หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

อลัน วัตต์ส - จักรวาล เป็น แม่แบบ/แบบอย่าง

 อลัน วัตต์ส - จักรวาล เป็น แม่แบบ/แบบอย่าง

Alan Watts | The Universe is a Pattern

         https://youtu.be/jiesY07K7Do?si=kS4pBY6OpNZ3lFW6



        นี่เป็นส่วนหนึ่งของชุดหนึ่งของการสัมมนาทั้งหลายกับเรื่องอนาคต
(this is part of a series of seminars on the future). และสุดสัปดาห์ที่แล้ว(last weekend)เราได้อภิปรายถกเถียงกันในเรื่องธรรมชาติที่แท้จริงของเวลา(we were discussing the very nature of time).

และผมต้องการให้อะไรแบบว่าเป็นข้อสรุปของอะไรที่เราได้พูดคุยกันไปแล้ว(a sort of summary of what we were talking about), ก่อนที่จะเข้าไปสู่การอภิปรายถกเถียงพิเศษในสุดสัปดาห์นี้(before going into this particular weekend’s discussion)ที่เป็นอนาคตของการติดต่อสื่อสาร(which is the future of communication).

สุดสัปดาห์ที่แล้วเราได้อภิปรายถกเถียงกันเรื่อง ความคิดที่เป็นประวัติศาสตร์(the idea that history), แนวคิดเรื่องชีวิตมนุษย์(the notion of human life)เป็นเช่นประเภทหนึ่งของระบบก้าวหน้า(as a kind of progressive)ซึ่งกำลังเริ่มต้นจากความโง่เขลาดังเดิมเก่าแก่ที่สิ้นแรงไปแล้ว(that is beginning from the old primitive, the worn out, the stupid), และดำเนินต่อไปอย่างก้าวหน้าสู่อภิมหาภูมิปัญญาทั้งหลาย(and going on progressively to the greater and greater attainments). นักปราชญ์(the wise), คนดี(the good), ผู้สำเร็จและอื่นอีกมากมาย(the successful and so on). ว่านี่คือมายาภาพที่อันตรายมาก(that this is a very dangerous illusion).

นั่นคือตราบเท่าที่(insofar as)เรารู้สึกว่าเรากำลังเข้าร่วมอยู่ในนั้น(we feel we are participating in)และกำลังปรับปรุงชีวิตมนุษย์ผ่านวิถีทางของประวัติศาสตร์ ที่เรากำลังทำลายตัวของเราเองอย่างชัดเจน(and improving human life through the course of history we are actually destroying ourselves).

เพราะว่าทุกสิ่งที่มาถึงนี้ผ่านเทคโนโลยี และผ่านการสั่งสมทักษะของมนุษย์(everything that so far through technology and through the accumulation of human skill), เราเรียกว่า การเพิ่มขึ้นของพลังอำนาจทั้งหลายของเรา(we call the increase of our powers)กำลังนำเราไปสู่การวิบัติ(is leading us to destruction).

ไม่ใช่เพราะว่าเทคโนโลยีโดยตัวมันเองก็เป็นสิ่งเลวหนึ่ง(not because technology in itself is a bad thing). แต่เพราะว่าจิตวิญญาณที่มันอยู่ในนั้น ซึ่งมันถูกใช้คือจิตวิญญาณของมนุษย์ซึ่งต่อต้านจักรวาล(but because the spirit in which it is used is a spirit of man against the universe), มนุษย์ที่ต่อต้านธรรมชาติ(man against nature).

และมนุษย์ต้องตระหนักรู้ว่าเขาคือส่วนสำคัญเชิงบูรณาการของธรรมชาติ(and man has to realize that he is an integral part of nature), ว่าเขาเป็นมากได้แค่เท่าๆกับรูปร่างหนึ่งของธรรมชาติ(that he is just as much as a natural form), เป็น นกนางนวลตัวหนึ่ง(as a seagull)หรือคลื่นหนึ่ง(or a wave)หรือภูเขาหนึ่ง(or a mountain).

และถ้าเขาไม่ได้ตระหนักเช่นนั้น, เขาใช้พลังอำนาจทั้งหลายทางเทคโนโลยีของเขาที่จะทำลายสิ่งแวดล้อมของเขา, ที่จะทำลายรังอยู่อาศัยของเขาเอง(that he uses his technical powers to destroy his environment, to foul his own nest).

แล้วเมื่อคุณมองไปยังอภิมหานครทันสมัยเหมือนอย่าง ลอส แองเจลีส(so when you look at the great modern city like Los Angeles), และคุณก็เห็นความพังพินาศอย่างสัมบูรณ์สิ้นของอะไรที่เคยเป็นที่อย่างสวยงามน่ารัก, ภาพทัศน์ของธรรมชาติ(and you see the absolute ruination of what used to be a very lovely, a natural scene), เต็มไปด้วยต้นส้มไซตรัส(full of citrus tree)และแสงแดด(sunshine), ที่ในตอนนี้เปลี่ยนไปเป็นกลุ่มก้อนแออัดของหมอกควัน(turned into a smoggy slum).

ดังนั้น, ลอส แองเจลีส นั้นแทนที่จะเป็นอารยธรรมของโลก(instead of civilization of the world)ก็เป็นผลลัพธ์ของการมีสำนึกเหตุผลในการมีอยู่ของเราเอง(is a result of having a sense of our own existence), ที่ได้เป็นตรงข้ามกับความจริงทั้งหลาย, นั่นคือที่จะพูดได้(which is contrary to the facts, that is to say).

เราได้รับการฝึกฝนปฏิบัติทั้งหมดมาจากพ่อแม่ทั้งหลายของเรา(we all trained by our parents), โดยครูทั้งหลายของเรา(by our teachers), โดยกลุ่มสมาชิกทั้งหลายของเรา(by our peer groups1), ในการที่จะประสบรับรู้ต่อการมี(ชีวิต)อยู่ของเราเอง(to experience our own existence), ว่าเป็นตัวอัตตา(as an ego), ในแค็ปซูลผิวหนัง, ถูกเผชิญหน้าโดยโลกภายนอกที่ไม่

1 https://ntc-bloginfo.blogspot.com/2008/08/peer-group.html

ไม่ใช่ตัวของเรา, อย่างแน่ชัดเลยว่าไม่ใช่(confronted by the external world which is not ourselves definitely not). และโลกภายนอกนี้คืออะไรบางอย่างที่คุกคามจริงๆต่อเรา(is something that really threatens us), เพราะว่าเราถูกเลี้ยงดูขึ้นมาสู่ความคิดที่โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นกลไกเครื่องจักร(because we’ve brought up to the idea that basically it’s mechanism).

         มันเป็นการประกาศสำแดงปรากฏอย่างไร้ปัญญาที่โง่เขลาของพลังงาน(it’s a stupid unintelligent manifestation of energy)ออกไปข้างนอกนั่นในกาแล๊กซี่อันห่างไกลที่สุดทั้งหลาย(right out in the farthest galaxies). ว่า มันไม่ได้มีอะไรไปกว่าไฟกับแก๊ส(it’s nothing fire and gas). ใกล้เรายิ่งกว่าก็ไม่มีอะไรนอกจากน้ำและก้อนหิน(nearer to us it’s nothing but water and rock). แล้วมันก็เต็มไปด้วยแมลงที่บินหึ่งๆ และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายอื่นๆ (and it’s full of buzzing insect and the other organisms)ที่ด้อยกว่าต่อสถานะมนุษย์(that are inferior to the human status). และเพราะเช่นนั้นจึงเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกไว้วางใจได้เลย(and therefore something that’s not to be trusted at all).

         และเราได้ถูกเลี้ยงดูขึ้นมาในความคิดที่ว่า เรานั้นเข้ามาในฉากนี้ดุงราวกับว่าเราคือผู้แปลกหน้าทั้งหลายอย่างสมบูรณ์ต่อมัน(that we come into this scene as if we were complete strangers to it). เราได้กำเนิดขึ้นมาโดยอุบัติเหตุจากผลิตภัณฑ์ถุงยางห่วยๆทั้งหลาย หรืออะไรบางอย่างทำนองนั้น(we’re born by accident bad rubber goods or something like that). แล้วเรามาถึงในนี้และเผชิญหน้ากับมันเหมือนเช่นนั้น(and we arrive in this and confront it like that), เห็นมั้ย, มันอยู่ที่ข้างนอกนั่น(see, it’s outside there). และนี้คือภาพหลอน(and this is a hallucination). ทั้งหมดนี้คือความเพ้อฝันอย่างสมบูรณ์(all of this is a complete fantasy).

         ผู้คนอย่างเป็นทางการในจิตเวชศาสตร์บ่นเกี่ยวกับสภาวะทั้งหลายประสาทภาพหลอนได้ลดทอนลงด้วยยาเสพติดLSD และอะไรอื่นทั้งหลาย(official people in Psychiatry complain about the hallucinatory state induced by LSD and so on), จนมาถึงตอนนี้แต่พวกมันไม่มีอะไร(they are nothing). พวกมันไม่ได้มีอะไรในภาพหลอนทั้งหลายของมันเทียบกันไม่ได้กับภาพหลอนของการเป็นอัตตาที่ถูกบรรจุในแค็ปซูลผิวหนัง(they are nothing in their hallucinations compared with the hallucination of being a skin encapsulated ego).

         หนึ่งไม่ได้เป็นนั้น(one is not that), ตัวอย่างเช่น มันเป็นอะไรมีง่ายๆมากยิ่งนัก(it’s very, very simple)มนุษย์มีอยู่โดยโดยอำนาจของการอาศัยอยู่ในโลกที่ซึ่งมีพืชทั้งหลาย(a human being exists by virtue of living in a world where there are plants), ที่ซึ่งมีอากาศ(where there is air), ที่ซึ่งมีน้ำ(where there is water), ที่ซึ่งมีดวงอาทิตย์(where there is sun), และอุณหภูมิของมัน(and its temperature).

         และพืชทั้งหลายบออกถึงแมลงและด้วงทั้งหลาย(and plants imply insects and grubs). พวกเขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากพวกมัน(they can’t live without them), และด้วงทั้งหลายก็บอกถึงนกทั้งหลาย(and grubs imply birds), และนกทั้งหลายบอกถึงปลาทั้งหลายและอื่นๆอีกมากมาย(and birds imply fishes and so on and so on), มันทั้งหมดต่างเหมาะเจาะเข้าด้วยกัน(it all fits together).

