พลังเอกธาตุ
ตอนที่
๒
ในท่าเตรียมพร้อมนั้นทวารทั้งสิบซึ่งหมายถึงทวารทั้งเก้าได้แก่ สองหู
สองตา สองรูจมูก หนึ่งปาก และสองอวัยวะขับถ่าย
บวกด้วยอีกหนึ่งทวารที่สมัยโบราณมองไม่เห็นคือรูขุมขนที่ขับถ่ายหยาดเหงื่อ
มีความพร้อมอย่างเต็มที่ ในขณะที่เครื่องจักรใหญ่ทั้งเจ็ดเครื่องซึ่งเป็นอวัยวะภายในก็อยู่ในสภาพพร้อมอย่างเต็มที่
ในขณะนี้ร่างกายภายนอกได้เริ่มต้นออกกำลัง
โดยอาศัยน้ำหนักตัวเองเป็นฐานการออกกำลัง สัมพันธ์กับลมปราณที่โคจรไหลเวียน
และสัมพันธ์กับจิตใจที่มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเกาะติดอยู่กับสัมผัสของลมหายใจที่กระทบร่างกายนั้น
การเตรียมพร้อมของทวารทั้งสิบและเครื่องจักรทั้งเจ็ดต้องใช้กำลังอย่างมากและมีผลอย่างมาก
ยกตัวอย่างสักทวารหนึ่งหรือสองทวารก็ได้ นั่นคือเวจทวารหรือทวารหนักและทวารเบา
คนเรายามใกล้จะตาย โบราณว่าธาตุไฟจะแตก ระบบควบคุมทวารจะหยุดการทำงาน ทำให้ปัสสาวะ
อุจจาระ รดราดโดยไม่รู้สึกตัว ใครมีอาการอย่างนี้ก็บอกได้เลยว่ากำลังจะตายแล้ว
การทำให้ทวารทั้งสิบอยู่ในความพร้อมเป็นการออกกำลังอย่างหนึ่ง
ทำให้ทวารทั้งสิบมีความแข็งแรง มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งก็คือการส่งผลโดยตรงให้ตายช้าและตายยากนั่นเอง
การฝึกพลังเอกธาตุมีสามท่าใหญ่
มีการเคลื่อนไหวทางกายไม่มากนัก มีการเคลื่อนไหวภายในที่เกี่ยวข้องกับลมปราณ หรือเนื่องกับลมปราณที่หนักหน่วง
ในขณะที่จิตกำหนดอยู่ที่ลมหายใจ ดังนั้นในท่าที่เตรียมพร้อม พลังทั้งสามคือพลังกาย
พลังปราณ และพลังจิตก็จะค่อยๆเริ่มก่อตัว
แม้ว่ารูปกายภายนอกจะมีอาการสงบนิ่งอยู่ในท่าเตรียมความพร้อม
แต่เอกภาพของพลังทั้งสามก็ได้ขับเคลื่อนอยู่ภายในแล้ว โดยอาศัยลมปราณทำให้อวัยวะหรือเครื่องจักรภายในทั้งเจ็ดรวมทั้งทวารทั้งสิบได้เริ่มต้นออกกำลังแล้ว
มีความร้อนเกิดขึ้นแล้ว พลังงานภายในเผาผลาญมากขึ้นแล้ว
เหตุนี้จึงมีเหงื่อไหลซึมซับออกมาได้
ท่าแรกของการฝึกพลังเอกธาตุมีชื่อว่า
“ดูดปราณขับพิษ” เป็นการดูดพลังปราณจากจักรวาลหรือธรรมชาติจากดินฟ้าและอากาศ
เข้าสู่กายภายใน แล้วขับพิษร้ายที่มีอยู่ในร่างกายออกไป
ในการดูดปราณนั้นจะสูดอากาศเข้าทางจมูกอย่างสม่ำเสมอ
โดยใช้ปลายลิ้นกดเพดานปากด้านบนไว้ ทำหน้าอกและหน้าท้องให้โป่งพอง
โดยอาการที่สูดอากาศนั้นจะเหมือนกับกระบอกสูบที่กำลังสูบอากาศเข้าสู่ร่างกาย
ในขณะที่ท่าทางร่างกายภายนอกก็จะออกท่าทางไปตามกระบวน ซึ่งมีอยู่สี่กระบวน
กระบวนที่หนึ่ง เริ่มจากการดูดปราณเข้าจนเต็มปอดแน่นไปถึงหน้าท้องในจังหวะที่สม่ำเสมอ
