หน้าเว็บ

วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

พุทธทาสภิกขุ - สรุปความธรรมะเล่มน้อย(4) - แนวปฏิบัติจากสังขตะ เทียบกับพฤกษาแห่งชีวิต.

 แนวปฏิบัติจากสังขตะสู่อสังขตะ เทียบกับพฤกษาแห่งชีวิต.

         ทีนี้พูดให้มันมากอีกก็ได้ พูดให้มันรำคาญเล่นให้มันมากอีกก็ได้ ก็จะต้องพูดว่า ปฏิบัติกันอย่างไร จึงจะจากสังขตะไปสู่อสังขตะ หรือจากทุกขไปสู่ความดับทุกข์ ปฏิบัติกันอย่างไร? อาตมาจะพูดว่า ปฏิบัติเหมือนกับการปลูกต้นไม้ ๕ ต้น ปลูกต้นไม้ ๕ ต้น, จะพูดไปทีละต้น การปฏิบัติตั้งแต่ต่ำสุดตั้งต้นที่สุดไปถึงจุดสูงสุด คือนิพพานนั้น จากขี้ฝุ่นเม็ดหนึ่งไปถึงนิพพานนั้น เราจะมีการปฏิบัติ เปรียบเหมือนกับว่าเราปลูกต้นไม้ ๕ ต้น.

         ต้นที่หนึ่งเป็นเรื่องกาย เรียกว่ากายพฤกษา, พฤกษาทางกาย ปลูกให้มันถูกต้อง ทางกายหรือสิ่งที่เนื่องด้วยกาย ออกแต่ชื่อก่อนนะ.

         ต้นที่สองมันเป็นเรื่องของจิต เรียกว่าจิตตพฤกษา ต้นไม้ของจิตระดับจิต คือทำให้มันถูกต้องในทางจิต.

         นี้ปลูกต้นไม้ที่สามคือ โพธิพฤกษา โพธิพฤกษา คือต้นไม้ทางสติปัญญา, ต้องทำให้ถูกต้องทางสติปัญญา; ไม่ใช่ตัวจิตนะ หมายถึงด้วยสติปัญญาซึ่งอาศัยจิต.

         ทีนี้ ต้นที่สี่ เมตตยยพฤกษา พฤกษาแห่งความเมตตา ได้ ๔ ต้น.

         เมื่อตะกี้เรียกว่า  ต้น ให้ไปเติมต้นที่ห้า วจีพฤกษาเข้าไปอีก ต้นหนึ่งที่จริงก็ไม่อยากจะแยกออกไป เพราะมันอยู่ที่กาย วาจานี้ตามหลักธรรมะชั้นสูง เขาบวกไว้ที่กาย คือมันอยู่ที่กายหรือพวกรูป ถ้าคุณอยากจะแยกวจีออกไปอีกต้นหนึ่งก็ได้ ๕ ต้น, ถ้าไปรวมเสียในกายมันก็เป็น  ๔ ต้น.

         ทีนี้ดูกันโดยรายละเอียด กายพฤกษา-ความถูกต้องทางกาย จะต้องมีการประพฤติ กระทำ หรือปรุงแต่งก็แล้วแต่จะเรียก, ทางฝ่ายรูปธรรมฝ่ายกายนั้นให้ถูกต้อง กายก็ดี สิ่งที่เนื่องด้วยกายก็ดี เช่นเครื่องใช้ไม้สอยบ้านเรือนอะไรก็ตามนี้ ก็มันเนื่องด้วยกาย อยู่ด้วยกาย กายก็ดี สิ่งเนื่องอยู่ด้วยกายก็ดี ทำให้ถูกต้อง ด้วยการประพฤติข้อปฏิบัติทางกาย. ซึ่งขยายความออกมาถึงทุกอย่างที่เนื่องด้วยกาย ถ้าพูดอย่างศีลพระปาติโมกข์ ก็ถูกต้องทางมารยาทที่เนื่องอยู่กับกาย ถูกต้องทางโคจรคือสถานที่ต่างๆ ที่เราต้องเกี่ยวข้องด้วย. เราก็ต้องประพฤติให้มันถูกต้องด้วย ที่มาที่ไป, ตลอดถึงวัฒนธรรมปแระเพณีทั้งหลายที่มันเกี่ยวกับร่างกายภายนอก มันก็ถูกต้องด้วย. ถ้าเราทำสำเร็จตามนี้ ก็เรียกว่า เราปลูกต้นไม้ต้นที่หนึ่งสำเร็จ คือกายพฤกษาเจริญงอกงาม รุ่งเรือง เยือกเย็น ทางด้านกาย ปลูกต้นไม้ต้นแรกกายพฤกษา.

