เคล็ดวิชาเคลื่อนขยายเส้นเอ็น
ตอนที่ ๑
พักนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้
แทบทุกสัปดาห์มักจะได้ข่าวคราวมิตรคนนั้น ญาติคนนี้มีความไข้เข้าครอบงำ
และเป็นความไข้เกี่ยวกับเส้นเลือดในสมองแตกบ้าง หรือตีบบ้าง หรือขา
แขนขาไม่มีแรงบ้าง
แน่นอนว่าความไข้เหล่านั้นเป็นโรคภัยชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิต
คือเมื่อชีวิตเกิดขึ้นแล้วความชราก็ครอบงำเรื่อยไปตั้งแต่เกิดไปเรื่อยๆจนกระทั่งตาย
และระหว่างนั้นก็อาจมีความเจ็บป่วยหรือพยาธิเข้าแทรก
ทำให้ได้รับความทุกข์ทรมานเพิ่มขึ้นอีก
เป็นธรรมดาของชีวิตที่ชราและพยาธิต้องครอบงำ
เพราะทั้งสองอย่างนี้คืออุ้งหัตถ์ของมัจจุราชที่จะมาคร่าชีวิตไปสู่ความตาย
ไม่มีใครที่จะหลีกเลี่ยงให้พ้นไปได้เลย
แต่เมื่อทุกคนจะต้องตายแล้วก็ควรที่จะหาทางตายให้สบายๆสักหน่อย
ให้มีความทุกข์ทรมานน้อยสักหน่อย โดยเฉพาะความป่วยไข้หรือพยาธิที่ทำให้เส้นเลือดในสมองแตก
หรือตีบหรือตัน หรือแขน ขา อ่อนร้าไร้เรี่ยวแรงหรือเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตนั้น
ทำให้ตายอย่างทรมานและทำให้ผู้คนในครอบครัวเดือดร้อนมากและน้อยตามเวลาที่ต้องรักษาพยาบาล
ยกเว้นก็แต่เส้นเลือดใหญ่ในสมองแตกแล้วตายไปเลยก็ตายสบายหน่อย
เดือดร้อนวุ่นวายน้อยสักหน่อย และผลาญทรัพย์สมบัติน้อยลงหน่อย
วันนี้จึงจำเป็นที่จะต้องแสดงเรื่องวิชาบางเรื่องที่พอป้องกัน
แก้ไข หรือเยียวยาพยาธิหรือความป่วยไข้ที่เกี่ยวกับเส้นเลือดในสมองแตก ตีบ ตัน
หรือแขนขา ชาไร้รเรี่ยวแรงหรืออัมพฤกษ์อัมพาตได้ ขอท่านทั้งหลายได้สนใจศึกษาพิจารณาและลองฝึกฝนปฏิบัติ
เพราะไม่เสียเวลา ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่ยุ่งยากลำบากอะไรเลย
จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ลองศึกษาพิจารณาทำความเข้าใจและฝึกฝนดูก่อนก็ได้
ไม่เสียหายอะไรเลย คิดเสียว่าลองของเล่นสนุกๆ เพื่อความเพลิดเพลินบันเทิงใจก็ได้ แต่ถ้าได้มรรคผลขึ้นมาก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพชนิดที่น่าพิศวงทีเดียว
เป็นผลดีต่อการป้องกัน แก้ไข
หรือเยียวยาความป่วยไข้หรือพยาธิที่ว่ามาข้างต้นนี้ได้
แค่นี้ก็นับว่าเป็นบุญโขและคุ้มค่ายิ่งแล้ว
หลักวิชาที่ว่านี้มีชื่อว่า “เคล็ดวิชาเคลื่อนขยายเส้นเอ็น”
ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาโบราณคล้ายๆกับหลักวิชาเคลื่อนย้ายเส้นเอ็นของปรมาจารย์ตั้กม้อแห่งเส้าหลิน
แต่ต่างกันตรงที่มุ่งบำบัดรักษาโรคที่เกี่ยวกับหลอดลเอด ประสาท และเส้นเอ็น
และเนื้อแท้ก็คือการออกกำลังชนิดหนึ่ง แต่ไม่เหมือนกับการออกกำลังจากภายใน
