หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

พุทธทาสภิกขุ - สรุปความธรรมะเล่มน้อย(จบ) - ลักษณะของนิพพาน/ เหตุผลในการปลูกเมตตา มีทั้งทางโลกและทางธรรม.

ลักษณะของนิพพาน.

         นิพพานนั้นคือความว่างจากความทุกข์, ว่างจากกิเลส. เมื่อไรเราว่างจากกิเลส ว่างจากความทุกข์แม้ชั่วขณะหนึ่งก็เรียกว่า มีนิพพานชนิดชั่วขณะ. มีนิพพานชนิดชั่วขณะ มีได้ตามธรรมชาติ ที่ไม่ได้ทำอะไรนักก็ได้, คือบางเวลาหรือบางคราว เหตุปัจจัยแวดล้อมเหมาะสม, กิเลสไม่เกิดกับเรา, ความทุกข์ไม่เกิดแก่เรา, จิตของเราสงบเย็นตามธรรมชาติ มีได้ง่ายเมื่อไปนั่งอยู่ที่ที่มันไม่มีสิ่ง ยั่วยุกิเลส. หรือว่าแม้ตามธรรมดา จิตมันก็ต้องการจะหยุดจะพักของมันได้ มันขี้เกียจไปรับอารมณ์ มันก็หยุดได้เหมือนกัน. เมื่อกิเลสไม่เกิด ความทุกข์ไม่เกิด เรียกว่านิพพานชั่วขณะตามธรรมชาติ ซึ่งเราก็มีกันอยู่ด้วยกันทุกคน แล้วก็บ่อยๆ ถ้าว่าผู้ใดไม่มีจิตใจสงบเย็นชนิดนี้เสียเลย คนนั้นก็เป็นบ้า, แน่นอนละมันเป็นบ้า และตายแล้ว ไม่ได้มานั่งอยู่ ฉะนั้นมันมีการพักผ่อนของจิตใจในวิธีนี้ พอสมสัดสมส่วนกัน.

         ไปคำนวณดูเอาเองก็แล้วกัน วันคืนหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมงนี้ เรามีจิตร้อนด้วยกิเลสกี่ชั่วโมง, แล้วก็เย็นว่างจากกิเลสกี่ชั่วโมง, แล้วก็ชอบสิ่งนี้ คือว่างจากกิเลส แม้ชั่วคราวนี้ให้มากๆ จะได้รู้จักดชิมรสของกิเลส และความไม่มีกิเลส เปรียบเทียบกันดู. เวลาที่มีกิเลสร้อนเหมือนกับตกนรก ก็ลองชิมดูซิ. เวลาที่ได้ของอร่อยๆ เหมือนกับสวรรค์ก็ลองชิมดู เวลาที่มันไม่มีกิเลส ไม่มีสิ่งรบกวนเลย ไม่มีสิ่งรบกวนเลย ก็ชิมดู มันจะรู้จักเปรียบเทียบระหว่างมีกิเลสกับไม่มีกิเลส. ชีวิตที่เยือกเย็นในโลกนี้ เป็นชีวิตที่เยือกเย็นอยู่ในโลกนี้ ก็สังเกตศึกษาให้มาก; ครอบครัวนี้แต่ละคนมีความเยือกเย็น เพราะเขาอยู่กันอย่างชนิดที่กิเลสก็เกิดยาก, กิเลสไม่ค่อยรบกวนมันเป็นชีวิตที่เยือกเย็น นั่นแหละคือนิพพานตามธรรมชาติ นิพพานชั่วคราวตามธรรมชาติ.

         ทีนี้ถ้าว่าปฏิบัติ ศีลสมาธิ ปัญญา อบรมจิตจนถึงนิพพานสมบูรณ์ คือสิ้นกิเลส สิ้นอาสวะ สิ้นอนุสัย มันไม่กลับมีกิเลสอีกได้นี้เป็นนิพพานแท้ นิพพานขั้นสมบูรณ์แบบ. อันนี้ไม่อยู่ในรูปของวัฒนธรรมหรือประเพณี, มันไปอยู่ในรูปของธรรมะในขั้นสูงสุด บรรลุแล้วก็เป็นพระอรหันต์ไปเลย, นี่นิพพาน ความที่ไม่ปรุงแต่ง ภาวะที่ไม่ปรุงแต่ง, ลักษณะที่ไม่ปรุงแต่งของกิเลส และไม่เกิดความทุกข์ เป็นนิพพานสมบูรณ์.

