หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2566

หลวงปู่พุทธะอิสระ - ปราณโอสถ (คำปราภของครูบาอาจารย์)

 คำปรารภของครูบาอาจารย์

หลวงปู่พุทธะอิสระ

 

         มันเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายกับการที่จะเอาผลไม้ตะกร้าหนึ่งนำมาแยกให้ตรงกับประเภทของผลไม้ที่มีสุก มีหวาน มีเปรี้ยว มีมัน มีเค็ม มีเผ็ด ผลไม้ตะกร้านั้นก็คือ ความรู้ของครูที่นี่ ที่จริงพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้แยกในพระธรรมขันธ์ทั้งแปดหมื่นสี่พัน พระองค์ทรงเจอะเจอโรคอะไรกด็จะวางยาให้ตรงต่อโรคนั้น พุทธสาวกเท่านั้นที่จะมาทำหน้าที่แยกแยะโดยการทำสังคายนา ก็คือจัดหมวด หมู่พระธรรมให้เป็นสุตตันตปิฎก พระธรรมปิฎก และวินัยปิฎก ชั่วชีวิตของพระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่านี่คือวินัยปิฎก นี่คือพระอภิธรรมปิฎกหรือนี่คือพระสุตตันตปิฎก แต่หลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานไปแล้ว พวกพุทธสาวกทั้งหลายจึงมาแยกแยะหมวดหมู่ให้ง่ายต่อการเข้าถึงและเรียบนรู้ หลวงปู่ไม้ใช่พระพุทธเจ้า แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าวิชาความรู้ที่สั่งสอนอบรมมานี้ ในแผ่นดินนี้ไม่มีใครเขาสอน มันก็คือผลไม้ที่ครูคนนี้เรียนรู้มาแล้วเก็บสั่งสมมาจากประสบการณ์ข้ามภพข้ามชาติ ฉะนั้นการจะมาแบ่งให้เป็นรสเปรี้ยว รสหวาน รสมัน รสเผ็ด รสเค็ม ให้มันตรงต่อจริตและนิสัยของศิษย์ผู้เรียนรู้ศึกษา บางทีบางครั้งเห็นคนที่จะต้องกินรสเปรี้ยวมากกว่าคนที่จะต้องกินรสหวาน ก็จะต้องเลือกเอาผลไม้ชนิดนี้ออกขายก่อน ออกแจกก่อนเพื่อจะให้คนที่กินรู้สึกสะดุ้งรู้สึกตัว รู้สึกที่จะเข้าถึงรสชาติและฤทธิ์พิษของผลไม้ที่มันจะสามารถชำระชะ หรือทำลายโรคได้ระดับหนึ่ง แต่เป็นเรื่องไม่ง่ายกับการที่จะดึงเอาประโยชน์ของผลไม้ในหนึ่งตะกร้าออกมาจำแนกให้ชัดเจนทุกเรื่องทุกราว หน้าที่ของศิษย์ที่ดีก็ต้องทำหน้าที่เหมือนพุทธสาวก คือแยกแยะหมวดหมู่ของคำสอนที่ครูมีให้มา ไม่ใช่ทำหน้าที่ให้ครูมาแยกแยะ เพราะว่าโรคแต่ละคน ครูก็จะมีคำสอนแตกต่างกัน ถ้าลูกศิษย์เห็นคุณค่าของคำสอนนี้ก็ต้องทำหน้าที่แยกแยะจดบันทึกเรียบเรียงข้อมูลเพื่อให้คนชั้นหลังๆ ได้มาเข้าถึงคำสอนนั้นๆ ได้อย่างตรงไปตรงมา ถุกกับจริตและนิสัยของตนของตน

         หลวงปู่อยากบอกว่าความรู้ที่สอนนี่มันไม่มีสอนในตำรา ไม่มีครูคนไหนเขาอบรมสั่งสอนมา แต่เป็นความรู้ที่สั่งสมมาจากประสบการณ์ที่ข้ามภพข้ามชาติ เพราะฉะนั้นเมื่อศิษย์ได้รับไปแล้ว ก็ควรจะศึกษาสั่งสมและแยกแยะให้ชัดเจน และใหก้รู้ว่าขั้นตอนในการเข้าถึงยารักษาโรคของตนนั้นควรจะอยู่ในระดับใด และอยากบอกว่าต่อไปนี้ให้ทุกคนได้จดบันทึกเอาไว้บ้าง อย่ามาอาศัยแต่กำลังของครู หลวงปู่ก้แก่ลงไปทุกวัน กระบวนการเรียนรู้ศึกษาอบรม ก็ได้สอนได้อบรมตามเหตุตามปัจจัยให้เหมาะสม ฉะนั้นก็รู้จักจด รู้จักจำ รู้จักวิเคราะห์ รู้จักจัดหมวดหมู่ เหมือนกับคำสอนเรื่องอาการจิต 10 อย่าง

