หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2566

ไพศาล พืชมงคล - พลังเอกธาตุ (ตอนที่ ๒)

 

พลังเอกธาตุ

ตอนที่ ๒

 

         ในท่าเตรียมพร้อมนั้นทวารทั้งสิบซึ่งหมายถึงทวารทั้งเก้าได้แก่ สองหู สองตา สองรูจมูก หนึ่งปาก และสองอวัยวะขับถ่าย บวกด้วยอีกหนึ่งทวารที่สมัยโบราณมองไม่เห็นคือรูขุมขนที่ขับถ่ายหยาดเหงื่อ มีความพร้อมอย่างเต็มที่ ในขณะที่เครื่องจักรใหญ่ทั้งเจ็ดเครื่องซึ่งเป็นอวัยวะภายในก็อยู่ในสภาพพร้อมอย่างเต็มที่

         ในขณะนี้ร่างกายภายนอกได้เริ่มต้นออกกำลัง โดยอาศัยน้ำหนักตัวเองเป็นฐานการออกกำลัง สัมพันธ์กับลมปราณที่โคจรไหลเวียน และสัมพันธ์กับจิตใจที่มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเกาะติดอยู่กับสัมผัสของลมหายใจที่กระทบร่างกายนั้น

         การเตรียมพร้อมของทวารทั้งสิบและเครื่องจักรทั้งเจ็ดต้องใช้กำลังอย่างมากและมีผลอย่างมาก ยกตัวอย่างสักทวารหนึ่งหรือสองทวารก็ได้ นั่นคือเวจทวารหรือทวารหนักและทวารเบา คนเรายามใกล้จะตาย โบราณว่าธาตุไฟจะแตก ระบบควบคุมทวารจะหยุดการทำงาน ทำให้ปัสสาวะ อุจจาระ รดราดโดยไม่รู้สึกตัว ใครมีอาการอย่างนี้ก็บอกได้เลยว่ากำลังจะตายแล้ว

         การทำให้ทวารทั้งสิบอยู่ในความพร้อมเป็นการออกกำลังอย่างหนึ่ง ทำให้ทวารทั้งสิบมีความแข็งแรง มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งก็คือการส่งผลโดยตรงให้ตายช้าและตายยากนั่นเอง

การฝึกพลังเอกธาตุมีสามท่าใหญ่ มีการเคลื่อนไหวทางกายไม่มากนัก มีการเคลื่อนไหวภายในที่เกี่ยวข้องกับลมปราณ หรือเนื่องกับลมปราณที่หนักหน่วง ในขณะที่จิตกำหนดอยู่ที่ลมหายใจ ดังนั้นในท่าที่เตรียมพร้อม พลังทั้งสามคือพลังกาย พลังปราณ และพลังจิตก็จะค่อยๆเริ่มก่อตัว

แม้ว่ารูปกายภายนอกจะมีอาการสงบนิ่งอยู่ในท่าเตรียมความพร้อม แต่เอกภาพของพลังทั้งสามก็ได้ขับเคลื่อนอยู่ภายในแล้ว โดยอาศัยลมปราณทำให้อวัยวะหรือเครื่องจักรภายในทั้งเจ็ดรวมทั้งทวารทั้งสิบได้เริ่มต้นออกกำลังแล้ว มีความร้อนเกิดขึ้นแล้ว พลังงานภายในเผาผลาญมากขึ้นแล้ว เหตุนี้จึงมีเหงื่อไหลซึมซับออกมาได้

ท่าแรกของการฝึกพลังเอกธาตุมีชื่อว่า “ดูดปราณขับพิษ” เป็นการดูดพลังปราณจากจักรวาลหรือธรรมชาติจากดินฟ้าและอากาศ เข้าสู่กายภายใน แล้วขับพิษร้ายที่มีอยู่ในร่างกายออกไป

ในการดูดปราณนั้นจะสูดอากาศเข้าทางจมูกอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ปลายลิ้นกดเพดานปากด้านบนไว้ ทำหน้าอกและหน้าท้องให้โป่งพอง โดยอาการที่สูดอากาศนั้นจะเหมือนกับกระบอกสูบที่กำลังสูบอากาศเข้าสู่ร่างกาย ในขณะที่ท่าทางร่างกายภายนอกก็จะออกท่าทางไปตามกระบวน ซึ่งมีอยู่สี่กระบวน

