หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

พุทธทาสภิกขุ - สรุปความธรรมะเล่มน้อย(2) ตัวตนไม่มี แต่จิตโง่ยึดถือเป็นตน/อะไรๆ ก็เป็นเรื่องของจิต.

 ตัวตนไม่มี แต่จิตโง่ยึดถือเป็นตน.

         ไม่มีตัวตนที่ตรงไหน : กายก็ไม่ใช่ตัวตน, จิตก็ไม่ใช่ตัวตน, แม้แต่นิพพานก็ไม่ใช่ตัวตน, เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า มันเป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ จิตมันไม่ใช่ตัวตน แต่มันมีความโง่คิดเอาเอง ว่าเป็นตัวตน นี่ตอนทาสำคัญ ปัญหามันเกิดอยู่ตรงที่ว่า จิตทั้งที่มิใช่ตัวตน คือมันเป็นเพียงสักว่าธาตุตามธรรมชาติ แต่แล้วมันได้รับธาตุโง่ ธาตุอวิชชา อวิชชาธาตุเข้าไปปรุงแต่งจิต จิตจึงเกิดความคิดเป็นตัวตน ยึดถือเอาว่าเป็นตัวตน เอานั่นเอานี่มาเป็นตัวตน เอาตัวสมันเองเป็นตัวตน แล้วแต่โอกาส แต่ว่ามันเนื่องด้วยจิตทั้งนั้นแหละ ที่มันจะเอามายึดเป็นตัวตนได้ พอจิตมันโง่ขนาดนั้น มียึดถืออะไรเป็นตัวตน มันก็ยึดถือ คือจับฉวยขึ้นมายึดถือ เมื่อจับฉวยขึ้นมายึดถือไว้มันก็หนัก นั่นแหละคือ ความทุกข์.

         ความทุกข์ทั้งปวง มันเกิดมาจากความยึดถือ ความยึดถือด้วยจิต ไม่ได้หมายถึงว่ายึดถือด้วยมือ ถ้าเป็นเรื่องร่างกายมันก็ยึดถือด้วยมือ เป็นเรื่องของจิตมันก็ถือด้วยจิต, คือสำคัญมั่นหมายว่าตัวตน สำคัญมั่นหมายว่าสเป็นของตน นี้คือจิตใจที่ประกอบไปด้วยอวิชชาธาตุ, ธาตุจิตมาประกอบด้วยอวิชชาธาตุ ไม่รู้สิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง ก็ยึดถือตามธรรมชาติ.

         ตอนนี้ก็พอจะมองเห็นได้ง่ายๆ เช่นว่าพอจิตมันได้สิ่งที่ต้องการมากิน กินของอร่อยอยู่ จิตได้รับความอร่อยจากของที่กินอยู่ มันก็ปรุงความคิดต่อไปว่า กูอร่อย คือมีตัวตนสำหรับเป็นผู้อร่อย แล้วถือเอาความอร่อยว่าเป็นความอร่อยของกู ที่จริงมันเป็นจิตล้วนๆ มันไม่ใช่ตัวตนอะไร แต่มันมีความโง่ คืออวิชชามาก, พอมันได้เห็นสวยๆ หรือได้ฟังเพราะๆ ได้กลิ่นหอมๆ หรือว่าได้กินอร่อยๆ, หรือได้สัมผัสที่นิ่มนวลสบายที่สุด, หรือได้ความคิดที่สบายที่สุด, มันได้ความอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นต้นนี้, ความคิดจิตก็งอกออกมาเอง เกิดออกมาเอง ว่ากูอร่อย. นี่ความอร่อยต้องมาก่อน จิตนั้นสัมผัสความอร่อยแล้ว, มันก็ปรุงแต่งความคิดขึ้นมาว่ากูอร่อย นี่ตัวกูเพิ่งเกิดเดี๋ยวนี้เอง ก่อนนี้ไม่เคยมีตัวกู เดี๋ยวนี้จิตมันคิดโง่ๆ ขึ้นมา ยึดถือโง่ๆ ขึ้นมาว่าตัวกู.