ในขณะเริ่มสูดปราณนั้นค่อยๆคลายมือจากท่าที่กำลังพนม ยืดตรงลงเบื้องล่างอย่างช้าๆ
มีจังหวะสม่ำเสมอขนานเท่ากับการดูดปราณ คือเมื่อสูดปราณเข้าเต็มปอด
ฝ่ามือทั้งสองก็จะหงายเหยียดตรงลงเบื้องล่างพร้อมกับเป็นจังหวะเดียวกัน
เมื่อมือทั้งสองเหยียดตรงลงเบื้องล่างแล้วค่อยพลิกฝ่ามือทั้งสองหงายไปทางด้านหน้า
จากนั้นเป็นการขับพิษโดยค่อยๆยกมือตรงขึ้นไปทางด้านหน้าจนเสมอไหล่
ในขณะเดียวกันก็อ้าปากดขับพิษออกหมดพอดีกับการยกมือขึ้นเสมอไหล่ขนานกับพื้น
จากนั้นค่อยๆเกร็งกำพลังดึงมือทั้งสองกลับเข้ามา
จนฝ่ามือทั้งสองชิดกดับไหล่ในลักษณะในลักษณะหงายมือไปทางด้านหน้า
ในขณะที่เริ่มดึงมือกลับนั้น ก็จะสูดปราณเข้าสู่ร่างกายอีกครั้งหนึ่งในลักษณะที่สัมพันธ์กับการดึงมือกลับเหมือนกับการดึงกระบอกสูบเพื่อสูลลมเข้าสู่ร่างกายฉะนั้น
เมื่อดึงกลับจนหลังมือติดกับหัวไหล่แล้ว ขณะนั้นก็จะเป็นจังหวะดียวกันกับการสูดปราณเข้าเต็มปอดแน่นขนัดพอดี
กระบวนที่สอง
ค่อยๆพลิกฝ่ามือแต่ละข้างไปทางด้านข้าง
แล้วขับพิษออกจากร่างกาย พร้อมๆกันกับการเกร็งกำลังดันฝ่ามือทั้งสองข้างออกไปทางด้านข้างด้วยพลังจากด้านในอย่างเต็มที่
โดยฝ่ามือทั้งสองหงายและตั้งตรง เมื่อดันฝ่ามือไปจนสุดแขนจะเป็นเวลาเดียวกับการขับพิษทางปราณออกจากร่างกายหมดสิ้น
จากนั้นค่อยๆเกร็งกำลังดึงมือทั้งสองกลับเข้ามา
จนกระทั่งชิดกับหัวไหล่ พร้อมๆกับการสูดปราณเข้าร่างกายจนเต็มปอด เหมือนกับการดึงลูกสูบสูบอากาศเข้าร่างกายจนเต็มที่ให้อากาศเข้าเต็มปอด
พร้อมๆกับหลังมือชิดกับหัวไหล่ จากนั้นค่อยๆหงายมือขึ้นข้างบน
กระบวนที่สาม เดินกำลังภายในคล้ายกับเกร็ง
ดันฝ่ามือทั้งสองขึ้นไปบนฟ้า ในขณะที่ขับพิษออกทางปราณด้วยการหายใจออกอย่างช้าๆ
หนักหน่วงไปพร้อมกัน เมื่อแขนทั้งสองดันเหยียดตรงขึ้นไปบนฟห้าแล้ว
มือทั้งสองก็จะหงายยันฟ้า ในขณะที่ได้ขับพิษออกจากกายโดยทางปราณหมดสิ้นพร้อมกัน
จากนั้นจึงเกร็งกำลังดึงแขนทั้งสองลงมาจนชิดหัวไหล่ในท่าเดิม
พร้อมๆกับการเดินกำลังสูดปราณเข้าสู่ร่างกายอย่างเต็มที่
เมื่อแขนทั้งสองดึงลงมาชิดลำตัว ฝ่ามือทั้งสองหงายชิดกับหัวไหล่
ลมหายใจก็จะเข้าสู่ปอดอย่างเต็มที่จนรู้สึกไปถึงท้องน้อยพร้อมกัน
กระบวนที่สี่
ค่อยๆพลิกฝ่ามือทั้งสองมาทางด้านหน้า คว่ำฝ่ามือให้ขนานกับพื้นดิน
เกร็งกำลังภายในแล้วค่อยๆ ผลักลงไปด้านล่างโดยให้ฝ่ามือขนานกับพื้นดินตลอด
พร้อมกับขับพิษออกจากร่างกายทางปราณจนไม่มีเหลือ
ในขณะที่รู้สึกว่าหายใจออกหมดสิ้นแล้ว แขนทั้งสองก็จะยืดตรงลงสู฿พื้น