         ดังนั้นนั่นเองที่คุณก็คือแม่แบบ/แบบอย่างทั้งหลายของสิ่งที่มีชีวิต(so that you are patterns of every every living organism), คือแม่แบบ/แบบอย่างของอะไรบางสิ่งที่ไม่สามารถแยกออกมาได้จากแม่แบบ/แบบอย่างของทุกๆสิ่งอื่นซึ่งกำลังดำเนินไป(is a pattern of something which is inseparable from the pattern of everything else that is going on).

         ดังนั้นคุณสามารถพูดได้ว่า, คุณในฐานที่คือมนุษย์ชีวอินทรีย์ซึ่งมีชีวิต(as a living human organism)เป็นอะไรบางอย่างอันจักรวาลทั้งปวงกำลังทำอยู่ในจุดหนึ่งของอวกาศ และ เวลา(are something that the whole universe is doing at the point of space and time)ที่คุณเรียกว่า ที่นี่และในตอนนี้ณhere and now). คุณไม่ได้ถูกแยกออกมา, คุณไหลเข้าไปสู่สิ่งรายรอบคุณทั้งหลายทั้งหมด(you are not separated, you flow into all the surrounds you).

         ในวิถีอย่างชัดเจนเดียวกัน(in exactly the same way), ที่หัวของคุณไปด้วยเท้าของคุณ(that your head goes with your feet). เห็นนะว่าพวกมันแยกจากกัน(they’re separate). เมื่อคุณได้กำเนิดขึ้น, คุณไม่ได้ถูกเอามารวมเข้าด้วยกันเหมือนที่ใครประกอบสร้างรถยนต์หนึ่ง(you were not put together like one constructs an automobile). ขันน็อตชิ้นนี้นิดและขั้นน็อตกับชิ้นนั้นหน่อยและอะไรทั้งหลายอื่น(screwing on this bit and screwing on that bit and so on).

         คุณเติบโตขึ้นอย่างงดงาม, หัวและเท้าอยู่ด้วยกัน. ทั้งหมดเป็นหนึ่งชิ้น(all of One Piece), จากครรภ์ของมารดาของคุณ(from your Mother’s womb).

         และอย่างชัดเจนในวิถีเดียวกัน, ที่หัวของคุณและเท้าของคุณต่างสัมพันธ์โยงเข้าด้วยกัน(that your head and your feet are related together). ดังนั้นคุณจึงไปด้วยกัน, ผมต้องการให้คุณได้คำนี้ไปเป็นภาษาอังกฤษ, ด้วยกัน(so you go with, I want you to get this word into the English language, go with).

แทนที่จะเป็น สาเหตุและผลกระทบ(instead of cause and effect), แทนที่จะเป็นความเข้าใจเชิงเครื่องจักรกลไกของโลก(instead of that mechanical understanding of the world)ที่เดคาร์ตส์ และนิวตัน(which was Descartes2 and Newton3)พวกเขาคิดว่าโลกเป็น

2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%99_%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95

3https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%8B%E0%B8%81_%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%99

ดุจบิลเลียด(billiards4). คุณก็รู้ว่า, เมื่อคุณกระแทกลูกบิลเลียดและมันกลิ้งหมุนไป(when you hit a ball and it goes), และมันก็ไปกระแทกเข้ากับลูกบิลเลียดอื่นเหมือนเช่นนั้นอีก, และคุณก็เห็น(and it hits that ball like that, and you see), และพวกเขาก็คิดถึงในเรื่องเหตุและผลกระทบที่เกิดขึ้น.

         4https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94

(they thought of cause and effect).

         คุณไม่จำเป็นต้องใช้แนวความคิดนั่นเลย(you don’t need to use that concept at all), ก็ไปด้วยกัน(go with). แค่เป็นเช่นตอนหน้าไปด้วยกันกับตอนหลัง(just as a front goes with goes with the back), เพียงเป็นแค่ตอนบนไปกับตอนล่าง(just as the top goes to the bottom), แค่เป็นขึ้นไปด้วยกันกับลง(just as up goes with down). พวกเขาไม่สามารถแยกออกจากกันได้ที่ชัดเจนอย่างมากในวิถีนั่นที่คุณ”ไปด้วยกัน(they are inseparable so in exactly that way you “go with” everything that you call the external world). และเพราะเช่นนั้นเองคุณต้องปฏิบัติต่อโลกภายนอกราวกับว่าเป็นมากทกันกับเท้าของคุณเอง(you have to treat the external world as if it were as much you as your own foot)หรือว่าหัวของคุณเอง(or your own head). มันเป็นส่วนของคุณ(it’s part of you). มันเป็นคุณ(it is you).

ไม่มีหนทางใดของการแยกออกจากพวกเขา(there’s no way of separating them). ดังนั้น, คุณจะต้องเป็นที่ใจดี, มีความเคารพปและนับถือเต็มที่เป็นอย่างยิ่ง(you have to be very kind and reverent, and respectful)ต่อภูเขาทั้งหลาย(to the mountains), ต่อป่าไม้ทั้งหลายและอื่นๆอีกมากมายนั้น(to the forests and so on). ต่อน้ำ(to the water), ต่อปลา(to the fish).

คุณ, เป็นตัวอย่าง, มีชีวิตอยู่ด้วยปลา(live on fish), เช่นเดียวกับนกทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่อยู่ด้วยหนอนทั้งหลาย(just as birds live on worms). และถ้าคุณฆ่าสิ่งมีชีวิตใดเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่(and if you kill any creature in order to live), คุณมีภาระหน้าที่ต่อมัน, พูดได้เช่นนั้น(you have a duty towards it, that is to say). คุณต้องไม่ล้างผลาญกำจัดสายพันธุ์ทั้งหลายที่คุณมีชีวิตอาศัยมัน(you must not exterminate the species on which you live).

ผู้คนมี, ตัวอย่างเช่น, ในอุตสาหกรรมปลาวาฬ, ในทางปฏิบัติแล้ว พวกเขาได้ล้างผลาญกำจัดวาฬทั้งหลาย(in the whaling industry they have practically exterminated whales). และมันก็ได้กลายเป็นสถานการณ์ร้ายแรงจริงจังอย่างมาก(becoming very serious situation). คุณต้องทำฟาร์มเพาะเลี้ยงทุกสายพันธุ์ทั้งหลายที่คุณรู้สึกพึ่งพา(you must Farm cultivate every species on which you feel).

ถ้าหนอนทั้งหมดถูกกินโดยนกทั้งหลาย, นกทั้งหลายก็ไม่อาจมีอาหารยังชีพอีกต่อไป(if all worms were to be eaten by the birds} the birds would have no further sustenance). จากมุมมองของนกทั้งหลาย ถ้านกทั้งหลายทั้งหมดจะต้องหายไป(from the worms point of view if all birds were to vanish), หนอนทั้งหลายก็จะมีประชากรของตัวมันเองล้นเหลือเกินไปและหยุดตนเอง(the worms would overpopulate themselves and stop themselves).

ดังนั้นแล้ว, หนอนทั้งหลายก็พึ่งพาอาศัยขึ้นอยู่กับนกทั้งหลายมากเท่าๆกับที่นกทั้งหลายพึ่งพาอาศัยขึ้นอยู่กับหนอนทั้งหลาย(the worms depend on the birds as much as the birds depend on the worms).

 ดังนั้นพวกเราทั้งหมดจึงพึ่งพาอาศัยขึ้นอยู่กับปฏิสัมพันธ์ทั้งปวงของระบบทางชีววิทยานั้น(so we all depend on the whole interaction of the system of the biology). มันคือสังคมการกินกันฉันท์มิตร(it’s a mutual eating society).

คุณอาจจะพูดได้ว่า นั่นช่างแย่เหลือเกิน(that’s too bad), รู้มั๊ย, ที่ชีวิตต้องมายุ่งเกี่ยวกับการกระทืบและบดขยี้และการทำลายล้างนี้ต่อสิ่งมีชีวิตอื่น(that life has to involve this crunching and crushing and annihilation of other creatures), แต่นั่นเป็นวิถีทางเช่นนั้นของมัน(but that’s the way it is).

และเพราะวิถีทางเช่นนั้นของนั้นของมัน, วิถีทางที่จะทำมันอย่างเหมาะสมก็คือ หมายเลขหนึ่ง(the way to do it properly is number one), ทำการเพาะเลี้ยง(to farm)แทนที่จะเพียงแค่ทำลายเท่านั้น(instead of merely destroy). จงให้แน่ใจว่า สายพันธุ์ทั้งหลายที่คุณใช้เป็นอาหารอยู่กับมัน(be assured that the species you feed on), ได้ถูกบำรุงรักษาว่ามันให้คงอยู่ต่อไป(is maintained that it goes on). ทำการเพาะเลี้ยงวาฬทั้งหลายอย่าแค่ล่าพวกเขาเพียงอย่างเดียว(farm the whales don’t just hunt them). นั่นคือหลักการแรก(that’s the first principle).

หลักการที่สอง คือ(the second principles is), เมื่อใดก็ตามที่คุณทำลายร่างกายที่มีชีวิตหนึ่งเพื่อการคงอยู่รักษาตัวของคุณเอง(whenever you destroy a living body for your own maintenance), จงให้เกียรติมันในการทำมันเป็นอาหารอย่างงดงามเท่าที่เป็นไปได้(give it honor of cooking it beautifully as possible).

ปลาตัวหนึ่งที่ได้ตายไปเพื่อคุณและไม่ได้ถูกทำเป็นอาหารให้ดีก็ได้ตายไปอย่างเสียของ(a fish that has died for you and not well cooked has died in vain). ผมกำลังจะอ้างคำพูดของ ลีน นิวตัน(I’m quoting Lynn Newton5).

5 https://theconversation.com/profiles/lynn-newton-445887

ดังนั้น, นี้คือสถานการณ์ที่เราได้พบว่าตัวเราอยู่ในนั้น(this is the situation in which we find ourselves). ชีวิตคือระบบหนึ่งในที่ซึ่งชีวอินทรีย์มีชีวิตทั้งหลายโดยการกินกันฉันท์มิตร(life is a system in which organism by mutual eating), เปลี่ยนรูปปลาไปเป็นผู้คน, หญ้าไปเป็นผู้คน, ผักกาดหอมไปเป็นผู้คน, วัวทั้งหลายไปเป็นผู้คน(transformed fish into people, grass into people, lettuce into people, cows into people). แล้งผู้คนล่ะ, พวกเขาได้ถูกเปลี่ยนรูปไปเป็นอะไร?(what are they transformed into?)

