หน้าเว็บ

วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

พุทธทาสภิกขุ - สรุปความธรรมะเล่มน้อย(3) - ผลที่จิตปรุงมี ๔ ลักษณะ/ จากสังขตะไปสู่อสังขตธาตุ เป็นเรื่องของจิต

 ผลที่จิตปรุงมี ๔ ลักษณะ.

         ทีนี้ถ้าจะมาดูที่ผลที่เกิดขึ้น เป็นบุญเป็นบาป เป็นอะไรเหล่านี้ มันก็เป็นเรื่องของจิต. ในลักษณะอย่างนี้ เรียกว่าบาปเพราะมันผิด คือมันไม่ถูกและเป็นทุกข์, ถ้าเป็นเรื่องอย่างนี้ก็เรียกว่าบุญ เพราะมันไม่ได้เป็นทุกข์ มันรู้สึกเป็นสุข. หรือว่าแม้แต่ว่าไม่หวั่นไหว ไม่จัดเป็นบาปเป็นบุญ เขาเรียกว่าอเนญชา. อย่างนี้มันก็ยังเป็นเรื่องขแองจิต, หรือว่ามันอยู่เหนือโลก มันขึ้นพ้นอำนาจของสิ่งเหล่านี้ เรียกว่า เหนือโลก มันก็ยังคือจิต. ฉะนั้นจึงมีคำเรียกจิตนี้ต่างๆกัน เป็นกามาวจรจิต รูปาวจรจิต อรูปาวจรจิต โลกุตตรจิต มันไม่มีอะไรที่ไม่ใช่จิต.

         ทีนี้อยากจะให้สังเกตตามลำดับอีกแนวหนึ่ง เพื่อให้รู้ทีเดียวหมด ทั้งหมดจะมีคำสัก ๔ คำ คือคำว่า บาปคำหนึ่ง คำว่าบุญคำหนึ่ง คำว่าอเนญชาคำหนึ่ง คำว่าโลกุตตระอีกคำหนึ่ง. คำว่าบาปคือจิตที่ต้องใช้คว่า ที่มันเลว ที่มันผิด ที่มันเป็นทุกข์, หรือมันเป็นชั่ว นี้เรียกว่าบาป. บุญถูกความต้องการในโลกอย่างโลกๆ เป็นสุขอย่างโลกๆ เป็นสุขของคนโง่ที่มีกิเลสก็เรียกว่า บุญ.

         ทีนี้มาถึงตอนหนึ่ง มันสลัดความของคำว่าบาปว่าบุญออกไปอยู่คล้ายๆ กับว่าไม่มีบาปไม่มีบุญ เขาเรียกว่า อเนญชา แปลว่า ไม่หวั่นไหวตามความหมายขอบงคำว่าบาปว่าบุญ, โดยเฉพาะเจาะจงก็หมายถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ จะเป็นอเนญชาอย่างยิ่ง, หรืออรูปฌานทั้งหมดเป็นอเนญชาอย่างยิ่ง. บางอาจารย์ขยายต่ำลงมาถึงจตุตถฌาน ก็เป็นอเนญชาด้วยเหมือนกัน.

         ถ้าบาปมันเผ็ด บุญมันหวาน, แล้วแต่จะใช้คำไหนนะ. ถ้าว่าบาปมันขม ถ้าบุญมันหวาน; แต่ถ้ามันไม่บาปไม่บุญไม่ขมไม่หวาน นั่นแหละมันจะมีความหมายแห่งอเนญชา, เป็นจิตที่เป็นสมาธิ ไม่สนใจกับบุญกับบาป พวกนี้เป็นอเนญชา. แต่มันยังมีความรู้สึกในเวทนา ในสัญญาในอะไรอยู่. ที่มันสูงขึ้นไปจากนั้นอีก ก็เป็นโลกุตตระ, ขึ้นเหนือโลกเหนือความหมายแห่งโลก เหนือคุณค่าของ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ เรียกว่า โลกุตตระ.