ทำนองที่หนังสือกำลังภายในเรียกว่าเดินพลังปราณนั่นเอง
เรารู้จักกันแต่การออกกำลังกายซึ่งเป็นเรื่องของภายนอกด
ไม่ว่าการวิ่ง การจ๊อกกิ้งการฟิตเนส การว่ายน้ำ หรืออะไรในทำนองเดียวกันนี้
ล้วนแต่เป็นการออกกำลังกายภายนอกทั้งนั้น
ในส่วนภายในคือหัวใจ ตับ ไต ปอด
ม้าม เส้นเลือดต่างๆ และเส้นประสาทต่างๆไม่ได้ออกกำลังกายตามไปด้วย
หรือถ้ามีการขยับขับเคลื่อนบ้างก็เป็นผลต่อเนื่องและบางครั้งก็ได้รับอันตรายด้วยซ้ำไป
การออกกำลังจากภายในนั้นเป็นหลักวิชาที่มีมานับพันๆปี
แต่น่าเสียดายที่ไม่แพร่หลายเข้ามายังบ้านเมืองของเรา เพราะถูกอิทธิพลหลักวิชาทางตะสวันตกปิดกั้นครอบคลุมเอาไว้จนหกมดสิ้น
อย่างมากจึงได้แค่อ่านจากหนังสือกำลังภายในแล้วก็ไม่รู้ไม่เข้าใจว่ามันเป็นอย่างไรหรือไม่ก็อาจคิดว่าเป็นรเรื่องเพ้อเจ้อเพ้อฝันเท่านั้น
ความจริงมันมีอยู่จริง
แต่ก็เป็นสิ่งที่เรายังไม่รู้แล้วก็รีบชิงปฏิเสธเสีย แล้วถือว่าสิ่งที่ยังไม่รู้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มี
ทั้งๆที่สิ่งที่ไม่รู้นั้นมีมากกว่าสิ่งที่รู้สุดจะประมาณนัก
การป่วยไข้เพราะเหตุเส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบหรือตัน
หรือแขน ขาอ่อนกำลัง หรือที่เรียกว่าเป็นอัมพฤกษ์
อัมพาตนั้นเป็นความป่วยไข้ที่มีเทือกเถาเหล่ากอเดียวกัน คือเกิดจากเส้นเลือด
หรือหลอดเลือด
หรือท่อเลือดโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสมองหรือส่วนที่เชื่อมใกล้ชิดกับสมองและยังเชื่อมโยงกับเส้นปแระสาทต่างๆที่เชื่อมต่อจากสมองไปยังมือไม้แขนขา
ชีวิตเมื่อเกิดขึ้นแล้ว
ความแก่ก็ติดตามมาควบคู่กัน ยิ่งกินอาหาร ประพฤติปฏิบัติตนในทางที่ทำให้อายุขัยสั้นลง
ไม่ว่าการกินของมันมากๆ การพักผ่อนน้อยๆ การดื่มของเมามากๆ
หรือยึดมั่นถือมั่นในสิ่งไรๆมากๆ ไม่รู้จักปล่อยปละละวาง
ก็จะทำให้เส้นเลือดและเส้นประสาททั้งหลายเปราะบาง ตีบแคบ หรือมีการอุดตันขึ้น
ไม่ต้องดูอะไรมาก
ให้ดูจากท่อน้ำทิ้งหรือท่อน้ำประปาที่ใช้กันอยู่ทุกบ้านเรือนก็ได้ พอใช้ไป ๒ ปี ๓
ปี ก็มีความเกรอะกรัง ทำให้ท่อตีบตันและแตกฉันใด
เส้นเลือดและเส้นประสาทในร่างกายนี้ก็เป็นฉันนั้นไม่ต่างกันเลย
ท่อปแระปานั้นมันชำระสะสางความตีบความตัน
และความเกรอะกรังด้วยตนเองไม่ได้ ต้องอาศัยคนไปชำระชะล้าง ไม่ว่าด้วยวิธีใดๆก็ตาม
หรือเมื่อชำรุดหนักก็เปลี่ยนยใหม่ไปเสียเลย
นั่นเป็นขนาดเป็นวัตถุที่คงทนก็ใช้ได้ไม่กี่ปี
แต่ร่างกายของมนุษย์เรานี้วิเศษนัก เส้นเลือดเส้นประสาทที่เป็นแค่เนื้อเยื่อ
ยืดหยุ่น บอบบาง แต่อยู่กับร่างกดายนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย อาจจะอยู่ได้นานที่สุดถึงกัปหรือ
