วิธีเจริญอายุด้วยอิทธิบาท
๑. ความในพระสูตร “ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้...ดูกร อานนท์
ผู้หนึ่งผู้ใดเจริญอิทธิบาทสี่ ทำให้มาก ทำให้เป็นประหนึ่งยาน
ทำให้เป็นประหนึ่งวัตถุที่ตั้งไว้เนืองๆ อบรมไว้ ปรารภด้วยดีโดยชอบแล้ว ผู้นั้นเมื่อปรารถนาก็พึงดำรงชีวิตได้ตลอดกัปหรือเกินกว่ากัป”
๒. ความหมายของความในพระสูตร
“ทำให้มาก” หมายถึงการเจริญอิทธิบาทสี่
โดยอาศัยสมาธิใหก้มากดให้ต่อเนื่อง
“ทำให้เป็นประหนึ่งยาน”
คือการอาศัยอิทธิบาทในสมาธิเป็นตัวขับเคลื่อนเพื่อทำให้ความ “ปรารถนา”
ปรากฏเป็นจริง
“ทำให้เป็นประหนึ่งวัตถุ” คือการเจริญอิทธิบาทโดยกำลังสมาธิจนจิตมีความตั้งมั่นสูงสุด
ไม่มีโทมนัส โสมนัส มีแต่ความเป็นอุเบกขาและสติมั่นคง
“อบรมไว้” คือการเจริญอิทธิบาทโดยอาศัยกำลังสมาธิให้มีความก้าวหน้ามั่นคงเป็นลำดับไป
“ปรารถนาด้วยดีโดยชอบ” คือการพิจารณาเห็นความจริงตามธรรมชาติว่าอายุ
และอิทธิบาทธรรมยืนยาวได้ถึงกัปหรือกว่ากัป
และอิทธิบาทธรรมคือยานหรือเครื่องมือในการทำให้อายุสังขารเป็นธรนรมชาติ
คือยืนยาวถึงกัปหรือกว่ากัป แล้วมีความปรารถนาที่จะมีอายุถึงกัปหรือกว่ากัป
“เมื่อปรารถนา” คือการตั้งอธิษฐานหรือกระทำอธิษฐานฤทธิ์
ปรารถนาให้อายุ สังขารยืนยาวตลอดกัปหรือเกินกว่ากัป
(คำว่าปรารถนาโดยทั่วไปอาจมีความหมายโน้มไปในลักษณะที่มีกิเลสเจือปน
แต่ปรารถนาในที่นี้มีความหมายในลักษณะที่ใกล้เคียงกับคำที่ว่าเจตนา นั่นคือเมื่อปรารถนาด้วยดีโดยชอบแล้วจิตก็น้อมไปตั้งอธิษฐานโดยมีเจตนาให้อายุ
สังขารเจริญตลอดกัปหรือกว่ากัป
นี่คือปัญหาของภาษาที่อาจทำให้ความเข้าใจไขว้เขวห่างไกลออกไปจากพุทธธรรม
๓. ตัวอย่างในระยะใกล้ของการเจริญอิทธิบาทสี่
ในโพธิกาลและอดีตกาลโพ้นมีแบบอย่างมากมาย
แต่เฉพาะในระยะใกล้นี้ก็มีตัวอย่างให้เห็นถึงการเจริญอิทธิบาทสี่ เช่น
๓.๑
กรณีสมเด็จพระสังฆราชเจ้าองค์พระอุปัชฌาย์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอุปแสมบท
ครั้งนั้นสมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงประชวรหกนัก มีอาการมาก
ไม่อาจทรงพระวรกายตั้งอยู่ใหก้เป็นปกติได้นานๆ ถึงขนาดที่ทรงวิตกว่าเมื่อถึงกาลพิธีอุปสมบทอาจจะไม่สามารถลงพระอุโบสถได้
แต่ในที่สุดก็ทรงรำลึกถึงความในพระสูตรข้างต้น
ดังนั้นเมื่อถึงเวลาจะลงพระอุโบสถเพื่อทำพิธีอุปสมบทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพะระสังฆราชเจ้าก็ได้เข้าสมาธิเจริญอิทธิบาท
แต่ทรงตั้งปรารถนาเพียงแค่ให้สามารถดำรงพระวรกายเพื่อทำพิธีอุปสมบทให้เสร็จสิ้นเท่านั้น
และตลอดเวลาดังกล่าวก็ทรงปฏิบัติหน้าที่พระอุปัชฌาย์ได้บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดพิธีด้วยกำลังอำนาจสมาธิและอิทธิบาทนั้น
