พุทธทาสภิกขุ - สรุปความธรรมะเล่มน้อย
-บรรยายเมื่อ
๒๖ มีนาคม ๒๕๒๖
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย
การบรรยายประจำวันเสาร์
แห่งภาคมาฆบูชา เป็นครั้งที่ ๑๒ ในวันนี้ อาตมาก็ยังคงกล่าวเรื่อง ธรรมะเล่มน้อย
ต่อไปตามเดิม. และเนื่องจากครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของภาคนี้
ก็เป็นการกล่าวสรุปข้อความทั้งหมด ที่ได้กล่าวมา.
เราได้พูดกันถึงเรื่องธรรมะเล่มน้อย
คือข้อความที่เป็นที่สรุปรวมของธรรมะทั้งหลายเรียกว่าทั้งจักรวาลของธรรมะ
เอามาพูดให้เป็นใจความสั้นๆ ครับถ้วน สะดวกแก่การศึกษาอย่างธรรมดาๆ ด้วยภาษาธรรมดาๆ
เมื่อจดจำได้แล้ว ก็จะประกันความฟั่นเฝือในการที่จะศึกษาธรรมะทั้งหมดทั้งปวง
ในพระพุทธศาสนา ครั้งนี้เป็นการสรุปข้อความทั้งหมด ตั้งแต่ต้นจนจบ
ขอให้กำหนดให้ดีๆ คงจะมีประโยชน์.
จากธาตุตามธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง
ก็มาถึงเรื่องจิต, จนอะไรๆ ก็คือจิต
มาถึงโพธิจิต, จากอะไรๆ ก็คือจิต
สามบรรทัด : จากธาตุถึงจิต,
จากจิตทุกชนิดมาถึงโพธิจิต,
จากโพธิจิตก็ถึงนิพพาน.
ทุกสิ่งเป็นธาตุ,
ปรุงกันจนเกิดจิต.
ธรรมะเล่มน้อยก็หมายความว่า
จะพูกันให้สั้นที่สุด รวบรวมมาให้หมดที่สุด พูดไว้ในลักษณะที่มันสั้นที่สุด
ธรรมะทั้งหมดในพระพุทธศาสนาจะมีเท่าไรรก็ตาม
เราอาจจะพูดได้ด้วยข้อความเพียงสองสามบรรทัด ว่าธาตุตามธรรมชาติ ปรุงแต่งกันจนเกิดสิ่งที่เรียกว่าจิต
นี้บรรทัดที่หนึ่ง.
ธาตุทั้งหลายตามธรรมชาติปรุงแต่งกัน จนเกิดสิ่งที่เรียกว่า จิต; ฉะนั้นอะไรๆ ก็คือจิต. ทุกอย่างรวมอยู่ที่จิตหรือคือจิต
นี้ละเอียดหน่อย ต้องพูกันหลายคำ. จากอะไรๆ ก็คือจิต ก็มาถึงโพธิ
จิต คือจิตอันสูงสุด. จากโพธิจิต
ก็มาถึงนิพพาน เรื่องมันก็จบ.
จะทบทวนอีกครั้งหนึ่งว่า
จากธาตุตามธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง ก็มาถึงเรื่องจิต จนอะไรๆ ก็คือจิต
มาถึงโพธิจิต, จากอะไรๆ ก็คือจิต จนมาถึงถึงโพธิจิต, จากโพธิจิตก็ถึงนิพพาน
สามบรรทัด : จากธาตุถึงจิต, จากจิตทุกชนิดมาถึงโพธิจิต,
จากโพธิจิตก็ถึงนิพพาน. นี่ท่านทั้งหลายหฟังให้ดี สังเกตดูให้ดี
ว่ามันสรุปกันเพียงไร เป็นการย่อมากมาย เป็นการย่ออย่างยิ่งเพียงไร.
ข้อแรกที่ว่าอะไรๆ ก็สักว่าธาตุตามธรรมชาติ
จะต้องเข้าใจว่า ไม่มีอะไรที่มิใช่ธาตุ ซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติ
รูปธรรมนามธรรมก็ตาม ล้วนแต่เป็นสักว่าธาตุ ถ้าพูดกันอย่างชาวบ้านที่สุด
ก็ต้องพูดว่า นับตั้งแต่ขี้ฝุ่นเม็ดหนึ่งจนถึงพระนิพพาน มันก็คือธาตุด้วยกันทั้งนั้นแหละ; แม้แต่พระนิพพาน ก็คือ นิพพานธาตุ.
ขี้ฝุ่นเม็ดหนึ่งไม่มีราคาอะไรเลย ก็เป็นเรื่องวัตถุธาตุ, เป็นนามธาตุ
เป็นสังขตธาตุ. แล้วก็มีอสังขตธาตุคือ นิพพาน.
นี้คือคำที่จะต้องจำไว้เป็นหลักว่า มันไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธาตุ ในหลักพระพุทธศาสนานั้น
ไม่มีอะไรที่มิใช่ธาตุตามธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่จะจัดว่าเป็น ตัวตนหรือเป็นของตนได้
เพราะว่ามันเป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ.