๑๒๐ ปีด้วยซ้ำไป จึงนับว่าเป็นส่วนอวัยวะที่แข็งแรงทนทานอย่างยิ่งจนน่าพิศวง
ความจริงทั้งเส้นเลือด
เส้นประสาทก็มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความตายสลายไปเป็ฌนธรรมดาเหมือนกัน
เป็นแต่ว่าเราแทบไม่รู้ เพราะมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เซลล์ต่างๆย่อมแก่ตัว ย่อมตายไปและหลุดออกไป
แล้วมีเซลล์ใหม่เกิดขึ้นแทนที่เป็นลำดับๆไป จนกระทั่งเมื่ออายุขัยล่วงไปมากๆเข้า
เซลล์ใหม่ก็เกิดน้อยลง แข็งแรงน้อยลง แล้วทำให้อ่อนแอลงโดยลำพดับ กระทั่งตาย
นอกจากนั้น
คนเรายังมีวิธีการเอาสิ่งเกรอะกรังหรือทำให้ควงามตีบตันบรรเทาลงหรือหายไปได้
ไม่ว่าด้วยการใช้ยาหรือด้วยการประพฤติปฏิบัติตนบางประการ
ในที่นี้ไม่พูดถึงการใช้ยา แต่พูดถึงการประพฤติปฏิบัติตน
เป็นการประพฤติตนที่มีหลักวิชาสืบเนื่องมานับพันปีแล้ว
เป็นส่วนหนึ่งของหลักวิชาเคลื่อนย้ายเส้นเอ็น
แต่ไม่ใช่วิชาเคลื่อนย้ายเส้นเอ็นโดยตรง เป็นวิชาที่นักบวชในศาสนาพุทธนิกายมหายานใช้กันโดยทั่วไป
บางทีก็เรียกว่าเป็นการเดินกำลังภายใน
หรือเป็นการเดินพลังปราณอย่างหนึ่ง อแต่จะเรียกว่าอย่างไรไม่สำคัญ
ความสำคัญอยู่ที่ปฏิบัติให้บังเกิดผลต่างหาก
ดังนั้นหลักวิชาที่ว่านี้คือการประพฤติปฏิบัติด้วยตนเอง
ทำแทนกันไม่ได้ ใช้เวลาไม่มาก แต่ขอให้ทำอย่างต่อเนื่อง ก็จะสัมฤทธิผลเป็นแน่นอน
เริ่มต้นที่เวลาประพฤติปฏิบัติตนตามหลักวิชานี้ก่อน
ให้เริ่มทำครั้งแรกตอนตื่นนอนคือไม่ว่าจะตื่นนอนเวลาไหนก็ปแระพฤติปฏิบัติไปใช้เวลาสัก
๑๐ นาที หรือ ๑๕ นาที หรืออย่างน้อยแค่ ๕ นาทีก็ได้ สุดแท้แต่ความจำเป็นหรือความสามารถจะปฏิบัติได้
การประพฤติปฏิบัติเมื่อตื่นนอนนั้น
ขณะนี้สอดคล้องกับหลักวิชาทางตะวันตกแล้ว
เพราะผลการวิจัยทางการแพทย์แผนตะวันตกนั้น พบว่าคนเราตายในเวลากลางคืนถึง ๗๐% ตายในเวลากลางวันแค่ ๓๐%
ปมเงื่อนของมันคือ
ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายในเวลากลางคืนซึ่งเป็นเวลานอนนั้น มีมากกว่าเวลากลางวัน
เพราะเมื่อคนเรานอนหลับ น้ำตาลในเลือดจะลดต่ำ การทำงานของสมองก็ลดลงเหลือเพียง ๑
ใน ๓ เท่านั้น คือเหลือเฉพาะส่วนที่เรียกว่าระบบควบคุมสำรองหรือระบบ stand
by ของอวัยวะบางส่วนเท่านั้น
ในขณะที่อวัยวะสำคัญๆอื่นก็จะพักหรือแทบจะหยุดทำงาน
ครั้นตื่นขึ้นร่างกายปรับสู่ถภาวะปกติ
หากลุกดขึ้นทันทีก็อาจรองรับกับความเปลี่ยนแปลงไม่ทัน
และเป็นเหตุให้หลายบคนเส้นเลือดในสมองแตกหรือล้มลงหลังจากดผุดลุกในทันทีทันใดที่ตื่น
ดังนั้นการเริ่มต้นการฝึกปฏิบัติในทันทีที่ตื่นนอน
โดยทำบนที่นอนนั้นจึงเท่ากับเป็นการป้องกันไม่ให้เส้นเลือดแตกหลังตื่นนอนได้อย่างมีผลยิ่ง