         เพราะคำมันแปลกหรือใหม่ บางทีจะไม่เข้าใจ ย้ำกันอีกทีหนึ่งก็ได้ว่า ที่เลวที่สุดนั้นคือบาป จิตผิดจิตชั้ว, สูงขึ้ยมาคือบุญ จิตถูกหรือจิตดี ตามความหมายอย่างโลกๆ ตรงกันข้ามกับบาป, ทีนี้อีกทีเป็นอเนญชาไม่บุญไม่บาป, แต่ก็ยังเป็นสังขารอันหนึ่ง เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย. นี่ไม่ค่อยพูดถึงกัน ไม่ค่อยจะรู้จักกัน ระบุเอาอรูปฌานเป็นหลักด นี้ไม่บุญไม่บาป ไม่มีความรู้สึกบุญหรือบาป คือมันเฉยไปได้เหมือนกับว่าไม่หวานไม่ขม. ถ้าขมก็เป็นบาป, ถ้าหวานก็เป็นบุญ, ที่ไม่หวานไม่ขมมันก็มีอยู่ นี้ให้มันเป็นอเนญชา.  แต่ถ้าหมดพ้นไปจากนี้ คือมันไม่มีการปรุงแต่งเลยแล้ว ก็เรียกเป็นโลกุตตระ; รู้จักสิ่ง ๔ สิ่งนี้ คือรู้จักทั้งหมดไม่ยกเว้นอะไรผู้ใดรู้จักดสิ่งทั้ง ๔ นี้ ผู้นั้นก็จะรู้จักดหมดทุกสิ่งไม่มีอะไรเหลือ. ถ้าจะให้มันง่ายเข้าเราก็มาดูตรงที่สมมติโดยภาษาคน. นี้มันพูดภาษาธรรมนะที่ว่านี้ เรื่องบาป เรื่องบุญ เรื่องอเนญชา เรื่องโลกุตตระ.

         ทีนี้มาดูโดยภาษาคน ก็จะมีสัก ๔ ชนิด ๔ ระดับ เหมือนกันว่า นรก นรกเลวต่ำมาก แล้วก็สูงขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งก็คือมนุษย์, มนุษย์นั้นดีกว่านรก. ทีนี้สูงขึ้นไปกว่ามนุษย์ก็คือ เทวดา-เทพ กระทั่งชั้นพรหม ก็คือเทพ. ทีนี้สูงขึ้นไปอีก ก็คือนิพพาน.

         นี้ถ้าพูดให้เป็นสมมติ เหมือนกับว่าเป็นวัตถุเป็นโลก เป็นอะไรขึ้นมา : โลกนรกต่ำสุด, สูงขึ้นมาเป็นโลกมนุษย์ คือผิวดินนี้, ทีนี้สูงขึ้นมาอีกเป็นเทวดา เทวดาใน ๖ ชั้นก็ดี รูปพรหมก็ดี อรูปพรหมก็ดี เขาเรียกว่าเทพ เทวดาไปหมด, พ้นไปอีกก็มีแต่นิพพาน, พ้นพรหมโลกไปอีกก็มีแต่นิพพาน. ต่ำสุดคือนรก, สูงขึ้นมาถึงผิวดินคือมนุษย์, สูงขึ้นไปบนฟ้าเรียกว่าพวกเทพเทวดา. พ้นนั้นหมดเลยก็เรียกว่านิพพาน.

         ใต้ดิน ผิวดิน บนฟ้า แล้วอวกาศ พูดเป็นอย่างนักวิทยาศาสตร์เสียหน่อยว่าใต้ดิน แล้วบนดิน แล้วบนฟ้า แล้วก็ออกไปจากนั้นก็คืออวกาศ คือที่ว่าง สุญญากาศหรือที่ว่างง  นี้ก็พอจะเทียบกันได้ง่ายๆนะ. ใต้ดินคือนรก บาป, ที่ผิวดิน นั้นคือบุญ หรือมนุษย์ หรือเทวดาชั้นที่ต่ำๆ, พวกที่ยังอยู่ในกามารมณ์แม้จะเป็นเทวดา เขาก็เรียกว่าพวกบุญนี้เหมือนกัน. มันเก่งกว่านั้น มันเป็นพวกอเนญชา แต่ก็เรียกว่าเทวดาเหมือนกัน, สูงจากนั้นเป็นนิพพาน. พวกใต้ดินคือนรก, พวกผิวดินคือมนุษย์, พวกบนฟ้าคือพวกเทวดาทั้งหลาย, อวกาศนอกออกไปจากอากาศนี้เป็นสุญญากาศเป็นอวกาศนั่นน่ะ คือนิพพาน. เปรียบนะไม่ใช่ว่าเป็นตัวจริง, เปรียบเทียบให้เห็น. นี่เป็นคำพูดเปรียบเป็นคำเปรียบในภาษาคน มันก็ได้เป็น ๔ ชั้น, ชั้นใต้ดิน บนดิน บนฟ้า แล้วก็อวกาศโน่นเลย. ทั้งหมดนั้นก็ไม่มีอะไรนอกไปจากจิต, ไม่มีอะไรนอกไปจากจิต ที่มันอยู่ในลักษณะที่ต่างๆกัน.