เราภาคภูมิใจ, ภาคภูมิใจเกินไป(too proud)และเราพยายามที่จะต่อต้านการเปลี่ยนรูปของเราไปเป็นบางรูปร่างอื่นทั้งหลายของชีวิต(we try to resist our transformation into some other forms of life). ดังนั้นเราจึงมีอาชีพที่น่าสงสารหนึ่งชองฆาตกรทั้งหลาย(we have a wretched profession of morticians). อีกนัยหนึ่งที่รู้จักกันว่าสัปเหร่อทั้งหลาย(otherwise known as undertakers), ผู้ที่พยายามจะทำการดองเราและเก็บรักษาเราไว้และเอาเราใส่ไว้ในคอนกรีตและกำแพงกั้นทั้งหลาย(who try to embalm us and preserve us and put us in concrete and barriers), แทนที่จะยอมให้เราอย่างง่ายๆไปเข้าร่วมจังหวะทางชีวภาพ(instead of let us simply join the biological rhythm).

อันที่จริงแล้วอะไรควรบังเกิดขึ้นเมื่อบุคคลหนึ่งได้ตาย(actually what should happen when a person is dead)ก็คือว่าพวกเขาควรจะถูกฝังลึกสามฟุตใต้ดินโดยไม่มีโลงใส่(is that they should be buried three feet underground with no casket), ไม่มีอะไร, แค่เปลือยเปล่าอยู่ในปฐพีโลก(just naked in the Earth). และทุ่งนั้นก็ควรถูกทิ้งร้างไม่เพาะปลูกอะไรสักหลายปี(and that field should be allowed to lie fallow for some years). และแล้วมันก็น่าจะได้ปุ๋ยอย่างงดงามด้วยร่างกายมนุษย์ทั้งหลาย(and then it would be beautifully fertilized by human bodies). และธัญพืชทั้งหลายก็จะเจริญเติบโตขึ้นมาจากมัน(and crops would grow out of it).

พวกเขามักจะพูดกันอยู่เสมอว่า, ข้าววีตที่ดีที่สุดบนสนามรบเก่าๆทั้งหลาย(the best wheat grown on Old battlefields).

เห็นมั้ยว่าต่อต้านการนั้น(see, we resist that). และพวกฆาตกรทั้งหลายจะเอาโฆษณาเข้ามาใส่ด้วยเด็กสาวบางคนที่ได้สูญเสียสามีของเธอ กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างในวันฝนตก(the morticians will put an ad in with some girl who’s lost her husband looking out of the window on a rainy day). พวกเขาพูดว่า, เชื่อในเราสิ เขาไม่ได้กำลังเน่าจริงๆ, รู้มั้ย, เรามีเจ้าคอนกรีตอะไรนั่น(he’s not rotting, you know, we got that concrete thing), เรามีการหุ้มปิดนั่นอย่างดีเป็นพิเศษเฉพาะ, มีการดองร่างอย่างสุดยอดนั่นและศพยังคงอยู่ทมี่ตรงนั้น(we’ve got that extra special covering, that super embalming and the corpse is still there). ที่นักอย่าเป็นห่วงเลย(baby don’t worry).

คุณรู้ไหมว่าคุณสามารถเป็นบ้าได้ขนาดไหน(how mad can you get), วิกลจริตได้ขนาดไหน(how insane), น่าหัวเราะได้ขนาดไหน(how ridiculous).

รากของการทำความไม่สงบประเภทนี้(the root of this kind of disturbance), ความรู้สึกที่คุณถูกแบ่งแยกอยู่ข้างในผิวหนังของคุณ และไม่ได้อย่างง่ายๆเป็นหนึ่งกระบวนการทั้งหมดซึ่งกำลังดำเนินไปรายรอบตัวคุณ(the feeling that you are separated inside your skin and not simply all one process with everything that’s going on around you).

รากของเรื่องนี้ที่เป็นความล้มเหลวของการติดต่อสื่อสาร(the root of this is a failure of communication).

ทีนี้ถ้าผมต้องการที่จะพูดคุยถึงเรื่องการติดต่อสื่อสาร, หนึ่งในสิ่งน่าขบขันทั้งหลายที่บังเกิดปรากฏขึ้นต่อผมตรงๆออกมาก็คือ เรื่องการติดต่อสื่อสารนี้(one of the funny things that occur to me straight off is the subject of communication), เป็นจริงๆในเรื่องเดียวกันกับเรื่องชีวิต(is as really the same subject as life). ชีวิตคือ การติดต่อสื่อสาร(life is communication).

แต่เรามาว่ากันในเรื่องของการโฆษณา(let’s take the subject of advertising). ชีวิต คือการโฆษณา(life is advertising). เพราะว่าในขณะที่, การโฆษณากำลังทำอะไร?(what is advertising doing?) การโฆษณากำลังพยายามที่จะสนับสนุนเกมของใครบางคน(advertising is trying to promote somebody’s game), การมีอยู่ของใครบางคน(somebody’s existence), ความเป็นจริงเชิงชีวภาพของใครบางคน(somebody’s biological reality), เพราะว่าเขากำลังเก็บรักษาคงตัวเขาเองอยู่โดยการขายอะไรบางอย่าง(he’s maintaining himself by selling something), และเขาโฆษณามัน(and he advertises it). แล้วต้องขายมันเพื่อที่ใครคนหนึ่งจะพูดได้ว่า, ชีวิตทั้งหมดคือการโฆษณา(all life is advertising).

ทุกคนโฆษณาตัวเขาเองบ้างในไม่หนทางใดก็หนทางหนึ่ง(everybody advertises himself in some way or other), หรือไม่ก็ใช้ยุทธวิธีในเรื่องอื่นอีก(or take another subject strategy), ยุทธวิธีทางทหาร(military strategy). ชีวิตทั้งหมดสามารถถูกเห็นได้เป็นเช่นอดีตยุทธวิธีที่ผ่านมา(all life can be seen as a former strategy).

แผนกหลักใหญ่ใดของชีวิตมนุษย์(any major department of human life)ที่เราแยกจำแนกประเภท เราสามารถเรียกมันว่าธุรกิจ(that we classify we can call it business), เราเรียกมันว่ายุทธศาสตร์(we call it strategy), เราสามารถเรียกมันว่าการโฆษณา(we can call it advertising), เราสามารถเรียกมันว่าการติดต่อสื่อสาร(we can call it communication).

แต่เราสามารถมองเห็นชีวิตทั้งหมดเป็นเช่นว่า(we can see all life as that), แล้วนั้นอย่างไรที่เรากำลังที่จะอธิบายให้คำจำกัดความการติดต่อสื่อสาร(how then are we going to define communication), โดยเฉพาะกิจกรรมของมนุษย์ที่เป็นการจำเพาะเจาะจงจากกิจกรรมอื่นๆทั้งหลาย(particular human activity as distinct from other activities).

อย่างไรที่อะไรคือความแตกต่างระหว่างการติดต่อสื่อสารและสถาปัตยกรรม(how what is the difference between communication and architecture).

อะไรคือความแตกต่างระหว่างการติดต่อสื่อสาร กับ การแสดงที่เล่นกับตลาดหุ้น(what is the difference between communication and playing on the stock market).

อะไรคือความแตกต่างระหว่าง การติดต่อสื่อสาร กับ ฟุตบอล(what is the difference between communication and football).

เหล่านี้เป็นสิ่งทั้งหลายที่ยุ่งยากมากๆที่จะอธิบายระบุคำจำพกัดความ(these are very, very difficult things to define). เพราะไม่มีความแตกต่าง(there is no different). ฟุตบอลคือรูปแบบหนึ่งของการติดต่อสื่อสาร(football is a form of communication). การร่วมแพศ/เซ็กส์ ก็คือรูปแบบหนึ่งของการสื่อสาร(sex is a form of communication).

เกือบจะและด้วยเหตุนั้น(almost and therefore), คุณอาจพูดว่า ทำไมถึงพูดคุยกันในเรื่องการติดต่อสื่อสาร(you may say why talk about communication)ก็เพราะว่า มันเป็นทุกสิ่งไม่ว่าอย่าวงไรก็ตาม(it’s everything anyhow).

ดังนั้นเพื่อที่จะระบุจำกัดความสาขาด้านนั้น(so in order to define the field), ผมก็กำลังจะคุยถึงเรื่องการติดต่อสื่อสาร, อย่างแคบลงยิ่งขึ้น, การติดต่อสื่อสาร คือภาษา(more narrowly communication is language). การติดต่อสื่อสาร คือ โลกของสัญลักษณ์ทั้งหลาย(communication is the world of symbols), pixel6/จุดภาพเล็กๆสนธิติดต่อกัน(pixel intercourse)เป็นรูปร่างของการติดต่อสื่อสาร(is a form of communication).

6https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%A5

แต่ผมจะไม่รวมเอาการกระทำชนิดนั้นเข้ามาด้วยในอะไรที่เรากำลังจะอภิปรายถกเถียงกัน(I’m not going to include that sort of activity in what we’re going to discuss). อะไรที่ผมกำลังจะพูดคุยถึงคือ วิถีที่มนุษย์ทั้งหลายใช้ในเสียง(the way in which human beings use noise)อย่างเช่น คำพูดทั้งหลาย(words), และสัญลักษณ์ทั้งหลาย(symbols)อย่างเช่นตัวเลขทั้งหลาย(numbers), แสดงแทนสิ่งทั้งหลายที่ดำเนินไปอยู่ในโลกทางวัตถุและกายภาพ(represent the things which go on in the material and physical world).

ถ้าคุณเอาแก้วน้ำมาใบหนึ่ง, และคุณดื่มมันและคุณลิ้มรสนั่น(and you drink it and taste that), คุณเห็นมั้ย, นั่นเป็นเหตุการณ์ในจักรวาลทางกายภาพ(that is an event in the physical universe), แต่คำว่า “น้ำ(water)” ก็อยู่ในจักรวาลทางกายภาพด้วยเช่นกัน(is also in the physical universe)เพราะว่ามันเป็น”เสียง(sound)”หนึ่ง.

แต่เสียงเฉพาะที่ว่า”น้ำ”นั้น ได้ถูกใช้ในวิถี/หนทางที่แปลกจำเพาะ(that particular sound water is used in a way that is peculiar). มันถูกใช้เพื่อแสดงแทนของเหลวโปร่งใสที่คุณดื่มนั้น(it is used to represent that transparent liquid that you drink).