กระบวนที่หนึ่ง เริ่มจากการดูดปราณเข้าจนเต็มปอดแน่นไปถึงหน้าท้องในจังหวะที่สม่ำเสมอ ในขณะเริ่มสูดปราณนั้นค่อยๆคลายมือจากท่าที่กำลังพนม ยืดตรงลงเบื้องล่างอย่างช้าๆ มีจังหวะสม่ำเสมอขนานเท่ากับการดูดปราณ คือเมื่อสูดปราณเข้าเต็มปอด ฝ่ามือทั้งสองก็จะหงายเหยียดตรงลงเบื้องล่างพร้อมกับเป็นจังหวะเดียวกัน เมื่อมือทั้งสองเหยียดตรงลงเบื้องล่างแล้วค่อยพลิกฝ่ามือทั้งสองหงายไปทางด้านหน้า จากนั้นเป็นการขับพิษโดยค่อยๆยกมือตรงขึ้นไปทางด้านหน้าจนเสมอไหล่ ในขณะเดียวกันก็อ้าปากดขับพิษออกหมดพอดีกับการยกมือขึ้นเสมอไหล่ขนานกับพื้น

จากนั้นค่อยๆเกร็งกำพลังดึงมือทั้งสองกลับเข้ามา จนฝ่ามือทั้งสองชิดกดับไหล่ในลักษณะในลักษณะหงายมือไปทางด้านหน้า ในขณะที่เริ่มดึงมือกลับนั้น ก็จะสูดปราณเข้าสู่ร่างกายอีกครั้งหนึ่งในลักษณะที่สัมพันธ์กับการดึงมือกลับเหมือนกับการดึงกระบอกสูบเพื่อสูลลมเข้าสู่ร่างกายฉะนั้น เมื่อดึงกลับจนหลังมือติดกับหัวไหล่แล้ว ขณะนั้นก็จะเป็นจังหวะดียวกันกับการสูดปราณเข้าเต็มปอดแน่นขนัดพอดี

กระบวนที่สอง  ค่อยๆพลิกฝ่ามือแต่ละข้างไปทางด้านข้าง แล้วขับพิษออกจากร่างกาย พร้อมๆกันกับการเกร็งกำลังดันฝ่ามือทั้งสองข้างออกไปทางด้านข้างด้วยพลังจากด้านในอย่างเต็มที่ โดยฝ่ามือทั้งสองหงายและตั้งตรง เมื่อดันฝ่ามือไปจนสุดแขนจะเป็นเวลาเดียวกับการขับพิษทางปราณออกจากร่างกายหมดสิ้น

จากนั้นค่อยๆเกร็งกำลังดึงมือทั้งสองกลับเข้ามา จนกระทั่งชิดกับหัวไหล่ พร้อมๆกับการสูดปราณเข้าร่างกายจนเต็มปอด เหมือนกับการดึงลูกสูบสูบอากาศเข้าร่างกายจนเต็มที่ให้อากาศเข้าเต็มปอด พร้อมๆกับหลังมือชิดกับหัวไหล่ จากนั้นค่อยๆหงายมือขึ้นข้างบน

กระบวนที่สาม  เดินกำลังภายในคล้ายกับเกร็ง ดันฝ่ามือทั้งสองขึ้นไปบนฟ้า ในขณะที่ขับพิษออกทางปราณด้วยการหายใจออกอย่างช้าๆ หนักหน่วงไปพร้อมกัน เมื่อแขนทั้งสองดันเหยียดตรงขึ้นไปบนฟห้าแล้ว มือทั้งสองก็จะหงายยันฟ้า ในขณะที่ได้ขับพิษออกจากกายโดยทางปราณหมดสิ้นพร้อมกัน จากนั้นจึงเกร็งกำลังดึงแขนทั้งสองลงมาจนชิดหัวไหล่ในท่าเดิม พร้อมๆกับการเดินกำลังสูดปราณเข้าสู่ร่างกายอย่างเต็มที่ เมื่อแขนทั้งสองดึงลงมาชิดลำตัว ฝ่ามือทั้งสองหงายชิดกับหัวไหล่ ลมหายใจก็จะเข้าสู่ปอดอย่างเต็มที่จนรู้สึกไปถึงท้องน้อยพร้อมกัน