         ที่นี้ถ้าเราเอา วจีพฤกษา อีกต้นหนึ่ง ไม่รวมกับกายมันก็ถูกต้องทางวาจา หรือสิ่งที่มันมีความหมายอย่างเดียวกับวาจา วาจานี้คือเครื่องมือสื่อสารติดต่อระหว่างบุคคล ก็เรียกว่าวาจา ถ้าเรามีเพียงคนเดียว ก็ไม่ต้องพูดจากับใครก็ได้ วาจามันก็เลิกไปเอง. แต่โดยเหตุที่มันมีหลายคน มันก็ต้องมีสื่อสำหรับติดต่อ มันก็ตือวาจา; ฉะนั้น วาจาและสิ่งทำหน้าที่อย่างเดียวกับวาจา ก็คือการสื่อสารใดๆ ก็ตาม จะเป็นการเขียนรูป เขียนภาพ เขียนอะไรก็ตาม มันก็เป็นพวกวาจาด้วยกันทั้งนั้น ก็ต้องประพฤติถูกต้องตามกฎของวาจา เป็นกุศลกรรมบถถูกต้องหมด, ตลอดถึงวัฒนธรรม จนบธรรมเนียมประเพณีทางวาจา, ถูกต้องหมดทางวาจา ไม่มีโทษทางวาจา ก็เรียกว่าปลูกต้นไม้ต้นนี้สำเร็จ คือวจีพฤกษา แต่ถ้าไม่แยกมันก็รวมอยู่ในคำว่ากายพฤกษา.

         ทีนี้ต้นถัดมาเรียกว่าจิตตพฤกษา จิตแม้จะอาศัยอยู่ที่กาย มันก็ไม่ใช่กาย จิตมันก็เป็นจิต แล้วมันยังมีสิ่งที่เนื่องอยู่กับจิต เราจะจัดอุปกรณ์ของจิต เช่น ระบบประสาท ระบบประสาททั้งหลายเหล่านี้ ก็เรียกว่าฝ่ายจิตมีเรื่องสมาธิเป็นหลัก. จิตตพฤกษามีเรื่องสมาธิเป็นหลัก, เจริญสมาธิก็คือเจริญจิต จิตก็เจริญ สมาธิที่เรารู้จักกันนั้น ก็เพียงว่าอยู่นิ่งๆ ไม่คิดนึกอะไร. แต่สมาธิแท้ตามความหมายในธรรมนั้น คือว่าจิตมันบริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์ไม่มีกิเลสมากวน จิตตั้งมั่นไม่มีกิเลสกวน จิตพร้อมที่จะทำหน้าที่ของมัน : อันหนึ่งมันบริสุทธิ์. อันหนี่งมันตั้งมั่นเข้มแข็ง. อันหนึ่งมันไวต่อความรู้สึก, ก็เรียกว่านี่คือมีสมาธิ; ไม่ใช่ว่าหลับตานิ่งๆ ไม่คิดอะไร. อบรมจิตให้มีจิตตพฤกษางอกงาม นี้คือเป็นสมาธิ. ปริสุทโธ-บริสุทธิ์, สมาหิโต-มั่นมั่น, กมฺมนิโย-เป็น active ทุ่ด. นี่คือเรียกว่า จิตตพฤกษาที่ปลูกขึ้นงอกงามแล้ว.