         นี่คือหัวใจของเรื่องที่สำคัญที่สุด ที่ถ้าไม่รู้ก็ไม่รู้แหละ ถ้าไม่รู้ก็ไม่รู้ว่าเป็นทุกข์เพราะเหตุไร; ถ้ารู้มันก็เข้าใจได้ว่า เป็นทุกข์เพราะจิตมันโง่ ไปยึดถือเอาอะไรว่าเป็นตัวตนขึ้นมา; มันก็จะยึดถือตัวเองนั่นแหละก่อน ว่าเป็นผู้อร่อย คือเป็นตัวกูผู้อร่อย, แล้วก็ยึดถือเอาความอร่อยนั้นเป็นของกู.

         บางทีจิตมันก็รู้สึกเวทนา เวทนาสุขหรือทุกข์ก็มีเวทนาอยู่ มันก็เอาจิตที่รู้สึกเวทนาหรือเอาตัวเวทนานั้นแหละว่าเป็นตัวกู, จิตที่รู้สึกเวทนา มันยึดถือตัวเองว่าเป็นตัวกู, เพราะมันมีเวทนาให้รู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ รู้สึกว่าเวทนานี้ของกู.

         บางทีจิตมันสำคัญมั่นหมายสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ด้วยสัญญา มันหมายว่าอย่างนั้นอย่างนี้ มันหมายว่าเป็นคน, มันหมายว่าเป็นสัตว์, มันหมายว่าเป็นหญิง มันหมายว่าเป็นชาย, มันหมายว่าเป็นอะไรก็ตาม เป็นบุตรภรรยาสามีอะไรก็ตาม, ก็เรียกว่าสัญญามันมีความมั่นหมาย มันเอาความมั่นหมาย หรือสิ่งที่มั่นหมายคือจิต นั่นแหละว่าเป็นตัวกู. สำคัญอย่างไรก็เป็นสัญญาของกู.

         บางทีก็มีความคิดนึกอย่างใดอย่างหนึ่งที่เรียกว่า สังขาร. มีสัญญาอย่างไรแล้วก็คิดไปตามเรื่องที่เหมาะสมกับสัญญานั้นำ มันก็เกิดความคิดขึ้นในจิต จิตก็ยึดถือเอาตัวความคิดหรือจิตที่กำลังคิดว่าเป็นตัวกู, แล้วก็เป็นความคิดของกู.  เมื่อมันทำหน้าที่ถึงที่สุดแล้ว มันก็เป็นสิ่งเดียวกัน คือตัวจิตกับตัวความคิด. มันเข้าเป็นตัวเดียวกัน แล้วเอามาเป็นตัวกู, เอารายละเอียดของความคิดเป็นเรื่องต่างๆ ว่าเป็นเรื่องของกู.

         ทีนี้ บางทีบางกรณีจิตมันก็เอาวิญญาณ คือที่รู้แจ้งทางตาว่าเป็นรูปอย่างไร, รู้แจ้งทางหูว่าเสียงเป็นอย่างไร, เอาวิญญาณที่กำลังรู้แจ้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างใดอย่างหนึ่งนั้น ว่าเป็นตัวกู ซึ่งเป็นคำสอนอีกฝ่ายหนึ่ง มีลักษณะเป็นตัวตนเป็นสัสสตะ. คือเขาว่าจิตมาทำงานที่ตา, จิตมาทำงานที่หู, จิตมาทำงานที่จมูก, จิตมาทำงานที่ลิ้น, จิตมาทำงานที่มโนทวาร คือจิตคือใจ, จัดให้เป็นตัวเป็นตนเสียเลย. นี้เรียกว่าวิญญาณเป็นตัวตน ในลัทธิอื่นไม่ใช่พุทธศาสนา เขาสอนเป็นตัวตนจริงๆ จังๆ กันไปเลย.

         ทีนี้อาจารย์ทางพุทธศาสนาบางคน ก็รับเอามาสอนผิดๆ ว่าเป็นพุทธศาสนา ว่าสิ่งที่รู้แจ้งที่ตา รู้แจ้งที่หู รู้แจ้งที่จมูก นั้นเป็นตัวตน มีตัวตนมาทำหน้าที่รู้แจ้งที่นั่นอย่างนี้ก็มี. อย่าไปยึดถือเอามา ว่านั้นมันเป็นหลักดในพุทธศาสนา, มันเป็นเรื่องความโง่ของจิต, ไปยึดเอาเรื่องรูปเป็นตัวตน, เวทนาเป็นตัวตน, สัญญาเป็นตัวตน, สังขารเป็นตัวตน, วิญญาณเป็นตัวตน, นี่ตัวตนมันก็เกิดขึ้นมา.