         จะเป็นนิพพานชนิดไหน ก็สักแต่ว่าเป็นธาตุตามธรรมชาติ. นิพพานชั่วคราวเรียกว่าสามายิกนิพพาน นี้ก็เป็นธาตุตามธรรมชาติ ชนิดหนึ่ง. นิพพานที่แท้จริงเป็นสอุปาทิเสสนิพพาน หรืออนุปผาทิเสสนิพพานก็ตาม มันก็เป็นธาตุตามธรรมชาติอยู่นั่นเอง. แม้แต่นิพพานก็ฌป็นธาตุ สักว่าธาตุตามธรรมชาติ เอามาเป็นตัวตนไม่ได้. นี่โพธิพฤกษ์ของเรานี้มันอบรมกันไปจนถึงนิพพาน โพธิพฤกษานั้น พอกพูนเจริญเลี้ยงรักษา เจริญงอกงาม จะแตกใบ ออกดอก ออกผล เป็นนิพพาน.

         นี้เรื่องมันจบแล้ว สำหรับส่วนบุคคลนั้น; แต่เรื่องยังไม่จบสำหรับสังคมหรือหลายคน เพราะว่าความทุกข์หรือปัญหานี้ มันไม่ใช่มีแต่สำหรับคนคนเดียว มันมีความทุกข์หรือมีปัญหาของสังคมด้วย. เราอยู่โดยไม่มีสังคมนั้นมันอยู่ไม่ได้; เพราะว่าธรรมชาติมันจัดให้มาอย่างนั้น. เราจะมาขืนอยู่คนเดียวไม่มีใครนี้ มันทำไม่ได้ อยู่ไม่ได้, ดังนั้นเราจึงต้องมีสังคม และอยู่กันเป็นสังคม.

         หน้าที่ที่จะต้องประพฤติ ปฏิบัติ เพื่อประโยชน์แก่สังคม มันก็ยังเหลืออยู่ ดังนั้นเราก็ตจะต้องปลูกต้นไม้ต้นมุดท้าย คือเมตเตยยพฤษา ทุกศาสนามีคำว่า พระศรีอาริยเมตไตรย แม้จะเป็นคำในภาษาอื่น ก็มีความหมายเหมือนกัน ศรีอาริยเมตไตรย คือยิ่งด้วยเมตตา. นี้เรายังจะต้องปลูกต้นไม้ต้นนี้ เพื่อแก้ปัญหาให้หมดสิ้น ปัญหาหมดส่วนเราคนเดียว มันก็ยังมีปัญหาของสังคมเข้ามารบกวน; จะตัดปัยหาให้หมด ก็ต้องตัดปัญหาทางสังคมให้หมดออกไปด้วย, จึงต้องปลูกต้นไม้อีกต้นหนึ่งเรียกว่า เมตเตยยพฤกษา เมตเตยยะแปลว่า เกื้อกูลแก่ความเป็นมิตร, เกื้อกูลแก่มิตรภาพ, เพื่อประโยชน์แก่มิตรภาพ เรียกว่าเมตเตยยะ ปลูกต้นไม้เพื่อเกื้อกูลแก่มิตรภาพในสังคม.

 

เหตุผลในการปลูกเมตตา มีทั้งทางโลกและทางธรรม.

         มีเหตุผลหนึ่งที่เราต้องปลูกต้นไม้ต้นนี้ เหตุผลค่อนข้างเห็นแก่ตัว ภาษาโลกเราต้องมีเมตตา ที่ทำเพื่อประโยชน์ผู้อื่น เพร่ะว่าเราอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้, ดังนั้นเราจึงต้องทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นด้วยอีกส่วนหนึ่ง. เหตุผลทางโลกียะหรือทางศีลธรรม เราต้องประพฤติประโยชน์ผู้อื่น เพราะเหตุว่าดเราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้, นี่เหตุผลของศีลธรรมมันเป็นเพียงเท่านี้. ฉะนั้นเราจึงต้องทำประโยชน์ผู้อื่นให้อยู่ด้วยกันได้.