ดังนั้นจักรวาลน้อยๆที่อยู่ด้านข้างของผู้คนและทุกสิ่งกำลังดำเนินไป(so along the side little universe of people and everything is going on), ก็มีอีกจักรวาลหนึ่งที่เราได้ประดิษฐ์สร้าง “คำพูดทั้งหลาย” และ “เครื่องหมายทั้งหลาย”และ “ตัวเลขทั้งหลาย” ขึ้นซึ่งแสดงแทนโลกทางกายภาพนั้น (there is another universe that we have invented of words and signs and numbers that represent that the physical world).

และเราก็เป็นอย่างมากยิ่งกับการหมกหมุ่นในเรื่องคำพูดเชิงสัญลักษณ์นี้(and we very, very preoccupied with this symbolic word). และเราก็บ่อยครั้งมากที่สับสนมันกับอะไรที่มันแสดงแทน(and we very often confuse it with what it represents).

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง, นี้คือความจริงในประเทศสหรัฐอเมริกา(this is true in the United States of America). นี้คือประเทศหนึ่ง(a country), ประชาชาติหนึ่ง(a nation), วัฒนธรรมหนึ่ง(a culture)ที่ได้อุทิศตนในวิถีทางแปลกจำเพาะมากที่สุดต่อสัญลักษณ์ทั้งหลาย(which is devoted in the most peculiar way to symbols).

ไม่นานแล้วมากนักมานี้, รัฐสภาของสหรัฐ(the Congress of the United States)ได้ลงมติ(voted), การลงโทษทั้งหลายอย่างร้ายแรงยิ่ง(very serious penalties)ต่อผู้ใดที่ได้เผาหรือทำลายล้างธงชาติอเมริกัน(against anybody who burned and mutilated American flag). กลุ่มผู้คนเดียวกันนั้น(that same group of people)เป็นผู้รับผิดชอบสำหรับการเผาและทำลายประชากรเชิงกายภาพของสหรัฐอเมริกา(is responsible for burning and destroying the physical landscape and population of the United States of America).

พวกเขาจะไม่ต้านทานอย่างเหมาะสมกับผู้เลวทรามทั้งหลายของกลุ่มก้อนบริษัททั้งหลายผู้ที่กำลังทำลายป่าไม้เร้ดวูดทั้งหลาย, แหล่งน้ำทั้งหลายอยู่(they will not properly resist the depravators of lumper companies who are destroying the Redwood forests, the watersheds). อุตสาหกรรมทั้งหลายที่ทำผิดกับลำธารทั้งหลายของเรา, กีดกันลิดรอนเราจากน้ำ, พ่นพิษใส่ในอากาศ(the industries who foul our streams, deprive us of water, poison the air).

ทั้งหมดนั่นไม่เป็นไร(that’s all fine), ตราบนานเท่าที่คุณไม่ได้ทำลายธงชาตินั่น(just so long as you don’t destroy the flag). ธงนั่นเป็นแค่สัญลักษณ์, เป็นเพียงสัญลักษณ์ของประเทศเชิงกายภาพเท่านั้น(only the symbol of the physical country). แต่แทนที่พวกเขาจะปกป้องประเทศเชิงกายภาพจริงๆ, กลับเป็นแค่ปกป้อง “สัญลักษณ์”(but they instead of protecting the physical country, protect the symbol).

ในวิถีทางเดียวกันกับที่ผู้คนอย่างชัดเจนว่าสับสนในเงินกับความมั่งคั่ง(in the same way exactly people confuse money with wealth). เงินคือกระดาษ(money is paper, คือการทำบัญชี(is bookkeeping). มีวิธีการที่เป็นประโยชน์ของการหลีกเลี่ยงความสะดวกในการแลกเปลี่ยน(there’s a useful method of avoiding the inconveniences of barter). แต่เงินได้กลายเป็นอะไรบางอย่างที่จะเข้าครอบครองในสิทธิของตัวมันเองในการที่จะมีเงินมากขึ้นกว่าที่คุณควรจะจำเป็น(money has become something to possess in its own right to have more money than you could possibly need).

คุณรู้จักเรื่องตลกเกี่ยวกับว่า ถ้าใครบางคนให้เงินคุณหนึ่งล้านดอลลาร์ โดยมีเงื่อนไขว่า คุณต้องใช้มันให้หมดในหนี่งวัน, แล้วคุณจะซื้ออะไรด้วยมัน(the joke about if somebody gives you a million dollars on the condition that you spend it all in one day, what would you buy with annual certain things). บางสิ่งบางอย่างทั้งหลายมีอยู่ทุกปีได้ถูกแยกออกไปแบบว่าคุณต้องไม่ซื้อสิ่งที่เป็นอสังหาริมทรัพย์อันมหาศาล(are excluded like you mustn’t buy an enormous real estate thing). คุณแค่ต้องใช้จ่ายมันกับสิ่งทั้งหลายที่คุณสามารถใช้ได้(you just have to spend it on things that you could use).

และมันเป็นปัญหาอย่างยากมาก(it’s a very difficult problem)ในการที่คุณควรจะใช้เงินล้านดอลลาร์นั้นอย่างไรในหนึ่งวัน(as to how you would spend a million dollars in a day). คิดมันออกมาอย่างตามความเป็นจริง(think it out realistically)แต่เมื่อคุณได้การครอบงำทางจิตใจด้วยเงินนี้ เป็นเช่นความจริงเท่ากับมันเป็นอะไรบางอย่าง ที่โดยอย่างแท้จริงน่าปรารถนาได้(when you get this obsession with money as a reality as if it was something that actually was desirable). คุณได้ประชากรที่ถูกอุปาทานมายาภาพครอบงำไปหมด(you get an entirely hallucinated population). ผู้คนที่อย่างง่ายๆไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขา(people who simply don’t know what’s good for them), และเป็น, แบบที่เราจะพูดว่า, ทำให้มึนเมา, เสพติดกับเงินราวกับว่าพวกมันเป็นทั้งหมดขอฝิ่นอันทรงเกียรติคุณ(and are, shall we say, intoxicated, addicted to money as if they were all an honorable opium).

นี้คือความสับสนของสัญลักษณ์นั้นกับอะไรที่มันควรที่จะแสดงแทน(this is the confusion of the symbol with what it’s supposed to represent).

ดังนั้นเรามาสอบถามอย่างระมัดระวังกันเข้าไปในต้นกำเนิดของทั้งหมดในเรื่องนี้(let’s inquire carefully into the origin of all this), เพราะว่า, ก่อนที่เราจะสำรวจค้นหาถึงอนาคตของการติดต่อสื่อสาร(before we explore the future of the communication), ผ่านสัญลักษณ์ทั้งหลาย(through symbols), ผ่านคำพูดทั้งหลาย(through words), เราจำเป็นต้องมองสักเล็กน้อยกับอดีตของมัน.

ที่บางจุดในการพัฒนาของมนุษยชาติ(at some point in the development of mankind), และไม่มีใครในอดีตได้รู้นานมาแล้วเท่าไรในเรื่องนี้(and nobody historically knows how long ago this is), เราได้ประดิษฐ์(we invented), เราได้พัฒนา(we developed)สองสิ่ง(two things).

หนึ่งในพวกนั้นคือ ความสามารถในการที่จะตรวจจับ, ที่จะให้ความสนใจ(one of them was the ability to scan, to pay attention), ที่จะใช้จิตสำนึกของเราในหนทางเพ่งจุดสนใจ(to use our Consciousness in a focused way).

ในคำพูดทั้งหลายอีกอย่างหนึ่ง, ที่จะสังเกตว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น(to notice what’s going on). โดยปกติแล้ว(ordinarily), เราพึ่งพาต่อขอบเขตอันมหาศาลกับอะไรแบบประเภทจิตสำนึก(we depend to an enormous extent on a kind of Consciousness)ที่ไม่ได้สังเกต(that doesn’t notice). นั่นคือจะพูดได้ว่า, คุณกำลังทำหน้าที่การงานอยู่ตลอดเวลา(you’re functioning all the time), หายใจ(breathing), เต้นหัวใจของคุณ(beating your heart), กระทั่งการขับรถในระหว่างที่คุณกำลังซึมซับการสนทนากับเพื่อนโดยสารของคุณ(even driving a car while you’re absorbed in conversation with your friendly passenger).

คุณกำลังทำสิ่งทั้งหลายในจำนวนมหึมาเป็นอย่างดีมากโดยปราศจากการสังเกตเห็นอะไรที่คุณกำลังทำ(you’re doing an enormous number of things very well indeed without noticing what you’re doing).

การมีชีวิตอยู่ทางกายภาพทั้งปวงของคุณในฐานะเป็นสิ่งสำคัญของความจริง(your entire physical existence as a matter of fact)ดำเนินต่อไปและดำรงรักษาตัวมันเองโดยปราศจากการสังเกตเห็นของคุณเกี่ยวกับมัน(goes on and maintains itself without your noticing anything about it).

ดังนั้นความสามารถในกายและจิตใจของคุณของการสังเกตเห็นได้มีสัมพันธภาพเดียวกันต่อชีวอินทรีย์สูงสุดของคุณ(your faculty of noticing is has the same relationship to your total organism), อย่างที่พูดได้ว่า, ได้อยู่บนเรือ เรดาร์กำลังกวาดตรวจจับ, กวาดตรวจ, ตรวจจับสภาพแวดล้อม, มองหาสิ่งที่จะทำให้เดือดร้อน(on a ship a radar is scanning, scanning, scanning the environment looking for trouble). นั่นคือทั้งหมดที่มันมองหา(that’s all it looks for), มองหาเรืออีกลำอื่นที่มันอาจพุ่งเข้าชนด้วยได้. มองหาก้อนหิน. มองหาทางเข้าที่ถูกต้องสมควรสู่ซาน ฟรานซิสโกในกลางกลุ่มหมอก(for the proper entrance to San Francisco in the middle of the fog). นั่นคืออะไรที่เรดาร์กำลังมองหา.

แต่นอกเหนือจากเรดาร์นั้นมีอะไรทุกชนิดทั้งหมดของสิ่งทั้งหลายกำลังดำเนินอยู่(but beside the radar there are all kinds of things going on), บนเรือหนึ่งซึ่งเป็นพื้นฐานและสาระสำคัญต่อมันอย่างมากมายยิ่งนัก(on a ship that are much more fundamental and essential to it).