๓.๒ เมื่อครั้งที่ท่านเจ้าคุณพุทธทาสอาพาธหนัก
มีอาการมาก มีอาการหัวใจวาย เส้นเลือดหัวใจตีบ น้ำท่วมปอด และความดันโลหิตสูงมาก
คณะแพทย์หลววงลงไปที่ไชยา แล้วอัญเชิญกระแสพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปถวายท่านเจ้าคุณถึงเตียงผู้ป่วย
เมื่อท่านเจ้าคุณพยุงกายในท่านั่งสมาธิบนเตียงผู้ป่วยแล้ว
แพทย์หลวงได้อัญเชิญพระราชกระแสว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขออาราธนาว่าอย่าเพิ่งดับขันธ์
ขอให้อยู่ช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนาก่อน ครั้งนั้นท่านเจ้าคุณอึ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า
และกล่าวว่าอาตมารับอาราธนาแต่จะอยู่เพียงเท่าที่เหตุปัจจัยจะอำนวยให้เท่านั้น
คืนวันนั้นท้านเจ้าคุณได้เข้าสมาธิ
เจริญอิทธิบาทสี่ตามที่รับอาราธนา ในวันรุ่งขึ้นอาการเส้นเลือดหัวใจตีบหายไป
อาการน้ำท่วมปอดลดลงเกือบหมด ความดันโลหิตสูงลดลงเป็นปกติ
หลังจากพักฟื้นระยะหนึ่งท่านเจ้าคุณก็หายเป็นปกติและปฏิบัติศาสนกิจต่อมาอีกหกลายปี
จนถึงปลายปีก่อนดับขันธ์เป็นเดือนธันวาคม
ท่านเจ้าคุณได้ปลงอายุสังขารท่ามกลางพุทธบริษัทจำนวนมากว่าได้รับอาราธนาพระเจ้าอยู่หัวไว้
และได้อยู่ต่อมาเป็นเวลาสมควรแล้ว ภาระหน้าที่หมดแล้ว เหตุปัจจัยที่จะอยู่ไม่มีแล้ว
จึงขอลาท่านทั้งหลาย
เหตุการณ์ในวันนั้นในพลันที่ท่านเจ้าคุณปลงอายุสังขารเสร็จ
สายลมกระโชกแรง ใบไม้ร่วงกราวทั้งสวนโมกข์ พุทธบริษัทร่ำไห้ทั่วทั้งลานธรรม
และมีการแจ้งข่าวเรื่องท่านเจ้าคุณปลงอายุสังขารไปยังสานุศิษย์โดยถ้วนหน้ากัน
๓.๓ เมื่อครั้งที่สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริยานก วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงประชวรหนัก มีอาการมาก
มีข่าวลือไปถึงเขมรว่าทรงสิ้นพระชนม์แล้ว แต่ปรากฏว่าไม่เป็นความจริง
ในครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถได้เสด็จเยี่ยมสมเด็จพระสังฆราชถึงเตียงที่ประทับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสว่าพระอาจารย์
พระอาจารย์ หม่อมฉันและพระราชินีมาเยี่ยม ยาที่ไหนดี หมอที่ไหนดี
ก็หามาช่วยรักษาพระอาจารย์หมดแล้ว ต่อไปนี้พระอาจารย์ต้องช่วยพระองค์เองแล้ว
จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินกลับ
สมเด็จพระสังฆราชทรงเล่าให้ผู้ใกล้ชิดฟังว่า
ในเวลานั้นพระองค์เข้าอยู่ในภวังค์โคม่า)แล้ว
ครั้นได้ยินพระสุรเสียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สติก็ฟื้นกลับมา
ทรงได้ยินกระแสพระราชดำรัสชัดเจน ทรงรู้สึกพระองค์ว่าทรงพยักหน้า
และทรงรำลึกถึงความในพระสูตรข้างต้นนี้ พระสติก็ตั้งมั่น และทรงเจริญอิทธิบาทสี่
ทำให้พระองค์สร่างคลายจากพระอาการประชวร
๔. อิทธิบาทสี่คืออะไร?