         ที่แท้มันเป็นเรื่องการปรุงแต่งทางจิต ด้วยธาตุต่างๆ กัน, สิ่งที่เข้ามาปรุงแต่งจิต, เช่นรูปก็เป็นธาตุ เสียงก็เป็นธาตุ กลิ่นก็เป็นธาตุ รสก็เป็นธาตุ โผฏฐัพพะก็เป็นธาตุ ธัมมารมณ์ก็เป็นธาตุ. นัยน์ตาก็เป็นธาตุ จมูกก็เป็นธาตุ ลิ้นก็เป็นธาตุ กายก็เป็นธาตุ จิตเองก็เป็นธาตุ. นี่จะเห็นว่าเป็นธาตุ ธร-ตุ ธาตุไปเสียทั้งหมด ไม่ใช่ตัวตน. จับกลุ่มกันเข้าแล้ว ก็ทำงานตามหน้าที่ได้ แต่ตัวประธานของมันคือจิตนั้นมันยังโง่ได้, แล้วมันเอาอวิชชาธาตุ เข้ามาปรุง ก็เลยเป็นจิตโง่ มันก็เลยมีตัวตนขึ้นมา.

 

อะไรๆ ก็เป็นเรื่องของจิต.

         จะอธิบายตัวอย่างที่ค่อนข้างละเอียดสักหน่อย ละเอียดสักหน่อยหรือละเอียดที่สุด ก็แล้วแต่จะพูด. ที่ว่าอะไรๆ ก็คือจิต; เมื่อมีการเห็นรูปด้วยตา ถูกแล้วจิตนั่นแหละทำหน้าที่ที่ตา, แล้วก็มีการเห็นรูป เพราะว่า ตานี้มันกระทบกันเข้ากับรูป, รูปมากระทบตา เกิดจักษุวิญญาณ คือจิตที่เห็นรูป เห็นแจ้งรูป รู้แจ้งรูปว่าเป็นอย่างไร. เราจึงพูดได้ว่า ผู้ที่เห็นรูปก็คือจิต; แต้อย่าเพ่อเอาเป็นตัวตน มันเป็นจิตตามธรรมชาติ เหก็นรูปก็จิตเป็นผู้เห็น.

         ทีนี้ การเห็นรูปนั้น คือจิตกำลังทำหน้าที่ของมันตามธรรมชาติ; เมื่อรูปมาถึงตา มีจิตทำหน้าที่เห็น. ตัวการเห็นนั้นคือตัวจิตที่กำลังทำหน้าที่ของมันตามธรรมชาติ; เพราะว่าจิตมันทำหน้าที่อย่างนั้น ในกรณีที่เกี่ยวกับรูปแ คือตา ฉะนั้นการเห็นก็คือจิตที่กำลังทำหน้าที่.

         ทีนี้สิ่งที่ถูกเห็น เช่นว่าเห็นต้นไม้อย่างนี้, นั้นคือต้นไม้ต้นหนึ่งที่จิตสร้างขึ้นในวิถีแห่งจิต, ไม่ใช่ต้นไม้ต้นนี้มันเข้าไปในตา, ไม่ใช่. แต่ว่าจิตนั้นมันได้สร้างภาพชนิดนี้ เหมือนที่เห็นข้างนอกนี้ขึ้นในภายใน ระบบของจิตมันจึงเกิดเห็นต้นไม้ต้นนี้, แล้วต้นไม้ต้นที่จิตเห็นนั้น คือต้นไม้ที่จิตสร้างขึ้น ไม่ใช่ต้นไม้ต้นนี้. ฟังดูให้ดี เป็นต้นไม้ที่จิตมันสร้างขึ้นตามวิถีทางของจิต เห็นอยู่ในจิต. ฉะนั้นสิ่งที่ถูกเห็นก็คือ จิตอีกเหมือนกัน.

         พูดอย่างนี้คนธรรมดาคงไม่เชื่อ หรือว่านักวิทยาศาสตร์ทางฝ่ายวัตถุก็คงไม่เชื่อ; เพราะเขารู้กันแต่เรื่องวัตถุ, แต่ถ้าเรื่องของจิตแล้วมันกลายเป็นว่า อะไรๆ ก็คือจิตไปหมด. ผู้เห็นก็คือจิต การเห็นก็คือจิต สิ่งที่ถูกเห็นก็คือจิต มันถึงขนาดนั้น นี่เรียกว่าเรื่องของจิต อะไรๆ ก็คือจิต.