ดังนั้นในวิถีทางเดียวกันในชีวอินทรีย์มนุษย์(so in the same way in the human organism), เรามีเรดาร์หนึ่งที่เราเรียกมันว่า การสนใจอย่างมีสำนึกรู้(conscious attention). และเราก็กำลังกวาดตรวจจับอย่างสม่ำเสมอในสภาพแวดล้อมของเรา(and we are scanning constantly our environment), และสังเกตเห็นนู่นนี่นั่น(and noticing this and that). ในเรื่องว่ามันเป็นประโยชน์ต่อเรา หรือว่าไม่มีประโยชน์(whether it is advantageous to us or disadvantageous).

แต่นั่นเป็นเพียงเครื่องประดับเล็กๆอยู่บนยอดของเรา(only a little frippery on the top of us). มีประโยชน์(useful), ใช่, หรือแต่มันไม่ใช่คุณ(but it’s not you).

คุณจริงๆคือคุณที่กำลังทำหัวใจเต้น(the real you that is the you is beating the heart), ปรับสร้างกระดูกทั้งหลาย(shaping the bones), ทั้งหมดนั่น(all that). และเราได้เรียนรู้ที่จะเห็นโดยกระบวนการทางสังคมอันประณีตที่จะวินิจฉัยแยกแยะตัวเรา(and we learned to see by it curious social process to identify ourselves). ตัวเองอย่างยิ่งของเรา(a very selves our), หรืออะไรที่ผมเรียกว่าคือ ผมจริงๆ(what I say is the real me). เราได้วินิจฉัยแยกแยะด้วยกระบวนการตรวจจับหานั้น(we’ve identified that with the scanning process), งานเล็กๆของเรดาร์(the little radar job), แทนที่จะเป็นการวินิจฉัยแยกแยะมันด้วยชีวอินทรีย์ที่สุดทั้งปวง(instead of identifying it with the whole total organism).

เพราะเช่นนั้นเองเราจึงถูกทำให้ห่างเหินจากร่างกายทั้งหลายของเราเอง(therefore we are estranged from our own body). และโดยอานิสงส์ของการถูกทำให้เหินห่างหมางเมินจากร่างกายนั้น(by virtue of being estranged from the body), เราก็ได้ผลลัพธ์ไปเป็นการห่างเหินไปจากสภาพแวดล้อมทางกายภาพของธรรมชาติ(we are in turn estranged from the physical environment of nature). ถ้าคุณได้เข้าใจ,ถ้าคุณได้กระจ่างชัดตระหนักรู้ว่าคุณเป็นชีวอินทรีย์ของคุณเอง(if you understood, if you really clearly realized that you are your own organism), คุณก็จะอยู่ชั่วขณะเดียวกันกับที่รู้สึก เพราะว่าชีวอินทรีย์ของคุณรู้มันว่า คุณเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสภาพแวดล้อมของคุณ(you would at the same moment feel because your organism knows it that you were one with your environment).

ชีวอินทรีย์นี้ถูกสัมพันธ์เชื่อมโยงกับโลกภายนอกของมัน(this organism is related to the world outside it)แน่ชัดในวิถีทางเดียวกันที่พูดได้ว่า น้ำวนหนึ่งในแม่น้ำได้เชื่อมโยงอยู่กับแม่น้ำนั้น(exactly in the same way that say a whirlpool in a river is related to the river).

ทุกสิ่งข้างนอกคุณ(everything outside you)เป็นอะไรของการสร้างสรรค์คุณโดยไหลผ่านคุรและความเป็นมนุษย์และกายร่าง(is sort of creating You by flowing through you and humaning, bodying), เหมือนเช่นขณะเมื่อแม่น้ำเคลื่อนน้ำวนของมันไป just as when the river moves it whirlpools)และแล้วก็ไปต่อ(and then goes on).

ดังนั้นจักรวาลทางกายภาพทั้งปวงได้กำลังอาศัยรายล้อมอยู่รอบๆแถวนี้, คุณเห็นมั้ย, (the entire physical universe is peopling all around here, you see,)แต่การสนใจสำนึกรู้ไม่ได้นำส่งนั่นมาสู่เราเป็นเช่นประสบการณ์รับรู้(conscious attention doesn’t deliver that as an experience). ทำไมรึ?

ก็เพราะว่า, การสนใจสำนึกรู้(conscious attention)หรือการสังเกต(noticing)นั้น, คือหน้าที่การงานหนึ่ง ของ จิตสำนึก(is a function of Consciousness)เป็นอย่างแยกตัวออกมาแทนที่จะเป็นอย่างรวมตัวไว้ด้วยกัน(which is separative instead of unitive). มันวิเคราะห์แยกแยะ(it analyzes)แทนที่จะลดความซับซ้อน(instead of simplifies).

ผมไม่ต้องการที่จะโดยการพูดในประเภทที่ว่า เพื่อลงไปแล้วบอกว่า มันเป็นสิ่งผิดและบางอย่างไม่ควรบังเกิดขึ้น(to get down and say it’s a mistake and something shouldn’t happen). มันเป็นหน้าที่การงานที่สวยงาม(it’s a beautiful function), จัดหาให้(provided), จัดหกาให้(provided), จัดหาให้(provided), มันไม่ได้ทำลายล้างและทำความไขว้เขวกับเรา จากการมองเห็นโลกอย่างสังเคราะห์ เช่นเดียวกันกับอย่างวิเคราะห์แยกแยะ(it doesn’t annihilate and distract us from seeing the world synthetically as well as analytically).

ในกระจกเงา(in the mirror), คุณสามารถมองเห็นภาพทั้งหลายอย่างมากมาย(you can see many images). ทั้งหมดแตกต่างอย่างชัดเจนและแน่ชัด(all different clear and distinct), แต่ภายใต้ความแตกต่างของภาพทั้งหลายนั้นของพวกเขา ก็คือแผ่นเงินบริสุทธิ์วางปนบหลังของกระจกเงานั้น(but underneath the difference of images their lie the pure silver of the mirror).

ดังนั้น, อย่างแน่นอนในหนทางเดียวกันของการมองเห็น(so in the exactly the same way seeing), รายละเอียดทั้งหมดทั้งหลายได้ถูกวิเคราะห์แยกแยะอย่างกระจ่างชัด(all the details clearly analyzed). เราจำเป็นต้องยังคงระแวดระวังถึงตัวจิตสำนึกมันเอง(we need to remain aware of Consciousness itself), ถึงในตัวความตื่นรู้มันเอง(of awareness itself).

ดังเช่นเป็นตัวอย่าง, กาแลกซี่ทั้งหมด(all galaxies), ร่างกายภาพทั้งหลายทั้งหมด(all physical bodies)มีอยู่ในอวกาศ(exist in space). คุณคิดว่าอะไรคืออวกาศล่ะ?(what do you think is space?) ผู้คนส่วนมากคิดว่าอวกาศนั้นว่างเปล่า/ไม่มีอะไร(most people think space is nothing).

อวกาศ, จะอย่างไรก็ตาม, ก็คือคุณ(space however is you).

อวกาศ คือ จิตสำนึก(space is Consciousness).

อวกาศก็คือ จิต(space is the mind).

อวกาศคืออะไรที่คุณเรียกว่า ตัวตน, ฉัน(space is what you call Self, me), นั่นแหละคือ อวกาศ(that’s space). และมันรวมเอาไว้ด้วยทุกสิ่ง(and it includes everything). แต่คุณก็สามารถมืนมันไปอย่างง่ายๆ, เพราะว่าการสนใจสำนึกรู้เมินเฉยต่อทุกๆสิ่งเร้า, ทุกๆข่าวสารที่ส่งเข้ามาอย่างสม่ำเสมอคงที่ (because conscious attention ignores every stimulus, every input message that is constant).

มันบังคับกีดกันนั่นออกไป(it rules it out), นั่นเป็นสร้างความแตกต่างกันมันออกไป(that was making a difference), และมองหาถึงซึ่งความแตกต่างนั้น. เพราะว่าจับตาอยู่กับพระเจ้า, ไม่ได้จับตามองที่การมีอยู่.

เพราะเช่นนั้นเองที่ผมกำลังมองหาความเปลี่ยนแปลงในสภพแวดล้อมนั้น(therefore I’m looking for a change in the environment). ผมเป็นตัวแก้ปัญหา(I’m a troubleshooter). ดังนั้นถ้าคุณระบุตัวคุณเองด้วยจิตสำนึก(so if you identify yourself with Consciousness), คุณก็สนใจใคร่รู้อยู่ตลอดเวลา (you are constantly anxious), อะไรกำลังบังเกิด?( what’s gonna happenM), มันจะได้ผลไหม? (is it gonna work?) ฉันอยู่ในจุดนั้นด้วยไหม?(am I in the spot?)

เห็นมั้ย, ทุกคนเป็นเช่นนั้น(everybody’s like that). แต่คุณจริง(the real you)นั้นได้ถูกคลายผ่อนหย่อนใจ(is relaxed). มันจริงๆแล้วไม่ได้ห่วงใยเกี่ยวกับนั่น(it really doesn’t care about that). มันมีหน้าที่งานเพียงเล็กน้อยข้างบนนั่นที่บอกมัน, คุณรู้มั้ย, กับทั้งหลายทั้งปวงว่ากำลังจะมีสิ่งเดือดร้อนบังเกิดขึ้นหรือไม่(it’s got this little function up there that tells it, you know, on the whole whether there’s any trouble going to happen). อยู่ข้างในจริงๆของคุณลึกลงไป(really inside you deep down), คุณนั้นประสานกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมของคุณ(you’re harmonious with your environment). และไม่ได้สำคัญจริงๆไม่ว่าคุณจะมีชีวิตอยู่หรือตาย(it really doesn’t matter whether you live or die). เพราะระบบทั้งปวงนั้นก็ดำเนินต่อไปอยู่ดี(because the whole system goes on anyway). และนั่นเป็นอะไรที่คือคุณ(an that’s what you are).

ดังนั้น, ไม่ว่าคุณในฐานะตัวอย่างพิเศษจำเพาะดำเนินไปต่อได้สักระยะเล็กน้อยหนึ่ง(so whether you, as a specific example of system, go on a little while), หนึ่งปี(one year), สองปี(two years), สามปี(three years), 50 ปี(fifty years), 100 ปี(a hundred years), มันก็ไม่ได้ทำความแตกต่างอะไรใดจริงๆ(it doesn’t really make any difference).