ที่เป็นหลักใหญ่ๆ
ก็ว่ามีอยู่ ๖ ธาตุ คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ฝ่ายรูปธาตุ,
วิญญาณธาตุ, วิญญาณธาตุนี้เป็น ฝ่ายนาม แล้วก็อากาสธาตุ
คือธาตุแห่งความว่าง ซึ่งไม่ควรจะจัดเป็นรูปหรือเป็นนาม แต่เขาก็จะจัดกันเป็นนาม.
มันไม่ใช่เรื่องจิตที่จะมาจัดเป็นนาม ควรจะเรียกว่าธาตุที่มิใช่รูปมิใช่นาม
คืออากาสธาตุ ที่ว่าง นี่เรียกว่าธาตุทั้ง ๖ ถ้าจะมีนิพพานธาตุมาสงเคราะห์ในกลุ่มนี้
ก็จะสงเคราะห์ในพวกอากาสธาตุ คือที่ว่างจากรูปและนาม
แต่ก็ไม่มีการจัดหรือกล่าวไว้ ไม่เคยพบ, บางที่จะพบว่ามีคนจัดอากาสธาตุว่าเป็นาสังขตธาตุเสียอีก
ก็เลยเป็นนิพพานไปไม่ได้ ทั้งนี้เพราะว่าเราเข้าใจความหมายของคำว่าอากาสธาตุนั้นต่างกันมาก
คำอธิบายต่างๆ ไม่เป็นที่ยุติ แต่เอาเป็นว่า ให้ธาตุทั้ง ๖ นี้อยู่ในฝ่ายสังขตธาตุ
ทีนี้ธาตุนอกไปจากนั้น ก็คืออสังขตธาตุหรือนิพพาน
ถ้าไม่เคยรู้เรื่องมาบ้างก่อน ก็คงจะงงหรือฟั่นเฝือ.
เอาละจะได้พูดไปตามลำดับ
ธาตุ ๖ มีอยู่ตามธรรมชาติ ประกอบกันเข้าเป็นนามและรูป ธาตุดิน
ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ยนี้เป็นรูป แล้วก็ธาตุวิญญาณนี้เป็นนาม,
อากาสธาตุเป็นที่ตั้งแห่งรูปและนาม มันจึงมีครบ
คือธาตุทั้งหลายประกอบกันเข้า แล้วก็มีสิ่งที่เรียกว่ารูปและนามเกิดขึ้นมา
รูปคือฝ่ายร่างกาย นามคือฝ่ายจิตใจ. แล้วมันก็ฝ่ายจิตใจนั่นแหละ
เป็นหลักใหญ่หรือเป็นประธาน ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายของคน
หรือของสัตว์ หรือเป็นต้นไม้ เป็นต้น. แล้วมันมีธาตุที่มองไม่เห็นตัว เรียกว่า
วิญญาณธาตุ ทำหน้าที่อยู่ในนั้น คือรู้สึกได้ อย่างน้อยก็รู้สึกได้ หรือมีชีวิตได้
และที่ว่ามีที่ว่างเป็นที่ตั้งแห่งธาตุทั้งปวง นี้ก็ฟังยากสำหรับคนที่ไม่เคยศึกษา
แต่จะพูดได้ง่ายๆว่า มันต้องมีที่ว่าง มันจึงมีอะไรเข้าไปตั้งอยู่ที่นั่นได้; เหมือนก้อนหินก้อนนี้ มันจะมาวางอยู่ตรงนี้ มันต้องมีที่ว่าง นี่เรียกว่า
วัตถุก็ตั้งอยู่ที่ที่ว่างจากวัตถุ ถ้าเป็นนามเป็นจิตมันก็ต้องตั้งอยู่
ที่ที่ว่างจากนามหรือจากจิต ต่างก็มีที่ว่างให้เป็นที่ตั้งของสิ่งทั้งปวง.
คำว่าความว่างนี้เป็นคำประหลาด
มีความหมายที่ยักย้ายได้หลายอย่างหลายประการ แล้วกลายเป็นสิ่งที่มีค่า
ถ้ามันไม่มีที่ว่างให้สิ่งใดมาตั้งอยู่บนความว่าง มันก็มาตั้งไม่ได้
มันก็ไม่มีอยู่; เช่นว่าโลกนี้มันก็ไม่มี. หรือดูกันง่ายๆ
ภาชนะทั้งหลาย เป็นถ้วย เป็นชาม เป็นโอ่ง เป็นอ่าง เป็นไห
เพราะมันมีที่ว่างอยู่ในนั้น มันจึงใช้ประโยชน์ได้ คือใช้ใส่ของอื่นได้
ถ้าว่าถ้วยชามโอ่งไหมันไม่กลวง มันไม่มีที่กลวงเป็นที่ว่าง มันก็ใช้ใส่อะไร ไม่ได้
แล้วมันก็ไม่มีราคาเลย ฉะนั้นเพราะความที่มันมีที่กลวง มีที่ว่าง มีความกลวง ว่าง
มันจึงมีประโยชน์ใช้ใส่อะไรได้. นี่ท่านทั้งหลายต้องรู้จักไว้เสียด้วยว่า
แม้ความว่างความกลวงที่ไม่มีอะไรเลยนั้นน่ะ มันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญ
จึงจัดไว้ว่าเป็นธาตุชนิดหนึ่งด้วยเหมือนกัน. เรียกว่าธาตุว่าง
จะดูกันไปที่สิ่งอื่นก็ได้ แต่ไม่ใช่เรื่องของเรา มาดูกันที่เรื่องตัวเราดีกว่า.