         ทบทวนอีกทีหนึ่งก็ได้ว่า ตาถึงเข้ากับรูป ก็คือจักษุวิญญาณ มีการเห็นรูป , ผู้เห็นก็คือจิตหรือจักษุวิญญาณ. ทีนี้การเห็นก็เมื่อเกิดจักษุวิญญาณชนิดนี้แล้ว มันก็ทำหน้าที่ของมันเป็นการเห็นตามธรรมชาติ, คือจิตที่อยู่ในหน้าที่ของจิต ก็มีการเห็น คือการกระทำที่เรียกว่าการเห็น ดังนั้นการเห็นก็คือจิต จิตที่ทำหน้าที่อย่างนั้น หรือการกระทำของจิต เป็นตัวจิตนั่นแหกลุ เรียกว่าเป็นการเห็น. ทีนี้ สิ่วงที่ถูกเห็น ก็คือสิ่งที่จิตมันสร้างขึ้นเพราะการเห็นนั้น, เป็นเรื่องของจิต ในภายในมันก็ฌห็นสิ่งที่เข้าไปในนั้นไม่ได้ แต่มันไปสร้างภาพขึ้นได้ใหม่ เปรียบเหมือนหนึ่งว่าที่เครื่องรับภาพของกล้องถ่ายรูป, มันสร้างภาพขึ้นมาได้ในนั้นแล้วมันก็เห็น. นี้มันเลยไม่มีอะไรเหลือดอก มันกลายเป็นเรื่องจิตไปหมด ผู้เห็นก็คือจิต การเห็นก็คือจิต สิ่งที่ถูกเห็นก็คือจิต.

         ในเรื่องของหูก็เหมือนกัน, ผู้ได้ยินก็คือจิต, การได้ยินก็คือจิต สิ่งที่ถูกได้ยินก็คือจิต. จมูก-กลิ่น ผู้รู้กลิ่น ก็คือจิต, การรู้กลิ่นก็คือจิต กลิ่นที่ถูกรู้สึกก็คือจิต. ทีนี้รส ผู้รู้รสก็คือจิต การรู้รสก็คือจิต รสที่ถูกรู้สึกก็คือจิต. นี้สัมผัสผิวหนังนี่ ผู้สัมผัสก็คือจิต การสัมผัสก็คือจิต สิ่งที่ถูกสัมผัสก็คือจิต. ทีนี้ เรื่องของจิตเอง จิตที่รู้อารมณ์ อารมณ์ที่ถูกรู้ มันก็เป็นเรื่องของจิต คือตัวจิตชนิดหนึ่งมรลักษณะหนึ่งในขณะหนึ่ง.

         ฉะนั้นคำพูดว่า อะไรๆ ก็คือจิตนี้ เป็นคำพูดครอบจักรวาล; ถ้าเข้าใจก็เข้าใจ, ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจง จะโทษอาตมาว่าพูดบ้าๆ บอๆ ไม่รู้เรื่อง ก็ได้เหมือนกันแหละ.  มันไม่มีทางพูดเป็นอย่างอื่น, มันมีทางพูดแต่อย่างนี้ แล้วไม่รู้จะพูดอย่างไรอีก. ขอให้ใคร่ครวญดูเองบ้าง เพื่อจะเข้าใจว่า อะไรๆ ก็คือจิต.

         ฉะนั้นเราก็มีแต่สิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่รู้สึกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทุกอย่างมันก็เป็นเรื่องของจิต หรือเป็นเรื่องจิตโดยตรง. พระพุทธเจ้าในชั้นลึกด ก็คือจิตที่รู้ธรรมะ เป็นพระพุทธเจ้า; ธรรมะก็คือสิ่งที่จิตรู้จนกลายเป็นจิตเสียเอง. พระสงฆ์ก็คือจิตที่รู้ตามพระพุทธเจ้า ดู มันไม่มีเรื่องอื่น นอกจากเรื่องของจิต : พระพุทธเจ้าคือจิตที่รู้ตรัสรู้, สิ่งที่ตรัสรู้ก็คือ สิ่งที่ปรุงขึ้นด้วยจิต ในจิต โดยจิต  เป็นจิตชนิดนั้นอยู่ ในความรู้สึกของจิต นั่นคือธรรมะที่ตรัสรู้ พระสงฆ์ทั้งหลาย ก็คือจิตทั้งหลายที่รู้ตามอย่างเดียวกัน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น