อิทธิบาทสี่เป็นวิหารธรรมชนิดหนึ่ง คือเป็นที่ตั้ง
ที่อาศัยของจิต เนื่องจากร่างกายต้องมีอาคารเป็นที่พักอาศัย หลบร้อนหลบหนาวให้ปลอดภัยจากอันตราย
จิตก็มีอาคารเป็นที่พักอาศัย คือวิหารธณรม หากไม่มีวิหารธรรมจิตก็จะเปลี่ยวเปล่าล่อนจ้อนร้อนรุ่มและเป็นอันตรายได้โดยง่าย
วิหารธณรมใดจิตเข้าไปตั้งอาศัยก็ได้ชื่อว่าจิตสถิตในวิหารธรรมนั้น เช่นพรหมวิหาร
อานาปนสติวิหาร อิทธิบาทวิหาร อริยวิหาร ตถาคตวิหาร เป็นต้น อริยวิหารและตถาคตวิหารนั้นเป็น
วิหารธรรมขั้นสูง
ตั้งแต่การบรรลุถึงอรูปฌานจนถึงภูมิพระอรหันต์ ส่วนพรหมวิหาร อานาปานสติวิหาร
อิทธิบาทวิหาร เป็นวิหารธรรมที่คนธรรมดาทั่วไปเข้าถึงได้
และเมื่อเจริญธรรมเหล่านั้นแล้วก็สามารถตั้งจิตไว้ในวิหารธรรมเหล่านั้นได้
และสามารถยกระดับที่สูงขึ้นไปได้
ดังที่พระตถาคตเจ้าตรัสว่าพระองค์มีปกติอยู่ในอานาปานสติวิหาร
อิทธิบาทสี่เป็นองค์ธรรมแห่งความสำเร็จ ประกอบด้วยฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา
ความสำเร็จทั้งปแวงไม่ว่าในทางโลกหรือทางธรรมจักสำเร็จได้ด้วยอิทธิบาททั้งนั้น หากขาดอิทธิบาทแล้วก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ
การฝึกฝนอบรมจิตและการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาพระตถาคตเจ้าจึงทรงเน้นทรงย้ำเป็นอันมากว่าต้องอาศัยอิทธิบาท
อิทธิบาทเป็นรากฐานหรือบาทฐานของอิทธิปาฏิหาริย์
นั่นคือการกระทำความสำเร็จอย่างอัศจรรย์ต้อวงอาศัยอิทธิบาท
เหตุนี้อิทธิบาทธรรมสี่ประการคือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
จึงได้ชื่อว่าอิทธิบาท ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่าเท้าหรือรากฐานของการกระทำความสำเร็จที่อัศจรรย์
ถ้าไม่มีเท้าก็เดินไม่ได้ฉันใด ไม่มีอิทธิบาทก็กระทำอิทธิปาฏิหาริย์ไม่ได้ฉันนั้น
เพราะการกระทำอิทธิปาฏิหาริย์นั้นต้องอาศัยกำลังสี่อย่าง คือ
กำลังสมาธิ กำลังฌาน ดำลังอิทธิบาท และกำลังอธิษฐาน
กำลังทั้งหมดนี้กำลังอิทธิบาทืก็คือกำลังเท้าหรือรากฐานของการทำความสำเร็จที่อัศจรรย์นั่นเอง
ในอดีตกาลโพ้น การมีอายุตลอดกดัปเป็นเรื่องปกติ
เป็นเรื่องธรรมดา ดังที่พระตถาคตเจ้าทรงตรัสไว้ในหลายที่ว่า
ในกัปก่อนๆอายุมนุษย์เกินกว่าหมื่นปีก็มี และค่อยๆลดลงโดยลำดับ
เพราะมนุษย(ทำเหตุปัจจัยให้อายุลดลงเอง และทรงตรัสว่าในปัจจุบันกัปนี้มนุษย์มีอายุแค่
๑๐๐ ปี มากน้อยไปกว่านี้ก็ไม่มาก แต่ความหมายของคำว่ากัปในปัจจุบัน กัปคือ ๑๒๐ ปี
ดังนั้น จึงทรงแสดงไว้ในมหาปรินิพพานสูตรว่าผู้ที่เจริญอิทธิบาทสี่สามารถปรารถนาใหก้มีอายุตลอดกัปหรือกว่ากัปได้
คือ มีอายุถึง ๑๒๐ ปีหรือเกินกว่า ๑๒๐ ปีได้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้มีพระคุณอันประเสริฐ ทรงเลิศในธรรม
ทรงแจ้งในคำตรัสสอนของพระบรมศาสดาในประการนี้อย่างดีเป็นแน่ ดังที่ทรงตรัสในกาลมหามงคลสมัยวันเฉลิมพระชนมพรรษาปีหนึ่งว่าพระองค์จะมีพระชนมายุ