กระบวนที่สี่  ค่อยๆพลิกฝ่ามือทั้งสองมาทางด้านหน้า คว่ำฝ่ามือให้ขนานกับพื้นดิน เกร็งกำลังภายในแล้วค่อยๆ ผลักลงไปด้านล่างโดยให้ฝ่ามือขนานกับพื้นดินตลอด พร้อมกับขับพิษออกจากร่างกายทางปราณจนไม่มีเหลือ ในขณะที่รู้สึกว่าหายใจออกหมดสิ้นแล้ว แขนทั้งสองก็จะยืดตรงลงสู฿พื้น ในขณะที่ฝ่ามือยังคงคว่ำขนานอยู่กับพื้นดินพร้อมๆกัน จากนั้นค่อยๆ พลิกฝ่ามือให้งายขึ้นแล้วเกร็งกำลังสูดปราณเข้าร่างกาย พร้อมๆกับการยกแขนและมือขึ้น เมื่อฝ่ามือทั้งสองหงาย ยกมือขึ้นถึงทรวงอกบริเวณราวนมในลักษณะที่ฝ่ามือขนานกับพื้นดินก็สูดปราณเต็มปอดพอดี จากนั้นค่อยๆ/ประกบมือมาอยู่ในท่าพนม

ในปลายท่าที่หนึ่ง ร่างกายโดยรวมจะอยู่ในสภาพยืนย่อตัวเหมือนกับตอนเริ่มต้น ฝ่ามือทั้งสองอยู่ในท่าพนมแนบอยู่ที่ทรวงอก ในขณะที่ลมปราณเต็มแน่นทั้งปอดไปจนถึงท้องน้อยจากนั้นจึงค่อยๆคลายให้ลมปราณออกทางปากพร้อมๆกับยืดตัวขึ้น แล้วชิดขาเข้ามาในท่าเดิม

 ร่างกายนภายนอกออกกำลังเคลื่อนไหว อวัยวะเลฃือดลมภายในขับเคลื่อนอย่างหนักหน่วง ในขณะที่จิตตั้งอยู่ในอารมณ์เดียว ก่อตัวเป็นพลังเอกธาตุที่มีอานุภาพขึ้นอย่างช้าๆ และมั่นคง แต่สำหรับผู้ที่กำลังไม่พอหรือเริ่มฝึกหัดใหม่ๆก็อาจจะหน้ามืดได้ แต่อย่าเพิ่งตกใจ ค่อยๆผ่อนปรน เริ่มจากน้อยไปมาก อย่าหักโหมจนเกดินกำลัง จักไม่เป็นผลดี ความมีประมาณต่างหากที่จะก่อเกิดผลดีแท้

         พยายามฝึกจนแคล่วคล่องสม่ำเสมอเรื่อยไหลดุจกระแสน้ำไม่ขาดทั้งสี่กระบวน เมื่อเป็นปกติดีแล้วออกกำลังในท่าที่หนึ่งคราวละ ๕-๗ ครั้งก็พอ หรือจะถือเอาการไหลซึมของเหงื่อก็ได้ แต่อย่าให้มากเกินไปนัก เพราะยังมีท่าที่สองและท่าที่สามอยู่อีก

         ท่าแรกของการฝึกพลังเอกธาตุจะช่วยขจัดมลภาวะหรือพิษร้ายทั้งหลานยในร่างกายออกไปให้หมดสิ้น แล้วซึมซับดูดเอาพลังปราณจากธรรมชาติทุกๆทางเข้าสู่ร่างกายเพื่อความสดชื่นแจ่มใส เพื่อความมีอนามัยที่ดียิ่ง เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของเลือด และอวัยวะภายในที่สำคัญคือปอดและหลอดลม ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อระบบเลือดลมต่างๆ

         ชีวิตประจำวันของคนเราซึมซับเอาสิ่งมีพิษ ของพิษ อากาศเป็นพิษ สารพิษเข้าสู่ร่างกาย ทั้งโดยรู้ตัวและโดยไม่รู้ตัว หกากหมักหมมอยู่ในร่างกายนานวันเข้าก็จะเป็นบ่อเกิดแห่งโรค ท่าที่หนึ่งแห่งการฝึกพลังเอกธาตุก็คือการทำร่างกายภายในให้สะอาด กำจัดและขับออกซึ่งสิ่งพิษทั้งมวล ทำให้เลือดลมในกายสะอาดบริสุทธิ์ส่งผลให้เกิดความสดชื่นที่สัมผัสได้ในขณะนั้นเลย