ถ้าคุณต้องการจะเล่น, พูดในอีกแบบหนึ่ง, ถ้าคุณต้องการวางเดิมพันพนันว่า คุณจะมีชีวิตอยู่นานเท่าไหร่(how long will you live), คุณต้องการจะพนันกับมากขึ้นอีก 50 ปี หรือว่ามากอีกกี่ปี?(do you want to gamble 50 years more or how many years more?) คุณพูดว่า, ซื้อเดิมพันกับมัน(you say buy gambling on it), คุณวางความสำคัญลงไปที่มัน(you put importance on it). คุณพูดว่า, นั่นคืออะไรที่ฉันได้รอคอยอยู่(that’s what I’ve waited on). นั่นคืออะไรที่ฉันต้องการจะทำ(that’s what I want to do).

โอเค. นั่นเป็นเกมของคุณ(that’s your game).  มันไม่ต้องเป็นวิถีทางนั้น(it doesn’t have to be that way). ดังนั้นอะไรที่เรามีก็เลยคือสถานการณ์หนึ่ง(so what we have then is a situation), ที่โดยความสามารถในการใช้เรด้าร์ของเราที่จะกวาดตรวจจับต่อโลกซึ่งรายล้อมรอบเรา(in which by ability to use our radar to scan ourselves to the world around us). และที่จะสังเกตถึงลักษณะหน้าตาสำคัญทั้งหลายของจักรวาลนี้(and to notice features of this universe). เราสังเกตเห็นลักษณะสำคัญทั้งหลายเรานี้โดยการสามารถที่จะนำเอาสัญลักษณ์มาวางบนมัน(we notice these features by being able to put symbols on).

คุณจะสังเกตเห็นได้ถึงความศรัทธาว่าเป็นบางอย่างที่แยกออกมาจากเข่าทั้งหลาย โดยการที่สามารถทีจะเรียกมันว่าศรัทธา(you’ll notice the faith as something distinct from the knees by being able to call it faith), และเรียกเข่าทั้งหลายว่าเข่า(and call knees knees). คุณไม่ได้มีสมรรถนะที่จะสัวงเกตได้ถึงความแตกต่างของลักษณะสำคัญทั้งหลายเหล่านี้ของร่างกายมนุษย์(you do not have the capacity to notice these different features of the human body)โดยปราศจากความสามารถที่จะกำหนดมอบหมายบางสัญลักษณ์ด้วยส่วนซึ่งคุณสังเกตได้นั้น(without being able to assign some symbol with the part of that you notice).

เรื่องนี้เป็นที่สำคัญร้ายแรงอย่างที่สุด(this is absolutely crucial). การสังเกตและภาษานั้นไปด้วยกัน(noticing and language go together). การสังเกตคือสิ่งเดียวกันกับอะไรที่เราเรียกว่าเครื่องหมาย/หมายเหตุ(noticing is the same thing as what we call notation). เครื่องหมาย notation ในทางสัญลักษณ์ทั้งหลายทางดนตรี(notation as in  the music symbols)เป็นเครื่องหมายเล็กๆทั้งหลาย(small signs)เพื่อระบุชี้ถึงเสียงบนบันไดเสียง(to identify sounds on a scale). คำพูดทั้งหลายที่จะระบุแยกแยะชิ้นเล็กชิ้นน้อยทั้งหลายของโลก(words to identify bits of the world). ตัวเลขทั้งหลายที่จะระบุแยกแยะว่ามีชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำนวนเท่าไหร่ ทั้งหมดนี้ไปด้วยกัน(numbers to identify how many bits all this go together).

ดังนั้น, การที่จะใส่ใจ(to attend), ที่จะจดจ่อมีสมาธิ(to concentrate), ที่จะเฝ้าดู(to watch), ที่จะระแวดระวังรู้ในวิถีหนทางที่โคมสป็อตไลท์จะสาดไปจับจ้องอยู่(to be aware in the way the spotlight focuses on the surroundings). นี้จับมือไปด้วยกันด้วยสัญลักษณ์ทั้งหลาย(this hand in hand with symbols).

ผู้หนึ่งใช้โลกแห่งสัญลักษณ์ทั้งหลาย, โลกของเสียงพิเศษทั้งหลาย ที่ไม่เหมือนเสียงปกติทั่วไป(one uses the world of symbols, the world of special noises not like ordinary noise), ไม่เหมือนเสียงของสายลม(not like the sound of the wind), ไม่เหมือนกับเสียงการชะล้างของคลื่นทั้งหลาย(not like the washing of the waves), แต่เป็นเสียงทั้งหลายที่ทำขึ้นโดยการพูดเพื่อสร้างสรรค์การแบ่งแยก, เกือบจะแยกออกจากกันของโลกแห่งรูปเสียง(but the noises made by speech to create a separate, almost separate World of Noise form), ที่เราสามารถคิดได้อย่างเงียบๆได้ในหัวของเราในทางตรงกันข้าม(which we can think silently in our head subversively), เป็นดุจรูปร่างทางความคิด(as thought forms).

         พวกนั้นทั้งหมดเป็นเช่นเดียวกันกับรูปร่างทั้งหลายของเสียง(they’re all the same as forms of noise), รูปร่างทั้งหลายของการสั่นสะเทือนของอากาศ ถูกใช้เพื่อยืนต่อต้านโลกของประสบการรับรู้โดยตรงทางกายภาพทั่วไป(forms of air vibration used to stand over against the world of ordinary direct physical experience), และแสดงปรากฏแทนออกมาในทางงุ่มง่าม(and represented in a clumsy way). งุ่มง่าม, ใช่, งุ่มง่ามเพราะว่าความสนใจอย่างสำนึกรู้(conscious attention)ที่เป็นดุจสิ่งสแกน/กวาดตรวจจับ(as a scanning thing), เป็นเช่นสป็อตไลท์ที่ส่องกวาดเที่ยวส่ายหาไป(as the spotlight roving over). ไปเป็นไม่ว่ามันจะไปอย่างรวดเร็วเช่นใดก็ตามซึ่งรายรอบอยู่. ในขณะที่ผมกำลังเฝ้าดูคุณนั้นถ้ามีใครบางคนวัดระยะว่าตาของผมกำลังมองไปที่ไหน(if somebody measures where my eyes looking at), มันสามารถถูกทำได้ it can be done), พวกเขาก็จะเห็นพวกมันกำลังเต้นรำอยู่เหนือตัวคุณ(they are dancing over you), เลือกหยิบเอาจุดทั้งหลายที่สำคัญออกมา(picking out significant points).

         เกี่ยวกับวิธีเช่นนั้นในการมองดูยังชีวิต(about that way to looking at life)สามารถครอบคลุมเข้าใจได้ว่าอะไรกำลังดำเนินไปอยู่แบบวิธีงุ่มง่ามไปแค่นั้น(can only comprehend what’s going on in a very clumsy way). เพราะว่า, โลกทางกายภาพ/ทางวัตถุอันแท้จริงคือยุทธการที่เราควรจะพูดว่า(the actual physical world is an operation where we would say), สิ่งทั้งหลายที่ไม่สามารถนับได้, นับไม่ถ้วนกำลังดำเนินต่อไปเกิดขึ้นอยู่ทุกๆแห่งในทันที(uncountable, innumerable things are going on all together everywhere at once).

แล้วเราก็พูดว่า, ช่างเป็นโลกอันสลับซับซ้อนเสียจริงๆที่เราได้อาศัยอยู่(what a complicated world we live in). ทีนี้, อันที่จริงแล้วโลกนี้ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรเลย (now actually this world is not complicated at all). มันเรียบง่ายอย่างสมบูรณ์(it is perfectly simple). มันเป็นสลับซับซ้อนก็แต่เพียงเมื่อคุณคิดที่จะพินิจพิเคราะห์มันออกมา(it’s only complicated when you try to think it out).

นั่นคืออะไรที่มันหมายถึงว่าสลับซับซ้อน(that what it means complicated). คำว่าสลับซับซ้อนแสดงออกมาถึงสัมพันธภาพระหว่างโลกเชิงกายภาพ, ในอีกด้านหนึ่ง, กับอีกอันอื่นท เป็นระบบกวาดตรวจจับซึ่งได้พยายามที่จะเข้าใจและแสดงแทนเป็นสัญลักษณ์ทั้งหลายเอากับโลกเชิงกายภาพทีละเล็กทีละน้อย(the word complicated expresses a relationship between the physical world on the other hand and on the other a scanning system which was trying to understand and represent in symbols the physical world bit by bit).ยกเป็นตัวอย่างได้ถ้าเราจะพูดคุยถึงมัน (as for example if we would talk about it).

ดังนั้นเมื่อคุณพยายามที่จะพูดคุยเกี่ยวกับโลก, มันก็ได้เป็นโลกอันสลับซับซ้อน(it’s a complicated world). แต่ก็เพียงเพราะว่าแค่คุณกำลังพยายามที่จะพูดคุยถึงมันเท่านั้น(but only because you’re trying to talk about it). ในตัวของมันเอง, มันไม่ได้สลับซับซ้อนแม้แต่น้อย(in itself it’s not complicated a bit – แปลว่า โลกไม่ได้สลับซับซ้อน แต่คุณเองที่พยายามจะพูดถึงมันเป็น “คำพูด/สัญลักษณ์” ให้เกิดความซับซ้อน).

ร่างกายมนุษย์นั้น(the human body), จากมุมมองของศัลยศาสตร์และกายภาพศาสตร์(from the point of view of surgery and physiology), เป็นที่ได้สลับซับซ้อนเหลือหลาย(infinitely complicated). มันคือเครือข่ายของหลอดเลือดและเส้นประสาททั้งหลายและอื่นๆทั้งหลายอีกมากที่แข็งแรงเป็นที่สุด. เราพูดคำเหล่านี้เป็นการพิเศษจำเพาะและสลับซับซ้อน(extraordinary and complicated), เพราะว่าเราถูกเผชิญหน้ากับภาระหน้าที่ของการพยายามที่จะแปลความหมายร่างกายนี้ไปเป็นภาษาพูด(confronted with the task of trying to translate this body into language).

และภาษาพูดนั้นเป็นที่งุ่มง่ามมาก(very clumsy). มัน-เหมือนกับเราจะพูดว่า เราจะเคลื่อนย้ายมหาสมุทรแปซิฟิคไปสู่มหาสมุทรแอตแลนติค ด้วยแก้วเบียร์(we would move the Pacific Ocean into the Atlantic Ocean with a beer mug). มันคงจะเป็นสิ่งซึ่งสลับซับซ้อนที่จะทำ(it would be complicated thing to do)เพราะว่าเราต้องนำมันไปด้วยแก้วใบหนึ่ง, บินข้ามไปด้วยเครื่องบินเจ็ท, แล้วเทมันลงไปที่ในมหาสมุทรแอตแลนติค. มันเป็นที่ยุ่งยากสลับซับซ้อนมาก. แต่นั่นแหละคืออะไรที่คุณทำเมื่อคุณคิดเกี่ยวกับโลก.