๑๒๐ ปี
๕. วิธีเจริญอิทธิบาทสี่ตามความในพระสูตร
โดยวิธีฝึกฝนอบรมจิตเพื่อบรรลุถึงวิมุตตะมิตินั้นมีอยู่สามหนทาง
คือหนทางวชิรวิมุต ปัญญาวิมุต และเจโตวิมุต ดังนั้นผู้ที่ฝึกฝนอบรมจิตไม่ว่าหนทางไหนก็มีวิสัยและสามารถเจริญอิทธิบาทได้ทั้งสิ้น
ยกเว้นก็แต่ผู้ที่เดินหนทางวชิรมุตในขั้นต้น
กำลังของจิตและสมาธิอาจจะห่างไกลและไม่เป็นระบบที่จะมีกำลังพอเพียง ในขณะที่ผู้ที่ฝึกฝนอบรมในหนทางปัญญาวิมุตและเจโตวิมุตกำลังจิต
กำลังสมาธิจะก่อตัวเกิดขึ้นเป็นลำดับๆไป
การเจริญอิทธิบาทสี่เพื่อการเจริญอายุนั้น เป็นอธิษฐานฤทธิ์ชนิดหกนึ่ง
ดังนั้นจึงง่ายและสะดวกสำหรับผู้ปฏิบัติในหนทางเจโตวิมุต
คือตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ปฐมฌานไปจนถึงจตุตถฌานก็อยู่ในวิสัยที่จะเจริญอิทธิบาทสี่เพื่อปรารถนาความมีอายุยืนตลอดกัปได้ทั้งนั้น
สำหรับผู้ปฏิบัติในหนทางปัญญาวิมุตในขั้นต้นของกายกายานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น
กำลังจิตและกำลังสมาธิยังอ่อนอยู่ ไม่อยู่ในขีดขั้นที่จะเจริญอิทธิบาทสี่ให้เป็นผลได้
แต่เมื่อใดที่กายสงบรำงับ เวทนาสงบรำงับ
คือปฏิบัติถึงขั้นที่สี่ของเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานแล้วก็เริ่มตั้งแต่อยู่ในวิสัยที่จะเจริญอิทธิบาทสี่ให้เป็นผลได้
การเจริญอิทธิบาทสี่ให้เป็นผลได้อย่างสมบูรณ์แน่นอนก็คือ
การเจริญอิทธิบาทสี่ในขณะที่ได้จตุตถฌานแล้ว นามกายแปรสภาพเป็นทิพยกดายแล้ว
กำลังสมาธิ กำลังฌาน และกำลังอิทธิบาทอยู่ในขั้นสูง และกำลังอธิษฐานก็อยู่ในขั้นสูง
จึงกระทำอธิษฐานฤทธิ์ด้วยอิทธิบาทได้อย่างสมบูรณ์
แต่ลบำดับของการได้ผลตั้งแต่ขั้นต้นๆก็มีอยู่
นั่นคือเริ่มตั้งแต่จิตเป็นสมาหิโตคือตั้งมันเป็นปาริสุทโธคือมีความบริสุทธิ์ เป็นกัมมนิโย
คือมีกำลังควรแก่การทำงานของจิตตามฐานะและลำดับภูมิ ก็อยู่ในวิสัยที่จะเจริญอิทธิบาทสี่ได้
ต้างกันก็ตรงระดับของภูมิธรรม ถ้าภูมิธรรมต่ำก็ได้ผลน้อยไม่เต็มที่ ภูมิธรรมสูงก็ได้ผลมากด
ที่ได้ผลน้อยคือได้ผลไม่ถึง ๑๒๐ ปี หรือยังมีโณคร้ายกลุ้มรุมบ้าง
ถ้าได้ผลสมบูรณ์ก็ได้ปผลถึงกัป และมีสุขภาพกายใจดีด้วย
โดยสรุป
เมื่อจะเจริญอิทธิบาทสี่ก็ต้องทำจิตใจให้เป็นสมาธิและมีอารมณ์ปีติ สุข เกิดขึ้น
คือตั้งแต่ปีติ สุข ที่เกิดแต่วิเวกเป็นลำดับไป เป็นปีติ สุข เกิดแต่สมาธิ และละปีติ
สุข จนเป็นอุเบกขาในที่สุด
สำหรับผู้ที่บรรลุถึงจตุตถฌานหรือบรรลุถึงจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานแล้ว
เมื่อจะเจริญอิทธิบาทสี่ก็ต้องถอนอารมณ์ออกจากอุเบกขา ออกจากอัปนาสมาธิสู่อุปจารสมาธิ
และกำหกนดอารมณ์ปีติ สุข ที่ปราศจากอามิสใหก้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ในอารมณ์นี้คืออารมณ์ที่จะเจริญอิทธิบาท เพราะในอารมณ์อุเบกขานั้นตั้งอธิษฐานได้