         ทีนี้ถ้าเหตุผลทางปรมัตถธรรม ที่จริง ที่แท้ เราก็มีเหตุผลว่า เพราะเราเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน. ฟังดูให้ดี เพราะว่าเราเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน, ดังนั้น เราต้องประพฤติประโยชน์ผู้อื่น, ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น.

         น่าประหลาดอยู่อย่างหนึ่งว่า ทุกๆ ศาสนาที่เราเรียนรู้หรือเห็นกันอยู่มันขยักไว้ตอนหนึ่งเสมอ คือพระศรีอาริยเมตไตรยที่จะมาถึงข้างหน้า ใช้คำว่าที่จะมาถึงข้างหน้าในทางศาสนาพุทธเรามีคำว่า พระศรีอาริยเมตไตรยจะมาข้างหน้า, ในศาสนาฮินดูเขาก็มีกัลกี หรือกัลป์กิยาวตาร ที่จะมาถึงข้างหน้า ก็ยังไม่มาถึงเหมือนกัน, ในศาสนาพวกเซเมติค พวกยิว ศาสนาคริสต์ อิสลาม เขาก็มี เมสา เมสิอา ความหมายเดียวกับอาริยเมตไตรย, จะมาถึงข้างหน้า. พระเยซูมาอ้างตัวเป็นเมสา ก็ถูกจับฆ่า ใครๆ ก็ว่าอย่างนั้น เพราะเขาไม่ยอมรับกัน. แต่ว่าในทุกศาสนาขยักไว้ว่า พระศรีอาริยเมตไตรยอันจะมาถึงข้างหน้า นั้นน่ะคือหน้าที่ ยังไม่จบหน้าที่ที่จะต้องประพฤติกระทำเพื่อผู้อื่นยังไม่จบ ต้องช่วยกันทำต่อไป.

         ฉะนั้นแม้ว่าเราจะทำหน้าที่ส่วนตัวเราเสร็จ เราก็ยังจะต้องทำหน้าที่เพื่อเพื่อนมนุษย์อีกชั้นหนึ่ง. นี่ต้นไม้ต้นสุดท้ายที่จะต้องปลูกเรียกว่าเมตเตยยพฤกษา. ในเรื่องพระศรีอาริยเมตไตรยของเรามันก็มีคำพฤกษาเป็นหลักอยู่แล้ว,เรียกว่ากลัปพฤกษ์ กัลปพฤกษ์ ต้นกัลปพฤกษ์ ที่ว่าใครต้องการอะไร ไปที่ต้นกัลปพฤกษ์ แล้วก็ได้ทั้งนั้น. ในศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย มีกัลปพฤกษ์ ในภาษาศาสนาฮินดู ดูเหมือนเขาจะใช้คำว่า กัลป์ปะ ดรูมะ ดรูมะแปลว่าพฤกษ์เหมือนกัน ภาษาบาลีง่ายพุทธนี่ว่า กัลปพฤกษ์ ต้นไม้ที่ให้สำเร็จความต้องการ, กลัปดรูมะ ดรูมะ ทุมมะ หรือ ดรูมะนี้ ก็แปลว่าต้นไม้เหมือนกัน. เขาก็มีต้นไม้ที่ว่า ใครต้องการอะไรไปที่นั่น ล้วนแต่ถือว่ายังไม่มา และยังอยู่ไกล.

         ทีนี้อาตมาก็พูดแหวกแนวว่า ไม่อยู่ไกล อยู่แค่ปลายจมูก ศาสนาพระศรีอารย์นี้อยู่แค่ปลายจมูก; เพียงแต่ให้ทุกคนรักผู้อื่นเท่านั้นแหละ. ขอให้ทุคนรู้จักรักผู้อื่นเท่านั้นแหละ ศาสนาพระศรีอารย์ก็ผุดขึ้นมาทันที โผล่ขึ้นมาทันที.