         ที่มันอยู่ใต้ดินหรือผิวดินหรือบนฟ้านี้ เรื่องบาป เรื่องบุญ เรื่องอเนญชา เรื่องมนุษย์และเทวดานี้ อย่างนี้ก็เรียกว่ามันเป็นสังขตธาตุ คือธาตุที่มีการปรุงแต่งได้. ทีนี้นอกออกไปจากอวกาศ ในภาษาธรรมะคือนิพพาน มันก็เป็นอสังขตธาตุคือธาตุ ที่ปรุงแต่งไม่ได้, อะไรปรุงแต่งไม่ได้. ธาตุทั้งหลายทั้งปวงทั้งสิ้น แยกได้เป็นสองพวก : พวกหนึ่งมีอะไรๆ ปรุงแต่งได้, หรือทมีการปรุงแต่ง; พวกหนึ่งไม่มีอะไรปรุงแต่งได้, คือไม่มีการปรุงแต่ง.

 

จากสังขตะไปสู่อสังขตธาตุ เป็นเรื่องของจิต.

         เอามาจับกลุ่มกันก็ว่า เรื่องบาป เรื่องบุญ เรื่องอเนญชานี้ เป็นสังขตธาตุ, เป็นธาตุที่มี

ปัจจัยปรุงแต่ง. ส่วนเรื่องนิพพานนั้นเป็นอสังขตธาตุ คือธาตุที่ไม่มีอะไรปรุงแต่ง, ไม่มีการปรุงแต่ง. ที่มันวนเวียนอยู่ในกองทุกข์นี้ ก็คือธาตุที่มีปัจจัยปรุงแต่ง มีการปรุงแต่ง;ถ้าหยุดการปรุงแต่งเหล่านั้นเสีย ไม่เกี่ยวกับการปรุงแต่ง มันกลายเป็นอสังขตธาตุ, แล้วเป็นดับทุกข์โดยสิ้นเชิง. ถ้ามันมีการปรุงแต่งอยู่ มันก็เป็นทุกข์ไปเรื่อยๆ ตามการปรุงแต่ง; ท่านระบุเอาการปรุงแต่งนั่นแหละว่าเป็นตัวความทุกข์, หยุดการปรุงแต่งเสีย เป็นความสุขอย่างยิ่ง; เป็นบาลีว่า เตสํ รูปสโม สุโข เมื่อสวดบังสุกุลชัก อนิจจา คนตายจะได้ยินคำว่า เตสํ รูปสโม สุโข -ระงับเสียซึ่งสังขาร เหล่านั้นเป็นความสุข คือไม่มีการปรุงแต่งนั้นน่ะ เป็นความสุขมีความสุข ถ้ายังมีการปรุงแต่งอยู่ยังมีความทุกข์; แต่แล้วมันก็คือธาตุ ธาตุที่ปรุงแต่ง, ธาตุที่ไม่ปรุงแต่ง ถ้าเราจะพูดให้สั้นที่สุด ก็พูได้คำสองคำว่า จากสังขตธาตุไปสู่อสังขตธาตุ มันมีเท่านี้. เรื่องของจิตทั้งหมดมันมีเพียงว่า จากสังขตธาตุไปสู่อสังขตธาตุ.

         จิตเป็นธาตุตามธรรมชาติ แล้วเป็นพวกสังขตธาตุ คือปรุงแต่งอยู่เรื่อยๆ กว่าจะเป็นโพธิจิต ทีนี้มันก็ข้ามไปสู่ฝ่าย อสังขตธาตุ. ฉะนั้นเราพูดได้สั้นๆ ว่า เรื่องของจิตนั้นไม่มีอะไร นอกจากว่า จากสังขตะไปสู่อสังขตะเท่านั้นแหละ. แต่คำเหล่านี้ไม่เคยได้ยิน เดี๋ยวก็ฟังไม่ถูก แล้วก็เลิกกัน; จะพูดให้สั้นๆ ก็ว่า จากทุกข์ ไปสู่ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์. เรื่องของจิตอันยืดยาวกว้างขวาง มันไม่มีอะไรนอกจากพูดว่าจากความทุกข์ ไปสู่ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์;  ถ้าพูดโดยปรมัตถ์หน่อยก็พูดว่า จากสังขตะไปสู่อสังขตะ เรื่องมันมีเท่านั้น. อะไรๆ มันก็เป็นสักแต่ว่าจิตแล้วมันมีอาการ คือจากสังขตะแล้วไปสู่ อสังขตะ แล้วเรื่องมันก็จบ.

         นี่คือความหมายของคำว่าธรรมะเล่มน้อย ธรรมะเล่มน้อย ธรรมะเล่มจิ๋ว มันพูดได้เพียงไม่กี่คำ. อย่าลืมทบทวนที่พูดทีแรกว่าจากธาตุตามธรรมชาติปรุงแต่งกันมา มีจิต, อะไร ก็คือจิต จนกว่าจะมีโพธิจิต. ครั้นมีโพธิจิตแล้วก็มาถึงนิพพาน เลิกกันๆ จบกัน ยักษ์ตายเรื่องจบ. เรื่องมีอย่างนี้ จากทุกข์ไปสู่ความดับทุกข์ มันมีอย่างนี้.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น