คุณเอาไปทีละอย่าง(you take thing by thing), ความจริงทีละความจริง(fact by fact), ความคิดทีละความคิด(idea by idea), และมันเป็นเหมือนเอาไปทีละแก้วเบียร์ใส่น้ำไปทีละแก้วเบียร์(it’s like beer mug after beer mug of water)ไปจากแปซิฟิคยังแอตแลนติค.

มันอยู่ที่นั่นเสมอ. (it’s always there). มันเป็นที่สลับซับซ้อน(it’s complicated), มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย(it isn’t), มันเพียงแต่ว่าถ้าคุณเข้าหามันด้วยวิธีการที่ตายตัว(it’s only if you approach it with a certain method), แล้วมันก็เลยเป็นที่สลับซับซ้อนก็เพราะว่าคุณดื้อด้านอยู่กับวิธีการนั้น(then it’s complicated(because you insist on that method). แล้วคุณก็พูดว่า, เอาละ วิธีการนั่นคือฉัน, ฉันคือตำนานของการรับเอาโลกทีละนิด(well, that method is me, I am the myth of taking the world bit by bit). แต่นั้นเป็นอุปทาน/ภาพหลอน(but that’s hallucination), คุณไม่ได้เป็นเช่นนั้น(you’re not).

คุณไม่ใช่(you’re not). แต่ละคนของคุณประกอบด้วยอะไรที่ไกลมากยิ่งไปกว่าวิธีการรับเอาโลกอย่างทีละนิด(each one of you includes far more capacity than the narrow method of taking the world bit by bit). เพราะว่าทุกปลายประสาทในร่างกายของคุณ,ชีวิตและตื่นรู้กับทุกอวัยวะที่กำลังทำหน้าที่การงานอยู่โดยปราศจากการที่คุณคิดถึงมัน(because every nerve end in your body is alive and aware every organ is functioning without you thinking about it). และนั่นก็คือคุณ.

แล้วเพราะว่าเรามีความคิดและแนวคิดกับตัวเราเองที่แคบ(so because we are have a narrowed idea and conception of ourselves). อย่างบริสุทธิ์ล้วนๆ, เครื่องตรวจจับอย่างสำนึกรู้ซึ่งเราได้ลงทุนด้วยอารมณ์รู้สึกทางกายไว้อย่างมากเหลือเกิน(as purely, the conscious scanner we’ve invested so much emotion in that). และเราก็ได้ลงทุนอย่างมากด้วยอารมณ์จิตใจในการนั้น(and we’ve invested so much of the feeling that).

นั่นคือ, อะไรที่เราเป็น(that’s what we are). นั่นคือที่เราเป็นทุกข์และทรมานอย่างสมบูรณ์สิ้น(that we are completely miserable and tormented).

การติดต่อสื่อสารของเรา(our communication), เพราะเช่นนั้น, กำลังพูดกันเกินความจริงอย่างคงที่สม่ำเสมอ(is constantly exaggerating), หรือใช้คำพูดนั้นในหนทางที่ถูกต้องในการซ้ำเติมเกินจริง (or use the word in its very correct way aggravating). การซ้ำเติมนั้น(to aggravating)หมายถึง การทำให้เลวร้ายลงไปอีก(means to to make worse). มันกำลังเป็นการซ้ำเติมอยู่ตลอดเวลา(it’s aggravating all the time).

โมหะคติ/ความหลงผิดที่เราเป็นอยู่ในโลกนี้น็(the delusion that we are in the world), หรือพูดได้อีกอย่างอื่นว่า, การติดต่อสื่อสารที่เราใช้มันอยู่นี้ คือรูปแบบของ การไม่-ติดต่อสื่อสาร(in other words communication as we use it is the form of non-communication). มันเป็นวิถีทางที่จะตัดตัวเราเองออกไป, แทนที่จะเป็นการติดต่อสื่อสารตามความเป็นจริง(it’s a way of cutting ourselves off, instead of actually communicating).

ยิ่งเราพูดมากขึ้น เราก็ยิ่งคิดมากขึ้น(the more we talk the more we think), ยิ่งเรามโนคิด เราก็ยิ่งแยกตัวเราออกมามากขึ้นจากกันและกัน(the more we ideate the more we separate ourselves from each other). ระบุตัวตนคุณว่าเป็นคุณ เป็นคุณ เป็นคุณ เป็นคุณ(identify you as you as you as you as you), คุณเป็นรีพับลิกัน(you’re a Republican), คุณเป็นเดโมแครต(you are a Democrat). คุณเป็นบีทนิก(you are a Beatnik5). คุณเป็นฮิปปี้

5 https://en.wikipedia.org/wiki/Beatnik

(you are a Hippie6). อ้า, คุณเป็นนั่นนู่นนี่และสิ่งอื่น(you are a this that and other thing).

         6https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B9%89

คุณเป็นสี่แยก/สี่เหลี่ยมจัตุรัสหรืออะไรก็ตาม(you are a square or whatever), ยิ่งผมระบุถึงตัวตนคุณ(the more I identify you), คุณเห็นมั้ย, ในประเด็น/คำพูดทั้งหลายนี้(in these terms) , ก็ยิ่งมากขึ้นที่ผมจะรู้สึกว่าคุณคือตัวผม(the more I feel that you are me).

         คุณจริงๆแล้วโดยทางกายภาพก็คือผม(you really physically are me). คุณทั้งหมด(all of you), แต่ละคนไปจนถึงทุกคนอื่นเป็นเหมือนหยดน้ำค้างบนใยแมงมุมในตอนรุ่งเช้า(each one to everyone else is like a dew drop on a spider’s web in the early morning), ที่บรรจุอยู่ไว้ในตัวมันเองทั้งหมดของภาพสะท้อนกลับทั้งหลายของบรรดาหยดน้ำค้างอื่นทั้งหลายทั้งหมด(which contains in itself all the reflections of all the others dew drops), และเราเชื่อมโยงกันจริงๆต่อกันและกันเหมือนเช่นนั้น.

         แต่ในทางภาษาในการติดต่อสื่อสาร(in language in communication)เราทั้งหมดได้เอาตัวเราเองแยกจากกันดุจแก่นแท้ที่แยกขาดจากกัน(we all put ourselves apart as separate entities). เห็นและเชื่อเช่นนั้น(see and believe that).

         ดังนั้น, ยิ่งเราดำเนินไปกับการนี้ เราก็ยิ่งถูกแบ่งแยกมันมากขึ้น(the more we go on with this the more we divided up). ยิ่งเราทะเลาะกันมากขึ้น เราก็ยิ่งไม่เข้าจะว่าจะให้ความร่วมมือกันได้อย่างไร(the more we quarrel the more we don’t understand how to cooperate).

         ดังนั้นในที่นี่, เราเริ่มต้นด้วยความขัดแย้งผิดธรรมดานี้(so here we start with this paradox), การติดต่อสื่อสาร(communication). ที่เชื่อมโยงกับคำว่า “การเข้าร่วมกัน(communion)”. สามัญทั่วไป(common)ในอะไรที่เรามีด้วยกัน(what we have together).

         การติดต่อสื่อสารคือการแบ่งแยกจากกัน(communication is separation). และยิ่งเราพูดคุยกันมากขึ้น เราก็ยิ่งน้อยลงไปในการเข้าใจซึ่งกันและกัน(the more we talk the less we understand each other).

         แล้วเช่นนั้น, มันได้ถูกกล่าวไว้ว่า, ระบบทั้งหลายของการติดต่อสื่อสารสมัยใหม่ของเรา(our modern systems of communication)เป็นการแผ่ขยายเข้าไปในโลกภายนอกของระบบประสาทของมนุษย์(is an extension into the external world of man’s nervous system). โทรศัพท์ทั้งหลาย(telephones), โทรเลข(telegraph), วิทยุ(radio), โทรทัศน์(television), ทั้งหมดของเครือข่ายของเครื่องมือไฟฟ้าทั้งหลายนี้(all this network of electronic devices)กำลังแผ่ขยายระบบประสาทของเราในวิถีทางเดียวกันกับล้อแผ่ขยายเท้าเราออกไป(is extending our nervous system in the same way of the wheel extends our feet).

         แต่พิเคราะห์พิจารณาปัญหาทั้งหลายที่กำลังผุดเกิดออกมาจากสิ่งนี้(but consider the problems that are arising out of this).

         การแผ่ขยายของระบบประสาทโดยทางอิเล็กโทรนิคนี้(the extension of the nervous system electronically)หมายถึงการสิ้นสุดของความเป็นส่วนตัว(means the end of privacy). ราวกับว่าความคิดทั้งหมดทั้งหมดภายในคุณ(as if all your interior thoughts)ได้กลายไปสู่สาธารณะในทันที และสามารถถูกพบได้กับทุกคน(were to become instantly public and available to everyone).

         หรือในทางกลับกัน(or conversely), ราวกับว่าสิ่งที่ถูกเรียกว่าตัวตนส่วนตัวของคุณนั้น(as if your so-called private self)ได้จะกลายไปเป็นแบ่งปันตัวตนเองนั้น(were to become a shared self). คิดถึงมันเป็นอย่างแรกของทั้งหมดในหนทางเลวร้ายที่สุดซึ่งเราสามารถคิดถึงมันได้(think of it first of all in the worst way we can think of it).

         ความสะดวกสบายที่ทุกคนสามารถที่จะบุกพรวดเข้ามากับเราโดยโทรศัพท์(the inconvenience of everybody being able to barge in on us by telephone), เพิ่มสองเท่าของความสะดวกสบายนั่น, คูณสามเท่ามัน, ด้วยความสะดวกสบายทั้งหลายที่คุณสามารถจินยตนาการได้สำหรับเทคโนโลยีในอนาคต(double that inconvenience, treble it, with the inconveniences you can imagine for future technology). ที่คุณจะไม่ได้แต่เพียงมีเสียงของบุคคลในโทรศัพท์(where you would not only have the sound of the person’s voice on the phone)แต่มีภาพให้เห็นได้ของพวกเขานั้นด้วยเช่นกัน(but also their visual images).