ในขณะที่ฝ่ามือยังคงคว่ำขนานอยู่กับพื้นดินพร้อมๆกัน จากนั้นค่อยๆ พลิกฝ่ามือให้งายขึ้นแล้วเกร็งกำลังสูดปราณเข้าร่างกาย
พร้อมๆกับการยกแขนและมือขึ้น เมื่อฝ่ามือทั้งสองหงาย ยกมือขึ้นถึงทรวงอกบริเวณราวนมในลักษณะที่ฝ่ามือขนานกับพื้นดินก็สูดปราณเต็มปอดพอดี
จากนั้นค่อยๆ/ประกบมือมาอยู่ในท่าพนม
ในปลายท่าที่หนึ่ง
ร่างกายโดยรวมจะอยู่ในสภาพยืนย่อตัวเหมือนกับตอนเริ่มต้น
ฝ่ามือทั้งสองอยู่ในท่าพนมแนบอยู่ที่ทรวงอก
ในขณะที่ลมปราณเต็มแน่นทั้งปอดไปจนถึงท้องน้อยจากนั้นจึงค่อยๆคลายให้ลมปราณออกทางปากพร้อมๆกับยืดตัวขึ้น
แล้วชิดขาเข้ามาในท่าเดิม
ร่างกายนภายนอกออกกำลังเคลื่อนไหว
อวัยวะเลฃือดลมภายในขับเคลื่อนอย่างหนักหน่วง ในขณะที่จิตตั้งอยู่ในอารมณ์เดียว
ก่อตัวเป็นพลังเอกธาตุที่มีอานุภาพขึ้นอย่างช้าๆ และมั่นคง
แต่สำหรับผู้ที่กำลังไม่พอหรือเริ่มฝึกหัดใหม่ๆก็อาจจะหน้ามืดได้ แต่อย่าเพิ่งตกใจ
ค่อยๆผ่อนปรน เริ่มจากน้อยไปมาก อย่าหักโหมจนเกดินกำลัง จักไม่เป็นผลดี
ความมีประมาณต่างหากที่จะก่อเกิดผลดีแท้
พยายามฝึกจนแคล่วคล่องสม่ำเสมอเรื่อยไหลดุจกระแสน้ำไม่ขาดทั้งสี่กระบวน
เมื่อเป็นปกติดีแล้วออกกำลังในท่าที่หนึ่งคราวละ ๕-๗ ครั้งก็พอ
หรือจะถือเอาการไหลซึมของเหงื่อก็ได้ แต่อย่าให้มากเกินไปนัก เพราะยังมีท่าที่สองและท่าที่สามอยู่อีก
ท่าแรกของการฝึกพลังเอกธาตุจะช่วยขจัดมลภาวะหรือพิษร้ายทั้งหลานยในร่างกายออกไปให้หมดสิ้น
แล้วซึมซับดูดเอาพลังปราณจากธรรมชาติทุกๆทางเข้าสู่ร่างกายเพื่อความสดชื่นแจ่มใส
เพื่อความมีอนามัยที่ดียิ่ง เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของเลือด
และอวัยวะภายในที่สำคัญคือปอดและหลอดลม ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อระบบเลือดลมต่างๆ
ชีวิตประจำวันของคนเราซึมซับเอาสิ่งมีพิษ
ของพิษ อากาศเป็นพิษ สารพิษเข้าสู่ร่างกาย ทั้งโดยรู้ตัวและโดยไม่รู้ตัว
หกากหมักหมมอยู่ในร่างกายนานวันเข้าก็จะเป็นบ่อเกิดแห่งโรค
ท่าที่หนึ่งแห่งการฝึกพลังเอกธาตุก็คือการทำร่างกายภายในให้สะอาด กำจัดและขับออกซึ่งสิ่งพิษทั้งมวล
ทำให้เลือดลมในกายสะอาดบริสุทธิ์ส่งผลให้เกิดความสดชื่นที่สัมผัสได้ในขณะนั้นเลย
ร่างกายภายนอก อวัยวะภายในและจิตใจที่ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวเป็นเอกภาพ
เป็นหนึ่งเดียวกับลักษณะเช่นนี้ จึงมีผลทั้งเป็นการออกกำลังกายภายนอก
เป็นการออกกำลังกายภายในและออกกำลังใจพร้อมๆกัน
ทวารทั้งสิบที่มีความพร้อมสูงสุดจะค่อยๆได้รับการฝึกฝนในการออกกำลังให้มีพลังและแข็งแรง