         เราจงไปอบรมสั่งสอน ชี้แจง โฆษณาอะไรก็ตาม ให้คนมันรักผู้อื่น แต่ละคนรักผู้อื่น มันก็เต็มไปด้วยต้นกัลปพฤกษ์, มันมีแต่ความรักเรา คอยช่วยเหลือเรา ไปที่ไหนก็มีแต่คนที่คอยจะให้เรา พอเราลงจากบ้านไปพบหน้าใคร มันก็พบหน้าแต่คนที่จะให้เรา จะช่วยเรา ไปเสียทุกหนทุกแห่ง; นั่นแหละคือต้นกัลปพฤกษ์ อย่าพูดว่าสี่มุมเมืองเลย, พูดว่าทั่วไปทั้งเมือวงดีกว่า พอลงจากเรือนพบแต่คนที่รักใคร่พร้อมที่จะช่วยอย่างนี้ ก็เรียกว่ามันมีต้นกัลปพฤกษ์ เต็มไปทั้งเมือง ทั่วไปทั้งเมือง.

         เมื่อไรมันจะเป็นอย่างนี้ พวกนายทุนไม่มีทางจะทำอย่างนี้ พวกคอมมิวนิสต์ก็ขี้ตู่ ที่ว่าจะสร้างโลกนี้ให้เป็นโลกพระศรีอาริยเมตไตรย, ขี้ตู่ มันเพื่อตัวเองทั้งนั้นแหละ. ถ้าเป็นศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรยจริง มันก็ต้องเพื่อผู้อื่นจริงๆ มันต้องเห็นโทษของการที่ไม่รักผู้อื่น แล้วก็ยิ่งเพิ่มกิเลส และมีความทุกข์ทรมาน คนที่ไม่รักผู้อื่นไม่ช่วยผู้อื่นนั้น มันจะทรมานตนอย่างยิ่ง มันจะหวงจะแหน จะหึง จะอิจฉาริษยา จะอะไรทรมานตนอย่างยิ่ง. ฉะนั้นการรักผู้อื่น เจอจานผู้อื่น, เฉลี่ยให้ผู้อื่นนั้นน่ะเป็นความสุข. เมื่อให้ผู้อื่นกินมีความสุขมากกว่ากินเอง.

         ฉะนั้นเรายังจะต้องปลูกต้นเมตเตยยพฤกษา อบรมจิตใจของเราทีละนิดๆ ๆ ให้รักผู้อื่น. พอทุกคนรักผู้อื่นแล้วมันก็เกิดโลกพระศรีอาริยเมตไตรย ไปที่ไหนมีแต่คนที่พร้อมที่จะช่วย. เหมือนกับชูหน้าสลอนออกมาจากทุกทิศทุกทาง ว่าฉันจะช่วย ฉันจะช่วยอย่าวงนั้นอย่างนี้.

         นี่เรื่องเห็นแก่ผู้อื่น หรือเห็นแก่สังคม มันก็เป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่จะเว้นเสียไม่ได้ด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นขอให้เราที่เป็นพุทธบริษัทนี่นึกถึงด้วย ว่าเมื่อประโยชน์ของตนเสร็จไปแล้ว ก็ต้องนึกถึงประโยชน์ของผู้อื่นด้วย, ประโยชน์ที่สาม คือประโยชน์ที่มันร่วมกันหรือ ผูกพันกัน.

         ประโยชน์นี้มี ๓ ประโยชน์ โดยที่แท้จริงคือ ประโยชน์ตนล้วนๆ นี้อย่างหนึ่ง, ประโยชน์ผู้อื่นล้วนๆ ก็อย่างหนึ่ง, ทีนี้ประโยชน์ที่ผูกพันกันอยู่ทั้งตนและผู้อื่นนั้นน่ะมันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง. ประโยชน์ที่เนื่องกัน เราต้องทำให้ครบทั้ง  ประโยชน์ แล้วจบ เรื่องจบ แล้วทุกเรื่องเป็นเรื่องของจิต, เป็นเรื่องของการอบรมจิต เจริญจิต ก็มาถึงขั้นสุดท้าย.