         การเดิน การมีความเพียร มันเป็นเครื่องเผาผลาญอกุศลและเผาผลาญกิเลส ขันติ ความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง “วิริเยทุกดขมัตเจติ” บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร  ทั้งสองสิ่งนี้บางคนเมื่อยบางคนเปลี้ย บางคนเพลียแต่ก็มีความอดทนอดกลั้นเป็นเครื่องเผาผลาญ ในขณะเดียวกันก็ช่วยกำจัดความไร้สติ ความขาดสัมปชัญญะ ความไม่มีสมาธิ ทำให้สติ สมาธิและสัมปชัญญะตั้งมั่น

         มาถึงช่วงสุดท้ายในการใช้สติ สมาธิและสัมปชัญญะ มันเหมือนว่าเราควบคุมคอนโทรลพลังภายในกายได้ การที่หลวงปู่สอนให้เดินลมไปตามจุดต่างๆ ในอารมณ์กรรมฐานทีร่ง่าด้วยเรื่องปราณโอสถ เราจะต้องรู้ให้ได้ว่าลมเดินผ่านจุดนั้น เช่นเมื่อลมเข้าจมูก ก็ต้องรู้ให้ได้ว่าลมเข้าจมูก ลมขึ้นหน้าผากก็ให้รู้ให้ได้ว่าลมขึ้นหน้าผาก ลมตั้งอยู่ที่กลางกระหม่อมก็ต้องรู้สึกให้ได้ว่ากลางกระหม่อมเรามันร้อน จิตดวงหนึ่งรู้ลม จิตอีกดวงหนึ่งก็ต้องรู้ความร้อน จิตดวงหนึ่งรู้ว่าการเคลื่อนลม จิตอีกดวงหนึ่งก็รู้ว่าลมได้ผ่านจุดที่กำหนดอย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นเราหลับตาลืมตาพริบตาเดียวจิตมันเกิดดับเป็นพันดวง ในพันดวงนั้นจิตมันประกอบไปด้วยกุศลกับอกุศลกับอัพยา-กฤตจิต คือเฉยๆ เราจะทำอย่างไรให้จิตที่เราหลับตาลืมตามันกลายเป็นจิตที่เราได้กำไรทุกดวง มีกำไรทุกดวง ดวงหนึ่งรู้ลมอีกดวงหนึ่งก็รู้ว่าลมผ่าน ดวงต่อไปก็รู้ว่าผ่านในจุดที่ต้องการให้ผ่าน ดวงต่อไปก็รู้ว่าลมได้เคลื่อนไปในจุดอื่นแล้ว ดวงต่อไปก็รู้ว่าลมได้ผ่านในจุดอื่นๆด้วย อย่างนี้เป็นต้น คือมันจะต้องรู้อย่างต่อเนื่องเป็นสายจนกระทั่งลมนั้นมันโดนพ่นออกมาอย่างนี้เป็นต้น เมื่อทำได้อย่างนี้รู้ตลอดสายอย่างนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องวิชาปราณโอสถ แม้ลมเจ็ดฐานก็สามารถทำสำเร็จได้

         ที่หลวงปู่ต้องมาแยกมันเป็นแต่ละขั้นๆ จริงๆแล้วเวลาที่หลวงปู่ฝึกหรือศึกษาไม่ได้มาแยกมัน เหมือนเราเก็บผลไม้มาจากต้น แล้วรวมใส่ในตะกร้า สุกลูกไหนก็จะเก็บกินลูกนั้น ลูกไหนยังไม่สุกก็ยังไม่หยิบมากิน หน้าที่ของลูกหลาน มันง่ายมาก ไม่ได้เก็บผลไม้ แต่อ้าปาก แล้วหลวงปู่ป้อน ฉะนั้น ต้องหาวิธีจดบันทึกเอาไว้ อย่าปล่อยให้มันสูญไปหรือหมดไป.



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น