “เสือบี้เห็บ”

         การเลียนแบบธรรมชาติของสัตว์โดยเฉพาะเสือนั้นมีมาช้านานและถูกนำไปใช้ในหลักวิชาหลายแขนง ดังเช่นในตำราพิชัยสงครามก็มีวิธีจัดตั้งค่ายและวางรี้พลในลักษณะท่าทางของเสือ ในการฝึกวิชายุทธ์ของสำนักเส้าหลินและอีกหลายสำนักก็ใช้กิริยาอาการตามธรรมชาติของเสือมาเป็นพื้นฐานฝึกฝน

         การฝึกฝนปฏิบัติในกระบวนท่าที่สองนี้ก็มีพื้นฐานมาจากธรรมชาติประการหนึ่งของเสือ คือเป็นปกติของสัตว์ทั้งหลายที้มักจะมีสัตว์เล็กๆ เบียดเบียน เช่น เห็บ เหกา หรือหมัด ซึ่งจะเกาะอาศัยอยู่ตามซอกนิ้วมือนิ้วเท้า แล้วกัดกินดูดเลือดของเสือ ทำใหก้เกิดความรำพคาญ เป็นที่มาแห่งโรค และบางครั้งก็อาจเป็นอันตรายถึงแก่ความตายได้ด้วย

         กระบวนท่า “เสือบี้เห็บ” ก็คือการนำพื้นฐานจากการที่เสือใช้อุ้งตีนบดขยี้บี้เห็บ เหาหรือหมัดนั่นเอง.       



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น