         การปลูกต้นไม้ทั้ง  ต้น หรือทั้ง  ต้น นี้เป็นเรื่องของจิตทั้งนั้น เป็นเรื่องของการพัฒนาจิต เจริญจิตทั้งนั้น ปลูกต้นไม้นี้คือปลูกที่จิต ให้จิตมันเจริญ เป็นความเจริญของจิต แล้วก็ได้รับผลอยู่ที่จิต อยู่ที่จิต จึงว่าอะไรๆ มันสำเร็จอยู่ที่จิต. ชีวิต ร่างกาย อัตตถภาพ สุขทุกข์อะไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับจิตสิ่งเดียว. มันทำที่อื่นไม่ได้ต้องทำที่จิต; ถึงอย่างนั้น เราก็ไม่เอาจิตเป็นตัวตน. และโดยเหตุที่ว่า จิตมันอยู่ไม่ได้ตามลำพังจิต. มันต้องเนื่องอยู่กับร่างกายด้วย จึงต้องทำร่างกายให้ถุกต้องด้วย เราจึงไม่นิยมจิตฝ่ายเดียว ไม่นิยมกายฝ่ายเดียว, คือไม่นิยมวัตถุฝ่ายเดียว ไม่นิยมจิตฝ่ายเดียว.

         มีคนกล่าวหาพุทธบริษัทผิดๆ ว่าเป็นพวกนิยมจิตฝ่ายเดียว, เรานิยมกายด้วย, คือทั้งสองอย่าง มีความถูกต้องทั้งทางกายและทางจิต เราเรียกว่าเป็นธรรมนิยม; นิยมกายอย่างเดียวเรียกว่าวัตถุนิยม, นอิยมจิตอย่างเดียวเรียกว่าจิตตนิยม, นิยมทั้งสองอย่างให้มันถูกต้องพร้อมๆ กันเรียกว่า ธรรมนิยม หรือ มัชฌิมนิยม.

         พุทธศาสนาเป็นธรรมนิยม จัดการกับจิตที่มีร่างกายเป็นฐานรองรับ, ใข้คำว่านามรูป, นามรูปไม่แยกกัน; นามกับรูปคือกายกับจิตนี้ไม่แยกกัน จับกลุ่มเป็นอันเดียวกันอยี่ นั่นเรียกว่านามรูป เพราะธรรมชาติมันก็ไม่แยกกันอยู่แล้ว. ถาไปแยกกัน มันก็ตายเลยแหละ มันก็ทำอะไรไม่ได้, ใช้มันพร้อมกันไปทั้งนาม และรูป คือทั้งกายและจิต โดยให้จิตเป็นส่วนที่สำคัญ.

         นี่เหมือนกับเครื่องจักรแต่ละเครื่อง มันก็มีส่วนสำคัญอยู่ส่วนหนึ่ง ระบบนั้นนำหน้า. ในชีวิตนี้ก็ระบบจิตันนำหน้าระบบกาย. แต่จะว่าใครสำคัญกว่าใครทมันก็ไม่ได้ เพราะว่ามันขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้, มันต้องมาด้วยกัน. แต่โดยเหตุที่จิตมันทำอะไรได้มากกว่า และสามารถจะนำร่างกายได้ด้วย จึงยกเอาจิตเป็นเรื่องสำคัญว่าอะไรๆ มันสำเร็จอยู่ที่จิต; แม้ร้างกายมันก็ขึ้นอยู่กับจิต มันเป็นไปตามอำนาจของจิต.

         นี่ธรรมะเล่มน้อย พูดสามประโยคจบ จากธาตุตามธรรมชาติ ก็มาถึงจิต, จากจิตทั่วไปทั้งหมด ก็มาถึงโพธิจิต จากโพธิจิตก็ถึงนิพพาน เรื่องจบ ยักษ์ตาย คือกิเลสหมด; นิพพานทั้งหลายก็เขาจะจบเมื่อยักษ์ตาย คือกิเลสมันหมด. ถ้าจิตมันถึงโพธิแล้ว ก็ถึงนิพพาน กิเลสร้ายทั้งหลายมันก็ตายหมด, ความทุกข์ทั้งหลาย มันก็ตายหมด เรื่องมันก็จบ นี้คือธรรมะเล่มน้อย.