คนๆ หนึ่งที่สมมติว่าคนๆ
หนึ่งนี้ ก็คือมี ดิน น้ำ ไฟ ลม มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แล้วก็มีธาตุใจ
คือธาตุจิต, แล้วก็มีธาตุว่าง เพื่อให้ธาตุทั้งหกลายเหล่านั้นตั้งอยู่ได้.
ในคนๆ หนึ่ง โดยสมมตินั้นมันประกอบอยู่ด้วยธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุจิตคือธาตุวิญญาณ
แล้วก็ธาตุว่าง, ฟังดูก็แปลก. ถ้าเราแยกร่างกายนี่เป็นปรมาณู มันก็ทุกๆ ปรมาณู
มันก็ต้องตั้งอยู่บนที่ว่างสำหรับมัน, จิตมันก็ต้องตั้งอยู่บนธาตุว่างจากจิต
มันจึงมีจิตปรุงแต่งหรือเกิดขึ้นมาได้. ฉะนั้นธาตุว่างนี้ถ้ายังไม่รู้จัก
ก็ควรจะรู้จักกันเสียใหม่ เป็นสิ่งที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์
แม้เราจะไม่เชื่อตามพระคัมภีร์ เราก็พอจะมองเห็นได้ ว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง.
เอาละ, เป็นอันว่า เพราะมี
ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แล้วก็ธาตุจิต แล้วก็ธาตุว่าง
มันประกอบกันอยู่อย่างสนิทสนม ถูกเรื่องของธรรมชาติ
มันก็เลยเกิดเป็นคนขึ้นมาคนหนึ่ง คือเราทั้งหลายแต่ละคนแต่ละคน นี้เรียกว่าธาตุธรรมชาติ
ประกอบกันขึ้นเป็นนามรูป คือกายกับใจ,
แล้วก็มีสิ่งที่เรียกว่าจิต หรือใจนั่นแหละ เป็นประธานในกลุ่ม นี้ขั้นที่สอง.
นี้อะไรๆ ก็เป็นเรื่องอขงจิต
ที่เป็นประธานทั้งนั้นแหละ อย่างนั้น อย่างนี้ อย่างโน้น
ปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงเรื่อยมา จนถึงระดับที่เรียกว่า โพธิจิต ขั้นที่สามโพธิจิต
คือจิตที่เบิกบานแล้ว ถึงความรู้แจ้งเป็นโพธิแล้ว โพธิจิตนี้
เจริญจนถึงกับว่ารู้จัก หรือเข้าถึงซึ่งนิพพาน
ซึ่งเป็นธาตุอย่างหนึ่งเหมือนกัน, เรียกว่านิพพานธาตุ นิโรธธาตุก็เรียก. จิตลุถึงนิพพานธาตุ
คือลุถึงธาตุชนิดที่ไม่มีการปรุงแต่ง ไม่เปลี่ยนแปลง แล้วก็ไม่มีความทุกข์; ใช้คำว่าธาตุเสมอกันหมด พอถึงนิพพาน เรื่องมันก็จบ.
ธาตุทั้งปวงที่มีอยู่ตามธรรมชาติ
ปรุงแต่งกันเข้า เป็นสิ่งที่เรียกว่า ร่างกายและจิตใจ ของสิ่งที่มีชีวิต เป็นคนๆ
หนึ่ง หรือเป็นสัตว์ตัวหนึ่ง, แล้วก็จิตนี้ได้รับการปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงอย่างถูกวิธี
มันก็เจริญงอกงามสูงยิ่งๆ ขึ้นไป จนถึงเป็นโพธิจิต รู้สิ่งทิ้งปวงตามที่เป็นจริงได้
แล้วลุถึงนิพพานธาตุ เป็นที่ดับแห่งทุกข์ทั้งปวงได้, แล้วเรื่องมันก็จบ.
นี่เรียกว่าทั้งหมดแห่งเรื่อง
ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรดี ก็เรียกว่า ทั้งหมดแห่งเรื่องหรือจักรวาลของธรรมะ
มันมีเท่านี้ ธาตุตามธรรมชาติปรุงแต่งขึ้นเป็นจิต. จิตจะเจริญเรื่อยๆ
ไป ได้อาศัยร่างกาย กายกับจิตนี้มันทิ้งกันไม่ได้
แต่ว่าส่วนใหญ่มันอยู่ที่จิต. จิตมันเจริญเรื่อยๆ ไปจนถึงนิพพาน เรื่องจบ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น