และมีระบบการควบคุมที่แข็งแรงไม่สลายตัวได้ง่าย ไม่สูญเสียการควบคุมโดยง่าย
นั่นก็คือไม่ตายง่ายๆ หรือความมีอายุยืนนั่นเอง
ปมเงื่อนของการฝึกพลังเอกธาตุท่าแรก
ก็คือจังหวะที่นุ่มนวลสม่ำเสมอ ไม่กระโชกโฮกฮาก
ไม่กระชากฮึดฮัดตั้งแต่เริ่มต้นจนที่สุดการเคลื่อนไหวของร่างกายสัมพันธ์เป็นเอกภาพกับลมหายใจเข้าออก
โดยจิตรับรู้ความเคลื่อนไหวไม่คลาดคลาย จนเกิดความเป็นเอกภาพแน่วแน่ทั้งกาย ปราณ
และจิต
ความสำเร็จสูงสุดของการฝึกท่าแรกอยู่ที่ความสม่ำเสมอนุ่มนวลต่อเนื่อง
และไม่ขาดสายของความสัมพันธ์ของการเคลื่อนไหวร่างกาย
การหายใจและจิตใจมีความสมดุลระหว่างความเต็มกับความว่างในการดูดปราณขับพิษอย่างเต็มที่
ความเต็มนั่นหมายถึงการสูดปราณเข้าเต็มปอดเต็มที่ รู้สึกได้ถึงท้องน้อยหรือสะดือเสมือนหนึ่งรู้สึกว่าในทรววงอก
ในท้อง และในกาย อัดแน่นไปด้วยปราณแห่งธรรมชาติอันบริสุทธิ์
ส่วนความว่างนั้นหมายถึงภาวะที่ขับพิษออกทางปราณหมดสิ้น
หมดจดและเต็มที่ รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าภายในปอด ในทรวงอก และในกาย ไม่มีลมหรือปราณหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย
หรือรู้สึกได้ว่าร่างกายนั้นมีความว่างเปล่าเบาบาง
โดยไม่มีลมหายใจหลงเหลืออยู่อีกเลย
เอกภาพของทั้งสามสิ่งจะอยู่ภายใต้การรับรู้ความคุมของจิตที่ตั้งมั่น
รับรู้อยู่ตลอดเวลาที่ลมหายใจเคลื่อนเข้าออก รู้อยู่ตลอดเวลาถึงร่างกายที่เยื้องย้ายไปตามกระบวนท่า
ภาวะจิตเช่นนี้มีความตั้งมั่น
มีความบริสุทธิ์และมีพลังควรแก่การทำหน้าที่ของจิตเพิ่มขึ้นเป็นลบำดับของการฝึก
แต่ธรรมดาของจิตใจคนเราย่อมมีความรู้สึกนึกคิดเรื่องอื่นเข้ามาปะปนหรือแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ
มีอารมณ์ความรู้สึกดทุกข์สุข อยากได้ใคร่ดี มีความโกรธ ความเกลียด ความรัก ความหลง
ความโลภเจือเคล้าอยู่สม่ำเสมอ แต่เมื่อเริ่มต้นการฝึกก็ต้องในการละวางอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดนี้ให้ค่อยๆจางหายออกไปจากจิตใจ
เหลืออยู่ก็แต่ความรู้สึกที่รับรู้การหายใจและการเคลื่อนไหวของร่างกายที่เป็นเอกภาพ
จนกระทั่งเมื่อใดที่จิตอยู่ในความว่าง
ในขณะที่ปราณเคลื่อนไหกวเข้าออก
ร่างกายเยื้องย่างไปตามกระบวนท่าโดยไม่ติดขัดสม่ำเสมอ หนักหน่วง
ประณีตแล้วค่อยแปรไปถึงขั้นเบาหวิวปลิวได้ดุจปุยนุ่นนั่นแล้ว จึงนับถึงการบรรลุจุดสูงสุดของการฝึกพลังเอกธาตุท่าที่หนึ่ง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น