         ขอให้สนใจสรุปเรื่องสั้นๆ ไว้เป็นหลักง่ายๆ ว่า เราจะต้องพัฒนา พัฒนา. อยู่ใต้ดินน่ะเป็นนรก, อยู่ผิวดินก็เป็นมนุษย์, อยู่บนฟ้าก็เป็นเทวดา, พ้นฟ้าไปอย่าไปโง่ว่าพ้นฟ้าก็มีฟ้า นั้นมันคนโง่พูด เหนือฟ้าก็มีฟ้า มันต้องพูดในลักษณะว่าเหนือฟ้า เหนืออะไรขึ้นไปหมด, เป็นสุญญากาศ นั้นน่ะมันจึงเป็นเรื่องนิพพาน. ดูให้ดีว่าใต้ดินก็มีบนดินก็มี บนฟเก็มี นอกเหนือฟ้าไปก็มี, นี่คือเรื่องของจิต.

         เรื่องบาปอยู่ใต้ดิน, เรื่องบุญธรรมดานี่อยู่ผิวดิน, เรื่องบุญหรือว่าเกือบจะไม่ใช่บุญเป็นอเนญชานี้เ ก็อยู่บนฟ้า, พอเหนือนั้นข้นไปก็อยู่นอกอวกาศ นี้เทียบนะ, เปรียบเทียบ ไม่ใช่ว่าระบุสิ่งนั้นที่นั่น เปรียบเทียบให้เห็นว่า มันจะเป็นชั้นๆ กันอยู่อย่างนี้.

         เดี๋ยวนี้เราอยู่ใต้ดิน หรือว่าอยู่บนผิวดิน หรือว่าอยู่บนฟ้า; โดยเหตุที่ว่าจิตเป็นสิ่งที่ว่องไว รวดเร็วเหลือประมาณ, มันมีอาการเกิดของมันที่ เรียกว่าอุปปัตติ อุปปัตติ เกิดแป๊บเดียวโดยไม่ต้องมีพ่อแม่ เกิดแล้วโตเต็มที่เลย, เกิดโดยวิธีโอปปาติกะ, นี้จิตมันเกิดได้. ดังนั้นคนเรานั่งอยู่ที่นี่แหละ ไปเกิดอยู่ใต้ดินในนรกก็ได้, ไปเกิดอยู่ที่มนุษย์นี้ก็ได้, ไปเกิดบนสวรรค์หรือพรหมโลกก้ได้. มันก็ไม่มีที่สิ้นสุดจนกว่ามันจะมีโพธิจิตไม่อยากเกิด ไม่มีตัวตน ทำลายตัวตนเสีย ก็ไม่มีอะไรจะเกิด มันก็ว่างไป, นี้เรียกว่าจบ.

         ว่างกิเลส ว่างจากทุกข์ เป็นนิพพาน อย่างที่ท่านกล่าวว่า นิพพานํ ปรมํ สุญญํ คำพูดนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสก็จริง แต่เขาสรุปมาจากคำที่พระพุทธเจ้าตรัส จนกล่าวได้ว่า นิพพานํ ปรมํ สุญฺญํ -นิพพานว่างที่สุด. ว่างจากตัวตนนั่นเองจึงว่างที่สุดง เมื่อไม่มีตัวตนก็ไม่มีกิเลส ก็ว่างจากกิเลส, เมื่อไม่มีกิเลส ก็ว่างจากความทุกข์ มันไม่มีความทุกข์, จึงพูดได้ว่า นิพพานนี้ว่างอย่างยิ่ง เป็นที่จบของเรื่องของการเวียนว่ายในวัฏฏะ.

         หวังว่าเมื่อทั้งหลาย ได้เข้าใจเรื่องนี้ดีแล้ว คงจะปรารถนาความว่าง ความหยุด ความจบ ไม่ปรารถนาความเวียนว่ายอีกต่อไป. แม้ว่าจะเวียนว่ายดี มันก็ไม่ใช่ดับทุกข์. จะไม่เวียนว่ายอยู่ในกระแสกรรม กรรมดี กรรมชั่วอีกต่อไป.

         พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้คนเวียนว่ายอยู่ในกรรมดี แต่สอนให้พ้นไปจากความเวียนว่าย จากกระแสแห่งกรรมชั่วกรรมดี. นี่คือการปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรค ผล นิพพาน เป็นเรื่องกรรมในพระพุทธศาสนา. ศาสนาอื่นที่ต่ำกว่านี้เขาสอนกันแต่เพียงให้ทำดี, และเวียนว่ายไปในความดี, แล้วก็ไปดีกันอยู่นั่นแหละ โดยความไม่เข้าใจ, ไปดีกันอยู่ที่นั่น เป็นเมืองสวรรค์ เป็นเมืองพระเจ้าอะไรก็ตาม เต็มอยู่ด้วยความดี ไปดีกันอยู่ที่นั่น เป็นเมืองสวรรค์ เป็นเมืองพระเจ้าอะไรก็ตาม เต็มอยู่ด้วยความดี ไปอยู่กันอยู่ที่นั่น. แต่ว่าพุทธบริษัทนี้ไม่เอา ไม่ไปเวียนว่ายและก็ไม่หยุดอยู่ที่ไหน ไม่ติดอยู่ที่ไหน, ต้องการจะอยู่เหนือทุกสิ่ง คือจิตว่างจากตัวตน, จิตว่างจากความยึดถือว่าตัวตน นั่นน่ะมันอยู่เหนือทุกสิ่ง แล้วก็เหนือกรรม, เหนือกรรมดี เหนือกรรมชั่ว เหนือความทุกข์ทั้งปวง นี่เรียกว่ามันจบเรื่องจุดหมายปลายทางของชีวิต ก็คืออกไปได้จากความผูกพัน ของสิ่งที่ผูกพันจิต. ดีนั่นแหละระวังให้ดีนะ มันผูกพันจิตยิ่งกว่าชั่ว, บ้าดีแล้วมันก็ตายอยู่ที่นั่น มันก็ทนทุกข์อยู่ที่นั่น.

         คำว่า ประโยชน์ คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุด. คำว่าประโยชน์แปลว่า เครื่องผูกพันอย่างแน่นหนา; ปะ แปลว่าแน่นหนา หรือครบถ้วน. โบชนะ แปลว่ามัดหรือผูก, ประโยชน์ แปลว่าเครื่องมัดอย่างผูกพันแน่นหนา. ในเมื่อติดอยู่ในประโยชน์ใด มันก็จะทนทุกข์อยู่ในประโยชน์นั้น เพื่อประโยชน์นั้น. ฉะนั้นเราจะขึ้นอยู่เหนือประโยชน์ พ้นจากความผูกพัน เช่น เป็นพระนิพพานนี้ พ้นจากความผูกพันโดยประการทั้งปวง.

         อย่าไปเรียกพระนิพพานว่าเป็นประโยชน์ มันจะขบถต่อพระนิพพาน; เพราะว่าพระนิพพานไม่ผูกพันใคร ที่จะไปพูดนิพพานประโยชน์ ประโยชน์นิพพานมันไม่ถูกดอก. ถ้ายังผูกพันอยู่ยังไม่นิพพาน. ถ้าเป็นนิพพานแล้วไม่ผูกพันใคร, เพราะฉะนั้นนิพพานจึงอยู่เหนือความเป็นประโยชน์ มันปล่อยให้เป็นอิสระ คือหลุดพ้นหรือว่างออกไปได้.

         หวังว่าทุกคน คงจะมุ่งหมายจุดปลายทางให้ถูกต้องอย่างนี้ คือหลุดพ้นออกไปได้. ไม่ต้องเวียนว่ายอยู่ในความผูกพันของสิ่งใดๆ ซึ่งเต็มไปด้วยกิเลส ด้วยตัณหกา ด้วยความทุกข์ทรมาน.

         นี่การบรรยายเรื่องธรรมเล่มน้อยเป็นครั้งสุดท้าย มันก็สมควรแก่เวลาขอให้เอาไปใช้ให้สำเร็จประโยชน์ คือจากชีวิตที่เร้าร้อน ไปสู่ชีวิตที่เยือกเย็น ทั้งของตนเองและผู้อื่น.

         อาตมาขอยุติการบรรยายครั้งสุดท้ายไว้ ด้วยความสมควรแก่เวลา แต่เพียงเท่านี้ เป็นโอกาสให้พระคุณเจ้าทั้งหลาย ได้สวดบทคณสาธยาย ส่งเสริมกำลังใจในการปฏิบัติธรรมะสืบต่อไป



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น