ระดับของสมาธิในอัปปนาสมาธิก็ตั้งอธิษฐานไม่ได้ การเจริญอิทธิบาทจึงต้องถอนกำลังสมาธิออกมาจากอัปปนาสมาธิมาอยู่ที่อุปจารสมาธิก่อนเสมอ
แม้อิทธิบาทจะประกอบด้วยองค์สี่ แต่แท้จริงก็เป็นองค์เดียว
ดุจดังเชือกที่มีด้ายร้อยรวมกันถึง ๔ เส้น ด้ายทั้ง ๔
เส้นก็คือเชือกเส้นเดียวคืออิทธิบาท
โดยสรุป
ลำดับและขั้นตอนในการเจริญอิทธิบาทสี่เพื่อการเจริญอายุจึงเป็นดังต่อไปนี้
ขั้นที่หนึ่ง เข้าสมาธิ เจริญสมาธิจนจิตเป็นสมาหิโต
ปาริสุทโธ และกัมมนิโย เข้าสู่ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน
และจตุตถฌาน(หรือเจริญกายนุปัสสนาสติปัฏฐานสู่เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน)
ถ้าภูมิธรรมไม่ถึงขั้นที่สุดก็เจริญเอาเท่าที่เข้าถึงและดำรงจิตอยู่ในอุเบกขา
(ชนิดเดียวกับอุเบกขาสัมโพชฌงค์) ในภาวะเช่นนี้กำลังสมาธิเข้าถึงอัปปนาสมาธิ
กำลังฌานเข้าถึงภูมิธรรมแห่งฌานที่เข้าถึง
ขั้นที่สอง
ถอนสมาธิออกจากอัปปนาสมาธิสู่อุปจารสมาธิ
และถอนกำพลังฌานออกจากอุเบกขามาอยู่ที่ปีติและสุขที่ปราศจากอามิส
และอาศัยกำลังสมาธิในอุปจารสมาธิ
ขั้นที่สาม
เจริญอิทธิบาทสี่ในอุปจารสมาธิ และในอารมณ์ฌานปีติสุขที่ปราศจากอามิสในเอกคตารมณ์นั้น
กำหนดจิตให้มีฉันทะในการมีอายุตลอดกัปหรือกว่ากัป เพ่งกำลังจิตด้วยความเพียรหกรือกำลังแห่งวิริยะ
เพื่อจะมีอายุตลอดกัปหรือกว่ากัป พิจารณาด้วยปัญญาเห็นเหตุแห่งการมีอายุยืนตลอดกัป
และเห็นเหตุที่ทำให้อายุไม่ยืนตลอดกัป ใส่ใจที่ความมีอายุยืนตลอดกัป
และกำหกนดในจิตละวางหรือดับเหตุที่ทำให้อายุไม่ยืนตลอดกัป
เจริญเหตุปแจจัยที่ทำให้อายุยืนตลอดกัป
ในสภาวธรรมเช่นนี้จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว เคลียเคล้าอยู่ด้วยปีติและสุขปราศจากอามิสในกำลังอุปจารสมาธิ
โดยกำลังอิทธิบาทเจริญขึ้นในระดับที่ผสมผปสานเป็นหนึ่งเดียวกัน
ขั้นทมี่สี่ เป็นขั้นกระทำอธิษฐานฤทธิ์
คือ ตั้งความปรารถนาด้วยกำลังอธิษฐานของจิตปรารภความปรารถนาที่ตจะมีอายุยืนตลอดกัปหรือกว่ากัป
โดยมีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่ดีสมบูรณ์ เจริญอยู่เช่นนั้นตามความในพระสูตรเป็นที่พอใจแล้วจึงถอนจิตออกจากฌาน
จากสมาธิ สู่ความเป็นปกติ กระทำเช่นนี้เนืองๆ คือกระทำให้มาก
อำนาจแห่งอธิษฐานฤทธิ์ก็จะทำให้มีอายุยืนตลอดกัปหรือกว่ากัป
ดังคำตรัสของพระตถาคตเจ้านั้น
นั่นเป็นการเจริญอิทธิบาทสี่ประกอบกับการทำพอธิษฐานฤทธิ์
ซึ่งเป็นปกติของสามัญชนที่มีวิสัยเข้าถึงและทำได้ สำหรับผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดินนั้นมีฤทธิ์พิเศษโดยธรรมชาติ
เหมือนกับธรรมชาติของนกที่บินไปในอากาศได้ เรียกว่า “บุญฤทธิ์”
ดังนั้นผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งมีบุญฤทธิ์โดยธรรมชาติ
จึงอยู่ในวิสัยที่จะเจริญอิทธิบาทให้ได้ผลมากและสมบูรณ์มากกว่าคนทั่วไป.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น