และทำให้ร่างกายปรับสภาพจากสภาพที่เป็นอยู่ในขณะหลับสู่ภาวะตื่นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ยิ่งเป็นคนมีอายุตั้งแต่ ๔๐ ปีขึ้นไปแล้ว
การปรับสภาพอย่างค่อยเป็นค่อยไปนี้คือการป้องกันอันตรายจากการตายแบบฉับพลันทันทีได้อีกด้วย
ดังนั้นจึงพึงตั้งใจเอาไว้ว่า
ทันทีที่รู้สึกตัวตื่นก็ให้นอนอยู่นิ่งๆก่อน อย่าเพิ่งผุดลุกผุดนั่งไปไหน
เตรียมกาย เตรียมใจที่จะฝึกวิชาที่ว่านี้
ระยะเวลาที่ฝึกฝนปฏิบัติ ถ้าจะให้ได้ผลดีก็อยู่ระหว่าง ๑๕-๒๐
นาที แต่ถ้าจำเป็นหรือมีภารกิจเร่งด่วนก็ควรทำอย่างน้อยสัก
นาทีด้วยเวลาเพียงเท่านี้ก็จะเห็นผลชัดว่าเมื่อลุกขึ้น
ก็จะลุกขึ้นอย่างสะดวกสบาย แคล่วคล่อง ว่องไวและมีความรู้สึกว่าตัวเบาขึ้น
นั่นเพราะร่างกายมีความพร้อม
และได้ปรับสภาพจากภาวะหลับสู่ภาวะตื่นอย่างเต็มที่แล้ว
อยากจะรับรองว่าถ้าทำได้ทุกวันวันละ ๒๐ นาที
ก็จะมีชีวิตยืนยาวอย่างน้อย ๘๐ ปี โดยไม่มีวันที่เส้นเลือดในสมองจะแตก หรือตีบ
หรือตัน ไม่มีวันที่จะเป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาตเป็นอันขาด
หรือถ้าใครเป็นและถ้าฝืนใจกล้ำกลืนปฏิบัติตนให้ได้ ไม่ช้าไม่นานเกิน ๖
เดือนดอกก็จะได้สัมผัสกับชีวิตใหม่ที่มีความเป็นปกติสุขมากขึ้น
การปฏิบัติตามหลักวิชานี้ใช้เพียงแค่ฝ่ามือทั้งสองและฝ่าเท้าทั้งสองเท่านั้น
โดยเวลาเริ่มต้นการฝึกปฏิบัติ ให้นอนหงาย เหยียดเท้าทั้งสองตรง
และทอดมือทั้งสองไว้ข้างลำตัวในลักษณะตรง หงายมือทั้งสองขึ้น
เมื่อนอนนิ่งในลักษณะที่ยืดแขน
ขาให้ตรง พร้อมกับหงายฝ่ามือทั้งสองดังกล่าวแล้ว
ก็ให้ลองเกร็งแขนทั้งสองก่อนแล้วค่อยๆเคลื่อนไปถึงฝ่ามือทั้งสอง เพิ่มความเกร็งขึ้นเหมือนกับการถือลูกน้ำหนักไว้ในมือ
เคลื่อนการเกร็งไปมาสัก ๒-๓ ครั้ง
ถัดจากนั้นก็ลองเกร็งขาในลักษณะเดียวกัน
คือเกร็งจากโคนขาไปก่อนถึงหัวเข่า ถึงหน้าแข้ง ถึงตาตุ่ม และเท้าทั้งสอง
เคลื่อนการเกร็งจนสุดปลายนิ้วเท้าแล้วเคลื่อนกลับทวนขึ้นมา
ย้อนลงไป เคลื่อนขึ้นมา ย้อนลงไป เคลื่อนขึ้นมา แล้วย้อนลงไป
เพียงเท่านี้ก็เท่ากับได้สองกำลังหรือพลังจกาภายในกายนี้แล้ว
อาจจะรู้สึกเหนื่อยบ้างก็เป็นธรรมดา
ซึ่งต้องตระหนักรู้ว่าการเคลื่อนพลังภายในนั้นแม้ใช้เวลาอันน้อยอันสั้น
แต่ความเหนื่อยจะเหมือนกับการออกกกำลังกายภายนอกมากๆนั่นเอง
เมื่อพูถึงเวลาเริ่มต้นการปฏิบัติ
ระยะเวลาที่ใช้และการเตรียมดังกล่าวแล้วก็มาถึงกระบวนท่าที่จะฝึกหรือปฏิบัติ
ซึ่งมีอยู่ ๓ กระบวนท่าง่ายๆไม่ยากไม่ลำบากเลย
กระบวนท่าแรก มีชื่อเรียกว่า
“อินทรีขยุ้มเหยื่อ” กระบวนท่าที่สอง มีชื่อเรียกว่า “เสือบี้เห็บ”
กระบวนท่าที่สาม มีชื่อเรียกว่า “กรงเล็บกรีดพิณ”.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น