มันสามารถถูกทำออกมาได้ถึงขนาด ในทางเทคโนโลยีแล้วทุกคนสามาถถูกติดตั้งด้วยอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆเกือบจะมีขนาดเท่านาฬิกาพกใส่กระเป๋า(it can be so worked out technically everybody can equipped with a little gadget about the size of a pocket watch), ที่ด้านหนึ่งเป็นระบบหน้าปัทม์(a dialing system)และอีกด้านหนึ่งเป็นจอโทรทัศน์เล็กๆ(a little TV screen). และทุกคนในโลกผู้ที่เป็นเจ้าของหนึ่งในสิ่งเหล่านี้, ก็จะมีหมายเลข(has a number). แล้วถ้าคุณกดเรียกมัน(ring it)แล้วหมายเลขนั้นไม่ตอบรับ, เพื่อนคุณก็ตายไปแล้ว, จินตนาการได้(and the number doesn’t answer, your friend’s dead, imagine). เพราะว่าคุณไม่สามารถตอบได้นั่นควรจะเป็นการผิดจรรยาบรรณ, ไร้มนุษยธรรมที่น่าจะเป็นการโฆษณาตนเองเหมือนเช่นได้ตายแล้ว(because you’re not answer that would be unethical that will be inhuman that would be to advertise yourself as dead). คุณต้องตอบรับหรือไม่กัญญาสัญญาณไม่ว่าง(you must answer or else a busy signal).

คุณเคยได้คิดถึงเรื่องสัญญานทั้งหลายยุ่งอยู่/ไม่ว่างบ้างไหมว่าเป็นวิธีหนึ่งของการป้องกันตนเอง?(have you ever thought about busy signals as a method of self-defense?) เพราะว่าเราทำมันอยู่ตลอดเวลา(because we do it all the time), เมื่อเราบอกว่า, ใครบางคนขอให้เราทำบางอย่าง(somebody asks you do something you don’t really want to you), คุณก็ขอโทษตัวคุณเองในเหตุผลทั้งหลายดังเช่นที่พูดนั้น(you excuse yourself on the grounds of saying).

เอาละ, แต่วันนั้นผมเกิดยุ่งอยู่/ไม่ว่าง, ผมมีงานต้องทำพอดี(well, that day I happen to be busy, I have work to do). แม้กระทั่งว่าคุณจะรื่นรมย์อย่างครบถ้วนไปกับงานของคุณแล้ว(even if you thoroughly enjoy your work), แบบว่า, สำหรับผมแล้ว, คนทำงานของผมทั้งหลายทั้งหมดทำงานนี้(all my workers play), แต่ผมสามารถบอกกับผู้คนได้ว่า ผมต้องทำงาน, ผมเสียใจ.และผมแทบจะไม่รู้สึกว่าไม่ซื่อตรง และผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับมัน(I feel slightly dishonest and I don’t know what to do about it).

ดังนั้น, แล้วจินตนาการดูสิ, แล้วจินตนาการแล้วสถานการณ์นี้(imagine then this situation), ในที่ซึ่งเรามีการสื่อสารโทรคมนาคมไฟฟ้าขนาดมหึมา(where we have the huge electronic intercommunication). แล้วนั่นทุกๆคนก็อยู่ในการติดต่อได้กับทุกคนอื่นๆ(so that everybody is in touch with everybody else), ในวิถีทางที่มันเปิดเผยความคิดทั้งหลายอยู่ข้างในอย่างมิดชิดมากที่สุดของพวกเขา(in such a way that it reveals their inmost thoughts). และไม่มีปัจเจกภาพใดอีกต่อไปแล้ว(and there is no longer any individuality), ไม่มีความเป็นส่วนตัว(no privacy). ทุกสิ่งที่คุณเป็น, ทุกสิ่งที่คุณคิด(everything you are, everything you think)ได้ถูกเปิดเผยออกสู่ทุกคน(is revealed to everyone).

เอาละ, ในทีนี้, เรามาเข้าไปในประวัติศาสตร์ของความคิดในเรื่องวความเป็นส่วนตัวกัน(let’s go into the history of this idea of privacy).

มันเป็นหลายศตวรรษมาแล้ว, มากๆๆอย่างมากมาย, ความเชื่อของอารยธรรมตะวันตก(a belief of Western Civilization)ว่ามีพระเจ้า(that there is God)ผู้ทรงทราบในทุกสิ่งที่คุณเป็น(who know everything that you are). การสวดในโบสถ์ของอีพิสโคปอล(the mass in the Episcopal Church7)เริ่มต้นด้วยคำสวดอ้อนวอนว่า โอ พระผู้เป็นเจ้าอันยิ่งใหญ่ ต่อผู้ซึ่งดวงใจทั้งหมดเปิดความปรารถนารู้ทั้งหมด( o Mighty God unto whom

7 https://en.wikipedia.org/wiki/Episcopal_Church_(United_States)

all hearts are open all desire known)และต่อผู้ที่ไม่มีความลับทั้งหลายได้ถูกซ่อนไว้ (and from whom no secrets are HID).

         นั่นเองที่เราได้มีชีวิตอยู่ต่อๆมาหลายศตวรรษในตอนนี้(that we have lived centuries now)ก่อนที่เราจะในตอนนี้อยู่ในยุคสมัยใหม่(before we now in this Modern Age), ผู้ที่ไม่ได้, บางที, เชื่อมันอีกต่อไปแล้วในพระเจ้าเหนือหัวนี้(who don’t perhaps believe anymore in this Monarch God). ปู่ย่าตายายทั้งหลายของเราและอื่นๆทั้งหลายทั้งหมดได้เชื่อว่ามีจุดอ้างอิงหนึ่งได้ที่ถูกเรียกว่าพระเจ้า(all believed that there was a reference point called God)ถึงผู้ที่มีทุกความคิดลับเร้นได้แม้เพียงหนึ่งซึ่งคุณได้มี(to whom every single secret thoughts that you had)คือหนังสือที่ได้ถูกเปิดอ้าและกำลังถูกเฝ้าดูมันอยู่ตลอดเวลา(was an open book and was watching it all the time).

         เพราะว่าตามที่อ้างอิงได้ถึงนักบุญโธมัส อาควินัส(Saint Thomas Aquinas8), พระเจ้า

         8https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%AA_%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%AA

พระบิดา(God the Father)สร้างสรรค์จักรวาลนี้ขึ้น(creates the universe), โดยรู้ถึงมัน(by know it). พูดอีกอย่างหนึ่ง, คุณเห็นธงหนึ่งกำลังกระพือโบกสะบัดที่ข้างนอกนั่น(you see a flag flapping out there), ซึ่งคุณน่าจะพูดว่าเป็นผ้าขี้ริ้วไร้ความสำคัญใดบนเสาหนึ่ง(would say is an insignificant little rag on a pole). แต่อ้างตามที่นักบุญโธมัส, ผ้าขี้รริ้วนั้นกระพือโบกสะบัดที่นั้นก็เพียงเพราะพระเจ้าเท่านั้นด้วยพลังงานทั้งปวงของพระองค์ที่จดจ่อในทุกโมเลกุลเดียวของการเป็นมัน(that rag flaps there only because God with his entire energy is concentrate on every single molecule of its being). และด้วยคุณธรรมของความจดจ่อนั้นมันจึงมีอยู่(and by virtue of that concentration it exists).

         ดังนั้นพระเจ้าจึงอยู่ในทุกวิถีหนทางปัญญา(so God is in Every Which Way intellect)ที่ทะลุทะลวงผ่านทุกสิ่ง, ที่จดจ่ออยู่กับทุกสิ่ง และนั่นคือเพราะว่าสิ่วงนี้เท่านั้นที่ทำให้สิ่งนั้นมีอยู่(that penetrates everything, that concentrates on everything and only because of that does the thing exist).

         ดังนั้นเมื่อความคิดของคุณเคลื่อนไหวในสมองของคุณ(so when your thoughts move in your brain), พวกเขาทำเช่นนั้นก็เพียงเพราะพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กลับสนับสนุนพวกเขา(they do so only because the Lord God Almighty is supporting them).

         เมื่อคุณพูดไปตามความเชื่อของจารึกประกาศลัทธินั้น(when you in the Creed, Niceno-Constantinopolitan9), ฉันเชื่อในพระเจ้าหนึ่งเดียว(I believe in One God). ผู้ครอง

         9 https://en.wikipedia.org/wiki/Nicene_Creed



ในทุกสรรพสิ่งทั้งปวง(the ruler of all things).

ผู้ทรงอำนาจมิใช่ผู้ทรงยศ(the pantocrat not the aristocrat), ผู้ปกครองทั้งปวง(the all ruler), ผู้เพราะเช่นนั้นจึงมีหน้าที่กับทุกสิ่ง(who therefore is in charge of everything). ที่บังเกิกดในทุกสิ่งซึ่งกำลังบังเกิด คือการแสดงออกของพลังแห่งสวรรค์(that happen in every happening is an expression of the divine power).

แต่คุณในฐานะปัจเจกบุคคล(you as an individual)ได้รับสิทธิพิเศษกับอิสรภาพที่จะใช้พลังสวรรค์นั้นในทุกวิถีทางที่คุณต้องการ(are privileged with freedom to use the divine power any way you want). คุณสามารถทำชั่วร้ายด้วยมัน หรือคุณสามารถทำดีด้วยมัน(you can do evil with it or you can do good with it).

นี้คือหลักคำสอนคริสเตียน(the Christian doctrine). ดังนั้นเมื่อคุณทำสิ่งชั่วร้าย(so that  when you do an evil thing), เมื่อคุณกรีดแหวะเด็กจากปลายถึงปลายแล้วกินมัน(you slit a baby from end to end and eat it). คุณก็กำลังทำเช่นนั้นด้วยพลังอำนาจของพระเจ้า(you are doing so with the power of God). แต่คุณก็ไปขัดแย้งกับจิตวิวิญญาณของพลังอำนาจนั้น(but you’ve gone against the spirit of that power), ถึงแม้ว่ามันจะสนับสนุนคุณในการทำมันกันในตอนนี้, นั่นเป็นความคิด(even though it supports you in doing it now that’s the idea).

แล้วผมคืออะไร?(so what I’m) ผมก็แค่ได้ยกเอาจุดนี้ขึ้นมา(I’m just bringing up this point), เพื่อแสดงให้เห็นว่าชาวตะวันตกได้มีมาหลายศตวรรษแล้ว(to show that the West has had for centuries), ความคิดที่ว่า ไม่มีความเป็นส่วนตัวที่แท้จริง(the idea that there is no privacy). เพราะว่าพระเจ้ารู้ทุกสิ่งที่คุณทำ(because God knows everything that you do).

https://youtu.be/jiesY07K7Do?si=m4muHEQETX3f_Fi0

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น