         ถ้ามองดูที่ผล เพียงแต่เป็นสมาธินี้ก็มีผลมาก คือจะมีความสุขก่อน; ในสมาธินั้นจะมีความสุข, แล้วจะสามารถใช้จิตที่เป็นสมาธิทำปาฏิหาริย์ต่างๆ ได้. แต่นี่ไม่ต้องพูดถึงดีกว่า เพราะว่าไม่ได้มุ่งหมาย มันเป็นส่วนเกิน; แต่ว่ามันทำได้, ถ้าจิตอบรมดีแล้วมันทำปาฏิหาริย์ได้, แล้วก็เป็นจิตที่มีสติสมบูรณ์ ไม่ผิดพลาด แล้วก็เป็นจิตที่พร้อมที่จะเจริญมรรค ผล นิพพานสูงขึ้นไป, มันออกมาถึงระบบวัฒนธรรมประเพณีด้วยเหมือนกันแหละ. วัฒนธรรมนี่แหละถ้าว่ามันนิยมความมีสมาธิ มันก็แสดงออกให้เห็นว่า บุคคลเหล่านั้นมีความเข้มแข็งมั่นคง บริสุทธิ์ นิ่มนวล อ่อนโยน, เป็นมนุษย์ที่มีวัฒนธรรม. นี่เรียกว่ามีความถูกต้องในทางจิต เรียกว่าเป็นจิตตพฤกษา.

         ทีนี้ต้นไม้ถัดไปอีก ก็เรียกว่า โพธิพฤกษา คือความเห็นแจ้ง ในภาษาไทยใช้คำว่าความรู้กันอยู่เป็นประจำ; ฉะนั้นขอให้เรารู้จักเปรียบเทียบความต่างระหว่างคำ ๓ คำ คือความรู้ เรียนก็รู้; นี้ความเข้าใจ, นี้มันต้องคิด ต้องใช้เหตุผล จึงจะเข้าใจ; นี้ความเห็นแจ้ง นี่คือดูในขั้นสุดท้าย. ในภาษาอังกฤษก็ไปดูเอาเอง ระหว่างความแตกต่างระหว่างคำว่า knowledge, คำว่า understand, คำว่า realization. คำเหล่านี้คนละความหมายทั้งนั้น ความรู้ แล้วก็ความเข้าใจ แล้วก็ความเห็นแจ้ง.

         ความรู้ทำเอาได้ด้วยการศึกษาเล่าเรียนธรรมดา, ความเข้าใจนั้นต้องไปใช้เหตุผล ต้องรู้จักคิดรู้จักใช้ดเหตุผล, ความเห็นแจ้งนั้นมันต้องผ่านสิ่งนั้นไปหมดแล้วโดยทางจิต ไม่อาจจะเรียนโดยทางหนังสือ, และไม่อาจประสบได้ด้วยการใช้เหตุผล, คือมันเหนือเหตุผลมันต้องผ่านสิ่งนั้นเข้าไปจริงๆ เสร็จแล้วจึงจะรู้แจ้ง. นี้เราเรียกว่าความรู้ โพธิ โพธิ ความรู้ คือความรู้ที่เป็นความเห็นแจ้ง, ไม่เพียงแต่ความเรียนรู้ หรือความเข้าใจ, นั้นมันไม่พอ.

         ความรู้มันก็ไปจบเอาที่เห็นแจ้งต่อพระนิพพาน, เมื่อจิตอบรมดีแล้วมันก็รู้ ๆ ๆ ๆ จนรู้ความไม่ยึดถือสิ่งใดๆ ไม่ปรุงแต่งด้วยสิ่งใดๆ เรียกว่ารู้แจ้งนิพพาน, ใช้คำว่ารู้แจ้งนิพพานดีกว่า. 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น