         ร่างกายภายนอก อวัยวะภายในและจิตใจที่ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวเป็นเอกภาพ เป็นหนึ่งเดียวกับลักษณะเช่นนี้ จึงมีผลทั้งเป็นการออกกำลังกายภายนอก เป็นการออกกำลังกายภายในและออกกำลังใจพร้อมๆกัน

         ทวารทั้งสิบที่มีความพร้อมสูงสุดจะค่อยๆได้รับการฝึกฝนในการออกกำลังให้มีพลังและแข็งแรง และมีระบบการควบคุมที่แข็งแรงไม่สลายตัวได้ง่าย ไม่สูญเสียการควบคุมโดยง่าย นั่นก็คือไม่ตายง่ายๆ หรือความมีอายุยืนนั่นเอง

         ปมเงื่อนของการฝึกพลังเอกธาตุท่าแรก ก็คือจังหวะที่นุ่มนวลสม่ำเสมอ ไม่กระโชกโฮกฮาก ไม่กระชากฮึดฮัดตั้งแต่เริ่มต้นจนที่สุดการเคลื่อนไหวของร่างกายสัมพันธ์เป็นเอกภาพกับลมหายใจเข้าออก โดยจิตรับรู้ความเคลื่อนไหวไม่คลาดคลาย จนเกิดความเป็นเอกภาพแน่วแน่ทั้งกาย ปราณ และจิต

         ความสำเร็จสูงสุดของการฝึกท่าแรกอยู่ที่ความสม่ำเสมอนุ่มนวลต่อเนื่อง และไม่ขาดสายของความสัมพันธ์ของการเคลื่อนไหวร่างกาย การหายใจและจิตใจมีความสมดุลระหว่างความเต็มกับความว่างในการดูดปราณขับพิษอย่างเต็มที่

         ความเต็มนั่นหมายถึงการสูดปราณเข้าเต็มปอดเต็มที่ รู้สึกได้ถึงท้องน้อยหรือสะดือเสมือนหนึ่งรู้สึกว่าในทรววงอก ในท้อง และในกาย อัดแน่นไปด้วยปราณแห่งธรรมชาติอันบริสุทธิ์

         ส่วนความว่างนั้นหมายถึงภาวะที่ขับพิษออกทางปราณหมดสิ้น หมดจดและเต็มที่ รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าภายในปอด ในทรวงอก และในกาย ไม่มีลมหรือปราณหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย หรือรู้สึกได้ว่าร่างกายนั้นมีความว่างเปล่าเบาบาง โดยไม่มีลมหายใจหลงเหลืออยู่อีกเลย

         เอกภาพของทั้งสามสิ่งจะอยู่ภายใต้การรับรู้ความคุมของจิตที่ตั้งมั่น รับรู้อยู่ตลอดเวลาที่ลมหายใจเคลื่อนเข้าออก รู้อยู่ตลอดเวลาถึงร่างกายที่เยื้องย้ายไปตามกระบวนท่า ภาวะจิตเช่นนี้มีความตั้งมั่น มีความบริสุทธิ์และมีพลังควรแก่การทำหน้าที่ของจิตเพิ่มขึ้นเป็นลบำดับของการฝึก

         แต่ธรรมดาของจิตใจคนเราย่อมมีความรู้สึกนึกคิดเรื่องอื่นเข้ามาปะปนหรือแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ มีอารมณ์ความรู้สึกดทุกข์สุข อยากได้ใคร่ดี มีความโกรธ ความเกลียด ความรัก ความหลง ความโลภเจือเคล้าอยู่สม่ำเสมอ แต่เมื่อเริ่มต้นการฝึกก็ต้องในการละวางอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดนี้ให้ค่อยๆจางหายออกไปจากจิตใจ เหลืออยู่ก็แต่ความรู้สึกที่รับรู้การหายใจและการเคลื่อนไหวของร่างกายที่เป็นเอกภาพ

         จนกระทั่งเมื่อใดที่จิตอยู่ในความว่าง ในขณะที่ปราณเคลื่อนไหกวเข้าออก ร่างกายเยื้องย่างไปตามกระบวนท่าโดยไม่ติดขัดสม่ำเสมอ หนักหน่วง ประณีตแล้วค่อยแปรไปถึงขั้นเบาหวิวปลิวได้ดุจปุยนุ่นนั่นแล้ว จึงนับถึงการบรรลุจุดสูงสุดของการฝึกพลังเอกธาตุท่าที่หนึ่ง.



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น